หุ้นที่เราไม่มีความเข้าใจลึกซึ้ง มักไม่ค่อยทำให้เรากำไร
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 97
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้นที่เราไม่มีความเข้าใจลึกซึ้ง มักไม่ค่อยทำให้เรากำไร
โพสต์ที่ 1
ผมมีข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือ หุ้นที่เราไม่ได้เข้าใจมันอย่างลึกซึ้งจริง ๆ จะไม่ค่อยทำให้เรากำไรครับ เช่นหุ้นที่เพื่อนเราเป็นคนขุดพบก่อน แล้วมาเล่าให้เราฟัง เราก็เออออตาม สุดท้ายก็ลองซื้อเก็บไปนิดหน่อย หรือหุ้นที่เราดูแล้ว ว่าค่าต่างๆ ดูดี เช่น ROE, PE แต่เราเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่ากำไรมาจากไหน บริษัททำธุรกิจยังไงกันแน่ และมีใครเป็นคู่แข่งบ้าง มีโอกาสที่รายใหม่เข้ามาแข่งขันกันง่ายไหม และลูกค้ามีโอกาสเปลี่ยนไปใช้เจ้าอื่น หรือสินค้าทดแทนอื่นๆ แค่ไหน
หุ้นพวกนี้ ผมสังเกตดู มักจะทำกำไรให้เราน้อยเพราะ
1. เนื่องจากเราเองไม่มั่นใจ จึงมักไม่ค่อยซื้อเยอะ ทำให้เวลาที่เกิดวิเคราะห์ถูกขึ้นมา แม้หุ้นจะขึ้นไปเป็น 100% แต่มูลค่าที่เพิ่มขึ้น เทียบกับ port โดยรวมก็นิดเดียว
2. เมื่อหุ้นขึ้น เราเองก็ไม่มั่นใจว่ามันดีจริง และก็ไม่รู้ราคาที่เหมาะสมจริง ๆ ว่ามันสามารถไปได้ถึงไหนกันแน่ สุดท้ายจึงทำให้รู้สึกอยากขายเพื่อรักษากำไรที่ได้ไว้ก่อน
3. เมื่อหุ้นลง ข้อเสียที่ตอนแรกไม่เคยเห็น จะค่อย ๆ มองเห็นทันทีซึ่งบางครั้งเราอาจคิดไปเอง เช่น ผู้บริหารมีการตุกติกอะไรหรือเปล่า คู่แข่งเริ่มตีตลาดไหม ฯลฯ จนสุดท้ายแม้จะทนถือไปได้ แต่ถ้าหุ้นตกยาวนานเพียงพอ และเมื่อมันเริ่มกลับตัวขึ้น ก็มักจะทำให้อยากขายไปก่อน โดยมักขายไปก่อนจะถึงทุนเดิมด้วยซ้ำ เพราะกลัวมันจะลงซ้ำอีก
ในทางตรงข้าม ถ้าเป็นหุ้นที่เราศึกษาอย่างจริงจังและมั่นใจ หุ้นขึ้นก็ยังไม่ขาย เพราะราคาไม่ถึงเป้าหมาย หุ้นลงก็ยังมั่นใจอยู่ เพราะเข้าใจธุรกิจดี
เลยสรุปเป็นข้อสังเกตมาเล่าสู่กันฟังครับ ใครเจอประสบการณ์คล้ายๆ กันมั่ง มาเล่ากันได้ครับ
หุ้นพวกนี้ ผมสังเกตดู มักจะทำกำไรให้เราน้อยเพราะ
1. เนื่องจากเราเองไม่มั่นใจ จึงมักไม่ค่อยซื้อเยอะ ทำให้เวลาที่เกิดวิเคราะห์ถูกขึ้นมา แม้หุ้นจะขึ้นไปเป็น 100% แต่มูลค่าที่เพิ่มขึ้น เทียบกับ port โดยรวมก็นิดเดียว
2. เมื่อหุ้นขึ้น เราเองก็ไม่มั่นใจว่ามันดีจริง และก็ไม่รู้ราคาที่เหมาะสมจริง ๆ ว่ามันสามารถไปได้ถึงไหนกันแน่ สุดท้ายจึงทำให้รู้สึกอยากขายเพื่อรักษากำไรที่ได้ไว้ก่อน
3. เมื่อหุ้นลง ข้อเสียที่ตอนแรกไม่เคยเห็น จะค่อย ๆ มองเห็นทันทีซึ่งบางครั้งเราอาจคิดไปเอง เช่น ผู้บริหารมีการตุกติกอะไรหรือเปล่า คู่แข่งเริ่มตีตลาดไหม ฯลฯ จนสุดท้ายแม้จะทนถือไปได้ แต่ถ้าหุ้นตกยาวนานเพียงพอ และเมื่อมันเริ่มกลับตัวขึ้น ก็มักจะทำให้อยากขายไปก่อน โดยมักขายไปก่อนจะถึงทุนเดิมด้วยซ้ำ เพราะกลัวมันจะลงซ้ำอีก
