'พอเพียง' หลักคิดลงทุน 'วราพรรณ วงศ์สารคาม'
-
- Verified User
- โพสต์: 47266
- ผู้ติดตาม: 0
'พอเพียง' หลักคิดลงทุน 'วราพรรณ วงศ์สารคาม'
โพสต์ที่ 1
'พอเพียง' หลักคิดลงทุน 'วราพรรณ วงศ์สารคาม'
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, January 27, 2014 06:56
เราควรให้ความสำคัญกับ "จังหวะการเข้าซื้อหุ้น"และ "จิตวิทยามวลชน" ส่วนตัวใช้มาตั้งแต่วันแรกในการลงทุนจนถึงปัจจุบัน
หากทุกคนสามารถนำหลักธรรมประจำใจอย่าง "พรหมวิหาร 4" "เมตตา-กรุณา-มุทิตา-อุเบกขา" มาปรับใช้ในการดำรงชีวิตประจำวันได้ "ใจคงเป็นสุข" "วราพรรณ วงศ์สารคาม" แม่บ้านนักลงทุนวีไอวัย 43 ปี ผู้นำหลักธรรมะมาปรับใช้ในชีวิตการลงทุน เธอไม่หวังผลตอบแทน "มหาศาล" ขอแค่สมำเสมอทุกปี จากนีขอยึดหลัก "อนุรักษนิยม" เพราะนันคือ หนทางแห่ง "ความสุขใจ"
"วราพรรณ วงศ์สารคาม" แม่บ้านนักลงทุนวีไอ วัย 43 ปี ผู้นำหลักธรรมะมาปรับใช้ในชีวิตการลงทุน เธอไม่หวังผลตอบแทน "มหาศาล" ขอแค่สม่ำเสมอทุกปี จากนี้ขอยึดหลัก "อนุรักษนิยม" เพราะนั่นคือ หนทางแห่ง "ความสุขใจ"
หากทุกคนสามารถนำหลักธรรมประจำใจอย่าง "พรหมวิหาร 4" ประกอบด้วย "เมตตา-กรุณา-มุทิตา-อุเบกขา"มาปรับใช้ในการดำรงชีวิตประจำวันได้ "ใจคงเป็นสุข" เราไม่จำเป็นต้องนำหลักธรรมทั้ง 4 ข้อมาปฏิบัติ ขอเพียงนำหลัก "มุทิตา" (ความยินดี ในเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุข) มาใช้เพียงข้อเดียวเท่านี้ชีวิตเราก็ประสบความสำเร็จแล้ว "นุชวราพรรณ วงศ์สารคาม" นักลงทุนแนววีไอ กล่าวทักทาย"กรุงเทพธุรกิจ Biz Week"
ด้วยการถ่ายทอดคติธรรมสอนใจประจำตัวได้ยินแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่า เราเข้าวัดนั่งสมาธิทุกวันนะ แต่ซึมซับหลักธรรมะมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ ทุกครั้งที่เห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันมีชีวิตลำบากทำให้เรารู้สึกว่า ชีวิตคนเราไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าความสุขแม้ตลอดชีวิตจะอยู่อย่างสุขสบาย แต่ยังคงใช้เงินอย่างรู้คุณค่า เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ไม่เคยซื้อแพงๆ ซื้อแค่พอใส่ได้ หลักธรรมะง่ายๆเหล่านี้นำมาใช้ในการลงทุนในตลาดหุ้นได้นะ
ความคิดเรื่องการใช้เงินของ "นุช" คล้ายๆ กับ "โจ-อนุรักษ์ บุญแสวง" นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เจ้าของนามแฝง "โจ ลูกอีสาน" ในเว็บไซต์ Thaivi.com เธอบอกว่า ครั้งหนึ่งเคยเข้าไปอ่านบทความของคุณโจ เรื่องการประหยัด" แกเห็นคุณค่าของเงินทุก บาททุกสตางค์ คุณโจจะไม่นำเงินไปทำอะไรหรือลงทุนอะไรเสี่ยงๆ ฉะนั้นก่อนทำอะไรต้องศึกษาข้อมูลให้ดี
เธอบอกว่า ส่วนตัวเป็นคนเก็บเงินเก่งมาก ไม่ได้งกนะ (หัวเราะ) นิสัยรักการออมมีมาตั้งแต่วัยเยาว์ เราเห็นพ่อ-แม่ ใช้เงินประหยัดมากๆ (ยิ้ม) ขณะที่ "อาม่า" ที่เดินทางมาจากเมืองจีน โดยมีเพียงเสื่อผืนหมอนใบ ทำให้เรารู้จักเก็บเงินเข้าธนาคารออมสินมาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ โรงเรียนอยู่ใกล้บ้านไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะ "บิสวีค" ได้รับการแนะนำให้รู้จัก "นุชวราพรรณ" จาก "โจ ลูกอีสาน" ผู้หญิงคนนี้แม้จะลงทุนไม่นานแค่ 4 ปี แต่เขาถือเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง ลองคุยดูนะ" ประโยคเชื้อเชิญของ "โจ-อนุรักษ์""หญิงวัย 43 ปี" เจ้าของนามแฝง Theenut ในเว็บไซต์ Thaivi.com ย้อนประวัติชีวิตให้ฟังว่า พื้นเพเป็นคนจังหวัดอ่างทอง เราเป็นลูกสาวคนที่ 2 ในจำนวนพี่น้อง 3 คน คุณพ่อคุณแม่ยึดอาชีพครูชั้นประถมหาเลี้ยงลูกๆ
หลังเรียนจบชั้นประถมศึกษาตอนปลายครอบครัวส่งเรามาอาศัยกับญาติ เพื่อให้เรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ณ โรงเรียนเบญจมราชาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เรียนถึงแค่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก็ย้ายกลับไปเรียนต่อที่จังหวัดอ่างทอง ด้วยการสอบชิงทุน ก่อนจะมาศึกษาต่อในวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีศรีธัญญา จังหวัดนนทบุรี
เริ่มทำงานแห่งแรกในสถานีอนามัย อำเภอสามโก้ จังหวัดอ่างทอง จากนั้นย้ายไปทำงานใช้ทุนการศึกษาประมาณ 4 ปี ณ สาธารณสุขชุมชน (หมออนามัย) ตอนนั้นได้เงินแค่เดือน 2,800 บาท ระหว่างทำงานใช้ทุนพยาบาล มีโอกาสได้เรียนต่อคณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาสุขศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง 2 ปี
เมื่อเรียนจบก็สอบเปลี่ยนตำแหน่งเป็นนักวิชาการสาธารณสุข และเข้ามาทำงานที่กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพ ตั้งแต่ปี 2537-2545 จากนั้นไปเรียนต่อปริญญาโท สาขาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (มศว.) เรียนรุ่นเดียวกับ "อ้อม-สุนิสา สุขบุญสังข์" นักจัดรายการวิทยุ และพิธีกร เรานั่งเรียนข้างกัน เธอ บอก
ด้วยความที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นมาตั้งแต่เด็กๆ ตอนทำงานเป็นนักวิชาการสาธารณสุข เคยอยากย้ายตัวเองไปทำงานเกี่ยวกับสังคมสงเคราะห์บนดอย แต่ "พ่อ" บอกว่า ไม่จำเป็นหากเรามีจิตใจอยากช่วยเหลือคนอยู่ที่ไหนก็ช่วยได้
