พวกเราอยู่กลุ่มไหน
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 61
วันนี้ 25/5/58 ได้มีโอกาสไปประชุมวิสามัญ ของ TTL ในการขายที่ดิน โรงงานที่ 2 ที่รังสิต-นครนายก รวม 140 ไร่ ขาย 680 ล้านบาท ที่ประชุมอนุมัตให้ขายให้แก่บริษัท JSP เจเอสพี พร๊อพเพอตี้ ที่อยู่ในตลาด MAI ให้เขาไปพัฒนาทำบ้านต่อไป บริษัท TTL จะได้กำไรในส่วนนี้เป็นเงิน 587.375 ล้านบาท หรือ 39.18 บาท ต่อหุ้น...เป็นอันว่าจบสิ้นไป อีกแปลงนึง....ที่เหลือสมบัติที่สำคัญคือ ที่ โรงงานแรกที่เลยดอนเมืองไปหน่อยจำนวน 125 ไร่ และ อีกแปลงที่บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี จำนวน 637 ไร่....ตอนนี้บริษัท มีเงินอยู่กว่า 5 ร้อยล้านบาท รวมที่จะได้อีก 680 ล้านบาท แสดงว่า บรษัทจะมีพันกว่าล้านบาทบวกกับที่ดินที่ใกล้ดอนเมืองและบ้านสร้าง นั่นคือสมบัติที่บริษัทมีอยู่....เรื่องที่ใกล้ดอนเมือง 125 ไร่นี้ทาง NIDA ได้ศึกษาและส่งเรื่องให้บริษัทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางบริษัทฯจะประชุมคณะกรรมการวันที่ 24/6/58 ว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป ผู้ถือหุ้นรายย่อยพยายามถามแนวโน้มในอนาคตจะทำอะไรต่อไป ก็มีการบอกว่า ต้องรอคณะกรรมการพิจารณากันก่อน ทาง NIDA ส่งเอกสารมาให้กว่า 3ร้อยหน้าเมื่อวันศุกร์ที่ 22/5/58นี้เอง บอกแนวทางต่าง ๆ ทั้งข้อดีและข้อเสียในพื้นที่ดิน 125 ไร่นี้ แต่คิดว่า จะมีแนวโน้มว่าจะพัฒนาเป็นศูนย์การค้าต่อไป เพราะที่ดินผืนใหญ่ติดถนนสองด้าน คือ พหลโยธิน และ วิภาวดี ถ้าตัดสินใจพัฒนาต่อไปก็ต้องมีการใช้เงินอีก จำนวนมากเหมือนกัน....ก็ต้องรอผลการพิจาณาของคณะกรรมการต่อไป ... ผมถือหุ้นบริษัท นี้มานานแล้วและไปประชุมแทบทุกครั้ง ผมก็คิดว่าบริษัทนี้คณะกรรมการที่น่าเชื่อถือมากอยู่ โชคดีของเขาที่ได้เลิกธุรกิจสิ่งทอและอาจเปลี่ยนเป็นพัฒนาที่ดินแทน ก็ ต้องติดตามรอดูกันต่อไปครับ
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 63
วันนี้ 3/6/58 ได้มีโอกาสไปชมโรงงานของ AH ที่นิคมอุตสากรรมไฮเทค ที่อยุธยา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทในกลุ่ม AH ได้ฟังคำอธิบายของลูกสาวเจ้าของกิจการ ที่มาออกในงาน opp day ประจำอยู่ ฟังถึงการพัฒนาของเขาที่มาลงทุนในไทย สิบกว่าปีแล้ว เริ่มจากการเป็นตัวแทนขายรถยนต์ จนตั้งโรงงานผลิตอะไหล่ให้กับรถแทบทุกยี่ห้อในไทย ส่วนที่ได้ไปชมเป็นส่วนของโรงงานในกลุ่มแรก ๆ ที่เขาก่อตั้งขึ้นมา เห็นการผลิต การปั้มโลหะ เป็นส่วนใหญ่ ในระหว่างเดินชม ผู้พาชมบอกตอนปีน้ำท่วมบริษัทถูกน้ำท่วมถึง 2.7 เมตรเลย เครื่องจักรที่ตั้งอยู่ส่วนใหญ่จะเสียหาย มีการแสดงระดับน้ำที่ท่วมให้เห็นด้วย เขาเล่าถึงความยากลำบากในตอนนั้นแล้วเกิดสงสารพวกเขานะ ที่ต้องลำบากเช่นนั้น ผมรู้สึกว่า เขาพยายามทำงานขึ้นรูปโลหะเป็นส่วนใหญ่มีทั้งขนาดใหญ่และเล็ก เขาบอกช่วงนี้ที่โตขึ้นเป็นงานที่ส่งไปต่างประเทศ เพราะราคาของเขาถูกกว่าที่อื่น ๆ เขาพยายามหางานเข้าบริษัทฯ ให้มาก งานในประเทศซบเชา ปีนี้คาดว่าจะมีการผลิตรถ 2.1 ล้านคันตามที่บอกใน opp day โรงงานที่ไปชมกันใช้การผลิตอยู่ 65% เท่านั้นเอง ต้องการสัก 70% เป็นอัตราที่เหมาะสม.....เขาจะพยายามเป็นศูนย์ของผู้ผลิตอะไหล่ในเอเซียให้ได้ ก็ต้องติดตามดูกันต่อไป เห็นว่าในทั้งบริษัทในกลุ่มนี้มีพนักงานถึงหกพันคน ก็ เป็นแหล่งที่ให้คนไทยเราได้ทำงานกัน ผมมีหุ้นกลุ่มนี้อยู่ 2 ตัว คือ AH กับ SAT ในใจแล้วชอบ SAT มากกว่า AH เพราะรู้สึกทาง SAT จะจับงานที่ชิ้นใหญ่กว่า และ ง่ายกว่า ส่วนทาง AH นี้งานเล็กงานน้อยทำกันส่วนใหญ่และมีการร่วมทุนกับหลายบริษัทมากมายทีเดียว เขาทำถังน้ำมันที่เป็นโลหะ ทางพวกรถได้พัฒนาส่วนนี้เป็นพลาสติค เขาก็ได้พัฒนาตามไปด้วย แต่งานส่วนใหญ่เป็นโลหะมากที่สุด ถ้าอุตสาหกรรมนี้โตขึ้น ทางเขาก็คงจะโตตามเพราะมีระบบการบริหารโรงงานที่ดี เยี่ยม ก็ต้องติดตามกันดูต่อไป
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 64
5. หุ้นไม่มีสภาพคล่อง.....ผมยอมรับครับว่า สภาพคล่องในการซื้อขายมีความสำคัญ เราจะสามารถซื้อขายได้ทุกวัน แล้วแต่สถานะการณ์...สำหรับผมแล้วผมลงทุนในหุ้นต้องเป็นเงินที่เราไม่ต้องใช้ เอาเงินมาทำประโยชน์ให้มากกว่าแหล่งอื่น ๆ....ผมเลยถือว่าสภาพคล่องของหุ้นไม่ใช่สิ่งสำคัญ...จากประสบการณ์ หุ้นหลายตัวที่ไม่มีสภาพคล่อง ความต้องการน้อย ก็สามารถกลายเป็นหุ้นมีสภาพคล่องขึ้นมาได้เพราะความต้องการมาก เนื่องจากกิจการดี และ เติบโตสูงนั่นเอง.....ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญคือ ขอให้ผลประกอบการดี หุ้นก็ขึ้นนั่นเอง....ผมจึงยึดหลักหุ้นจะขึ้นหรือไม่อยู่ที่ผลประกอบการ ผมคิดถึงปัจจุบันมากกว่าอนาคต.....มีหลายคนพูดว่าซื้อหุ้นเพราะเห็นอนาคตดี จนบางทีผมก็คิดว่า หุ้นเหล่านี้เป็นหุ้นขายฝัน...เราให้ค่าอนาคตมัน 2-3 เท่าเลย ให้ P/E เป็นร้อยเท่า P/BV มากกว่า 10 เท่า....หุ้นเหล่านี้ผมไม่กล้าจะไปเสี่ยงกับเขา......กลับมาพูดถึงหุ้นไม่มีสภาพคล่อง มีหุ้นตัวหนึ่ง พอผมมีเงินเหลือเมื่อไรก็จะหาจังหวะซื้อหุ้นตัวนี้ เพราะวิเคราะห์แล้วพบว่า เขามีเงินสดต่อหุ้นก็เกือบ 100 บาทเลย (ไม่ใช่หุ้นสิ่งทอที่กล่าวในหัวข้อ 4)..ปันผลแย่ที่สุดก็จะได้ 2% แต่เมื่อไรที่กิจการดีขึ้นเขาก็ปันผลให้มากขึ้น เคยถึงระดับเกือบ 10% เลย.....พูดถึงราคาหุ้นก็ไม่ไปไหนอยู่ในระดับปัจจุบันนี้ ไม่มีโอกาสได้ส่วนต่างของราคาหุ้นเท่าไหร่.....รอเพียงว่าเมื่อไรเขาจะพัฒนาผลิตภัณท์ใหม่ ๆ ออกมาหรือเอาหุ้นออกจากตลาดหรือเลิกกิจการเท่านั้นเอง...เตือนก่อนห้ามเอาเงินที่ต้องการจะใช้มาซื้อหุ้นแบบนี้เพราะไม่เหมาะสม....(เวลาซื้อง่ายแต่เวลาขายยาก).
.....................................
ข้างบนนี้คือหุ้นที่ผมบอกไว้ คือหุ้น TIW และที่สุดก็มีคนมาเห็นและขอซื้อหุ้นทั้งหมดจากญี่ปุ่นและรายย่อยในราคา 143 บาท ดังนี้-
เรื่อง : การทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์
ชื่อบริษัทจดทะเบียนที่ถูกทำคำเสนอซื้อ : บริษัท ไทยแลนด์ไอออนเวิคส์ จำกัด (มหาชน) (TIW)
ผู้ทำคำเสนอซื้อ :
ดร.ประสิทธิ์ กาญจนศักดิ์ชัย
ระยะเวลาทำคำเสนอซื้อ : วันที่ 19 มิ.ย. 2558 ถึงวันที่ 24 ก.ค. 2558
ราคาเสนอซื้อ
หุ้นสามัญ (บาท/หุ้น) : 143.00
..........
