เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 123
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 451
.......เทศน์หลวงปู่เมือง วัดป่ามัชฌิมาวาส กาฬสินธุ์ ......มาฝากครับ..
เทศน์วันพระที่28กพ57 " วัดป่ามัชฌิมาวาสแรกทีเดียวก็เป็นป่าช้านั้นเอง เป็นสุสานของหลายหมู่บ้านคือมาเผากันที่นี่ ฝังกันที่นี่ไม่ว่าจะตายแบบไหน เด็กผู้ใหญ่ผู้หญิงผู้ชายก็เอามาที่แห่งนี้ เดิมจริงๆเขาเรียกว่าดอนม่วงเพราะมีต้นม่วงป่า มะม่วงป่า
ตอนที่อาตมามาอยู่ใหม่ๆก็มีหลงเหลืออยู่บ้าง ด้วยความโง่ของอาตมาเองไปโค่นลงมาแล้วเอามาเลื่อยมาทำโน่นทำนี่ในวัดนี่แหละ เพราะมันหมดไม้ที่จะมาทำเสนาสนะอะไรต่างๆอาศัยไม้มะม่วง แต่มันคงจะเหลือน้อยแล้วแหละในช่วงอาตมามาอยู่ที่นี่ แต่เมื่อก่อนต้นม่วงใหญ่มาก เรียกว่าดอนม่วง
และผืนดินแห่งนี้ก็เป็นทำเลที่ชุมชนแถวนี้หละมาหาอยู่หากิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่อไม้ หน่อไม้ไผ่ป่าจะขึ้นเยอะเลยแวนี้ แล้วก็ประกอบด้วยไม้สมุนไพรต่างๆก็มีอยู่ที่นี่ จำได้เขามาหาขุดหาตัดเอาพวกที่จะเอาไปทำพวกแป้ง แป้งอะไรรู้ไหม?แป้งที่เขาจะเอาไปทำเหล้าทำสุรา นั่นหละ เขามาหาเอาสมุนไพรแถวนี้แหละ ไปโขลกไปตำไปผสมส่วนเอาไปหมักไปดอง เป็นข้าวหมากข้าวหวานทำสาโทอะไรพวกนี้
และมีอยู่ประการหนึ่งที่พอจะเป็นสิ่งช่วยให้พระเจ้าพระสงฆ์ท่านอยู่ได้อย่างสงบ ก็คือพวกที่ตายไปนั่นแหละ ตายแล้วไม่ไปนี่ไหนมาที่นี่ เออ ก็แปลกเหมือนกันมนุษย์เรากลัวความตายแล้วยังไม่พอแล้วก็ยังมากลัวคนตายอีก เพราะฉะนั้นคนตายจึงมีประโยชน์อยู่เกี่ยวกับเรื่องการรักษาธรรมชาติ เช่นต้นไม้เป็นต้น คนจะมาดักตัดต้นไม้ก็กลัวผีกลัวคนตาย นี่
เพราะฉะนั้นพระกรรมฐานเวลาท่านเที่ยวจาริกเพื่อหาสถานที่ปฏิบัติธรรม ท่านจึงยังจะมุ่งหน้าไปอยู่ตามป่าช้า ตามดอนปู่ตา หรือที่ตรงไหนที่เขามีข่าวเล่ารือว่าตรงนั้นผีมันดุมมันเหี้ยน ตรงนั้นมันหรอกคน เวลาพระธุดงค์กรรมฐานไปอยู่อยู่ไม่ค่อยจะได้ อะไรอย่างนี้
พระกรรมฐานท่านชอบในสถานที่เงียบสงัดแล้วท่านก็เป็นผู้มีน้ำใจที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญด้วย เพราะการออกมาบวชของท่านเหล่านั้นนะ ท่านออกมาบวชด้วยศรัทธา ถ้าพูดแบบภาษาชาวบ้านก็เรียกว่ามีความสมัครใจ มีความพอใจในทางนี้ถึงได้ออกมาบวชแล้วก็ได้ไปหาอยู่ในสถานที่อย่างที่ว่า แม้แต่ตามถ้ำตามเขา ถ้ำเขาธรรมดาก็ยังไม่อยู่เสียด้วยบางองค์ ท่านมีน้ำใจที่รียกว่า ชอบฝ่าฟันหรือโชกโชนเกี่ยวกับเรื่อง อันตรายต่างๆท้าทาย เพราะท่านมีน้ำใจกล้าหาญ ชอบไปอยู่ในถ้ำในเขาตรงที่มีเจ้าที่เจ้าทางที่เรียกว่า มีผีดุเฝ้าถ้ำอยู่ บางแห่งก็ว่ามีงูเหลิมใหญ่อยู่ บางถ้ำก็ว่ามีเสืออยู่อย่างนี้ จะชอบไปอยู่อย่างนั้น เอ ท่านทำไมท่านชอบไปอยู่สถานที่อย่างนั้น
พวกโยมเราลองพิจารณาดูสิ ใครบ้างเกิดมาไม่กลัวความตาย ท่านเหล่านั้นก็กลัวเหมือนกันแต่ท่านเชื่อธรรมท่านเชื่อกรรม เชื่อธรรมและเชื่อกรรม ได้แก่เชื่อคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นเอง เชื่อกรรมว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว
ตั้งแต่ท่านเกิดมา ท่านก็คงพิจารณาได้ว่าศีลของท่านบริสุทธิ์ไม่เคยเบียดเบียนกันไม่เคยฆ่าใครข่มเหงใคร ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่มี เรียกว่าไม่ได้ก่อกรรมทำเข็ญกับใครแม้จะไปอยู่ท่ามกลางสัตว์ร้ายอะไรต่างๆเหล่านั้นมันก็คงจะไม่ทำลาย ท่านเชื่อกรรมว่าท่านไม่ได้สร้างกรรมเหล่านั้น ท่านก็มีน้ำใจเรียกว่ากล้าหาญอดทน ตั้งอกตั้งใจบำเพ็ญภาวนาก็ได้ผลได้เป็นที่ประจักษ์ในใจของท่าน ชอบไปอยู่ในสถานที่เปล่าเปลี่ยวเงียบสงัด ประชาชนหรือผู้คนทั่วไปไม่กล้าไปเพ่นพล่านหรือไปแสวงหาอยู่หากินอะไรต่างๆในสถานที่เหล่านั้นเพราะความเกรงกลัวต่อสิ่งที่ลึกลับที่เราเชื่อ ภูตภีปีศาจ ตลอดจนถึงสัตว์ร้ายอะไรต่างๆเหล่านี้ แต่พระกรรมฐานเหล่านี้นอกจากท่านเชื่อกรรมเชื่อธรรมแล้วท่านก็อยู่ด้วยเมตตาธรรมด้วย เออพวกเรากลัวเราเกลียดถ้าพอจะจัดการได้ท่านก็คงจะจัดการ แต่นั่นท่านไม่ทำอะไรเลย อะไรไปเมตตาแม้กระทั่งงูเห่าเมตตากระทั่งเสือตัวที่มีพิษร้ายดุร้ายท่านก็ยังมีเมตตา นั่นเป็นแสดงถึงน้ำใจว่าท่านเป็นผู้มีเมตตาจริงๆ เมตตาบริสุทธิ์จริงๆ อย่างพระพุทธเจ้าตรัสให้บรรดาสาวกทั้งหลายฟังว่า น้ำใจของพระพุทธเจ้าระหว่างพระเทวฑัตกับพระราหุลท่านก็มีจิตใจพอๆกันหรือว่าเหมือนๆกันไม่ได้รักไม่ได้เกลียดใครเหมือนกัน เป็นอย่างงั้นน้ำใจของพระอริยเจ้าหรือพระผู้ท่านแสวงหาธรรม
นี่วัดป่ามัชฌิมาวาสก็เช่นเดียวกัน ที่พระกรรมฐานท่านมาอยู่ครั้งแรก ท่านก็เห็นว่าเป็นสถานที่เปล่าเปลี่ยวห่างจากฝูงชนไม่มีใครมามีสิ่งใดมารบกวนในเวลาภาวนา นั่นหมายถึงสมัยนั่นแล้วก็เป็นป่าธรรมชาติเสียด้วย พระกรรมฐานท่านแสวงหาที่ภาวนาหนึ่ง อันนี้สองท่านแสวงหาครูบาอาจารย์ อันสำคัญที่สามคือท่านแสวงกาธรรมะ ธรรมะที่ว่าคือแสวงหาความหลุดพ้นนั้นเอง หลุดพ้นจากกิเลส ถ้าสามารถหลุดพ้นจากกิเลสได้ก็สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์ได้ ตอนที่เราสวดในรตนัตตยัปปภาวสิทธิคาถา" อิมัส สะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิริยายะ สังวัตตะตู" ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้หลุดพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ทั้งมวลเถิด ท่านว่า ถ้าสามารถเอาชนะกิเลสได้ก็สามารถหลุดพ้นกองทุกข์ทั้งมวล ไม่ว่าจะเป็นชาติปิทุกขา ชราปิติทุกขา พยาธิปิทุกขา มรณัมปิทุกขัง แม้สิ่งเหล่านี้จะมีในตัวของท่านหรือแม้สิ่งเหล่านี้จะมีอยู่ในสิ่งสรรพสัตว์ทั้งหลายโดยทั่วหน้ากันโดยไม่ยกเว้นใครเลยก็ตาม แต่ความทุกข์เหล่านั้นหาเสียดแทงหรือเกิดขึ้นในจิตใจของท่านไม่ เพราะท่านเป็นผู้หลุดพ้นจากกิเลสแล้ว ความโลภก็ไม่มีความโกรธก็ไม่มีความหลงก็ไม่มี ราคะโทสะโมหะก็ไม่มีในใจแล้ว เมื่อไม่มีเหตุแห่งทุกข์ทุกข์มันก็ไม่เกิดขึ้นเพราะมันปราศจากเหตุ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องอาศัยเหตุปัจจัยมันถึงจะเกิดขึ้น
ที่สถานที่บำเพ็ญธรรมก็ถือว่าเป็นนี่สำคัญเหมือนกัน เป็นสิ่งสำคัญเหมือนกัน เช่นอย่างญาติโยมมาวัดกันวันนี้ ก็ได้สถานที่อันสมควรแก่การนั่งภาวนาหรือสมควรแกการปฏิบัติธรรมแล้ว เพราะทุกคนมุ่งหน้ามาที่นี่จุดหมายก็คือต้องการบุญต้องการกุศลหรือต้องการความสงบ พูดง่ายๆคือจุดหมายเป็นอันเดียวกัน เมื่อมีจุดกมายอันเดียวกันพอมาถึงสถานที่แห่งนี้ ต่างคนก็ตั้งอกตั้งใจเข้าอกเข้าใจจุดหมายที่ตนเองปรารถนา ก็ไม่ต้องบอกต้องเตือนะไรกันมาก เงียบๆนะอย่าพูดอย่าคุยกันก็ไม่ต้องบอก เพราะทุกคนรู้จุดหมายที่ตัวเองมามาเพื่อประสงค์อะไร
เพราะฉะนั้นสถานที่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่จะเอื้ออำนวยในการประพฤติปฏิบัติ เราจะเห็นได้จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนที่พระองค์ทรงผนวชใหม่จาริกแสวงหาครูอาจารย์ แสวงหาสถานที่บำเพ็ญธรรม และในที่สุดพระองค์ก็แสวงหาธรรม พระองค์ก็ได้ดังความประสงค์จำนงค์หมายทุกประการ หนึ่งสถานที่ สองผู้ที่เป็นครูเป็นอาจารย์ สามธรรมะที่ตนเองใฝ่่แสวงหานั้น ซึ่งเป็นครูเป็นอาจารย์เป็นสรณะอย่างแท้จริง อันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากประการที่สาม แต่ถึงอย่างไงก็แล้วแต่ก็จะต้องมีสองอย่างเอื้ออำนวยด้วยถึงจะได้อย่างที่สาม นอกจากผู้ที่ได้รับสั่งสมบุญบารมีมามาก ท่านก็จะสามารถจะบรรลุของท่านได้อย่างพระสาวกบางองค์ เพียงแต่ยกธรรมข้อใดข้อหนึ่งหมวดใดหมวดหนึ่งสั้นๆขึ้นมาพิจารณาเท่านั้นเเหละเหมือนหนึ่งว่าได้รับประทานอาหารทิพย์ อาหารทิพย์นิดเดียวเท่านั้นแหละ สร้างความเอิบอิ่มขึ้นมาทั้งกายทั้งใจได้ มันเป็นของทิพย์ ไม่ต้องใช้เวลาให้สิ้นเปลืองเหมือนอย่างกวลิงการาหาร อย่างอาหารที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวันโอย๋!กว่าจะเสร็จได้ต้องใช้เวลา อาหารทิพย์นิดเดียว เท่านั้นหละ
ธรรมะที่เกิดขึ้นในจิตในใจเสมือนว่าเป็นอาหารทิพย์ สิ่งอันเป็นทิพย์เหมือนกัน กว่าสิ่งอันเป็นทิพย์จะเกิดขึ้นได้เราก็ต้องสร้างสม ต้องพยายามเพิ่มเติมคุณงามความดีเพิ่มให้มากขึ้นๆ เหมือนการหาทรัพย์นี้แหละ เราก็อยากให้มีรายได้มากขึ้นๆ อย่างเขาทำงานบริษัทหรือทำงานราชการอยู่กระทรวงทะบวงกรมไหนก็แล้วแต่ ทุกคนก็ต้องการให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้นๆ อย่างเราจะได้ยินเขาคุยกันว่าได้กี่ขั้นๆอย่างนั้นแหละ
การประพฤติปฏิบัติธรรมนี้ก็เหมือนกันก็พยายามเพิ่มให้มันมากขึ้นๆคุณงามความดี อันคุณงามความดีหรือธรรมะที่เกิดขึ้นกับผู้ประพฤติปฏบัตินั้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วเราจะเกิดความภาคภูมิใจขนาดไหน จะเกิดปิติขนาดไหน จะเกิดความสุขขนาดไหน จะมีความมั่นอกมั่นใจแน่ใจว่าปฏิปทาเครื่องดำเนินของพวกเรานี้ จะสามารถให้พวกเราพ้นจากกิเลสหรือพ้นจากกองทุกข์ได้จริงๆเราก็จะรู้ประจักด้วยใจของเราเอง เพราะเราได้สั่งสมทุกวัน มีผลรายได้เกิดขึ้นเพิ่มมากขึ้นๆทุกวันๆ กำลังทางด้านจิตใจก็เข้มแข็งมากขึ้นทุกวันๆ แม้จะมีอารมณ์หรือสิ่งมากระทบกระทั่งจิต จิตก็ไม่มีกำลังใจตกกำลังใจไม่ตกเพราะกำลังใจดีสืบเนื่องมาจากธรรมะที่เราสั่งสมให้เพิ่มขึ้นทุกวันๆ จึงสามารถต้านทานกิเลสและอารมณ์หรือเรื่องอะไรต่างๆที่เกิดขึ้นจึงไม่สามารถที่จะทำใหกำลังใจตกได้ กำลังก็จะดีอยู่อย่างนั้น เมื่อกำลังใจดีอยู่พึงหวังได้ว่า สักวันหนึ่งธรรมะอันเป็นเครื่องพ้นทุกข์ก็จะเกิดขึ้นกับเราผู้ประพฤติปฏิบัติได้อย่างแน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย
เมื่อก่อนมันเป็นดอนม่วงเป็นที่เขาเอาผีมาฝังมาเผาที่นี่ แต่ในทางกลับกันแปลกมาก พระกรรมฐานท่านถือว่าเป็นสถานที่มงคลแต่ว่าชาวโลกถ้าเห็นเกี่ยวกับเรื่องคนตายก็ถือว่าไม่ค่อยจะชอบหรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นอัปมงคล ยิ่งเป็นสถานที่อย่างที่ว่าเป็นสุสานเป็นป่าช้า เป็นที่ทิ้งคนตายเผาคนตายฝังคนตายยิ่งถือว่าเป็นสถานที่ไม่เหมาะไม่ควรที่เข้าไปเรียกว่าเป็นอัปมงคล แต่พระกรรมฐานไม่เป็นเช่นนั้นย่ิงตายห่าตายโหงท่านยิ่งชอบ เพราะธรรมะเด็ดมันจะได้เกิดขึ้น ตายแบบธรรมดาๆภาวนาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถ้าตายปัจจุบันตายอย่างที่พูดมาแล้วนะ โอ้โหอันนี้จะได้ธรรมะเข้มข้น มันเป็นอย่างนั้นจริงๆการประพฤติปฏิบัติ
อาตมาเคยนุ่งผ้าบังสกุลจริงๆ ผ้าห่อศพผ้าพันศพที่เปื้อนเลือดนี่ มีคนเอามาถวายเป็นผ้าด้ายดิบแล้วก็มาทำเป็นผ้าอาบน้ำผืนใหญ่ด้วยไปซักแล้วมันก็ไม่ค่อยจะออกด้วยเลือด แต่ว่าสีกรักสีแก่นขนุนย้อมทับไปก็พอลบสีไปได้บ้าง แต่ก็มีความฝังใจอยู่ว่าผ้าผืนที่เรานุ่งมันเป็นผ้าพันศพผ้าห่อศพผ้าผีตายโหง มันจะฝังใจมันจะไม่ลืมเลย วันนั้นเดินจงกรมอยู่นึกถึงผ้าที่ตัวนุ่งอยู่ได้ โอ้โห!สติตั้งไว้ให้มั่นเลยทีนี้ เพราะมันจะปรุงไปถึงคนที่เป็นเจ้าของผ้าที่ถูกพันเอาไว้ตอนที่เขาสิ้นใจนั่นแหละ มันจะนึกภาพจะจิตนาการไป ก็เลยได้สติ เข้าใจโอ้นี่เองพระพุทธเจ้าจึงสอนให้พระให้นิยมผ้าบังสุกุล มันจะได้เตือนสติจะได้เฝ้าระมัดระวังจิตใจของตัวเองโดยไม่ประมาท ถ้าหากว่าไม่มีอะไรมาแสดงมาสกิดอย่างนี้ใจมันจะเผลอจะปล่อยใจมันจะเคลิ้มจะคิดไปตามอารมณ์อะไรต่างๆ เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ที่จะช่วยเตือนจิตเตือนใจให้ได้ประพฤติปฏิบัติ ที่จะให้ได้ปัญญาขึ้นมาในการที่จะแก้จิตแก้ใจในการแก้ความผิดออกจากใจ
ตายธรรมดาๆนั่งภาวนาไม่ค่อยสู้จะดีเท่าไหร่ถึงแม้ว่าจะได้ แต่ว่าถ้าตายแบบอะไรที่เรียกว่าตายท้องกลมเหรอ ออกลูกตายนะ บ้านเราเรียกว่าตายกลม แถวนี้เรียกตายโหง ฟังชื่อก็น่ากลัว ก็วาดภาพขึ้นมาผีมีแต่ตัวดุๆร้ายๆทั้งนั้น ถ้าตายห่าตายโหงไม่ใช่เป็นผีธรรมดา ถ้าเป็นโจรผู้ร้ายก็เรียกว่าโอ้โหย!ไม่ปรานีใครเลย นอกจากชิงทรัพย์แล้วฆ่าเจ้าของทรัพย์ด้วย อ้ายพวกผีตายห่าตายโหงนี่ความรู้สึกในใจของคนจะเป็นอย่างนั้น