จากนั้นตัดสินใจไปทำงานที่เทศบาลรังสิต จังหวัดปทุมธานี ประมาณ 5 ปี ก่อนจะย้ายไปทำตำแหน่งนักวิเคราะห์นโยบายและแผน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำอยู่ 4 ปี ย้ายงานอีกครั้ง คราวนี้มาทำงานในโรงพยาบาล ศูนย์มหาวชิราลงกรณ์ ธัญบุรี ตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุข ซึ่งเป็นที่ทำงานอยู่ในปัจจุบัน
ถามถึง "จุดเริ่มต้น" ของการลงทุนในตลาดหุ้นเธอบอกว่า จริงๆลงทุนครั้งแรกด้วยการซื้อคอนโดมิเนียม แถวมหาวิทยาลัยบูรพา ถือเป็นการลงทุนแบบไม่ตั้งใจ บังเอิญมีคนจะขายคอนโดมิเนียม เพราะเขาร้อนเงิน เราจึงตัดสินใจซื้อ เพื่อปล่อยให้นักศึกษาเช่าเดือนละ 3,000 กว่าบาท ซื้อมาในราคา 385,000 บาท พื้นที่ประมาณ 28 ตารางเมตร
ด้วยความที่เป็นคนชอบทำความสะอาดและดูแลทุกอย่างด้วยตัวเอง ขณะที่คอนโดมิเนียมอยู่ไกลมากไปทุกวันคงไม่ไหวจึงตัดใจขายทิ้งในราคา 450,000 บาท ได้กำไรมานิดหน่อย จากนั้นเรานำเงินที่ได้จากการขายคอนโดมิเนียมมาลงทุนในตลาดหุ้นต่อ ด้วยการเปิดพอร์ตลงทุนกับบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) "เวลาจะทำอะไรสักอย่างไม่ชอบถามใคร ชอบอ่าน และหาข้อมูลเอง ถามว่า หาความรู้จากไหนตามเว็บไซต์ทั่วไป หรืออ่านหนังสือ"
ก่อนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นปี 2553 มีโอกาสได้ศึกษาหาข้อมูลต่างๆ ด้วยการอ่านหนังสือ "ตีแตก" ของ "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" หนังสือ "ออมเงินให้ได้เป็นล้าน" และอ่านบทความต่างๆตามเว็บไซต์ "ไทยวีไอ" และ เว็บไซต์พันทิป
"นุช" นิยามให้ตัวเองเป็น "นักลงทุนวีไอบ้านๆ" เธอบอกว่า ระหว่างที่อ่านหนังสือไปเรื่อยๆ บังเอิญไปเจอหนังสือ "พ่อรวยสอนลูก"ของ "โรเบิร์ต คิโยซากิ" เมื่ออ่านจบพร้อมพิจารณาตามทำให้พบว่า หากทำตามผู้เขียนแนะนำน่าจะเป็นเรื่องที่ดี เพราะครอบครัวของเราอยู่ในสายงานที่มีสามีทำงานเป็นพนักงานเอกชน ขณะที่เราเป็นข้าราชการ ฉะนั้นหากวันใดบริษัทเอกชนปิดกิจการ พนักงานถูกเลิกจ้าง ครอบครัวเราคงแย่ เพราะรายได้หลักมาจากงานของ "สามี"
เมื่อเป็นอย่างนั้นจึงเกิดความคิดว่า ต้องลงทุนอะไรสักอย่างที่ให้ "ผลตอบแทนกลับคืนมา"ครั้นจะไปทำธุรกิจส่วนตัวก็ไม่มีความรู้ไม่ถนัด ฉะนั้นจึงลองลงทุนในตลาดหุ้น จริงๆ เข้ามาลงทุนไม่ได้หวังว่า จะมีผลตอบแทนงอกเงยมากมาย หวังแค่ "เงินปันผล" ที่ มากกว่าดอกเบี้ยธนาคาร ช่วงนั้นดอกเบี้ยแบงก์อยู่ระดับ 4-5 เปอร์เซ็นต์ ก่อนจะปรับลดลงเหลือ 2-3 เปอร์เซ็นต์
"หุ้นตัวแรกที่ตัดสินใจซื้อ" คือ หุ้น ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี หรือ STA และ หุ้น ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) หรือ TRUBB ถามว่าทำไมถึงสนใจหุ้น 2 ตัวนี้? ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า "กรุณาอย่าทำตาม คุณอาจตายแบบฝังกลบได้" เธอเตือนเหตุผลที่เลือกซื้อหุ้น ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี เพราะไปอ่านเจอในเว็บไซต์แห่งหนึ่งว่าหุ้นตัวนี้กำลังจะเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) จากหุ้นละ 5 บาท เป็นหุ้นละ 1 บาท ในเว็บไซต์ยังบอกอีกว่า เจ้ามือกำลังจะไล่ราคา!!
ตอนนั้นช้อนที่ระดับ 60 บาทต่อหุ้น ซื้อไม่นานราคาหุ้นถูกไล่ราคาขึ้นไปถึง 100 กว่าบาท ใช้เวลาเพียง 3-4 เดือนเท่านั้น ตอนนั้นธุรกิจยางพาราดีมาก ยางมีราคาสูงเวอร์ ขณะที่บริษัทยังส่งออกไปขายในเมืองจีนด้วย ดูภาพรวมๆธุรกิจน่าจะเติบโตต่อเนื่อง
หลังจากนั้นไม่นานเราไปอ่านเจอในเว็บไซต์อีกว่า จะมีนักลงทุนจำนวนหนึ่งขายหุ้นออกมาหลังบริษัทแตกพาร์ ขณะที่มีอีกฝ่ายบอกว่า อย่าเพิ่งขายหุ้นหลังแตกพาร์ เพราะราคาหุ้นจะขึ้นไปอีก สุดท้ายตัดสินใจขายหุ้นในราคา 20 กว่าบาท ราคาพาร์ใหม่ แต่ถ้าเป็นราคาพาร์เดิมราคาน่าจะอยู่ระดับ 100 กว่าบาท ส่งผลให้ได้รับผลตอบแทนกลับมาค่อนข้างเยอะ
ส่วนสาเหตุที่ช้อนหุ้น ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น พฤติกรรมจะคล้ายๆ กัน นั่นคือ อ่านเจอข่าวในเว็บไซต์แห่งหนึ่งว่า บริษัทจะมีการจ่ายเงินปันผลเป็นหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นในอัตรา 4 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล หุ้นตัวนี้จำต้นทุนที่ซื้อมาไม่ได้ แต่ถือนานพอสมควร เราขายหุ้นแม่ออกไปก่อน เมื่อราคาหุ้นปันผลปรับตัวเพิ่มขึ้น ก็ขายออกไปจนหมด ทำให้ได้รับผลตอบแทนกลับมาพอสมควร
เชื่อหรือไม่!!ช่วงแรกๆ ของการลงทุนชีวิตแทบไม่มีความสุขเลย นั่งไม่ติดเก้าอี้ต้องคอยเช็คข่าวตลอดเวลาว่า มีข่าวอะไรออกมาหรือไม่ หลายคนอาจสงสัยทำไมช่วงแรกของการลงทุนถึงไม่ขาดทุน นั่นเป็นเพราะเราเข้าไปซื้อตอนตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้น หลังเพิ่งผ่านวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2551 มาใหม่ๆ ไม่เช่นนั้นพอร์ตลงทุนคงติดลบ
"ควรให้ความสำคัญกับ "จังหวะการเข้าซื้อหุ้น" และ "จิตวิทยามวลชน" เราใช้มาตั้งแต่วันแรกของการลงทุนจนถึงปัจจุบัน"
เธอ บอกว่า ระหว่างการลงทุนยังคงศึกษาหาความรู้จากการอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ ช่วงนั้นเกิดความรู้สึกไม่อยากเป็นนักลงทุนที่มีแต่ความกระวนกระวายใจ ต้องคอยนั่งตามข่าว คิดได้เช่นนั้นจึงตัดสินใจเปลี่ยนวิธีการลงทุน ด้วยการหันมาลงทุนในหุ้นพื้นฐานที่ดี เพื่อถือลงทุนระยะยาว
