MoneyTalk@SET 14 มกราคม 2560
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
MoneyTalk@SET 14 มกราคม 2560
โพสต์ที่ 1
Moneytalk@SET 14 มกราคม 60
ช่วงที่ 1 สัมมนา หัวข้อ "เศรษฐกิจและการลงทุนปี 60”
1)ดร.อมรเทพ จาวะลา
ผู้อำนวยการสำนักวิจัย บมจ. ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย
2) คุณ เกษม พันธ์รัตนมาลา
Head of Research บล. ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด
3)คุณ วิน พรหมแพทย์
ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ. ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จำกัด
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
Money talk เดือนหน้า จอง วันเสาร์ที่11 กุมภาพันธ์ งานจัดวันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์
ช่วงที่1 เป็นบริษัทจดทะเบียน 3-4 บริษัทที่เป็นบริษัทดีๆมาให้ข้อมูล
ช่วงที่2 กองทุนมองหุ้นไทยปี60
คุณตู่ วรวรรณ คุณ สมจินต์ ศรไพศาล และ คุณ บัณฑิต จาก บริษัท เอไอเอ ซึ่งเป็นกองทุนขนาดใหญ่มาก
อาจารย์เสน่ห์เสียสละเวลาอันมีค่ามาให้กับพวกเรา อาจารย์เสริมว่าดีกว่าเสียหุ้น
เดือนมีนาคม อาจมีพบเซียน ให้อาจารย์เสน่ห์สัมภาษณ์ จัดสรรเงินอย่างไร
คุณ วิน แนะนำให้ Scan QR code ที่โบว์ชัวร์ ของ CIMB สามารถดูรายละเอียดของการสัมมนาได้
ซึ่งผมได้สแกนดูจะได้ไฟล์ ข้อมูลแนวคิดการลงทุนแบบ Smart Dividend และ หลักเกณฑ์การเลือก
หุ้นเข้า port ของ กองทุน CIMB-Principle Thai Dynamic Income Equity Fund ( TDIF )
รายละเอียดคุณวินจะพูดในช่วงท้ายของsectionแรกครับ
อาจารย์เสน่ห์ อวยพรปีใหม่ในตอนต้นของรายการ กลอนนี้เขียนสดๆตอนแต่งหน้าก่อนเข้ารายการ
ปีไก่ไม่จับแพะ
ปีไก่แระ แพะไม่จับ
ปีไก่เมาไม่ขับ
ปีไก่ครับขับไม่โทร
ปีไก่ไม่โดนปล้น
ปีไก่พ้นคนโมโห
ปีไก่ไม่พลาดโชว์
ปีไก่โซให้หมดไป
ปีไก่ไม่ติดดอย
ปีไก่ง่อยค่อยสดใส
ปีไก่ได้กำไร
ปีไก่ไทยให้รุ่งเรือง
คุณวิน พูดถึง กองทุน iprop RMF ได้ผลตอบแทนเมื่อปีที่แล้ว 25% ผลประกอบย้อนหลัง
สามปี เป็นอันดับหนึ่ง และกองทุน LTF , RMF ของเราติด Top Ten หมด
ส่วนกองตราสารหนี้ ที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และ ตราสารหนี้เอกชน ก็ติดTop ratingด้วย
ดร ไพบูลย์เริ่มก่อนว่า หลังทรัมป์ชนะ หุ้นขึ้น แต่พอปีใหม่ ไม่แน่ใจ ปีนี้โลกมีความเสี่ยงมากสุด
หลังสงครามโลกครั้งที่2 จริงๆแล้วโลกจะเสี่ยงหรือไม่
ดร อมรเทพ ตอบว่า เศรษฐกิจเสี่ยงทุกปี และ ไทยจะอยู่กับความเสี่ยงได้หรือไม่เป็นโจทย์ที่สำคัญ
ดูภาพเศรษฐกิจ ปีไก่ เป็นไก่สายรุ้ง อาจารย์เสน่ห์เสริม Rainbow chicken
สีรุ้ง ได้แก่ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง
บางส่วนอึมครึม บางส่วนยังมีความสดใส
มาดูสีอึมครึมก่อน
1. สีม่วง ตัวแปรที่อึมคริม คือ การส่งออก เมื่อทรัมป์มา มีนโยบายกีดกันการค้า
มีผลต่อจีน ส่งออกลดลง เศรษฐกิจชะลอตัว
ไทย ส่งออกเราติดลบมา3ปีซ้อน ปี 60 การส่งออกติดลบเป็นปีที่5หรือเปล่า ผู้ส่งออกต้องระมัดระวัง
2. สีคราม อาจอีมคริมน้อยหน่อย คือ การลงทุนภาคเอกชน ติดลบมา3 ปีซ้อน ปีทีแล้วก็เสี่ยงติดลบเป็นปีที่สี่
แม้มีนโยบายภาครัฐมาสนับสนุน เศรษฐกิจโลกไม่ดีนัก มีเงินแต่ไม่ลงทุน ขาดความเขื่อมั่น
3. สีน้ำเงิน ครัวเรือน รายได้ระดับล่าง และ กลุ่ม SME
ครัวเรือนเจอปัญหาภัยแล้งในปีที่แล้ว และ ปีนี้เจอน้ำท่วม กำลังซื้อในระดับต่ำ
ยังไม่สามรถมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจรอกลางปีเสียก่อน
ส่วน SME ปีที่แล้วซึมปีนี้ต้องรอดู
4. สีเขียว ครัวเรือนที่มีรายได้สูง และ กลาง มีกำลังซื้อ แต่เขื่อมั่นระดับต่ำ มีสัดส่วนไม่เยอะแต่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ
ยังไม่ลงทุน และ ใช้จ่าย ทำให้multiplier ไม่ไป
คนมีเงิน อยากใช้ ทำได้ แต่ยังไม่มีความเชื่อมั่น ไทยจะเกิดอะไรในอนาคต
5. สีเหลือง เป็นเรื่อง อัตราดอกเบี้ย และค่าเงิน เศรษฐกิจโตได้ 3% ไม่ได้เร่งอะไร ดังนั้นแนวโน้มดอกเบี้ยของ กนง 1.5%
ดอกเบี้ยน่าจะคงอยู่ระดับนี้ตลอดปีนี้ ค่าเงินน่าจะอ่อน ส่วนสหรัฐถ้าขึ้น3 ครั้งก็ได้ 1.5% เท่ากับดอกเบี้ยของไทย