ที่นี้พระกรรมฐานท่านเป็นผู้แสวงหาสัจธรรมแสวงหาความจริงท่านจะค้นท่านจะคิด ท่านจะพินิจพิจารณากรั่นกรองให้ได้ความดี ให้ได้ธรรมะเด็ดๆจากสิ่งที่ท่านคิดพิจารณานั่นหละมันเป็นอย่างนั้น ซึ่งโลกทั้งหลายคิดว่ามันเป็นอัปมงคล ไม่ดีตายแล้วต้องเอาเขาพระไปสวดถอด ไปผูกคอตายที่ตรงไหนฟ้าผ่าตายที่ตรงไหน ฆ่ากันตายที่ตรงไหนก็มานิมนต์พระไปสวดถอด แต่พระกรรมฐานตรงกันข้าม ท่านชอบไปนั่งภาวนาในที่เช่นนั้นแหละ มันจะได้วัดดูจิตใจของตัวเอง มีน้ำใจอดทนเด็ดเดี่ยวกล้าหาญชาญชัยไหม มีพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์เต็มองค์หรือยังอยู่ในใจนั่นนะ มันเป็นอย่างนั้นการประพฤติปฏิบัติจะต้องมีอุบายหาข้อมาเปรียบมาเทียบมาพินิจพิจารณาเพื่อให้เกิดปัญญา เป็นอย่างนั้น
พวกเราเวลามาวัดเช่นนี้ก็ถือว่าเราได้โอกาสอันสมควรแล้วเพราะเป็นสถานที่ที่เอื้ออำนวย ในขณะเดียวกันได้ฟังธรรมะด้วย ธรรมะที่พระเจ้าพระสงฆ์ท่านเทศน์โปรดเราก็ใช่ว่าท่านเป็นบุคคลพิเศษหรือท่านมีความรู้วิเศษมาจากไหน ท่านก็นั่งภาวนานี่เองหละ ก็คนชาวบ้านธรรมดาๆมาบวชแต่มาคิดมาค้นมาพิจารณาและก็มานำความจริงเหล่านี้มาเล่าให้ฟัง เมื่อพวกโยมได้ฟังสิ่งหล่านี้แล้วใจที่มันเคยมืดเคยบอด เคยลุ่มหลงมัวเมา เมื่อไปพบกับธรรมะ ธรรมะเปรียบเสมือนแสงสว่างใจจะได้สว่างออกมันจะออกจากที่มืด ออกจากที่อันมืดมัวให้มันสว่าง เมื่อจิตใจสว่างแล้วจะมองเห็นความจริง มองเห็นดีเห็นชั่วมองเห็นบาปมองเห็นบุญ มองเห็นทางไปนรกทางไปสวรรค์ทางไปพระนิพพาน เกี่ยวกับเรื่องสถานเกี่ยวกับเรื่องการฟังธรรมะ
เกี่ยวกับเรื่องนั่งสมาธิภาวนาก็เหมือนกัน เรื่องภาวนาพวกเราพูดก็พูดเถอะ อย่างว่าแต่พวกญาติโยมแม้แต่กระทัังพระก็ยังต้องอนุบาลอยู่เลย เรื่องนั่งภาวนาถ้าพระองค์ไหนยังไม่มีหลักใจ ใจมันหวั่นไหวนะ มันเสื่อมได้ ถ้ามีหลักจิตหลักใจมีที่ยึดเหนี่ยวอย่างแข็งแล้ว พุทธะธรรมะมีอยู่ในใจของท่าน ทำจิตใจของท่านให้เด็ดเดี่ยว ท่านมีที่พึ่ง ธรรมะเป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยว ทำจิตใจให้มีความเข้มแข็ง แม้กิเลสและอารมณ์อะไรเกิดขึ้นสติท่านดีเพราะธรรมะนั่นแหละ ที่สร้างขึ้นทุกวันๆเพิ่มมากขึ้นทุกวันๆมันก็เข้มแข็งมันก็ต้านทานได้
ที่นี้พวกเราโอกาสเวลาที่จะให้กับตัวเองเกี่ยวกับการภาวนามันน้อยเหลือเกิน เวลาเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจำเป็นจะต้องพึ่งธรรมะในใจจะทำอย่างไร จะเอาธรรมะที่ไหนเป็นที่พึ่งหากเราไม่สั่งสมเอาไว้แต่เวลานี้ การสั่งสมธรรมะให้เกิดให้มีขึ้นก็คล้ายกับการสั่งสมทรัพย์สมบัติเงินทองนั่นเอง เวลาปกติเราก็ต้องได้ใช้จ่ายอยู่แล้วถ้าย่ิงมีความจำเป็นพิิเศษเกิดขึ้นย่ิงมีความจำเป็นใช้จ่ายเงินทองเหล่านั้น
ธรรมะนี้ก็เช่นเดียวกับเวลาปกติก็ได้ใช้เช่นกัน เวลามีเหตุการณ์เกิดขึ้นที่มันหนักๆ จำเป็นยิางต้องใช้ธรรมะ อย่างมาก เหมือนภายนอกเมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเช่นอุบัติเหตุยิ่งจำเป็นต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก จะต้องเลือกโรงพยาบาลที่ดีๆหยูกยาที่ดีๆหมอที่ดีๆ อันนี้ก็เหมือนกัน เวลาความจำเป็นเกิดขึ้นกับชีวิตของตัวเองโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความแก่ความเจ็บความตายนี่แหละ แล้วจะเอาธรรมะที่ไหนเอาอริยทรัพย์ที่ไหนมาช่วยตัวเองได้ ที่จะให้โรคาพยาธิความทุกข์ความเจ็บทางด้านจิตใจมันเบาบางลงไป อันนี้เป็นสิ่งสำคัญมากต้องพิจารณา
นี่! ดีใจกับญาติโยมชาวพุทธเราเวลาจะปลูกบ้านเขาเขียนแบบเขียนแปลน เช่นจะมีห้องพระ มี้ห้องพระไม่ใช่ว่ามีไว้ประดับเฉยๆ ให้พากันใส่ใจ อย่างน้อยที่สุดสักวันพระหนึ่งให้ได้มีโอกาสที่จะเข้าไปกราบพระไหว้พระสวดมนต์อะไรต่างๆว่ามีลูกมีเต้าก็บอกเขาอบรมเขาชี้แจงให้เขาเข้าอกเข้าใจ ที่พึ่งของมนุษย์เรา ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ที่พึ่งภายนอกเรือนชานบ้านช่องการงานภายนอกเท่านั้น ที่พึ่งภายในก็จะต้องมีเหมือนกัน
เวลามีเหตุการณ์เรื่องราวอะไรเกิดขึ้นจิตใจมันต้องแสวงหาที่พึ่ง ถ้าไม่มีที่พึ่งภายในแล้วกำลังใจตกแม้จะมีเงินมีทอง มีคนให้คำปรึกษาอย่างไงก็แล้วแต่ ถ้ายังขาดหลักธรรมะอยู่ใจของเรามันไม่มีกำลังที่จะไปต้านทานเรื่องราวเหตุการณ์เหล่านั้น มันเป็นอย่างนั้น เมื่อกำลังใจตกใจอ่อนแอความทุกข์มันก็เกิดขึ้นเรียกว่าโรคทางใจ โรคร้ายเสียด้วยเวลาเหตุการณ์หนักๆเป็นโรคร้ายเกิดขึ้นในใจและมีความทุกข์มาก ยถา...ฯ "
เทศนาธรรมหลวงปู่เมือง พลวัฑโฒ วันพระ28กพ57(ก่อนจังหัน)
ท่านสามารถฟังเสียงเทศน์ได้ทาง
Facebook; และ youtube ;
1 )พุทธบูชา คลินิก
2)วัดป่ามัชฌิมาวาส กาฬสินธุ์
3) บ้านใต้ร่มพระโพธิญาณ กรุงเทพกรีฑา
เทศน์วันพระที่28กพ57 " วัดป่ามัชฌิมาวาสแรกทีเดียวก็เป็นป่าช้านั้นเอง เป็นสุสานของหลายหมู่บ้านคือมาเผากันที่นี่ ฝังกันที่นี่ไม่ว่าจะตายแบบไหน เด็กผู้ใหญ่ผู้หญิงผู้ชายก็เอามาที่แห่งนี้ เดิมจริงๆเขาเรียกว่าดอนม่วงเพราะมีต้นม่วงป่า มะม่วงป่า
ตอนที่อาตมามาอยู่ใหม่ๆก็มีหลงเหลืออยู่บ้าง ด้วยความโง่ของอาตมาเองไปโค่นลงมาแล้วเอามาเลื่อยมาทำโน่นทำนี่ในวัดนี่แหละ เพราะมันหมดไม้ที่จะมาทำเสนาสนะอะไรต่างๆอาศัยไม้มะม่วง แต่มันคงจะเหลือน้อยแล้วแหละในช่วงอาตมามาอยู่ที่นี่ แต่เมื่อก่อนต้นม่วงใหญ่มาก เรียกว่าดอนม่วง
และผืนดินแห่งนี้ก็เป็นทำเลที่ชุมชนแถวนี้หละมาหาอยู่หากิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่อไม้ หน่อไม้ไผ่ป่าจะขึ้นเยอะเลยแวนี้ แล้วก็ประกอบด้วยไม้สมุนไพรต่างๆก็มีอยู่ที่นี่ จำได้เขามาหาขุดหาตัดเอาพวกที่จะเอาไปทำพวกแป้ง แป้งอะไรรู้ไหม?แป้งที่เขาจะเอาไปทำเหล้าทำสุรา นั่นหละ เขามาหาเอาสมุนไพรแถวนี้แหละ ไปโขลกไปตำไปผสมส่วนเอาไปหมักไปดอง เป็นข้าวหมากข้าวหวานทำสาโทอะไรพวกนี้
และมีอยู่ประการหนึ่งที่พอจะเป็นสิ่งช่วยให้พระเจ้าพระสงฆ์ท่านอยู่ได้อย่างสงบ ก็คือพวกที่ตายไปนั่นแหละ ตายแล้วไม่ไปนี่ไหนมาที่นี่ เออ ก็แปลกเหมือนกันมนุษย์เรากลัวความตายแล้วยังไม่พอแล้วก็ยังมากลัวคนตายอีก เพราะฉะนั้นคนตายจึงมีประโยชน์อยู่เกี่ยวกับเรื่องการรักษาธรรมชาติ เช่นต้นไม้เป็นต้น คนจะมาดักตัดต้นไม้ก็กลัวผีกลัวคนตาย นี่
เพราะฉะนั้นพระกรรมฐานเวลาท่านเที่ยวจาริกเพื่อหาสถานที่ปฏิบัติธรรม ท่านจึงยังจะมุ่งหน้าไปอยู่ตามป่าช้า ตามดอนปู่ตา หรือที่ตรงไหนที่เขามีข่าวเล่ารือว่าตรงนั้นผีมันดุมมันเหี้ยน ตรงนั้นมันหรอกคน เวลาพระธุดงค์กรรมฐานไปอยู่อยู่ไม่ค่อยจะได้ อะไรอย่างนี้
พระกรรมฐานท่านชอบในสถานที่เงียบสงัดแล้วท่านก็เป็นผู้มีน้ำใจที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญด้วย เพราะการออกมาบวชของท่านเหล่านั้นนะ ท่านออกมาบวชด้วยศรัทธา ถ้าพูดแบบภาษาชาวบ้านก็เรียกว่ามีความสมัครใจ มีความพอใจในทางนี้ถึงได้ออกมาบวชแล้วก็ได้ไปหาอยู่ในสถานที่อย่างที่ว่า แม้แต่ตามถ้ำตามเขา ถ้ำเขาธรรมดาก็ยังไม่อยู่เสียด้วยบางองค์ ท่านมีน้ำใจที่รียกว่า ชอบฝ่าฟันหรือโชกโชนเกี่ยวกับเรื่อง อันตรายต่างๆท้าทาย เพราะท่านมีน้ำใจกล้าหาญ ชอบไปอยู่ในถ้ำในเขาตรงที่มีเจ้าที่เจ้าทางที่เรียกว่า มีผีดุเฝ้าถ้ำอยู่ บางแห่งก็ว่ามีงูเหลิมใหญ่อยู่ บางถ้ำก็ว่ามีเสืออยู่อย่างนี้ จะชอบไปอยู่อย่างนั้น เอ ท่านทำไมท่านชอบไปอยู่สถานที่อย่างนั้น
พวกโยมเราลองพิจารณาดูสิ ใครบ้างเกิดมาไม่กลัวความตาย ท่านเหล่านั้นก็กลัวเหมือนกันแต่ท่านเชื่อธรรมท่านเชื่อกรรม เชื่อธรรมและเชื่อกรรม ได้แก่เชื่อคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นเอง เชื่อกรรมว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว
ตั้งแต่ท่านเกิดมา ท่านก็คงพิจารณาได้ว่าศีลของท่านบริสุทธิ์ไม่เคยเบียดเบียนกันไม่เคยฆ่าใครข่มเหงใคร ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่มี เรียกว่าไม่ได้ก่อกรรมทำเข็ญกับใครแม้จะไปอยู่ท่ามกลางสัตว์ร้ายอะไรต่างๆเหล่านั้นมันก็คงจะไม่ทำลาย ท่านเชื่อกรรมว่าท่านไม่ได้สร้างกรรมเหล่านั้น ท่านก็มีน้ำใจเรียกว่ากล้าหาญอดทน ตั้งอกตั้งใจบำเพ็ญภาวนาก็ได้ผลได้เป็นที่ประจักษ์ในใจของท่าน ชอบไปอยู่ในสถานที่เปล่าเปลี่ยวเงียบสงัด ประชาชนหรือผู้คนทั่วไปไม่กล้าไปเพ่นพล่านหรือไปแสวงหาอยู่หากินอะไรต่างๆในสถานที่เหล่านั้นเพราะความเกรงกลัวต่อสิ่งที่ลึกลับที่เราเชื่อ ภูตภีปีศาจ ตลอดจนถึงสัตว์ร้ายอะไรต่างๆเหล่านี้ แต่พระกรรมฐานเหล่านี้นอกจากท่านเชื่อกรรมเชื่อธรรมแล้วท่านก็อยู่ด้วยเมตตาธรรมด้วย เออพวกเรากลัวเราเกลียดถ้าพอจะจัดการได้ท่านก็คงจะจัดการ แต่นั่นท่านไม่ทำอะไรเลย อะไรไปเมตตาแม้กระทั่งงูเห่าเมตตากระทั่งเสือตัวที่มีพิษร้ายดุร้ายท่านก็ยังมีเมตตา นั่นเป็นแสดงถึงน้ำใจว่าท่านเป็นผู้มีเมตตาจริงๆ เมตตาบริสุทธิ์จริงๆ อย่างพระพุทธเจ้าตรัสให้บรรดาสาวกทั้งหลายฟังว่า น้ำใจของพระพุทธเจ้าระหว่างพระเทวฑัตกับพระราหุลท่านก็มีจิตใจพอๆกันหรือว่าเหมือนๆกันไม่ได้รักไม่ได้เกลียดใครเหมือนกัน เป็นอย่างงั้นน้ำใจของพระอริยเจ้าหรือพระผู้ท่านแสวงหาธรรม
นี่วัดป่ามัชฌิมาวาสก็เช่นเดียวกัน ที่พระกรรมฐานท่านมาอยู่ครั้งแรก ท่านก็เห็นว่าเป็นสถานที่เปล่าเปลี่ยวห่างจากฝูงชนไม่มีใครมามีสิ่งใดมารบกวนในเวลาภาวนา นั่นหมายถึงสมัยนั่นแล้วก็เป็นป่าธรรมชาติเสียด้วย พระกรรมฐานท่านแสวงหาที่ภาวนาหนึ่ง อันนี้สองท่านแสวงหาครูบาอาจารย์ อันสำคัญที่สามคือท่านแสวงกาธรรมะ ธรรมะที่ว่าคือแสวงหาความหลุดพ้นนั้นเอง หลุดพ้นจากกิเลส ถ้าสามารถหลุดพ้นจากกิเลสได้ก็สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์ได้ ตอนที่เราสวดในรตนัตตยัปปภาวสิทธิคาถา" อิมัส สะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิริยายะ สังวัตตะตู" ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้หลุดพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ทั้งมวลเถิด ท่านว่า ถ้าสามารถเอาชนะกิเลสได้ก็สามารถหลุดพ้นกองทุกข์ทั้งมวล ไม่ว่าจะเป็นชาติปิทุกขา ชราปิติทุกขา พยาธิปิทุกขา มรณัมปิทุกขัง แม้สิ่งเหล่านี้จะมีในตัวของท่านหรือแม้สิ่งเหล่านี้จะมีอยู่ในสิ่งสรรพสัตว์ทั้งหลายโดยทั่วหน้ากันโดยไม่ยกเว้นใครเลยก็ตาม แต่ความทุกข์เหล่านั้นหาเสียดแทงหรือเกิดขึ้นในจิตใจของท่านไม่ เพราะท่านเป็นผู้หลุดพ้นจากกิเลสแล้ว ความโลภก็ไม่มีความโกรธก็ไม่มีความหลงก็ไม่มี ราคะโทสะโมหะก็ไม่มีในใจแล้ว เมื่อไม่มีเหตุแห่งทุกข์ทุกข์มันก็ไม่เกิดขึ้นเพราะมันปราศจากเหตุ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องอาศัยเหตุปัจจัยมันถึงจะเกิดขึ้น
ที่สถานที่บำเพ็ญธรรมก็ถือว่าเป็นนี่สำคัญเหมือนกัน เป็นสิ่งสำคัญเหมือนกัน เช่นอย่างญาติโยมมาวัดกันวันนี้ ก็ได้สถานที่อันสมควรแก่การนั่งภาวนาหรือสมควรแกการปฏิบัติธรรมแล้ว เพราะทุกคนมุ่งหน้ามาที่นี่จุดหมายก็คือต้องการบุญต้องการกุศลหรือต้องการความสงบ พูดง่ายๆคือจุดหมายเป็นอันเดียวกัน เมื่อมีจุดกมายอันเดียวกันพอมาถึงสถานที่แห่งนี้ ต่างคนก็ตั้งอกตั้งใจเข้าอกเข้าใจจุดหมายที่ตนเองปรารถนา ก็ไม่ต้องบอกต้องเตือนะไรกันมาก เงียบๆนะอย่าพูดอย่าคุยกันก็ไม่ต้องบอก เพราะทุกคนรู้จุดหมายที่ตัวเองมามาเพื่อประสงค์อะไร
เพราะฉะนั้นสถานที่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่จะเอื้ออำนวยในการประพฤติปฏิบัติ เราจะเห็นได้จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนที่พระองค์ทรงผนวชใหม่จาริกแสวงหาครูอาจารย์ แสวงหาสถานที่บำเพ็ญธรรม และในที่สุดพระองค์ก็แสวงหาธรรม พระองค์ก็ได้ดังความประสงค์จำนงค์หมายทุกประการ หนึ่งสถานที่ สองผู้ที่เป็นครูเป็นอาจารย์ สามธรรมะที่ตนเองใฝ่่แสวงหานั้น ซึ่งเป็นครูเป็นอาจารย์เป็นสรณะอย่างแท้จริง อันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากประการที่สาม แต่ถึงอย่างไงก็แล้วแต่ก็จะต้องมีสองอย่างเอื้ออำนวยด้วยถึงจะได้อย่างที่สาม นอกจากผู้ที่ได้รับสั่งสมบุญบารมีมามาก ท่านก็จะสามารถจะบรรลุของท่านได้อย่างพระสาวกบางองค์ เพียงแต่ยกธรรมข้อใดข้อหนึ่งหมวดใดหมวดหนึ่งสั้นๆขึ้นมาพิจารณาเท่านั้นเเหละเหมือนหนึ่งว่าได้รับประทานอาหารทิพย์ อาหารทิพย์นิดเดียวเท่านั้นแหละ สร้างความเอิบอิ่มขึ้นมาทั้งกายทั้งใจได้ มันเป็นของทิพย์ ไม่ต้องใช้เวลาให้สิ้นเปลืองเหมือนอย่างกวลิงการาหาร อย่างอาหารที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวันโอย๋!กว่าจะเสร็จได้ต้องใช้เวลา อาหารทิพย์นิดเดียว เท่านั้นหละ
