การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
-
XO
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1011
- ผู้ติดตาม: 1
ที่จริงผมลืมชื่อคุณฮงไปพักใหญ่ แล้วครับ หลังจากคุณฮงดังเปรี้ยงปร้างเมื่อหลายปีก่อน
จนกระทั่งได้พบสิ่งที่เพื่อนแชร์มาจาก FB ของคุณฮง เมื่อไม่นานมานี้
Sataporn Ngarmruengpong
2 เมษายน · กรุงเทพมหานคร ·
..
ฝันให้ไกลไปให้ถึง
ย้อนกลับไปเมื่อ 9 ปีก่อนตอนผมอายุ 21 ตอนนั้นผมมีเงินลงทุนในตลาดหุ้นประมาณ 8 แสนบาท ผมเคยพูดให้คนนึงฟังว่าตอนอายุ 30 ผมอยากจะมีเงินปันผลปีละไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท
เขาหัวเราะใส่หน้าผม แล้วบอกว่า น้องบ้าหรือเปล่า ผ่านมา 9 ปี
ความฝันของผมในตอนนั้นทุกวันนี้เป็นจริงแล้ว
ผมลองนั่งคำนวณดู พบว่าถ้าจะได้ปันผลปีละ 10 ล้าน แปลว่า พอร์ตคุณฮงต้องใหญ่ ระดับ 200 - 300 ล้าน
นั่นหมายถึงว่า คุณฮงทำผลตอบแทนได้ ประมาณ 300 เท่า (8แสน เป็น 250 ล้าน) ในเวลา 9 ปี
คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละประมาณ 90% หรือพูดง่ายๆคือพอร์ตต้องโตเป็นเกือบ 2 เท่าทุกๆปี
พอได้เห็นข้อมูลแบบอะไรแบบนี้แล้ว ก็แอบฮึกเหิมอยู่เหมือนกันนะครับ แปลว่าการลงทุนในหุ้น ก็ให้ผลตอบแทนสูงมากกว่าที่คิดได้เหมือนกัน
อย่าพยายามเข้าใจ จงใช้ความรู้สึก
-
Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
มากกว่าที่คุณประมาณ 3 เท่าครับ
-
nut776
- Verified User
- โพสต์: 3350
- ผู้ติดตาม: 0
แต่ผมฟัง คุณ ฮง แล้วเหี่ยวนะ
เพราะคุณฮง เรียนรู้เยอะมาก ทั้งกราฟ ฟันโฟล พื้นฐาน
คุณฮง เป็นคนที่ทำให้ผมมองโลกในตามความเป็นจริงมากขึ้นว่า
หุ้นมันเป็น science มากกว่า art
ทุกครั้งผมฟังสัมนาคุณฮง ผมจะรู้ bias ตัวเองเลยว่า
ด้วยความขี้เกียจ เราเลือกที่จะเชื่อว่า หุ้น เป็น art
ทั้งที่เกิน 90% มันเป็น science
เมื่อดูจากการทำการบ้านของคุณฮง
รวมทั้งการประเมินโดยส่วนตัวด้วย ไม่ว่า การเลือกหุ้น
การจัดการหน้าตัก การวางกลยุทธ การขาย หุ้น
ล้วนแล้วแต่มีหลักการ และตำราสอนทั้งสิ้น
(เพียงแต่เราไม่เคยรูํ้)
ซึ่ง ผมไม่มีปัญญาทำได้แน่ๆ ทุกครั้งที่ฟังสัมนาคุณฮง
ผมเลยเจียมเนื้อเจียมตัว เจียมตัว ไม่ถูกถีบออกจากตลาด
กะถือว่า ไม่ควรเสียใจแล้ว
ขนาดคนอัจฉริยะ อย่างคุณฮง ยังทำการบ้านขนาดนั้น
กับคนแบบผมที่ไม่ค่อยจะถูกหวย จะไปหวังอะไร
show me money.