ขอดูต่อไปว่าจะจบอย่างไรสำหรับหุ้นตัวนี้
.....................................
ข้างบนนี้คือหุ้นที่ผมบอกไว้ คือหุ้น TIW และที่สุดก็มีคนมาเห็นและขอซื้อหุ้นทั้งหมดจากญี่ปุ่นและรายย่อยในราคา 143 บาท ดังนี้-
เรื่อง : การทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์
ชื่อบริษัทจดทะเบียนที่ถูกทำคำเสนอซื้อ : บริษัท ไทยแลนด์ไอออนเวิคส์ จำกัด (มหาชน) (TIW)
ผู้ทำคำเสนอซื้อ :
ดร.ประสิทธิ์ กาญจนศักดิ์ชัย
ระยะเวลาทำคำเสนอซื้อ : วันที่ 19 มิ.ย. 2558 ถึงวันที่ 24 ก.ค. 2558
ราคาเสนอซื้อ
หุ้นสามัญ (บาท/หุ้น) : 143.00
..........
ขอดูต่อไปว่าจะจบอย่างไรสำหรับหุ้นตัวนี้
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 66
เมื่อวาน 1/7/58 ได้ไปงาน MAI forum 2015 ไปรู้จักกับบริษัทฯ ต่าง ๆ ที่มาร่วมงานกัน ทางผู้จัดงานจัดได้ดีมาก คนไปแน่นทีเดียว ได้เอกสาร ต่าง ๆ มากมาย แถมมีการจัดให้เล่นเกมง่าย ๆ ของผู้จัดด้วย โดยไป stamp หมายเลขในพื้นที่ต่าง ๆ ให้ครบ 9 หมายเลขและให้ไปแลกของชำร่วยได้อีก ได้ของชำร่วยจากผู้ที่มาร่วมงานสนทบด้วยเสื้อยืดคอกลมจาก MAI ด้วย เสื้อยืดตัวใหญ่มากทีเดียว สงสัยจะทำไว้ให้ฝรั่งใส่กันมากกว่า ดีครับ ได้ความรู้และได้ของฟรีติดมือมาด้วย......เมื่อปีที่แล้วผมไปมาเจอหุ้นที่ผมชอบคือ arrow....ปีนี้พยายามหาหุ้นที่เราจะพบอีก ไปเจอแต่หุ้นพลังงานทดแทนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งราคาหุ้นได้ขึ้นมาเกินกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็นแล้ว โดยสรุปแล้ว พลังงานไฟฟ้าที่เราใช้อยู่จะค่อย ๆ พัฒนาโดยใช้แหล่งของพลังงานแสงแดด และ พลังงานลม กันมากขึ้น ทุกประเทศก็ต้องพัฒนาในจุดนี้ ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ดูจากทางญี่ปุ่นที่เกิดการรั่วไหลของพลังงานจากนิวเคลียร์ ทำให้คนข้างเคืองมีปัญหา ก็คงจะลดในพลังงานส่วนนี้ไป แทนด้วยพลังงานลม และ แสงแดดต่อไป......การพัฒนาประเทศ ต้องใช้พลังงานขับเคลื่อน เป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้นพลังงานทดแทนที่บริสุทธิ์จึงต้องเกิดขึ้น....แนวโน้มของโลกเรา นอกจาก ด้าน health care ที่เราเห็นว่าต้องจำเป็นและโตขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ก็จะมีพลังงานทดแทนที่ต้องโตขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกัน......ก็ลองศึกษากันต่อไปว่า หุ้นตัวไหนที่น่าจะโตต่อไปเรื่อย ๆ ได้.....เราเห็นการเติบโตแน่นอน แต่ต้องดูด้วยว่า พื้นฐานของราคาหุ้นควรอยู่ที่เท่าไร....ผลตอบแทนที่เราจะได้นั้นมีไหม และต้องรออีกนานเท่าไหร่ นี่เพียงเตือนว่า หุ้นในกลุ่มนี้ได้สูงขึ้นมามากพอควรแล้ว การลงทุนมีความเสี่ยง ต้องพิจารณาให้รอบครอบด้วยครับ ...ส่วนหุ้นที่ผมเริ่มสนใจก็คือหุ้นที่อยู่ใน SET แต่มีบริษัทย่อยที่มาออกงานอยู่ใน MAI ก็ได้ความรู้จากบริษัทย่อยนี้พอควร ....นี่ละครับคือการใช้โอกาสที่ได้ไปในงาน MAI FORUM 2015 แต่การลงทุนจะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ต้องไปเจาะรายละเอียดอีกทีนึงและต้องไปประชุมผู้ถือหุ้นในปีหน้าว่าเป็นอย่างไรสมควรจะลงทุนอยู่กับเขาหรือเปล่า
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 67
วันนี้อ่านในเวปหนึ่ง เกี่ยวกับตลาดหุ้นจีนที่จะตกลงไปเรื่อย ๆ ก็เหมือนกัน วงจรเศรษฐกิจ หรือ วงจรหุ้นที่มีขึ้นและลง จับได้ใจความหนึ่งที่ผมสนใจคือ ....หุ้นดี เมื่อถูกปั่นขึ้นมา และเมื่อไรที่เกินมูลค่าที่ควรจะเป็นก็จะกลายเป็นหุ้นเลว.....ก็เหมือนกับซื้อหุ้นดีที่ราคาแพงก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับพวกเรานั่นเอง.....สิ่งสำคัญในการลงทุนหุ้นผมให้ไว้แล้วว่า เราต้องมี 3 เข้าใจ คือเข้าใจกิจการ เข้าใจผู้บริหาร และ เข้าใจงบการเงิน......ส่่วนหนึ่งในงบการเงินถ้าดูกันง่าย ๆ ก็ ดู PE ผมชอบ PE....มีหุ้นที่ผมชอบผมเริ่มลงทุนแถว PE 10 ผมให้เป้าหมายหุ้นตัวนี้ที่ PE 15 ...ผมจะซื้อหุ้นตัวนี้ที่ PE 10-15 ...แต่ถ้าหุ้นตัวนี้ราคาขึ้นนั่นหมายถึง PE ก็ขึ้นด้วย ถ้าอยู่ในระดับ 15 ผมก็จะหยุดซื้อ และ รอดู เมื่อไรที่ PE สูงถึง 20 ผมก็จะพิจารณาว่าจะถือหรือขายดี....แต่ถ้ากิจการของเขาจะทำกำไรเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หมายถึง E (eps) ที่เพิ่มขึ้น สิ่งนี้จะทำให้ PE ลดลงได้........ ถ้ามีการเพิ่มขึ้นพอกับราคาที่เพิ่มขึ้น นั่นหมายถึง ค่า PE ก็จะคงที่เท่าเดิม ถ้าราคาเพิ่มแต่ E เพิ่มไม่ทันก็จะทำให้ PE สูงขึ้น นั่นละที่จะนำพาให้ผมตัดสินใจขาย ไม่ให้รักหุ้นตัวนี้นานเกินไป.......สิ่งนี้ได้จากอดีตที่ผิดพลาดของผม ในหุ้นตัวหนึ่งที่ผมรักและชอบมาก มีปันผลดี ราคาหุ้นวิ่งไปเมื่อเขาประกาศว่ายอดขายจะก้าวกระโดด นั่นหมายถึงกำไรที่จะก้าวไปด้วยที่สุดก็ไม่สามารถจะทำได้ ผมน่าจะขาย แต่ผมก็ไม่ได้ขาย อดทำกำไร ตอนนี้เลยขาดทุนทำกำไรกับหุ้นตัวนี้ไปเลย ก็ได้แต่รอให้เขาก้าวกระโดดตามเป้าหมายที่เขาวางไว้ ผู้บริหารเก่งมีธรรมาภิบาลที่ดี แต่ระหว่างทางที่รอ เราเสียโอกาสที่จะเอาเงินไปสร้างผลตอบแทนที่ให้ได้มากกว่า นี่ผมถือว่าเป็นการผิดพลาดในการลงทุนของผม
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 68
เมื่อวันศุกร์ 24/7/58 ได้มีโอกาสไปประชุมหุ้น TIW ว่าจะปรับปรุงธุรกิจกันอย่างไร ก็เข้าใจว่า
1. เขาต้องพยายามทำการตลาดให้ดีกว่าเก่า ตอนนี้กำลังหาคนมีความสามารถในด้านนี้มาช่วยอยู่ในจุดปกพร่องเดิม เช่น มีผู้ขายในแต่ละเขต 2-3 รายจะเพิ่มเป็น 10 ราย แต่ก่อนขายเงินสดตอนนี้ปรับเป็นขายเครดิต เป็นต้น
2. กำลังพิจารณาหาผลิตภัณท์ให้เพิ่มขึ้น เพราะกำลังผลิตยังเหลือเฟืออยู่
3.พยายามลดต้นทุนเปรียบเทียบราคาสินค้ากับผุู้ผลิตรายอื่น ปกติซื้อจากมิตซุยอยู่ งานนี้คงไม่ง่ายเพราะความสัมพันธ์ของ ดร ประสิทธิ์มีอยู่กับ มิตซุยยังเหนียวแน่นอยู่
4.ยังใช้ตรายี่ห้อเดิมและยอมจ่ายค่าเครื่องหมายการค้าเหมือนเดิม สัญญาละ10 ปี ค่าตอบแทนต่อสัญญา 1 ล้านบาท
5.ตอนนี้ผลิตอยู่ที่ 25000 ตันต่อปี กำลังผลิตสามารถทำได้ 60000 ตันต่อปี
6.ดร ประสิทฺธิ์แจ้งว่า ภายใน 2 ปีข้างหน้าจะเห็นความแตกต่างชัดเจนขึ้น
7.คู่แข่งเริ่มลดลง เพราะสินค้าสำเร็จรูปจากจีนมาตีตลาดอยู่ แต่อนาคตรัฐบาลกำลังพิจารณาเก็บภาษี surcharge สำหรับผลิตภัณท์ประเทศนี้อยู่
ที่สำคัญ ดร ประสิทธิ์ มาซื้อธุรกิจนี้เพราะมีความสัมพันธ์กับประธานบริษัทนี้มานานหลายปี และทางมิตซุยต้องการเลิกธุรกิจปลายน้ำแบบนี้และกิจการที่ขาดทุนออก เป็นโอกาสที่ ดร ประสิทธิ์ได้มาเป้นเจ้าของแทน ท่านก็ยังแปลกใจว่าทำไมคนทำ tender น้อยกว่าที่คาดมาก การจะเอาหุ้น tiw ออกจากตลาด ยังไม่แนวคิดไม่ยอมบอก เหมือนกันการที่จะเอาหุ้นของท่านมาควบรวมเพื่อเป็นการ back door listing ก็ไม่บอกเหมือนกัน เลยดูความคิดของท่านไม่ออกครับ
