ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
areliang
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ

โพสต์ที่ 271

โพสต์

ผมกำลังจะทำให้ผมมีแก้วน้ำที่ว่างครั้งใหม่

สิ่งที่ผมทำคือเอาแก้วน้ำที่ผมมี ที่มันเต็มไปด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมได้รู้ ทุกอย่างที่ผมเคยทำ และรู้สึก ...

ผมเทมันออกมา กองมันไว้บนโต๊ะทำงานของผมทั้งหมด ยิ่งเทมันก็ยิ่งเยอะ มันออกมาเรื่อยๆ อย่างกับสายน้ำที่ไม่ยอมหยุดไหลง่ายๆ ราวกับว่าล้น หล่นไปจากโต๊ะทำงานของผมอีกมากมาย (เปรียบเปรย ซึ่งมันอาจจะเป็นการเขียนทั้งหมดลงบนกระดาษ เท่านั้น)

โต๊ะผมเต็มไปด้วยอะไรมากมาย บางอย่างผมลืมไปแล้ว สีซีดจางลงไปมาก บางอย่างยังสีสด คงกระตุ้นให้ผมต้องทำอะไรอยู่เสมอแม้ในขณะนี้ ทำให้ผมเห็นอะไรต่างๆ ที่อยู่ในแก้วของผมเองได้ชัดเองขึ้นมาก ผมว่า ผมรื้อ แก้วน้ำของผม ด้วยการเท โดยบังเอิญใจร้อน เลยรีบเท (อ่านแล้วจะเข้าใจผมกันรึเปล่าเนี่ย)

และตอนนี้ผมได้แก้วน้ำที่ว่างใบใหม่แล้ว
areliang
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ

โพสต์ที่ 272

โพสต์

ผมมองไปที่โต๊ะ ไปเห็นสิ่งที่จางลงไปมากและผมยังไม่ลืม

3 ยก แห่งการเล่นหุ้น ถ้าผมจะต้องคิดถึงการเล่นหุ้น สิ่งนี้คงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นประสบการณ์ของตัวผมเอง เจอเอง ทำเอง รู้สึกเอง และเกี่ยวกับหุ้นโดยตรง

และเป็นประเด็นแรกที่ผมต้องหยิบขึ้นมามอง แต่ผมจะไม่ยอมคัดให้มันกลับเข้าไปในแก้วใบใหม่ของผมทั้งหมดหรอก มันเปลืองพื้นที่ ผมจะต้องขอขบคิดมันสักหน่อย แล้วจะคัดส่วนที่ต้องการกลับเข้าไปในแก้วใบใหม่ของผม ผมจะทำให้แก้วใบใหม่นี้เจ๋งกว่าเดิม นั่นคือความตั้งใจของผม

3 ยกแห่งการเล่นหุ้นต้องถูกเรียบเรียงใหม่ ด้วย ความรู้ ทั้งหมดที่ผมมี

ยาวนานหลายปีทีเดียว สำหรับ 3 ยก นี้
ขึ้น ลง เป็นว่าเล่น อย่างกับการผจญภัย ที่น่าตื้นเต้นซะเหลือเกิน
สิ่งแปลกใหม่ที่ได้ประจักษ์ราวกับปาฎิหารย์
สำเร็จ แล้วกลายเป็นไม่สำเร็จ ราวกับโลกนี้เล่นตลกกับเรา
ถ้าไม่มีอะไรมาดึงสติ สิ่งที่ผมอาจจะทำต่อไปและไม่แปลกนัก คือเดิน ตาม ยกที่ 3 ต่อไปเรื่อยๆ และ เรื่อยๆ และตัวผมเองก็ไม่รู้ว่ามันจะ สำเร็จ หรือ ไม่สำเร็จ หรือ หยุด จบ ลงยังไง

ยกที่ 1 ไม่รู้ เอาไงดี ยกที่ 2 เดินต่อ รู้เพิ่ม เอาไงดี ยกที่ 3 เดินต่อ รู้เพิ่ม ไม่ถอยง่ายๆแน่

หลายปีที่ผ่านมา ทำไมผมสรุปกับตัวเองได้สั้นๆเพียงเท่านี้เอง ถ้าเอา 3 ยก มารวมกัน ก็ได้แค่คำว่า

ไม่รู้ เดินต่อ รู้เพิ่ม เอาไงดี ไม่ถอยแล้วล่ะ ( แม้จะได้กำไรมาบ้าง แต่ก็ยังมองไม่เห็นความมั่นคง ที่ยั่งยืนเลย)

ความคิด ที่ผมคิดว่าคิดมาจากความฉลาดทั้งหลาย ทั้งหมด มันเพียงเท่านี้เองเหรอ ผมจึงเริ่มสงสัยในความ ฉลาด และโง่ มากขึ้นเรื่อยๆ

แต่ผมว่า ตอนนี้ผมพร้อมแล้วนะ ที่เข้ามาสู่เส้นทางแห่งความจริง
areliang
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ

โพสต์ที่ 273

โพสต์

ถ้าสิ่งที่ผมเดินมาทั้งหมด คือแค่เท่านี้ ผมว่าผมให้เวลามันมายาวนานเกินไปแล้วล่ะ ผมเหนื่อยแล้วถ้าได้เพียงเท่านี้

ดังนั้นเป้าของผมจึงเปลี่ยนไป ตอนนี้ผมมาสนใจ ความจริง ของตลาดหุ้น

แปลกจริง เมื่อผมกลับมาสนใจ คำว่าความจริงของตลาดหุ้น คำว่าความฝันของผมในตลาดหุ้นกลับ เริ่มมลาย ถึงแม้ความฝันยังคงอยู่ แต่มันดูเหมือนกำลังค่อยๆละลาย ทำไม เพราะอะไร
areliang
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ

โพสต์ที่ 274

โพสต์

มีใคร ที่เป็นคนอ่ะน่ะ อยู่ในความจริงของตลาดหุ้นบ้าง

1. นักลงทุนรายเล็ก ผมเคยเห็นกับตา ที่ห้องค้า ซื้อขายรวดเร็ว ทีละไม่มาก

2. นักลงทุนรายใหญ่ เข้าไปหุ้น(ขนาดไม่ใหญ่) ตัวไหนที หุ้นสะเทือน ขายไม่ขายว่ากันไป

3. จ้าว 55 เป้าหมายชัดเจน ทำกำไรแน่ถ้าถึงเป้า ทำให้หุ้นได้ราคา

4. เจ้าของ อืม เมื่อ 5 ปี คนนี้ก็เป็นผู้ถือหุ้น นี้ จำนวนเท่านี้อยู่นะ วันนี้ก็ยังอยู่

Oh my god แล้วตอนนี้ผมอยู่ที่ตรงไหนเนี่ย พระเจ้าของฉัน บอกฉันที

ตอบ : หนูอยู่ข้อ 1 นักลงทุนรายเล็ก น่ะจ้ะ
areliang
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ

โพสต์ที่ 275

โพสต์

เพี้ยนแล้ว
ผมคนที่ฉลาดมากมายขนาดนี้อ่ะน่ะ อยู่ที่ข้อ 1 คนฉลาดอย่างผมเนี่ย ถ้าดูภาพให้เป็นห่วงโซ่อาหาร ตามที่เคยเรียนในวิชาพวกวิทยาศาสตร์ หญ้า ถูกกวางกิน กวางถูกเสือกิน ผมเนี่ยอ่ะน่ะ อยู่ ข้อ 1 มันใต้สุดของห่วงโซ่อาหารเลยนะ