ทำให้มีโอกาสเงินไหลออกจากไทยในช่วงปลายปี แต่หุ้นจะตกหรือไม่ขึ้นกับกำลังซื้อหุ้นของคนในประเทศ
6. สีแสด ตัวขับเคลื่อนคือ การลงทุนในภาครัฐ โครงการขนาดใหญ่น่าจะมา ทำให้การลงทุนภาคเอกชนมีกำลังใจมากขึ้น โครงการหลายอันน่าจะมาใน Q1/2
7. สีแดง อยู่ที่การท่องเที่ยว ปีที่แล้ว โต 10% คนต่างชาติมาเที่ยว 32.5-33 ล้านคน ได้นักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพมากขึ้น เช่น ยุโรป รัสเซีย
ส่วนที่กระทบจากต่างประเทศ การส่งออกมีความเสี่ยงจาก Frenexit และ นโยบายของทรัมป์
ฝั่งขวาของฝรั่งเศสเป็นชาตินิยม อาจเปลี่ยนโผเป็นออกจากอียูอีกรายนึง ช่วงในความไม่แน่นอน
อาจหยุดลงทุน ทำให้การส่งออกไม่ดี
ถาม ดร อมรเทพ กลัวปัจจัยอะไรที่ทำให้ GDP ไม่โต
ดร อมรเทพ ตอบว่า คือ ความเชื่อมั่น ที่ผ่านมาศักยภาพของไทยดีแต่เราไม่อยากลงทุน
ถึงแม้มีเงิน การลงทุนใหม่ไม่เกิดเป็นเวลานาน ทุกอย่างไหลที่ไปเวียดนามและประเทศอื่นๆ
หวังว่าทุกคนดูโอกาส และ ลงทุนผ่านความเชื่อมั่น
ส่วนตัวที่ดึงให้เศรษฐกิจโตคือ เราหวังตลาดโลกมากกว่า การส่งออกมีผลต่อGDP ตลาดโลกดี จีน ก็โตได้
ประเทศไทยก็ได้อานิสงค์ ตอนนี้จีนมีปัญหามาหลายปี แต่โตได้ 6% ชะลอต่อเนื่อง
ต้องยอมรับและปรับตัวในส่วนการส่งออก และ หาตลาดใหม่ให้ได้
ทรัมป์เอง พยายามจะให้โลกรู้ว่าจีนกังวลต่อสหรัฐ แต่กลับกันต้องมองว่าสหรัฐก็ต้องกังวัล
กับจีนด้วย จีนเทขายพันธบัตรสหรัฐอย่างต่อเนื่อง
มันจะส่งผลต่อต้นทุนการทำธุรกิจของสหรัฐ ทำให้ข้าวของราคาแพงขึ้น ถ้าไม่ใช้จีนเป็นฐานการผลิตต่อ
สหรัฐก็พึ่งจีน 20%มาจากจีน ถ้าขึ้นภาษีคนสหรัฐก็เดือดร้อน เป็นทฤษฎีเกม
ทุกคนอยากต่อรองกัน สหรัฐได้ประโยชน์มากขึ้น แต่จีนก็ได้ประโยชน์ด้วย
ถามคุณเกษมสำหรับทิศทางหุ้นในปี60
คุณเกษมคิดว่าปีนี้ผันผวนพอสมควร downsideมีพอสมควรจากปีที่แล้วขึ้นมา 20% เราขึ้นมาเยอะสุดในภูมิภาค
สาเหตุหลัก ต่างชาติซื้อสุทธิมาตลอด ปีที่แล้วต่างชาติซื้อเยอะ ถามว่ากทำไมมองบวก ก็เพราะสภาพคล่องเยอะ
ส่งออกไม่ค่อยโต แต่นำเข้าลดลงมาก Current accoutเพิ่มมาเยอะ ช่วยsupportค่าเงินให้มีเสถียรภาพกว่าเพื่อนบ้าน
ทำให้นักลงทุนต่างชาติมาซื้อหุ้นไม่ต้องกังวลค่าเงินมากนัก
ทรัมป์มารับตำแหน่งอาทิตย์หน้า จะพูดดอกเบี้ยบลัฟให้อีกข้างมาเจรจา ทำให้ช่วงหน้าผันผวนพอสมควร
ตลาดหุ้น US outperform ยุโรปก็ขึ้นมาเยอะ แต่ไทยไม่เยอะ
ปีนี้มีการจัด Thailand corporate day มีนักลงทุนมามากกว่าปีที่แล้ว
โดยรวมเป็นนักลงทุนในภูมิภาคนี้ มีความสนใจหุ้นไทย
ส่วนใหญ่เป็น สิงค์โปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง บางทีมีกองทุนยุโรปและสหรัฐที่มี office ใน เอเชีย
ปัจจัย drive คือ สภาพคล่องสูง current account surplus แต่gapน้อยลง แต่ยังมีภาษีดีกว่าเพื่อนบ้าน
การเลือกตั้งปลายปีของไทยน่าจะมีโอกาสเกิดน้อย
ทำให้ไม่มีปัญหาทางการเมือง เศรษฐกิจก็โตไม่ต่ำกว่าปีที่แล้ว
เราศึกษาหุ้น100กว่าตัว กำไรที่คาดการณ์โต15%ในปีนี้ ปีที่แล้วเพิ่มมา 12%
ดัชนีปีที่แล้วขึ้นมาเยอะ มาจากปลายปี 58 หุ้นสื่อสาร ธนาคาร และ พลังงาน ลงมาหนัก
ทำให้ตลาดลงเยอะ แต่ต้นปีที่แล้ว ดัชนีกลับขึ้นมาเยอะ
ปีนี้เราเป็นmajor ipo มีตัวใหญ่ TPIPL Power เป็นโรงไฟฟ้าทางเลือก
และ BGrimm power เข้าตลาด
กลุ่มที่จะมาในช่วง3เดือนข้างหน้าผันผวน เน้นหุ้นปันผลสูง เช่น Telecom , Property บางตัว
หุ้น LH, ปูนกลาง ,advance หุ้น utility กลุ่มไฟฟ้าทั้งหลาย
หุ้นเด่น เป็นหุ้นกลุ่มปันผลสูง
ถาม เลือกหุ้นตัวเดียวเลือกหุ้นตัวไหน
คุณเกษมตอบว่า เป็น Planb เพราะค่าโฆษณาจะเข้ามาปีนี้
แต่ไม่แนะนำลงตัวเดียว ให้กระจายความเสี่ยงไปลงหุ้นหลายตัว เช่น หุ้น consumer พื้นฐานขึ้นมาเยอะ
ได้แก่ TKN แต่บางกลุ่มไม่ค่อยขึ้นเช่น Media ปรับลงเยอะ แต่ไม่ใช่ กลุ่มDigitalครับ ซึ่งลำบากกว่า Media
เช่น Planb , VGI เพราะตัวเลขติดลบน้อยลง แต่ถ้า Rabbit card นิยมมากจะส่งผลดีต่อ VGI
คุณวิน เคยคุมการลงทุนที่กองทุนประกันสังคมเป็นระยะเวลา 13 ปี จำนวนเงินที่ลงทุน 1.3 ล้านล้านบาท
ก่อนมาคุมเงินของบลจ CIMB 82,000 ล้านบาทในตอนเริ่มต้น ตอนนี้ขนาดกองทุนขึ้นไปที่ 1.3 แสนล้านบาท