แต่โดยสรุปเรื่องธรรมาภิบาลก็คงเป็นคนดีและคนเก่งระดับหนึ่ง ท่านเป็นอาจารย์สอนที่ NIDA ด้วย และได้เอา อาจารย์ของท่านที่ NIDA มาช่วยเป็นกรรมการด้วย ก็แสดงว่า ท่านคงมาทำให้บริษัทฯ ดีขึ้นค่อนข้างแน่
ผมพยายามดูความคิดของท่านเรื่องการมีบริษัท มีเงินส่วนเกินเหลือมาก ตามที่ท่านบอกจะปันผลออกมาให้ระหว่างกาล 20-25 บาท ต่อหุ้น ขณะนี้บริษัท มีเงินสดและเทียบเท่า ตามงบล่าสุดอยู่ที่ 384 ล้าน จ่ายปันผลรอบนี้ 12 ล้าน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ (ปีละ 41 ล้านบาท) ก็แสดงว่าขณะนี้มีเงินเหลือประมาณแถว น่าจะ 350 ล้าน ถ้าปันผลอีก 25 บาทหรือเอาเงินออกอีก 150 ล้านบาท ก็ยังเหลือเงินอีก แถว 200 ล้่านบาท ก็ลองติดตามดูกันต่อไปว่า ท่านจะเอาเงินเงิน 200 ล้่านบาทมาสร้างกำไรให้่บริษัทได้อย่างไร......ผมคงถือไปเรื่อย ๆ เพราะราคาปัจจุบันยังต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นอยู่
1. เขาต้องพยายามทำการตลาดให้ดีกว่าเก่า ตอนนี้กำลังหาคนมีความสามารถในด้านนี้มาช่วยอยู่ในจุดปกพร่องเดิม เช่น มีผู้ขายในแต่ละเขต 2-3 รายจะเพิ่มเป็น 10 ราย แต่ก่อนขายเงินสดตอนนี้ปรับเป็นขายเครดิต เป็นต้น
2. กำลังพิจารณาหาผลิตภัณท์ให้เพิ่มขึ้น เพราะกำลังผลิตยังเหลือเฟืออยู่
3.พยายามลดต้นทุนเปรียบเทียบราคาสินค้ากับผุู้ผลิตรายอื่น ปกติซื้อจากมิตซุยอยู่ งานนี้คงไม่ง่ายเพราะความสัมพันธ์ของ ดร ประสิทธิ์มีอยู่กับ มิตซุยยังเหนียวแน่นอยู่
4.ยังใช้ตรายี่ห้อเดิมและยอมจ่ายค่าเครื่องหมายการค้าเหมือนเดิม สัญญาละ10 ปี ค่าตอบแทนต่อสัญญา 1 ล้านบาท
5.ตอนนี้ผลิตอยู่ที่ 25000 ตันต่อปี กำลังผลิตสามารถทำได้ 60000 ตันต่อปี
6.ดร ประสิทฺธิ์แจ้งว่า ภายใน 2 ปีข้างหน้าจะเห็นความแตกต่างชัดเจนขึ้น
7.คู่แข่งเริ่มลดลง เพราะสินค้าสำเร็จรูปจากจีนมาตีตลาดอยู่ แต่อนาคตรัฐบาลกำลังพิจารณาเก็บภาษี surcharge สำหรับผลิตภัณท์ประเทศนี้อยู่
ที่สำคัญ ดร ประสิทธิ์ มาซื้อธุรกิจนี้เพราะมีความสัมพันธ์กับประธานบริษัทนี้มานานหลายปี และทางมิตซุยต้องการเลิกธุรกิจปลายน้ำแบบนี้และกิจการที่ขาดทุนออก เป็นโอกาสที่ ดร ประสิทธิ์ได้มาเป้นเจ้าของแทน ท่านก็ยังแปลกใจว่าทำไมคนทำ tender น้อยกว่าที่คาดมาก การจะเอาหุ้น tiw ออกจากตลาด ยังไม่แนวคิดไม่ยอมบอก เหมือนกันการที่จะเอาหุ้นของท่านมาควบรวมเพื่อเป็นการ back door listing ก็ไม่บอกเหมือนกัน เลยดูความคิดของท่านไม่ออกครับ
แต่โดยสรุปเรื่องธรรมาภิบาลก็คงเป็นคนดีและคนเก่งระดับหนึ่ง ท่านเป็นอาจารย์สอนที่ NIDA ด้วย และได้เอา อาจารย์ของท่านที่ NIDA มาช่วยเป็นกรรมการด้วย ก็แสดงว่า ท่านคงมาทำให้บริษัทฯ ดีขึ้นค่อนข้างแน่
ผมพยายามดูความคิดของท่านเรื่องการมีบริษัท มีเงินส่วนเกินเหลือมาก ตามที่ท่านบอกจะปันผลออกมาให้ระหว่างกาล 20-25 บาท ต่อหุ้น ขณะนี้บริษัท มีเงินสดและเทียบเท่า ตามงบล่าสุดอยู่ที่ 384 ล้าน จ่ายปันผลรอบนี้ 12 ล้าน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ (ปีละ 41 ล้านบาท) ก็แสดงว่าขณะนี้มีเงินเหลือประมาณแถว น่าจะ 350 ล้าน ถ้าปันผลอีก 25 บาทหรือเอาเงินออกอีก 150 ล้านบาท ก็ยังเหลือเงินอีก แถว 200 ล้่านบาท ก็ลองติดตามดูกันต่อไปว่า ท่านจะเอาเงินเงิน 200 ล้่านบาทมาสร้างกำไรให้่บริษัทได้อย่างไร......ผมคงถือไปเรื่อย ๆ เพราะราคาปัจจุบันยังต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นอยู่
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 69
วันนี้ 28/7/58 ได้มีโอกาสไปประชุมสามัญประจำปีของ LHK ซึ่งเป็นบริษัทฯ ที่ผมชอบผู้บริหารคือคุณประสาน ที่มา opp day ทุกไตรมาส บริษัทที่ดีควรจะมา opp day แจ้งผลงานแต่ละไตรมาสให้นักลงทุนได้ฟัง ซึ่งแสดงถึงการมีธรรมาภิบาลที่ดี ปีที่ผ่านมาเขาสามารถทำยอดขายได้ดีขึ้นเล็กน้อย แต่กำไรสุทธิต่ำกว่าปีก่อนไปหน่อย โดยรวมก็นับว่าพอประคับประคองตัวไม่ให้แย่ลงได้ดีพอควร ปันผลปีก่อนหน้าได้ 0.22 ปีนี้ได้ 0.21 บาท...ถ้านับถึงการลงทุน ผมว่าบริษัทนี้น่าลงทุนพอควร เพราะราคาหุ้นอยู่ในระดับต่ำมาก ดูราคาหุ้นวันนี้ที่ 3.12 บาท ถ้าปีหน้าปันผลแถวนี้ ก็ให้ผลตอบแทนถึง 6.7% เลยนะ....กิจการส่วนใหญ่รายได้จากอุตสาหกรรมยานยนต์ 40% เครื่องใช้ไฟฟ้า 20% ก่อสร้าง 25% และอื่น ๆ อีก 15% เขาพยายามกระจายสินค้าไปหมวดต่าง ๆ ...ในยานยนต์นี่เขาทำท่อไอเสียเป็นหลักให้กับรถยนต์ทุกยี่ห้อ ยกเว้นของ toyota ที่ใช้ในกลุ่มของเขาเอง....เขาก็เป็นห่วงเหมือนกันเกี่ยวกับการย้ายฐานผลิตของเครื่องใช้ไฟฟ้าไปเวียตนาม แต่เขาก็บอกว่าลูกค้าเกาหลีจะไปเวียตนาม แต่ลูกค้าญี่ปุ่นยังรักประเทศไทยยังอยู่กับเมืองไทยอยู่....อุตสาหกรรมรถยนต์ก็ชลอตัวเพราะก่อนหน้านี้มี demand เทียมในการซื้อรถที่ลดภาษีให้ในรถคันแรก ก่อให้เกิดปัญหาตอนนี้ขึ้น ยังดีที่มีการส่งออกรถยนต์ยังดีอยู่ก็ช่วยได้บ้าง....สินค้าของเขาเน้นทาง Stainless เป็นส่วนใหญ่ซึ่งประกอบด้วยนิกเกิล และ โครเมียม เป็นหลัก ราคาไม่ตกมากเมื่อเทียบกับเหล็กที่ราคาตกมากกว่า เรื่องค่าเงินบาทที่อ่อนลง เขาก็เป็นห่วงเหมือนกัน เพราะยังมีการนำเข้าอยู่เหมือนกัน พยายามซื้ออัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าป้องกันอยู่ และมีบางส่วนที่ซื้อในประเทศจาก บริษัท ไทยน๊อก เหมือนกัน เขาไม่พยายามเก็บสินค้าเกินไป ไม่มีการเก็งกำไรในสินค้าคงเหลือ สั่งให้พอกับความต้องการที่จะใช้ เขาบอกบริษัทเขามีจุดแข็งทางด้านการเงิน ผมดู d/e แล้ว ก็แค่ 0.58 เท่า นับว่าดีมาก เขาสามารถซื้อสินค้าได้ถูกเพราะมีเงินเหลือต่อรองราคาลงได้.....ผมมาดูปี 2556 เขามีการขาย pp ให้ครอบครับเขา 63 ล้านหุ้นในราคา 3.92 บาท ราคาตลาด ณ ตอนนั้น ถ้าหักปันผลไป ราคาทุนของพวกญาติเขาที่ซื้อ pp ก็จะตกที่ราคา 3.47 บาท ซึ่งราคาปัจจุบันต่ำกว่าอีก ผมชอบเขาที่มีธรรมาภิบาลดี เป็นคนทำงานเก่งคนหนึ่ง และรักษาผลประโยชน์ให้ตกแก่บริษัทมากที่สุด ถึงแม้จะมีการอนุมัติเงินโบนัสแก่คณะกรรมการเป็นเงิน 4 ล้านบาท แต่ก็ไม่มีการจ่ายเงินก้อนนี้ออกเลย เขาทำแบบนี้มา 2 ปีแล้ว ขอไว้แต่ไม่ได้ใช้เลย กรรมการต่าง ๆ ก็รับเงินไม่มาก แต่ต้องทำงานและรับผิดชอบมาก นับว่าเสียสละกันส่วนใหญ่ ก็บอกได้เพียงว่าเป็นบริษัทที่ดีบริษัทหนึ่ง เสียแต่ว่าอยู่ในอุตสาหกรรมรถยนต์มากไปหน่อย ก็ต้องรอการเติบโตกันต่อไป นี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ใครจะลงทุนก็พิจารณากันอีกทีนะครับ
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 70