ผมเนี่ยอ่ะน่ะ

โอ๊ะ...คคคึก...ค๊อก งั้นแกล้งตายในที่ปลอดภัยก่อนดีกว่า

Unbelievable ไม่อยากจะเชื่อ เส้นทางที่ยาวนาน ความเหนื่อยยากที่ผมได้พบ มันแค่ยังทำให้ผมเป็นเพียงแค่นักลงทุนรายเล็กที่มีชีวิตอยู่รอดคนหนึ่งเท่านั้นเองเหรอ
areliang
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ

โพสต์ที่ 276

โพสต์

งั้นเอายังไงดีเนี่ย จุดยืนดูไม่น่าปลอดภัยเท่าไหร่นะ

จะไปเป็นนักลงทุนรายใหญ่ เงินก็ไม่ถึง หรือ เป็นจ้าว ดี เคยคิดนะจริงๆ แต่ด้วยสิ่งที่เข้าใจมาทั้งหมด ไม่เอาดีกว่า มันไม่ดี หรือ เป็นเจ้าของ เวอร์ไปป่ะ เงินน้อยนิด เป็นเจ้าของยังไง

ไม่รู้แหละ อย่างน้อย ผม ไม่อยากอยู่ ข้อ 1 แน่นอน
areliang
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ

โพสต์ที่ 277

โพสต์

คำว่ามั่นคง แปลว่า แน่นหนา ทนทาน ไม่กลับกลายเป็นอย่างอื่น ปลอดภัย เสถียร

คำว่า แน่นหนา ทนทาน ไม่กลับกลายเป็นอย่างอื่น ปลอดภัย เสถียร ผมนั่งอ่านซ้ำแล้ว ซ้ำอีก ผมไม่ยุ่งด้วยแล้วล่ะกับคำว่ามั่นคง สนใจแต่เพียงความหมายของมัน

แล้วมันทำให้นึกถึงคำว่า คงอยู่นาน ซึ่งมันก็คงแปลว่า คงอยู่นาน อยู่ดีไม่แปรเปลี่ยนไม่ต้องเปิดพจนานุกรมด้วย

แน่นหนา จึง คงอยู่ได้นาน ทนทาน จึงคงอยู่ได้นาน ไม่กลับกลายเป็นอย่างอื่น จึงคงอยู่แบบนี้ได้นาน ปลอดภัย เสถียร จึงคงอยู่ได้นาน มันใช่อ่ะ

งั้นแปลว่า สิ่งที่ผมต้องการ ความมั่นคงกับตลาดหุ้น ก็คือ การคงอยู่ได้นานกับตลาดหุ้น

ซึ่งผมกำลังคิดว่า การคงอยู่ได้นานกับตลาดหุ้นนี้ กำลังพาผม ไปหาคำว่า นักลงทุนมืออาชีพ

ซึ่งแตกต่างจากแต่ก่อน ซึ่ง ผมดิ้นรน ค้นหา ไขว่คว้า ตลอด เพื่อจะให้สามารถได้อยู่กับตลาดหุ้นต่อไปได้

เอาคำว่า คงอยู่นาน ไปลองจับคู่กับ คน ที่อยู่ในความจริงของตลาดหุ้น
areliang
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ

โพสต์ที่ 278

โพสต์

ภาษาไทย วันละคำ วันนี้ได้แก่ คำว่า

จริต [จะ-หฺริด] (มค. จริต) น. การไป, ทางเดิน, การดำเนิน, การทำ, การประพฤติ, กิริยา

(ศน.) พื้นเพของจิตซึ่งเกิดจากจิตได้รับการอบรมเสพคุ้นมาเป็นเวลาช้านานกับอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ใดมีจริตอย่างใดเมื่อใช้ความคิดก็จะโน้มเอียงไปตามจริตของเขา

จิตใจ หรือ จิตใต้สำนึก ของการเป็นนักลงทุนมืออาชีพ นั้นสำคัญมาก

ผมมาลองนึกย้อนหลังไปดู เริ่มจาก เอนทราน สมัยนั้นคงเป็นจุดเริ่มต้น ที่เด็กนักเรียนต้องคิด ว่าจะเดินต่อไปในอาชีพอะไร แล้วสอบคัดเลือกเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย ถ้าเด็กนักเรียนคนนั้น ค้นพบตัวเอง เข้าใจตัวเอง แล้วตั้งใจที่จะเป็นนักเรียนที่ดีที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยในสาขาที่เขาต้องการได้ เขาก็คงเฝ้าแต่ค้นหา วิธีต่างๆเพื่อพาตัวเองไปถึงความสำเร็จที่เขาต้องการ คือการสอบผ่าน ซึ่งวิธีต่างๆ อาจจะเช่น ตั้งใจเรียนแบบสม่ำเสมอแบบสบาย หรือ ความพยายาม ความเคร่งเครียด ให้เวลากับหนังสืออย่างมากถึงมากที่สุด หาครูหาอาจารย์ รวมถึงวิธีอีกมากมาย และก็เป็นความจริงคือ ก็มีทั้งคน สำเร็จ และไม่สำเร็จ ซึ่งคนที่มีจิตใต้สำนึก ของความเป็นนักเรียนที่ดี ก็ย่อมเป็นฝ่ายที่มีโอกาส สำเร็จมากกว่า(ผมคิดว่างั้นนะ)

ถ้าคนเรียนจบมาแล้ว มาเป็นอาชีพ ครู จิตใต้สำนึกความเป็นครู ก็คงจะถามตัวเองว่า จะเป็นครูที่ดี ต้องทำอย่างไร สิ่งที่ใจคิด ค้นหาหนทาง ก็คงเป็นแนวนี้ แล้วก็เดินทางในอาชีพครูไปเรื่อยๆ

ถ้าคนที่เป็น นักเก็งกำไร จิตใจคงอยู่ที่ maximum profit ซึ่ง นั่นหมายถึง ทำยังไงให้ได้กำไรสูงสุด ซึ่งนั่นย่อมรวมถึงความรวดเร็วในการทำกำไรด้วย สิ่งที่ใจของนักเก็งกำไรค้นหา ก็คงเป็นแนวนี้ แล้วก็เดินทางในการเป็นนักเก็งกำไรไปเรื่อยๆ จนกว่า ...