ในทางตรงข้าม ถ้าเป็นหุ้นที่เราศึกษาอย่างจริงจังและมั่นใจ หุ้นขึ้นก็ยังไม่ขาย เพราะราคาไม่ถึงเป้าหมาย หุ้นลงก็ยังมั่นใจอยู่ เพราะเข้าใจธุรกิจดี
เลยสรุปเป็นข้อสังเกตมาเล่าสู่กันฟังครับ ใครเจอประสบการณ์คล้ายๆ กันมั่ง มาเล่ากันได้ครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
Re: หุ้นที่เราไม่มีความเข้าใจลึกซึ้ง มักไม่ค่อยทำให้เรากำไร
โพสต์ที่ 4
หุ้นที่เราไม่เข้าใจ ทำให้เราถือหุ้นด้วยความกังวล และความทุกข์
เพราะเราไม่ได้หวังที่จะเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าของกิจการ หวังเพียงกำไรระยะสั้น ไม่ได้หวังที่จะเติบโตไปพร้อมกับกิจการ
แต่ก็แก้ไขได้ คือ เมื่อเราซื้อหุ้นกิจการไหนแล้ว แม้เพียงตอนซื้อเราอาจจะเข้าใจไม่มาก แต่ก็สามารถศึกษาหาความรู้ ความเข้าใจเพิ่มมากขึ้นได้
สิ่งที่แก้ไขลำบาก ก็คือทัศนคติในการลงทุน
เพราะเราไม่ได้หวังที่จะเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าของกิจการ หวังเพียงกำไรระยะสั้น ไม่ได้หวังที่จะเติบโตไปพร้อมกับกิจการ
แต่ก็แก้ไขได้ คือ เมื่อเราซื้อหุ้นกิจการไหนแล้ว แม้เพียงตอนซื้อเราอาจจะเข้าใจไม่มาก แต่ก็สามารถศึกษาหาความรู้ ความเข้าใจเพิ่มมากขึ้นได้
สิ่งที่แก้ไขลำบาก ก็คือทัศนคติในการลงทุน
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 1426
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นที่เราไม่มีความเข้าใจลึกซึ้ง มักไม่ค่อยทำให้เรากำไร
โพสต์ที่ 5
ปัญหาใหญ่ของนักลงทุนทุกวันนี้คือ ความเข้าใจตัวธุรกิจ
น้อยคนที่จะมองธุรกิจออกได้แบบทะลุปรุโปร่ง
การศึึกษาและสภาพสังคมไทยไม่ค่อยเอื้อให้คนมีมุมมองวิเคราะห์เจาะลึกสักเท่าไหร่
ขนาดเจ้าของธุรกิจที่ทำมานับสิบปีหลายคนยังมองอนาคตกิจการตัวเองไม่ชัดเลย
จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ นักลงทุนตัวจริง ที่อยู่กับกิจการแบบเจ้าของกิจการจริง ๆ
จึงมีน้อยมากและน้อยลงทุกวัน
...........................................................................
การใช้เหตุใช้ผลเป็นสิ่งที่ช่วยผมมากที่สุดในการคัดเลือกหุ้น
เพราะมันสอนให้ผมมองหาความไม่สมเหตุสมผลในตลาด
– Peter Lynch
น้อยคนที่จะมองธุรกิจออกได้แบบทะลุปรุโปร่ง
การศึึกษาและสภาพสังคมไทยไม่ค่อยเอื้อให้คนมีมุมมองวิเคราะห์เจาะลึกสักเท่าไหร่
ขนาดเจ้าของธุรกิจที่ทำมานับสิบปีหลายคนยังมองอนาคตกิจการตัวเองไม่ชัดเลย
จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ นักลงทุนตัวจริง ที่อยู่กับกิจการแบบเจ้าของกิจการจริง ๆ
จึงมีน้อยมากและน้อยลงทุกวัน
...........................................................................
