อีก10ปีข้างหน้า หุ้นไทยยังพอมีหวังทำกำไรเฉลี่ยปีละ10-15%

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
c
Verified User
โพสต์: 410
ผู้ติดตาม: 1

อีก10ปีข้างหน้า หุ้นไทยยังพอมีหวังทำกำไรเฉลี่ยปีละ10-15%

โพสต์ที่ 1

โพสต์

อีก10ปีข้างหน้า หุ้นไทยยังพอมีหวังทำกำไรเฉลี่ยปีละ10-15% รึป่าว เห็นกูรูทางเศรษฐศาสตร์หลายท่านบอกว่าไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้าง แข่งขันไม่ได้ เศรษฐกิจคงต้วมเตี้ยมไปแบบนี้อีกนาน แต่กูรูในตลาดทุนก็บอกว่าลงทุนระยะยาว หุ้นให้ผลตอบแทนดีที่สุด มันรู้สึกขัดแย้งกัน ระยะยาวอาจหมายถึง20ปี ขึ้นไปรึป่าว ให้ผ่านรอบเศรษฐกิจตกต่ำไปก่อน
ภาพประจำตัวสมาชิก
BeSmile
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1178
ผู้ติดตาม: 0

Re: อีก10ปีข้างหน้า หุ้นไทยยังพอมีหวังทำกำไรเฉลี่ยปีละ10-15%

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ดูหุ้น เป็นรายตัว มี ขึ้นเกิน 50-100% ทุกปี

และเป็นบางตัว ลงเกิน 50-100% ทุกปี

ดังนั้น ถ้ามีแนวทางที่ถูก บวก ความเพียร พยายาม

จะตั้งความหวังการลงทุน สัก 10-15% ก็น่าจะเป็นไปได้
มีสติ - อย่าประมาทในการใช้ชีวิต
ภาพประจำตัวสมาชิก
kongkiti
Verified User
โพสต์: 5830
ผู้ติดตาม: 0

Re: อีก10ปีข้างหน้า หุ้นไทยยังพอมีหวังทำกำไรเฉลี่ยปีละ10-15%

โพสต์ที่ 3

โพสต์

c เขียน:อีก10ปีข้างหน้า หุ้นไทยยังพอมีหวังทำกำไรเฉลี่ยปีละ10-15% รึป่าว เห็นกูรูทางเศรษฐศาสตร์หลายท่านบอกว่าไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้าง แข่งขันไม่ได้ เศรษฐกิจคงต้วมเตี้ยมไปแบบนี้อีกนาน แต่กูรูในตลาดทุนก็บอกว่าลงทุนระยะยาว หุ้นให้ผลตอบแทนดีที่สุด มันรู้สึกขัดแย้งกัน ระยะยาวอาจหมายถึง20ปี ขึ้นไปรึป่าว ให้ผ่านรอบเศรษฐกิจตกต่ำไปก่อน
บริษัทในบางอุตสาหกรรมที่เป็น Mega Trend ก็ยังโตได้เรื่อยๆนะครับ (Healthcare, พลังงานทดแทน, Modern trade, etc.)
บริษัทไทยบางบริษัท ก็ขยายไป ตปท. ได้ โดยเฉพาะ CLMV และ ASEAN
โครงสร้างพื้นฐาน ก็ยังมีให้ทำอีกเยอะ อยู่ที่ว่าจะทำเมื่อไหร่?

สำคัญคือเลือกบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขัน, มี ROE และ ROA สูงสม่ำเสมอ
ส่วนราคาซื้อถ้าซื้อได้ถูกหน่อย ก็ช่วย Maximize ผลตอบแทนครับ

ส่วนถ้าเป็นผลตอบแทนจากตลาดหุ้นโดยรวม คงต้องอ้างอิงจาก Risk-free rate ครับ
คือช่วงนี้ดอกเบี้ยมันต่ำมากๆ หุ้นที่ดูราคาแพง เลยเหมือนพอซื้อได้ (เพราะไม่มีทางเลือก)
หากดอกเบี้ยมันขึ้น ตลาดหุ้นก็คงได้ผลตอบแทนระยะยาว 10-15% สบายๆ หล่ะครับ
(แต่ตอนดอกเบี้ยขึ้นแรงๆ นี่ก็ตัวใครตัวนะครับ)
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee

FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
ภาพประจำตัวสมาชิก
kongkiti
Verified User
โพสต์: 5830
ผู้ติดตาม: 0

Re: อีก10ปีข้างหน้า หุ้นไทยยังพอมีหวังทำกำไรเฉลี่ยปีละ10-15%

โพสต์ที่ 4

โพสต์

BeSmile เขียน:ดูหุ้น เป็นรายตัว มี ขึ้นเกิน 50-100% ทุกปี

และเป็นบางตัว ลงเกิน 50-100% ทุกปี

ดังนั้น ถ้ามีแนวทางที่ถูก บวก ความเพียร พยายาม

จะตั้งความหวังการลงทุน สัก 10-15% ก็น่าจะเป็นไปได้
เผย 7 หุ้นทำเม่าหัวใจสลาย ครึ่งปีราคาลงฮวบเกิน 50% :wall: :wall:
2015-07-17 08:49:00
ผู้เข้าชม : 20,686 ครั้ง
http://www.kaohoon.com/online/content/v ... E0%B8%9950

เปิดฝาโลง 7 หุ้นโหลยโท่ย ประจำครึ่งแรกปี 58 ทำรายย่อยกระเป๋าฉีกกระจุย หลังผ่านไป 2 ไตรมาสราคาทิ้งตัวลงเกินกว่า 50% งานนี้บอกได้คำเดียวว่า “ดอยกันทั้งหมู่บ้าน”หมดหนทางที่จะเยียวยาให้กลับมาดีเหมือนเดิม เว้นเสียว่า กำไรในปี 58 จะเติบโตแบบถล่มทลาย

“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์”ได้ทำการสำรวจ “หุ้นโหลยโท่ยประจำครึ่งแรก ปี 2558” โดยใช้เกณฑ์หุ้นที่ราคามีการปรับตัวลดลงกว่า 50% ขึ้นไป ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 ซึ่งเริ่มนับจากวันทำการเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2558 จนถึง วันที่ 30มิถุนายน2558 และเมื่ออ้างอิงข้อมูลจากราคาปิดตลาดในช่วงระยะเวลาดังกล่าว พบว่า มีหุ้นเข้าข่ายเกณฑ์ที่ใช้อยู่ด้วยกันทั้งหมด 8ตัว ซึ่งถือเป็นหุ้นควรเฝ้าระวังเป็นอย่างยิ่ง

หุ้นที่ราคาลงมากสุดอันดับแรกคือ บริษัท โพลาริสแคปปิตัล จำกัด (มหาชน) หรือ POLAR โดยราคา ณ ตอนสิ้นสุดวันที่ 30มิถุนายน ปิดตัวที่ระดับ 0.25บาทปรับตัวลดลง1.54 บาท หรือราว 86.03% จากราคาปิด ณ วันที่ 5 มกราคม ซึ่งอยู่ที่ระดับ 1.79บาท (ที่ราคาพาร์ปัจจุบัน)โดยสาเหตุที่ทำให้ราคาปรับตัวลดลงมาอย่างหนักในช่วงครึ่งปีแรก เป็นผลสืบเนื่องจากการขาดปัจจัยพื้นฐานเข้ามาสนับสนุน อย่างไรก็ตาม บริษัทเริ่มมีแผนธุรกิจที่ชัดเจนขึ้นในช่วงไตรมาส 2

ขณะที่ราคาหุ้น POLAR วานนี้ (16 ก.ค.) ปิดที่ระดับ 0.19 บาท ปรับตัวลง0.01 บาท หรือ 5% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 9.34 ล้านบาท