หลายครั้งที่ผมเดินเข้าไปในร้านขายหนังสือ เห็นหนังสือที่เกี่ยวกับการลงทุนมากมาย มากมายจริงๆ โดยเฉพาะสมัยนี้ แปลว่า
จำนวนข้อมูลเพื่อเป็นนักลงทุน รวมถึงนักเก็งกำไร นั้นไม่ต้องพูดถึง และถ้าหนังสือการลงทุนเหล่านี้ เป็นการตอบโจทย์ แต่สิ่งที่เห็น กลับไม่ใช่ มันมีทั้งคนที่สำเร็จ และไม่สำเร็จอยู่ดี

แต่ถ้าเป็นคนที่ มีจิตใต้สำนึก ของนักลงทุน สิ่งที่ใจจะค้นหา และเดินทาง ก็ยังคงเป็นแนวทางแห่งนักลงทุนอยู่ดี

ดังนั้น การเรียนรู้ถึงจิตใต้สำนึก ซึ่งมันอาจจะฟังดูเพี้ยน แต่มันจะทำให้เราเข้าใจอะไรได้อีกมากทีเดียว
areliang
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ

โพสต์ที่ 279

โพสต์

จับคู่ คงอยู่นาน กับ

1. นักลงทุนรายเล็ก ผมให้คะแนนความ คงอยู่นาน น้อยสุด เพราะ มาๆไปๆมาก และยังคงไม่รู้สึกได้ถึงคำว่า สำเร็จอย่างยั่งยืนเลย

2. นักลงทุนรายใหญ่ ผมได้เห็นจากรายการโทรทัศน์ บ้าง ความสำเร็จก็เป็นที่ประจักษ์ และบางท่านก็ดูเป็นความสำเร็จที่ยั่งยืนซะด้วย แต่ผม มองไม่เห็น และไม่สามารถเข้าใจวิธีทำของเขาได้ทั้งหมด

3. จ้าว 55 ไม่ต้องพูดถึง ผมมองไม่เห็นอย่างชัดเจน

4. เจ้าของ บริษัทใหญ่โต เจ้าของก็ยังเป็นคนเดิม ที่เมื่อ 5 ปี 10 ปี ก่อนก็เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่มากอยู่ มาถึงวันนี้ก็ยังถืออยู่
มูลค่าบริษัท ก็ไม่น้อย คำว่าร่ำรวยชัดเจนเป็นที่ปรากฏ ไม่ต้องซื้อขายหุ้นก็รวยอยู่ดี และยังมีอยู่อีกหลายบริษัทด้วยทั้งเล็กและใหญ่ที่เจ้าของก็ยังเป็นคนเดิม ก็เห็นๆอยู่เป็นของยาวนาน ไม่ต้องซื้อขายหุ้น แล้วรวยด้วย ผมจึงให้คะแนนว่า คงอยู่นาน และ นิ่งด้วย คือไม่ต้องซื้อขาย

55 ทางเดินต่อไปของผม เป็นเจ้าของดีกว่า ถึงจะเป็นเจ้าของได้แค่ส่วนเล็กๆ จำนวนหุ้นไม่มากก็ตามเถอะ

ราวกับการลงทุนครั้งสุดท้าย

ในเวลานั้น การลงทุนที่ผมยังคงคิดว่าเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยที่สุด คือการฝากเงินกับธนาคาร ง่ายสุด ชัวร์สุด

จากการที่ผมเคยคิดถึง เงิน 1 ล้าน บาท ฝากได้ดอกเบี้ย 7.5 % จะได้เงิน 75000 บาท/ปี 6250 บาท/เดือน แต่ตอนนี้อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่านั้นมาก เป็นเงื่อนไขที่หนึ่ง

แต่ตอนนี้ผมมีเงื่อนไขที่ 2 คือ ผมอายุประมาณ 24-25 ปี คนวัยนี้ถ้าจบปริญญา ตรี เหมือนผม แล้วทำงานได้ดี คงต้องได้เงินเดือนราวเดือนละ 20,000 บาท เป็นอย่างน้อย หรือ ปริญญาโท เริ่มต้นเงินเดือนก็น่าจะราวๆนี้

ซึ่งนั่นแปลว่า การลงทุนครั้งนี้ ผมอยากถือในรูปแบบเจ้าของ นั่นแปลว่าผมจะพยายามอย่างมากเพื่อไม่ขายถ้าซื้อแล้ว แต่ผมต้องการเงินปันผล เฉลี่ยต่อเดือน 20,000 บาท ซึ่งรวมการเครดิตภาษีแล้ว และผมต้องการความมั่นคงปลอดภัยให้ใกล้เคียงการฝากเงินมากที่สุด มูลค่าหุ้นในอนาคตไม่ซีเรียสมากนัก แต่อย่าขาดทุน

ผมค้นหา และผมเลือก เป็นเจ้าของ ในบริษัทขนาดเล็ก ที่มีทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นเงินสด แม้ธุรกิจดูไม่น่าสนใจนัก แต่ผลประกอบการเป็นกำไรสม่ำเสมอ ปันผลเมื่อเปรียบกับกำไรค่อนข้างสูง และมีโอกาสสูงมากที่จะทำให้ผมได้ปันผลเฉลี่ย 20,000 บาทต่อเดือน ผมนั่งคิดอะไรทำให้ งบของบริษัท ออกมาในลักษณะแบบนี้ เก็บเงินสดไว้มาก ธุรกิจโอเคยังไงต้องทำให้มีกำไร ปันผลกับไปที่เจ้าของ ในส่วนกำไรที่เพิ่มมา ธุรกิจ ขอให้คงอยู่แบบไม่ลำบากมากนักก็ ok ซึ่งผมคุ้นกับลักษณะนิสัยนี้มาก ผมจึงย้อนกลับมามองตัวเอง ร้านผมเอง ที่บ้านผมเวลามีกำไรก็เก็บออม ออมไปเรื่อยๆ ธุรกิจบางทีเงียบๆก็ประคองตัว ไม่คิดจะเอาเงินออมไปขยายอะไรเลย เป็นรูปแบบ อนุรักษ์นิยมมาก แล้วจะเป็นอย่างที่ผมคิดรึเปล่า

ผมจึงเริ่มเข้าซื้อ จนครบตามที่ผมต้องการ ด้วยเงินจำนวนมากเมื่อเทียบกับที่ผมมี ราวกับว่าเป็นการลงทุนครั้งสุดท้าย เพราะผมจะไม่ยอมขายมันอย่างง่ายๆ แล้วผมก็รอวันที่จะมีการประชุมผู้ถือหุ้น

วันนี้เป็นวันแรกที่ผมไปประชุมผู้ถือหุ้น เป็นบริษัทเล็กๆ คนไปประชุมน้อยมาก และวันนี้เป็นวันที่ผมต้องยกมือถาม ทั้งๆที่ไม่เคยไปประชุมที่อื่นมาก่อน ตอนวาระท้ายสุดที่ให้ถาม ผมก็ถามหลายคำถามรัวๆ ซึ่งผมยังคงมองตัวผมเองว่า ผมถามอะไรมากมาย และก็ดูตัวเองเหมือนไม่รู้กาลเทศะเท่าไหร่ แต่ทำไงได้ ผมซื้อหุ้นไว้เยอะนะครับ

หลังจากที่มอง ลักษณะนิสัยของผู้บริหาร ผมว่าเป็นแบบ อนุรักษ์นิยมมาก แบบที่เดาไว้ จึงมานั่งคิดย้อนหลัง ถ้าไปประชุมแล้วไม่เป็นไปตามที่คิดจะทำยังไง จะต้องขายหุ้นมั้ย เหอๆ โชคดีที่ไม่ต้องคิด (หลายปีผ่านไป ราคาหุ้นบริษัทนี้ แทบไม่เปลี่ยนแปลงเลย สิ่งที่ผมได้รับอย่างชัดเจนมีเพียงปันผล และทุกครั้งที่ผมบอกคนอื่นว่าผมลงทุนบริษัทนี้ มักจะถูกมองว่าเป็นการคิดที่ถูกรึเปล่า ผมยังสงสัยตัวเองเลยว่าถูกรึเปล่า แต่สิ่งที่ผมมั่นใจคือ เวลานั้นที่ผมซื้อ มันเหมาะกับผม)