ปัจจุบันมีหุ้น 3 ตัว แต่หลักๆจะมีแค่ 2 ตัว สัดส่วนเงินลงทุนประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วน 20 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือจะเก็บไว้เป็นเงินสดรอจังหวะช้อนหุ้นดีๆในช่วงราคาถูกๆ เธอเล่าถึงหุ้นตัวแรกให้ฟังว่า เป็น "กลุ่มค้าปลีก" เลือกหุ้นตัวนี้ เพราะดูงบการเงินย้อนหลัง 3-5 ปีก่อนเขาเติบโตตลอด แถมมีหนี้สินน้อยนิด
เขาเป็นผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจด้วยเงินสด มีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นทุกปี เรารู้สึกว่า หุ้นลักษณะนี้มี "ความปลอดภัย" ไม่ต้องคอยนั่งตามข่าว เธอย้ำ ที่สำคัญเวลาบริษัทแถลงแผนธุรกิจเขาสามารถทำได้จริง
ส่วนหุ้นตัวที่สองเป็น "กลุ่มสื่อสาร" เลือกลงทุนเพราะเขาจ่ายเงินปันผลในอัตราสูงเฉลี่ย 7 เปอร์เซ็นต์ แถมสม่ำเสมอทุกปี ในอนาคตอาจจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงขึ้นไปอีก เนื่องจากบริษัทมีค่าสัมปทานลดลงบนคลื่นความถี่ใหม่ 3G และเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการเติบโตสูงตลอด เขาทำธุรกิจที่ผู้บริโภคจำเป็นต้องใช้ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดีก็ตาม นั่นคือ ข้อได้เปรียบของเขา
ก่อนจะซื้อหุ้น 1 ตัว มักดูงบการเงินย้อนหลัง 3-5 ปี โดยต้องเติบโตต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทต้องมีการจ่ายเงินปันผลเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ส่วนตัวชอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการ "อุปโภค-บริโภค" ภายในประเทศ เพราะว่าไม่มี "ความเสี่ยง" เกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนจากค่าเงินบาท รวมทั้งไม่มีความเสี่ยงเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในต่างประเทศ หุ้นประเภทนี้มักมีกำไรขั้นต้นดี และมีอำนาจต่อรองกับคู่ค้าสูง
"เราลงทุนในตลาดหุ้นหวังเพียงมีผลตอบแทนเพิ่มขึ้นจากเงินเดือนประจำ เพื่อรองรับชีวิตวัยเกษียณ จากนี้จะขอยึดหลักลงทุนแบบ "อนุรักษ์นิยม" ไม่จำเป็นต้องมีกำไรมากมาย ขอแค่ทำทุกวันให้ดี เมื่อเหตุดี ผลที่ดีจะตามมา ก่อนจะลงทุนในหุ้นพื้นฐานสักตัวควรศึกษาหาความรู้ให้ดีก่อน อย่าคิดแค่ว่า ทุกแห่งที่คุณเข้าไปแล้วจะสามารถหยิบอะไรกลับมาง่ายๆ" "นักลงทุนวีไอบ้านๆ" ทิ้งแง่คิดให้เม่าน้อยพิจารณาตาม--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, January 27, 2014 06:56
เราควรให้ความสำคัญกับ "จังหวะการเข้าซื้อหุ้น"และ "จิตวิทยามวลชน" ส่วนตัวใช้มาตั้งแต่วันแรกในการลงทุนจนถึงปัจจุบัน
หากทุกคนสามารถนำหลักธรรมประจำใจอย่าง "พรหมวิหาร 4" "เมตตา-กรุณา-มุทิตา-อุเบกขา" มาปรับใช้ในการดำรงชีวิตประจำวันได้ "ใจคงเป็นสุข" "วราพรรณ วงศ์สารคาม" แม่บ้านนักลงทุนวีไอวัย 43 ปี ผู้นำหลักธรรมะมาปรับใช้ในชีวิตการลงทุน เธอไม่หวังผลตอบแทน "มหาศาล" ขอแค่สมำเสมอทุกปี จากนีขอยึดหลัก "อนุรักษนิยม" เพราะนันคือ หนทางแห่ง "ความสุขใจ"
"วราพรรณ วงศ์สารคาม" แม่บ้านนักลงทุนวีไอ วัย 43 ปี ผู้นำหลักธรรมะมาปรับใช้ในชีวิตการลงทุน เธอไม่หวังผลตอบแทน "มหาศาล" ขอแค่สม่ำเสมอทุกปี จากนี้ขอยึดหลัก "อนุรักษนิยม" เพราะนั่นคือ หนทางแห่ง "ความสุขใจ"
หากทุกคนสามารถนำหลักธรรมประจำใจอย่าง "พรหมวิหาร 4" ประกอบด้วย "เมตตา-กรุณา-มุทิตา-อุเบกขา"มาปรับใช้ในการดำรงชีวิตประจำวันได้ "ใจคงเป็นสุข" เราไม่จำเป็นต้องนำหลักธรรมทั้ง 4 ข้อมาปฏิบัติ ขอเพียงนำหลัก "มุทิตา" (ความยินดี ในเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุข) มาใช้เพียงข้อเดียวเท่านี้ชีวิตเราก็ประสบความสำเร็จแล้ว "นุชวราพรรณ วงศ์สารคาม" นักลงทุนแนววีไอ กล่าวทักทาย"กรุงเทพธุรกิจ Biz Week"
ด้วยการถ่ายทอดคติธรรมสอนใจประจำตัวได้ยินแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่า เราเข้าวัดนั่งสมาธิทุกวันนะ แต่ซึมซับหลักธรรมะมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ ทุกครั้งที่เห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันมีชีวิตลำบากทำให้เรารู้สึกว่า ชีวิตคนเราไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าความสุขแม้ตลอดชีวิตจะอยู่อย่างสุขสบาย แต่ยังคงใช้เงินอย่างรู้คุณค่า เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ไม่เคยซื้อแพงๆ ซื้อแค่พอใส่ได้ หลักธรรมะง่ายๆเหล่านี้นำมาใช้ในการลงทุนในตลาดหุ้นได้นะ
ความคิดเรื่องการใช้เงินของ "นุช" คล้ายๆ กับ "โจ-อนุรักษ์ บุญแสวง" นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เจ้าของนามแฝง "โจ ลูกอีสาน" ในเว็บไซต์ Thaivi.com เธอบอกว่า ครั้งหนึ่งเคยเข้าไปอ่านบทความของคุณโจ เรื่องการประหยัด" แกเห็นคุณค่าของเงินทุก บาททุกสตางค์ คุณโจจะไม่นำเงินไปทำอะไรหรือลงทุนอะไรเสี่ยงๆ ฉะนั้นก่อนทำอะไรต้องศึกษาข้อมูลให้ดี