ธรรมะที่เกิดขึ้นในจิตในใจเสมือนว่าเป็นอาหารทิพย์ สิ่งอันเป็นทิพย์เหมือนกัน กว่าสิ่งอันเป็นทิพย์จะเกิดขึ้นได้เราก็ต้องสร้างสม ต้องพยายามเพิ่มเติมคุณงามความดีเพิ่มให้มากขึ้นๆ เหมือนการหาทรัพย์นี้แหละ เราก็อยากให้มีรายได้มากขึ้นๆ อย่างเขาทำงานบริษัทหรือทำงานราชการอยู่กระทรวงทะบวงกรมไหนก็แล้วแต่ ทุกคนก็ต้องการให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้นๆ อย่างเราจะได้ยินเขาคุยกันว่าได้กี่ขั้นๆอย่างนั้นแหละ
การประพฤติปฏิบัติธรรมนี้ก็เหมือนกันก็พยายามเพิ่มให้มันมากขึ้นๆคุณงามความดี อันคุณงามความดีหรือธรรมะที่เกิดขึ้นกับผู้ประพฤติปฏบัตินั้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วเราจะเกิดความภาคภูมิใจขนาดไหน จะเกิดปิติขนาดไหน จะเกิดความสุขขนาดไหน จะมีความมั่นอกมั่นใจแน่ใจว่าปฏิปทาเครื่องดำเนินของพวกเรานี้ จะสามารถให้พวกเราพ้นจากกิเลสหรือพ้นจากกองทุกข์ได้จริงๆเราก็จะรู้ประจักด้วยใจของเราเอง เพราะเราได้สั่งสมทุกวัน มีผลรายได้เกิดขึ้นเพิ่มมากขึ้นๆทุกวันๆ กำลังทางด้านจิตใจก็เข้มแข็งมากขึ้นทุกวันๆ แม้จะมีอารมณ์หรือสิ่งมากระทบกระทั่งจิต จิตก็ไม่มีกำลังใจตกกำลังใจไม่ตกเพราะกำลังใจดีสืบเนื่องมาจากธรรมะที่เราสั่งสมให้เพิ่มขึ้นทุกวันๆ จึงสามารถต้านทานกิเลสและอารมณ์หรือเรื่องอะไรต่างๆที่เกิดขึ้นจึงไม่สามารถที่จะทำใหกำลังใจตกได้ กำลังก็จะดีอยู่อย่างนั้น เมื่อกำลังใจดีอยู่พึงหวังได้ว่า สักวันหนึ่งธรรมะอันเป็นเครื่องพ้นทุกข์ก็จะเกิดขึ้นกับเราผู้ประพฤติปฏิบัติได้อย่างแน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย
เมื่อก่อนมันเป็นดอนม่วงเป็นที่เขาเอาผีมาฝังมาเผาที่นี่ แต่ในทางกลับกันแปลกมาก พระกรรมฐานท่านถือว่าเป็นสถานที่มงคลแต่ว่าชาวโลกถ้าเห็นเกี่ยวกับเรื่องคนตายก็ถือว่าไม่ค่อยจะชอบหรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นอัปมงคล ยิ่งเป็นสถานที่อย่างที่ว่าเป็นสุสานเป็นป่าช้า เป็นที่ทิ้งคนตายเผาคนตายฝังคนตายยิ่งถือว่าเป็นสถานที่ไม่เหมาะไม่ควรที่เข้าไปเรียกว่าเป็นอัปมงคล แต่พระกรรมฐานไม่เป็นเช่นนั้นย่ิงตายห่าตายโหงท่านยิ่งชอบ เพราะธรรมะเด็ดมันจะได้เกิดขึ้น ตายแบบธรรมดาๆภาวนาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถ้าตายปัจจุบันตายอย่างที่พูดมาแล้วนะ โอ้โหอันนี้จะได้ธรรมะเข้มข้น มันเป็นอย่างนั้นจริงๆการประพฤติปฏิบัติ
อาตมาเคยนุ่งผ้าบังสกุลจริงๆ ผ้าห่อศพผ้าพันศพที่เปื้อนเลือดนี่ มีคนเอามาถวายเป็นผ้าด้ายดิบแล้วก็มาทำเป็นผ้าอาบน้ำผืนใหญ่ด้วยไปซักแล้วมันก็ไม่ค่อยจะออกด้วยเลือด แต่ว่าสีกรักสีแก่นขนุนย้อมทับไปก็พอลบสีไปได้บ้าง แต่ก็มีความฝังใจอยู่ว่าผ้าผืนที่เรานุ่งมันเป็นผ้าพันศพผ้าห่อศพผ้าผีตายโหง มันจะฝังใจมันจะไม่ลืมเลย วันนั้นเดินจงกรมอยู่นึกถึงผ้าที่ตัวนุ่งอยู่ได้ โอ้โห!สติตั้งไว้ให้มั่นเลยทีนี้ เพราะมันจะปรุงไปถึงคนที่เป็นเจ้าของผ้าที่ถูกพันเอาไว้ตอนที่เขาสิ้นใจนั่นแหละ มันจะนึกภาพจะจิตนาการไป ก็เลยได้สติ เข้าใจโอ้นี่เองพระพุทธเจ้าจึงสอนให้พระให้นิยมผ้าบังสุกุล มันจะได้เตือนสติจะได้เฝ้าระมัดระวังจิตใจของตัวเองโดยไม่ประมาท ถ้าหากว่าไม่มีอะไรมาแสดงมาสกิดอย่างนี้ใจมันจะเผลอจะปล่อยใจมันจะเคลิ้มจะคิดไปตามอารมณ์อะไรต่างๆ เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ที่จะช่วยเตือนจิตเตือนใจให้ได้ประพฤติปฏิบัติ ที่จะให้ได้ปัญญาขึ้นมาในการที่จะแก้จิตแก้ใจในการแก้ความผิดออกจากใจ
ตายธรรมดาๆนั่งภาวนาไม่ค่อยสู้จะดีเท่าไหร่ถึงแม้ว่าจะได้ แต่ว่าถ้าตายแบบอะไรที่เรียกว่าตายท้องกลมเหรอ ออกลูกตายนะ บ้านเราเรียกว่าตายกลม แถวนี้เรียกตายโหง ฟังชื่อก็น่ากลัว ก็วาดภาพขึ้นมาผีมีแต่ตัวดุๆร้ายๆทั้งนั้น ถ้าตายห่าตายโหงไม่ใช่เป็นผีธรรมดา ถ้าเป็นโจรผู้ร้ายก็เรียกว่าโอ้โหย!ไม่ปรานีใครเลย นอกจากชิงทรัพย์แล้วฆ่าเจ้าของทรัพย์ด้วย อ้ายพวกผีตายห่าตายโหงนี่ความรู้สึกในใจของคนจะเป็นอย่างนั้น
ที่นี้พระกรรมฐานท่านเป็นผู้แสวงหาสัจธรรมแสวงหาความจริงท่านจะค้นท่านจะคิด ท่านจะพินิจพิจารณากรั่นกรองให้ได้ความดี ให้ได้ธรรมะเด็ดๆจากสิ่งที่ท่านคิดพิจารณานั่นหละมันเป็นอย่างนั้น ซึ่งโลกทั้งหลายคิดว่ามันเป็นอัปมงคล ไม่ดีตายแล้วต้องเอาเขาพระไปสวดถอด ไปผูกคอตายที่ตรงไหนฟ้าผ่าตายที่ตรงไหน ฆ่ากันตายที่ตรงไหนก็มานิมนต์พระไปสวดถอด แต่พระกรรมฐานตรงกันข้าม ท่านชอบไปนั่งภาวนาในที่เช่นนั้นแหละ มันจะได้วัดดูจิตใจของตัวเอง มีน้ำใจอดทนเด็ดเดี่ยวกล้าหาญชาญชัยไหม มีพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์เต็มองค์หรือยังอยู่ในใจนั่นนะ มันเป็นอย่างนั้นการประพฤติปฏิบัติจะต้องมีอุบายหาข้อมาเปรียบมาเทียบมาพินิจพิจารณาเพื่อให้เกิดปัญญา เป็นอย่างนั้น
พวกเราเวลามาวัดเช่นนี้ก็ถือว่าเราได้โอกาสอันสมควรแล้วเพราะเป็นสถานที่ที่เอื้ออำนวย ในขณะเดียวกันได้ฟังธรรมะด้วย ธรรมะที่พระเจ้าพระสงฆ์ท่านเทศน์โปรดเราก็ใช่ว่าท่านเป็นบุคคลพิเศษหรือท่านมีความรู้วิเศษมาจากไหน ท่านก็นั่งภาวนานี่เองหละ ก็คนชาวบ้านธรรมดาๆมาบวชแต่มาคิดมาค้นมาพิจารณาและก็มานำความจริงเหล่านี้มาเล่าให้ฟัง เมื่อพวกโยมได้ฟังสิ่งหล่านี้แล้วใจที่มันเคยมืดเคยบอด เคยลุ่มหลงมัวเมา เมื่อไปพบกับธรรมะ ธรรมะเปรียบเสมือนแสงสว่างใจจะได้สว่างออกมันจะออกจากที่มืด ออกจากที่อันมืดมัวให้มันสว่าง เมื่อจิตใจสว่างแล้วจะมองเห็นความจริง มองเห็นดีเห็นชั่วมองเห็นบาปมองเห็นบุญ มองเห็นทางไปนรกทางไปสวรรค์ทางไปพระนิพพาน เกี่ยวกับเรื่องสถานเกี่ยวกับเรื่องการฟังธรรมะ
เกี่ยวกับเรื่องนั่งสมาธิภาวนาก็เหมือนกัน เรื่องภาวนาพวกเราพูดก็พูดเถอะ อย่างว่าแต่พวกญาติโยมแม้แต่กระทัังพระก็ยังต้องอนุบาลอยู่เลย เรื่องนั่งภาวนาถ้าพระองค์ไหนยังไม่มีหลักใจ ใจมันหวั่นไหวนะ มันเสื่อมได้ ถ้ามีหลักจิตหลักใจมีที่ยึดเหนี่ยวอย่างแข็งแล้ว พุทธะธรรมะมีอยู่ในใจของท่าน ทำจิตใจของท่านให้เด็ดเดี่ยว ท่านมีที่พึ่ง ธรรมะเป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยว ทำจิตใจให้มีความเข้มแข็ง แม้กิเลสและอารมณ์อะไรเกิดขึ้นสติท่านดีเพราะธรรมะนั่นแหละ ที่สร้างขึ้นทุกวันๆเพิ่มมากขึ้นทุกวันๆมันก็เข้มแข็งมันก็ต้านทานได้
ที่นี้พวกเราโอกาสเวลาที่จะให้กับตัวเองเกี่ยวกับการภาวนามันน้อยเหลือเกิน เวลาเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจำเป็นจะต้องพึ่งธรรมะในใจจะทำอย่างไร จะเอาธรรมะที่ไหนเป็นที่พึ่งหากเราไม่สั่งสมเอาไว้แต่เวลานี้ การสั่งสมธรรมะให้เกิดให้มีขึ้นก็คล้ายกับการสั่งสมทรัพย์สมบัติเงินทองนั่นเอง เวลาปกติเราก็ต้องได้ใช้จ่ายอยู่แล้วถ้าย่ิงมีความจำเป็นพิิเศษเกิดขึ้นย่ิงมีความจำเป็นใช้จ่ายเงินทองเหล่านั้น
ธรรมะนี้ก็เช่นเดียวกับเวลาปกติก็ได้ใช้เช่นกัน เวลามีเหตุการณ์เกิดขึ้นที่มันหนักๆ จำเป็นยิางต้องใช้ธรรมะ อย่างมาก เหมือนภายนอกเมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเช่นอุบัติเหตุยิ่งจำเป็นต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก จะต้องเลือกโรงพยาบาลที่ดีๆหยูกยาที่ดีๆหมอที่ดีๆ อันนี้ก็เหมือนกัน เวลาความจำเป็นเกิดขึ้นกับชีวิตของตัวเองโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความแก่ความเจ็บความตายนี่แหละ แล้วจะเอาธรรมะที่ไหนเอาอริยทรัพย์ที่ไหนมาช่วยตัวเองได้ ที่จะให้โรคาพยาธิความทุกข์ความเจ็บทางด้านจิตใจมันเบาบางลงไป อันนี้เป็นสิ่งสำคัญมากต้องพิจารณา
นี่! ดีใจกับญาติโยมชาวพุทธเราเวลาจะปลูกบ้านเขาเขียนแบบเขียนแปลน เช่นจะมีห้องพระ มี้ห้องพระไม่ใช่ว่ามีไว้ประดับเฉยๆ ให้พากันใส่ใจ อย่างน้อยที่สุดสักวันพระหนึ่งให้ได้มีโอกาสที่จะเข้าไปกราบพระไหว้พระสวดมนต์อะไรต่างๆว่ามีลูกมีเต้าก็บอกเขาอบรมเขาชี้แจงให้เขาเข้าอกเข้าใจ ที่พึ่งของมนุษย์เรา ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ที่พึ่งภายนอกเรือนชานบ้านช่องการงานภายนอกเท่านั้น ที่พึ่งภายในก็จะต้องมีเหมือนกัน
เวลามีเหตุการณ์เรื่องราวอะไรเกิดขึ้นจิตใจมันต้องแสวงหาที่พึ่ง ถ้าไม่มีที่พึ่งภายในแล้วกำลังใจตกแม้จะมีเงินมีทอง มีคนให้คำปรึกษาอย่างไงก็แล้วแต่ ถ้ายังขาดหลักธรรมะอยู่ใจของเรามันไม่มีกำลังที่จะไปต้านทานเรื่องราวเหตุการณ์เหล่านั้น มันเป็นอย่างนั้น เมื่อกำลังใจตกใจอ่อนแอความทุกข์มันก็เกิดขึ้นเรียกว่าโรคทางใจ โรคร้ายเสียด้วยเวลาเหตุการณ์หนักๆเป็นโรคร้ายเกิดขึ้นในใจและมีความทุกข์มาก ยถา...ฯ "
เทศนาธรรมหลวงปู่เมือง พลวัฑโฒ วันพระ28กพ57(ก่อนจังหัน)
ท่านสามารถฟังเสียงเทศน์ได้ทาง
Facebook; และ youtube ;
1 )พุทธบูชา คลินิก
2)วัดป่ามัชฌิมาวาส กาฬสินธุ์
3) บ้านใต้ร่มพระโพธิญาณ กรุงเทพกรีฑา
-
- Verified User
- โพสต์: 53
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 453
มีข้อมูลให้อ่าน ฟัง มากมาย อาจทำให้รู้สึกว่าไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไร
ขอแนะนำให้ลองฟังเทศน์ ของ หลวงพ่อปราโมทย์ สวนสันติธรรม ซึ่งท่านแสดงธรรม และมีผู้นำมาใส่ใน website สามารถ download มาฟัง และฝึกปฏิบัติได้ด้วยตนเอง
website คือ dhammada.net
มี File MP3 ที่ท่านแสดงธรรมวันที่ 18 ธค. 2552 ( 521218)
ลอง download มาฟังดูนะคะ จะทำให้เข้าใจเรื่องการเจริญสติ ศีล สมาธิ ปัญญา ได้มากทีเดียวค่ะ
ขอแนะนำให้ลองฟังเทศน์ ของ หลวงพ่อปราโมทย์ สวนสันติธรรม ซึ่งท่านแสดงธรรม และมีผู้นำมาใส่ใน website สามารถ download มาฟัง และฝึกปฏิบัติได้ด้วยตนเอง
website คือ dhammada.net
มี File MP3 ที่ท่านแสดงธรรมวันที่ 18 ธค. 2552 ( 521218)
ลอง download มาฟังดูนะคะ จะทำให้เข้าใจเรื่องการเจริญสติ ศีล สมาธิ ปัญญา ได้มากทีเดียวค่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 2690
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 454
กลับมาเข้า
หัวกระทู้นิด..
ชีวิตในฐานะนักลงทุน
ขณะเดียวกันก็เดินไปในเส้นทางธรรมะด้วย..
เก็บตกจาก..
นักศึกษาอินเดียท่านหนึ่งถามลุงบัฟ
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=47751
เกี่ยวกับ ..live very simple and modest life
ิอะไรทำให้เป็นเช่นนั้น?
ลุงบัฟตอบว่า
***
Quote
***
"ฉันทำในสิ่งที่ฉันรักที่จะทำมัน
..
เราสามารถเพียงจะกินข้าววันละ 3 มื้อ
เราสามารถเพียงจะนอนในเตียง เตียงเดียว
..
แต่
เราก็มีเตียงแบบไหนก็ตามที่เราต้องการได้
เราก็มีมื้ออาหารแบบไหนก็ตามที่เราต้องการได้
..
และนั่น
ฉันเห็นว่าทั้งหมดนั้นมันเพียงใช้ไป 1 เปอร์เซ็นต์ ของความมั่งคั่งของฉัน
ตลอดช่วงชีวิตฉันและครอบครัวฉัน
..
จึงมีความมั่งคั่งเหลืออีกมาก
..
ซึ่งมันไม่ได้เกิดอรรถประโยชน์สำหรับฉัน
แต่มันเกิดอรรถประโยชน์อย่างมหาศาลสำหรับคนอื่นๆ
ดังนั้น นั่นแหละจึงเป็นที่ ที่ความมั่งคั่งของฉันควรจะอยู่."
..
***
หัวกระทู้นิด..
ชีวิตในฐานะนักลงทุน
ขณะเดียวกันก็เดินไปในเส้นทางธรรมะด้วย..
เก็บตกจาก..
นักศึกษาอินเดียท่านหนึ่งถามลุงบัฟ
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=47751
เกี่ยวกับ ..live very simple and modest life
ิอะไรทำให้เป็นเช่นนั้น?
ลุงบัฟตอบว่า
***
Quote
***
"ฉันทำในสิ่งที่ฉันรักที่จะทำมัน
..
เราสามารถเพียงจะกินข้าววันละ 3 มื้อ
เราสามารถเพียงจะนอนในเตียง เตียงเดียว
..
แต่
เราก็มีเตียงแบบไหนก็ตามที่เราต้องการได้
เราก็มีมื้ออาหารแบบไหนก็ตามที่เราต้องการได้
..
และนั่น
ฉันเห็นว่าทั้งหมดนั้นมันเพียงใช้ไป 1 เปอร์เซ็นต์ ของความมั่งคั่งของฉัน
ตลอดช่วงชีวิตฉันและครอบครัวฉัน
..
จึงมีความมั่งคั่งเหลืออีกมาก
..
ซึ่งมันไม่ได้เกิดอรรถประโยชน์สำหรับฉัน
แต่มันเกิดอรรถประโยชน์อย่างมหาศาลสำหรับคนอื่นๆ
ดังนั้น นั่นแหละจึงเป็นที่ ที่ความมั่งคั่งของฉันควรจะอยู่."
..