โห โห่ ตอนนี้ผมมีแต่หุ้น ที่จะไม่ขาย และผมก็ไม่ค่อยมีเงินสด แล้วชีวิตที่ต่อจากนี้ผมจะทำไรอ่ะ
areliang
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ

โพสต์ที่ 280

โพสต์

ความรักและการยอมรับ

ผมว่างมากจริงๆ จะนั่งดูหุ้นไปใย ในเมื่อขายหุ้นเพื่อมาซื้อตัวอื่นไม่ได้อยู่ดี เออ มันว่างขนาดนี้จริงๆเหรอ ว่างจริงๆนะ เพราะแต่ก่อนแม้ไม่ซื้อขาย ก็ต้องนั่งมองหาหุ้นเสมอ คิดว่าซื้อตัวนี้ ขายตัวนั้นดีมั้ยเสมอ แต่ถ้าตอนนี้คงมีแค่ถามว่าขายตัวนี้ดีมั้ย ทั้งๆมีคำตอบว่าห้ามขายติดมาด้วย

หลายเดือนหลังจากนั้น มีเช็คปันผลส่งมาที่บ้าน ผมเปิดดูด้วยรู้อยู่แล้วว่าเลขจะประมาณเท่าไหร่ เช็คปันผลใบนี้เป็นเช็คมูลค่าหลักแสน จริงๆ และสามารถทำให้ได้ปันผลเฉลี่ย 20,000 บาท ต่อเดือน ตามที่ผมบังเอิญพูดออกไป และเงื่อนไขที่ 2 ที่ผมคิดถึง แต่ผมกลับเปิดมันโดยที่ไม่รู้สึกตื่นเต้นใดๆ ผมกลับรู้สึกถึงความเป็นธรรมดา เงื่อนไขธรรมดา ลงทุนได้ผลแทนเป็นธรรมดา และในใจของผมคิด ผมทำได้จริงๆแฮะ ไม่มีความหยิ่งผยอง ลำพองเหมือนคราวที่ทำกำไรได้ 1 ล้านบาทแรกเลยแม้แต่น้อย ผมจึงค่อยๆนำเช็คปันผลนั้นไปให้คนอื่นในบ้านดู เหมือนเขามองดูไปที่เช็ค แล้วได้แต่คิดในใจกันว่า “เออ มันเป็นไปได้ว่ะ”

และผมมั่นใจ ว่าถ้าอยู่ในเงื่อนไขธรรมดาแบบนี้ ผมทำได้อีกแน่ ดังนั้นผมเห็นทางที่จะไปต่อได้อย่างชัดเจน

และด้วยเหตุผลที่ว่าหุ้นที่ผมลงทุนนั้น ราคาไม่ได้ไปไหน ผมจึงนำเงินปันผลซื้อเพิ่มในตัวเดิม และก็ว่าง รอจนต้นปียื่นภาษี แล้วก็เครดิตภาษี แล้วก็ได้รับเช็คคืนภาษี เป็นเลขหลักหมื่นละกัน เอาไปให้ที่บ้านดู เหมือนเขามองดูไปที่เช็ค แล้วได้แต่คิดในใจกันว่า “เออ มันเป็นไปได้ว่ะ ด้วยเหตุผลที่ว่าหุ้นที่ผมลงทุนนั้น ราคาไม่ได้ไปไหน ผมจึงนำเงินเครดิตภาษีซื้อเพิ่มในตัวเดิม ง่ายไปเปล่าเนี่ย >_<

แล้วพอเริ่มมองเห็นความขึ้นลงบ้างของธุรกิจ จึงเริ่มกระจาย นำเงินปันผลไปลงบริษัท ที่ 2 ที่มันลงตัวกับผม และขั้นตอนก็เพียงแค่หมุนแบบเดิมๆ ง่ายไปเปล่าเนี่ย >_<
areliang
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ

โพสต์ที่ 281

โพสต์

ผมว่างจริงๆ ว่างเพื่ออะไรเนี่ย

จนมีวันนึง เพื่อนๆนัดไปทานข้าว

เพื่อนผมถามว่า มึงเล่นหุ้น แล้วก็ไม่ต้องทำอะไรเลย เออได้เงินก็จริง แต่ก็ไม่ได้เอามาใช้(เอาไปลงทุนต่อ) แล้วมึงได้อะไรว่ะ
คำถามที่ผมไม่เคยคิด แต่ต้องตอบในทันทีที่เพื่อนมันถาม มันพูดถูกหมดเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย ได้เงินก็จริง แต่มันก็ดูเหมือนเป็นเพียงตัวเลขถ้าเราไม่ได้ใช้ แล้วได้อะไรวะ (ในใจคิด มึงน่าจะให้คำถามนี้กับกูทางโทรศัพท์นะตอนชวนมากินข้าวอ่ะ กูจะได้นึกคำตอบมาให้)

สิ่งที่คิดตอนนั้น ผมว่างจริงๆ คำๆนี้วนอยู่ในหัว แล้วอยู่ๆ ผมก็คำตอบไปว่า “อิสระ” ไง ผมพูดออกไปแบบ งง งง แล้วพลันพูดต่อไปว่า มีใครไม่ต้องการคำว่า อิสระ เปล่าล่ะ

ผมตอบเอง นิ่งเอง เพื่อนมันก็นิ่งไปด้วย

ผมว่างจริงๆ คำๆนี้ มันคือ อิสระ จริงๆ เหรอ เราคิดอะไรอยู่ ถ้ามันแปลว่า อิสระ จริง คำๆนี้ความหมายดีออก ใครๆก็อยากได้เป็นแน่ แต่ทำไมตอนนี้ได้แต่ คิดว่า ผมว่างจริงๆ

ยังมีอีกคราว ไปเตะบอล มีเพื่อนอีกคนถามว่า “ได้ยินมาว่า เล่นหุ้นไม่ต้องทำงานก็มีเงินใช้เหรอ”

55 ผมตอบว่า “ ก็มีนะ ไม่ได้มาก แต่พอใช้”

เพื่อนตอบว่า “ มันจะเป็นไปได้ยังไง ไม่ทำงาน แล้วจะพอใช้ได้ไง มึงต้องทำอะไรสักอย่างแหละ”

ด้วยความอยากเตะบอล ก็เลยไปเตะบอลดีกว่า

ผมว่า คนในบ้านผม เห็นสิ่งที่ผมทำแล้วล่ะ และเขาก็ดูเหมือน เข้าใจ ยอมรับ ในสิ่งที่ผมทำ และถ้าคนอื่น ที่อยู่ภายนอก จะไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับ ผมก็ไม่ถึงกับต้องใส่ใจอะไรมากนัก

การยอมรับ จากคนภายนอก ดูไม่สำคัญเลย สำหรับคนอย่างผม จนกระทั่ง...
areliang
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ

โพสต์ที่ 282

โพสต์

ผมคงไม่พูดให้ฟังถึงความรัก แต่ถ้าจะมีความรัก คงขาดการยอมรับไปไม่ได้ ทั้งจากคนที่เราจะรัก หรือคนรอบข้างของคนที่เราจะรัก

และสิ่งที่ผมเป็นคือ นักลงทุน ซึ่งไม่มีภาพ ของการทำงานหนัก ให้ผู้อื่นเห็น ไม่มีภาพ ของการทำนู่นทำนี่ อย่างที่คนอื่นเขาเป็น ไม่มีภาพแม้แต่เงินในบัญชี เพราะต้องเอาไปซื้อหุ้น ไม่มีภาพอะไรเลย

มันว่างจริงๆ และก็ดูว่างเปล่าด้วย ในสายตาคนที่ไม่เห็น และไม่เข้าใจ

แต่เมื่อรักแล้ว จะทำให้เขายอมรับได้อย่างไร กับ คนที่ไม่มีภาพอะไรเลย และแถมเป็นคนสร้างภาพไม่เป็นซะด้วย

นี่เธอ เค้าบอกมาว่า เธอน่ะ วันๆไม่ได้ทำอะไรเลย

ใครบอก เพื่อนร่วมงานฉันบอกมา

นี่เธอ เค้าบอกมาว่า เธอน่ะ ไม่ทำงาน ขอเงิน พ่อแม่ เอา

ใครบอก เพื่อนร่วมงานฉันบอกมา

การยอมรับ จากคนภายนอก ดูไม่สำคัญเลย สำหรับคนอย่างผม มันไม่ใช่ซะแล้ว

ผมหาคำตอบไม่ได้ ว่าจะแก้ไขสถานการณ์นี้ ยังไง อย่างไร ใจผมปั่นป่วนมาก เหมือนชิงช้า เลยหละ แกว่งซ้ายทีขวาที

เศร้า ซึม ผม ทำอะไรผิดเนี่ย ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนะ ผมเป็นคนดีด้วยนะ แต่ทำไมสิ่งนี้คือสิ่งที่ผมต้องเจอ
areliang
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ

โพสต์ที่ 283

โพสต์

การปรากฏตัวของนางฟ้าองค์น้อย

เศร้า ซึม อยู่สักพัก เอ่ คนภายนอกมองไม่เห็นเรากัน มันเกิดอะไรขึ้น หรือว่า เราไม่ได้สื่อสารออกไป เค้าเลยไม่เข้าใจเรากัน แปลว่าเราอ่อนการสื่อสารงั้นเหรอ แต่ว่าถ้าสื่อสารออกไปว่า เรามีหุ้นมูลค่าเท่านี้นะ มีเงินเท่านี้นะ มันไม่พิลึกเหรอ มันใช่เหรอที่จะเป็นเรื่องเอาไปสื่อสารให้คนนอกฟัง ขนาดคนทั่วไป เงินเดือนเท่าไหร่ยังไม่บอกกันเลย ยากแฮะ หาทางออกไม่ได้

การสื่อสาร การสื่อสาร MSN Messenger ซึ่งเป็นการคุยกันทาง internet ซึ่งนิยมในสมัยนั้น

อ่ะเริ่มเพิ่มทักษะการสื่อสาร จาก MSN นี่แหละ ก็เข้าไป ก็มีแต่รายชื่อเพื่อนของตัวเองทั้งๆนั้นแหละ แต่แต่ก่อนไม่ค่อยได้เล่น คุยไปเรื่อยๆ ทีละคน ถามความเห็นเค้า เกี่ยวกับการสื่อสารไปเรื่อยๆ เพื่อนแต่ละคนคงงง ว่าไอ้นี่มันเป็นอะไร

จนมาถึง little angel ใครน๊า อ๋อ จำได้แล้ว

Q: การสื่อสารของคน คืออะไรเหรอ

A:อืม สงสัยตรงไหน มีอะไรรึเปล่า

Q:แบบรู้สึกมีคนไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับ คือถ้าเป็นคนในบ้านเห็นเราเข้าใจเราไม่มีปัญหา แต่คนภายนอกมันไม่ใช่

A:มีเวลารึเปล่า วันไหนว่าง มาคุยกัน

Q:หาอะไรนะต้องนัดเจอเลยเหรอ แล้วเจอทำไม แล้ว คุณว่างเหรอ

A:ว่างสิ อยู่แถวไหน เดี๋ยวไปหาก็ได้

Q:โห๋ จะลำบากเป็นคนมาหาด้วย รบกวนเกินไปมั้ยเนี่ย

A:อยู่แถวไหนล่ะ ไม่รบกวนหรอก เราไปเรียน จิตวิทยา มา

Q:แล้วมันจะช่วยเราได้เหรอ มันยากนะ (ขู่ด้วย) แถวสุขุมวิท

A:เราไปบ่อยสุขุมวิท งั้นเจอร้านโอบองแปงนะ วันจันทร์ 13.00 น.
areliang
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ

โพสต์ที่ 284

โพสต์

จากวันเสาร์ แล้วก็มาถึงวันจันทร์

ผมไปถึงร้าน ก่อนเวลาเล็กน้อย เพราะใกล้บ้านผม ก็เดินเข้าไปซื้อน้ำโกโก้ปั่น แล้วก็ไปหาที่นั่ง ตรงที่สงบหน่อย พอถึงเวลานัด ก็โทรศัพท์ ไปบอกว่า ผมมาถึงแล้วนะ คุณอยู่ที่ไหนแล้ว

เราใกล้ถึงร้านแล้วหละ

ผมก็นั่งกินโกโก้ปั่นไปเรื่อยๆ แล้วก็คอยมองที่ประตูร้าน

แล้วเธอก็เดินเข้ามา สาวที่สวยไม่เคยเปลี่ยน สาวผิวขาว ร่างเล็ก ผมสั้น ซึ่งทำให้ใจผมสั่นไปชั่วขณะ แล้วผมก็ต้องบอกตัวเองว่าไม่ใช่ล่ะ เรามาเพื่อคุยเรื่อง การสื่อสาร แล้ว เธอจะมีอะไรมาคุยกับเรา แล้วจะช่วยเราได้เหรอ

เธอก็นั่งลงตรงข้ามด้วยรอยยิ้มแสนหวาน เราก็เดินไปซื้อ โกโก้ปั่นมาให้อีกแก้วนึง

พอซื้อมาเสร็จ และนั่งพักมาสักครู่ เธอก็เริ่ม ถามสิ่งต่างๆ และให้ผมเล่าตอบ ไปเรื่อยๆ และเธอก็ถามต่อ แล้วผมก็ตอบไปเรื่อยๆ ความรู้สึกต่างๆ ปัญหาต่างๆ สิ่งที่ผมทำต่างๆ และเธอก็ถามอีก ไอ้ผมก็เริ่มคิดอะไรเนี่ย ให้เราเล่าอยู่อย่างเดียวแล้วจะช่วยอะไรเราได้มั้ยเนี่ย แปลกที่พอยิ่งเธอถาม ผมก็มีเรื่องพูดออกมาได้เรื่อย ผมว่า มันผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมงเลยทีเดียว แต่เพราะความตั้งใจฟัง และ รอยยิ้มของเธอทำให้ผมไม่เบื่อเลย ในหัวและคำพูดของผม พรรณาปัญหาต่างๆออกมามากมาย