เธอบอกว่า ส่วนตัวเป็นคนเก็บเงินเก่งมาก ไม่ได้งกนะ (หัวเราะ) นิสัยรักการออมมีมาตั้งแต่วัยเยาว์ เราเห็นพ่อ-แม่ ใช้เงินประหยัดมากๆ (ยิ้ม) ขณะที่ "อาม่า" ที่เดินทางมาจากเมืองจีน โดยมีเพียงเสื่อผืนหมอนใบ ทำให้เรารู้จักเก็บเงินเข้าธนาคารออมสินมาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ โรงเรียนอยู่ใกล้บ้านไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะ "บิสวีค" ได้รับการแนะนำให้รู้จัก "นุชวราพรรณ" จาก "โจ ลูกอีสาน" ผู้หญิงคนนี้แม้จะลงทุนไม่นานแค่ 4 ปี แต่เขาถือเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง ลองคุยดูนะ" ประโยคเชื้อเชิญของ "โจ-อนุรักษ์""หญิงวัย 43 ปี" เจ้าของนามแฝง Theenut ในเว็บไซต์ Thaivi.com ย้อนประวัติชีวิตให้ฟังว่า พื้นเพเป็นคนจังหวัดอ่างทอง เราเป็นลูกสาวคนที่ 2 ในจำนวนพี่น้อง 3 คน คุณพ่อคุณแม่ยึดอาชีพครูชั้นประถมหาเลี้ยงลูกๆ
หลังเรียนจบชั้นประถมศึกษาตอนปลายครอบครัวส่งเรามาอาศัยกับญาติ เพื่อให้เรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ณ โรงเรียนเบญจมราชาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เรียนถึงแค่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก็ย้ายกลับไปเรียนต่อที่จังหวัดอ่างทอง ด้วยการสอบชิงทุน ก่อนจะมาศึกษาต่อในวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีศรีธัญญา จังหวัดนนทบุรี
เริ่มทำงานแห่งแรกในสถานีอนามัย อำเภอสามโก้ จังหวัดอ่างทอง จากนั้นย้ายไปทำงานใช้ทุนการศึกษาประมาณ 4 ปี ณ สาธารณสุขชุมชน (หมออนามัย) ตอนนั้นได้เงินแค่เดือน 2,800 บาท ระหว่างทำงานใช้ทุนพยาบาล มีโอกาสได้เรียนต่อคณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาสุขศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง 2 ปี
เมื่อเรียนจบก็สอบเปลี่ยนตำแหน่งเป็นนักวิชาการสาธารณสุข และเข้ามาทำงานที่กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพ ตั้งแต่ปี 2537-2545 จากนั้นไปเรียนต่อปริญญาโท สาขาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (มศว.) เรียนรุ่นเดียวกับ "อ้อม-สุนิสา สุขบุญสังข์" นักจัดรายการวิทยุ และพิธีกร เรานั่งเรียนข้างกัน เธอ บอก
ด้วยความที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นมาตั้งแต่เด็กๆ ตอนทำงานเป็นนักวิชาการสาธารณสุข เคยอยากย้ายตัวเองไปทำงานเกี่ยวกับสังคมสงเคราะห์บนดอย แต่ "พ่อ" บอกว่า ไม่จำเป็นหากเรามีจิตใจอยากช่วยเหลือคนอยู่ที่ไหนก็ช่วยได้
จากนั้นตัดสินใจไปทำงานที่เทศบาลรังสิต จังหวัดปทุมธานี ประมาณ 5 ปี ก่อนจะย้ายไปทำตำแหน่งนักวิเคราะห์นโยบายและแผน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำอยู่ 4 ปี ย้ายงานอีกครั้ง คราวนี้มาทำงานในโรงพยาบาล ศูนย์มหาวชิราลงกรณ์ ธัญบุรี ตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุข ซึ่งเป็นที่ทำงานอยู่ในปัจจุบัน
ถามถึง "จุดเริ่มต้น" ของการลงทุนในตลาดหุ้นเธอบอกว่า จริงๆลงทุนครั้งแรกด้วยการซื้อคอนโดมิเนียม แถวมหาวิทยาลัยบูรพา ถือเป็นการลงทุนแบบไม่ตั้งใจ บังเอิญมีคนจะขายคอนโดมิเนียม เพราะเขาร้อนเงิน เราจึงตัดสินใจซื้อ เพื่อปล่อยให้นักศึกษาเช่าเดือนละ 3,000 กว่าบาท ซื้อมาในราคา 385,000 บาท พื้นที่ประมาณ 28 ตารางเมตร
ด้วยความที่เป็นคนชอบทำความสะอาดและดูแลทุกอย่างด้วยตัวเอง ขณะที่คอนโดมิเนียมอยู่ไกลมากไปทุกวันคงไม่ไหวจึงตัดใจขายทิ้งในราคา 450,000 บาท ได้กำไรมานิดหน่อย จากนั้นเรานำเงินที่ได้จากการขายคอนโดมิเนียมมาลงทุนในตลาดหุ้นต่อ ด้วยการเปิดพอร์ตลงทุนกับบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) "เวลาจะทำอะไรสักอย่างไม่ชอบถามใคร ชอบอ่าน และหาข้อมูลเอง ถามว่า หาความรู้จากไหนตามเว็บไซต์ทั่วไป หรืออ่านหนังสือ"
ก่อนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นปี 2553 มีโอกาสได้ศึกษาหาข้อมูลต่างๆ ด้วยการอ่านหนังสือ "ตีแตก" ของ "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" หนังสือ "ออมเงินให้ได้เป็นล้าน" และอ่านบทความต่างๆตามเว็บไซต์ "ไทยวีไอ" และ เว็บไซต์พันทิป
"นุช" นิยามให้ตัวเองเป็น "นักลงทุนวีไอบ้านๆ" เธอบอกว่า ระหว่างที่อ่านหนังสือไปเรื่อยๆ บังเอิญไปเจอหนังสือ "พ่อรวยสอนลูก"ของ "โรเบิร์ต คิโยซากิ" เมื่ออ่านจบพร้อมพิจารณาตามทำให้พบว่า หากทำตามผู้เขียนแนะนำน่าจะเป็นเรื่องที่ดี เพราะครอบครัวของเราอยู่ในสายงานที่มีสามีทำงานเป็นพนักงานเอกชน ขณะที่เราเป็นข้าราชการ ฉะนั้นหากวันใดบริษัทเอกชนปิดกิจการ พนักงานถูกเลิกจ้าง ครอบครัวเราคงแย่ เพราะรายได้หลักมาจากงานของ "สามี"
เมื่อเป็นอย่างนั้นจึงเกิดความคิดว่า ต้องลงทุนอะไรสักอย่างที่ให้ "ผลตอบแทนกลับคืนมา"ครั้นจะไปทำธุรกิจส่วนตัวก็ไม่มีความรู้ไม่ถนัด ฉะนั้นจึงลองลงทุนในตลาดหุ้น จริงๆ เข้ามาลงทุนไม่ได้หวังว่า จะมีผลตอบแทนงอกเงยมากมาย หวังแค่ "เงินปันผล" ที่ มากกว่าดอกเบี้ยธนาคาร ช่วงนั้นดอกเบี้ยแบงก์อยู่ระดับ 4-5 เปอร์เซ็นต์ ก่อนจะปรับลดลงเหลือ 2-3 เปอร์เซ็นต์
"หุ้นตัวแรกที่ตัดสินใจซื้อ" คือ หุ้น ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี หรือ STA และ หุ้น ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) หรือ TRUBB ถามว่าทำไมถึงสนใจหุ้น 2 ตัวนี้? ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า "กรุณาอย่าทำตาม คุณอาจตายแบบฝังกลบได้" เธอเตือนเหตุผลที่เลือกซื้อหุ้น ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี เพราะไปอ่านเจอในเว็บไซต์แห่งหนึ่งว่าหุ้นตัวนี้กำลังจะเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) จากหุ้นละ 5 บาท เป็นหุ้นละ 1 บาท ในเว็บไซต์ยังบอกอีกว่า เจ้ามือกำลังจะไล่ราคา!!