กองทุน มีสินค้าได้แก่ กองทุนตราสารหนี้ หุ้น และ ทางเลือก เราชำนาญทั้ง 3 ด้าน
กองทุนหุ้น เราติด Top ten ส่วนตราสารหนี้ ลงทุนภาครัฐ และ เอกชน Top เหมือนกัน
iprop หลายคนชอบมาก ได้มากกว่า 20% ย้อนหลัง 3 ปี เราได้ที่ 1 แต่เราไม่แนะนำให้มีตัวเดียว
ให้จัดผสมกันในport ควรมี ตราสารหนี้ หุ้น และ ทางเลือก อยู่ด้วยกัน
ปีนี้วันเด็ก บลจเลยมีคำขวัญบ้าง เป็น 4 Theme ในการลงทุน
1.โครงสร้างพื้นฐานนำหน้า
2.อสังหาสร้างรายได้
3.หุ้นไทยปันผลดี
4.เกาะกระแสเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก
มาเริ่มลงรายละเอียดในละTheme
Themeแรก โครงสร้างพื้นฐานนำหน้า US ใช้ infra เป็นต้วนำ
บ้านเราก็มีโครงสร้างพื้นฐาน เป็นตัวขับเคลื่อน
ปีที่แล้ว เราออกกองต่างประเทศได้ 10% up
Themeที่2 อสังหาสร้างรายได้ เงินเฟ้อจะมาปีนี้
ต่างประเทศเงินเฟ้อขึ้น ค่าเช่าขึ้น แต่บ้านเราเงินเฟ้อเพิ่ม แต่ค่าเช่าไม่ค่อยเพิ่ม มีyield 6%
Global Riet yield ไม่เยอะ แต่ค่าเช่าเพิ่ม 5-6% เราจะออก Global riet ในเดือนหน้า
ระดมทุนคนไทยไปซื้ออสังหาในโลก
Themeที่3 หุ้นไทยปันผลดี
เงินจะไหลเข้าหุ้นปันผล หุ้นไทยไปได้โดยเป็นหุ้นปันผลที่โดดเด่น
Themeที่4 เกาะกระแสเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก
หุ้นเทคโนโลยีจะกลับมาในปีนี้ online gaming,online payment
เราก็เตรียมกองใหม่มาเกาะกระแสนี้
กองหุ้นปันผลดี จะเปิดกองทุนในเดือนนี้ เราไม่เคยมีกองปันผลมาก่อน เชื่อว่าดอกเบี้ยต่ำ
10ปีที่ผ่านมา เอาหุ้นไทย เรียงจากปันผลเยอะไปน้อย เอาหุ้นไทยที่มีปันผลสูงในport
ได้ 440%ใน10 ปี แต่SET100 โตแค่220% portจำลองชนะset100 2 เท่า
เราทำconcept smart dividend ปันผลแบบฉลาด
การคัดกรองหุ้น 4 ชั้น
1 CG 3 ขึ้นไป ได้หุ้นมาทั้งหมด 400ตัว
2 คัดปันผลเยอะสุด ได้หุ้น 80 ตัว
3.ใช้เกณฑ์ที่ว่าหุ้นมีปันผลในอนาคต คาดประมาณใน 5 ปีข้างหน้าโตต่อเนื่อง เหลือหุ้น 60 ตัว ธุรกิจมั่นคง
4. ใช้เกณฑ์ที่หุ้นต้องเก็บเงินไว้ลงทุนต่อส่วนนึง เพื่อเดิบโตในอนาคตเหลือหุ้นแค่ 40 ตัว
Sector ที่ได้ คือ อสังหาริมทรัพย์ และ Leasing
Sectorของเรากระจายกว่า Sectorที่เยอะสุด คือ
1. Utility ไฟฟ้า ประปา สาธารณูปโภค ได้เงินสดเข้ามาประจำ
กลายเป็นปันผลระยะยาว
2 อสังหาริมทรัพย์ เราเลือกกลุ่มที่ขายบ้าน และ officeให้เช่า มีรายได้ประจำ
นอกจากนี้ บริโภคในประเทศ บริษัทผลิตเพื่อส่งออก
ผลออกมา มี utility เป็นหลัก อสังหา ธนาคารขนาดกลาง
และเราลงทุนจริง 25 ตัว แต่ 40 ตัวเป็น Universeซึ่งสอดรับกับคุณเกษม
มูลค่า ตลาด RMF, LTF แค่หลายแสนล้านไม่ได้เยอะถ้าเปรียบกับขนาดกองทุนประกันสังคม
ต้นปี คนกลับมาซื้อหุ้นมาก ปกติคนเข้ามาซื้อตอนปลายปี แต่ผันผวนเลยทยอยซื้อ
ปีที่แล้ว ขึ้นตลอด เลยมาซื้อตอนปลายปีพอสมควร บลจ เห็นว่าต้นปีนี้อาจมีการขาย เลยเก็บเงิน
ไว้บางส่วนตอนปลายปีที่แล้ว เพื่อรองรับการไถ่ถอน
กลับมา หุ้นที่ลง 20 กว่าตัว ที่คุณวินพูดถึง
CIMB-Principle Thai Dynamic Income Equity Fund ( TDIF ) หรือ กองทุน smart dividend
จะได้ผลคือปันผลเฉลี่ย 5% ปกติหุ้นปันผลเฉลี่ย 3% ต่อปี
PE ratio ต่ำกว่าปกติ คือ 12 เท่า ตอนนี้ PE เฉลี่ย 15 เท่า
หุ้นปันผล 5% แต่ Growth เฉลี่ย 10% ซึ่งถือว่าไม่เลว ได้จากการมีเงินเหลือไปลงทุนทำให้โตต่อได้
แสดงบริษัทเหล่านี้ margin ต้องเยอะ ไปลงทุนต่อได้ เป็น concept ของ smart dividend
IPO 19 มค เป็นต้นไป ถึง 27 มค 2017 ขั้นต่ำ 5,000 บาท เตรียมไว้ 3,000 ล้านบาท
ปันผลปีละ 2 ครั้ง แต่จดไว้ว่าปันผลไม่ต่ำกว่าปีละ1 ครั้ง
ถามคุณวิน คนที่จองซื้อ เหมาะกับใครบ้าง
คุณวิน บอกว่า ออกแบบให้เหมาะกับทุกคน ปันผลดีช่วยให้เรามีรายได้ประจำ ผลตอบแทนสุทธิ
มีความเสถียรมากขึ้น PE ต่ำกว่าปกติ ผันผวนน้อยกว่าเพราะเป็นUtility
แต่แนะนำให้จัดพอร์ตด้วย มีให้ครบกอง
ดร ไพบูลย์ถาม คาดว่าผลตอบแทนเท่าไหร่
คุณวิน ตอบว่า คาดหวังจากเงินปันผล 5% ถ้าเรารับมา 5% เราก็จ่ายคืนให้ผู้หน่วยหมด
ช่องทางการจัดจำหน่าย แนะนำติดต่อ ธนาคาร CIMB thai ทั่วประเทศ
สนใจเพิ่มเติม ติดต่อที่เบอร์ 02-686-9595
มีpromotion 1-4 ล้านบาท ได้ ล้านละ 300 บาท เป็นกองทุน treasury
แต่ถ้ามากกว่า ได้ 500 บาท ต่อ 1 ล้านบาท
ถามคุณวินต่อว่า การลงทุนในกองทุน ได้ประโยชน์อะไรบ้าง
คุณวิน ตอบ หุ้นมี downside riskน้อย และ upsideเยอะ ผมค่อนข้างระมัดระวัง ไม่ไปไล่ราคา
ถ้าราคาขึ้นไปเยอะจะถือเงินสดรอดีกว่า หุ้นปันผล จะเหมาะในช่วงหุ้นผันผวน
ดร อมรเทพ สรุป ปีนี้โตต่อเนื่องจากปีที่แล้ว 3.2% แต่มีผันผวนระหว่าง
ภายนอกผันผวนมากกว่าในประเทศ
คุณวิน copy สีรุ้งของผม
สีคราม การลงทุนของภาคเอกชน
สีเหลือง corporate ธุรกิจขนาดใหญ่ มีเงินลงทุน
ดอกเบี้ยต่ำ นั่งทับเงินสด เลยมาปันผลดีกว่า
สีแดง cimb group มีความเชี่ยวชาญ ในการบริหารกองทุน และ หุ้น รวมถึงวิเคราะห์เศรษฐกิจ
คุณเกษม คิดว่า ใน 2-3 เดือนข้างหน้าผันผวนสูง
แต่เป็นโอกาสเลือกหุ้นได้ในราคาที่ถูก
เศรษฐกิจ อาจไม่โตดีมาก ตอนนี้เราดูจาก consensus
FED ขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้ง การค้าโลกอาจไม่สดใส จากจีนทุ่มส่งออกไปส่วนอื่น
พอถ้าดอกเบี้ยขึ้นน้อย เงินเข้าตลาดเงินเยอะ ครึ่งปีหลังมีโอกาสมากกว่า
เรามองว่าปีหน้า หุ้นกลุ่ม infrastructure ผู้รับเหมา
คนได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อน เช่น ส่งออก ท่องเที่ยว
Sector ที่แย่ในปีที่แล้วคือ กลุ่มโฆษณา น่าจะดีในปีนี้
ช่วงที่ 2 สัมมนา หัวข้อ“เศรษฐกิจไทยในปี 2560”
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
อาจารย์เสน่ห์ พูดถึงคำขวัญจาก CIMB แล้วในแง่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สอดคล้องกันหรือเปล่า
อยากฟังโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรมสาหกรรม 4.0 คนไทย 4.0 เราหวังได้ GDP 4.0 ด้วย
ดร กอบศักดิ์ บอกว่ามาครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งใหม่
อยากมาพูดว่าในปีที่ผ่านมาที่ไปช่วยรัฐบาล มาเล่าให้เข้าใจถึงความตั้งใจของรัฐบาล
คนชอบถามว่า Thailand 4.0 ตั้งแต่เมื่อไหร่
Thailand 4.0 ได้แก่ยุคที่ 1-4 ดังนี้
1.0 ยุคเกษตร ดั้งเดิม
2.0 ยุคอุตสาหกรรมสาหกรรมเบา รองเท้า สิ่งทอ เฟอร์นิเจรอ์
3.0 ยุคอุตสาหกรรมหนัก ได้แก่ ปิโตรเคมี รถยนต์ ปูนซิเมนต์
4.0 ยุคอุตสาหกรรมที่ใช้นวัตกรรม เป็นยุคใหม่ที่ทำมาหากินบน ปัญญา ความคิดของเรา เช่น ทุเรียน มาทำผงทุเรียน และ ชงดื่มได้เลย
อยากเข้มข้น ทำขนมทุเรียนได้เลย อย่าไปขายของเดิมๆ ไม่ต้องขายยางพาราแบบเดิม
พยายามสร้างมูลค่าให้กับสินค้าเดิม
ปีที่แล้ว จัดงาน start up Thailand คนมาเต็มศูนย์สิริกิต์ คนที่มาเปิดบูธ ก็มาอธิบายให้ ดร กอบศักดิ์ฟัง
อยากเป็นผู้ประกอบธุรกิจ เช่น AFTER YOU 1ร้านมีมูลค่า 500 ล้านบาท ของเดิมๆหามุมใหม่ ดีกว่าเดิม
พอคนชอบ ก็มีมูลค่ามากขึ้น รัฐบาลคิดว่า ไทยยุคใหม่เป้นอย่างไร
1 โครงสร้างพื้นฐานใหม่
2. อุตสาหกรรมสาหกรรมใหม่ 4.0
3. คนไทยยุคใหม่ 4.0
เรื่องที่ 1 บริษัทขนาดใหญ่บอกว่า เป็นปีทองของก่อสร้างไทย เคยโดนหลอกมา 7 รัฐบาล
เมื่อ 10 ปีก่อน เมื่อก่อน ซื้อหุ้นก่อสร้าง ไม่เคยขึ้น รายได้ไม่เข้า เพราะไม่เกิด
1. เมื่อครึ่งปีก่อน เริ่มเกิดขึ้น 4G เรารอมา จนลาวเกิดมาก่อน ตอนนั้นเรายัง 3G
ตอนนี้เรามี 4 G ทั้งมือถือและเครือข่าย
2. สนามสุวรรณภูมิ phase II เริ่มสร้าง หลังจากมีแผนมาหลายปี
3.รถไฟทางคู่ เราเป็นประเทศแรกในเอเชียมีรถไฟสมัย รัชกาลที่5 พร้อมกับญี่ปุ่น หลังจากนั้น 150 ปีผ่านไปยังไม่มีโครงการใหม่เกิดขึ้น
ปีที่แล้ว มีแผน 1,000 กม 7 เส้นทาง มาบกระเบา-จิระ ประมูลปลายปี 58 หลังจากนั้น 2 เดือน เริ่มสร้าง ตอนนี้ไปถึงขอนแก่น
รถไฟรางคู่ ทำให้รถไฟสวนทางกันได้ เมื่อก่อน 8 ชม วิ่งได้ไม่กี่กิโลเมตร ปีนี้อนุมัติเพิ่มเติมอีก
รถไฟใต้ดินเรามีก่อนคนอื่น เซี่ยงไฮ้มาขอดูงาน แต่ตอนนี้เราขอไปดูงานที่เซียงไฮ้ที่ลงไป 10 เส้นทางแล้ว
ปีที่แล้วประมูลไปแล้ว สายสีเหลือง ส้ม ชมพู
สีแดงเข้ม สีแดงอ่อนมาในปีนี้ ทุกคนไม่ต้องรอรถไฟฟ้าอีกต่อไป
4. โครงการmotor way เกิดขึ้น จนก่อสร้างบอกว่า รับงานไม่ทัน แสดงว่าทำงานไม่ทัน
รถไฟความเร็วสูง จีนคุยเส้นโคราช ต้องใช้เวลานิด ปี 2020 น่าจะสร้างแน่
นอกจากโครงสร้างพื้นฐานใหม่ เมื่อก่อน จังหวัด เชียงราย นครพนม แม่ฮ่องสอน ไม่ค่อยคึกคัก