วันนี้ 29/7/58 ได้มีโอกาสไปประชุมหุ้น LTX ซึ่งเขาจัดประชุมเพื่อเปลี่ยนรอบบัญชีมาเป็นสิ้นสุด 31 มีนาคม ซึ่งเมื่อสองปีก่อนเขาได้เปลี่ยนไปปิดรอบบัญชีเป็นปีปฏิทินคือสิ้นสุด 31 ธันวาคม เหมือนส่วนใหญ่....แต่ตอนนี้ก็แก้ไขเปลี่ยนกลับไปใช้ของดั่งเดิมคือปิดบัญชีสิ้นสุด 31 มีนาคม ให้คล้องกับบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น จะได้ตรวจสอบและรู้ฐานะของกลุ่มบริษัทได้บริบูรณ์เช่นเดิม....สรุปกิจการสิ่งทอยังมีปัญหาเดิมๆ คือถูกคู่แข่งจากต่างประเทศโจมตี เขาบอกว่าส่งออกสิ่งทอต่างประเทศที่มากสุดได้แก่ อินโดนิเซีย รองมาก็ไทย เวียตนาม พม่า บังคลาเทศ แต่ที่เติบโตมากที่สุดได้แก่ บังคลาเทศ เวียตนาม อินโดนิเซีย กัมพูชา พม่า และไทยที่ไม่เติบโตเท่าไหร่.....แต่กิจการที่ดีและไปได้คือกิจการทอถูงลม ใช้กับรถยนต์ LTX เป็นบริษัทอันดับแรกของโลกที่ทอถูงลมได้มากที่สุด ตอนนี้มีเครื่องทอถูงลม 250 เครื่องแล้วจะเพิ่มเป็น 341 เครื่องในปีนี้ ส่วนนี้จะโตจากปีละ 10% เป็นปีละ 13% ที่ผ่าน ๆ มามีการลงทุนในการป้องกันน้ำท่วมไปมากพอควร และ ทุกปีต้องมีการเปลี่ยนเครื่องจักรต่าง ๆ ให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ เป็นบริษัทที่ดีและมีธรรมาภิบาลพอควรครับ เขาว่า air bag ในรถตอนนี้จะใช้มากขึ้น มีด้านข้าง และ ด้านหลัง เพิ่มอีก....ผมติและท้วงติงกับเขาอีกเป็นครั้งที่ 2 ในการประชุม เรื่องการปันผลที่ให้ปีละ 2.50 บาท มาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว วันนี้เขาพึ่งตอบว่าเป็นนโยบายของบริษัทฯ ที่จะให้ปันผล ในระดับนี้ ซึ่งผมรับไม่ได้ เพราะใช้มานานแล้ว ควรจะเพิ่มให้บ้าง เขาบอกจะนำไปพิจารณา ผมบอกว่า คณะกรรมการก็เพิ่มค่าตอบแทน ผู้บริหารก็เงินเดือนเพิ่มทุกปี แถมผู้ตรวจสอบบัญชีก็เพิ่มค่าตรวจสอบเพิ่มเหมือนกัน แต่สำหรับผู้ถือหุ้นไม่เคยเพิ่มปันผลให้เลย....ผมเริ่มเบื่อกับการถือหุ้นนี้แล้ว ถ้าใครต้องการปันผล 2.50 บาท จากราคาตลาดที่ 69 บาท ก็ ปันผล 3.62% แน่นอนทุกปีจะเอาไหมครับ คิดกันเองนะ ส่วนผมหาที่อื่นได้มากกว่าที่นี่....ที่ถือมานานเพราะผมคิดว่าบริษัทนี้ มี ทรัพย์สินที่สูงกว่าบุคมากทีเดียว ที่ดิน 3 โรงงาน มีค่ามาก โดยเฉพาะโรงงานแรกที่สุขสวัสดิ์ติดถนนเลยครับ ประเมินค่าไม่ได้แล้ว เขาลงบัญชีไว้ถูกมากทีเดียว แต่ละโรงก็มีเนื้อที่กว่า ร้อยไร่ ทั้งนั้น....ใครเก่งสามารถซื้อทั้งหมดแล้วเอาที่ดินมาขายก็จะมีกำไรเห็น ๆ เช่นเดียวกับ TTL ที่ผู้ถือหุ้นฝ่ายไทยซื้อจากญี่ปุ่น เทยินเทโตรอน ตอนนี้เอาที่ดินมาขายไปบางส่วนแล้วได้กำไรสำหรับผู้ถือหุ้นมากพอควร.....มีผู้ถือหุ้นที่เป็นเจ้าของ ayud มาถือใน LTX รวมกันกว่า 5% อยากให้ LTX แตกพาร์.... เขาบอกว่าเป็นการเพิ่มสภาพคล่อง ผมไม่เห็นด้วยและทางญี่ปุ่นก็คงไม่เห็นด้วยเช่นกัน ถ้าแตกพาร์ก็ต้องมีคนปั่นหุ้นตัวนี้แน่นอน...ใครถือหุ้นตัวนี้แล้ว ก็ มีความสุขที่เห็นกิจการโต มีมูลค่า บุคเวลู สูงขึ้นทุกปี แต่ผู้ถือหุ้นได้ปันผลมั่นคงทุกปีที่ 2.50 บาทต่อหุ้น....ท่านเจ้าของ ayud บอกเหมือนกับเป็นการซื้อหุ้นกู้ทีให้ผลตอบแทนแน่นอน ผมบอกเอาเลยครับ ท่านอยากถือก็ถือไป แต่ผมคิดไม่เหมือนกันท่านนะครับ ฉะนั้นใครสนใจจะลงทุนหุ้นตัวนี้ก็คิดกันเองนะครับ ปันผลมั่นคง แฮะ ๆ แถมราคาหุ้นก็มั่นคงด้วยจะเอาไหมครับ โชคดีในการลงทุนนะครับ
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 71
ช่วงบ่ายวันนี้ 29/7/58 ได้ไปประชุม TCB นานพอควร จากบ่าย 3 โมงไปเลิกเกือบ 1 ทุ่ม เพราะต้องมีการแปลจากภาษาอังกฤษมาภาษาไทย ยุ่งยากพอควร....ดูกิจการแล้วก็ยังลำบากอยู่เหมือนกันเพราะโดนแข่งขันจากประเทศจีน บริษัทนี้มีการส่งออกและใช้ในประเทศ ผงถ่านที่ผลิตได้ก็เอาไปทำยางรถยนต์กัน...ดูงบแล้วค่อนข้างจะสับสนเพราะมีบริษัทย่อยมากพอควร เขาอยู่ในกลุ่มของ Aditya Birla group เป็นบริษัทใหญ่มากมีหลายธุรกิจในอินเดีย พวกนี้มีความสามารถมาก บริษัทนี้มีมูลค่าตามบัญชีหุ้นละ 32.88 บาท ตอนนี้ซื้อกันแค่ 22.50 บาทเอง นับว่าน่าสนใจพอควร แต่ปันผลน้อยไปหน่อย นโยบายปันผล 20-25% ของกำไร ปีนี้ปันผล 0.60 บาท จาก eps ที่ทำได้ 2.83 บาท ดูงบต่าง ๆ แล้วเป็นบริษัทที่มั่นคงมาก ปีนี้เขาบริหารสินค้าคงเหลือได้เก่งทีเดียว ลดลงมากทำให้มีเงินสดเหลือ กำไร GM และ NM เพิ่มมากกว่าปีที่แล้ว เขาเห็นการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันซึ่งเป็นวัตถุดิบในการใช้ทำ carbon black ผันผวนมากเขาเลยปรับสินค้าคงเหลือให้น้อยลงจะได้ควบคุมผลงานได้ การบริหารเขาเก่ง แต่ดูบริษัทย่อยที่เขาถืออยู่แล้วปวดหัวครับ มีการให้กู้ยืมเงินกัน มีการปรับกำไรขาดทุนในส่วนต่างของค่าเงิน ดูแล้ว แกะงบลำบากมากทีเดียว ผมเลยเกิดความไม่เชื่อถือในการบริหารของเขา ลงทุนตัวนี้ต้องพิจารณาและวิเคราะห์ให้ละเอียดด้วย มีตัวแปรหลายอย่างที่จะทำให้กิจการมีกำไรหรือกำไรน้อยลงได้ ส่วนจะขาดทุนในอนาคตคงจะไม่เกิดขึ้นง่าย ๆ เพราะเขาเก่งในธุรกิจด้านนี้ครับ ผมถือหุ้นตัวนี้ไม่มากและไม่ได้เจาะลึกเท่าไหร่ ใครสนใจก็ตามเจาะต่อกันเองนะครับ
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- เหล็งฮู้ชง
- Verified User
- โพสต์: 275
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 74
offer 1 like
จงอยู่ด้วยความไม่ประมาท
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 76
ตลาดช่วงนี้ เดือน กรกฏาคมและสิงหาคม 2558 ... ผมคิดว่าตลาดกำลังชั่งใจว่าจะทำอย่างไร ภาวะเศรษฐกิจโลก แย่ลงเรื่อย ๆ ผมว่าอยู่ในช่วงถดถอย มีแต่ทางอเมริกาที่ว่าเริ่มดีขึ้น ทางเอเซียเริ่มนิ่งและทำท่าจะไม่ดีเอาด้วย ทางจีนก็บอกว่าขอรักษา GDP แถว 7% ก็พอแล้ว .... ผมสังเกตุดัชนีไทยเรา รายย่อยนี้ก็เล่นหุ้นเก่ง ดัชนีขึ้นก็มักจะขาย และดัชนีลงก็มักจะเป็นฝ่ายซื้อ ผมว่าถูกต้องแล้ว.....ส่วนฝ่ายต่างชาติขายตลอดมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว นับเป็นฝ่ายทุบอย่างเดียว เมื่อไรกองทุนขายด้วย ดัชนีก็ลงอย่างเห็นได้ชัด.....ผมเลยพอสรุปได้ว่า กองทุนน่าจะเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของตลาดเรา....ส่วนผมลงทุนในหุ้นตัวเล็กและตัวกลางเป็นส่วนใหญ่ ในหุ้น SET50 ผมมีไม่กี่ตัวและจำนวนน้อยมาก เอาไว้เทียบกับหุ้นที่ผมมีว่าเป็นอยางไร (หุ้นset50ที่มีมากสุดคือหุ้น BDMS)....ผมถือหลักที่ว่าหุ้นที่ผมมีต้องให้ปันผลสม่ำเสมอ ถ้ากิจการดี ก็ ปันผลมาก แต่ถ้าแย่ ก็ ปันผลน้อย แต่ต้องมีกำไรตลอด .... ผมจะมีเงินในช่วงเดือนปันผลออก ส่วนใหญ่ก็เดือนพฤษภาคม และปันผลระหว่างกาลซึ่งมักจะออกในเดือนสิงหาคม และ กันยายน .. และก็เอาปันผลมาลงทุนเพิ่ม ในที่สุด การลงทุนของผมก็มีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำแบบนี้ไปตลอด เงินก็จะทำงานให้เรา และ เราก็จะพบอิสระภาพทางการเงินในที่สุด ... ซึ่งต้องใช้เวลาอันยาวนานพอควร....การลงทุนในหุ้นก็เหมือนกับการฝากเงินแหละครับ เราฝากเงินกับเจ้าของกิจการที่เป็นคนดี มีความสามารถ มีงบการเงินที่ดี ก็ปลอดภัยไปอีกแบบหนึ่ง ผมยอมรับการลงทุนมีความเสี่ยง แต่จะเสี่ยงน้อยถ้าเราเข้าใจในกิจการและติดตามผลการดำเนินงานนั้นดีพอ.....โชคดีในการลงทุนนะครับ
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 77
กันยายน 2558 ตลาดหุ้นเริ่มตั้งตัวได้ การขายของต่างชาติเริ่มลดลง บางวันมีการซื้อเข้ามาด้วย ช่วงระยะนี้ผมคิดว่าได้เกิดสงครามทางการเงินขึ้นแล้ว ระหว่างคู่ปรับเก่า คือ อเมริกากับจีน อเมริกาพัฒนาในอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยี่สูงมีกำไรมาก ใช้ความรู้ และ พัฒนาตลอด เพื่อการอยู่ดีกินดีของคนกลุ่มหนึ่ง แต่จีนทำทุกอย่างเพื่อให้คนส่วนใหญ่ของเขาได้งานทำ มีรายได้มีการกินดีอยู่ดีให้มากขึ้น เขากำลังขยายเขตการพัฒนาไปเรื่อย ๆ ซึ่งจะเห็นได้จากสินค้าแทบทุกอย่างผลิตในจึนมากขึ้นและราคาถูกด้วย......จีนบอกต้องชะลอการเติบโตเท่านั้น เศรษฐกิจทั่วโลก หุ้นทั่วโลกตกกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ผมก็ยังเชื่อมั่นว่า โลกเราต้องโตไปเรื่อย ๆ เพราะมีคนเกิดขึ้น มีการบริโภคมากขึ้น ทุกอย่างต้องโตขึ้น มองถึงตลาดหุ้นไทย ผมก็ยังมองว่า ไม่น่าจะต่ำลงไปแบบน่ากังวล เพราะธุรกิจส่วนใหญ่ก็ยังกำไรอยู่ การเติบโตของเราตอนนี้ก็รอเรื่องโครงการพื้นฐานที่จะช่วยให้เติบโตขึ้น ถึงแม้จะได้ไม่มาก ก็ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น ประเทศไทยเราเป็นประเทศเกษตรกรรม ถึงแม้ราคาพืชผลจะตกต่ำ รัฐบาลก็ยังคิดหาทางช่วยเหลือกันอยู่...ทุกอย่างน่าจะดีขึ้นนะครับ นักลงทุนในหุ้นก็เลือกหุ้นที่พื้นฐานดี ปันผลสม่ำเสมอสัก 5% ขึ้นไป ผลประกอบการและกำไรโตขึ้นเรื่อย ๆ หรือ พยุงตัวให้อยู่รอดได้ ไม่ขาดทุนก็น่าจะพอใจแล้ว...สู้กันต่อไปนะครับ และให้มีความสุขในการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคิดถึง
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 78
วันนี้ 4/9/58 ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมโรงงานที่ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ได้รู้และเข้าใจในกิจการของเขาพอควร ชื่นชมเจ้าของคือคุณวสันติ์ คุณสิริรัตน์ (หลานคุณวสันติ์) ที่บริหารงานได้เก่ง สามารถทำให้ brand "pioneer" เป็นที่ยอมรับและส่งออกไปต่างประเทศได้ถึง 25% มีฝรั่งออสเตรเลีย คุณคริส (เคยทำงานกับทางผู้ผลิตสินค้าเหมือนกันที่เป็นอันดับที่ 1) มาช่วยงานในด้านส่งออก...ผมดูแล้วกิจการเขาจะโตต้องพึ่งคนนี้ สินค้าที่ให้ margin สูงก็มาจากคนนี้....ส่วนที่ขายในประเทศมีลูกค้ารายใหญ่คือ กันยงอีเล็คตริค KYE ที่ให้ยอดขาย 20% ของทั้งหมด ที่ผลิตให้ 6 หมื่นตัวในปีนี้ และปีหน้าคาดว่าจะมีใบสั่งเพิ่มเป็น 8 หมื่นตัว ส่วน margin เขาบอกเปิดเผยไม่ได้ ซึ่งผมคิดว่าคงไม่สูงเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ดีคือ เป็นลูกค้าประจำ...โครงสร้างรายได้ 49% เป็น motor ใช้กับเครื่องปรับอากาศ....40% เป็น motor เครื่องปั้มน้ำ...ทีี่เหลือเป็น motor ในอุตสาหกรรมอื่นๆ.....ผมชอบการบริหารและสินค้าที่เขาผลิต.... ผมปกติแล้วผมจะไม่ลงทุนในหุ้นที่พึ่งเข้าตลาด ผมชอบลงทุนหลังจากเขาเข้าตลาดสัก 2-3 ปีแล้ว เพราะผมคิดว่าส่วนใหญ่แล้วราคา ipo จะเป็นราคาที่ยังไม่แน่นอน วิเคราะห์ลำบาก เพราะบริษัทต่าง ๆ ที่เข้าตลาดเขาจะพยายามทำกิจการให้โดดเด่น ตัวเลขต่าง ๆ อาจจะยังไม่สามารถจะเข้าใจได้ แตถ้าปล่อยสัก 2-3 ปี จะเห็นผลงานที่แท้จริงออกมาก....ผมเชื่อของผมแบบนี้นะครับ ส่วนใครจะเชื่ออย่างไรก็ตามแต่จะคิดกัน....ยินดีและขอขอบคุณผู้บริหารและพนักงานทีให้การต้อนรับอย่างดีอีกครั้งหนึ่ง
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 79
เมื่อวาน 9/9/58ได้มีโอกาสไปฟัง MCS เจอนักวิเคราะห์และแถลงข่าววันนี้ที่ รร โนโวเทลเพลินจิต...ผมไปสาย ทาง IR ไม่อยากให้เข้าด้วยซิ เลยต้องบอกผมเป็นผู้ถือหุ้นนะ ต้องเข้าฟังได้ซิ (โกรธมากตอนแรกที่เขาไม่ให้เข้า) เขาแบ่งเป็น 2 ช่วงช่วงแรกให้นักวิเคราะห์ฟัง ช่วงหลังให้นักข่าวฟัง ช่วงแรกคนมากทีเดียว แต่ช่วงแถลงข่าวมีคนฟังไม่มากเท่าไหร่....ไว้ผมจะสรุปให้ฟังว่าผมคิดอย่างไร แต่ที่จับใจความได้ว่า รายได้ลุ้นแตะ หมื่นล้านเยน ต้องดูอัตราแลกเปลี่ยนว่าเท่าไหร่ แต่ครึ่งปีหลังน่าจะได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนช่วยด้วย ธุรกิจเขาQ1 จะดี Q2 -Q3 จะลดลง และ Q4 จะกลับมาดีใหม่ ครึ่งปีแรกทำได้ ประมาณ 28000 ตัน ครึ่งปีหลังคาดว่าทำได้เพียง 22000 ตัน รวมปีนี้น่าจะได้แถว 50000 ตัน....ลองคำนวณเองนะครับ ว่าจะกำไรเท่าไหร่ ...ที่ข่าวบอกกำไรสุทธิ 400 ล้านนั้นน้อยเกินไปครับ ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง....มีจุดเสียที่ผมไม่ชอบเขาว่ามีเงินสดเหลือประมาณ 600-700 ล้านบาท อยากจะเอาไปสร้างตึกโดยใช้เหล็กเป็นโครงสร้างหลัก เป็นตัวอย่างให้เขาเห็นกัน...ถ้าทำโครงการนี้จริง ๆ ผมคงเลิกเป็นผู้ถือหุ้นด้วยเป็นแน่ เอาจุดเสียที่ผมไม่ชอบมาบอกก่อน
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 80
เรื่องที่ข้อเสียที่ผมไม่ชอบ ก็ ยังไม่เกิดขึ้นง่าย ๆ คงเป็นโครงการอีกหลายปี ....ส่วนข้อดีที่ผมชอบคือ คุณไน ยวน ชิ เป็นคนพูดตรง และบอกว่า สิ่งที่จะอยากให้เป็นคือให้บริษัท มีงานทำเรื่อย ๆ มีงานสม่ำเสมอ และเขาก็บอกว่ามีงานแล้ว 2 แสนตัน ถึงปี 2562 หรือ อีก 4 ปี เฉลี่ยก็ปีละ 4 หมื่นตันแน่นอนอยู่แล้ว นั่นคือความพยายามของเขา และการไปซื้อ โรงงาน Natsu ก็จะเพิ่มกำลังผลิตได้อีก 18000 ตันต่อปี แสดงว่าเห็น ๆ ก็ต้องมี 40000+18000=58000 ตันต่อปี....เขาซื้อและขายสินค้าเป็นเงิน YEN เขาไม่ได้คิดทำกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน...เขากล่าวถึงอัตราแลกเปลี่ยนในอดีต 3-4 ปีอยู่แถว 100 yen ได้ 32 บาท เคยอยู่ต่ำสุดที่ 27 บาท ตอนนี้ค่อย ๆ ขยับเป็น 30 บาท แล้ว เขาก็บอกว่าจะได้กำไรในอัตราแลกเปลี่ยนในส่วนนี้อีก นั่นก็แสดงว่า ถ้าเกิดกลับไปที่เดิม 32 บาท บริษัทก็จะมีกำไรมากขึ้นไปอีก ปีนี้เขาคาดกำไร NM ได้แถว 18-20% งานก่อสร้างตึกใหญ่ ๆ สูง ๆ มีเพิ่มมากขึ้นทีเดียว เพื่อต้อนรับ งาน โอลิมปิค ที่จะมีใน ปี 2563 ผู้รับเหมามีงานมากขึ้น จึงสบายได้ว่า MCS มีงานแน่นอน และ มากพอควร ผมถามถึงช่างเชื่อมคุณภาพ เขาบอกกำลังสร้างเด็กอยู่ ก็คงจะทำได้ เขาบอก บริษัทฯ มีสิ่งสำคัญที่สุด คือ ช่างเชื่อม ซึ่งทำประโยชน์ให้แก่บริษัท จากประวัติเขาดูแลช่างเชื่อมได้ดีมาก ใครทำงานมากก็จะได้มาก งานลำบากก็ให้ค่าแรงสูง....เขาบอกเขาดูแลพวกนี้มากกว่า ผู้ถือหุ้นอีก เขาเห็นความสำคัญของพนักงานมากที่สุด ซึ่งผมเห็นด้วยและชอบแนวคิดของเขา .... นาย ไน ยวน ชิ ยังมีสัญญาทำงานให้อีก 3 ปี ผมเลยสรุปได้ว่า 3 ปีนี้ไม่มีปัญหาครับ มีการเติบโตแน่นอน