-
ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4366
- ผู้ติดตาม: 1
การวิเคราะห์ธุรกิจและประเมินความคุ้มค่าลงทุน ผมไม่รู้เหมือนกันว่า Art กี่ ℅ Science กี่ ℅
แต่การรับมือนายตลาดนี่ Art แทบ 100 ℅
-
nut776
- Verified User
- โพสต์: 3350
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่รู้สิคับ
ผมคิดว่า นายตลาด คือการเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายสำหรับคนทั่วไป
แต่ส่วนตัว ผมคิดว่า การ วิเคราะห์ หรือมีข้อมูล player ที่อยู่ในตลาด
มันคือสิ่งที่วิเคราะห์ได้ และเป็น science
ยกตัวอย่าง
เช่น นายตลาด moody ถ้าเราเป็นผู้จัดการกองทุน
ที่ได้ข้อมูลเร็วกว่า เราจะเลือกตัดสินใจยังไงคับ ถ้ารู้ว่า
ผจก อีกกองน่าจะได้ ข้อมุลพร้อมๆเรา
ใครลุกช้า กองน่าเสียหนักกว่าไหมคับ
ส่วนคนนอกมอง อาจจะบอก panic ตลาด moody อะไรกะว่าไป
ต่อยอดไปว่า เราต้องกล้าในตอนคนอื่นกลัว
จริงๆเขาอาจจะไม่ได้กลัว แต่ strategy มันบังคับ
และเราจะขอไป trade off กับ สิ่งที่เขาทำ
โดยใช้เวลาการลงทุน เป็นตัวแลก กับ return ในสภาวะ
ที่เกิดช่องว่างของประสิทธิภาพชั่วคราว
คือต้องเข้าใจว่า ปรํัชญา การลงทุนที่พูดๆกันอยู่
มันเท่ และ ดัดแปลงให้เข้าใจง่าย แต่บางทีมันไม่ได้
บอกข้อเท็จ ที่เราควรรู้ทั้งหมด นิคับ
โดย เฉพาะ เรื่องการ trade off กับ อะไรอยู่
เราเชื่อในสิ่งที่เราอยากจะเชื่อ เช่น ตลาดไม่มีประสิทธิภาพ
โดยที่เราไม่พยายามหาเหตุผลอีกด้านของเหรียญอยู่หรือเปล่าคับ
show me money.
-
XO
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1011
- ผู้ติดตาม: 1
nut776 เขียน:แต่ผมฟัง คุณ ฮง แล้วเหี่ยวนะ
เพราะคุณฮง เรียนรู้เยอะมาก ทั้งกราฟ ฟันโฟล พื้นฐาน
คุณฮง เป็นคนที่ทำให้ผมมองโลกในตามความเป็นจริงมากขึ้นว่า
หุ้นมันเป็น science มากกว่า art
ทุกครั้งผมฟังสัมนาคุณฮง ผมจะรู้ bias ตัวเองเลยว่า
ด้วยความขี้เกียจ เราเลือกที่จะเชื่อว่า หุ้น เป็น art
ทั้งที่เกิน 90% มันเป็น science
เมื่อดูจากการทำการบ้านของคุณฮง
รวมทั้งการประเมินโดยส่วนตัวด้วย ไม่ว่า การเลือกหุ้น
การจัดการหน้าตัก การวางกลยุทธ การขาย หุ้น
ล้วนแล้วแต่มีหลักการ และตำราสอนทั้งสิ้น
(เพียงแต่เราไม่เคยรูํ้)
ซึ่ง ผมไม่มีปัญญาทำได้แน่ๆ ทุกครั้งที่ฟังสัมนาคุณฮง
ผมเลยเจียมเนื้อเจียมตัว เจียมตัว ไม่ถูกถีบออกจากตลาด
กะถือว่า ไม่ควรเสียใจแล้ว
ขนาดคนอัจฉริยะ อย่างคุณฮง ยังทำการบ้านขนาดนั้น
กับคนแบบผมที่ไม่ค่อยจะถูกหวย จะไปหวังอะไร
ตอนแรกก็งง ว่าทำไมเหี่ยว
ถ้าเป็นเพราะเหตุผลนั้น ผมเองก็เหี่ยวคับ
อย่าพยายามเข้าใจ จงใช้ความรู้สึก
-
ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4366