***
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 455
หนังสือของหลวงพ่อสุชาติมาอีกแล้วครับ
http://www.kammatthana.com/62klj.pdf
http://www.kammatthana.com/62klj.pdf
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 457
เส้นทาง ธรรม ต้องศึกษา อริยสัจสี่ และ สติปัฏฐานสี่
โดยอาศัย อานาปานสติ ดีที่สุดคับ
เส้นทาง การลงทุน ต้องศึกษาแนวทางการลงทุนของ กูรูที่เป็นที่ยอมรับ
ซึ่งมี ผลงานชัดเจนเป็นระยะเวลายาวนาน ดีที่สุดคับ
โดยอาศัย อานาปานสติ ดีที่สุดคับ
เส้นทาง การลงทุน ต้องศึกษาแนวทางการลงทุนของ กูรูที่เป็นที่ยอมรับ
ซึ่งมี ผลงานชัดเจนเป็นระยะเวลายาวนาน ดีที่สุดคับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4940
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 458
สาธุครับ อ่านไปได้หน่อยนึงละ ชอบช่วงถามตอบครับcobain_vi เขียน:หนังสือของหลวงพ่อสุชาติมาอีกแล้วครับ
http://www.kammatthana.com/62klj.pdf
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
-
- Verified User
- โพสต์: 571
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 459
ขอแชร์คลิปที่พี่ คนขายของ พูดถึงธรรมะช่วยให้ลงทุนได้ดีขึ้น(นาทีที่ 15 เป็นต้นไป) คลิปนี้ยังพูดถึงเหตุผลที่ควรซื้อหุ้นกลุ่มค้าปลีกเมื่อหลายปีก่อนอีกด้วยครับ
https://www.facebook.com/photo.php?v=61 ... =2&theater
https://www.facebook.com/photo.php?v=61 ... =2&theater
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4940
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 461
มีหนังสือมาแนะนำครับ เล่มเล็กๆ เหมาะกับการใช้ชีวิตทางธรรมไปคู่กับการลงทุนต่อไปได้
หนังสือของท่านปัญญานันทภิกขุ สมถวิปัสสนาในชีวิตประจำวัน
http://www.openbase.in.th/files/panya104.pdf
หนังสือเล่มเล็กเหมาะ ตั้งแต่ผู้เริ่มต้น จนถึงผู้ที่ปฏิบัติมานานแล้ว
ท่านสอนให้รู้ถึงสมถและวิปัสสนา ที่เข้าใจได้ง่ายและสอนให้แยกรูปและนาม
จนถึงทำที่สุด เห็นว่าที่สุด ตัวเราก็ไม่มี สิ่งที่จะทำให้เป็นทุกข์ก็ไม่มี
ผมขอตัดมาบางส่วนครับ เผื่อท่านทั้งหลายจะสนใจครับ
"สมถภาวนา นั้นมีจุดหมายสำคัญ อยู่ที่ต้องการฝึกจิตให้มีความสงบ ให้มีความตั้งมั่นให้อ่อนโยนเหมาะสนที่จะใช้งาน"
"ส่วนวิปัสสนาภาวนานั้น เป็นเรื่องที่เราจะทำต่อไปจากจิตที่สงบ ตั้งมั่น อ่อนโยนแล้ว เพื่อใช้จิตนั้นให้ทำงาน ทำงานเรื่องอะไร
ก็ทำให้พิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้ชัดตามสภาพที่เป็นจริง"
"ความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงนั้น เกิดจากความยึดมั่นในสิ่งนั้น เรามีของอยู่แล้วมันหายไป ทำไมเราจึงได้เป็นทุกข์
เพราะเรายึดถือว่าของนั้นเป็น ของเรา"
"วิปัสสนา นั้นแปลว่าเห็นชัดตามที่มันอยู่จริงๆ"
"ชาวบ้านอยู่ครองเรือนนี่ต้องเจริญวิปัสสนาด้วยหรือ อยากจะตอบว่าจำเป็นที่สุด ที่จะต้องทำต้องเจริญวิปัสสนา
เพราะว่าชาวบ้านนี่มีปัญหามากกว่าชาววัด"
"ชีวิตที่จะอยู่มีความสุขอย่างแท้จริงนั้น ต้องอยู่ด้วยแสงสว่างทางใจ ต้องอยู่ด้วยปัญญา
อยู่ด้วยความรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถูกต้องตามสภาพที่เป็นจริง
การที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรถูกต้องตามความเป็นจริงนั้น
ก็ต้องใช้ปัญญาของพระพุทธศาสนา ซึ่งเรียกกว่า วิปัสสนาปัญญา"
"การเจริญวิปัสสนานั้นไม่ต้องไปนั่งในที่ไหนหรืออะไรก็ได้ เพราะมีสิ่งให้พิจารณาอยู่ตลอดเวลา"
"พระพุทธเจ้าท่านจะสอนให้เราเข้าใจว่าสิ่งนั้นไม่มี สิ่งนั้นไม่เป็น มันเป็นแต่เพียงสิ่งหลายอย่างมารวมกันเข้า
ทรงอยู่ได้เรพาะอำนาจแห่งการปรุงแต่ง"
"การปรุงแต่งนั้นมีระยะเวลาว่าจะอยู่นานสักเท่าใด แล้วมันก็สิ้นไปหมดไป
มันเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
ที่ท่านสอนให้แยกส่วนออกไปเช่นนั้น ก็เพื่อจะให้เข้าใจชัด"
"ไม่มีเราผู้เป็นทุกข์ด้วย แล้วไม่มีสิ่งที่จะเป็นทุกข์ด้วย ตัวเรามันก็ไม่มี สิ่งที่จะทำให้เป็นทุกข์มันก็ไม่มี"
"หน้าที่คือหน้าที่ แต่อย่าทำหน้าที่ให้เป็นทุกข์"
"มีเงินไม่เป็นทุกข์เพราะเงิน มีบ้านไม่เป็นทุกข์เพราะบ้าน"
"มีไม่เป็นทุกข์ ทำโดยไม่ต้องเป็นทุกข์ ไปไหนคิดอะไรไม่ต้องเป็นทุกข์
นี่คือจุดที่เราต้องการ อันนี้เราต้องหาวิธีว่า เราจะไปสู่จุดนั้นได้อย่างไรที่จะไม่ต้องเป็นทุกข์"
ลองอ่านดูนะครับ
หรือถ้าสนใจเล่มอื่นๆ ของท่านก็ลองดูครับ
http://www.bhikkhupanyananda.org/index. ... 1&Itemid=3
หนังสือของท่านปัญญานันทภิกขุ สมถวิปัสสนาในชีวิตประจำวัน
http://www.openbase.in.th/files/panya104.pdf
หนังสือเล่มเล็กเหมาะ ตั้งแต่ผู้เริ่มต้น จนถึงผู้ที่ปฏิบัติมานานแล้ว
ท่านสอนให้รู้ถึงสมถและวิปัสสนา ที่เข้าใจได้ง่ายและสอนให้แยกรูปและนาม
จนถึงทำที่สุด เห็นว่าที่สุด ตัวเราก็ไม่มี สิ่งที่จะทำให้เป็นทุกข์ก็ไม่มี
ผมขอตัดมาบางส่วนครับ เผื่อท่านทั้งหลายจะสนใจครับ
"สมถภาวนา นั้นมีจุดหมายสำคัญ อยู่ที่ต้องการฝึกจิตให้มีความสงบ ให้มีความตั้งมั่นให้อ่อนโยนเหมาะสนที่จะใช้งาน"
"ส่วนวิปัสสนาภาวนานั้น เป็นเรื่องที่เราจะทำต่อไปจากจิตที่สงบ ตั้งมั่น อ่อนโยนแล้ว เพื่อใช้จิตนั้นให้ทำงาน ทำงานเรื่องอะไร
ก็ทำให้พิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้ชัดตามสภาพที่เป็นจริง"
"ความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงนั้น เกิดจากความยึดมั่นในสิ่งนั้น เรามีของอยู่แล้วมันหายไป ทำไมเราจึงได้เป็นทุกข์
เพราะเรายึดถือว่าของนั้นเป็น ของเรา"
"วิปัสสนา นั้นแปลว่าเห็นชัดตามที่มันอยู่จริงๆ"
"ชาวบ้านอยู่ครองเรือนนี่ต้องเจริญวิปัสสนาด้วยหรือ อยากจะตอบว่าจำเป็นที่สุด ที่จะต้องทำต้องเจริญวิปัสสนา
เพราะว่าชาวบ้านนี่มีปัญหามากกว่าชาววัด"
"ชีวิตที่จะอยู่มีความสุขอย่างแท้จริงนั้น ต้องอยู่ด้วยแสงสว่างทางใจ ต้องอยู่ด้วยปัญญา
อยู่ด้วยความรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถูกต้องตามสภาพที่เป็นจริง
การที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรถูกต้องตามความเป็นจริงนั้น
ก็ต้องใช้ปัญญาของพระพุทธศาสนา ซึ่งเรียกกว่า วิปัสสนาปัญญา"
"การเจริญวิปัสสนานั้นไม่ต้องไปนั่งในที่ไหนหรืออะไรก็ได้ เพราะมีสิ่งให้พิจารณาอยู่ตลอดเวลา"
"พระพุทธเจ้าท่านจะสอนให้เราเข้าใจว่าสิ่งนั้นไม่มี สิ่งนั้นไม่เป็น มันเป็นแต่เพียงสิ่งหลายอย่างมารวมกันเข้า
ทรงอยู่ได้เรพาะอำนาจแห่งการปรุงแต่ง"
"การปรุงแต่งนั้นมีระยะเวลาว่าจะอยู่นานสักเท่าใด แล้วมันก็สิ้นไปหมดไป
มันเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
ที่ท่านสอนให้แยกส่วนออกไปเช่นนั้น ก็เพื่อจะให้เข้าใจชัด"
"ไม่มีเราผู้เป็นทุกข์ด้วย แล้วไม่มีสิ่งที่จะเป็นทุกข์ด้วย ตัวเรามันก็ไม่มี สิ่งที่จะทำให้เป็นทุกข์มันก็ไม่มี"
"หน้าที่คือหน้าที่ แต่อย่าทำหน้าที่ให้เป็นทุกข์"
"มีเงินไม่เป็นทุกข์เพราะเงิน มีบ้านไม่เป็นทุกข์เพราะบ้าน"
"มีไม่เป็นทุกข์ ทำโดยไม่ต้องเป็นทุกข์ ไปไหนคิดอะไรไม่ต้องเป็นทุกข์
นี่คือจุดที่เราต้องการ อันนี้เราต้องหาวิธีว่า เราจะไปสู่จุดนั้นได้อย่างไรที่จะไม่ต้องเป็นทุกข์"
ลองอ่านดูนะครับ
หรือถ้าสนใจเล่มอื่นๆ ของท่านก็ลองดูครับ
http://www.bhikkhupanyananda.org/index. ... 1&Itemid=3
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
-
- Verified User
- โพสต์: 172
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 462
ธรรมะกับแนววีไอ~~
การลงทุนแบบวีไอ ทำไมถึงเป็นวิธีที่บุรุษผู้มีปัญญาใช้แล้วได้ผล ก้อเพราะว่าเค้า
1) มีตาดี
2) สร้างเหตุถูกต้อง
ถึงเค้าจะอยากได้เงินหรือไม่ได้เงิน แต่ถ้าเค้าซื้อหุ้นถูกตัว ในราคาที่ต่ำกว่า value เค้าก้อต้องได้เงิน
ถึงเค้าจะอยากหรือไม่อยาก หรือ อยากก็ไม่ใช่ไม่อยากก็ไม่ใช่ แต่ถ้าเค้าซื้อหุ้นถูกตัว ในราคาที่ต่ำกว่า value เค้าก้อต้องได้เงิน (มั้ง)
พระพุทธเจ้าเคยสอนเรื่องการสร้างเหตุถูกต้องกับท่านภูมิชะเปรียบเสมือน บุรุษผู้ต้องการน้ำมัน ตราบใดที่เค้ายังเอามือคั้นเมล็ดงา เค้าก็ได้น้ำมัน
ถ้าเค้าคั้นทราย ถึงจะอยากได้หรือไม่อยากได้น้ำมัน เค้าก็ไม่ได้น้ำมัน
ตามพระสูตรด้านล่างครับ
[๔๑๐] ดูกรภูมิชะ เปรียบเหมือนบุรุษต้องการน้ำมัน แสวงหาน้ำมัน จึงเที่ยวเสาะหา
น้ำมัน เกลี่ยทรายลงในรางแล้วคั้นไป เอาน้ำพรมไปๆ ถ้าแม้ทำความหวังแล้วเกลี่ยทรายลง
ในราง คั้นไป เอาน้ำพรมไปๆ เขาก็ไม่สามารถจะได้ น้ำมัน ถ้าแม้ทำความไม่หวังแล้วเกลี่ยทราย
ลงในราง คั้นไป เอาน้ำพรมไปๆเขาก็ไม่สามารถจะได้น้ำมัน ถ้าแม้ทำทั้งความหวังและความ
ไม่หวังแล้วเกลี่ยทรายลงในราง คั้นไป เอาน้ำพรมไปๆ เขาก็ไม่สามารถจะได้น้ำมัน ถ้าทำความหวัง
ก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้วเกลี่ยทรายลงในราง คั้นไป เอาน้ำพรมไปๆ เขาก็ไม่สามารถจะ
ได้น้ำมัน นั่นเพราะเหตุไร ดูกรภูมิชะ เพราะเขาไม่สามารถจะได้ น้ำมันโดยวิธีไม่แยบคาย ฉันใด
ดูกรภูมิชะ ฉันนั้นเหมือนกันแล สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่งที่มีทิฐิผิด มีสังกัปปะผิด
มีวาจาผิด มีกัมมันตะผิด มีอาชีวะผิด มีวายามะผิด มีสติผิด มีสมาธิผิด ถ้าแม้ทำความหวัง
แล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทำความไม่หวังแล้วประพฤติ
พรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทำทั้งความหวังและความไม่หวังแล้วประพฤติ
พรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทำความหวังก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้วประพฤติ
พรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล นั่นเพราะเหตุไร ดูกรภูมิชะ เพราะเขาไม่สามารถจะ
บรรลุผลได้โดยอุบายไม่แยบคาย ฯ
[๔๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าผู้ประกอบด้วยองค์ ๓ ประการ ย่อม
ถึงความมีโภคทรัพย์มากมายเหลือเฟือไม่นานเลย องค์ ๓ ประการเป็นไฉน ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าในโลกนี้ เป็นคนที่มีตาดี ๑ มีธุระดี ๑ ถึงพร้อมด้วยบุคคล
ที่จะเป็นที่พึ่งได้ ๑ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าชื่อว่าเป็นคนมีตาดีอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พ่อค้าในโลกนี้ย่อมรู้สิ่งที่จะพึงซื้อขายว่า สิ่งที่พึงขายนี้ ซื้อมาเท่านี้ ขายไป
เท่านี้ จักได้ทุนเท่านี้ มีกำไรเท่านี้ ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าชื่อว่าเป็น
คนมีตาดี ด้วยอาการอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าชื่อว่ามีธุระดีอย่างไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าในโลกนี้ เป็นคนฉลาดที่จะซื้อและขายสิ่งที่ตนจะพึง
ซื้อขาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าชื่อว่าเป็นคนมีธุระดี ด้วยอาการอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยคนซึ่งจะเป็นที่พึ่งได้อย่างไร ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าในโลกนี้ อันคฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีผู้มั่งคั่ง ผู้มีทรัพย์มาก
มีโภคะมาก ทราบได้เช่นนี้ว่าท่านพ่อค้าผู้นี้แล เป็นคนมีตาดี มีธุระดี สามารถ
ที่จะเลี้ยงบุตรภรรยา และใช้คืนให้แก่เราตามเวลาได้ เขาต่างก็เชื้อเชิญพ่อค้า
นั้นด้วยโภคะว่า แน่ะท่านพ่อค้าผู้สหาย แต่นี้ไปท่านจงนำเอาโภคะไปเลี้ยงดู
บุตรภรรยา และใช้คืนให้แก่เราตามเวลา ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าชื่อว่าเป็น
ผู้ถึงพร้อมด้วยบุคคลซึ่งเป็นที่พึ่งได้ด้วยอาการอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้า
ผู้ประกอบด้วยองค์ ๓ ประการนี้แล ย่อมจะถึงความมีโภคะมากมายเหลือเฟือไม่
นานเลย ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ ฉันนั้น
เหมือนกัน ย่อมถึงความเป็นผู้มากมูนไพบูลย์ในกุศลธรรมไม่นานเลย ธรรม
๓ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีจักษุ ๑
มีธุระดี ๑ ถึงพร้อมด้วยภิกษุพอจะเป็นที่พึ่งได้ ๑ ฯ ...ตถาคต
แล้วพระพุทธเจ้า ได้บอกถึงการสร้างเหตุ อะไร ปัจจัย อะไรทำให้เป็นคนมีโภคทรัพย์มาก
บางคนก็บอกให้ไปบนบาน บางคนก็บอกให้ไปเรียนปอโท บางคนก็บอกให้ไปทำเดรัจฉานวิชา (รดน้ำมนต์,ดูหมอ) แต่พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นสัพพัญญู บอกไว้ว่ายังไงนะครับ ถึงจะเป็นการคั้นเมล็ดงา ไม่ไปคั้นเมล็ดทราย
ไว้มาต่อ
การลงทุนแบบวีไอ ทำไมถึงเป็นวิธีที่บุรุษผู้มีปัญญาใช้แล้วได้ผล ก้อเพราะว่าเค้า
1) มีตาดี
2) สร้างเหตุถูกต้อง
ถึงเค้าจะอยากได้เงินหรือไม่ได้เงิน แต่ถ้าเค้าซื้อหุ้นถูกตัว ในราคาที่ต่ำกว่า value เค้าก้อต้องได้เงิน
ถึงเค้าจะอยากหรือไม่อยาก หรือ อยากก็ไม่ใช่ไม่อยากก็ไม่ใช่ แต่ถ้าเค้าซื้อหุ้นถูกตัว ในราคาที่ต่ำกว่า value เค้าก้อต้องได้เงิน (มั้ง)
พระพุทธเจ้าเคยสอนเรื่องการสร้างเหตุถูกต้องกับท่านภูมิชะเปรียบเสมือน บุรุษผู้ต้องการน้ำมัน ตราบใดที่เค้ายังเอามือคั้นเมล็ดงา เค้าก็ได้น้ำมัน
ถ้าเค้าคั้นทราย ถึงจะอยากได้หรือไม่อยากได้น้ำมัน เค้าก็ไม่ได้น้ำมัน
ตามพระสูตรด้านล่างครับ
[๔๑๐] ดูกรภูมิชะ เปรียบเหมือนบุรุษต้องการน้ำมัน แสวงหาน้ำมัน จึงเที่ยวเสาะหา
น้ำมัน เกลี่ยทรายลงในรางแล้วคั้นไป เอาน้ำพรมไปๆ ถ้าแม้ทำความหวังแล้วเกลี่ยทรายลง
ในราง คั้นไป เอาน้ำพรมไปๆ เขาก็ไม่สามารถจะได้ น้ำมัน ถ้าแม้ทำความไม่หวังแล้วเกลี่ยทราย
ลงในราง คั้นไป เอาน้ำพรมไปๆเขาก็ไม่สามารถจะได้น้ำมัน ถ้าแม้ทำทั้งความหวังและความ
ไม่หวังแล้วเกลี่ยทรายลงในราง คั้นไป เอาน้ำพรมไปๆ เขาก็ไม่สามารถจะได้น้ำมัน ถ้าทำความหวัง
ก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้วเกลี่ยทรายลงในราง คั้นไป เอาน้ำพรมไปๆ เขาก็ไม่สามารถจะ
ได้น้ำมัน นั่นเพราะเหตุไร ดูกรภูมิชะ เพราะเขาไม่สามารถจะได้ น้ำมันโดยวิธีไม่แยบคาย ฉันใด
ดูกรภูมิชะ ฉันนั้นเหมือนกันแล สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่งที่มีทิฐิผิด มีสังกัปปะผิด
มีวาจาผิด มีกัมมันตะผิด มีอาชีวะผิด มีวายามะผิด มีสติผิด มีสมาธิผิด ถ้าแม้ทำความหวัง
แล้วประพฤติพรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทำความไม่หวังแล้วประพฤติ
พรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทำทั้งความหวังและความไม่หวังแล้วประพฤติ
พรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล ถ้าแม้ทำความหวังก็มิใช่ความไม่หวังก็มิใช่แล้วประพฤติ
พรหมจรรย์ เขาก็ไม่สามารถจะบรรลุผล นั่นเพราะเหตุไร ดูกรภูมิชะ เพราะเขาไม่สามารถจะ
บรรลุผลได้โดยอุบายไม่แยบคาย ฯ
[๔๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าผู้ประกอบด้วยองค์ ๓ ประการ ย่อม
ถึงความมีโภคทรัพย์มากมายเหลือเฟือไม่นานเลย องค์ ๓ ประการเป็นไฉน ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าในโลกนี้ เป็นคนที่มีตาดี ๑ มีธุระดี ๑ ถึงพร้อมด้วยบุคคล
ที่จะเป็นที่พึ่งได้ ๑ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าชื่อว่าเป็นคนมีตาดีอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พ่อค้าในโลกนี้ย่อมรู้สิ่งที่จะพึงซื้อขายว่า สิ่งที่พึงขายนี้ ซื้อมาเท่านี้ ขายไป
เท่านี้ จักได้ทุนเท่านี้ มีกำไรเท่านี้ ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าชื่อว่าเป็น
คนมีตาดี ด้วยอาการอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าชื่อว่ามีธุระดีอย่างไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าในโลกนี้ เป็นคนฉลาดที่จะซื้อและขายสิ่งที่ตนจะพึง
ซื้อขาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าชื่อว่าเป็นคนมีธุระดี ด้วยอาการอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยคนซึ่งจะเป็นที่พึ่งได้อย่างไร ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าในโลกนี้ อันคฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีผู้มั่งคั่ง ผู้มีทรัพย์มาก
มีโภคะมาก ทราบได้เช่นนี้ว่าท่านพ่อค้าผู้นี้แล เป็นคนมีตาดี มีธุระดี สามารถ
ที่จะเลี้ยงบุตรภรรยา และใช้คืนให้แก่เราตามเวลาได้ เขาต่างก็เชื้อเชิญพ่อค้า
นั้นด้วยโภคะว่า แน่ะท่านพ่อค้าผู้สหาย แต่นี้ไปท่านจงนำเอาโภคะไปเลี้ยงดู
บุตรภรรยา และใช้คืนให้แก่เราตามเวลา ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าชื่อว่าเป็น
ผู้ถึงพร้อมด้วยบุคคลซึ่งเป็นที่พึ่งได้ด้วยอาการอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้า
ผู้ประกอบด้วยองค์ ๓ ประการนี้แล ย่อมจะถึงความมีโภคะมากมายเหลือเฟือไม่
นานเลย ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ ฉันนั้น
เหมือนกัน ย่อมถึงความเป็นผู้มากมูนไพบูลย์ในกุศลธรรมไม่นานเลย ธรรม
๓ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีจักษุ ๑
มีธุระดี ๑ ถึงพร้อมด้วยภิกษุพอจะเป็นที่พึ่งได้ ๑ ฯ ...ตถาคต
แล้วพระพุทธเจ้า ได้บอกถึงการสร้างเหตุ อะไร ปัจจัย อะไรทำให้เป็นคนมีโภคทรัพย์มาก
บางคนก็บอกให้ไปบนบาน บางคนก็บอกให้ไปเรียนปอโท บางคนก็บอกให้ไปทำเดรัจฉานวิชา (รดน้ำมนต์,ดูหมอ) แต่พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นสัพพัญญู บอกไว้ว่ายังไงนะครับ ถึงจะเป็นการคั้นเมล็ดงา ไม่ไปคั้นเมล็ดทราย