การใช้เหตุใช้ผลเป็นสิ่งที่ช่วยผมมากที่สุดในการคัดเลือกหุ้น
เพราะมันสอนให้ผมมองหาความไม่สมเหตุสมผลในตลาด
– Peter Lynch
- 6666666v
- Verified User
- โพสต์: 1089
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นที่เราไม่มีความเข้าใจลึกซึ้ง มักไม่ค่อยทำให้เรากำไร
โพสต์ที่ 6
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับถ้าเราไม่รู้จริง ไม่มีทางที่จะถือมันผ่านวิกฤได้เลย ผมเจอมาแล้ว แต่ถ้าตัวไหนมันใจและรู้จริง เจอกี่วิกฤก็ถือแบบไร้กังวลchatchai เขียน:หุ้นที่เราไม่เข้าใจ ทำให้เราถือหุ้นด้วยความกังวล และความทุกข์
เพราะเราไม่ได้หวังที่จะเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าของกิจการ หวังเพียงกำไรระยะสั้น ไม่ได้หวังที่จะเติบโตไปพร้อมกับกิจการ
แต่ก็แก้ไขได้ คือ เมื่อเราซื้อหุ้นกิจการไหนแล้ว แม้เพียงตอนซื้อเราอาจจะเข้าใจไม่มาก แต่ก็สามารถศึกษาหาความรู้ ความเข้าใจเพิ่มมากขึ้นได้
สิ่งที่แก้ไขลำบาก ก็คือทัศนคติในการลงทุน
I Like To Invest.
-
- Verified User
- โพสต์: 428
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นที่เราไม่มีความเข้าใจลึกซึ้ง มักไม่ค่อยทำให้เรากำไร
โพสต์ที่ 9
ความเข้าใจลึกซึ้งต่อหุ้น(ธุรกิจ) เป็นสิ่งแรกๆที่เราต้องทำก่อนซื้อหุ้น
การเข้าใจธุรกิจนั้นจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องยาก
ใช้เวลาศึกษาไม่นาน ในเรื่องโมเดลธุรกิจ
HMPRO CPALL GLOBALL OFM AUCT STA SYNEX SIS SAT STANLY
SCB KBANK BBL BKI SCBLIF BLA Major CPN Mint ฯลฯ
ผมว่าทุกคนเข้าใจ ว่าหุ้นเหล่านี้ ทำอะไร อย่างไร เป็นอย่างดี
สิ่งที่อยากจริงๆ คือ ในอนาคต มันจะเป็นอย่างไร
แม้เราจะเข้าใจหุ้นนั้นเป็นอย่างดี เราก็ยังเดาอนาคตไม่ออก
บางคนแก้ปัญหานี้โดย ดูหุ้นประเภทเดียวกันจาก USA JAPAN UK ฯลฯ
สิ่งที่มีผลกระทบกับธุรกิจ มี 3 เรื่องหลักๆ คือ
1. ตัวธุรกิจเอง 2.คู่แข่งของธุรกิจนั้นๆ และ 3.สินค้าใหม่ที่มาทดแทน
ข้อ 1. 2. เราก็ยังพอจินตนาการได้ อาจจะแก้ปัญหาโดยซื้อ ทั้ง ตัวธุรกิจนั้น และ คู่แข๋งของธุรกิจนั้น
หรือ ซื้อ ธรกิจตัวที่มี ตัววัดที่ดี่สุด เช่น PE PB ต่ำสุดเป็นต้น
สิ่งที่อันตรายที่สุด คือ ข้อ 3. สินค้าใหม่ที่มาทดแทน
เช่น กล้องฟิล์ม เจ้งเพราะกล้องดิจิตอล กล้องดิจิตอลเจ้งเพราะ สมาร์ทโฟน
PC เจ้ง เพราะ Note Book , Note Book เจ้ง เพราะ Smart Fone และ TABLET
สิ่งพิมพ์ จะถูกแทนที่ ด้วย สื่ออีเล็คโทรนิค
ตอนแรก มีคนเข้าใจว่า Palm จะมาแย่งตลาด Note Book แต่ก็ไม่ใช่