- ผู้ติดตาม: 1
นายตลาดที่จริงแล้วก็คือ กิจกรรมซื้อขายหุ้นทุก transaction ที่เกิดขึ้นนี่แหละครับ ดังนั้นการซื้อขายของกองทุนก็เป็นส่วนหนึ่งของนายตลาด
-
XO
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1011
- ผู้ติดตาม: 1
Ii'8N เขียน:มากกว่าที่คุณประมาณ 3 เท่าครับ
สอบถามนิดหนึ่งครับ ข้อมูลเหล่านี้หาได้จากไหนนะครับ และสามารถ serch ตามชื่อคนได้เลยใช่ไหมครับ
อย่าพยายามเข้าใจ จงใช้ความรู้สึก
-
Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
XO เขียน:Ii'8N เขียน:มากกว่าที่คุณประมาณ 3 เท่าครับ
สอบถามนิดหนึ่งครับ ข้อมูลเหล่านี้หาได้จากไหนนะครับ และสามารถ serch ตามชื่อคนได้เลยใช่ไหมครับ
ที่เห็นจากหน้า website ของ set.or.th ครับ เอาของทุกบริษัทมาลง excel
ถ้าทำเองไม่เป็น ผมเห็นพี่ครรชิตก็มีบอกรวบรวมไว้
เห็นมีอีกที่
http://siamchart.com/stock-holder/
หรือ search engine จาก primary source ก็หาในช่อง search ของ set.or.th
อันนีเป็นตัวอย่าง จะหาว่าชื่อเสี่ยยักษ์ อยู่ที่ไหนบ้าง หลังจากกรอกลงไป แล้วผลออกมาแบบนี้ครับ
(ข้อมูลมันอาจเยอะไปหน่อย แต่ท้ายๆ จะเริ่มซ้ำๆ บางทีชื่อขึ้นหลายครั้ง)
http://www.set.or.th/commons/searchresu ... =80j6400j2
-
Green prince
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 518
- ผู้ติดตาม: 0
รายการมันนี่ทอล์คน่าจะเชิญคุณฮง มาออกรายการบ้างนะครับ เชื่อว่ามีคนอยากดูเยอะมาก
-
ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4366
- ผู้ติดตาม: 1
Green prince เขียน:รายการมันนี่ทอล์คน่าจะเชิญคุณฮง มาออกรายการบ้างนะครับ เชื่อว่ามีคนอยากดูเยอะมาก
search ใน youtube เลยครับ มีเพียบเลย
-
6 Dimensions
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 641
- ผู้ติดตาม: 0
ขอฝากบทความพี่สุมาอี้ หนึ่งในนักลงทุนที่คุณฮงนับถือ ที่ได้เขียนบทความไว้เป็นแนวทางสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ที่อยากจะดำเนินรอยตามเซียนครับ
433: รวยด้วยหุ้น vs ออมด้วยหุ้น by สุมาอี้
Posted on June 13, 2016
ยุคนี้เป็นยุคที่คนอยากมีอิสรภาพทางการเงิน อยากเกษียณตั้งแต่ยังไม่แก่ และ/หรืออยากเป็นเศรษฐีหมื่นล้าน และตลาดหุ้นก็เป็นตัวเลือกยอดนิยมที่คนใช้ทำให้บรรลุเป้าหมายนั้น
ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะ ตลาดหุ้น”ดู”เป็นทางเลือกที่ง่ายที่สุด การทำงานประจำเป็นหนทางที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรวยเร็วๆ ส่วนการออกมาทำธุรกิจส่วนตัวก็ดูเป็นงานที่ต้องเหนื่อยแสนสาหัส ในขณะที่ตลาดหุ้นนั้นดูเหมือนเป็นวิธีทำเงินที่ง่ายๆ ซื้อถูก ขายแพง นั่งจิบกาแฟคีย์คำสั่งก็ทำกำไรได้แล้ว