ตอนนั้นช้อนที่ระดับ 60 บาทต่อหุ้น ซื้อไม่นานราคาหุ้นถูกไล่ราคาขึ้นไปถึง 100 กว่าบาท ใช้เวลาเพียง 3-4 เดือนเท่านั้น ตอนนั้นธุรกิจยางพาราดีมาก ยางมีราคาสูงเวอร์ ขณะที่บริษัทยังส่งออกไปขายในเมืองจีนด้วย ดูภาพรวมๆธุรกิจน่าจะเติบโตต่อเนื่อง
หลังจากนั้นไม่นานเราไปอ่านเจอในเว็บไซต์อีกว่า จะมีนักลงทุนจำนวนหนึ่งขายหุ้นออกมาหลังบริษัทแตกพาร์ ขณะที่มีอีกฝ่ายบอกว่า อย่าเพิ่งขายหุ้นหลังแตกพาร์ เพราะราคาหุ้นจะขึ้นไปอีก สุดท้ายตัดสินใจขายหุ้นในราคา 20 กว่าบาท ราคาพาร์ใหม่ แต่ถ้าเป็นราคาพาร์เดิมราคาน่าจะอยู่ระดับ 100 กว่าบาท ส่งผลให้ได้รับผลตอบแทนกลับมาค่อนข้างเยอะ
ส่วนสาเหตุที่ช้อนหุ้น ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น พฤติกรรมจะคล้ายๆ กัน นั่นคือ อ่านเจอข่าวในเว็บไซต์แห่งหนึ่งว่า บริษัทจะมีการจ่ายเงินปันผลเป็นหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นในอัตรา 4 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล หุ้นตัวนี้จำต้นทุนที่ซื้อมาไม่ได้ แต่ถือนานพอสมควร เราขายหุ้นแม่ออกไปก่อน เมื่อราคาหุ้นปันผลปรับตัวเพิ่มขึ้น ก็ขายออกไปจนหมด ทำให้ได้รับผลตอบแทนกลับมาพอสมควร
เชื่อหรือไม่!!ช่วงแรกๆ ของการลงทุนชีวิตแทบไม่มีความสุขเลย นั่งไม่ติดเก้าอี้ต้องคอยเช็คข่าวตลอดเวลาว่า มีข่าวอะไรออกมาหรือไม่ หลายคนอาจสงสัยทำไมช่วงแรกของการลงทุนถึงไม่ขาดทุน นั่นเป็นเพราะเราเข้าไปซื้อตอนตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้น หลังเพิ่งผ่านวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2551 มาใหม่ๆ ไม่เช่นนั้นพอร์ตลงทุนคงติดลบ
"ควรให้ความสำคัญกับ "จังหวะการเข้าซื้อหุ้น" และ "จิตวิทยามวลชน" เราใช้มาตั้งแต่วันแรกของการลงทุนจนถึงปัจจุบัน"
เธอ บอกว่า ระหว่างการลงทุนยังคงศึกษาหาความรู้จากการอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ ช่วงนั้นเกิดความรู้สึกไม่อยากเป็นนักลงทุนที่มีแต่ความกระวนกระวายใจ ต้องคอยนั่งตามข่าว คิดได้เช่นนั้นจึงตัดสินใจเปลี่ยนวิธีการลงทุน ด้วยการหันมาลงทุนในหุ้นพื้นฐานที่ดี เพื่อถือลงทุนระยะยาว
ปัจจุบันมีหุ้น 3 ตัว แต่หลักๆจะมีแค่ 2 ตัว สัดส่วนเงินลงทุนประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วน 20 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือจะเก็บไว้เป็นเงินสดรอจังหวะช้อนหุ้นดีๆในช่วงราคาถูกๆ เธอเล่าถึงหุ้นตัวแรกให้ฟังว่า เป็น "กลุ่มค้าปลีก" เลือกหุ้นตัวนี้ เพราะดูงบการเงินย้อนหลัง 3-5 ปีก่อนเขาเติบโตตลอด แถมมีหนี้สินน้อยนิด
เขาเป็นผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจด้วยเงินสด มีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นทุกปี เรารู้สึกว่า หุ้นลักษณะนี้มี "ความปลอดภัย" ไม่ต้องคอยนั่งตามข่าว เธอย้ำ ที่สำคัญเวลาบริษัทแถลงแผนธุรกิจเขาสามารถทำได้จริง
ส่วนหุ้นตัวที่สองเป็น "กลุ่มสื่อสาร" เลือกลงทุนเพราะเขาจ่ายเงินปันผลในอัตราสูงเฉลี่ย 7 เปอร์เซ็นต์ แถมสม่ำเสมอทุกปี ในอนาคตอาจจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงขึ้นไปอีก เนื่องจากบริษัทมีค่าสัมปทานลดลงบนคลื่นความถี่ใหม่ 3G และเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการเติบโตสูงตลอด เขาทำธุรกิจที่ผู้บริโภคจำเป็นต้องใช้ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดีก็ตาม นั่นคือ ข้อได้เปรียบของเขา
ก่อนจะซื้อหุ้น 1 ตัว มักดูงบการเงินย้อนหลัง 3-5 ปี โดยต้องเติบโตต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทต้องมีการจ่ายเงินปันผลเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ส่วนตัวชอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการ "อุปโภค-บริโภค" ภายในประเทศ เพราะว่าไม่มี "ความเสี่ยง" เกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนจากค่าเงินบาท รวมทั้งไม่มีความเสี่ยงเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในต่างประเทศ หุ้นประเภทนี้มักมีกำไรขั้นต้นดี และมีอำนาจต่อรองกับคู่ค้าสูง
"เราลงทุนในตลาดหุ้นหวังเพียงมีผลตอบแทนเพิ่มขึ้นจากเงินเดือนประจำ เพื่อรองรับชีวิตวัยเกษียณ จากนี้จะขอยึดหลักลงทุนแบบ "อนุรักษ์นิยม" ไม่จำเป็นต้องมีกำไรมากมาย ขอแค่ทำทุกวันให้ดี เมื่อเหตุดี ผลที่ดีจะตามมา ก่อนจะลงทุนในหุ้นพื้นฐานสักตัวควรศึกษาหาความรู้ให้ดีก่อน อย่าคิดแค่ว่า ทุกแห่งที่คุณเข้าไปแล้วจะสามารถหยิบอะไรกลับมาง่ายๆ" "นักลงทุนวีไอบ้านๆ" ทิ้งแง่คิดให้เม่าน้อยพิจารณาตาม--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 'พอเพียง' หลักคิดลงทุน 'วราพรรณ วงศ์สารคาม'