สินค้าและบริการ ที่จะมาแทน สินค้า และบริการเก่า เป็นเรื่องที่ยากมาก ที่ใครจะดูออก
ส่วนมากเราจะรู้ก็ต่อเมื่อ มันเกิดจนเห็นชัดแล้ว
ดังนั้น แม้ เรา จะเข้าใจธุรกิจที่เราลงทุนเป็นอย่างดี
ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเราจะไม่เจ้งจนหมดตัว หรือเกือบหมดตัว
สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ กระจายความเสี่ยง
ถือหุ้นให้ได้ 6-10 ตัว (ขึ้นอยู่กับขนาดของพอร์ต)
ยิ่งมั่นใจ ในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมากเท่าไร ก็ยิ่งเจ็บตัวมากเท่านั้น
เมื่อ 10ปีก่อนนั้นใครจะรู้ว่า Kodak จะเจ้ง
การเข้าใจธุรกิจนั้นจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องยาก
ใช้เวลาศึกษาไม่นาน ในเรื่องโมเดลธุรกิจ
HMPRO CPALL GLOBALL OFM AUCT STA SYNEX SIS SAT STANLY
SCB KBANK BBL BKI SCBLIF BLA Major CPN Mint ฯลฯ
ผมว่าทุกคนเข้าใจ ว่าหุ้นเหล่านี้ ทำอะไร อย่างไร เป็นอย่างดี
สิ่งที่อยากจริงๆ คือ ในอนาคต มันจะเป็นอย่างไร
แม้เราจะเข้าใจหุ้นนั้นเป็นอย่างดี เราก็ยังเดาอนาคตไม่ออก
บางคนแก้ปัญหานี้โดย ดูหุ้นประเภทเดียวกันจาก USA JAPAN UK ฯลฯ
สิ่งที่มีผลกระทบกับธุรกิจ มี 3 เรื่องหลักๆ คือ
1. ตัวธุรกิจเอง 2.คู่แข่งของธุรกิจนั้นๆ และ 3.สินค้าใหม่ที่มาทดแทน
ข้อ 1. 2. เราก็ยังพอจินตนาการได้ อาจจะแก้ปัญหาโดยซื้อ ทั้ง ตัวธุรกิจนั้น และ คู่แข๋งของธุรกิจนั้น
หรือ ซื้อ ธรกิจตัวที่มี ตัววัดที่ดี่สุด เช่น PE PB ต่ำสุดเป็นต้น
สิ่งที่อันตรายที่สุด คือ ข้อ 3. สินค้าใหม่ที่มาทดแทน
เช่น กล้องฟิล์ม เจ้งเพราะกล้องดิจิตอล กล้องดิจิตอลเจ้งเพราะ สมาร์ทโฟน
PC เจ้ง เพราะ Note Book , Note Book เจ้ง เพราะ Smart Fone และ TABLET
สิ่งพิมพ์ จะถูกแทนที่ ด้วย สื่ออีเล็คโทรนิค
ตอนแรก มีคนเข้าใจว่า Palm จะมาแย่งตลาด Note Book แต่ก็ไม่ใช่
สินค้าและบริการ ที่จะมาแทน สินค้า และบริการเก่า เป็นเรื่องที่ยากมาก ที่ใครจะดูออก
ส่วนมากเราจะรู้ก็ต่อเมื่อ มันเกิดจนเห็นชัดแล้ว
ดังนั้น แม้ เรา จะเข้าใจธุรกิจที่เราลงทุนเป็นอย่างดี
ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเราจะไม่เจ้งจนหมดตัว หรือเกือบหมดตัว
สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ กระจายความเสี่ยง
ถือหุ้นให้ได้ 6-10 ตัว (ขึ้นอยู่กับขนาดของพอร์ต)
ยิ่งมั่นใจ ในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมากเท่าไร ก็ยิ่งเจ็บตัวมากเท่านั้น
เมื่อ 10ปีก่อนนั้นใครจะรู้ว่า Kodak จะเจ้ง