ไว้มาต่อ
ไม่ประมาท
-
- Verified User
- โพสต์: 172
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 464
การให้ทานเป็นเหตุให้เกิดโภคทรัพย์นะครับ
การรักษาศีลก็เป็นเหตุแห่งโภคทรัพย์
๕๙๑) ดูก่อนมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม ย่อมเป็นผู้ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย เครื่องตามประทีป แก่สมณะพราหมณ์. เขาตายไป จะเข้าสู่สุคติโลกสวรรค์ เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าสู่สุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีโภคะมาก. ดูก่อนมาณพ ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีโภคะมากนี้ คือ ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย เครื่องตามประทีป แก่สมณะพราหมณ์....ตถาคต
การรักษาศีล มีผลมากกว่าการให้ทานกับคนธรรมดา มากกว่า 100,000,000 ( ร้อยล้านเท่า)
นะครับ
แต่สุดยอดที่สุดลองอ่านท้ายๆพระสูตรดูครับที่พระพุทธเจ้าสอนว่าต้องทำอะไร
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ท่านอนาถ
บิณฑิกคฤหบดีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีว่า ดูกรคฤหบดี
ในตระกูลของท่าน ยังให้ทานอยู่บ้างหรือหนอ ฯ
ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในตระกูล
ของข้าพระองค์ยังให้ทานอยู่ แต่ทานนั้นเป็นของเศร้าหมอง เป็นปลายข้าว มีน้ำ
ผักดองเป็นที่สอง ฯ
พ. ดูกรคฤหบดี คนให้ทานอันเศร้าหมองหรือประณีตก็ตาม แต่ให้ทาน
นั้นโดยไม่เคารพ ไม่ทำความนอบน้อมให้ ไม่ให้ด้วยมือตนเอง ให้ของที่เหลือ
ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรมให้ทาน ทานนั้นๆ ย่อมบังเกิดผลในตระกูลใดๆ
ในตระกูลนั้นๆ จิตของผู้ให้ทานย่อมไม่น้อมไปเพื่อบริโภคอาหารอย่างดี ย่อม
ไม่น้อมไปเพื่อบริโภคผ้าอย่างดี ย่อมไม่น้อมไปเพื่อบริโภคยานอย่างดี ย่อมไม่
น้อมไปเพื่อบริโภคกามคุณ ๕ อย่างดี แม้บริวารชนของผู้ให้ทานนั้น คือ บุตร
ภรรยา ทาส คนใช้ คนทำงาน ก็ไม่เชื่อฟัง ไม่เงี่ยหูฟัง ส่งจิตไปที่อื่นเสีย
ข้อนั้นเพราะเหตุไร ทั้งนี้เป็นเพราะผลแห่งกรรมที่ตนกระทำโดยไม่เคารพ ฯ
ดูกรคฤหบดี บุคคลให้ทานอันเศร้าหมองหรือประณีตก็ตาม แต่ให้ทาน
นั้นโดยเคารพ ทำความนอบน้อมให้ ให้ด้วยมือตนเอง ให้ของที่ไม่เหลือ เชื่อ
กรรมและผลของกรรมให้ทาน ทานนั้นๆ บังเกิดผลในตระกูลใดๆ ในตระกูล
นั้นๆ จิตของผู้ให้ทานย่อมน้อมไปเพื่อบริโภคอาหารอย่างดี ย่อมน้อมไปเพื่อ
บริโภคผ้าอย่างดี ย่อมน้อมไปเพื่อบริโภคยานอย่างดี ย่อมน้อมไปเพื่อบริโภค
กามคุณ ๕ อย่างดี แม้บริวารชนของผู้ให้ทานนั้น คือ บุตร ภรรยา ทาส
คนใช้ คนทำงาน ก็เชื่อฟังดี เงี่ยหูฟัง ไม่ส่งจิตไปที่อื่น ข้อนั้นเพราะเหตุไร
ทั้งนี้เป็นเพราะผลของกรรมที่ตนกระทำโดยเคารพ ฯ
ดูกรคฤหบดี เรื่องเคยมีมาแล้ว มีพราหมณ์ชื่อเวลามะ พราหมณ์ผู้นั้น
ได้ให้ทานเป็นมหาทานอย่างนี้ คือ ได้ให้ถาดทองเต็มด้วยรูปิยะ ๘๔,๐๐๐ ถาด
ถาดรูปิยะเต็มด้วยทอง ๘๔,๐๐๐ ถาด ถาดสำริดเต็มด้วยเงิน ๘๔,๐๐๐ ถาด ให้
ช้าง ๘๔,๐๐๐ เชือก มีเครื่องประดับล้วนเป็นทอง มีธงทอง คลุมด้วยข่ายทอง
ให้รถ ๘๔,๐๐๐ คัน หุ้มด้วยหนังราชสีห์ หนังเสือโคร่ง หนังเสือเหลือง ผ้ากัมพล
เหลือง มีเครื่องประดับล้วนเป็นทอง มีธงทอง คลุมด้วยข่ายทอง ให้แม่โคนม
๘๔,๐๐๐ ตัว มีน้ำนมไหลสะดวก ใช้ภาชนะเงินรองน้ำนม ให้หญิงสาว ๘๔,๐๐๐
คน ประดับด้วยแก้วมณีและแก้วกุณฑล ให้บัลลังก์ ๘๔,๐๐๐ ที่ ลาดด้วยผ้า
โกเชาว์ ลาดด้วยขนแกะสีขาว เครื่องลาดมีสัณฐานเป็นช่อดอกไม้ มีเครื่องลาด
อย่างดีทำด้วยหนังชะมด มีเครื่องลาดเพดาน มีหมอนข้างแดงทั้งสอง ให้ผ้า
๘๔,๐๐๐ โกฏิ เป็นผ้าเปลือกไม้ ผ้าแพร ผ้าฝ้าย เนื้อละเอียด จะป่วยกล่าว
ไปไยถึงข้าว น้ำ ของเคี้ยว ของบริโภค เครื่องลูบไล้ ที่นอน ไหลไปเหมือน
แม่น้ำ ดูกรคฤหบดี ก็ท่านพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า สมัยนั้น ผู้อื่นไม่ใช่เวลาม
พราหมณ์ผู้ที่ให้ทานเป็นมหาทานนั้น ดูกรคฤหบดี แต่ท่านไม่ควรเห็นอย่างนี้
สมัยนั้น เราเป็นเวลามพราหมณ์ เราได้ให้ทานนั้นเป็นมหาทาน ก็ในทานนั้น
ไม่มีใครเป็นพระทักขิเณยยบุคคล ใครๆ ไม่ชำระทักขิณานั้นให้หมดจด
ดูกรคฤหบดี
ทานที่บุคคลเชื้อเชิญท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิผู้เดียวบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่เวลามพราหมณ์ให้แล้ว
ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิร้อยท่านบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิผู้เดียวบริโภค
ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีผู้เดียวบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิร้อยท่านบริโภค
ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีร้อยท่านบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีผู้เดียวบริโภค
ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระอนาคามีผู้เดียวบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีร้อยท่านบริโภค
ทานที่บุคคลเชื้อเชิญพระอนาคามีร้อยท่านบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญพระอนาคามีผู้เดียวบริโภค
ทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ผู้เดียวบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระอนาคามีร้อยท่านบริโภค
ทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ร้อยท่านบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ผู้เดียวบริโภค
ทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปเดียวบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ร้อยรูปบริโภค
ทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้าร้อยรูปบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปเดียวบริโภค
ทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้าร้อยรูปบริโภค
ทานที่บุคคลถวายให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบริโภค
การที่บุคคลสร้างวิหารถวายสงฆ์ผู้มาจากจาตุรทิศ
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขบริโภค
การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลสร้างวิหารถวายสงฆ์อันมาจากจาตุรทิศ
การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท คือ งดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ จากการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นฐานะแห่งความประมาท
มีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
การที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม
มีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท คือ งดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ
ดูกรคฤหบดี
ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิผู้เดียวบริโภค มีผลมากกว่ามหาทาน
ที่เวลามพราหมณ์ให้แล้ว ... การที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูด
ดมของหอม มีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท คือ งดเว้น
จากปาณาติบาต ... และการที่บุคคลเจริญอนิจจสัญญาแม้เพียงเวลาลัดนิ้วมือ มี
ผลมากกว่าการที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม ฯ
การรักษาศีลก็เป็นเหตุแห่งโภคทรัพย์
๕๙๑) ดูก่อนมาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม ย่อมเป็นผู้ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย เครื่องตามประทีป แก่สมณะพราหมณ์. เขาตายไป จะเข้าสู่สุคติโลกสวรรค์ เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าสู่สุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีโภคะมาก. ดูก่อนมาณพ ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีโภคะมากนี้ คือ ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย เครื่องตามประทีป แก่สมณะพราหมณ์....ตถาคต
การรักษาศีล มีผลมากกว่าการให้ทานกับคนธรรมดา มากกว่า 100,000,000 ( ร้อยล้านเท่า)
นะครับ
แต่สุดยอดที่สุดลองอ่านท้ายๆพระสูตรดูครับที่พระพุทธเจ้าสอนว่าต้องทำอะไร
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ท่านอนาถ
บิณฑิกคฤหบดีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีว่า ดูกรคฤหบดี
ในตระกูลของท่าน ยังให้ทานอยู่บ้างหรือหนอ ฯ
ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในตระกูล
ของข้าพระองค์ยังให้ทานอยู่ แต่ทานนั้นเป็นของเศร้าหมอง เป็นปลายข้าว มีน้ำ
ผักดองเป็นที่สอง ฯ
พ. ดูกรคฤหบดี คนให้ทานอันเศร้าหมองหรือประณีตก็ตาม แต่ให้ทาน
นั้นโดยไม่เคารพ ไม่ทำความนอบน้อมให้ ไม่ให้ด้วยมือตนเอง ให้ของที่เหลือ
ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรมให้ทาน ทานนั้นๆ ย่อมบังเกิดผลในตระกูลใดๆ
ในตระกูลนั้นๆ จิตของผู้ให้ทานย่อมไม่น้อมไปเพื่อบริโภคอาหารอย่างดี ย่อม
ไม่น้อมไปเพื่อบริโภคผ้าอย่างดี ย่อมไม่น้อมไปเพื่อบริโภคยานอย่างดี ย่อมไม่
น้อมไปเพื่อบริโภคกามคุณ ๕ อย่างดี แม้บริวารชนของผู้ให้ทานนั้น คือ บุตร
ภรรยา ทาส คนใช้ คนทำงาน ก็ไม่เชื่อฟัง ไม่เงี่ยหูฟัง ส่งจิตไปที่อื่นเสีย
ข้อนั้นเพราะเหตุไร ทั้งนี้เป็นเพราะผลแห่งกรรมที่ตนกระทำโดยไม่เคารพ ฯ
ดูกรคฤหบดี บุคคลให้ทานอันเศร้าหมองหรือประณีตก็ตาม แต่ให้ทาน
นั้นโดยเคารพ ทำความนอบน้อมให้ ให้ด้วยมือตนเอง ให้ของที่ไม่เหลือ เชื่อ
กรรมและผลของกรรมให้ทาน ทานนั้นๆ บังเกิดผลในตระกูลใดๆ ในตระกูล
นั้นๆ จิตของผู้ให้ทานย่อมน้อมไปเพื่อบริโภคอาหารอย่างดี ย่อมน้อมไปเพื่อ
บริโภคผ้าอย่างดี ย่อมน้อมไปเพื่อบริโภคยานอย่างดี ย่อมน้อมไปเพื่อบริโภค
กามคุณ ๕ อย่างดี แม้บริวารชนของผู้ให้ทานนั้น คือ บุตร ภรรยา ทาส
คนใช้ คนทำงาน ก็เชื่อฟังดี เงี่ยหูฟัง ไม่ส่งจิตไปที่อื่น ข้อนั้นเพราะเหตุไร
ทั้งนี้เป็นเพราะผลของกรรมที่ตนกระทำโดยเคารพ ฯ
ดูกรคฤหบดี เรื่องเคยมีมาแล้ว มีพราหมณ์ชื่อเวลามะ พราหมณ์ผู้นั้น
ได้ให้ทานเป็นมหาทานอย่างนี้ คือ ได้ให้ถาดทองเต็มด้วยรูปิยะ ๘๔,๐๐๐ ถาด
ถาดรูปิยะเต็มด้วยทอง ๘๔,๐๐๐ ถาด ถาดสำริดเต็มด้วยเงิน ๘๔,๐๐๐ ถาด ให้
ช้าง ๘๔,๐๐๐ เชือก มีเครื่องประดับล้วนเป็นทอง มีธงทอง คลุมด้วยข่ายทอง
ให้รถ ๘๔,๐๐๐ คัน หุ้มด้วยหนังราชสีห์ หนังเสือโคร่ง หนังเสือเหลือง ผ้ากัมพล
เหลือง มีเครื่องประดับล้วนเป็นทอง มีธงทอง คลุมด้วยข่ายทอง ให้แม่โคนม
๘๔,๐๐๐ ตัว มีน้ำนมไหลสะดวก ใช้ภาชนะเงินรองน้ำนม ให้หญิงสาว ๘๔,๐๐๐
คน ประดับด้วยแก้วมณีและแก้วกุณฑล ให้บัลลังก์ ๘๔,๐๐๐ ที่ ลาดด้วยผ้า
โกเชาว์ ลาดด้วยขนแกะสีขาว เครื่องลาดมีสัณฐานเป็นช่อดอกไม้ มีเครื่องลาด
อย่างดีทำด้วยหนังชะมด มีเครื่องลาดเพดาน มีหมอนข้างแดงทั้งสอง ให้ผ้า
๘๔,๐๐๐ โกฏิ เป็นผ้าเปลือกไม้ ผ้าแพร ผ้าฝ้าย เนื้อละเอียด จะป่วยกล่าว
ไปไยถึงข้าว น้ำ ของเคี้ยว ของบริโภค เครื่องลูบไล้ ที่นอน ไหลไปเหมือน
แม่น้ำ ดูกรคฤหบดี ก็ท่านพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า สมัยนั้น ผู้อื่นไม่ใช่เวลาม
พราหมณ์ผู้ที่ให้ทานเป็นมหาทานนั้น ดูกรคฤหบดี แต่ท่านไม่ควรเห็นอย่างนี้
สมัยนั้น เราเป็นเวลามพราหมณ์ เราได้ให้ทานนั้นเป็นมหาทาน ก็ในทานนั้น
ไม่มีใครเป็นพระทักขิเณยยบุคคล ใครๆ ไม่ชำระทักขิณานั้นให้หมดจด
ดูกรคฤหบดี
ทานที่บุคคลเชื้อเชิญท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิผู้เดียวบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่เวลามพราหมณ์ให้แล้ว
ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิร้อยท่านบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิผู้เดียวบริโภค
ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีผู้เดียวบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิร้อยท่านบริโภค
ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีร้อยท่านบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีผู้เดียวบริโภค
ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระอนาคามีผู้เดียวบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีร้อยท่านบริโภค
ทานที่บุคคลเชื้อเชิญพระอนาคามีร้อยท่านบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญพระอนาคามีผู้เดียวบริโภค
ทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ผู้เดียวบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระอนาคามีร้อยท่านบริโภค
ทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ร้อยท่านบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ผู้เดียวบริโภค
ทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปเดียวบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ร้อยรูปบริโภค
ทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้าร้อยรูปบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปเดียวบริโภค
ทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้าร้อยรูปบริโภค
ทานที่บุคคลถวายให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขบริโภค
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบริโภค
การที่บุคคลสร้างวิหารถวายสงฆ์ผู้มาจากจาตุรทิศ
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขบริโภค
การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
มีผลมากกว่าทานที่บุคคลสร้างวิหารถวายสงฆ์อันมาจากจาตุรทิศ
การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท คือ งดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ จากการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นฐานะแห่งความประมาท
มีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
การที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม
มีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท คือ งดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ
ดูกรคฤหบดี
ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิผู้เดียวบริโภค มีผลมากกว่ามหาทาน
ที่เวลามพราหมณ์ให้แล้ว ... การที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูด
ดมของหอม มีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท คือ งดเว้น
จากปาณาติบาต ... และการที่บุคคลเจริญอนิจจสัญญาแม้เพียงเวลาลัดนิ้วมือ มี
ผลมากกว่าการที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม ฯ
ไม่ประมาท
-
- Verified User
- โพสต์: 172
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 465
พอผมเชื่อพระพุทธเจ้า ผมก็จะเลือกทำในสิ่งที่ได้ผลจริงๆ น่ะครับ ขี้เกียจไปคั้นทรายแล้ว คั้นมาตลอดชีวิตก็ไม่ได้น้ำมันซะที เหมือนพวกตาบอด~~
พอเปลี่ยนมาคั้นน้ำมัน อาจจะไม่รวยเหมือนกับคหบดีมหาศาล แต่ก็พอใจนะครับ ทุกข์มันก็น้อยลงไปทุกขั้นตอนของการกระทำ ถึงจะหวังหรือไม่หวัง แต่ยังเอามือคั้น มันก็ได้น้ำมันละนะ
.....
บางคนอาจจะคิดว่าพระพุทธเจ้าสอนแค่ หลุดพ้น นิพพาน แต่จริงๆพระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญู รู้ทุกเรื่องจริงๆ เอกลาภปัจจัย ชื่อเสียง เงินทอง จะได้มาด้วยเหตุอะไร
บางคนอาจจะเคยได้ฟังมาว่า พระพุทธเจ้าสอนแบบนั้นแบบนี้ คนนั้นบอกแบบนั้นแบบนี้ แต่จริงแล้ว คำที่ท่านพูดออกจากพระโอษฐ์ของพระองค์เอง เป็นยังไงกันแน่
บางคนอาจจะไม่เคยรู้ว่า พระพุทธเจ้าสามารถทำคำพูดให้ไม่พลาดได้แม้แต่คำเดียว
เหตุปัจจัยที่จะทำให้ เจริญได้ทั้งทางโลกทางธรรม ก็คือ ศรัทธา ศีล สุตตะ จาคะ ปัญญา ครับ ได้ผลแน่นอน ไม่มีไม่ให้ผล ~~
ภิกษุทั้งหลาย ! อริยสาวก เจริญอยู่ด้วยความเจริญ ๑๐ อย่าง ชื่อว่า ย่อมเจริญด้วย ความเจริญของพระอริยเจ้า ด้วย และเป็นผู้ ถือเอาแก่นสารและความประเสริฐทางฝ่ายกาย (วัตถุ) ได้ด้วย. สิบอย่าง อย่างไรเล่า? สิบอย่างคือ : -
ย่อมเจริญด้วยนาและสวน,
ย่อมเจริญด้วยทรัพย์และข้าวเปลือก,
ย่อมเจริญด้วยบุตรและภรรยา,
ย่อมเจริญด้วยทาสและกรรมกรที่เต็มขนาดแห่งบุรุษ,
ย่อมเจริญด้วยสัตว์สี่เท้า,
ย่อมเจริญด้วยสัทธา,
ย่อมเจริญด้วยศีล,
ย่อมเจริญด้วยสุตะ,
ย่อมเจริญด้วยจาคะ,
ย่อมเจริญด้วยปัญญา.
ภิกษุทั้งหลาย ! อริยสาวก เจริญอยู่ด้วยความเจริญ ๑๐ อย่างเหล่านี้แล ชื่อว่าย่อมเจริญด้วยความเจริญของพระอริยเจ้าด้วย และเป็นผู้ถือเอาแก่นสารและความประเสริฐทางฝ่ายกายได้ด้วย.
บุคคลใดในโลกนี้ ย่อมเจริญด้วยทรัพย์ ข้าวเปลือก บุตร ภรรยา และสัตว์สี่เท้า, บุคคลนั้น ย่อมเป็นผู้มีโชค มียศ เป็นที่บูชาของญาติมิตรและแม้ของพระราชา.
บุคคลใดในโลกนี้ ย่อมเจริญด้วยสัทธา ศีล ปัญญา จาคะ สุตะ อันเป็นความเจริญทั้งสองฝ่าย, บุคคลเช่นนั้น เป็นสัตบุรุษ มีปัญญาเห็นโดยประจักษ์ ย่อมเจริญด้วยความเจริญทั้งสองฝ่าย ในทิฏฐธรรมนี้, ดังนี้แล...ตถาคต
พอเปลี่ยนมาคั้นน้ำมัน อาจจะไม่รวยเหมือนกับคหบดีมหาศาล แต่ก็พอใจนะครับ ทุกข์มันก็น้อยลงไปทุกขั้นตอนของการกระทำ ถึงจะหวังหรือไม่หวัง แต่ยังเอามือคั้น มันก็ได้น้ำมันละนะ
.....