หุ้นที่ราคาลงมากสุดอันดับสองคือ บริษัท คราวน์ เทค แอดวานซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ AJD โดยราคา ณ ตอนสิ้นสุดวันที่ 30มิถุนายน ปิดตัวที่ระดับ 0.99บาท ปรับตัวลดลง 3.07บาท หรือ 75.62% จากราคาปิด ณ วันที่ 5 มกราคม ซึ่งอยู่ที่ระดับ 4.06 บาท โดยสาเหตุที่ทำให้ราคาปรับตัวลดลงมาอย่างหนักในช่วงครึ่งปีแรก น่าจะเป็นผลจากการที่กลุ่มนักลงทุนรายใหญ่บางรายได้เทขายหุ้นออกมาอย่างหนัก ประกอบกับผลดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1 ไม่ได้ออกมาตามที่ตั้งเป้าไว้

ขณะที่ราคาหุ้น AJD วานนี้ (16 ก.ค.) ปิดที่ระดับ 0.98 บาท ปรับตัวลง 0.03 บาท หรือ 2.97% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 68.67ล้านบาท

หุ้นที่ราคาลงมากสุดอันดับสามคือบริษัท เอื้อวิทยา จำกัด (มหาชน)หรือ UWC โดยราคา ณ ตอนสิ้นสุดวันที่ 30มิถุนายน ปิดตัวที่ระดับ 0.66บาท ปรับตัวลดลง 1.70 บาท หรือราว 72.03% จากราคาปิด ณ วันที่ 5 มกราคม ซึ่งอยู่ที่ระดับ 2.36บาท (ที่ราคาพาร์ปัจจุบัน) โดยสาเหตุที่ทำให้ราคาปรับตัวลดลงมาอย่างหนักในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากหุ้นตัวนี้ถือเป็นหุ้นร้อนแรงตัวหนึ่งในช่วงต้นปี จึงมีการเข้าไล่ราคากันอย่างหนัก ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีการออกหุ้นเพิ่มทุนแบบ RO และ PP รวมถึงใบสำคัญแสดงสิทธิ หรือ Warrant เป็นจำนวนมาก เมื่อข่าวจริงปรากฏอย่างเป็นทางการ นักลงทุนจึงทิ้งหุ้นทันที

ขณะที่ราคาหุ้น UWC วานนี้ (16 ก.ค.) ปิดที่ระดับ 0.69 บาท ปรับตัวลง 0.01 บาท หรือ 1.43% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 59.54 ล้านบาท

หุ้นที่ราคาลงมากสุดอันดับสี่คือ บริษัท แมกซ์เมทัลคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MAX โดยราคา ณ ตอนสิ้นสุดวันที่ 30มิถุนายน ปิดตัวที่ระดับ 0.22 บาท ปรับตัวลดลง0.47 บาท หรือ 68.12% จากราคาปิด ณ วันที่ 5 มกราคม ซึ่งอยู่ที่ระดับ 0.69 บาทโดยสาเหตุที่ทำให้ราคาปรับตัวลดลงมาอย่างหนักในช่วงครึ่งปีแรก น่าจะเป็นผลจากแรงเทขายหลังมีการเก็งกำไรในเรื่องการเข้ามาของกลุ่มทุนใหม่ก่อนหน้านี้ อีกทั้งบริษัทยังต้องเผชิญกับภาวะขาดทุนอย่างหนักในช่วงไตรมาส 1ภาพของหุ้นถึงดูทรุดโทรมอย่างที่เห็น

ขณะที่ราคาหุ้น MAX วานนี้ (16 ก.ค.) ปิดที่ระดับ 0.22 บาท ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อนหน้าด้วยมูลค่าการซื้อขาย 19.75 ล้านบาท

หุ้นที่ราคาลงมากสุดอันดับห้าคือ เอเชีย คอร์ปอเรท ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ACD โดยราคา ณ ตอนสิ้นสุดไวันที่ 30มิถุนายน ปิดตัวที่ระดับ 2.42 บาท ปรับตัวลดลง4.53 บาท หรือ 65.18% จากราคาปิด ณ วันที่ 5 มกราคม ซึ่งอยู่ที่ระดับ 6.95 บาทโดยสาเหตุที่ทำให้ราคาปรับตัวลดลงมาอย่างหนักในช่วงครึ่งปีแรก เป็นผลจากการเทขายของนักลงทุน หลังหุ้นตัวนี้ถูกตรวจสอบพบว่า อาจมีส่วนเกี่ยวโยงกับการเข้าสร้างราคาของ “กลุ่มอาจารย์เพชร” ผู้ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นอาชญากรทางการเงินในตอนนั้น อีกทั้งบริษัทยังมีผลดำเนินงานขาดทุนมาตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา

ขณะที่ราคาหุ้น ACD วานนี้ (16 ก.ค.) ปิดที่ระดับ 2.52 บาท ปรับตัวลง 0.02 บาท หรือ 0.79% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.30 ล้านบาท

หุ้นที่ราคาลงมากสุดอันดับหกคือบริษัท ยูไนเต็ด เพาเวอร์ ออฟ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ UPA โดยราคา ณ ตอนสิ้นสุดวันที่ 30มิถุนายน ปิดตัวที่ระดับ 2.56บาท ปรับตัวลดลง 3.69บาท หรือ 59.04% จากราคาปิด ณ วันที่ 5 มกราคม ซึ่งอยู่ที่ระดับ 6.25บาทโดยสาเหตุที่ทำให้ราคาปรับตัวลดลงมาอย่างหนักในช่วงครึ่งปีแรกน่าจะเป็นผลจากการที่ผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่บางรายเทขายหุ้นที่ได้มาในต้นทุนต่ำเป็นจำนวนมาก ประกอบกับก่อนหน้านี้ได้เกิดข้อกังขาเกี่ยวกับการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าจะทำได้จริงไหม แม้ธุรกิจดังกล่าวจะมีความชัดเจนขึ้นตามลำดับ แต่ไม่สามารถผลักดันหุ้นกลับขึ้นไปยืนที่จุดเดิมได้

ขณะที่ราคาหุ้น UPA วานนี้ (16 ก.ค.) ปิดที่ระดับ 2.36 บาท ปรับตัวลง 0.10 บาท หรือ 4.07% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 34.10 ล้านบาท

หุ้นที่ราคาลงมากสุดอันดับสุดท้ายคือบริษัท จี เจ สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ GJS โดยราคา ณ ตอนสิ้นสุดวันที่ 30มิถุนายน ปิดตัวที่ระดับ 0.30บาท ปรับตัวลดลง 0.30 บาท หรือราว 50.00% จากราคาปิด ณ วันที่ 5 มกราคม ซึ่งอยู่ที่ระดับ 0.60บาท (ที่ราคาพาร์ปัจจุบัน) โดยสาเหตุที่ทำให้ราคาปรับตัวลดลงมาอย่างหนักในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากบริษัทมีผลดำเนินงานขาดทุนอย่างหนักในไตรมาส 1 อีกทั้งยังเป็นการขาดทุนตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา บวกกับผู้บริหารถูกกล่าวโทษว่า มีส่วนเกี่ยวข้องในการตบแต่งผลประกอบการ จึงไม่มีใครอยากเข้ามาลงทุนในหุ้นตัวนี้อีกเลย

ขณะที่ราคาหุ้น GJS วานนี้ (16 ก.ค.) ปิดที่ระดับ 0.27 บาท ปรับตัวลง 0.02 บาทหรือ 6.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.70 ล้านบาท

ทั้งนี้ ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำ เพื่อทำให้นักลงทุนเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้หุ้นปรับตัวลงแรง และยังเป็นการเตือนสติให้นักลงทุนทราบว่า หุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่ ที่มีการปรับตัวขึ้นแรงในช่วงแรก ล้วนเป็นผลจากแรงเก็งกำไรในประเด็นต่างๆ รวมไปถึงการเข้าสร้างราคาโดยบุคคลบางกลุ่ม ซึ่งมิได้เป็นผลมาจากปัจจัยพื้นฐานแต่อย่างใด ดังนั้นการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นจึงมีจุดจบดังที่ถูกนำเสนอในรายงานฉบับนี้

อนึ่ง การนำเสนอข้อมูลข้างต้น เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee

FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
istyle
Verified User
โพสต์: 872
ผู้ติดตาม: 0

Re: อีก10ปีข้างหน้า หุ้นไทยยังพอมีหวังทำกำไรเฉลี่ยปีละ10-15%

โพสต์ที่ 5

โพสต์

BeSmile เขียน:ดูหุ้น เป็นรายตัว มี ขึ้นเกิน 50-100% ทุกปี

และเป็นบางตัว ลงเกิน 50-100% ทุกปี

ดังนั้น ถ้ามีแนวทางที่ถูก บวก ความเพียร พยายาม

จะตั้งความหวังการลงทุน สัก 10-15% ก็น่าจะเป็นไปได้
แต่ยากขึ้นเรื่อยๆ

ถ้า structural change ของประเทศเราเป็นอย่างที่จขกท.ว่ามาจริงๆ

หุ้น เป็นรายตัว มี ขึ้นเกิน 50-100% ก็จะมีน้อยลงเรื่อยๆ

และเป็นบางตัว ลงเกิน 50-100% ทุกปี - หุ้นที่ลงก็จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ (แต่เกิน 100 % นี่ไม่มีนะคัฟ)
ภาพประจำตัวสมาชิก
anubist
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1373
ผู้ติดตาม: 0

Re: อีก10ปีข้างหน้า หุ้นไทยยังพอมีหวังทำกำไรเฉลี่ยปีละ10-15%

โพสต์ที่ 6

โพสต์

c เขียน:อีก10ปีข้างหน้า หุ้นไทยยังพอมีหวังทำกำไรเฉลี่ยปีละ10-15% รึป่าว เห็นกูรูทางเศรษฐศาสตร์หลายท่านบอกว่าไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้าง แข่งขันไม่ได้ เศรษฐกิจคงต้วมเตี้ยมไปแบบนี้อีกนาน แต่กูรูในตลาดทุนก็บอกว่าลงทุนระยะยาว หุ้นให้ผลตอบแทนดีที่สุด มันรู้สึกขัดแย้งกัน ระยะยาวอาจหมายถึง20ปี ขึ้นไปรึป่าว ให้ผ่านรอบเศรษฐกิจตกต่ำไปก่อน
ต้องแยกเป็น 2 เรื่อง ครับ
1.ไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้างจริง ค่าแรงสูง(กว่าเพื่อนบ้าน)แต่ยังทำงานโลเทค
ขาดการวิจัยพัฒนาองค์ความรู้ของตัวเอง และอื่นๆอีกมากมาย
2.ในระยะยาว หุ้นให้ผลตอบแทนดีที่สุด "เมื่อเทียบกับasset classอื่นๆ"
นี่คือคำพูดเต็มๆที่กูรูตลาดทุนกล่าวครับ
ซึ่งไม่เกี่ยวว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่

อีก10ปีข้างหน้า กำไรหุ้น10-15%ได้มั้ย
-คำถามนี้เรามักหมายถึงเซต ซึ่งตลอด10กว่าปีที่ผ่านมา เงินเฟ้อเฉลี่ย5%
(ถ้าจำไม่ผิด)เซตให้ผลตอบแทน12%ต่อปี(passive fund)
แต่active fundหลายกองให้ผลตอบแทน15-20%ต่อปี
ฉนั้นจะหวังผลตอบแทน10-15%ต่อปีใน10-20ปีข้างหน้าได้มั้ย
ก็ขึ้นกับหลายปัจจัย ทั้งเงินเฟ้อ(การเเติบโตของเศรษฐกิจ)ในอนาคต
ลักษณะการลงทุน passive fund/active fund/หุ้นรายตัว
ทุนน้อยและหลุดดอยแล้ว เย้ๆ
Koo
Verified User
โพสต์: 243
ผู้ติดตาม: 1