จนเธอเริ่มพูด “รู้มั้ย สิ่งที่คุณทำ ที่บอกว่า ไม่ต้องทำงาน แต่ก็จะมีรายได้เข้ามา ไม่แพ้ เงินเดือนเริ่มต้นของคนจบปริญญาโท ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าคุณทำยังไง แต่นั่น คือ สิ่งที่ทุกคน เค้าอิจฉา นะ”

คำพูดอะไรก็ไม่รู้ พอเคลื่อนที่เข้ามาถึงหูผมปุ๊ป ผมรู้สึกว่า มันวิ่งทะลุ ขึ้นไปที่สมอง กระแทกกำแพงปัญหาแตกไปเป็นจำนวนมากซึ่งรวมถึงส่วนที่ผมเล่าออกไป ทำให้ผมเริ่มคิดอะไรออก ในหัวใจเริ่มตื่นเต้น คล้ายๆเห็นแสงที่รอดเข้ามาจากทางออก

ผมยังคงพยายามฟังสิ่งเธออธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยคนั้นต่อไป พร้อมกับคิดด้วยตัวเองไปด้วย

เราตอนนี้อาจจะอยากได้ภาพที่เป็นที่ยอมรับ

เราไปอิจฉา คนที่มีภาพเหล่านั้นพร้อม

เราอยากทำให้เรามีภาพเหล่านั้น

โดยขณะที่คนที่มีภาพเหล่านั้น จริงๆแล้ว เขาอิจฉาเรา

เหรออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ

ผมก็เลยเริ่มพูดว่า ยิ่งคิด ก็ยิ่งจริง คนจะไม่อิจฉาเรา ก็อาจจะมีเพียง คนที่ได้ทำงานซึ่งเป็นงานที่เขารักเท่านั้น แต่คนที่ทำงานเพื่อให้มีเงินเพื่อใช้ในการดำรงชีวิต ถ้าจุดหมายเพียงเท่านี้ อิจฉาเราแน่ เพราะ เขา ต้องตื่นมาทุกเช้า พร้อมกับหน้าที่ที่ต้องทำอะไรต่างๆ และอาจจะมากมายเสียด้วยซ้ำในสายตาของเขาเอง พร้อมกับการเดินทาง

ผมพยายามพูดออกไป ให้เธอฟัง ราวกับว่า ให้เธอเป็นผู้ ยืนยัน ว่าผมกำลังคิดไปในทางที่ถูก

และ เธอก็มองมาที่ผม อย่างยิ้ม ยินดี ที่ดูเหมือนเราเข้าใจ

มหัศจรรย์ จริงๆ นี่ผมไปอิจฉา คนที่อิจฉาผม หรือเนี่ย

เธอ พูด ใช่แล้ว คุณไปอิจฉา คนที่อิจฉาคุณ แปลกมั้ยล่ะ แล้วความอิจฉาของคุณก็มาทำร้ายคุณเอง

โอ่ออออ... ผมมองเห็นแล้ว ไม่อยากจะเชื่อ มองไม่ออกแค่นิดเดียว ผมไปกดชีวิตตัวเองให้ด้อยไปกว่า คนที่อิจฉาผมเลยสินะ

แล้ว เธอ ก็เริ่มพูดต่อ “ และปัญหาอีกอย่างของคุณ คงเป็นเรื่องการสื่อสาร ตามที่คุณว่านั่นแหละ”

ผมเลยรีบถามว่า แล้วมันมีทางแก้มั้ย แก้ยังไง (ในใจผมคิด คุณคือ นางฟ้าองค์น้อยของผมโดยแท้)

เธอ เริ่มพูด ง่ายนิดเดียว หลัก 5 ข้อ จำไว้
1. ยิ้มแย้ม
2. ทักทาย
3. พูดคุย
4. ช่วยเหลือ
5. ชมเชย

ผมถามด้วยความสงสัย ยังไง ก็เห็นอยู่เห็นโดยทั่วไปนะ เหมือนผมไม่เข้าใจ

เธอจึงพูดให้ฟังต่อว่า ยิ้มแย้ม อยากคุยกับใคร ยิ้มไปเถอะ แม้ยิ้มไปแล้วเค้าไม่ยิ้มตอบก็ไม่เป็นไร เค้าอาจจะแค่อารมณ์ไม่ดีและไม่พร้อมที่จะคุยต่อ แต่โดยทั่วไปคนชอบการยิ้มแย้ม

อืม ถ้าผมหน้าบึ้ง หรือเครียดเข้าไป คงไม่มีใครอยากคุยกับผมแน่ อืม

เธอจึงพูด ใช่ ถูกต้อง แล้วเมื่อทำข้อที่ 1 แล้ว ก็ต่อๆไปก็จะตามมาเอง

อืม เนอะ ถ้าเรายิ้มแย้ม ก็ง่ายต่อการพูดคุย เมื่อเรากล่าวทักทาย ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการพูดคุย เราเริ่มพูดคุยก็ใช่อาจจะต้องมีการช่วยเหลือไปมา ถ้าคิดเพียงการสื่อสาร ก็เป็นการช่วยเหลือแง่คิดไปมา และเมื่อมีการช่วยเหลือจะไม่กล่าวชมเชย ขอบคุณก็กะไรอยู่

เธอฟังผมพูด และ ยิ้มหวานอย่างอบอุ่น และยินดีด้วยกับสิ่งที่ผมได้เข้าใจ

Oh My God โอ้พระเจ้าของฉัน ขอบคุณท่านจริงๆ ที่ส่งนางฟ้าองค์น้อยองค์นี้มาสอนผม
areliang
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ

โพสต์ที่ 285

โพสต์

ละ สงบเงียบ นั่งมอง

ทุกๆอย่างดูกลายเป็นเรื่องที่ไม่ยากนักหลังจากนั้น ทั้งเรื่องลงทุน และเรื่องอื่นๆ

ลงทุนในรูปแบบ เดิม เดิม มีเวลาว่างเหลืออยู่มาก จนช่วงตลาดหุ้นเริ่มขึ้นและขึ้นเรื่อยๆก็ละ ใส่ใจหุ้นน้อยลง แต่ยังคงถือหุ้นอยู่ แต่ไม่ซื้อเพิ่ม และไม่ขาย และลองที่ใช้เวลานั้นกลับมานั่งขายของ ขายสินค้า แต่ทำในรูปแบบง่ายๆ ได้เงินสัก 1-2 หมื่นบาทต่อเดือน แล้วใช้เงินส่วนนั้นเพื่อดำรงชีพ โดยไม่ไปเกี่ยวกับเงินจากการลงทุนเลย ราวกับมนุษย์เงินเดือน น่าระราว 3 ปีได้ ผมพยายามที่จะกลับมาสัมผัส ความเป็นมนุษย์เงินเดือนแบบคร่าวๆ