โพสต์ที่ 3
ขอขอบพระคุณ "คุณโจ" ที่กรุณาไว้ใจให้ไปให้เล่าประสบการณ์การลงทุนค่ะ
แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกอยากขออภัยด้วยค่ะ....เหมือนจะเล่าไม่เก่งค่ะ
น้องอั้มที่สัมภาษณ์ก็พยายามอย่างเต็มที่ ที่จะช่วยตั้งคำถาม
แต่ดูเหมือนไม่ค่อยดีขึ้นเท่าไหร่ค่ะ...คงถนัดเขียนเสียมากกว่าน่ะค่ะ
ที่บอกว่ายึดคุณโจเป็นแบบอย่างนั้นหลักๆ คือเรื่องความประหยัด เห็นคุณค่าของเงิน
และวิถีชีวิตเด็กบ้านนอกเข้ามาใช้ชวิตในกรุงเทพ เคยผ่านรั้วรามคำแหงเหมือนคุณโจ
และวุฒิการศึกษานั้นเป็นวุฒิที่ทำงานแล้วได้เงินเดือนน้อยเหมือนคุณโจค่ะ
เวลาอ่านบทสัมภาษณ์ หรือดูการสัมภาษณ์คุณโจ แล้วทำให้รู้สึกว่ามีกำลังใจ
ยังยึดถือเรื่องของความมุ่งมั่นตามแบบคุณโจด้วย..และเรื่อง "ถ้าทำเหตุให้ดี ผลก็จะดี" ค่ะ
แต่เรื่องความรู้พื้นฐานต่างๆ มีน้อยจนแทบจะไม่มีค่ะ...เกรงผู้อ่านจะเข้าใจผิดว่า
บังอาจกล่าวถึงว่ายึดถือคุณโจเป็นแบบอย่างทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้มีความสามารถ
ทั้งนี้...คงต้องย้อนกลับมาโทษตัวเองเรื่อง "พูดไม่เก่ง" เหมือนเดิมค่ะ
...........................
และขอแก้ไขเรื่อง STA ค่ะ แตกพาร์จาก 10 เป็น 1 ... ไม่ใช่จาก 5 เป็น 1
และที่เล่าถึงนั้นเพื่อยกเป็นตัวอย่างว่าร้อนรนใจไม่มีความสุข
ต่างจากตอนที่เปลี่ยนมาลงทุนแนว VI ค่ะ
............................
ส่วนเรื่องมุทิตาขออนญาตยกมาจากกระทู้บ้านๆ และบางส่วนที่เคยตอบคุณ Seattle ไว้มาขยายความไว้ตรงนี้ด้วยนะคะ
............................
ผิดพลาดและบกพร่องประการใด ต้องเรียนขออภัยคุณโจและทางสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่าไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ
จึงได้ไปทักทายคุณ Seattle ไว้แต่อยากเพิ่มเติมอีกบางส่วน
เลยขอนำมาคุยต่อที่ชานบ้านเราดีกว่า
อยากบอกว่าเราค่อนข้างใช้ธรรมะเรื่อง "มุทิตา" ในพรหมวิหาร 4
อยู่บ่อยๆ เพราะทำให้เรารู้สึกยินดีในความสำเร็จของผู้อื่นได้อย่างไม่เคลือบแคลงสงสัย
และพร้อมเปิดใจนำหลักการของเขาเหล่านั้นมาปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และใน Idol ที่ไปแอบเชิญมานั่งในใจหลายท่านนั้น
ต้องมีที่สุดแน่นอน โดยส่วยตัวแล้วท่านที่เป็นแรงบันดาลใจมากที่สุด
คือ "คุณโจ_ลูกอิสาน" เพราะถ้าติดตามชีวิตตั้งแต่วัยเด็กของคุณโจ
มาจนถึงเส้นทางการลงทุน รู้สึกว่าเราเข้าถีงได้
โดยเฉพาะแฟนเราที่เคยยากจนมาก่อน
ส่งผลให้เราเริ่มชีวิตครอบครัวด้วยความลำบากและยากจนพอสมควร
กว่าจะมีเงินมาลงทุนได้ก็ต้องหาเงินเพิ่มด้วยความอดทน
และยังต้องประหยัดอย่างมากเพื่อแลกกับชีวิตที่จะดีกว่าในอนาคต
รู้สึกว่าเส้นทางชีวิตคล้ายๆ กับคุณโจอยู่มาก
พอได้ติดตามเส้นทางชีวิตคุณโจที่สามารถฝ่าข้อจำกัดของชีวิต
จนประสพความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย...ด้วยความพยายามแห่งตนโดยแท้
แล้วทำให้รู้สึกทึ่ง ชื่นชม และทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะก้าวตาม
แต่เรื่องความสำเร็จในการลงทุนนี่ชาตินี้ทั้งชาติคงไม่สามารถ
สำเร็จได้เท่าผู้ที่เป็นที่สุดของแรงบันดาลใจท่านนี้หรอกค่ะ
ขอถือโอกาสขอบคุณ "คุณโจ_ลูกอิสาน"
และ Idol อีกหลายท่าน ที่ไม่สามารถเอ่ยนามถึงได้หมด
ที่มีผลต่อความสำเร็จในการลงทุนของเราทุกวันนี้
คือเหนือความคาดหมายของตนเอและครอบครัวแล้ว
ไม่ได้คาดหวังว่าวันข้างหน้าจะสามารถทำได้มากไปกว่านี้
แต่ก็จะพยายามพัฒนาตนเองไปเรื่อยและทำให้ดีที่สุดตามศักยภาพของตัวเราเองค่ะ [/quote]
แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกอยากขออภัยด้วยค่ะ....เหมือนจะเล่าไม่เก่งค่ะ
น้องอั้มที่สัมภาษณ์ก็พยายามอย่างเต็มที่ ที่จะช่วยตั้งคำถาม
แต่ดูเหมือนไม่ค่อยดีขึ้นเท่าไหร่ค่ะ...คงถนัดเขียนเสียมากกว่าน่ะค่ะ
ที่บอกว่ายึดคุณโจเป็นแบบอย่างนั้นหลักๆ คือเรื่องความประหยัด เห็นคุณค่าของเงิน
และวิถีชีวิตเด็กบ้านนอกเข้ามาใช้ชวิตในกรุงเทพ เคยผ่านรั้วรามคำแหงเหมือนคุณโจ
และวุฒิการศึกษานั้นเป็นวุฒิที่ทำงานแล้วได้เงินเดือนน้อยเหมือนคุณโจค่ะ
เวลาอ่านบทสัมภาษณ์ หรือดูการสัมภาษณ์คุณโจ แล้วทำให้รู้สึกว่ามีกำลังใจ
ยังยึดถือเรื่องของความมุ่งมั่นตามแบบคุณโจด้วย..และเรื่อง "ถ้าทำเหตุให้ดี ผลก็จะดี" ค่ะ
แต่เรื่องความรู้พื้นฐานต่างๆ มีน้อยจนแทบจะไม่มีค่ะ...เกรงผู้อ่านจะเข้าใจผิดว่า
บังอาจกล่าวถึงว่ายึดถือคุณโจเป็นแบบอย่างทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้มีความสามารถ
ทั้งนี้...คงต้องย้อนกลับมาโทษตัวเองเรื่อง "พูดไม่เก่ง" เหมือนเดิมค่ะ
...........................