บางคนอาจจะคิดว่าพระพุทธเจ้าสอนแค่ หลุดพ้น นิพพาน แต่จริงๆพระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญู รู้ทุกเรื่องจริงๆ เอกลาภปัจจัย ชื่อเสียง เงินทอง จะได้มาด้วยเหตุอะไร
บางคนอาจจะเคยได้ฟังมาว่า พระพุทธเจ้าสอนแบบนั้นแบบนี้ คนนั้นบอกแบบนั้นแบบนี้ แต่จริงแล้ว คำที่ท่านพูดออกจากพระโอษฐ์ของพระองค์เอง เป็นยังไงกันแน่
บางคนอาจจะไม่เคยรู้ว่า พระพุทธเจ้าสามารถทำคำพูดให้ไม่พลาดได้แม้แต่คำเดียว
เหตุปัจจัยที่จะทำให้ เจริญได้ทั้งทางโลกทางธรรม ก็คือ ศรัทธา ศีล สุตตะ จาคะ ปัญญา ครับ ได้ผลแน่นอน ไม่มีไม่ให้ผล ~~
ภิกษุทั้งหลาย ! อริยสาวก เจริญอยู่ด้วยความเจริญ ๑๐ อย่าง ชื่อว่า ย่อมเจริญด้วย ความเจริญของพระอริยเจ้า ด้วย และเป็นผู้ ถือเอาแก่นสารและความประเสริฐทางฝ่ายกาย (วัตถุ) ได้ด้วย. สิบอย่าง อย่างไรเล่า? สิบอย่างคือ : -
ย่อมเจริญด้วยนาและสวน,
ย่อมเจริญด้วยทรัพย์และข้าวเปลือก,
ย่อมเจริญด้วยบุตรและภรรยา,
ย่อมเจริญด้วยทาสและกรรมกรที่เต็มขนาดแห่งบุรุษ,
ย่อมเจริญด้วยสัตว์สี่เท้า,
ย่อมเจริญด้วยสัทธา,
ย่อมเจริญด้วยศีล,
ย่อมเจริญด้วยสุตะ,
ย่อมเจริญด้วยจาคะ,
ย่อมเจริญด้วยปัญญา.
ภิกษุทั้งหลาย ! อริยสาวก เจริญอยู่ด้วยความเจริญ ๑๐ อย่างเหล่านี้แล ชื่อว่าย่อมเจริญด้วยความเจริญของพระอริยเจ้าด้วย และเป็นผู้ถือเอาแก่นสารและความประเสริฐทางฝ่ายกายได้ด้วย.
บุคคลใดในโลกนี้ ย่อมเจริญด้วยทรัพย์ ข้าวเปลือก บุตร ภรรยา และสัตว์สี่เท้า, บุคคลนั้น ย่อมเป็นผู้มีโชค มียศ เป็นที่บูชาของญาติมิตรและแม้ของพระราชา.
บุคคลใดในโลกนี้ ย่อมเจริญด้วยสัทธา ศีล ปัญญา จาคะ สุตะ อันเป็นความเจริญทั้งสองฝ่าย, บุคคลเช่นนั้น เป็นสัตบุรุษ มีปัญญาเห็นโดยประจักษ์ ย่อมเจริญด้วยความเจริญทั้งสองฝ่าย ในทิฏฐธรรมนี้, ดังนี้แล...ตถาคต
ไม่ประมาท
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 466
... ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าผู้ประกอบด้วยองค์ ๓ ประการ ย่อม
ถึงความมีโภคทรัพย์มากมายเหลือเฟือไม่นานเลย องค์ ๓ ประการเป็นไฉน ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าในโลกนี้ เป็นคนที่มีตาดี ๑ มีธุระดี ๑ ถึงพร้อมด้วยบุคคล
ที่จะเป็นที่พึ่งได้ ๑ ฯ ...
... ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าชื่อว่าเป็นคนมีตาดีอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พ่อค้าในโลกนี้ย่อมรู้สิ่งที่จะพึงซื้อขายว่า สิ่งที่พึงขายนี้ ซื้อมาเท่านี้ ขายไป
เท่านี้ จักได้ทุนเท่านี้ มีกำไรเท่านี้ ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าชื่อว่าเป็น
คนมีตาดี ด้วยอาการอย่างนี้แล ...
ชัดเจนดีนะคับ ตาดี คือ มองหุ้นออก เข้าใจธุรกิจ รู้มูลค่าที่น่าจะเป็นในอดีต ปัจจุบัน อนาคต
ซื้อหุ้นเมื่อมีส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย
... ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าชื่อว่ามีธุระดีอย่างไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าในโลกนี้ เป็นคนฉลาดที่จะซื้อและขายสิ่งที่ตนจะพึงซื้อขาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าชื่อว่าเป็นคนมีธุระดี ด้วยอาการอย่างนี้แล ...
ชัดเจนอีก มีธุระดี คือ ซื้อเมื่อตลาดเสนอส่วนลดให้สุดๆ ยามตลาดเต็มไปด้วยข่าวร้าย
และรอวันขายหุ้นเมื่อตลาดกลับมาสดใหม่ หรือ ไม่ขายเลย ถ้าธุรกิจไปได้ด้วยดีตราบนานเท่านาน
... ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยคนซึ่งจะเป็นที่พึ่งได้อย่างไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าในโลกนี้ อันคฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีผู้มั่งคั่ง ผู้มีทรัพย์มาก
มีโภคะมาก ทราบได้เช่นนี้ว่าท่านพ่อค้าผู้นี้แล เป็นคนมีตาดี มีธุระดี สามารถ
ที่จะเลี้ยงบุตรภรรยา และใช้คืนให้แก่เราตามเวลาได้ เขาต่างก็เชื้อเชิญพ่อค้า
นั้นด้วยโภคะว่า แน่ะท่านพ่อค้าผู้สหาย แต่นี้ไปท่านจงนำเอาโภคะไปเลี้ยงดู
บุตรภรรยา และใช้คืนให้แก่เราตามเวลา ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าชื่อว่าเป็น
ผู้ถึงพร้อมด้วยบุคคลซึ่งเป็นที่พึ่งได้ด้วยอาการอย่างนี้แล ...
ข้อนี้เน้น ในเรื่อง เลี้ยงดูครอบครัวให้มีความสุข และ ความซื่อสัตยสุจริต ไม่ปั่นหุ้น ไม่ใบ้หุ้น ไม่แจกหุ้น เพื่อหวังผลให้หุ้นที่เราถือวิ่งไปไกลๆ
ผมเห็นเรื่องเชียร์หุ้นกันมากขึ้นๆ ก็หวังว่าคงต้องสอดส่องดูแลกันหน่อย แล้วก็ต้องวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆให้รอบคอบด้วย
... ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้า ผู้ประกอบด้วยองค์ ๓ ประการนี้แล
ย่อมจะถึงความมีโภคะมากมายเหลือเฟือไม่นานเลย ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ
ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมถึงความเป็นผู้มากมูนไพบูลย์ในกุศลธรรมไม่นานเลย ธรรม ๓ ประการเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีจักษุ ๑ มีธุระดี ๑ ถึงพร้อมด้วยภิกษุพอจะเป็นที่พึ่งได้ ๑ ฯ ...
ถึงความมีโภคทรัพย์มากมายเหลือเฟือไม่นานเลย องค์ ๓ ประการเป็นไฉน ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าในโลกนี้ เป็นคนที่มีตาดี ๑ มีธุระดี ๑ ถึงพร้อมด้วยบุคคล
ที่จะเป็นที่พึ่งได้ ๑ ฯ ...
... ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าชื่อว่าเป็นคนมีตาดีอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พ่อค้าในโลกนี้ย่อมรู้สิ่งที่จะพึงซื้อขายว่า สิ่งที่พึงขายนี้ ซื้อมาเท่านี้ ขายไป
เท่านี้ จักได้ทุนเท่านี้ มีกำไรเท่านี้ ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าชื่อว่าเป็น
คนมีตาดี ด้วยอาการอย่างนี้แล ...
ชัดเจนดีนะคับ ตาดี คือ มองหุ้นออก เข้าใจธุรกิจ รู้มูลค่าที่น่าจะเป็นในอดีต ปัจจุบัน อนาคต
ซื้อหุ้นเมื่อมีส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย
... ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าชื่อว่ามีธุระดีอย่างไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าในโลกนี้ เป็นคนฉลาดที่จะซื้อและขายสิ่งที่ตนจะพึงซื้อขาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าชื่อว่าเป็นคนมีธุระดี ด้วยอาการอย่างนี้แล ...
ชัดเจนอีก มีธุระดี คือ ซื้อเมื่อตลาดเสนอส่วนลดให้สุดๆ ยามตลาดเต็มไปด้วยข่าวร้าย
และรอวันขายหุ้นเมื่อตลาดกลับมาสดใหม่ หรือ ไม่ขายเลย ถ้าธุรกิจไปได้ด้วยดีตราบนานเท่านาน
... ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยคนซึ่งจะเป็นที่พึ่งได้อย่างไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าในโลกนี้ อันคฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีผู้มั่งคั่ง ผู้มีทรัพย์มาก
มีโภคะมาก ทราบได้เช่นนี้ว่าท่านพ่อค้าผู้นี้แล เป็นคนมีตาดี มีธุระดี สามารถ
ที่จะเลี้ยงบุตรภรรยา และใช้คืนให้แก่เราตามเวลาได้ เขาต่างก็เชื้อเชิญพ่อค้า
นั้นด้วยโภคะว่า แน่ะท่านพ่อค้าผู้สหาย แต่นี้ไปท่านจงนำเอาโภคะไปเลี้ยงดู
บุตรภรรยา และใช้คืนให้แก่เราตามเวลา ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้าชื่อว่าเป็น
ผู้ถึงพร้อมด้วยบุคคลซึ่งเป็นที่พึ่งได้ด้วยอาการอย่างนี้แล ...
ข้อนี้เน้น ในเรื่อง เลี้ยงดูครอบครัวให้มีความสุข และ ความซื่อสัตยสุจริต ไม่ปั่นหุ้น ไม่ใบ้หุ้น ไม่แจกหุ้น เพื่อหวังผลให้หุ้นที่เราถือวิ่งไปไกลๆ
ผมเห็นเรื่องเชียร์หุ้นกันมากขึ้นๆ ก็หวังว่าคงต้องสอดส่องดูแลกันหน่อย แล้วก็ต้องวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆให้รอบคอบด้วย
... ดูกรภิกษุทั้งหลาย พ่อค้า ผู้ประกอบด้วยองค์ ๓ ประการนี้แล
ย่อมจะถึงความมีโภคะมากมายเหลือเฟือไม่นานเลย ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ
ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมถึงความเป็นผู้มากมูนไพบูลย์ในกุศลธรรมไม่นานเลย ธรรม ๓ ประการเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีจักษุ ๑ มีธุระดี ๑ ถึงพร้อมด้วยภิกษุพอจะเป็นที่พึ่งได้ ๑ ฯ ...
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4940
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 467
เห็นกระทู้เงียบไป มา up หน่อยครับ
หลายคนคิดว่าธรรมเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ยาก ศาสนาเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้
วัดผลสำเร็จไม่ได้ ไม่เหมือนการเรียน ไม่เหมือนการลงทุน
ที่มีการให้เกรด มีผลประกอบการ มีตัวชี้วัด มีผู้คุ้มกฏ
คิดว่าการรู้ธรรม หรือบรรลุนั้นจะเป็นไปไม่ได้ มีไม่ได้
หรือเห็นว่าคนรู้ธรรม ต้องเป็นอะไรที่พิเศษกว่าคนทั่วไป
ไม่เห็นว่าท่านที่รู้แล้ว ท่านก็ยังเป็นคนเหมือนเราทั่วไป
ต้องพบเจอปัญหา ต้องป่วยเจ็บ มีงานต้องทำ หรือทำอะไรก็มีอุปสรรคได้เหมือนเดิม
ต้องคิดนึก มีอารมณ์ต่างๆ เหมือนคนทั่วไป
ส่วนความต่างๆ ที่แปลกไปก็คือ
ท่านจะทำหรือจะแสดงอะไรออกมา ถ้าท่านเห็นว่าเหมาะควรแล้ว
ท่านก็ทำด้วยความเต็มที่เต็มกำลังทุกอย่าง ท่านสนใจแค่สิ่งที่กำลังทำอยู่เท่านั้น
โดยที่ไม่ได้ไปสนใจเลยว่าตัวเองหรือใครจะว่าอะไร
หรือผลจะออกมาอย่างไร เพราะผลที่ได้ก็จะไปตามเหตุที่ทำนั้นเอง
ทำเสร็จแล้วก็จบไป หรือทำไม่เสร็จก็จบไป จะกลับมาทำใหม่หรือไม่ ก็ไปตามเหตุปัจจัย
การวัดผลก็เลยง่าย เพราะทำจบเป็นเรื่องๆ ไป จบเป็นขั้นๆ ไป
เพราะทำด้วยตนเอง ก็ตอบดูผลที่ตัวเอง
เบื้องต้นก็ดูแค่ว่าเรายังทำตรงทางหรือไม่ก่อน มีใครเดือนร้อนในสิ่งที่เราทำมั้ย
แล้วดูเพิ่มว่าสามารถประยุกต์เรื่องที่เรารู้ไปใช้งานต่อได้หรือไม่
ถ้าตรงทาง ไม่มีใครเดือนร้อน ก็น่าจะพอใจได้แล้ว ไม่ต้องวัดผลอะไรมาก
พระพุทธเจ้าท่านให้ทำและตอบด้วยตนเองไปเรื่อยๆ
ท่านบอกไว้แล้วว่าอย่าทำตามหรือเชื่อตามกันไป
ให้พิจารณาเองก่อน
๑. อย่าเชื่อถือโดยการฟังตามกันมา มา อนุสฺสเวน
๒. อย่าเชื่อถือโดยเห็นทำตามกันมา มา ปรมฺปราย
๓. อย่าเชื่อถือโดยการเล่าลือกันมา มา อิติกิราย
๔. อย่าเชื่อถือโดยการอ้างตำรา มา ปิฏกกมฺปทาเนน
๕. อย่าเชื่อถือโดยนัยหรือความคาดหมาย มา นยเหตุ
๖. อย่าเชื่อถือโดยคิดตรึกเอาเองหรือโดยตรรก มา ตกฺกเหตุ
๗. อย่าเชื่อถือโดยคิดตามอาการเป็นไป มา อาการปริวิตกฺเกน
๘. อย่าเชื่อถือโดยชอบใจว่าตรงตามหลักของตน มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา
๙. อย่าเชื่อถือโดยเห็นว่าเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือ มา ภพพรูปตาย
๑๐. อย่าเชื่อถือโดยเห็นว่าเป็นครูอาจารย์ของเรา มา สมโณ โน ครูติ
ธรรมก็เหมือนการลงทุน ตั้งเป้าให้ถูกต้อง มีพื้นฐานที่ถูกต้อง
เดี๋ยวนี้มีปริยัติ ปฏิบัติมากมาย หาแนวทางที่ตรงทางและถูกต้องให้ได้ก่อน
อย่างการลงทุนก็มาทาง web vi แบบนี้ถูกต้องแล้ว
อย่างธรรมก็ตรวจดูว่าที่ทำอยู่ ไปตามแนวตรงตามไตรลักษณ์ ตรงทางอริยสัจ ตรงทางมรรคหรือไม่
ถ้าตรงก็ถูกต้องแล้ว
ทำไปเรื่อยๆ มีเป้าหมายตรงทาง ถูกต้องแล้ว เดี๋ยวผล ปฏิเวธ ก็ออกมาเองครับ
หลายคนคิดว่าธรรมเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ยาก ศาสนาเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้
วัดผลสำเร็จไม่ได้ ไม่เหมือนการเรียน ไม่เหมือนการลงทุน
ที่มีการให้เกรด มีผลประกอบการ มีตัวชี้วัด มีผู้คุ้มกฏ
คิดว่าการรู้ธรรม หรือบรรลุนั้นจะเป็นไปไม่ได้ มีไม่ได้
หรือเห็นว่าคนรู้ธรรม ต้องเป็นอะไรที่พิเศษกว่าคนทั่วไป
ไม่เห็นว่าท่านที่รู้แล้ว ท่านก็ยังเป็นคนเหมือนเราทั่วไป
ต้องพบเจอปัญหา ต้องป่วยเจ็บ มีงานต้องทำ หรือทำอะไรก็มีอุปสรรคได้เหมือนเดิม
ต้องคิดนึก มีอารมณ์ต่างๆ เหมือนคนทั่วไป
ส่วนความต่างๆ ที่แปลกไปก็คือ
ท่านจะทำหรือจะแสดงอะไรออกมา ถ้าท่านเห็นว่าเหมาะควรแล้ว
ท่านก็ทำด้วยความเต็มที่เต็มกำลังทุกอย่าง ท่านสนใจแค่สิ่งที่กำลังทำอยู่เท่านั้น
โดยที่ไม่ได้ไปสนใจเลยว่าตัวเองหรือใครจะว่าอะไร
หรือผลจะออกมาอย่างไร เพราะผลที่ได้ก็จะไปตามเหตุที่ทำนั้นเอง
ทำเสร็จแล้วก็จบไป หรือทำไม่เสร็จก็จบไป จะกลับมาทำใหม่หรือไม่ ก็ไปตามเหตุปัจจัย
การวัดผลก็เลยง่าย เพราะทำจบเป็นเรื่องๆ ไป จบเป็นขั้นๆ ไป
เพราะทำด้วยตนเอง ก็ตอบดูผลที่ตัวเอง
เบื้องต้นก็ดูแค่ว่าเรายังทำตรงทางหรือไม่ก่อน มีใครเดือนร้อนในสิ่งที่เราทำมั้ย
แล้วดูเพิ่มว่าสามารถประยุกต์เรื่องที่เรารู้ไปใช้งานต่อได้หรือไม่
ถ้าตรงทาง ไม่มีใครเดือนร้อน ก็น่าจะพอใจได้แล้ว ไม่ต้องวัดผลอะไรมาก
พระพุทธเจ้าท่านให้ทำและตอบด้วยตนเองไปเรื่อยๆ
ท่านบอกไว้แล้วว่าอย่าทำตามหรือเชื่อตามกันไป
ให้พิจารณาเองก่อน
๑. อย่าเชื่อถือโดยการฟังตามกันมา มา อนุสฺสเวน
๒. อย่าเชื่อถือโดยเห็นทำตามกันมา มา ปรมฺปราย
๓. อย่าเชื่อถือโดยการเล่าลือกันมา มา อิติกิราย
๔. อย่าเชื่อถือโดยการอ้างตำรา มา ปิฏกกมฺปทาเนน
๕. อย่าเชื่อถือโดยนัยหรือความคาดหมาย มา นยเหตุ
๖. อย่าเชื่อถือโดยคิดตรึกเอาเองหรือโดยตรรก มา ตกฺกเหตุ
๗. อย่าเชื่อถือโดยคิดตามอาการเป็นไป มา อาการปริวิตกฺเกน
๘. อย่าเชื่อถือโดยชอบใจว่าตรงตามหลักของตน มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา
๙. อย่าเชื่อถือโดยเห็นว่าเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือ มา ภพพรูปตาย