เป็นช่วง ที่ผมคิดเรื่องธุรกิจ หุ้น น้อยมาก หรือ สงบเงียบเลยล่ะ แต่หุ้นที่ถืออยู่จำนวนน้อยตัว ก็มีบางตัวที่ขึ้นตามตลาด บางตัวก็ขึ้นไม่มาก ผมนั่งมอง แบบแทบไม่ทำอะไรเลย มากว่า 3 ปี

สิ่งที่ผมเห็น คือ บริษัท มากมายในตลาดหุ้นยังคงอยู่ แม้จะเป็นบริษัทเล็ก ที่กำไรน้อย จนถึงขาดทุนเรื่อยๆ ก็ยังคงอยู่ มีบริษัทจำนวนน้อยมากที่หายไปเพราะไม่สามารถอยู่ได้จริงๆ รวมถึงมูลค่าตลาดของบริษัทเล็กๆ ที่ขาดทุน หรือ กำไรน้อย บางบริษัท กลับแพงกว่า บริษัทขนาดที่ใหญ่กว่า มีกำไรมากกว่า และแพงกว่า หลายเท่า จากเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ และบริษัท ที่ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ที่เติบโตได้ไปเรื่อยๆ ทั้งจากการปรับตัว หรือ หาช่องทางทำเงินใหม่ รวมถึง ช่องทางเดิมๆ

ผมมองเห็น ถึง การคงอยู่ เมื่ออยู่ไม่ได้ก็เห็นการปรับตัว

กลับมาวุ่นวาย อีกครั้ง

อาจเป็นเพราะ อยากมีมากกว่านี้ ทั้งที่จริงๆ ไม่ขาดสิ่งใดทางวัตถุ ยิ่งดูมูลค่าตลาดหุ้นที่เพิ่มขึ้นอย่างมหัศจรรย์ ได้มองเห็นคนที่ทำเงินได้จากหุ้นมากกว่าเรามากมายนัก ความรู้สึกในใจไม่อาจสงบอยู่ได้

จึงเริ่มคิด พยายามที่จะทำอะไรบางอย่างเพื่อว่าจะดีขึ้นไปกว่านี้อีก แต่พอมองไปที่ตลาดหุ้นก็ขึ้นมาสูงมากแล้ว ด้วยนิสัยเดิมๆ ก็คงไม่กล้า เอาเงินเข้าไปลงจำนวนมากในเวลาแบบนี้ ไม่รู้สิ ไม่รู้ต้องทำยังไง เราพร้อมเหรอ ที่จะลงทุนให้หุ้น PE สูงๆ แม้หวังได้ว่าอนาคตจะดี ผมไม่พร้อมกับลักษณะแบบนี้ ใจตัวเองตอบพร้อมจะอยู่นิ่งๆ ถ้าไม่อยากซื้อ แต่ใจอีกด้านหนึ่งกลับไม่สามารถสงบได้จากความอยากให้ได้มากไปกว่านี้

นั่นคือความวุ่นวายที่อยู่ในใจ แม้มีความรู้จากสิ่งต่างๆ มากมายประกอบอยู่

จิตปล่อยวาง คำที่พูดได้อย่างง่ายๆ เบาบาง

จิตปล่อยวาง ต้องอ้างถึง หนังเรื่อง KangFu Panda 2

ความหลัง หรือ อดีต

ปัจจุบัน

ความหวัง หรือ อนาคต

ล้วนผูกพันกับเรา การทำความเข้าใจ จนสลายคำว่า ความกล้า ความกลัว แม้ คำว่า โง่ และ ฉลาด ดูจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าทำได้ อาจจะได้เห็นคำว่า จิตปล่อยวาง

ฉาก ในหนัง KangFu Panda 2

ฉากที่ แพนด้า ต้องยืนอยู่บนแผ่นไม้กลางน้ำ แล้ว ปืนใหญ่จากเรือ หลายกระบอกมากเล็งมาเพื่อจัดการแพนด้า

ปืนใหญ่ เปรียบเหมือน ปัญหา หรือ ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่กำลังจะถูกยิ่งเข้าใส่ แพนด้า

ส่วนแผ่นไม้กลางน้ำ ที่แพนด้าขึ้นไปยืนอยู่ซึ่งบนน้ำก็ไม่ได้ดูไม่มั่นคงอะไรเลย กลับเป็นสภาวะอ่อน ยืดหยุ่น นั้นก็คือที่อยู่ของจิต และตัวแพนด้า สื่อถึงจิต

ด้วยความเป็นจริงแล้ว ไม่มีแรงของสิ่งมีชีวิตที่ปะทะกับ ลูกปืนใหญ่แล้วอยู่รอดได้ แต่ฉากนี้ไม่ทำเช่นนั้น

และแพนด้า เข้าสู่จิตปล่อยวาง และมีกระสุนปืนใหญ่ยิงตรงเข้ามา แพนด้ากลับมองเห็นการเคลื่อนที่ค่อยๆเข้ามาของกระสุน เหมือนมองเห็นปัญหาใหญ่ทีเดียวค่อยๆวิ่งเข้ามา แล้วใช้วิชากังฟูที่ตัวเองมี ประคอง จับ ปัด กระสุน หรือปัญหาออกไปได้ โดยที่ มือ มีไฟจากกระสุนติดอยู่ให้รู้สึกร้อนอยู่บ้าง แล้วก็รีบดับมัน ราวกับว่าแน่นอนเมื่อยังไม่คล่องแคล่วที่จะจัดการปัญหา อาจจะมีอะไรร้นรนติดอยู่ได้ แต่ให้รีบดับมัน เมื่อกระสุน หรือปัญหายิงมาอีก ก็ประคอง ปัด ได้อย่างคล่องแคล่ว รวม ถึงการกระโดด หลบ กระสุน หรือ ปัญหา ได้อย่างสบายอารมณ์ จนถึงฉากที่ รวม ระหว่าง กระสุนหรือ ปัญหา กับ จิตของแพนด้า เห็น เข้าใจ รวมเป็นหนึ่งเดียว เพื่อจัดการกับรากของปัญหาที่แท้จริง ซึ่งหมายถึง เรือของตัวร้ายในเรื่องซึ่งก็มีปืนใหญ่อยู่ และประคอง ผลัก ลูกกระสุน กลับไปจัดการเรือของตัวร้ายได้สำเร็จ

ฉากที่ว่าคงเป็นภาพหนึ่ง ที่ผมได้สัมผัส คุณสมบัติ ของคำว่า จิตปล่อยวาง

การลงทุน คงเป็นสิ่งที่เคียงคู่กันไป กับชีวิต แต่มันไม่เคยสำคัญไปกว่า ชีวิต

ผมอาจจะทำมันได้ ไม่ได้ดีเยี่ยม เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ทำได้ดีเยี่ยม ผมคงไม่จำเป็นที่จะต้องทำให้ได้ดีเยี่ยม เพื่อไปเปรียบเทียบกับผู้ที่ทำได้ดีเยี่ยม ถ้าใช้จิตปล่อยวางในการมอง

แต่ผมควรใช้ การลงทุน ให้เหมาะกับ ชีวิตผม ผสมผสาน ให้มันเป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้างความสุขให้ผม

แล้วถ้าผม ใช้การลงทุน สร้างความสุขให้ตัวผมได้แล้ว คำว่าจะลงทุนได้ดีเท่าไหร่ คงเป็นสิ่งที่ผมจะนั่งมองไปเรื่อยๆอย่างมีความสุขเฉกเช่นเดียวกัน