และขอแก้ไขเรื่อง STA ค่ะ แตกพาร์จาก 10 เป็น 1 ... ไม่ใช่จาก 5 เป็น 1
และที่เล่าถึงนั้นเพื่อยกเป็นตัวอย่างว่าร้อนรนใจไม่มีความสุข
ต่างจากตอนที่เปลี่ยนมาลงทุนแนว VI ค่ะ
............................
ส่วนเรื่องมุทิตาขออนญาตยกมาจากกระทู้บ้านๆ และบางส่วนที่เคยตอบคุณ Seattle ไว้มาขยายความไว้ตรงนี้ด้วยนะคะ
............................
ผิดพลาดและบกพร่องประการใด ต้องเรียนขออภัยคุณโจและทางสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่าไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ
และได้บังเอิญมีคุณ Seattle มาชมtheenuch เขียน:ขอบคุณค่ะ คุณ SeattleSeattle เขียน: คุณ theenuch ครับ คุณเป็นไอดอลของผมเหมือนกัน ผมอ่านที่คุณโฟสมาตลอด
คุณเป็นนักลงทุนที่มีคุณภาพมากๆคนหนึ่งที่ผมเคยพบเห็นมาครับ
มีหลักการอีกอย่างนึงที่เป็นองค์ประกอบสำคัญ
ที่ทำให้ประสพความสำเร็จได้ระดับหนึ่ง..อย่างทุกวันนี้
แต่ถึงวันนี้ก็ยังคงต้องพัฒนาอีกมาก....และเรื่อยไปค่ะ
เพิ่งนึกได้เดี๋ยวนี้ทันที จากคำทักทายของคุณ Seattle
คือ "ใจใหญ่" ค่ะ เนื่องจากแอบชื่นชม Idol อยู่หลายท่าน
และแอบเชิญมานั่งในใจเต็มไปหมดเลยค่ะ....
ซึ่ง Idol ของเราเขาก็ไม่รู้ตัวหรอกค่ะ
เราก็ไม่เคยไปกล้าบอกความในใจ
ว่างๆ ก็นั่งนึกถึงหลักการที่ท่านเหล่านั้นใช้
และน้อมนำเอามาปฏิบัติ ค่อยๆ ฝึกฝน
ค่อยหาความรู้เพิ่มไปเรื่อยตามประสาของเราค่ะ
ตามคำแนะนำที่ Idol ของเรากรุณาแนะนำค่ะ
(จริงๆ แล้ว แต่ละท่านแนะนำเป็นวงกว้างนั่นแหละค่ะ)
แต่พอเราเชิญมานั่งในใจแล้ว เราก็แอบเหมาว่าแนะนำเรา อิ อิ
จึงได้ไปทักทายคุณ Seattle ไว้แต่อยากเพิ่มเติมอีกบางส่วน
เลยขอนำมาคุยต่อที่ชานบ้านเราดีกว่า
อยากบอกว่าเราค่อนข้างใช้ธรรมะเรื่อง "มุทิตา" ในพรหมวิหาร 4
อยู่บ่อยๆ เพราะทำให้เรารู้สึกยินดีในความสำเร็จของผู้อื่นได้อย่างไม่เคลือบแคลงสงสัย
และพร้อมเปิดใจนำหลักการของเขาเหล่านั้นมาปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และใน Idol ที่ไปแอบเชิญมานั่งในใจหลายท่านนั้น
ต้องมีที่สุดแน่นอน โดยส่วยตัวแล้วท่านที่เป็นแรงบันดาลใจมากที่สุด
คือ "คุณโจ_ลูกอิสาน" เพราะถ้าติดตามชีวิตตั้งแต่วัยเด็กของคุณโจ
มาจนถึงเส้นทางการลงทุน รู้สึกว่าเราเข้าถีงได้
โดยเฉพาะแฟนเราที่เคยยากจนมาก่อน
ส่งผลให้เราเริ่มชีวิตครอบครัวด้วยความลำบากและยากจนพอสมควร
กว่าจะมีเงินมาลงทุนได้ก็ต้องหาเงินเพิ่มด้วยความอดทน
และยังต้องประหยัดอย่างมากเพื่อแลกกับชีวิตที่จะดีกว่าในอนาคต
รู้สึกว่าเส้นทางชีวิตคล้ายๆ กับคุณโจอยู่มาก
พอได้ติดตามเส้นทางชีวิตคุณโจที่สามารถฝ่าข้อจำกัดของชีวิต
จนประสพความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย...ด้วยความพยายามแห่งตนโดยแท้
แล้วทำให้รู้สึกทึ่ง ชื่นชม และทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะก้าวตาม
แต่เรื่องความสำเร็จในการลงทุนนี่ชาตินี้ทั้งชาติคงไม่สามารถ
สำเร็จได้เท่าผู้ที่เป็นที่สุดของแรงบันดาลใจท่านนี้หรอกค่ะ
ขอถือโอกาสขอบคุณ "คุณโจ_ลูกอิสาน"
และ Idol อีกหลายท่าน ที่ไม่สามารถเอ่ยนามถึงได้หมด
ที่มีผลต่อความสำเร็จในการลงทุนของเราทุกวันนี้
คือเหนือความคาดหมายของตนเอและครอบครัวแล้ว
ไม่ได้คาดหวังว่าวันข้างหน้าจะสามารถทำได้มากไปกว่านี้
แต่ก็จะพยายามพัฒนาตนเองไปเรื่อยและทำให้ดีที่สุดตามศักยภาพของตัวเราเองค่ะ [/quote]
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 'พอเพียง' หลักคิดลงทุน 'วราพรรณ วงศ์สารคาม'
โพสต์ที่ 4
มัวก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความถึงคุณโจ...ไม่ได้เห็นคุณโจกรุณามาให้กำลังใจค่ะลูกอิสาน เขียน:ขอบคุณพี่นุชที่ถ่ายทอดเรื่องราวครับ
สิ่งที่ดูเหมือนธรรมดาๆ แต่ทำทุกวัน ทำต่อเนื่อง ทำสม่ำเสมอ
สุดท้ายมันจะกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 'พอเพียง' หลักคิดลงทุน 'วราพรรณ วงศ์สารคาม'
โพสต์ที่ 5
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
Re: 'พอเพียง' หลักคิดลงทุน 'วราพรรณ วงศ์สารคาม'
โพสต์ที่ 9
เป็นแรงบรรดาลใจให้มนุษย์เงินเดือนหลายๆท่านได้ดีมากๆครับ
ขอบคุณที่มาแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตครับ
ขอบคุณที่มาแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตครับ
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
- vim
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2770
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 'พอเพียง' หลักคิดลงทุน 'วราพรรณ วงศ์สารคาม'
โพสต์ที่ 11