กระแสคิดบวกยิ่งช่วยส่งเสริมให้คนตั้งเป้าหมายตลาดหุ้นให้สูงๆ ประมาณว่า ทุกคนสามารถเป็นวอเรนบัฟเฟตคนที่สองได้ขอแค่กล้าฝัน ฯลฯ
ความเป็นจริงก็คือว่า ตลาดหุ้นไม่ได้ทำให้คนกลายเป็นเศรษฐีได้เยอะอย่างที่เรามักจะคิดกัน ตลาดหุ้นก็เหมือนกับวิธีรวยวิธีอื่นๆ ในโลกนี้ ที่ต้องมีคนรวยจากมันได้ไม่มากนักเสมอ วิธีรวยง่ายๆ นั้นไม่มีอยู่จริง มันเป็นกฎของสังคม เพียงแค่เพราะตลาดหุ้นไม่ต้องใช้แรงกาย ไม่ได้แปลว่ามันง่าย มันแค่ยากคนละแบบกับการทำธุรกิจเท่านั้นเอง เหมือนการซื้อล๊อตตอรี่ให้ถูกรางวัลที่หนึ่งนั้นไม่ต้องใช้แรงแต่ก็ไม่ได้ง่ายเลย (อาจจะยากกว่าการทำธุรกิจเสียอีก) มีอะไรบางอย่างที่เป็นภาพลวงตาทำให้เราคิดว่าตลาดหุ้นน่าจะง่ายกว่าวิธีอื่นๆ
กฎของธรรมชาติคือหลักทรัพย์ประเภทตราสารทุนจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในระยะยาวประมาณ 10% ต่อปี ต่อให้ทุกคนที่เข้ามาในตลาดหุ้นเก่งทุกคน คิดบวกมากๆ ทุกคน แต่กฎข้อนี้ก็จะยังคงอยู่ ถ้ามีคนจำนวนหนึ่งได้ผลตอบแทนไปมากกว่าค่าเฉลี่ยนี้ คนที่เหลือก็ต้องได้ผลตอบแทนน้อยกว่า เพื่อให้ค่าเฉลี่ยยังอยู่ที่ 10% เหมือนเดิม ตลาดหุ้นเป็นการรบกันของคนจำนวนมากที่ทุกคนต่างต้องการเป็นคนที่ได้กำไรสูงๆ แต่คนที่ได้ผลตอบแทนสูงๆ จริงๆ จะมีจำนวนไม่มากนักเสมอ เพราะมีกฎของธรรมชาตินี้บังคับไว้อยู่
แต่ปรากฎการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกว่ามีคนรวยในตลาดหุ้นเยอะเกิดจากสิ่งที่เรียกว่า Survival bias/Selective bias ถ้ามีใครรวยด้วยหุ้นขึ้นมาสักคน ข่าวจะแพร่สะพัดกระจายออกไป สื่อสนใจมาทำข่าว ขอสัมภาษณ์ ถ่ายรูปขึ้นปก นำข่าวมาผลิตซ้ำจนเห็นแล้วเห็นอีก แต่คนที่ขาดทุนหรือบาดเจ็บจากหุ้นนั้น น้อยคนที่จะออกมาป่าวประกาศ หลายคนก็ออกจากตลาดไปเงียบๆ คนแล้วคนเล่า ความไม่สมดุลของการถูกนำเสนอทำให้เราประเมินความน่าจะเป็นที่จะรวยด้วยหุ้นผิดพลาด ในจำนวนคนไทยที่เล่นหุ้นอยู่ 3-4 แสนบัญชีนั้น มีคนที่รวยด้วยหุ้นสำเร็จถึงหนึ่งพันคนหรือเปล่าผมก็ยังไม่แน่ใจ สมมติว่าถึงพันคน คุณก็ต้องเก่งระดับหนึ่งในสี่พันเป็นอย่างน้อยถึงจะบรรลุเป้าหมายนี้ได้ ขนาดตอนเรียนหนังสือ ทั้งห้องมีแค่ 50 คน การจะได้ที่หนึ่งของห้องยังมีโอกาสน้อยเลย อย่าว่าแต่หนึ่งในสี่พัน
โดยส่วนตัว ผมไม่เชื่อว่าทุกคนควรมีเป้าหมายรวยเร็วๆ ด้วยหุ้นเป้าหมายรวยด้วยหุ้นเป็นเป้าหมายที่เหมาะกับแค่บางคนที่เป็นคนส่วนน้อยในสังคมเท่านั้น ผมพูดแบบนี้อาจจะถูกว่าเป็นพวกไม่คิดบวก คนสมัยนี้ต้องคิดว่าเราทุกคนสามารถเป็นที่หนึ่งได้ ฝันให้ไกลถึงดวงจันทร์ ถ้าเป็นไม่ถึงอย่างน้อยก็ยังถึงดวงดวง อะไรทำนองนี้ แต่ผมมองว่า ในตลาดหุ้น การตั้งเป้าหมายที่สูงมากๆ เป็นสิ่งที่มีอันตรายอยู่ด้วย เพื่อมันจะกำหนดวิธีการลงทุนของเราที่แตกต่างจากคนที่ตั้งเป้าหมายตามความเป็นจริง และมันจะส่งผลต่อผลงานของเราในทางลบได้จริงๆ