จบแล้วครับ :D
areliang
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ

โพสต์ที่ 286

โพสต์

แปลกจัง ที่ในวันนี้ พอผมมานึกถึงเรื่องราวของหุ้นที่เกี่ยวกับตัวผมเอง กลับรู้สึกว่าตัวผมเองลืมเรื่องหุ้นไปนานแสนนานทั้งๆที่ผมก็ดูก็นึกถึงตลาดหุ้นอยู่เป็นประจำ

อาจเป็นเพราะสิ่งที่ผมทำมันน้อยเกินไปรึเปล่า ผมซื้อหุ้น 3 – 4 ตัวหลักๆ เมื่อสัก 10 ปีก่อน แล้วระยะเวลา ก็ทำให้หุ้นของผมขึ้นมาบ้าง จนถึงวันที่ผม รู้สึกอยากขาย แล้วผมก็ขายไป

ผมก็ขายไปโดยที่ไม่ได้ซื้อหุ้นตัวใหม่เข้ามาทดแทน อาจจะเพราะผมเป็นคนที่ขี้กลัว

จุดที่ทำให้ผมเริ่มเกิดการขาย น่าจะเกิดจาก ตัวที่หนึ่ง เป็นเพราะ ผมไม่เคยได้กำไรจากหุ้นจนถึงตัวเลขจำนวนนั้น ผมเลยอยากเก็บเลขกำไรจำนวนนั้นออกมาให้เป็นความจริง และ 555 ซึ่งแน่นอน เมื่อขายแล้ว หุ้นตัวนั้นก็ขึ้นต่อไปอีกไม่น้อยเลย ถึงแม้จะต้องจำใจเสียดายกำไรที่จะได้มากขึ้น แต่กลับต้องทำ อาจเป็นเพราะ เพื่อสร้างคำตอบและตอกย้ำให้กับตัวผมเอง ว่ามันคือความจริง

พอเวลาผ่านไปอีกเป็นปี ผมก็เพียงแต่ถือหุ้นที่ยังไม่ได้ขายไปเพลินๆ การซื้อขายหุ้นเกิดกับผมบ้างแบบเหยาะแหยะ จำนวนน้อยไม่เป็นนัยยะสำคัญ จนวันที่ หุ้นอีกตัวที่ผมมีอยู่ เกิดประกาศ เพิ่มทุน ซึ่งหุ้นตัวนี้ที่ผ่านมาปันผลในเกณฑ์สูง เมื่อเทียบกับราคาที่มีการขึ้นลงบ้างไม่มากนัก ถึงจะมีการเดาอยู่บ้างว่า งบประมาณนี้ โตรูปแบบนี้ ที่ผมเริ่มไม่ชอบเท่าไหร่ ก็มีโอกาสที่จะเพิ่มทุนเป็นแน่ แล้วพอประกาศเพิ่มทุนออกมา ผมก็ตัดสินใจ ขายดีกว่า ก็ไม่ยากเลย เพราะถือมานาน มีปันผล รวมกับราคาตอนนั้นก็มีกำไรแม้ไม่มากนัก

และมันก็กลายเป็นจุดเริ่มต้น ที่ดึงดูดให้ผมสนใจอยากขายหุ้นที่เหลืออีก และเมื่อมีโอกาสรวมกับราคาที่ผมโอเคแล้ว ผมก็ขายหุ้นทั้งหมด ออกไป น่าจะขายหมดในตัวหลัก ภายในสิ้นปี 2015 แล้วก็เกิดภาวะพอร์ตว่าง วุ่นวายใจกันเลย พอร์ตว่างเนี่ยเริ่มรู้สึกเรื่องใหญ่เพราะจะไม่มีรายได้จากหุ้นเลย 555

แล้วในปีต่อมา ผมก็เลยพยายามลงทุนในหุ้นตัวหนึ่งตัวเดียว แต่เป็นสัดส่วนไม่มาก แต่ยอดก็ไม่น้อยเลยสำหรับตัวผม ผมแค่เพียงคิดว่า ตัวนี้น่าจะดีกว่า ตัวที่ขายๆไป รวมถึง ตัวนี้แหละ ผมจะถือ รอ วิกฤต ซึ่งมันแน่ชัด ว่าผมคงไม่หวังถึงกำไรมากนัก เพราะถ้าเข้าวิกฤตแล้วยังกำไร ผมคงต้องเลือกหุ้นได้แบบเซียน แต่ผมไม่ใช่ แต่ยังคงหวังถึงการรอดและคงอยู่ของธุรกิจนั้นนะ ราคาที่ซื้อถ้าดูกราฟย้อนหลังราคาก็ค่อนข้างสูงนะ ใช่ครับราคาลดลงมา 55 กลัวไม่มีรายได้จากหุ้น ขาดทุนมากกว่ารายได้ที่ได้จากหุ้นเยอะ 55 ถึงแม้จะปลอบใจตัวเองได้บ้างในบางคราว เอาน่ะ ตัวที่ขายไปเมื่อเทียบแล้วราคาลดลงไปมากกว่าอีก

และนี่หรือ คือ สิ่งที่ผมทำทั้งหมด เกี่ยวกับหุ้น 10 ปี ผมว่าผมใช้เวลาทำธุรกรรม เกี่ยวกับหุ้นหลัก น่าจะประมาณ 30 วันทำการ และก็วันที่เวิ่นเว้อ คิดถึงหุ้นที่ถือหรือไม่ถืออยู่เรื่อยๆ เนืองๆ

นี่หรือ คือรูปแบบที่ผมเป็น ซื้อในเวลาที่ทั้งตลาดราคาถูก ขายตอนที่ทั้งตลาดราคาดี อาจจะเป็นวงรอบที่ผมพอจะทำกำไรได้ เพราะ ผมไม่เก่งกราฟ ไม่เก่งดูธุรกิจเชิงคุณภาพมากนัก ไม่เก่งเก็งกำไร แต่ไม่ว่ายังไง ผมก็ยังคงหวัง จะเป็นผู้ที่อยู่รอดในตลาดหุ้นครับ
areliang
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: ผมอยากเล่าเรื่อง ชีวิต ผมกับ ตลาดหุ้นจังเลยครับ

โพสต์ที่ 287

โพสต์

ผมก็เลย เกิดข้อสงสัยขึ้นมาบ้างว่า

การตัดสินใจไม่ทำอะไร และก็ไม่ลงมือทำอะไร คือ การกระทำหรือไม่ การเลือกที่จะไม่กระทำ ก็อาจจะเป็น การลงมือกระทำในทางหนึ่งรึเปล่า รวมถึง ความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตอย่างลมๆแล้งๆ ควรหรือไม่

อีกข้อเป็นเรื่องที่มองเห็นราคาหุ้น หลายๆตัว เมื่อเทียบราคาเมื่อ 10 ปีก่อน กับราคาวันนี้ ราคากลับลงมาเท่าเดิม แม้จะมีช่วงราคาที่ขึ้นไปบ้าง มันคืออะไร 10 ปี ผ่านไปแต่ราคากลับมาเท่าเดิม มันคืออะไร