ตอนนี้ นครพนม มีสะพานมิตรภาพ ไทย ลาว สร้าง 2011 ปีแรกการค้า 5 พันล้าน
5 ปีผ่านมา การค้าเพิ่มเป็น 1 แสนล้าน กลายเป็นจังหวัดหน้าด่าน ไปสู่อินโดจีน เช่น พม่า
เมืองจีนพัฒนาประเทศ เน้นlogistic ไทยกำลังทำเหมือนจีนตอนนั้น
เรื่องที่สอง ทำอุตสาหกรรมสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐาน ต่อไปจะลง internet ตามหมู่บ้านต่างๆ
โดยใช้เงินจากประมูล 4G ประมาณ 20,000 กว่าล้านบาท ไปลงinternet ทุกหมู่บ้านในต่างจังหวัดไกลๆ
เราเตรียมการ E-commerce เราติดต่อ แจ๊กหม่า ให้มาช่วยเรื่องนี้
คุณแจ็กหม่า ไม่เคยลืมคนจน เขาบอกว่าเมื่อ 17 ปีก่อน สอบเข้ามหาลัยตั้ง3 ครั้ง และยังตกงานอยู่
แต่ตั้งใจเอาเทคโนโลยีมาช่วยทำ E-commerce สำหรับ SME รายย่อย
ต่อไปสินค้าไทยไม่ต้องผ่านคนกลาง ไปสู่ผู้บริโภคโดยตรง
อุตสาหกรรมสาหกรรม มีความสำคัญ
เมื่อก่อนตัดสินใจถูก 2 เรื่อง คือ เราไม่ได้ทำรถยนต์เอง เราเลยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถปิกอัฟ
เราทำปิโตรเคมี จนโชติช่วงชัชวาล
ต่อไป เราต้องสร้างอุตสาหกรรม ที่ออกดอกออกผลในอนาคต
-โครงการ EEC เราปรับปรุง Eastern seaboard เป็นจุดยุทธศาสตร์
มีท่าเรือน้ำลึก มีสนามบินอู่ตะเภา เป็นศูนย์ซ่อมอากาศยานที่ใใหญ่สุดในภูมิภาค
Airbusสนใจมาก เพราะ ตอนนี้มีที่สิงคโปร์ แต่เครื่องลงยาก เสียเวลาเพิ่ม 2 ชม
-ทำยานยนต์ไฟฟ้า
-Robotic
-ปิโตรเคมีชั้นสูง
เราจะมีอุตสาหกรรมสาหกรรมใหม่ เช่น อาหารสุขภาพ แต่เราต้องก้าวไปข้างหน้า
ส่วนอุตสาหกรรมสาหกรรมเก่า บางอย่างต้องปล่อยมันไป เช่น อุตสาหกรรมสาหกรรมสิ่งทอ
มันเป็นปกติของโลก เมื่อก่อนก็ย้ายจากสหรัฐมาไทย ตอนนี้ไป เวียดนาม บังคลาเทศ
และ เรานำสิ่งยากๆมาทำแทน เช่น ยานยนต์ ไฟฟ้า หรือ อิเลคทรอนิสต์ชั้นสูง ทำให้เราก้าวหน้าไปได้
เราบินไปต่างประเทศ เพื่อชักชวนนักลงทุนต่างประเทศมาลงทุนในไทย เช่น Michelin
บางแห่งทำอุตสาหกรรม เช่น อายิโนโมโต๊ะ จะทำให้สูงขึ้น
แม้กระทั่งข้าว เราไม่ขายแบบเดิม เช่น แป้งผัดหน้าทำจากข้าว ไม่กระทบต่อผิวพรรณ
ถาม ดร กอบศักดิ์ เราวางแผนมากมาย แต่ปีหน้าเลือกตั้ง จะมาพิจารณาใหม่หรือเปล่า
เราเตรียมไว้อย่างไร
ดร ตอบว่า จะพยายามทำในปีนี้หรือปีหน้า รถไฟฟ้าได้ 4-5 สาย ที่เหลือจะทำภายในปีนี้
รัฐบาลใหม่ก็มาจ่ายเงินอย่างเดียว
สนามบินสุวรรณภูมิ 60,000 ล้านบาท เมื่อ 6 ปีก่อน ผ่านมาจนถึงตอนนี้ราคากลับถูกลง 28%
ถ้าเราทำปีนี้ ปีหน้า จะถูกลง 20-30%
โครงการสำคัญ จะประมูลให้เรียบร้อยในปีนี้ ทุกคนได้โครงสร้างใหม่
คนไทย โตแค่ 3 % จากเมื่อก่อนโต 8 % ทุกคนบอกว่า เป็น new normal
แต่ประเทศฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ทำไมโต6% เพราะว่า ไทยไม่มีอุตสาหกรรมสาหกรรมใหม่
เหมือนกับ โนเกีย ทนไม้ทนมือแต่ว่าเวลาที่โลกเปลี่ยนแปลง แต่ยังทำเหมือนเดิม ดังนั้นโตน้อย ขายของเก่า
เหมือนไทย ขายของเดิม ถ้าเราทำอุตสาหกรรมใหม่ได้ ไทยมี แพลตฟอร์มใหม่โตต่อไปได้
ปีนี้ ปีหน้า จะโตในช่วง 3-4% แต่เราไม่ประกาศ GDP สูง เพราะ เราอยู่ในช่วงเตรียมตัว ไม่ใช่เร่งเครื่องเกินไปแต่โตเท่าเดิม
ดังนั้น ปีนี้เอาเศรษฐกิจพอไปได้ แต่ไปขับเคลื่อนอุตสาหกรรมใหม่ ทำโครงสร้างพื้นฐานใหม่
ทำแหลมฉบัง อู่ตะเภา ทำ EEC
โครงการเหล่านี้ นักลงทุนมองว่าเป็นไปได้ ตัวอุตสาหกรรม และ แหลมฉบัง มีอยู่แล้วแค่ต่อยอดออกไป
ช่วงที่3 สัมมนา หัวข้อ “กลยุทธ์วีไอในปี 2560”
1)ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผู้เชี่ยวชาญหุ้น
2)คุณ พีรนาถ โชควัฒนา
นักลงทุนเน้นคุณค่า
3)คุณ ประชา ดำรงค์สุทธิพงศ์
นักลงทุนเน้นคุณค่า
4)นพ.พงษ์ศักดิ์ ธรรมธัศอารี
นักลงทุนเน้นคุณค่า
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
ช่วงเดือนมีนาคม จะพบ3นายกสมาคมเน้นหุ้นคุณค่า ได้แก่ อดีตนายกสมาคม คุณธันวา และ คุณโจ ลูกอีสาน
นายกสมาคมหุ้นเน้นคุณค่าคนปัจจุบัน คุณชาย มโนภาส และ ดร นิเวศน์
วันนี้คุณโจมาร่วมงานไม่ได้ เพราะไปผ่าตัดนิดหน่อยและมาเจอกับเราในเดือน มีนาคมแทน
อาจาย์เสน่ห์ พูดถึง คำขวัญวันเด็ก
หลังผ่าน 7 วัน อันตราย ถ้าจะปลอดภัย ควรฟังคำขวัญด้านล่าง