เสียดายนะครับ ที่ ผู้ถือหุ้น ที่ post ก่อนหน้านี้ว่าได้ขายหุ้นไปแล้ว เพราะเห็นผม post ในสิ่งที่ผมไม่ชอบ ดีนะที่ได้กำไร....แต่ถ้าอยากได้กำไรมากขึ้นก็ลองคิดตัวเลขกำไรปีนี้ซิครับ ถ้าได้ NM ถึง 18-20% ก็นับว่าดีทีเดียวนะ แต่ก็ต้องวัดดวงกับอัตราแลกเปลี่ยนด้วยว่าจะเป็นอย่างไร...ในหุ้นตัวนี้ รายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 2 รายที่ผู้รู้จักและคงถือยาวไปอีกหลายปี คงไม่ขายออกมาง่าย ๆ เป็นแน่เลยครับ เพราะผมรู้นิสัยเขาว่าเป็นนักลงทุนในหุ้นที่กิจการดี และถือยาว...ส่วนรายใหญ่ที่ขายไปแล้วก็เป็นความสามารถเฉพาะตัวครับ เขาเก่งจริง ๆ.... โชคดีในการลงทุนนะครับ
เสียดายนะครับ ที่ ผู้ถือหุ้น ที่ post ก่อนหน้านี้ว่าได้ขายหุ้นไปแล้ว เพราะเห็นผม post ในสิ่งที่ผมไม่ชอบ ดีนะที่ได้กำไร....แต่ถ้าอยากได้กำไรมากขึ้นก็ลองคิดตัวเลขกำไรปีนี้ซิครับ ถ้าได้ NM ถึง 18-20% ก็นับว่าดีทีเดียวนะ แต่ก็ต้องวัดดวงกับอัตราแลกเปลี่ยนด้วยว่าจะเป็นอย่างไร...ในหุ้นตัวนี้ รายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 2 รายที่ผู้รู้จักและคงถือยาวไปอีกหลายปี คงไม่ขายออกมาง่าย ๆ เป็นแน่เลยครับ เพราะผมรู้นิสัยเขาว่าเป็นนักลงทุนในหุ้นที่กิจการดี และถือยาว...ส่วนรายใหญ่ที่ขายไปแล้วก็เป็นความสามารถเฉพาะตัวครับ เขาเก่งจริง ๆ.... โชคดีในการลงทุนนะครับ
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 81
ผมเห็นด้วยกับการซื้อโรงงาน Natsu นั่นแหละเป็นการใช้เงินที่ควรจะทำประโยชน์เพิ่มได้ ถึงแม้จะไม่ได้ซื้อทั้งหมด เหลือให้กับเจ้าของเก่าบ้างก็เป็นการดีครับ แต่ที่กังวลก็คือต้นทุนค่าแรงหมายถึงช่างเชื่อมซึ่งต้องแพงกว่าเมืองไทยแน่นอน ผมเห็นทางรัฐบาลก็มีการพัฒนาช่างเชื่อมและส่งไปทำงานในต่างประเทศด้วย (หลานคนหนึ่งตอนนี้ก็ไปทำที่ญี่ปุ่นผ่านโครงการนี้)....ลองตรวจสอบและติดต่อดูนะครับ น่าจะเป็นแนวทางเพิ่มช่างเชื่อมอีกทางหนึ่ง...เมื่อเพิ่มช่างเชื่อมแล้วผลงานก็จะเพิ่มตามได้....ที่เราพัฒนาช่างเชื่อมเองอาจจะช้าไปกว่างานที่เราสามารถจะรับได้.....ส่วนเรื่องที่อยากจะใช้เงิน 600-700 ล้านบาทนั้น ง่ายมากครับ จัดสรรบางส่วนมาเริ่มโครงการซื้อหุ้นคืนซิครับ ให้ผลประโยชน์แก่ผู้ถือหุ้นโดยส่วนรวมมากที่สุด.....ดู cash cycle ของ MCS ก็เริ่มพัฒนาดีขึ้นมากทีเดียว จ่ายหนี้ 174 วัน รับเงินจากลูกหนี้ 60 วัน ในอดีตสามารถรับเงิน 30-38 วัน ถ้ารับเงินกลับไปแบบเก่าคือ 30-38 วัน ก็จะมีเงินเหลือเพิ่มขึ้นอีก....เงินเหลือมาก ๆ ก็อย่าลืมมาปันผลให้มากขึ้นด้วยนะครับ เพราะผมคงถือหุ้นของ MCS อีกอย่างน้อย 3 ปี ตราบใดที่คุณ ไน ยวน ชิ ยังบริหารอยู่....สร้างบริษัทให้มีธรรมาภิบาลและมีงานตลอดตามความคิดของคุณ ไน ยวน ชิ เป็นทางที่ถูกต้องแล้วครับ
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 82
เมื่อวาน12/9/58 ได้มีโอกาสไปชมโรงงาน arrow ที่ อ.พานทอง จ.ชลบุรี โดยที่ได้จองชื่อขอไปตอนเขามา opp day ของ Q1-58 มีนักลงทุนและผู้ถือหุ้นไปกันประมาณ 50 ท่านได้ ทางบริษัทจัดรถ Bus มาที่ตลาดหลักทรัพย์ และ มีนักลงทุนบางท่านขับรถไปเอง รถออกประมาณ 8.30 น ไปถึงบริษัทประมาณ 10.15 น. ได้การต้อนรับอย่างดีจากพนักงานที่โรงงานและพนักงานบางส่วนที่มาจาก H/O ด้วย รวมทั้งท่านเจ้าของบริษัท คุณเลิศชัย และ CEO คนดัง คุณธานินทร์ ห้องประชุมที่โรงงานดูเล็กไปเลย ซึ่งปกติเหมาะสำหรับ 40 ท่าน คุณธานินทร์ ได้กล่าวต้อนรับและสรุปเรื่องของบริษัท คล้าย ๆ กับ ที่เขามาบอกใน opp day หลังสุดนั่นแหละ ที่สำคัญก็บอกโครงการก่อสร้างปีก่อนรวมประมาณ 4 แสนล้านบาท ปีนี้คาดว่า 7 แสนล้านบาท ก็ แสดงถึงการเติบโตในการก่อสร้าง เขาบอกจะมีโครงการก่อสร้างในอนาคตอีกหลายโครงการ ที่ได้มีการออกแบบกันอยู่ รวมถึงโครงการใหญ่ ICON SIAM ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธน มูลค่า 5 หมื่นล้านบาท ผมดูแล้วสินค้าของเราก็คงได้ใช้ในโครงการอนาคตต่าง ๆ เน้นเฉาะโครงการใหญ่ที่ได้มาตรฐานและโครงการของรัฐบาล นะครับ...หลังจากนั้นก็พาชมโรงงานชีกที่เป็นของเก่า และ เดินข้ามถนนไปในส่วนนึงเป็นโรงงานใหม่มี่ได้ BOI ผมสนใจ โรงงานหลังสุดเป็นโรงงานผลิตท่อร้อยสายไฟใต้ดินดูขนาดก็เล็กไปหน่อยเหมาะแก่การเริ่มต้นในการผลิตส่่วนนี้ โดยใช้งบประมาณ 30 ล้านบาท เครื่องจักรทันสมัยที่สุด มันน่าสนใจตรงที่จากเส้นไฟเบอร์กลาส ที่เป็นเส้น ๆ เข้าไปในรูหลาย ๆ รูด้วยกัน ที่สุดก็ไปทอ ขึ้นรูปกลายเป็นท่อไฟเบอร์ได้ เขาเรียกว่าท่อ TCRC เขาทำขนาด 6" อยู่ มีความแข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดี มีน้ำหนักเบา ทำเป็นสีส้ม ช่วงนี้อยู่ระหว่างทำเรื่องมาตรฐานอุตสาหกรรม สมอ อยู่ มี 2 รายยื่นเข้าไปแล้ว ของเราเป็นรายแรก ถ้าได้มาตรฐาน ก็ สามารถใช้ในโครงการเอาสายไฟฟ้าลงใต้ดินที่รัฐบาลอนุมัติมาแล้ว 1.43 แสนล้านบาท โครงการนี้ผมคิดว่าใช้เวลา 10 ปี แต่คุณธานินทร์บอกว่าเขาวางโครงการสั้นกว่านั้น ก็ทะยอยทำไปเรื่อย ๆ ปัญหาสำคัญเมื่อผ่านขั้นตอนแรกขอ สมอ ได้แล้ว ก็ ต้องดูผลงานว่าจะขายในแต่ละโครงการได้ไหม ซึ่งรายได้น่าจะมาในปีหน้า ตอนนี้ยังประเมินตัวเลขไม่ได้....ผมคิดว่าดีครับ กรุงเทพจะได้ดูสวยขึ้นไม่มีเสาไฟให้เห็นอีกต่อไป....ส่วนในโครงการหมู่บ้านใหญ่ ๆ ถ้าใช้สายไฟฟ้าลงดินก็ทำให้โครงการสวยน่าอยู่ด้วยเหมือนกัน.....ส่วนโรงงานที่ผลิตสินค้าอื่น ๆ ก็ ได้ความรู้ดีมากครับ ใช้เครื่องจักรเป็นส่วนใหญ่ จากเหล็กม้วนเคลือบสังกะสี มาตัดแบ่งเป็นขนาดเล็ก ๆ แล้วแปลงกับมาเป็นท่อร้อยสายไฟ แบบต่าง ๆ ได้ความรู้มากทีเดียว มีแบบเคลือบPVCด้วย ที่ผมได้ความรู้มากที่สุดคือ ส่วนของท่อ post tension ที่ใช้สำหรับยึดพื้นให้มีความแข็งแรงมากขึ้น ทำให้ขนาดของพื้นบางลงได้ ใช้ส่วนใหญ่ในการทำที่จอดรถในอาคารใหญ่ ๆ เมื่อประหยัดพื้นให้บางลง ก็ทำให้มีชั้นจอดรถได้มากชั้นขึ้น.....แต่ก่อนคิดว่าพวก หล่อพื้นสำเร็จจะไม่ใช้ post tension ของเรา คิดผิดครับ เขามีใช้ของเราด้วย...อีกส่วนนึงที่น่าสนใจก็คือทำท่อ DUCT คือท่อส่งลมในอาคาร ใช้เครื่องจักรตัดและต่อขนาดแบบต่าง ๆ ดูสวยงามและมีมาตรฐานมากทีเดียว ผมชอบส่วนนี้ด้วยเหมือนกัน..เรื่องธรรมาภิบาลบริษัทนี้ดีมาก พนักงานรักบริษัทและเจ้าของ ส่วนใหญ่เป็นพนักงานประจำและอยู่กับบริษัทกันยาวนาน ระดับหัวหน้าขึ้นไปจะได้ ESOP ที่เคยอนุมัติในที่ประชุมไปแล้ว 3 ล้านหุ้นตอนนี้เพิ่มอีกหน่อย เพราะเกิดจากการเพิ่มทุนของบริษัท ... ESOP นี่พนักงานทะยอยได้รับ เป็น 3 ปี ปีนี้เริ่มใช้บางส่วนแล้ว ดีครับ ทำให้พนักงานเป็นเจ้าของเหมือนกัน นี่เป็น ESOP ที่มีเหตุมีผล แสดงถึงความยุติธรรมในกลุ่มผลประโยชน์ร่วมกัน.....สรุปผมให้คะแนนเต็มสำหรับบริษัทนี้ครับ และ คงจะถือหุ้นยาวไปอีกนาน