เหมือนกับที่ผมจะไม่แนะนำเด็กทุกคนให้ไปเรียนร้องเพลง เพื่อที่จะได้เป็นเบิร์ดธงไชยให้ได้ทุกคน อาจมีแค่เด็กบางคนเท่านั้นที่มีอะไรบางอย่าง เช่น เสียงดี บุคลิกดี ทางบ้านมีทรัพยากรพร้อม เด็กพวกนี้คือเด็กที่สามารถตั้งเป้าหมายที่จะเป็นซุปเปอร์สตาร์อันดับหนึ่งได้ ซึ่งต่อให้ตั้งเป้าหมายแบบนั้นแล้วก็ใช่ว่าจะสำเร็จ โอกาสสำเร็จก็ยังน้อยอยู่ เพียงแค่มากขึ้นกว่าคนทั่วไปเท่านั้น และพวกเขาก็ยังต้องการการทุ่มเททั้งชีวิต เพื่อการเป็นนักร้องอีก หมายความว่าต้องเอาเวลาแทบทั้งหมดไปฝึกตัวเองให้เป็นซุปเปอร์สตาร์ ซึ่งหมายถึงต้องละทิ้งโอกาสที่จะไปเตรียมตัวสอบแอดมินชั่นเพื่อเข้าคณะอย่างหมอ วิศวกร ซึ่งเป็นอาชีพที่เป็นได้ง่ายกว่าการเป็นพี่เบิร์ดมาก มีผลตอบแทนที่ค่อนข้างดี แต่คงสู้พี่เบิร์ดไม่ได้ ( high risk, high return) การตั้งเป้าหมายที่สูงมากๆ จึงไม่ได้มีแต่ข้อดีเสมอไป แต่คุณจำเป็นต้องสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายนั้น ซึ่งบางทีมันก็ไม่คุ้มค่าสำหรับคนธรรมดาทั่วไปที่พวกเขาอาจมีทางเลือกที่มีโอกาสประสบความสำเร็จง่ายกว่ามาก แต่ก็ได้ผลตอบแทนที่ไม่น้อยเลย แม้ว่าจะไม่ได้มากที่สุด คนที่ถูกกล่อมให้ฝันสูงๆ โดยที่ไม่ได้ทุ่มเททรัพยากรทั้งหมด ได้แต่ฝัน เพราะคิดว่าแค่ฝันอย่างเดียวเราก็จะประสบความสำเร็จได้ จะว่าไปแล้วก็เหมือนคนที่ถูกสาป
ถ้าคุณได้มีโอกาสสัมผัสคนที่รวยด้วยหุ้นเป็นการส่วนตัวจริงๆ คุณจะรู้ว่า คนเหล่านั้นไม่ได้ได้มาง่ายๆ หลายคนมีความพยายามที่เกินคนธรรมดา แบบที่ถ้าคุณรู้คุณจะคิดในใจว่า “เออ ให้เขาไปเหอะ พยายามมากขนาดนั้น” บางคนก็มีข้อได้เปรียบอะไรหลายอย่างที่ทั้งขาว ทั้งดำ ทั้งเทาๆ เพียงแต่ข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้ถูกตีแผ่ออกมาสู่สาธารณะ เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่คนช่างฝันอยากฟัง ทำให้เกิดภาพลวงตา
ผมยังคิดว่าคนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะเหมาะกับเป้าหมายรวยด้วยหุ้น แต่สำหรับการออมด้วยหุ้นเพื่อเกษียณนั้น ผมคิดว่าเป็นเป้าหมายที่เหมาะกับทุกคน และเป็นสิ่งที่ทุกคนควรจะทำด้วย ในระยะสั้นหุ้นอาจเป็นหลักทรัพย์ที่ผันผวนรุนแรง แต่ในระยะยาวมันเป็นหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด ถ้าหากคนเราจะออมเงิน เราจะพลาดโอกาสนี้ไปทำไม ในเมื่อดอกเบี้ยเงินฝากแทบจะเป็น 0 อยู่แล้ว ผมเห็นว่าทุกคนควรมีเงินส่วนหนึ่งที่ออมไว้ในตลาดหุ้น (ส่วนจะมากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่คนด้วย) เพื่อไว้ใช้ในวัยเกษียณ