ติดกล้องหน้ารถ
งดฉี่ในผลับ
ขับผ่านมินิ
โจรจี้อย่าสู้
รถตู้อย่าขึ้น
มีคนต่อให้ในโซเชียล
อย่าฝืนลุงตู่
อย่าเป็นกิ๊กตำรวจ
อาจารย์เสน่ห์ แนะนำเป็นคำกลอนที่เตรียมอย่างดี
สวัสดีปีไก่ หุ้นไทยแกว่ง
หรือแข็งแกร่งไปต่อข้อสงสัย
จะดีปีแย่ปีมีเลศนัย
เอายังงัยใคร่รู้กูรูเซียน
วีไอพี่พีรนาถไม่คาดเคลื่อน
คอยย้ำเตือนการลงทุนแม้หุ้นเปลี่ยน
กลยุทธ์ข้อกำหนดคือบทเรียน
อย่านั่งเทียนคิดมโนโอ้สาวน้อย
วีไอพระประชาพูดจานิด
แต่ความคิดเรื่องลงทุนคุณใช่ย่อย
เน้นคุณค่า ผลสัมฤทธิ์ไม่ติดดอย
ใช่ลาภลอยแต่ฝีมือคือของจริง
วีไอหมอพงษ์ศักดิ์นักเล่นกล้าม
เก่งความงามเก่งลงทุนหุ้นยอดยิ่ง
สร้างบิ๊กพอร์ตเติบใหญ่ไม่ประวิง
ไม่เคยทิ้งหลักวีไอใช้ลงทุน
วีไอพ่อดอนิเวศน์ สำเร็จสูตร
คอยพร่ำพูด หลักวีไอไว้เกื้อหนุน
ผ่านวิกฤตมากมายไม่เซซุน
จะมองหุ้นปีไก่ให้ท่านฟัง
วีไอโจลูกอีสานท่านนั้นป่วย
เอาใจช่วยให้ท่านหายสมใจหวัง
ให้แข็งแรงกลับมาดีมีพลัง
กลับมาปังก้าววิถีแห่งวีไอ
ดอไพบูลย์พูนเพิ่มเติมคำถาม
ออเหน่ตามซ้ำชัดพร้อมจัดให้
เปิดกลยุทธ์ปีระกาน่าสนใจ
ฟังรุ่นใหญ่ให้แนวคิดพิชิตชัย
เวทีนี้มีport รวมกัน 3-4 หมื่นล้าน เงินเก็บไว้ลูกหลานหรือทำบุญ
แต่ละท่านไม่เคยลืมตัว เป็นตัวอย่างให้คนอื่นได้
เริ่มเข้าเรื่อง กลยุทธ์วีไอ ปี 2560
วันนี้วีไอที่มาได้พิสูจน์อย่างต่อเนื่อง
ดร นิเวศน์ ตอบท้ายรายการ
เริ่มจากคุณพีรนาถ มองหุ้นในปี60อย่างไร
คุณพีบอกว่า ก่อนเริ่มสัมมนาคุยนอกรอบก่อน ว่าใครโดนก่อน ซึ่งเป็นผมตลอด
อารมณ์ปีนี้เทียบกับปีที่แล้ว คนละเรื่อง ปีที่แล้ว ง่าย เพราะคนกลัวกันสุดๆ ดัชนีต่ำ
เรามองเห็นสิ่งที่เลวร้าย ไม่ว่าจะเรื่องภัยแล้ง ซึ่งโดยธรรมชาติ การคาดคะเนจะมากเกินไป
พอเหตุการณ์เกิดจริง อาจจะน้อยกว่า ณ ปีนี้ เป็นเรื่องที่ว่า ตรงกันข้ามปีที่แล้ว
อยู่ในที่สูง แต่ยังไม่ดอย ครั้งแรก คิดว่า 3,000 จุด แต่พอฟังดร กอบศักดิ์ พูด คิดว่า 4,000 จุด
แต่อาจไม่อยู่ถึง วีไอ จะไม่ควรอยู่เฉย ดร นิเวศน์ ควรเปลี่ยนรถ ดร ไพบูลย์ เสริม เปลี่ยนแล้ว
วันเริ่มต้นจากค่อนข้างสูง เราคาดการณ์จากดีที่เกินไป ดัชนีขึ้นเยอะ
แต่พอทำแล้ว ผลออกมาไม่ดี หรือช้ากว่าที่คิด มันเป็นเรื่องยาก ดัชนีสูง อาจรวมเรื่องดีๆไว้แล้ว
ถ้าไม่ตามคาด อาจลงมา หรือ ออกมาตามคาด ก็เป็นช่วงที่พีคสุด และ เริ่มลงได้
ดังนั้นอย่าหลงระเริงเกินไป ข้อดีจากบทวิเคราะห์หลายสำนัก มองดัชนีแค่ 1,600 กว่าๆจุดเอง
ปีนี้เป็นปีที่ท้าทาย และ น่าระวังตัว
ปีนี้อาจปิดต่ำกว่าที่เปิดก็ได้ แต่ต่ำสุดไม่น่าจะต่ำกว่า 1,220 จุด ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของปีที่แล้ว
พื้นฐานของประเทศ เป็นช่วงที่ก่อนที่อะไรจะไป จะกระโดด ต้องย่อก่อน
หมอพงษ์ศักดิ์ พูดเป็นคนต่อมา ส่วนใหญ่ดูดัชนีจะอิงการเติบโตของ GDP ซึ่งโตในระยะยาว 3-4%
ตลาดหลักทรัพย์จะโตเป็น 1.5-2 เท่า ถ้ามาดูว่าตลาดโต 1.5-2 เท่า หมายถึงโต 5-8%
ปีที่แล้ว ตลาดหลักทรัพย์โต 20% ดังนั้นปีนี้ไม่น่าโต 20% ติดต่อกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นปีต่อไปอันตรายมาก
ถ้าดูแล้ว ดัชนีน่าจะทรงๆมากกว่า เพราะปีที่แล้วโตมากกว่าศักยภาพของมัน
ต้องดูปัจจัยอย่างอื่นอีกเยอะ ดัชนีภาพรวมไม่น่าจะโตมากนัก
โดยปกติดัชนีจะโตเข้าใกล้ค่าเฉลี่ย หมายถึงปีนี้น่าโตน้อยลง
ช่วงนี้และต่อไป ดัชนีน่าจะโต 5-8%
คุณประชา มองคล้ายๆกับคุณพีรนาถ และ หมอพงษ์ศักดิ์
ปีที่แล้ว ขึ้นมากกว่าทุกคนคาด โตเกือบ 20% ถือว่าเยอะ แต่ 2 ปีก่อนลงไป 10กว่า%
ถือว่าขึ้นเยอะ แสดงว่าหลายบริษัทราคาขึ้นเยอะมาก
ทำให้ความรู้สึกของนักลงทุนดีขึ้น แต่ราคาได้สะท้อนไปไกลแค่ไหน
ตลาดหุ้น ขึ้น 2 ปี เฉลี่ยจะโต 9-10% ต่อปี
ผมกลับไปดู เลยย้อนกลับไปดู S&P500 เวลาปีไหนบวกเยอะ ปีต่อไปจะลบ
แต่ถ้าย้อนไปก่อนปี 2000 บางช่วง run ยาว มีบวกมาก บวกน้อย ระยเวลา 5-7 ปีเลย
สรุปแล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าปีนี้จะเป็นอย่างไร
ดร ไพบูลย์ บอกว่า ย้อนหลัง 12-14% รวมปันผล แต่หักปันผล เฉลี่ย 8-10%
ดร นิเวศน์ เตรียมข้อมูลมาพูด
ย้อนกลับไป ความจริงในประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ เหตุผลไม่มีความหมาย