๑๐. อย่าเชื่อถือโดยเห็นว่าเป็นครูอาจารย์ของเรา มา สมโณ โน ครูติ
ธรรมก็เหมือนการลงทุน ตั้งเป้าให้ถูกต้อง มีพื้นฐานที่ถูกต้อง
เดี๋ยวนี้มีปริยัติ ปฏิบัติมากมาย หาแนวทางที่ตรงทางและถูกต้องให้ได้ก่อน
อย่างการลงทุนก็มาทาง web vi แบบนี้ถูกต้องแล้ว
อย่างธรรมก็ตรวจดูว่าที่ทำอยู่ ไปตามแนวตรงตามไตรลักษณ์ ตรงทางอริยสัจ ตรงทางมรรคหรือไม่
ถ้าตรงก็ถูกต้องแล้ว
ทำไปเรื่อยๆ มีเป้าหมายตรงทาง ถูกต้องแล้ว เดี๋ยวผล ปฏิเวธ ก็ออกมาเองครับ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4940
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 468
พึ่งไปตอบกระทู้หนึ่งมา มันปิ๊งเลยมา post ไว้หน่อย
ว่าที่ยังติดใจหรือยังสนใจธรรมกับการลงทุนอยู่นี้ก็เพราะมันสนุกครับ
ก่อนนี้มันไม่ได้สุข ทำไม่ถูกทิศทาง ไม่สนุกเลยครับ
แต่ตอนนี้เห็นว่ามันสนุก ทำอะไรด้วยความสนุก ความสุขมันก็ตามมาติดๆ นั่นเองครับ
ธรรมก็เหมือนกัน มันสนุกนะครับ ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อเลย สนุกมากด้วย
ว่าที่ยังติดใจหรือยังสนใจธรรมกับการลงทุนอยู่นี้ก็เพราะมันสนุกครับ
ก่อนนี้มันไม่ได้สุข ทำไม่ถูกทิศทาง ไม่สนุกเลยครับ
แต่ตอนนี้เห็นว่ามันสนุก ทำอะไรด้วยความสนุก ความสุขมันก็ตามมาติดๆ นั่นเองครับ
ธรรมก็เหมือนกัน มันสนุกนะครับ ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อเลย สนุกมากด้วย
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 469
เหมือนผมเลยครับ ที่ลงทุนอยู่ทุกวันนี้เพราะสนุก และได้เงินมากกว่าดอกเบี้ยธนาคาร ถ้าวันใดวันนึงเงินฝากแบ้งค์ได้ดอกเบี้ย1x%ผมก็คิดว่าจะลดการลงทุนลง เพราะคิดว่าน่าจะพอใช้แล้วครับDech เขียน:พึ่งไปตอบกระทู้หนึ่งมา มันปิ๊งเลยมา post ไว้หน่อย
ว่าที่ยังติดใจหรือยังสนใจธรรมกับการลงทุนอยู่นี้ก็เพราะมันสนุกครับ
ก่อนนี้มันไม่ได้สุข ทำไม่ถูกทิศทาง ไม่สนุกเลยครับ
แต่ตอนนี้เห็นว่ามันสนุก ทำอะไรด้วยความสนุก ความสุขมันก็ตามมาติดๆ นั่นเองครับ
ธรรมก็เหมือนกัน มันสนุกนะครับ ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อเลย สนุกมากด้วย
ทุกวันนี้โดยเฉพาะตอนอยู่ไร่ผมใช้เงินแค่วันละร้อยกว่าบาท กินง่ายอยู่ง่าย กินข้าวแค่วันละ2มื้อ วันๆแทบไม่ได้ใช้เงิน (แต่ถ้าเข้ากทมก็ใช้มากหน่อย) หลังจากกินข้าวเสร็จก็ทำงานในไร่ เช่นถากหญ้าประมาณ1ชม.พอแดดออกก็หยุดเพราะเดี๋ยวนี้อายุเริ่มมากแดดก็ร้อนขึ้นร่างกายมันชักจะไม่ไหวเริ่มเป็นโรคชรา กลางวันก็อ่านหนังสือ ทำโน่นทำนี่
พอแดดเริ่มหมดสัก4โมงเย็นก็ออกไร่อีกสัก2ชั่วโมง พอเหงื่อออก ตอนเย็นก็สวดมนต์ไหว้พระ
(อยู่ไร่นี่ดีอย่างไม่ค่อยมีใครกวน ไม่ค่อยได้ยุ่งกับใคร ทำให้มีเวลาอยู่กับตัวเองมาก ต่างจากคนอื่นๆที่เคยรู้จักพวกนั้นวันๆใช้เวลาไปอยู่กับคนอื่น สิ่งอื่น จิตไหลออกนอกตลอดทั้งวัน บางคนที่รู้จักก็พยายามเจริญสติอยู่ แต่ก็ยากเพราะในโลกปัจจุบันมีสิ่งยั่วยวนให้จิตไหลออกนอกทั้งวัน ภาวนาก็ยาก แต่ก็พอเห็นคนที่ภาวนาเก่งๆอยู่บ้าง ) สิ่งที่ผมต้องการเมื่อมาอยู่ไร่คือสิ่งนี้แหละครับคือมีเวลาว่างมาก วันๆไม่มีใครยุ่ง ทำให้การเจริญสติง่าย ส่วนสิ่งอื่นที่เป็นผลพลอยได้คือได้ออกกำลังกาย ได้อ่านหนังสือ ได้ปลูกผัก(ผักที่ปลูกก็คือ ฟักทอง ปีนี้เพิ่มข้าวโพดกับแฟงลงไปนิดหน่อย ได้ผลผลิตมาก็เอาเข้าวัดหมด วัดที่เอาไปก็จะเป็นวัดขาประจำ วัดภูสังโฆ วัดถ้ำสหาย วัดป่าภูผาแดง บางกะม่า ฯลฯ) ที่เหลือบางส่วนก็แจกเพื่อนๆ ญาติพี่น้อง แทบไม่เหลือไว้ขายเลย
"งานหลักของเราในสังสารวัตรคือการภาวนา งานรองลงมาคือการหาอยู่หากิน" ....หลวงพ่อปราโมทย์
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 471
ถ้าสนใจผมแนะนำเวปนี้เลยครับ www.kasetporpeang.comamornkowa เขียน:ผมว่าแนวทางคุณcobainน่าสนใจนะครับ เอาไว้ตอนเกษียณจะอยู่แบบบนี้บ้าง
เวปนี้มีเรื่องอะไรให้อ่านเยอะมากๆ สนุกมากๆครับ บางคนก็เป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆ บางคนก็ทำงานหาเช้ากินค่ำทั่วๆไป บางคนใฝ่ฝันเก็บเงินซื้อที่ดินเพื่อที่จะทำเกษตรตามที่เค้าใฝ่ฝัน ไม่ได้มีเงินทองอะไรมากมาย บางคนก็รวยแล้วแต่อยากจะทำไร่ทำสวนก็มี มีเรื่องเกษตรกรรมแทบทุกชนิดและภูมิปัญญาที่เอามาแบ่งปันกัน
ลองอ่านดูนะครับ บางทีอาจจะไม่ต้องรอเกษียณก่อนก็ได้นะครับ
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 472
อนุโมทนาด้วยครับพี่ cobain_vi การห่างจากสังคมนี่ดีนะครับ ตั้งแต่ผมเริ่มปฏิบัติธรรมมา ผมก็ห่างจากสังคมมากขึ้นๆ พบว่าความสุขมีมากขึ้น ทุกข์มีน้อยลง ผมรู้สึกว่าเวลาเราเข้าสังคม โดยเฉพาะสังคมทางโลกนี่บ่อยครั้งที่เราจะ Import กิเลสของคนอื่นเข้ามาให้ตัวเราให้เป็นทุกข์ซะเยอะ เป็นความโลภที่ถูกคนอื่นชักจูงซะมาก พอเราห่างจากสังคมมากขึ้น ความอยากได้อยากมีอยากเป็นแบบคนอื่นเขาก็น้อยลงไปมาก เพราะ เราไม่ได้ไปเห็นของคนอื่นเขา ไม่ได้ไปถูกกระตุ้นมากนัก กินอยู่หลับนอน เสพเสวยโลก แสวงหากามคุณ 5 ก็เป็นความโลภของเราเพียวๆ ไม่ได้ถูกกระตุ้นจากคนอื่นมากเหมือนเมื่อก่อน การลงทุนก็เลือกลงทุนตามทางเลือกที่ไหลเข้ามาตามเหตุปัจจัย การลงทุนไหนดูแล้วดี มีอนาคต เหมาะสมกับ Life Style เราก็คัดกรอง จัดพอร์ตตามความเหมาะสม ได้ผลตอบแทนแค่พอเอาไว้ใช้เลี้ยงครอบครัว ไม่ได้เอาไปแข่ง เอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่นcobain_vi เขียน:เหมือนผมเลยครับ ที่ลงทุนอยู่ทุกวันนี้เพราะสนุก และได้เงินมากกว่าดอกเบี้ยธนาคาร ถ้าวันใดวันนึงเงินฝากแบ้งค์ได้ดอกเบี้ย1x%ผมก็คิดว่าจะลดการลงทุนลง เพราะคิดว่าน่าจะพอใช้แล้วครับDech เขียน:พึ่งไปตอบกระทู้หนึ่งมา มันปิ๊งเลยมา post ไว้หน่อย
ว่าที่ยังติดใจหรือยังสนใจธรรมกับการลงทุนอยู่นี้ก็เพราะมันสนุกครับ
ก่อนนี้มันไม่ได้สุข ทำไม่ถูกทิศทาง ไม่สนุกเลยครับ
แต่ตอนนี้เห็นว่ามันสนุก ทำอะไรด้วยความสนุก ความสุขมันก็ตามมาติดๆ นั่นเองครับ
ธรรมก็เหมือนกัน มันสนุกนะครับ ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อเลย สนุกมากด้วย
ทุกวันนี้โดยเฉพาะตอนอยู่ไร่ผมใช้เงินแค่วันละร้อยกว่าบาท กินง่ายอยู่ง่าย กินข้าวแค่วันละ2มื้อ วันๆแทบไม่ได้ใช้เงิน (แต่ถ้าเข้ากทมก็ใช้มากหน่อย) หลังจากกินข้าวเสร็จก็ทำงานในไร่ เช่นถากหญ้าประมาณ1ชม.พอแดดออกก็หยุดเพราะเดี๋ยวนี้อายุเริ่มมากแดดก็ร้อนขึ้นร่างกายมันชักจะไม่ไหวเริ่มเป็นโรคชรา กลางวันก็อ่านหนังสือ ทำโน่นทำนี่
พอแดดเริ่มหมดสัก4โมงเย็นก็ออกไร่อีกสัก2ชั่วโมง พอเหงื่อออก ตอนเย็นก็สวดมนต์ไหว้พระ
(อยู่ไร่นี่ดีอย่างไม่ค่อยมีใครกวน ไม่ค่อยได้ยุ่งกับใคร ทำให้มีเวลาอยู่กับตัวเองมาก ต่างจากคนอื่นๆที่เคยรู้จักพวกนั้นวันๆใช้เวลาไปอยู่กับคนอื่น สิ่งอื่น จิตไหลออกนอกตลอดทั้งวัน บางคนที่รู้จักก็พยายามเจริญสติอยู่ แต่ก็ยากเพราะในโลกปัจจุบันมีสิ่งยั่วยวนให้จิตไหลออกนอกทั้งวัน ภาวนาก็ยาก แต่ก็พอเห็นคนที่ภาวนาเก่งๆอยู่บ้าง ) สิ่งที่ผมต้องการเมื่อมาอยู่ไร่คือสิ่งนี้แหละครับคือมีเวลาว่างมาก วันๆไม่มีใครยุ่ง ทำให้การเจริญสติง่าย ส่วนสิ่งอื่นที่เป็นผลพลอยได้คือได้ออกกำลังกาย ได้อ่านหนังสือ ได้ปลูกผัก(ผักที่ปลูกก็คือ ฟักทอง ปีนี้เพิ่มข้าวโพดกับแฟงลงไปนิดหน่อย ได้ผลผลิตมาก็เอาเข้าวัดหมด วัดที่เอาไปก็จะเป็นวัดขาประจำ วัดภูสังโฆ วัดถ้ำสหาย วัดป่าภูผาแดง บางกะม่า ฯลฯ) ที่เหลือบางส่วนก็แจกเพื่อนๆ ญาติพี่น้อง แทบไม่เหลือไว้ขายเลย
"งานหลักของเราในสังสารวัตรคือการภาวนา งานรองลงมาคือการหาอยู่หากิน" ....หลวงพ่อปราโมทย์
แต่การห่างพอถึงจุดหนึ่งก็จะเบื่อ แล้วก็จะมีความโลภที่อยากจะไปรับอารมณ์มาบ้าง เลยไปเข้าสังคมบ้าง พอเข้าไปเห็นทุกข์โทษก็ออกมาอีก เข้าๆ ออกๆ เบื่อๆ อยากๆ แต่ทุกรอบที่เข้าไป ก็จะเห็นตัวเองชัดขึ้น เห็นทุกข์จากการเข้าสังคมมากขึ้น และห่างได้มากขึ้นเรื่อยๆ มีความสุขจากความสงบ และความเบาคลายจากการกิเลสมากขึ้น นอกจากนี้การไม่ต้องไปยุ่งวุ่นวายกับคนอื่น เลยทำให้มีเวลา มี Space ให้กับตัวเอง ได้เรียนรู้ตัวเองได้มากขึ้น จัดการกับอารมณ์ ความคิดตัวเองได้เด็ดขาดขึ้น
การลงทุนผมว่าสนุกแล้ว แต่การเรียนรู้ธรรมชาติของกายใจตัวเองนี่ ผมว่าสนุกกว่าอีกนะครับ เห็นธรรมชาติของความคิด กิเลส ที่ลากเราไปทางนู้นที ทางนี้ที เห็นธรรมชาติของการปรุงแต่งสิ่งต่างๆ เหตุปัจจัยของสิ่งต่างๆ พอเห็นธรรมชาติเหล่านี้บ่อยๆ เข้า ก็จะเห็นว่ามีอะไรใหม่ๆ ที่น่าสนใจอยู่ตลอดเวลา ตามดูตามรู้แล้วก็เพลิดเพลินไปกับเรียนรู้ ค้นพบสิ่งใหม่ๆ เล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องต่างๆ แม้ว่าการใช้ชีวิตจะเรียบง่ายมากๆ ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่และมีค่าอะไรในสายตาของคนอื่น แต่กลับเป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่าความหมายต่อตัวเองมากที่สุดนับตั้งแต่เกิดมา
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 473
อนุโมทนาครับพี่picatos เห็นคนที่สนใจการปฏิบัติเเล้วปลื้ม บางครั้งผมก็ขี้เกียจภาวนาเหมือนกันครับมัวแต่เล่นอะไรเพลินๆแต่พอได้เจอคนที่ภาวนาด้วยกัน ได้คุยได้ไปเห็นตามวัดแล้วมันทำให้เราหายขี้เกียจ เหมือนกับการลงทุนพอได้ไปงานมีทติ้งเห็นคนเก่งๆแล้วมันมีแรงฮึด มันฮึกเหิม แต่พอกลับมาบ้านสักสองสามอาทิตย์แล้วก็ขี้เกียจเหมือนเดิม ฮา ไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปทำไมมากมาย เพราะคิดว่าคุณค่าของชีวิตไม่ได้อยู่ที่เงินทอง จริงๆนะครับที่ลงทุนอยู่ทุกวันนี้ก็สนุกๆไป ไม่ได้อยากรวยอะไร(ถ้ามันจะรวยก็รวยไป ไม่ขัดข้อง อิอิ) ผมคิดว่าพี่picatosก็คงคิดเหมือนผม รถเราก็มีแล้วเป็นรถปิคอัพถึงมันจะเก่ามันก็พาเราไปถึงเหมือนกัน เวลาไปจอดที่ไหนก็ไม่กังวลเพราะกลัวจะหายกลัวโน่นนี่ บ้านเราก็มีแล้วถึงมันจะไม่ใหญ่ไม่แพงเราก็นอนหลับไม่ต้องคอยทำความสะอาดมาก ของเหล่านี้ตายไปก็ต้องทิ้งไว้ให้คนอื่น ทิ้งไว้กับโลก คนที่เราคิดว่าเค้าจะนึกถึงเราเช่นลูกหลานเมีย พอเอาเข้าจริงๆเราตายไปไม่กี่วันเค้าก็ลืมแล้ว(ตอนยายผมตายร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ไม่ถึงปีก็ลืมแล้ว พอเราตายลูกหลานก็ลืมเราเหมือนกัน) พอสิบยี่สิบปีผ่านไปคนพวกนี้ก็ตายตามเราไป สุดท้ายเราก็ไม่มีใครให้นึกถึงpicatos เขียน:อนุโมทนาด้วยครับพี่ cobain_vi การห่างจากสังคมนี่ดีนะครับ ตั้งแต่ผมเริ่มปฏิบัติธรรมมา ผมก็ห่างจากสังคมมากขึ้นๆ พบว่าความสุขมีมากขึ้น ทุกข์มีน้อยลง ผมรู้สึกว่าเวลาเราเข้าสังคม โดยเฉพาะสังคมทางโลกนี่บ่อยครั้งที่เราจะ Import กิเลสของคนอื่นเข้ามาให้ตัวเราให้เป็นทุกข์ซะเยอะ เป็นความโลภที่ถูกคนอื่นชักจูงซะมาก พอเราห่างจากสังคมมากขึ้น ความอยากได้อยากมีอยากเป็นแบบคนอื่นเขาก็น้อยลงไปมาก เพราะ เราไม่ได้ไปเห็นของคนอื่นเขา ไม่ได้ไปถูกกระตุ้นมากนัก กินอยู่หลับนอน เสพเสวยโลก แสวงหากามคุณ 5 ก็เป็นความโลภของเราเพียวๆ ไม่ได้ถูกกระตุ้นจากคนอื่นมากเหมือนเมื่อก่อน การลงทุนก็เลือกลงทุนตามทางเลือกที่ไหลเข้ามาตามเหตุปัจจัย การลงทุนไหนดูแล้วดี มีอนาคต เหมาะสมกับ Life Style เราก็คัดกรอง จัดพอร์ตตามความเหมาะสม ได้ผลตอบแทนแค่พอเอาไว้ใช้เลี้ยงครอบครัว ไม่ได้เอาไปแข่ง เอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่นcobain_vi เขียน:เหมือนผมเลยครับ ที่ลงทุนอยู่ทุกวันนี้เพราะสนุก และได้เงินมากกว่าดอกเบี้ยธนาคาร ถ้าวันใดวันนึงเงินฝากแบ้งค์ได้ดอกเบี้ย1x%ผมก็คิดว่าจะลดการลงทุนลง เพราะคิดว่าน่าจะพอใช้แล้วครับDech เขียน:พึ่งไปตอบกระทู้หนึ่งมา มันปิ๊งเลยมา post ไว้หน่อย
ว่าที่ยังติดใจหรือยังสนใจธรรมกับการลงทุนอยู่นี้ก็เพราะมันสนุกครับ
ก่อนนี้มันไม่ได้สุข ทำไม่ถูกทิศทาง ไม่สนุกเลยครับ
แต่ตอนนี้เห็นว่ามันสนุก ทำอะไรด้วยความสนุก ความสุขมันก็ตามมาติดๆ นั่นเองครับ
ธรรมก็เหมือนกัน มันสนุกนะครับ ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อเลย สนุกมากด้วย
ทุกวันนี้โดยเฉพาะตอนอยู่ไร่ผมใช้เงินแค่วันละร้อยกว่าบาท กินง่ายอยู่ง่าย กินข้าวแค่วันละ2มื้อ วันๆแทบไม่ได้ใช้เงิน (แต่ถ้าเข้ากทมก็ใช้มากหน่อย) หลังจากกินข้าวเสร็จก็ทำงานในไร่ เช่นถากหญ้าประมาณ1ชม.พอแดดออกก็หยุดเพราะเดี๋ยวนี้อายุเริ่มมากแดดก็ร้อนขึ้นร่างกายมันชักจะไม่ไหวเริ่มเป็นโรคชรา กลางวันก็อ่านหนังสือ ทำโน่นทำนี่
พอแดดเริ่มหมดสัก4โมงเย็นก็ออกไร่อีกสัก2ชั่วโมง พอเหงื่อออก ตอนเย็นก็สวดมนต์ไหว้พระ
(อยู่ไร่นี่ดีอย่างไม่ค่อยมีใครกวน ไม่ค่อยได้ยุ่งกับใคร ทำให้มีเวลาอยู่กับตัวเองมาก ต่างจากคนอื่นๆที่เคยรู้จักพวกนั้นวันๆใช้เวลาไปอยู่กับคนอื่น สิ่งอื่น จิตไหลออกนอกตลอดทั้งวัน บางคนที่รู้จักก็พยายามเจริญสติอยู่ แต่ก็ยากเพราะในโลกปัจจุบันมีสิ่งยั่วยวนให้จิตไหลออกนอกทั้งวัน ภาวนาก็ยาก แต่ก็พอเห็นคนที่ภาวนาเก่งๆอยู่บ้าง ) สิ่งที่ผมต้องการเมื่อมาอยู่ไร่คือสิ่งนี้แหละครับคือมีเวลาว่างมาก วันๆไม่มีใครยุ่ง ทำให้การเจริญสติง่าย ส่วนสิ่งอื่นที่เป็นผลพลอยได้คือได้ออกกำลังกาย ได้อ่านหนังสือ ได้ปลูกผัก(ผักที่ปลูกก็คือ ฟักทอง ปีนี้เพิ่มข้าวโพดกับแฟงลงไปนิดหน่อย ได้ผลผลิตมาก็เอาเข้าวัดหมด วัดที่เอาไปก็จะเป็นวัดขาประจำ วัดภูสังโฆ วัดถ้ำสหาย วัดป่าภูผาแดง บางกะม่า ฯลฯ) ที่เหลือบางส่วนก็แจกเพื่อนๆ ญาติพี่น้อง แทบไม่เหลือไว้ขายเลย