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4366
- ผู้ติดตาม: 1
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 83
ขอบคุณครับคุณลุงขวด
ผมสงสัยว่าโครงการย้ายสายไฟฟ้าลงใต้ดินนี่ แล้วพวกสารพัดสายอื่นๆ ที่ทุกวันนี้เห็นห้อยระโยงระยางเต็มไปหมดตามเสาไฟฟ้า จะทำยังไงกับพวกมันต่อไปครับ จะไม่เป็นปัญหาเหรอครับ
อีกเรื่องคือ ตัวเลขโครงการก่อสร้างแต่ละปี ทำไมฟังจาก ARROW เหมือนปีนี้โตมากพอควร แต่พอฟังจากเจ้าอื่นๆ ในอุตสาหกรรมก่อสร้างถึงดูเหนื่อยๆ ค่อนข้างต่างกันมากครับ
ผมสงสัยว่าโครงการย้ายสายไฟฟ้าลงใต้ดินนี่ แล้วพวกสารพัดสายอื่นๆ ที่ทุกวันนี้เห็นห้อยระโยงระยางเต็มไปหมดตามเสาไฟฟ้า จะทำยังไงกับพวกมันต่อไปครับ จะไม่เป็นปัญหาเหรอครับ
อีกเรื่องคือ ตัวเลขโครงการก่อสร้างแต่ละปี ทำไมฟังจาก ARROW เหมือนปีนี้โตมากพอควร แต่พอฟังจากเจ้าอื่นๆ ในอุตสาหกรรมก่อสร้างถึงดูเหนื่อยๆ ค่อนข้างต่างกันมากครับ
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 84
เห็นข่าวในห้อง ADVANC กทสช. ก็เรียก operator คุยเรื่องพวกนี้อยู่เหมือนกัน http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... start=4834
เสาส่วนใหญ่ เป็นของการไฟฟ้า แล้ว operator เช่าวางสาย fiber มีส่วนน้อย ที่ปักเพิ่มเอง
แต่จะสำเร็จเมื่อไหร่ต้องรอผล เพราะต้องใช้งบเยอะ
ต้องใช้งบในการขุด สร้างท่อใหม่ แล้วยกเลิกของเก่า โละของเก่าทิ้งหมดอีกด้วย
ข่าวก่อนหน้า แนวคิด คือจะให้ TOT CAT เป็นเจ้าของท่อ แล้วให้ operator เอกชนเช่า เริ่มจากในเมืองโดยเฉพาะกทม. ก่อน
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/651988
เสาส่วนใหญ่ เป็นของการไฟฟ้า แล้ว operator เช่าวางสาย fiber มีส่วนน้อย ที่ปักเพิ่มเอง
แต่จะสำเร็จเมื่อไหร่ต้องรอผล เพราะต้องใช้งบเยอะ
ต้องใช้งบในการขุด สร้างท่อใหม่ แล้วยกเลิกของเก่า โละของเก่าทิ้งหมดอีกด้วย
ข่าวก่อนหน้า แนวคิด คือจะให้ TOT CAT เป็นเจ้าของท่อ แล้วให้ operator เอกชนเช่า เริ่มจากในเมืองโดยเฉพาะกทม. ก่อน
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/651988
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 86
สำคัญอยู่ที่คนทำท่อครับ ว่าทำไว้ใหญ่ขนาดไหน เผื่อขนาดไหน มีพื้นที่ก็ไม่ใช่ปัญหาแล้ว
เพราะตอนดึงจริงๆ มีเครื่องมือช่วย ทั้ง manual และ machine (เรียกว่า winch คล้ายๆ เครื่องดึงรถติดหล่ม หน้ารถ jeep)
ปกติระหว่าง 2 ด้านของสาย มีช่องเปิดเป็นระยะ ภาษาคนทำระบบ Outside Plant เรียกว่า Man hole ถ้าใหญ่มากๆ ถึงขั้นคนลงไปทำงานได้เลย เหมือนท่อระบายน้ำ ถึงเป็นที่มาของชื่อ "Man hole"
แต่ระบบเล็ก ก็แค่มือเอื้อมลงไปทำงาน แต่ก็ยังใช้ชื่อเดิม
อันนี้ที่บอก หน้า jeep เอามาฝากเผื่อคนไม่เคยเห็นมาก่อน ปกติเอาไว้ช่วยดึงแล้วติดหล่ม แต่อันนี้โชว์พาว
เพราะตอนดึงจริงๆ มีเครื่องมือช่วย ทั้ง manual และ machine (เรียกว่า winch คล้ายๆ เครื่องดึงรถติดหล่ม หน้ารถ jeep)
ปกติระหว่าง 2 ด้านของสาย มีช่องเปิดเป็นระยะ ภาษาคนทำระบบ Outside Plant เรียกว่า Man hole ถ้าใหญ่มากๆ ถึงขั้นคนลงไปทำงานได้เลย เหมือนท่อระบายน้ำ ถึงเป็นที่มาของชื่อ "Man hole"
แต่ระบบเล็ก ก็แค่มือเอื้อมลงไปทำงาน แต่ก็ยังใช้ชื่อเดิม
อันนี้ที่บอก หน้า jeep เอามาฝากเผื่อคนไม่เคยเห็นมาก่อน ปกติเอาไว้ช่วยดึงแล้วติดหล่ม แต่อันนี้โชว์พาว
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 89
เมื่อวันที่ 20/10/58 ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมโรงงาน EPG ที่อำเภอ นิคมพัฒนา จังหวัดระยอง ได้ความรู้มากทีเดียวกับบริษัทนี้ เขาจัดอยู่ในกลุ่มของเขาเป็นสวนอุตสาหกรรมในกลุ่ม ไม่เคยคิดว่าจะใหญ่โตขนาดนี้ ซึ่งกลุ่มนี้มีที่ดิน 700 กว่าไร่ และเป็นโรงงานในกลุ่ม พร้อมกับมี โรงงานญึ่ปุ่นรวมเป็นบริษัทย่อยที่ EPG ไปลงทุนด้วย ยี่สิบกว่าเปอร์เซ็น ซึ่งบริษัทย่อยนี้อยู่ในอุตสาหกรรมรถยนต์.....การกระจายความเสี่ยงของ EPG ได้ดีมาก แบ่งเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน คือ 1.กลุ่มก่อสร้าง เป็นการขาย aeroflex ฉนวนกันความร้อนและความเย็น.....2.กลุ่มรถยนต์เป็น aeroklas เน้นท่อนท้ายของรถกระบะส่วนบรรทุก และ sidestep คือ ส่วนข้างรถที่เหยีบก่อนเข้าไปในรถ....3.กลุ่มสินค้าบริโภค คือ EPG ทำถ้วยแก้วและบรรจุภัณท์.....การขายของทั้งสามกลุ่มระดับ สามสิบกว่า% พอ ๆ กัน.....บริษัทนี้ผมว่าผู้บริหารที่วิสัยทัศน์ที่ก้าวหน้ามาก เพราะเขาพาไปชมการวิจัยของแต่ละสินค้า...... ผมเคยเป็นลูกค้าเขาในสินค้า aeroflex มานานกว่า 20 ปีแล้ว เขาเริ่มทำฉนวนมา 37 ปีแล้ว....ตอน ipo ผมไม่ได้สนใจเลยครับ เพราะยังไม่เข้าใจบริษัทเขา เขา ipo ที่ 5.80 บาท นี่ก็ผ่านมาแล้ว 10 เดือน ใครลงทุนด้วยกับเขาคงได้กำไรมากทีเดียว .... ผมเคยบอกแล้วว่า ก่อนจะซื้อหุ้นต้องทำความเข้าใจ 3 อย่าง คือ เข้าใจธุรกิจ เข้าใจผู้บริหาร และ เข้าใจงบดุล....ซึ่งขณะนี้ผมเข้าใจหมดทั้ง 3 ข้อแล้ว ..... ผมมาติดปัญหาตรง เมื่อดูยอดขายและกำไร ใน 2 ปีที่ผ่านมา มันไม่โตเท่าไหร่....PE ตอนนี้ระดับเกือบ 34 เท่า....ปีที่แล้ว PE 36.84 เท่า ....ซึ่งเป็นจุดที่ผมยังมองว่าเป็นหุ้นที่แพงอยู่ ...เขากำไรดีใน Q1-58 แบบโดดเด่น ปัญหาต่อไปคือ เขาจะทำแบบโดดเด่นได้ต่อไปหรือไม่...นี่คือสิ่งที่นักลงทุนต้องติดตาม ผมคงติดตามต่อไป หลังจากกลับมา ผมก็ได้เก็บเมล็ดพันธ์(ซื้อหุ้นตัวนี้ไปนิดหน่อยหลังจากไป CV มา) เพื่อจะได้ติดตาม....แต่จะมีบุญจะซื้อเพิ่มหรือเปล่าก็เป็นอนาคต ว่า ราคาหุ้นจะตกลงมาในระดับต่ำกว่า PE 20 เท่าหรือเปล่า....หรือในทางตรงกันข้าม ถ้าราคาอยู่นิ่ง และผลประกอบการก้าวกระโดดสัก2-3ไตรมาส แบบ Q1 ก็จะทำให้ PE ลดลงได้ ....อนาคตคือสิ่งที่ต้องติดตามครับ ผมถือคติว่า หุ้นดีแต่ซื้อในราคาแพง ก็ ไม่สามารถที่จะถือว่าเป็นหุ้นที่ดีได้ ... ผมจะมีบุญไหมหนอ
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 90
Undertaker wrote:
ขอบคุณมากครับลุงขวดที่มาแบ่งปัน
ว่าแต่ลุงขวดไป company visit EPG ได้ยังไงเหรอครับ
...................................