จริงๆตลาดหุ้นจะวิ่งเข้าหาค่าเฉลี่ยในระยะยาว สำหรับตลาดหุ้นทั่วโลก
เช่น ผ่านไป 10 ปีวิ่งเกินค่าเฉลี่ย ก็จะมีโอกาสที่หุ้นต่อๆไปอีกหลายปี
จะโตลดลงจากค่าเฉลี่ยจนเข้าสู่ค่าเฉลี่ย
41 ปี ของ SET ขึ้นมา6 % กว่าๆ ถ้ารวมปันผลก็เกือบ 10%
ย้อนหลังไปปี 40 ลดลง 52.7% ปั41 ลดลงไป 4.5%
พอปีไหนลดหนัก จะบวกกลับ 35.5% ในปี42 และ เพิ่มต่อ 44% ในปี43
และ ขึ้นไป 116% ในปี46 ปีต่อมาลด 13% ปี49 ลดไป 4.8%
ใน ปี 51 ลด 47% พอลดแรงๆก็ขึ้น 63% ในปี 52
ปีต่อไปขึ้น 40% ต่อมาลดลงนิดหน่อย ต่อมาขึ้นแรง 35.8%ในปี55
ปี 56 ลง 7% และ ปรับเพิ่มมาในปี57 พอปี58 ปรับลดไป 10กว่า%
ปี59 เพิ่มเกือบ 20%
ดังนั้นปีนี้ ถ้าดูตามสถิติขึ้นซ้ำสองยากมาก ปีก่อนๆต้องลบเยอะๆ
แต่จะลงไม่แรง หรือ บวกนิดหน่อย
คำถามต่อมา คือ ดูกลุ่มเด่นปี60
คุณพีรนาถ บอกว่า ผมดูอสังหาล้วนๆ ตลาดให้PEกลุ่มนี้น้อยเกินไป คนคิด ดอกเบี้ยขึ้น ก็กระทบ
ผมคิดว่า อสังหาเป็นปัจจัยสี่ คุณวิน มองกลุ่มที่สองเป็นอสังหา จ่ายเงินปันผล และโตได้
น่าจะให้PEสูงขึ้น ผมมั่นใจเพราะเข้าใจอสังหามากสุด และ มองว่าราคาถูก
หมอพงษ์ศักดิ์ มองกลุ่มที่น่าสนใจ คือ โอกาสที่ขยายตัวไปต่างประเทศ และ พิสูจน์แล้วว่าสำเร็จ
ปัจจุบันเริ่มเห็นแนวโน้มหลายบริษัทขยายไปต่างประเทศและประสบความสำเร็จ ไม่ได้พึ่งในประเทศอย่างเดียว
กลุ่มที่สอง กลุ่มที่พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง บางบริษัทได้ประโยชน์จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง
บางบริการและสินค้า เช่น ในอดีต พฤติกรรมการบริโภคสินค้าบางอย่างมากขึ้น
บางบริษัท พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปใช้ สังเกตจากรอบข้าง และ สะท้อนในงบการเงิน
เวลาเกิดค่อนข้างเกิดเร็ว มีผลต่อกิจการค่อนข้างชัด
บางครั้ง เราเห็นในช่วงที่เป็นจุดเริ่มของการเปลี่ยนแปลง เราเข้าไปซื้อถ้าราคาไม่แพงมาก
คุณประชา เรื่องกลุ่ม ไม่ได้มองว่ากลุ่มไหนเป็นพิเศษ
เช่น ในกลุ่มน้ำมัน แต่ละบริษัท ก็ไม่เหมือนกัน
หรือแม้แต่บางบริษัทในอุปโภคบริโภค เช่น เครื่องดื่ม ก็ไม่เหมือนกัน จะเป็นการ miss leading
เห็นด้วยกับหมอ จัดกลุ่มเอง เช่น กลุ่มที่ไปขยายในต่างประเทศ หรือ กลุ่มที่ได้ประโยชน์ จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค
ธุรกิจเปลี่ยนแปลงบ้างเพื่อตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป กลุ่มประชากร กลุ่มไหนเยอะกว่า
ในตอนนี้ไปดู สินค้าอะไรที่รองรับ เราควรคิดว่า เมือ่ 30-40 ปีก่อนไม่มี ตอนนี้เยี่ยมมาก แต่อนาคตอาจไม่เยี่ยม
ถ้าผู้บริหารไม่ปรับตัวตามสิ่งที่เปลี่ยนแปลง Generationของคนที่เปลี่ยนแปลงไป
ถ้าเราปรับเปลี่ยนไปตามได้ เราก็อยู่ได้ในระยะยาว
อาจารย์เสน่ห์ ทายออกว่าเป็นกลุ่มโรงพยาบาล เยี่ยมมาก เพราะมีคนไปเยี่ยมผู้ป่วยมาก
เราตีออกแต่อยู่ข้างบนลงมาไม่ทัน
ดร นิเวศน์ ตอนนี้สมถะ หวังน้อยลง เอาหุ้นที่พอกำไรบ้าง แต่มั่นใจ มีปันผล
กลุ่มธนาคาร คุ้ม ปันผล 4% กว่าก็ยังมี ถ้า control NPL ได้กำไรจะมา
ส่วนประเด็นอื่นไม่มี ฐานลูกค้า เงินทุนพอไปได้ ต่างชาติที่มาลงทุน กลัวหุ้นไม่ไปไหนทั้งที่ราคาถูก
ผมกลัว เลยเสียโอกาสไปเยอะ เก็บเงินสดเยอะ ถ้าหุ้นไม่ตก บวกลบนิดหน่อย
ก็ไปลงทุนหุ้นธนาคาร ได้ 3-4% ดีกว่าฝากธนาคารได้แค่ 1% อย่างน้อยได้ปันผล 4-5%
ธนาคารก็ดูแค่ NPL ความแตกต่างระหว่าง ธนาคารใหญ่กับเล็กไม่เยอะ
สุดท้ายก็manageได้ อนาคตก็ชั่งมัน ได้ 4-5% ก็ happy และ คนทิ้งมานานรวมถึงต่างชาติ
ถ้าต่างชาติกลับมา ธนาคารก็เป็นเป้าหมาย
หุ้นสื่อสาร กำไรลดลง แต่ปันผล 4-5% ก็สนใจ แต่รอดูงบก่อนดีกว่า
ตอนนี้พยายามรักษาเงินต้นไว้
รวมถึงกลุ่มสาธารณูปโภค ถ้าราคาลงมานิดนึง ก็สนใจ
ดร ไพบูลย์ ถามว่า ในสายตาวีไอ ปัจจัยอะไรทำให้หุ้นดี และ ปัจจัยอะไรทำให้หุ้นแย่
คุณพีรนาถ ตลาดดีหรือแย่ อยู่ที่ความเชื่อของมวลชน อาจจะผิดก็ได้
มวลชนก็จะไป ตอนนี้มีเรื่องตั๋วบีอี แย่แล้วในตลาด ส่วนใหญ่ไม่มั่นใจ
เพราะบริษัทจะกู้ใหม่มาจ่ายของเก่า จะเกิดปัญหาขึ้นจริงๆ
ผมดูหลักๆ คือ เลือกคนเก่ง ถึงพลาดก็กลับมาได้ เก่งและมีคุณธรรม
ถ้าเก่งแต่ไม่มีคุณธรรม ก็เสี่ยง