ขอบคุณพี่นุชครับ ผมเคยมีประสบการณ์ถือหุ้นยางนี้เหมือนกัน สุดท้ายก็ขายไปเพราะปัจจัยภายนอกมันเยอะมาก ต้องนั่งตามข่าวรายวัน ทั้งนโยบายรัฐบ้าง ม็อบบ้าง สินค้าทดแทนบ้าง ปวดหัว ตั้งแต่ขายหุ้นไปแล้วชีวิตเป็นสุขขึ้นเยอะครับ
Vi IMrovised
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 'พอเพียง' หลักคิดลงทุน 'วราพรรณ วงศ์สารคาม'
โพสต์ที่ 13
ตอนนั้นเข้ามาใหม่พี่ยังไม่รู้ว่าแต่ละแนวต่างกันยังไงvim เขียน:ขอบคุณพี่นุชครับ ผมเคยมีประสบการณ์ถือหุ้นยางนี้เหมือนกัน สุดท้ายก็ขายไปเพราะปัจจัยภายนอกมันเยอะมาก ต้องนั่งตามข่าวรายวัน ทั้งนโยบายรัฐบ้าง ม็อบบ้าง สินค้าทดแทนบ้าง ปวดหัว ตั้งแต่ขายหุ้นไปแล้วชีวิตเป็นสุขขึ้นเยอะครับ
คล้ายๆ "ลองผิด" หรือ "ลองถูก" ค่ะ...บังเอิญโชคดี มากกว่า
ที่มันออกมาเป็น "ถูก" ไม่ได้ใช้ความสามารถอะไรเลยค่ะ
แต่ก็พยายามทำความรู้จักกับหุ้นที่เราเข้าไปเลือก ณ ตอนนั้น
ให้มากที่สุดเท่าที่สติปัญญาของมือใหม่จะพอเข้าใจได้
ทำให้ได้รู้ว่าเป็นหุ้นกลุ่ม commodity ที่เราห้ามผูกพัน
และมันไม่เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวเลยค่ะ
เพราะมีปัจจัยภายนอกอย่างที่น้อง vim บอกเยอะมาก
และอย่างที่บอกค่ะ...ร้อนใจไม่มีความสุขไม่ใช้วิถีชีวิตที่ดีค่ะ
............................
พอเปลี่ยนมาเป็นแนว VI แล้วพบว่าสามารถลงทุนด้วยใจที่ "สงบ" ได้จริง
และสอดคล้องกับวิถีชีวิตประจำวันมากกว่า...ยั่งยืนกว่า
สอดคล้องกับหลักธรรมด้วยค่ะ "ทุกอย่างเกิดแต่เหตุ"
การลงทุนแนว VI เหมาะกับมนุษย์เงินเดือนมากกว่าแน่นอนค่ะ
เพราะเงินที่เราหามาได้ยากๆ จากการทำงานและการพยายามออม
และยิ่งมีเป้าหมายเพื่อให้เรามีปันผลพอเลี้ยงตัวหลังเกษียณ
ยิ่งไม่ควรจะนำไปเสี่ยงกับการ "ลองผิด" และ "ลองถูก" เลยค่ะ
การแน่วแน่ที่จะเดินทางตาม "เส้นทางนักลงทุนเน้นคุณค่า"
ทำให้เราได้ใช้ "เวลาอันมีค่า" ไปทำ "สิ่งที่มีคุณค่า" อื่นๆ ได้อีกมากเลยค่ะ
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 'พอเพียง' หลักคิดลงทุน 'วราพรรณ วงศ์สารคาม'
โพสต์ที่ 14
ดูจากคลิ๊ปที่ออกรายการ money talk แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะอายุ 43 ปีแล้วนะครับpakapong_u เขียน: แม่บ้านนักลงทุนวีไอวัย 43 ปี ผู้นำหลักธรรมะมาปรับใช้ในชีวิตการลงทุน เธอไม่หวังผลตอบแทน "มหาศาล" ขอแค่สมำเสมอทุกปี จากนีขอยึดหลัก "อนุรักษนิยม" เพราะนันคือ หนทางแห่ง "ความสุขใจ"
ทำให้เชื่อเลยว่า การลงทุนนำมาซึ่งความสุขใจจริงๆเลยครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
-
- Verified User
- โพสต์: 31
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 'พอเพียง' หลักคิดลงทุน 'วราพรรณ วงศ์สารคาม'
โพสต์ที่ 15
อ่านแล้วรู้สึกดี
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 'พอเพียง' หลักคิดลงทุน 'วราพรรณ วงศ์สารคาม'
โพสต์ที่ 16
อะไรสำคัญกว่า
มาขอบคุณทุกท่านมีมาให้กำลังใจด้วยภาพนี้
"พี่ฉัตร" ของพวกเรา นำมาแบ่งปัน ไว้ใน fb
ขออนุญาตนำมาแบ่งปันต่อนะคะ
คิดว่ามีประโยชน์ต่อการลงทุนด้วย
เพราะ "ความรู้" อย่างเดียวอาจไม่เกิดประโยชน์
หากเราไม่สามารถเชื่อมโยงความรู้เหล่านั้นเข้าด้วยกัน
โดยส่วนตัวชอบมากและคิดว่า
นอกจาก ประสบการณ์ แล้ว
สิ่งที่ทำให้เกิดภาพด้านขวาได้
ยังมี "จินตนาการ" "วิจารณญาณ" และอีกหลายสิ่ง
แต่ไม่ว่าจะเชื่อมโยงด้วยอะไรก็ตาม
แก่นแท้ที่ขาดไม่ได้เลยคือ "คุณธรรม,จริยธรรม" และ "หลักพุทธธรรม" ค่ะ ^_*
...................................
การปฏิบัติธรรม คือ การนำธรรมมาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ไปทำที่วัด(ตลอดเวลา) แต่คือ
การทำลงไปที่ชีวิต มีชีวิตอยู่ที่ไหน ควรมีการปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั่น
- ว.วชิรเมธี -
มาขอบคุณทุกท่านมีมาให้กำลังใจด้วยภาพนี้
"พี่ฉัตร" ของพวกเรา นำมาแบ่งปัน ไว้ใน fb
ขออนุญาตนำมาแบ่งปันต่อนะคะ
คิดว่ามีประโยชน์ต่อการลงทุนด้วย
เพราะ "ความรู้" อย่างเดียวอาจไม่เกิดประโยชน์
หากเราไม่สามารถเชื่อมโยงความรู้เหล่านั้นเข้าด้วยกัน
โดยส่วนตัวชอบมากและคิดว่า
นอกจาก ประสบการณ์ แล้ว
สิ่งที่ทำให้เกิดภาพด้านขวาได้
ยังมี "จินตนาการ" "วิจารณญาณ" และอีกหลายสิ่ง
แต่ไม่ว่าจะเชื่อมโยงด้วยอะไรก็ตาม
แก่นแท้ที่ขาดไม่ได้เลยคือ "คุณธรรม,จริยธรรม" และ "หลักพุทธธรรม" ค่ะ ^_*
...................................
การปฏิบัติธรรม คือ การนำธรรมมาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ไปทำที่วัด(ตลอดเวลา) แต่คือ
การทำลงไปที่ชีวิต มีชีวิตอยู่ที่ไหน ควรมีการปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั่น
- ว.วชิรเมธี -