คนที่จะรวยด้วยหุ้นกับคนที่คิดจะออมด้วยหุ้นนั้นจะมีวิธีคิดที่ต่างกัน และเลือกวิธีการลงทุนที่ต่างกันด้วย คนที่ออมด้วยหุ้นไม่ต้องการวิธีการลงทุนที่โลดโผนโจนทยานมาก เพราะแค่ต้องการทำผลตอบแทนให้ได้ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้น ไม่อยากให้หลุดกรอบออกไปมากเกินไป แค่เลือกวิธีที่ค่อนข้าง passive มีการกระจายหุ้นค่อนข้างมากเพื่อให้ดูใกล้เคียงตลาด และมีการซื้อแบบทยอยสะสมเพื่อเฉลี่ยต้นทุนไปตามช่วงเวลาด้วย แค่นี้ก็ทำให้ผลตอบแทนเข้าใกล้ค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นในระยะยาวได้แล้ว ไม่ต้องรู้มาก ไม่ต้องเก่งมาก ไม่ต้องโชคดี แต่เป็นคนที่อึด และอาศัยเวลาในการสร้างผลตอบแทน ไม่ใช่อาศัยการเสี่ยงมากๆ แต่ถ้าเป็นคนที่ต้องการรวยเร็วๆ ด้วยหุ้น พวกเขาไม่สามารถทำแบบนี้ได้เลย เพราะว่าจะไม่มีทางบรรลุเป้าหมายได้ทันแน่นอน พวกเขาต้องจับวิธีการที่เสี่ยงมากกว่า เพื่อให้มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงๆ เช่น ซื้อหุ้นตัวเดียว เน้นเล่นแต่ DW เล่นอนุพันธ์ อัดมาร์จิ้นเต็มพอร์ต ซื้อหุ้นพื้นฐานแย่ๆ เพื่อหวังเทรินอราวด์ เป็นต้น วิธีการเหล่านี้ทำให้บางคนรวยได้จริง แต่มีจำนวนแค่หยิบมือ ส่วนใหญ่แล้วจะกลายเป็นขาดทุนกันมากกว่า
การออมด้วยหุ้นนั้นไม่ได้แปลว่าจะไม่รวย เพียงแต่จะไม่รวยเร็วๆ เท่านั้น ถ้าคุณสามารถอยู่ในตลาดได้นานๆ การทำผลตอบแทนได้ปีละไม่มาก แต่ว่าได้สม่ำเสมอทุกปี ไม่เคยขาดทุนหนักๆ ในระยะยาว การทบต้นจะก่อให้เกิดความมหัศจรรย์ขึ้นเอง โอกาสสำเร็จก็มีมากกว่า เพราะว่าไม่ต้องเสี่ยงมาก เพียงแค่ตัดใจให้ได้ว่า เราไม่จำเป็นต้องรีบรวยก็ได้ ช้าๆ แต่ชัวร์ดีกว่า วิธีไหนที่จะทำให้เรามีโอกาสขาดทุนมากๆ ได้ เราก็จะไม่เลือก สร้างพอร์ตที่ดูคล้ายตลาด เพื่อให้ผลตอบแทนเกาะตลาดไปได้ทุกปี มีการปรับพอร์ตบ้าง แต่อย่าบ่อย และพยายามใช้กฎ(rule-based)ให้มากที่สุด เพื่อลดผลกระทบของการใช้อารมณ์ เราไม่ต้องคิดว่าถ้ากำไรเยอะๆ แล้วจะรีบล้างพอร์ตหุ้นทิ้งหนีไปไหน เพราะยังไงเสียก็ไม่มีที่ไหนให้ผลตอบแทนในระยะยาวได้ดีเท่าตลาดหุ้น สะสมเงินไว้ในตลาดหุ้นนี่แหละ ถ้าเราคิดแบบนี้เราจะไม่เลือกหุ้นเน่า เราจะเลือกแต่หุ้นที่ดีๆ มีการกระจายหุ้นพอสมควร และปรับพอร์ตบ้างแค่นานๆ ครั้ง ไม่ต้องเหนื่อยๆ ใช้เวลากับตลาดหุ้นวันละมากๆ เป็นทัศนคติเกี่ยวกับตลาดหุ้นที่แตกต่างจากแนวคิดแบบรวยด้วยหุ้นโดยสิ้นเชิง
Risk Management = Risk Measurement + Risk Controlling+ Risk Taking
--------------------
-
dsdumrong
- Verified User