Re: อีก10ปีข้างหน้า หุ้นไทยยังพอมีหวังทำกำไรเฉลี่ยปีละ10-15%

โพสต์ที่ 7

โพสต์

c เขียน:อีก10ปีข้างหน้า หุ้นไทยยังพอมีหวังทำกำไรเฉลี่ยปีละ10-15% รึป่าว เห็นกูรูทางเศรษฐศาสตร์หลายท่านบอกว่าไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้าง แข่งขันไม่ได้ เศรษฐกิจคงต้วมเตี้ยมไปแบบนี้อีกนาน แต่กูรูในตลาดทุนก็บอกว่าลงทุนระยะยาว หุ้นให้ผลตอบแทนดีที่สุด มันรู้สึกขัดแย้งกัน ระยะยาวอาจหมายถึง20ปี ขึ้นไปรึป่าว ให้ผ่านรอบเศรษฐกิจตกต่ำไปก่อน
ในปีที่ตลาดเป็นกระทิงก็มีคนขาดทุนหุ้น ในปีที่เป็นตลาดหมีก็มีคนกำไรหุ้นนะครับ ในอีก 10 ปีข้างหน้ามันต้องมีคนที่สามารถทำกำไรเฉลี่ย 10-15% ต่อปีแน่นอน ปัญหาคือเราจะสามารถเป็นคนกลุ่มนี้ได้รึเปล่าต่างหาก คำถามแบบนี้ไม่มีคำตอบหรอก มันอยู่ที่ความสามารถ ใครขยัน ใครเก่งก็กำไร ลงทุนในหุ้นอาจจะไม่ซับซ้อนแต่ก็ไม่ได้ง่ายขนาดที่ว่าจะเลือกเชื่อใครดีระหว่างกูรูเศษฐศาสตร์หรือกูรูในตลาดทุน
ภาพประจำตัวสมาชิก
SawScofield
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 238
ผู้ติดตาม: 1

Re: อีก10ปีข้างหน้า หุ้นไทยยังพอมีหวังทำกำไรเฉลี่ยปีละ10-15%

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ด้วยสัดส่วนกิจกรรมประมาณนี้น่าจะยังมีที่ให้เราไปและอะไรใหม่ๆรอเกิดขึ้นในประเทศอีกมากครับ ... แต่อาจต้องเตรียมสายตาแบบใหม่ๆไว้มองกว้างๆมองไกลๆครับ
แนบไฟล์

Respect, Persistence then Deserve
ภาพประจำตัวสมาชิก
SawScofield
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 238
ผู้ติดตาม: 1

Re: อีก10ปีข้างหน้า หุ้นไทยยังพอมีหวังทำกำไรเฉลี่ยปีละ10-15%

โพสต์ที่ 9

โพสต์

เพิ่มเติมนิดนึง : รูปอาจจะไม่เกี่ยวซะทีเดียวเนื่องจากเนื้อหาแค่บอกวิธีการคำนวณ GDP ที่เปลี่ยนไป แต่สัดส่วนกิจกรรมจากภาคบริการในระดับขนาดนี้ ผมเชื่อว่าต้องมีปลาให้เราหาแน่นอนครับ
Respect, Persistence then Deserve
ภาพประจำตัวสมาชิก
Lastpun
Verified User
โพสต์: 819
ผู้ติดตาม: 0

Re: อีก10ปีข้างหน้า หุ้นไทยยังพอมีหวังทำกำไรเฉลี่ยปีละ10-15%

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ถ้าประเทศเจริญความแข่งขันสูงแน่นอนเจ้ามือที่แท้จริงก็จะราคาขึ้นไปในระยะยาวดัชนีจะขึ้นมากขึ้นน้อยก็คงแล้วแต่กำไร แน่นอนว่าถึงเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรความผันผวนก็จะคอยสร้างโอกาสเสมอในการสร้างผลตอบแทนอยู่เสมอ ส่วนนี้คงแล้วแต่ฝีมือนักลงทุน

แต่ถ้าลงทุนแบบ passive นิ่งๆเลยแล้วประเทศขาดความสามารถแข่งขัน ผลตอบแทนระยะยาวคงต่ำกว่าประเทศที่พัฒนาการทางเศรษฐกิจดี ในระยะยาวผลตอบแทนทบต้นต่อปีอาจน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดเราที่มีมา
โพสต์โพสต์