"งานหลักของเราในสังสารวัตรคือการภาวนา งานรองลงมาคือการหาอยู่หากิน" ....หลวงพ่อปราโมทย์
แต่การห่างพอถึงจุดหนึ่งก็จะเบื่อ แล้วก็จะมีความโลภที่อยากจะไปรับอารมณ์มาบ้าง เลยไปเข้าสังคมบ้าง พอเข้าไปเห็นทุกข์โทษก็ออกมาอีก เข้าๆ ออกๆ เบื่อๆ อยากๆ แต่ทุกรอบที่เข้าไป ก็จะเห็นตัวเองชัดขึ้น เห็นทุกข์จากการเข้าสังคมมากขึ้น และห่างได้มากขึ้นเรื่อยๆ มีความสุขจากความสงบ และความเบาคลายจากการกิเลสมากขึ้น นอกจากนี้การไม่ต้องไปยุ่งวุ่นวายกับคนอื่น เลยทำให้มีเวลา มี Space ให้กับตัวเอง ได้เรียนรู้ตัวเองได้มากขึ้น จัดการกับอารมณ์ ความคิดตัวเองได้เด็ดขาดขึ้น
การลงทุนผมว่าสนุกแล้ว แต่การเรียนรู้ธรรมชาติของกายใจตัวเองนี่ ผมว่าสนุกกว่าอีกนะครับ เห็นธรรมชาติของความคิด กิเลส ที่ลากเราไปทางนู้นที ทางนี้ที เห็นธรรมชาติของการปรุงแต่งสิ่งต่างๆ เหตุปัจจัยของสิ่งต่างๆ พอเห็นธรรมชาติเหล่านี้บ่อยๆ เข้า ก็จะเห็นว่ามีอะไรใหม่ๆ ที่น่าสนใจอยู่ตลอดเวลา ตามดูตามรู้แล้วก็เพลิดเพลินไปกับเรียนรู้ ค้นพบสิ่งใหม่ๆ เล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องต่างๆ แม้ว่าการใช้ชีวิตจะเรียบง่ายมากๆ ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่และมีค่าอะไรในสายตาของคนอื่น แต่กลับเป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่าความหมายต่อตัวเองมากที่สุดนับตั้งแต่เกิดมา
"บางคนที่ร่ำรวยแล้วคิดว่ามั่นคงในชีวิตแล้ว จริงๆมันก็แค่ใช้เงินซื้อความสะดวกสบาย มีความสามารถซื้อของแพงๆได้ ไม่ได้มีความมั่นคงอย่างแท้จริง พอตายไปก็ต้องทิ้ง ไม่เหมือนกับการปฏิบัติภาวนาซึ่งมีความมั่นคงอย่างแท้จริง เอาติดตัวเราไปได้ข้ามภพข้ามชาติ (ในทางธรรมแล้วจะมีเงินมากน้อยไม่สำคัญถ้าขาดสติขาดศีลในการดำรงชีวิตนั่นก็คือกำลังทำร้ายตัวเองโดยที่ไม่รู้ตัว เป็นการทำร้ายตัวเองอย่างที่สุด สุดท้ายก็ลงอบายแน่นอน)".....หลวงพ่อปราโมทย์
ที่ผมเอาพวกผักไปเข้าโรงครัวเพราะว่าไม่ค่อยได้มีโอกาสไปตักบาตรตอนเช้าๆนะครับ เลยเอาไปเข้าโรงครัวทีเดียวเลยเพราะฟักทองแฟงเก็บไว้ได้นานๆหลายเดือน เราทำเองแบบสบายๆไม่เสียเวลาอะไรมากเพราะที่ดินที่ใช้ปลูกแค่3ไร่แค่นั้นเอง แต่แค่สามไร่นี่ก็เหนื่อยมากๆครับ ทำคนเดียวหัวหมุนเลย (ขุดหลุม ใส่ขี้หมู หยอดเมล็ด ถากหญ้า หลายรอบหน่อยเพราะหญ้ามันขึ้นเร็ว ใส่ปุ๋ย เเบกใส่รถ ทำมันคนเดียวนีแหละ เพลินๆ ดูกายใจทำงานไปด้วย) กลางวันแดดร้อนทำไม่ไหว เคยไปถากหญ้าตากแดดแค่ครึ่งชั่วโมงก็จะตายแล้ว ร่างกายไม่ทนเหมือนตอนเด็กๆ เลยต้องใช้เวลาทำตอนเช้าๆเย็นๆ ได้ผลผลิตแค่ไหนก็แค่นั้น เหนื่อยจริงๆตอนแบกขึ้นรถนี่แหละ ขาแทบหลุด จริงๆจะจ้างเค้าก็ได้แต่ว่าผมอยากทำเอง ตอนเอาไปเข้าวัดแล้วรู้สึกว่ามีความสุขมาก เรารู้ว่าของที่เรานำมาบริสุทธิ์ มาจากหยาดเหงื่อของเราไม่ได้โกงใครมา ปีที่แล้วตอนเอาไปเข้าโรงครัวที่วัดถ้ำสหายหลวงปู่ลงมาเห็นตอนที่เราแบกฟักทองเข้าโรงครัวพอดี โยมป้าในครัวบอกว่าหลวงปู่มารับแล้ว ก่อนไปหาครูบาอาจารย์ผมอธิฐานไปทุกครั้ง (ปีที่แล้วได้ฟักทองเกือบ1ตัน ถ้าขายก็คงจะได้หลายตังค์อยู่)
ถ้าเคยฟังเทศน์ของหลวงปู่เทสก์มีอยู่ตอนนึงผมชอบมากเลยครับท่านว่าจริงๆแล้วพระท่านไม่ได้ต้องการอะไรมาก ไม่ได้ต้องการโบสถ์สวยๆวัดใหญ่ๆมีรถแพงๆไม่ได้ต้องการให้โยมเอาเงินมาถวายเยอะๆ สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นส่วนเกินทั้งสิ้น ท่านบอกว่าแค่ตักบาตรตอนเช้าทุกๆวันก็ได้บุญมากที่สุดแล้วเพราะพระต้องการแค่อาหารเพื่อที่จะได้มีแรงไปปฏิบัติธรรมเท่านั้น ที่วัดไม่ได้มีแค่หลวงปู่รูปเดียว มีพระเยอะแยะ ญาติโยมที่ไปปฏิบัติภาวนาก็หลายคน ได้กินกันทั้งวัด พอมานึกๆดูเห็นของที่เราเอาไปเข้าโรงครัวได้เห็นครูบาอาจารย์ลูกศิษฐ์ได้กินแล้วก็ปลื้ม เค้าจะได้มีแรงภาวนากัน เวลาเอาไปก็อธิฐานขอให้เค้าได้ธรรมะกันเร็วๆ ได้ธรรมขั้นสูงๆขึ้นไปจะได้มาสอนเราและคนอื่นๆบ้าง ผมหวังแค่นั้นจริงๆ
[/quote]ลงทุนผมว่าสนุกแล้ว แต่การเรียนรู้ธรรมชาติของกายใจตัวเองนี่ ผมว่าสนุกกว่าอีกนะครับ เห็นธรรมชาติของความคิด กิเลส ที่ลากเราไปทางนู้นที ทางนี้ที เห็นธรรมชาติของการปรุงแต่งสิ่งต่างๆ เหตุปัจจัยของสิ่งต่างๆ พอเห็นธรรมชาติเหล่านี้บ่อยๆ เข้า ก็จะเห็นว่ามีอะไรใหม่ๆ ที่น่าสนใจอยู่ตลอดเวลา ตามดูตามรู้แล้วก็เพลิดเพลินไปกับเรียนรู้ ค้นพบสิ่งใหม่ๆ เล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องต่างๆ แม้ว่าการใช้ชีวิตจะเรียบง่ายมากๆ ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่และมีค่าอะไรในสายตาของคนอื่น แต่กลับเป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่าความหมายต่อตัวเองมากที่สุดนับตั้งแต่เกิดมา[/quote]
เห็นด้วยครับ การได้รู้ได้เห็นสิ่งที่ปกปิดไว้ นี่ไม่มีอะไรเทียบได้จริงๆ มองตัวเราเองเหมือนกระจอกๆ ไม่ได้เด่นดังอะไรไม่ได้มีเงินร้อยล้านพันล้าน ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร บางคนมองพวกเค้าแล้วอิจฉาที่มีเงินมากมาย แต่พอมองอีกด้านผมว่าคนเหล่านั้นจะต้องอิจฉาเรามากกว่า(คนในโลกที่มีเงินร้อยล้านขึ้นไปมีหลายล้านคนสำหรับผมไม่เห็นจะวิเศษตรงไหนเลยนะครับ เพราะความสุขที่เค้าหาได้ก็ได้แค่กามคุณสุข สุขแบบโลกๆ คนที่เป็นพระอรหันต์ พระอนาคามี พระสกิทาคามี พระโสดาบันนมีน้อยกว่านั้นมากๆ บุคคลเหล่านี้น่าอิจฉากว่าเยอะ แค่คนที่มีโอกาสได้ฟังธรรมและได้ปฏิบัติธรรมก็ยังมีน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับเศรษฐีเหล่านั้น แค่ความสุขที่เกิดจากฌาณก็ยังสุขกว่ามีเงินร้อยล้านพันล้าน เป็นความสุขที่ปราณีตกว่ามากๆ (พูดไปเค้าคงไม่เชื่อหรอกว่าความสุขอะไรจะสู้มีเงินร้อยล้านได้ ไม่มีหรอกอย่ามาหลอกกันเลย ฮา)
การปฏิบัตินี่อย่างที่พี่picatosว่า ได้เห็นอะไรที่เราไม่เคยเห็นตลอดเวลา ธรรมะบางอย่างก็เกิดขึ้นสดร้อนๆต่อหน้าต่อตา(สำนวนหลวงตา) พออยากให้เกิดอีกก็ทำไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาด้วยอำนาจนอกเหนือจากการควบคุม บังคับจงใจ พ้นความคาดหมายอย่างสิ้นเชิง บางครั้งเกิดความเข้าใจชนิดที่"พลิกฟ้า คว่ำแผ่นดิน"เลยก็มี เป็นความรู้ความเข้าใจลึกซึ้งที่ไม่แปรเปลี่ยน รู้เลยว่าเราจะไปทางไหน เราเกิดมาเพื่ออะไร จุดมุ่งหมายของเราคืออะไร
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 474
ต้นเดือนเพิ่งไปทำบุญสร้างเจดีย์กับหลวงปู่ลี ที่วัดภูผาแดงมาครับcobain_vi เขียน: วัดที่เอาไปก็จะเป็นวัดขาประจำ วัดภูสังโฆ วัดถ้ำสหาย วัดป่าภูผาแดง บางกะม่า ฯลฯ)
โชคดีมากเลยที่ได้ทำบุญกับองค์ท่านโดยตรง (ไปครั้งที่สามถึงเจอ)
ส่วนปีที่แล้ว โอนเงินผ่านธนาคารทุกเดือน ร่วมสร้างเจดีย์กับองค์ท่าน
ปีนี้ เลยหาโอกาสไปกราบท่านสักครั้งในชีวิต
เป็นวันที่อากาศร้อนมาก แต่พอเจอองค์ท่าน เย็นใจและมีปีติอย่างบอกไม่ถูกครับ
ทุกวันนี้ยังคงตามดูจิตตัวเองไปเรื่อยๆ รู้เลยว่าของเขาแรงจริงๆ 555
ความสุขที่ได้จากการทำบุญช่วยทำให้ใจรู้จักพอ จนรู้สึกได้เลยว่า ชีวิตปัจจุบันมีความสุขมากจริงๆครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 475
ข้อนี้ ปัจจุบันเล่นงานผมอย่างหนักpicatos เขียน: การลงทุนผมว่าสนุกแล้ว แต่การเรียนรู้ธรรมชาติของกายใจตัวเองนี่ ผมว่าสนุกกว่าอีกนะครับ เห็นธรรมชาติของความคิด กิเลส ที่ลากเราไปทางนู้นที ทางนี้ที เห็นธรรมชาติของการปรุงแต่งสิ่งต่างๆ เหตุปัจจัยของสิ่งต่างๆ พอเห็นธรรมชาติเหล่านี้บ่อยๆ เข้า ก็จะเห็นว่ามีอะไรใหม่ๆ ที่น่าสนใจอยู่ตลอดเวลา ตามดูตามรู้แล้วก็เพลิดเพลินไปกับเรียนรู้ ค้นพบสิ่งใหม่ๆ เล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องต่างๆ แม้ว่าการใช้ชีวิตจะเรียบง่ายมากๆ ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่และมีค่าอะไรในสายตาของคนอื่น แต่กลับเป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่าความหมายต่อตัวเองมากที่สุดนับตั้งแต่เกิดมา
พิจารณา เกิด ดับ ...เกิด ดับ ...เกิด ดับ ...
สู้กันยันตาย เหมือนคำพระท่านว่า
บางเรื่องเรารู้ว่าเป็นทุกข์ เราก็ยังหาทุกข์นั้นมาใส่ตัว
บางครั้งก็เกิดความรู้ว่า โอหนอ ทำไมเราจึงยังหลงอยู่ได้
ดังคำหลวงปู่มั่นท่านว่า " เมื่อตาแลไปเห็นกาย ทำให้ใจกำเริบ" ฉันใดก็ฉันนั้น
แต่สติระลึกรู้ก็จะคอยผุดขึ้นเตือน ควบคู่กับความหลง ที่ยังครองใจเราอยู่
ทุกวันนี้ยังคงพลัดกันแพ้ พลัดกันชนะ คู่คี่สูสีดีครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 476
อนุโมทนาด้วยครับ พี่tumH ฟังภาษาอีสานออกไหมครับ ผมฟังไม่ออกจะออกเป็นบางคำที่ง่ายๆ ผมอิจฉาคนอีสานมากๆเพราะครูบาอาจารย์พูดอีสานหลายองค์เลยtum_H เขียน:ต้นเดือนเพิ่งไปทำบุญสร้างเจดีย์กับหลวงปู่ลี ที่วัดภูผาแดงมาครับcobain_vi เขียน: วัดที่เอาไปก็จะเป็นวัดขาประจำ วัดภูสังโฆ วัดถ้ำสหาย วัดป่าภูผาแดง บางกะม่า ฯลฯ)
โชคดีมากเลยที่ได้ทำบุญกับองค์ท่านโดยตรง (ไปครั้งที่สามถึงเจอ)
ส่วนปีที่แล้ว โอนเงินผ่านธนาคารทุกเดือน ร่วมสร้างเจดีย์กับองค์ท่าน
ปีนี้ เลยหาโอกาสไปกราบท่านสักครั้งในชีวิต
เป็นวันที่อากาศร้อนมาก แต่พอเจอองค์ท่าน เย็นใจและมีปีติอย่างบอกไม่ถูกครับ
ทุกวันนี้ยังคงตามดูจิตตัวเองไปเรื่อยๆ รู้เลยว่าของเขาแรงจริงๆ 555
ความสุขที่ได้จากการทำบุญช่วยทำให้ใจรู้จักพอ จนรู้สึกได้เลยว่า ชีวิตปัจจุบันมีความสุขมากจริงๆครับ
..
ครั้งนึงตอนที่ผมไปกราบหลวงปู่ลี ท่านจะมาดูเจดีย์ประจำวันนั้นมีผมนั่งอยู่คนเดียว หลวงปู่จะนั่งอยู่ข้างบน(นึกภาพออกใช่ไหมครับ ตรงที่มีเซฟใส่เงินที่โยมใส่ทำบุญ ที่เป็นศาลาแถวๆโรงทาน) พระอุปปัฐากไม่อยู่ไปไหนก็ไม่รู้ ผมก็ดูเจดีย์อยู่เหมือนกัน นั่งห่างจากหลวงปู่ไม่ไกลแต่นั่งตรงพื้นซีเมนต์ด้านล่าง อยู่ๆหลวงปู่ก็หันหน้ามาบอกผมเป็นภาษาอีสาน(เสียงหลวงปู่จะเสียงแหลมๆเล็กๆ ) ผมตกใจ(ชิหายแล้ว ตรูฟังไม่ออก ฮา) ผมถามหลวงปู่กลับไปดังๆว่า "อะไรนะครับหลวงปู่?" หลวงปู่พูดอีกครั้งแต่เป็นภาษาอีสานเหมือนเดิมว่า จะไปห้องน้ำ (ครั้งที่สองพอฟังออก เพราะเราตั้งใจฟัง)
เล่าให้ฟังขำๆครับ (แต่ไม่รู้จะขำหรือป่าว)
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 477
พูดได้เลยครับ เพราะผมเป็นคนอีสาน 555cobain_vi เขียน: พี่tumH ฟังภาษาอีสานออกไหมครับ ผมฟังไม่ออกจะออกเป็นบางคำที่ง่ายๆ ผมอิจฉาคนอีสานมากๆเพราะครูบาอาจารย์พูดอีสานหลายองค์เลย
ปรกติหลวงปู่ลี ท่านจะพูดแต่ภาษาอีสานตลอด ต่างจากท่านพระอาจารย์มหาบัว
ไม่ยากครับ แต่ต้องฟังบ่อยๆนะ 555
พี่ cobain_vi โชคดีจัง ได้นั่งอยู่กับท่าน
ตอนผมไปคนเยอะมากกกก
ต้องเข้าคิวทำบุญและรีบถอยออกมาให้คนอื่นทำต่อ
แต่ได้รับแจกผ้าเช็ดหน้าขององค์ท่านมาด้วย โชคดีจริงๆ เอาเก็บไว้ที่หน้ารถ ไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4940
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 478
เราปฏิบัติกรรมฐาน เพื่ออะไรครับ
ในเมื่อก่อนปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ท่านก็สอน ก็บอกไว้หมดแล้ว
คนในยุคนี้ก่อนทำ ก็รู้หมดแล้วว่าทำแล้วถ้าได้ผล สุดท้ายผลจะออกมายังไง
คำตอบสำหรับคำถามหรือผลจากการปฏิบัติก็มีเฉลยแล้วทั้งนั้น
เรามาพิจารณาผลเลยได้หรือเปล่าครับ
ในเมื่อก่อนปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ท่านก็สอน ก็บอกไว้หมดแล้ว
คนในยุคนี้ก่อนทำ ก็รู้หมดแล้วว่าทำแล้วถ้าได้ผล สุดท้ายผลจะออกมายังไง
คำตอบสำหรับคำถามหรือผลจากการปฏิบัติก็มีเฉลยแล้วทั้งนั้น
เรามาพิจารณาผลเลยได้หรือเปล่าครับ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 479
พิจารณาผลอย่างไรครับ ถ้าผลนั้นยังไม่เคยบังเกิดกับตัวเอง?Dech เขียน:เราปฏิบัติกรรมฐาน เพื่ออะไรครับ
ในเมื่อก่อนปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ท่านก็สอน ก็บอกไว้หมดแล้ว
คนในยุคนี้ก่อนทำ ก็รู้หมดแล้วว่าทำแล้วถ้าได้ผล สุดท้ายผลจะออกมายังไง
คำตอบสำหรับคำถามหรือผลจากการปฏิบัติก็มีเฉลยแล้วทั้งนั้น
เรามาพิจารณาผลเลยได้หรือเปล่าครับ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 480
อาศัยไปบ่อยๆครับเดี๋ยวก็เจอเอง ถ้าไปวัดครูบาอาจารย์ท่านอื่นคนน้อยจะมีโอกาสได้อยู่กับท่านนาน ผ้าเช็ดหน้าท่านผมก็เก็บไว้เหมือนกันเอาไว้เป็นที่ระลึก ผ้าเช็ดหน้าท่านเยอะมากๆเพราะท่านมีน้ำมันไหลออกมาตลอดทำให้คัน พระอุปฐากบอกว่าเป็นกรรมเก่าของท่านรักษาอย่างไรก็ไม่หาย คืนไหนมีน้ำมันออกมาเยอะท่านจะไม่ได้นอนตอนเช้าท่านก็จะไม่ลงศาลาและไปดูเจดีย์tum_H เขียน:พูดได้เลยครับ เพราะผมเป็นคนอีสาน 555cobain_vi เขียน: พี่tumH ฟังภาษาอีสานออกไหมครับ ผมฟังไม่ออกจะออกเป็นบางคำที่ง่ายๆ ผมอิจฉาคนอีสานมากๆเพราะครูบาอาจารย์พูดอีสานหลายองค์เลย
ปรกติหลวงปู่ลี ท่านจะพูดแต่ภาษาอีสานตลอด ต่างจากท่านพระอาจารย์มหาบัว
ไม่ยากครับ แต่ต้องฟังบ่อยๆนะ 555
พี่ cobain_vi โชคดีจัง ได้นั่งอยู่กับท่าน
ตอนผมไปคนเยอะมากกกก
ต้องเข้าคิวทำบุญและรีบถอยออกมาให้คนอื่นทำต่อ
แต่ได้รับแจกผ้าเช็ดหน้าขององค์ท่านมาด้วย โชคดีจริงๆ เอาเก็บไว้ที่หน้ารถ ไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวครับ
เดือนหน้าผมว่าจะไปอยู่วัดที่อีสานประมาณเดือนนึง (คงเป็นถ้ำสหายกับวัดดอยฯ) พี่tumHอยู่จังหวัดไหนหรือครับ
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา