สรุปงานสัมมนาของ บลจ วรรณ. Investment Forum
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
สรุปงานสัมมนาของ บลจ วรรณ. Investment Forum
โพสต์ที่ 1
สรุปงานสัมมนาของ บลจ วรรณ. Investment Forum " Where is the opportunity "
Ms Alexis. Economist from Vanguard's Investment Strategy Group
มุมมองตลาดอเมริกา ไม่ได้คิดว่าเศรษฐกิจอเมริกาถดถอย
- คาด 2016 GDP โต 1.5-2.5% ซึ่งโตน้อยกว่าปี2015 ซึ่งตัวเลขจะต่ำกว่าสถาบันอื่น
- Fed ขึ้นดอกเบี้ยทุกๆ 2-3 meetings to 1% เนื่องจากตัวเลขการจ้างงานดีขึ้น long term Fed fund rate ประมาณ3%. คาดอัตราการว่างงาน <5%. จากการsurvey. พบว่า โอกาสเติบโตมากกว่า1% คิดเป็น 67%
- US$ แข็งค่า กระทบการส่งออก แต่ดีกับ การบริโภค
- ตลาดหุ้น US ปรับตัวลงมา ไม่คิดว่าเป็น bear market เป็นโอกาสซื้อหุ้น US คาด market return 3-5% valuation ไม่แพงเกินไป แม้สูงขึ้นเมื่อเทียบกับ L/T
- แนะนำลงทุนใน passive fund หรือ ETF มากกว่า Managed fund เนื่องจากตลาดหุ้น US หา Alpha ยาก
ผู้จัดการกองทุนที่เอาชนะindex fund มีค่อนข้างน้อย
ถ้าเป็นเงินส่วนตัวจะมาลงทุน จะลง index fund. มีการทำasset allocation. Base on market cap on country world
Core : Passive fund.
Sattalite : Active fund
European market - view from Mr Nicholas. JP Morgan Asset management ซึ่งมีมุมมองเชิงบวก
แต่การลงทุนอาจยังไม่บวก การบริโภคจะกลับมา
QE ช่วยในการบริหารอัตราแลกเปลี่ยน ช่วยในการปล่อยกู้เป็นปัจจัยในการฟื้นตัว
- Cycle EU ช้ากว่า US 4-5 ปี และ JP Morgan มองว่ากำไรสุทธิ ปรับขึ้นมาจาก
1. EU โดนเรื่องกฎหมายรัฐทำให้ต้องปรับตัวให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเช่นลดคนงาน หรือจ้างถูกลง
2. ต้นทุนการผลิตการกู้ยืมเงิน หรือต้นทุนพลังงานถูกลงเป็นปัจจัยห้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงก็มีเรื่อง อังกฤตอาจจะออกจากEUตอน ตคนี้ ซึ่งมีสาเหตุจาก ปัญหาเรื่องอพยพ เช่นซีเรีย
- PER 14x ไม่แพง
- แนะนำการลงทุนแบบ stock pick เน้นที่Earning เนื่องจากแต่ละประเทศและกลุ่มอุตสาหกรรมมีความแตกต่างกัน
- ชอบประเทศในยุโรปที่เคยมีปัญหา และอยู่รอบนอก เช่น Italy Spain Ireland เพราะจะเห็นการฟื้นตัวของกำไรชัดเจน
ถ้าลงทุนด้วยเงินส่วนตัวก็จะลงหุ้นในEU ตามนายจ้างคือ Morgan
Japan Market - View from Mr Wataru Nomura Asset Management
- คาด 2016 GDP โต 1% มาจากการลงทุน ค่าจ้าง การบริโภค และท่องเที่ยว ไทยอยู่อันดับ2ที่ไปเที่ยวสูงสุด
เงินเฟ้อจาก0ไป1% BOJ ไม่น่าจะมีการอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่ม
- คาดกำไรของบริษัทจะโตถึง 15% ในปีนี้
- คาดเงินเยนจะแข็งค่าจาก 115 to 110/US$ ไม่คิดว่ามี QE เพิ่ม
แต่ BOJ จะเพิ่มการถือหุ้น และซื้อพันธบัตรอายุยาวขึ้น
- คาด market return 8-9% ในปีนี้ + currency gain อีก
- sector ที่น่าสนใจ คือ retails & Telecom ซึ่งมีผู้เล่นหลัก3ราย รวมถึงExportบางกลุ่ม
ส่วนถ้าลงทุนเอง จะลงทุนคล้ายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีหุ้นรวมหุ้นจีนด้วย 50%
เน้นหุ้นมีDiv สูงๆ
China market - view from Mr Gordon Head of Fix income. Taikang Asset Management
- เมื่อก่อนเติบโตเฉลี่ย10.6% คาด ปี2016 GDP โต 6.5% เปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาคเช่น ญี่ปุ่น ฮ่องกง ไต้หวัน และเกาหลีใต้ จากที่เติบโตสูง ต่อมา เติบโตลดลงเหมอนกัน. โดยการเติบโตของเศรษฐกิจจีนเปลี่ยนจากการผลิตเป็นการบริการเช่น IT. ไม่ต้องลงทุนเยอะ ความเชื่อมั่นช่วยเรื่องการบริโภค ดังนั้นรัฐบาลพยายามสร้างความเชื่อมั่น
- Inflationลดลง , CPI ตกลงจากค่าเฉลี่ย 2.6%. เหลือ1-2%
- ไม่คิดว่าจีนจะเกิด hard landing
- ราคาหุ้นปรับตัวลง เป็นโอกาสซื้อหุ้น เพราะเชื่อว่าทางการจีนจะพยายามรักษาเสถียรภาพของตลาดเอาไว้
- ใช้ bottom up strategy เลือกหุ้นที่มีการเติบโตของกำไรที่ดี
- คาด market return 5-10% ถ้าตลาด rebound ตามคาด ให้ Take profit แล้ว switch มาลงทุนใน fixed income ที่มี risk/return profile ที่ดีกว่าหุ้น
ถ้าต้องลงทุนด้วยเวินตัวเองจะลงในChina fix income และ เงินสดบางส่วน
การออมเป็นการป้องกันInflation. เพิ่มกำลังซื้อ เป็นแผนการออม
Ms Alexis. Economist from Vanguard's Investment Strategy Group
มุมมองตลาดอเมริกา ไม่ได้คิดว่าเศรษฐกิจอเมริกาถดถอย
- คาด 2016 GDP โต 1.5-2.5% ซึ่งโตน้อยกว่าปี2015 ซึ่งตัวเลขจะต่ำกว่าสถาบันอื่น
- Fed ขึ้นดอกเบี้ยทุกๆ 2-3 meetings to 1% เนื่องจากตัวเลขการจ้างงานดีขึ้น long term Fed fund rate ประมาณ3%. คาดอัตราการว่างงาน <5%. จากการsurvey. พบว่า โอกาสเติบโตมากกว่า1% คิดเป็น 67%
- US$ แข็งค่า กระทบการส่งออก แต่ดีกับ การบริโภค
- ตลาดหุ้น US ปรับตัวลงมา ไม่คิดว่าเป็น bear market เป็นโอกาสซื้อหุ้น US คาด market return 3-5% valuation ไม่แพงเกินไป แม้สูงขึ้นเมื่อเทียบกับ L/T
- แนะนำลงทุนใน passive fund หรือ ETF มากกว่า Managed fund เนื่องจากตลาดหุ้น US หา Alpha ยาก
ผู้จัดการกองทุนที่เอาชนะindex fund มีค่อนข้างน้อย
ถ้าเป็นเงินส่วนตัวจะมาลงทุน จะลง index fund. มีการทำasset allocation. Base on market cap on country world
Core : Passive fund.
Sattalite : Active fund
European market - view from Mr Nicholas. JP Morgan Asset management ซึ่งมีมุมมองเชิงบวก
แต่การลงทุนอาจยังไม่บวก การบริโภคจะกลับมา
QE ช่วยในการบริหารอัตราแลกเปลี่ยน ช่วยในการปล่อยกู้เป็นปัจจัยในการฟื้นตัว
- Cycle EU ช้ากว่า US 4-5 ปี และ JP Morgan มองว่ากำไรสุทธิ ปรับขึ้นมาจาก
1. EU โดนเรื่องกฎหมายรัฐทำให้ต้องปรับตัวให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเช่นลดคนงาน หรือจ้างถูกลง
2. ต้นทุนการผลิตการกู้ยืมเงิน หรือต้นทุนพลังงานถูกลงเป็นปัจจัยห้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงก็มีเรื่อง อังกฤตอาจจะออกจากEUตอน ตคนี้ ซึ่งมีสาเหตุจาก ปัญหาเรื่องอพยพ เช่นซีเรีย
- PER 14x ไม่แพง
- แนะนำการลงทุนแบบ stock pick เน้นที่Earning เนื่องจากแต่ละประเทศและกลุ่มอุตสาหกรรมมีความแตกต่างกัน
- ชอบประเทศในยุโรปที่เคยมีปัญหา และอยู่รอบนอก เช่น Italy Spain Ireland เพราะจะเห็นการฟื้นตัวของกำไรชัดเจน
ถ้าลงทุนด้วยเงินส่วนตัวก็จะลงหุ้นในEU ตามนายจ้างคือ Morgan
Japan Market - View from Mr Wataru Nomura Asset Management
- คาด 2016 GDP โต 1% มาจากการลงทุน ค่าจ้าง การบริโภค และท่องเที่ยว ไทยอยู่อันดับ2ที่ไปเที่ยวสูงสุด
เงินเฟ้อจาก0ไป1% BOJ ไม่น่าจะมีการอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่ม
- คาดกำไรของบริษัทจะโตถึง 15% ในปีนี้
- คาดเงินเยนจะแข็งค่าจาก 115 to 110/US$ ไม่คิดว่ามี QE เพิ่ม
แต่ BOJ จะเพิ่มการถือหุ้น และซื้อพันธบัตรอายุยาวขึ้น
- คาด market return 8-9% ในปีนี้ + currency gain อีก
- sector ที่น่าสนใจ คือ retails & Telecom ซึ่งมีผู้เล่นหลัก3ราย รวมถึงExportบางกลุ่ม
ส่วนถ้าลงทุนเอง จะลงทุนคล้ายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีหุ้นรวมหุ้นจีนด้วย 50%
เน้นหุ้นมีDiv สูงๆ
China market - view from Mr Gordon Head of Fix income. Taikang Asset Management
- เมื่อก่อนเติบโตเฉลี่ย10.6% คาด ปี2016 GDP โต 6.5% เปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาคเช่น ญี่ปุ่น ฮ่องกง ไต้หวัน และเกาหลีใต้ จากที่เติบโตสูง ต่อมา เติบโตลดลงเหมอนกัน. โดยการเติบโตของเศรษฐกิจจีนเปลี่ยนจากการผลิตเป็นการบริการเช่น IT. ไม่ต้องลงทุนเยอะ ความเชื่อมั่นช่วยเรื่องการบริโภค ดังนั้นรัฐบาลพยายามสร้างความเชื่อมั่น
- Inflationลดลง , CPI ตกลงจากค่าเฉลี่ย 2.6%. เหลือ1-2%
- ไม่คิดว่าจีนจะเกิด hard landing
- ราคาหุ้นปรับตัวลง เป็นโอกาสซื้อหุ้น เพราะเชื่อว่าทางการจีนจะพยายามรักษาเสถียรภาพของตลาดเอาไว้
- ใช้ bottom up strategy เลือกหุ้นที่มีการเติบโตของกำไรที่ดี
- คาด market return 5-10% ถ้าตลาด rebound ตามคาด ให้ Take profit แล้ว switch มาลงทุนใน fixed income ที่มี risk/return profile ที่ดีกว่าหุ้น
ถ้าต้องลงทุนด้วยเวินตัวเองจะลงในChina fix income และ เงินสดบางส่วน
การออมเป็นการป้องกันInflation. เพิ่มกำลังซื้อ เป็นแผนการออม
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: สรุปงานสัมมนาของ บลจ วรรณ. Investment Forum
โพสต์ที่ 2
สรุปงานสัมมนาของ บลจ วรรณ. Investment Forum " Where is the opportunity "
ส่วนตลาดหุ้นไทย และ Alternative Investment
Mr. Monthol Chief Investment officer One Asset Management
เศรษฐกิจไทย การใช้จ่ายภาครัฐในครึ่งปีหลัง 16 เริ่มเพ่ิ่มขึ้น รวมถึงความเชื่อมั่นในการบริโภคค่อนข้างสูงขึ้น
ในเเง่การท่องเที่ยวหลังเกิดเหตุระเบิดที่ราชประสงค์ก็สูงขึ้น ไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวราคาถูก low cost เมื่อ
เทียบกับ US, EU ทำให้นักท่องเที่ยวเริ่มเข้ามาไทยมากขึ้น และ ตัวเลขการท่องเที่ยวก็สูงขึ้น
การส่งออกลดลงตามภูมิภาค คำถามคือ การส่งออกของภูมิภาคสูงขึ้น ของไทยจะสูงตามหรือเปล่า
แผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานปีที่แล้วไม่มา ปีนี้อย่างน้อยก็เห็นการประมูล4G และ รถไฟฟ้าใต้ดิน
ท่านสมคิดมองว่า เป็นสะพานเชื่อม หรือ กระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น นโยบายใช้จ่ายไม่เกิน 15,000 บาท ในสัปดาห์
สุดท้ายของปีสามารถลดหย่อนค่าใช้จ่ายได้ หรือ การจัดสรรงบประมาณการใช้เงิน เริ่มเพิ่มสูงขึ้น ในปี59,60,61
= 1.99 ล้านล้านบาท มุมมองของรัฐ ปีที่แล้วต่ำแล้ว ปีนี้จะสูงขึ้น 1% จากการลงทุนภาครัฐ ตัวเลข2digits อยู่ใน
การลงทุน Private/Public Investment เศรษฐกิจไทยจะโตตามประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น อเมริกา
ไทย หนี้สาธารณะไม่สูง หนี้บริษัทเอกชนก็ไม่สูง ค่าเงินแกว่งตัว แต่กำไรบริษัทจดทะเบียนไม่ปรับตัวรุนแรง
แต่บริษัทน้ำมันทำให้Earning ตลาดทรุดตัวลง Sector Energy ลงมาเยอะมีผลต่อ SET
คำถามจากคุณวิน บ้านเราตอนนี้เหมือนปี98หรือไม่ หนี้ส่วนบุคคลมากกว่าปี56 กระทบอย่างไร
คุณMonthol ตอบว่า หนี้ภาคครัวเรือนหลายปีก่อนอยู่นอกระบบเยอะ มี Micro finance คนของธนาคารแห่งประเทศไทย
concern ตอนนี้ยังไปได้ หนี้ค่อนข้างเห็นจริงมากขึ้น เงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น การบริโภคในประเทศไม่ค่อยโต
แต่จริงๆโต ความรุนแรงในหนี้ไม่ค่อยสูง
ในปีที่แล้ว ตลาดหุ้นไทย underperform เป็นอันดับที่3 ส่วนที่แย่สุดเป็นจีน
Valuation ของตลาดหุ้นไทย EPS growth 33% ,PB= 1.59 , โดยศักยภาพถือว่าถูก Div Yield = 3.xx%
ราคาหุ้นเริ่มนิ่ง EPS = 102 บาทต่อหุ้น
Fed แสดงท่าทีในการปรับอัตราดอกเบี้ย ต่อไปอาจไม่เกิดขึ้น
Thailand Future Fund จะช่วยเป็นแหล่งเงินทุนของโครงการต่างๆ นอกเหนือจากการกู้
Asset Allocation
- ลงทุนใน Short term roller fund ได้ประโยชน์จากการreinvestment เพราะแนวโน้มดอกเบี้ยปรับขึ้น
- ทอง เงินเฟ้อไม่ค่อยสูง ดังนั้นทองไม่ค่อยได้ประโยชน์มาก ทองเป็น Asset ที่ไม่มีผลตอบแทนเช่นเงินปันผล
- น้ำมัน upside ไม่ค่อยมีเยอะ เพราะ Supply เยอะ
- หุ้น ถ้าเลือกเข้าเป้า มีอะไรปนๆมา เช่น Tourism , Medical Tour ทัวร์ด้านสุขภาพ คิดว่าน่าจะเป็นหุ้นไทย
ไม่กังวลเรื่องการปรับตัว factor: Medical Tour ทัวร์ด้านสุขภาพ
คิดว่า น่าจะเป็นหุ้นไทย ไม่กังวลเรื่องการปรับตัว , Factor เช่นน้ำมัน หรือนโยบาย Fed, China ,FX นิ่งหรือยัง
ถ้าเป็นเงินตัวเองมาลงทุน
ถ้าระยะเวลาลงทุนนานๆ ก็ลงทุนในหุ้น , LTF , RMF
ุ้ถ้าระยะเวลาสั้นๆ ก็เป็นตราสารหนี้ Roll over
คุณ อลงกรณ์ ดูแลสำหรับ Alternative Investment
ที่น่าสนใจ ได้แก่ โรงแรม เพื่อรับการท่องเที่ยว การเลือกต้องดูคุณภาพ หรือ operator
RIET นั้น ต้องดูความเสี่ยงว่าเหมาะสมหรือเปล่า
ถ้าเป็นเงินตัวเอง ก็จะลงทุนใน กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และ ลง RMF , LTF เป็นหลัก
Port ที่บลจ วรรณ แนะนำ คือ
50% ลงทุนในประเทศไทย
- 20% ลงทุนหุ้นไทย
- 20% Property Fund
- 10% หุ้นกู้ และ ตราสารหนี้
50% ลงทุนในต่างประเทศ
- 20-25% ลงทุนหุ้นต่างประเทศ
- 20-25% Property Fund ในต่างประเทศ
- 5-10% หุ้นกู้ และ ตราสารหนี้ในต่างประเทศ
ส่วนตลาดหุ้นไทย และ Alternative Investment
Mr. Monthol Chief Investment officer One Asset Management
เศรษฐกิจไทย การใช้จ่ายภาครัฐในครึ่งปีหลัง 16 เริ่มเพ่ิ่มขึ้น รวมถึงความเชื่อมั่นในการบริโภคค่อนข้างสูงขึ้น
ในเเง่การท่องเที่ยวหลังเกิดเหตุระเบิดที่ราชประสงค์ก็สูงขึ้น ไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวราคาถูก low cost เมื่อ
เทียบกับ US, EU ทำให้นักท่องเที่ยวเริ่มเข้ามาไทยมากขึ้น และ ตัวเลขการท่องเที่ยวก็สูงขึ้น
การส่งออกลดลงตามภูมิภาค คำถามคือ การส่งออกของภูมิภาคสูงขึ้น ของไทยจะสูงตามหรือเปล่า
แผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานปีที่แล้วไม่มา ปีนี้อย่างน้อยก็เห็นการประมูล4G และ รถไฟฟ้าใต้ดิน
ท่านสมคิดมองว่า เป็นสะพานเชื่อม หรือ กระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น นโยบายใช้จ่ายไม่เกิน 15,000 บาท ในสัปดาห์
สุดท้ายของปีสามารถลดหย่อนค่าใช้จ่ายได้ หรือ การจัดสรรงบประมาณการใช้เงิน เริ่มเพิ่มสูงขึ้น ในปี59,60,61
= 1.99 ล้านล้านบาท มุมมองของรัฐ ปีที่แล้วต่ำแล้ว ปีนี้จะสูงขึ้น 1% จากการลงทุนภาครัฐ ตัวเลข2digits อยู่ใน
การลงทุน Private/Public Investment เศรษฐกิจไทยจะโตตามประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น อเมริกา
ไทย หนี้สาธารณะไม่สูง หนี้บริษัทเอกชนก็ไม่สูง ค่าเงินแกว่งตัว แต่กำไรบริษัทจดทะเบียนไม่ปรับตัวรุนแรง
แต่บริษัทน้ำมันทำให้Earning ตลาดทรุดตัวลง Sector Energy ลงมาเยอะมีผลต่อ SET
คำถามจากคุณวิน บ้านเราตอนนี้เหมือนปี98หรือไม่ หนี้ส่วนบุคคลมากกว่าปี56 กระทบอย่างไร
คุณMonthol ตอบว่า หนี้ภาคครัวเรือนหลายปีก่อนอยู่นอกระบบเยอะ มี Micro finance คนของธนาคารแห่งประเทศไทย
concern ตอนนี้ยังไปได้ หนี้ค่อนข้างเห็นจริงมากขึ้น เงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น การบริโภคในประเทศไม่ค่อยโต
แต่จริงๆโต ความรุนแรงในหนี้ไม่ค่อยสูง
ในปีที่แล้ว ตลาดหุ้นไทย underperform เป็นอันดับที่3 ส่วนที่แย่สุดเป็นจีน
Valuation ของตลาดหุ้นไทย EPS growth 33% ,PB= 1.59 , โดยศักยภาพถือว่าถูก Div Yield = 3.xx%
ราคาหุ้นเริ่มนิ่ง EPS = 102 บาทต่อหุ้น
Fed แสดงท่าทีในการปรับอัตราดอกเบี้ย ต่อไปอาจไม่เกิดขึ้น
Thailand Future Fund จะช่วยเป็นแหล่งเงินทุนของโครงการต่างๆ นอกเหนือจากการกู้
Asset Allocation
- ลงทุนใน Short term roller fund ได้ประโยชน์จากการreinvestment เพราะแนวโน้มดอกเบี้ยปรับขึ้น
- ทอง เงินเฟ้อไม่ค่อยสูง ดังนั้นทองไม่ค่อยได้ประโยชน์มาก ทองเป็น Asset ที่ไม่มีผลตอบแทนเช่นเงินปันผล
- น้ำมัน upside ไม่ค่อยมีเยอะ เพราะ Supply เยอะ
- หุ้น ถ้าเลือกเข้าเป้า มีอะไรปนๆมา เช่น Tourism , Medical Tour ทัวร์ด้านสุขภาพ คิดว่าน่าจะเป็นหุ้นไทย
ไม่กังวลเรื่องการปรับตัว factor: Medical Tour ทัวร์ด้านสุขภาพ
คิดว่า น่าจะเป็นหุ้นไทย ไม่กังวลเรื่องการปรับตัว , Factor เช่นน้ำมัน หรือนโยบาย Fed, China ,FX นิ่งหรือยัง
ถ้าเป็นเงินตัวเองมาลงทุน
ถ้าระยะเวลาลงทุนนานๆ ก็ลงทุนในหุ้น , LTF , RMF
ุ้ถ้าระยะเวลาสั้นๆ ก็เป็นตราสารหนี้ Roll over
คุณ อลงกรณ์ ดูแลสำหรับ Alternative Investment
ที่น่าสนใจ ได้แก่ โรงแรม เพื่อรับการท่องเที่ยว การเลือกต้องดูคุณภาพ หรือ operator
RIET นั้น ต้องดูความเสี่ยงว่าเหมาะสมหรือเปล่า
ถ้าเป็นเงินตัวเอง ก็จะลงทุนใน กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และ ลง RMF , LTF เป็นหลัก
Port ที่บลจ วรรณ แนะนำ คือ
50% ลงทุนในประเทศไทย
- 20% ลงทุนหุ้นไทย
- 20% Property Fund
- 10% หุ้นกู้ และ ตราสารหนี้
50% ลงทุนในต่างประเทศ
- 20-25% ลงทุนหุ้นต่างประเทศ
- 20-25% Property Fund ในต่างประเทศ
- 5-10% หุ้นกู้ และ ตราสารหนี้ในต่างประเทศ
- HorseVision
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 513
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปงานสัมมนาของ บลจ วรรณ. Investment Forum
โพสต์ที่ 3
ขอบคุณครับ
Facts are better than opinions
- คืนนี้ดาวสวย
- Verified User
- โพสต์: 69
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปงานสัมมนาของ บลจ วรรณ. Investment Forum
โพสต์ที่ 6
Vanguard น่าจะมาทำธุรกิจบลจ.ในไทยนะครับ แบบตั้งกองดัชนี Index Funds SET ค่าใช้จ่ายรวมสัก 0.2% ก็ได้
ผมจะโยกเงินกองทุนรวมที่มีทั้งหมดไปเป็นลูกค้าเลย
ผมจะโยกเงินกองทุนรวมที่มีทั้งหมดไปเป็นลูกค้าเลย
- คืนนี้ดาวสวย
- Verified User
- โพสต์: 69
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปงานสัมมนาของ บลจ วรรณ. Investment Forum
โพสต์ที่ 8
ผมอ่านว่ามี Mr. Alexis จาก Vanguard มาพูดในงานเลยทำให้นึกถึงกองทุนดัชนีครับ เพราะในอเมริกาแวนการ์ดนี่มีกองทุนดัชนีที่ค่าใช้จ่ายต่ำสุดๆ อย่าง Vanguard S&P500 คิดค่าใช้จ่ายรวมต่อปีแค่ 0.05% สมมติระยะยาวตลาดหุ้นให้ผลตอบแทน 10% ต่อปี เราก็จะได้ผลตอบแทนระดับ 9.95% ครับ ในขณะที่ Active Funds ส่วนใหญ่ในบ้านเรานั้นค่าใช้จ่ายรวมๆจริงๆสูงถึง 2-3% ต่อปี คิดในแง่ว่าระยะยาวจริงๆ แบบผมจะลงทุน 20-30 ปีขึ้น ผู้ชนะตลาดหุ้นแทบไม่มีครับ เพราะค่าใช้จ่ายพวกนี้มันจะกินผลตอบแทนหมด ถ้าอยากจะชนะต้องทำผลตอบแทนขั้นต้นที่ 12-13% ต่อปี ถึง 30 ปี (ก่อนหักค่าใช้จ่าย) ซึ่งระดับนั้นขนาดระดับโลกก็เทียบ John Neff, Templeton ได้เลย สมมติกองที่ทำผลตอบแทนได้เท่าๆตลาดหุ้น โดนหักค่าใช้จ่ายก็จะเหลือผลตอบแทนแค่ 7-8% ต่อปีครับ การมีกองทุนดัชนีที่ค่าใช้จ่ายต่ำๆจะทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนทั่วไปที่ไม่ได้ต้องการมานั่งลงทุนเอง จะมีเครื่องมือในการสร้างผลตอบแทนที่ใกล้เคียงผลตอบแทนจากหุ้นที่สุด ทั้งนี้กองดัชนีหุ้นบ้านเราค่าใช้จ่ายที่เห็นต่ำสุดจริงๆก็แค่ประมาณ 0.5% ครับ เลยคิดเล่นๆว่าถ้ามี vanguard หรือ บลจ.ไหนก็ได้สร้างกองทุนดัชนีที่ค่าใช้จ่ายต่ำกว่านี้ เอาสัก 0.2% ก็ได้ จะเป็นคุณูปการต่อวงการลงทุนกองทุนรวมของบ้านเราอย่างยิ่งครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: สรุปงานสัมมนาของ บลจ วรรณ. Investment Forum
โพสต์ที่ 9
ผมเห็นด้วยครับถ้าค่าธรรมเนียมต่ำจะช่วยเรื่องผลตอบแทนได้ดี
แต่คิดว่าคงยังไม่มาระยะอันสั้นตอนนี้น่าจะร่วมมือกับบลจวรรณไปก่อน
ต้องดูว่าค่าธรรมเนียมแพงขนาดไหน
ในไทยผมยังเชื่อว่าactive fund ยังมีโอกาสชนะpassive fund ครับต่างกับเมืองนอก
แต่คิดว่าคงยังไม่มาระยะอันสั้นตอนนี้น่าจะร่วมมือกับบลจวรรณไปก่อน
ต้องดูว่าค่าธรรมเนียมแพงขนาดไหน
ในไทยผมยังเชื่อว่าactive fund ยังมีโอกาสชนะpassive fund ครับต่างกับเมืองนอก
- Lastpun
- Verified User
- โพสต์: 819
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปงานสัมมนาของ บลจ วรรณ. Investment Forum
โพสต์ที่ 10
passive บ้านเรา fee ก็เอาเรื่องนะ เหมือนแข่งขันไม่สูงหรืออะไรก็ไม่ทราบ บางเจ้า 1%กว่าขนาด set50 ถ้ามีแรงๆมาสักเจ้าน่าจะดี
ถ้าจะหาที่อื่นคงต้องพึงพวก etf ที่ singapore ไม่ก็ hongkong มีพวก Vanguard หรือเจ้าใหญ่ๆอยู่ ในไทยตัวเลือกน้อยมาก
ถ้าจะหาที่อื่นคงต้องพึงพวก etf ที่ singapore ไม่ก็ hongkong มีพวก Vanguard หรือเจ้าใหญ่ๆอยู่ ในไทยตัวเลือกน้อยมาก
- คืนนี้ดาวสวย
- Verified User
- โพสต์: 69
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปงานสัมมนาของ บลจ วรรณ. Investment Forum
โพสต์ที่ 11
พูดถึง Index Fund พวก SET50 บ้านเราที่ต่ำสุดในอุตสาหกรรมก็ Total Expenses Ratio ที่ 0.4 -0.45% ครับ
แต่ + Turn over expense อีก 0.2% ก็รวมๆ 0.6% กว่าๆต่อปีครับ เอาจริงก็ยังไม่ต่ำแบบ 0.1-0.2% เหมือนอเมริกา
จริงๆกองทุนในไทยไม่พ้นสัจธรรมแบบต่างประเทศครับ มี Active Fund แค่ 70-80% โดยเฉลี่ยที่ทำผลตอบแทนได้สูงกว่า SET Index Total Return ในระยะยาวครับ และตอนนี้ก็เป็นไปตามนั้นแล้วด้วย (ผมเคยนั่งทำวิจัยย้อนหลังดู) ลองมีสักกองที่ค่าใช้จ่ายรวมคิด 0.3% ต่อปีก็ฆ่ากองทุนเกือบเรียบแล้วครับ ในการลงกองทุนรวมระยะยาว ผลตอบแทนย่อมวิ่งเข้าหาค่าเฉลี่ย สิ่งหนึ่งที่ทำลายผลตอบแทนมากที่สุดคือค่าใช้จ่ายต่างๆครับ แบบที่ John C. Bogle บอกเสมอ "Cost is Matter"
แต่ + Turn over expense อีก 0.2% ก็รวมๆ 0.6% กว่าๆต่อปีครับ เอาจริงก็ยังไม่ต่ำแบบ 0.1-0.2% เหมือนอเมริกา
จริงๆกองทุนในไทยไม่พ้นสัจธรรมแบบต่างประเทศครับ มี Active Fund แค่ 70-80% โดยเฉลี่ยที่ทำผลตอบแทนได้สูงกว่า SET Index Total Return ในระยะยาวครับ และตอนนี้ก็เป็นไปตามนั้นแล้วด้วย (ผมเคยนั่งทำวิจัยย้อนหลังดู) ลองมีสักกองที่ค่าใช้จ่ายรวมคิด 0.3% ต่อปีก็ฆ่ากองทุนเกือบเรียบแล้วครับ ในการลงกองทุนรวมระยะยาว ผลตอบแทนย่อมวิ่งเข้าหาค่าเฉลี่ย สิ่งหนึ่งที่ทำลายผลตอบแทนมากที่สุดคือค่าใช้จ่ายต่างๆครับ แบบที่ John C. Bogle บอกเสมอ "Cost is Matter"
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
Re: สรุปงานสัมมนาของ บลจ วรรณ. Investment Forum
โพสต์ที่ 12
เท่าที่ตรวจสอบnet expense ratio คร่าว ๆ
ถ้าเป็นindex fund เช่นKrungsri set50LTF. 0.71%, set100RMF 0.70%น่าจะต่ำสุดแล้ว
แต่ถ้าเป็นกองactive fund. จะมากกว่า 2% ดังนั้นถือว่าค่าใช้จ่ายโดยรวมของindex fundในเมืองไทยไม่ถูกเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ดังนั้น ผมจะศึกษานโยบายการลงทุนของแต่ละบลจ
และเลือกลงทุนActive. Fund ไปเลย ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายดีกว่าindex fund
ผมว่าทางบลจ..จะคิดค่าธรรมเนียมแค่0.3%อาจอยู่ไม่ได้เพราะขนาดของกองทุนบ้านเราเล็กมากๆเมื่อเทียบกับต่างประเทศ. ขนาดบลจ ทหารไทยที่คิดค่าธรรมเนียมถูกๆเมื่อก่อน ตอนนี้
Tmbset50RMF. ยังคิด1.38%เลย
ถ้าเป็นindex fund เช่นKrungsri set50LTF. 0.71%, set100RMF 0.70%น่าจะต่ำสุดแล้ว
แต่ถ้าเป็นกองactive fund. จะมากกว่า 2% ดังนั้นถือว่าค่าใช้จ่ายโดยรวมของindex fundในเมืองไทยไม่ถูกเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ดังนั้น ผมจะศึกษานโยบายการลงทุนของแต่ละบลจ
และเลือกลงทุนActive. Fund ไปเลย ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายดีกว่าindex fund
ผมว่าทางบลจ..จะคิดค่าธรรมเนียมแค่0.3%อาจอยู่ไม่ได้เพราะขนาดของกองทุนบ้านเราเล็กมากๆเมื่อเทียบกับต่างประเทศ. ขนาดบลจ ทหารไทยที่คิดค่าธรรมเนียมถูกๆเมื่อก่อน ตอนนี้
Tmbset50RMF. ยังคิด1.38%เลย
- คืนนี้ดาวสวย
- Verified User
- โพสต์: 69
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปงานสัมมนาของ บลจ วรรณ. Investment Forum
โพสต์ที่ 13
มีกองดัชนีที่ Total Expenses Ratio ต่ำกว่ากรุงศรีครับ เป็นกองธรรมดา คือ SCBSET50 0.4% กว่าๆ
ส่วนเรื่องว่าจะลงทุนอย่างไรเป็นเรื่องของนักลงทุนแต่ละท่านล่ะกันครับ ก็ขึ้นอยู่กับแนวทางส่วนตัวกันไป
ปล.ท่านใดสนใจเรื่องของหลักการลงทุนในกองทุนรวม John Bogle เขียนค่อนข้างดีเลยครับ Buffett ก็แนะนำ
เช่น The Little Book of Common Sense Investing , Commonsense on Mutual Funds
อ่านปุ๊บจะเห็นความเชื่อมโย่งกันของ ค่าใช้จ่าย ผลตอบแทนและความเสี่ยง ชัดเจน
ส่วนเรื่องว่าจะลงทุนอย่างไรเป็นเรื่องของนักลงทุนแต่ละท่านล่ะกันครับ ก็ขึ้นอยู่กับแนวทางส่วนตัวกันไป
ปล.ท่านใดสนใจเรื่องของหลักการลงทุนในกองทุนรวม John Bogle เขียนค่อนข้างดีเลยครับ Buffett ก็แนะนำ
เช่น The Little Book of Common Sense Investing , Commonsense on Mutual Funds
อ่านปุ๊บจะเห็นความเชื่อมโย่งกันของ ค่าใช้จ่าย ผลตอบแทนและความเสี่ยง ชัดเจน