ผมสนใจตัวนี้ ก็ติดต่อบริษัท เขาไป เขาบอกจะจัดให้มี company visit ผมเลยขอให้เขาลงชื่อไว้ เข้าใจว่า พวกที่ไปฟัง opp day ที่ตลาดหลักทรัพย์ ก็ลงชื่อไปกันหลายคน.......นี่ผมว่า opp day มันเปิดโอกาสให้เราได้รู้จักบริษัท และ ผู้บริหาร นะครับ ใครสนใจบริษัทไหน ก็ ไป ฟัง บางทีเขาก็บอกจะให้ชมโรงงาน เราก็ได้มีโอกาสไปชม หรือ ไม่ในเวปไซด์ของบริษัทต่าง ๆ มักมี แผนก IR ก็เขียนบอกเราสนใจ ก็มีโอกาสได้ไปแน่นอน นักลงทุนก็ต้องทำงานหนักกันหน่อย กว่าจะเข้าใจบริษัทต่าง ๆ
วันนี้ราคาหุ้นตัวนี้ก็ขึ้นมามากพอควร ผมได้ตัดสินใจซื้อเพิ่มไปแล้ว หลังจากพิจารณาว่า ถ้าผลประกอบการออกมาดีแบบนักวิเคราะห์ ที่บอกอยู่ในระดับ 310-380 ล้าน ราคาหุ้นก็คงไม่รอให้เราซื้อได้ ถึงแม้จะแพง ก็ จำใจต้องยอม เพราะมันจะชดเชยโดย eps ที่เพิ่มขึ้นได้ บังเอิญได้อ่านหนังสือของ นายซิวซี แซ่ตั้ง เรื่อง ตะวันออกที่เมืองไทย พิมพ์เป็นครั้งที่ 3 แล้ว เริ่มพิมพ์เมื่อ 1 ธันวาคม 2553 แล้วผมก็ชอบ....ท่านยังมีชีวิตอยู่ อายุ 90 ปีแล้ว ดร.ภวัฒน์ เป็นลูกชายคนโต ที่ท่านพูดถึงในหนังสือเล่นนี้ด้วย ผมเชื่อว่า ฝากเงิน(ซื้อหุ้น)กับเจ้าของที่เป็นคนดี คนเก่ง ก็สบายใจครับ....และการที่ไปชมโรงงาน มี ดร. เฉลียว เป็นผู้อธิบายให้พวกที่ไปชมโรงงานได้เข้าใจกิจการ เหมือนได้ฟัง talk show เลยครับ สนุกและได้ความรู้มากทีเดียว เป้าหมายของเขาขั้นแรกจะเข้าใน SET 100 และที่สุด อยากอยู่ใน SET 50 ... อันนี้เหมือนกับหุ้น PTG เลยที่เขาวางเป้าไว้คล้าย ๆ กัน ผมพลาด PTG ไม่ได้ตามเท่าไหร่....เลยไม่อยากพลาดเป็นตัวที่ 2...
ตอนนี้ก็คงรอผลประกอบการว่าเป็นอย่างไร (ในการชมโรงงาน ดร.เฉลียวไม่ได้บอกว่ากำไรไตรมาสนี้เท่าไหร่ เพราะเขาไม่มีสิทธิที่บอก ...แต่เขาบอกว่า มีนักวิเคราะห์ที่มีสิทธิที่บอก ว่า มี 3 ราย ด้วยกัน ผมจำตัวเลขไม่ได้ แต่รู้ว่าแต่ละรายให้กว่า 300 ล้านทั้งนั้น)....ก็ลองตามกันดูว่าตัวเลขจะเป็นเท่าไหร่ ที่จะประกาศในไม่กี่วันจากนี้ไป...โชคดีในการลงทุนนะครับ
ขอบคุณมากครับลุงขวดที่มาแบ่งปัน
ว่าแต่ลุงขวดไป company visit EPG ได้ยังไงเหรอครับ
...................................
ผมสนใจตัวนี้ ก็ติดต่อบริษัท เขาไป เขาบอกจะจัดให้มี company visit ผมเลยขอให้เขาลงชื่อไว้ เข้าใจว่า พวกที่ไปฟัง opp day ที่ตลาดหลักทรัพย์ ก็ลงชื่อไปกันหลายคน.......นี่ผมว่า opp day มันเปิดโอกาสให้เราได้รู้จักบริษัท และ ผู้บริหาร นะครับ ใครสนใจบริษัทไหน ก็ ไป ฟัง บางทีเขาก็บอกจะให้ชมโรงงาน เราก็ได้มีโอกาสไปชม หรือ ไม่ในเวปไซด์ของบริษัทต่าง ๆ มักมี แผนก IR ก็เขียนบอกเราสนใจ ก็มีโอกาสได้ไปแน่นอน นักลงทุนก็ต้องทำงานหนักกันหน่อย กว่าจะเข้าใจบริษัทต่าง ๆ
วันนี้ราคาหุ้นตัวนี้ก็ขึ้นมามากพอควร ผมได้ตัดสินใจซื้อเพิ่มไปแล้ว หลังจากพิจารณาว่า ถ้าผลประกอบการออกมาดีแบบนักวิเคราะห์ ที่บอกอยู่ในระดับ 310-380 ล้าน ราคาหุ้นก็คงไม่รอให้เราซื้อได้ ถึงแม้จะแพง ก็ จำใจต้องยอม เพราะมันจะชดเชยโดย eps ที่เพิ่มขึ้นได้ บังเอิญได้อ่านหนังสือของ นายซิวซี แซ่ตั้ง เรื่อง ตะวันออกที่เมืองไทย พิมพ์เป็นครั้งที่ 3 แล้ว เริ่มพิมพ์เมื่อ 1 ธันวาคม 2553 แล้วผมก็ชอบ....ท่านยังมีชีวิตอยู่ อายุ 90 ปีแล้ว ดร.ภวัฒน์ เป็นลูกชายคนโต ที่ท่านพูดถึงในหนังสือเล่นนี้ด้วย ผมเชื่อว่า ฝากเงิน(ซื้อหุ้น)กับเจ้าของที่เป็นคนดี คนเก่ง ก็สบายใจครับ....และการที่ไปชมโรงงาน มี ดร. เฉลียว เป็นผู้อธิบายให้พวกที่ไปชมโรงงานได้เข้าใจกิจการ เหมือนได้ฟัง talk show เลยครับ สนุกและได้ความรู้มากทีเดียว เป้าหมายของเขาขั้นแรกจะเข้าใน SET 100 และที่สุด อยากอยู่ใน SET 50 ... อันนี้เหมือนกับหุ้น PTG เลยที่เขาวางเป้าไว้คล้าย ๆ กัน ผมพลาด PTG ไม่ได้ตามเท่าไหร่....เลยไม่อยากพลาดเป็นตัวที่ 2...
ตอนนี้ก็คงรอผลประกอบการว่าเป็นอย่างไร (ในการชมโรงงาน ดร.เฉลียวไม่ได้บอกว่ากำไรไตรมาสนี้เท่าไหร่ เพราะเขาไม่มีสิทธิที่บอก ...แต่เขาบอกว่า มีนักวิเคราะห์ที่มีสิทธิที่บอก ว่า มี 3 ราย ด้วยกัน ผมจำตัวเลขไม่ได้ แต่รู้ว่าแต่ละรายให้กว่า 300 ล้านทั้งนั้น)....ก็ลองตามกันดูว่าตัวเลขจะเป็นเท่าไหร่ ที่จะประกาศในไม่กี่วันจากนี้ไป...โชคดีในการลงทุนนะครับ
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่