- โพสต์: 530
- ผู้ติดตาม: 0
-
XO
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1011
- ผู้ติดตาม: 1
ที่จริงแล้ว ผมติดตามงานเขียนของพี่นรินทร์ หรือ สุมาอี้ มาตั้งแต่เมื่อประมาณ 8 ปีก่อนแล้วครับ ถือว่าเป็นบุคคลหนึ่ง ที่มีอิทธิพลต่อรูปแบบการลงทุนของผมเช่นกันครับ
กลับมาพูดถึงเรื่องคุณฮง สิ่งที่คุณฮงทำให้ผมทึ่งเป็นพิเศษ นั้นก็เริ่มจากความเชื่อฝังที่หัวผม เกี่ยวผลตอบแทนจากตลาดหุ้น
กูรู หรือ ตำราหลายๆเล่มมัก จะพูดไปในทำนองเดียวกันว่า ผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นในระยะยาวแบบทบต้นที่เป็นไปได้ คือ 10-20%
การคาดหวังมากกว่านั้นถือว่าไม่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง แม้แต่เซียนหุ้นยังยืนผลตอบแทนแบบนั้นไปในระยะยาวได้ยาก
ผมขอเรียก 10-20% นี้ว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นในทางทฤษฏีแล้วกันครับ
ประมาณ 5-6 ปีก่อน ตอนที่คุณฮงเพิ่งเริ่มดังขึ้นมา ถึงผลตอบแทนของเค้าจะสูงกว่าทฤษฏีมากๆ แต่ตอนนั้นผมก็ยังไม่ทึ่งมาก เนื่องจากว่าระยะเวลาการลงทุน มันอาจยังไม่นานมากพอ
แต่นับจนถึงวันนี้ พอผมได้รู้ว่าคุณฮงรักษาผลตอบแทนระดับสูงเป็นพิเศษระดับนั้นมาได้กว่า 10 ปี มันทำให้ผมถึงกับเปลี่ยนความเชื่อหรือมุมมองไปเลยก็ว่าได้ครับ
อย่าพยายามเข้าใจ จงใช้ความรู้สึก
-
sai
- Verified User
- โพสต์: 4090
- ผู้ติดตาม: 0
คุณฮงเป็นคนที่มีความทุ่มเทสูงมากนะครับ แถมน่าชื่นชมตรงเมื่อพอร์ทใหญ่แล้ว มุ่งไปทำบุญตามวัดป่าต่างต่างตลอดเวลา ( ถ้าเป็นเด็กวัยรุ่นทั่วไป อาจจะไปใช้ชีวิตอีกรูปแบบเลยครับ )เป็นตัวอย่างเด็กรุ่นใหม่ที่ดีคนหนึ่งเลยครับ
Small Details Make a Big Difference
-
ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4366
- ผู้ติดตาม: 1
sai เขียน:คุณฮงเป็นคนที่มีความทุ่มเทสูงมากนะครับ แถมน่าชื่นชมตรงเมื่อพอร์ทใหญ่แล้ว มุ่งไปทำบุญตามวัดป่าต่างต่างตลอดเวลา ( ถ้าเป็นเด็กวัยรุ่นทั่วไป อาจจะไปใช้ชีวิตอีกรูปแบบเลยครับ )เป็นตัวอย่างเด็กรุ่นใหม่ที่ดีคนหนึ่งเลยครับ
ถ้าเป็นเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไป ก็คงไม่มีเซียนฮงตั้งแต่แรกแล้วอ่ะครับ
-
BeSmile
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1178
- ผู้ติดตาม: 0
sai เขียน:คุณฮงเป็นคนที่มีความทุ่มเทสูงมากนะครับ แถมน่าชื่นชมตรงเมื่อพอร์ทใหญ่แล้ว มุ่งไปทำบุญตามวัดป่าต่างต่างตลอดเวลา ( ถ้าเป็นเด็กวัยรุ่นทั่วไป อาจจะไปใช้ชีวิตอีกรูปแบบเลยครับ )เป็นตัวอย่างเด็กรุ่นใหม่ที่ดีคนหนึ่งเลยครับ
น่าชื่นชมมากครับ
ในรูปเป็นตัวอย่าง การทวี ของการทำแบบทบต้น
มีสติ - อย่าประมาทในการใช้ชีวิต