กลัวว่า เราไม่รู้จริง แต่คิดว่าเรารู้ เป็นเรื่องสำคัญมาก
ถ้ามาดูตลาด ผมไม่รู้มันไปทางไหน แต่เริ่มจากที่สูง ต้องระวังตัว
วิกฤตคาดไม่ได้ แต่มันมา ต้องประเมินว่ากระทบขนาดไหน
หมอพงษ์ศักดิ์
อิจฉาคุณประชา อายุน้อย ออกทีหลังทุกที
ถามหมอว่า กลัวเรื่องอะไรทำให้มันแย่กว่าที่คิด
หรือ ปัจจัยอะไรที่ทำให้เราตาย
หมอ มองว่า ถ้า FED ขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าตลาดคาด น่าเป็นห่วง ประกาศขึ้น 3 ครั้ง มันไม่แน่นอน
ถ้าขึ้นมากกว่า 3 ครั้ง และ มองว่าปีต่อไปขึ้นเร็วอีก valuation relateกับอัตราดอกเบี้ย
ก็ทำให้ราคาที่คำนวณลดลง คือ เป็นสิ่งที่กลัว
ที่อยากให้เกิด คือ เกษตรกรให้มีรายได้ที่ดีซึ่งเป็นส่วนที่เป็นปัญหาของไทย คือ ถ้ารายได้เกษตรกรดี
ทำให้ภาวะเศรษฐกิจไปได้
คุณประชา ถ้าเอาตามตัวอักษรที่ถาม ภาพ macro ไม่รู้จริงว่าคาดหวังปัจจัยไหน หรือกลัวปัจจัยไหน
ไม่เคยคาดการณ์ถูกเลย เช่น Brexit คาดว่าไม่ออก แต่ ออกจริง และ หนังสือพิมพ์บอกว่า
ถ้าออกจะกระทบมาก ตลาดลงวันเดียว แต่กลับมาได้อย่างรวดเร็ว
ผมเลยสนใจภาค macroน้อยลง
ผมตื่นมา พึ่งรู้ว่ามีเลือกตั้งPresident อเมริกา
และ คาดการณ์ว่า ฮิลลารี่ชนะแน่นอน ข้อมูลจาก วอชิงตัน โพส แต่ปรากฏว่า ทรัมป์ชนะ
ขณะผิดจากการคาดการณ์ ตลาด action 2-3 วัน เอง ตลาดก็กลับมา
เมื่อ 40 ปีก่อน ดอกเบี้ย อยู่ระดับตำ ตลาดหุ้นขึ้น แต่ ดอกเบี้ย ปรับขึ้น ตลาดไม่ได้ลงมากมาย เป็น ไซด์เวย์
ภาพmacro ไม่แย่ แต่บอกว่า เศรษฐกิจ ดีขึ้น เลือกบริษัทที่มีความมั่นคง ปลอดภัย
ภาพรายบุคคล คือ พื้นฐานเปลี่ยนแปลง หรือ ดีกว่าที่เราคิด
เช่น ถ้าเราใส่ใจ macro เกินไป ญี่ปุ่น ดอกเบี้ยต่ำ Aging society ดัชนีปี2530 ตอนนี้ยังไม่ขึ้นมาhighเดิม
ให้ภัทรทำการบ้าน ตอนช่วงดัชนีหุ้น ญี่ปุ่นลงใน 30 ปี
ช่วง15 ปีแรก ดัชนีลงจาก high 60% หุ้นที่ขึ้น Top 20 บวกเป็น 100% คือ Konami บริษัทผลิตเกมชื่อดัง
ประวัติบริษัท มีเกมดังมากมาย
Unicharm ทำ มัมมี่ โป๊โก๊ะ ก็โตมากมาย
บริษัท แคนนอน บวกมา 100กว่า %
ช่วง15 ปีต่อมา ในช่วงปี 2000-2015 ดัชนีขึ้นมา 80% แต่หุ้นขึ้นมา 40กว่าเท่า ได้แก่บริษัทที่ทำ healthcare , internet base
บริษัทผลิตรองเท้า ASICS ที่โตมาก ราคาขึ้นมา 20 เท่า สืบหาข้อมูลลึกเข้าไป ปรากฏว่าเป็นเจ้าของรองเท้า Onitsuka Tiger
ซึ่งใครไปญี่ปุ่นต้องฝากซื้อ บริษัทก่อตั้งมา 60 ปี โดยตระกูล Onitsuka
Isuzu motor
Uniqlo ไม่ติด Top rating แต่ราคาขึ้น 10 เท่า ในรอบ 15 ปี เฉลี่ย 17-18% ต่อปีทบต้น มี market cap หนึ่งล้านล้านบาท เทียบกับ หุ้นบริษัท ASICS แค่หลักแสนล้านบาทเอง แต่การที่บริษัท Uniqlo จะประสบความสำเร็จจนถึงวันนี้
เมื่อก่อน ก็ล้มลุกคลุกคลานมาหลายรอบ แรกเริ่มทำเสื้อผ้าสำหรับผู้ชาย ตอนหลังปรับเปลี่ยนมาทำทั้งเสื้อผ้าสำหรับชายหญิง ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จ และ ขยายธุรกิจไปต่างประเทศ
ดังนั้นไม่ว่าภาค Macro จะเป็นอย่างไร ต้องติดตามเป็นรายบริษัททั้งที่อยู่ในอุตสาหกรรมสาหกรรมเดียวกัน แต่ก็มีลักษณะธุรกิจที่ไม่เหมือนกัน มนุษย์ต้องมีการปรับตัว ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถอยู่รอดได้ ราคาหุ้นจะสะท้อนไปตามผลประกอบการของบริษัท
ดร ไพบูลย์ สรุปให้ว่า ภาพใหญ่ ไม่สำคัญเท่ากับภาพเล็ก เราไม่มองภาพ Macro
ดร นิเวศน์ กล่าวว่า จากประวัติศาสตร์ อิทธิพลต่อตลาดหุ้นโดยรวมคือ เงินเฟ้อ และ อัตราดอกเบี้ยไปด้วยกัน
ถ้าดอกเบี้ย เงินเฟ้อ แกว่ง ราคาหุ้นจะตกหนัก
ถ้าดอกเบี้ย เงินเฟ้อ ต่ำ ราคาหุ้นจะขึ้น
วิกฤตการเงิน หรือ สงครามที่เกิดขึ้นชั่วคราว อาจเกิดการขายชั่วคราว เช่น สงครามอ่าวเปอร์เซีย หรือ ทรัมป์ได้เป็น
ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ราคาหุ้นที่ตกลงมาก็กลับขึ้นอย่างรวดเร็วในไม่นาน
แต่อัตราดอกเบี้ย เกิดจาก น้ำมันแพง เงินเฟ้อสูง ทำให้ดอกเบี้ยขึ้นสูง หุ้นจะตกนาน สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คืออัตราดอกเบี้ย
ตอนนี้ ดัชนีอุตสาหกรรมสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) ทะลุ 20,000 จุด แล้ว แต่ ตอนนั้นดอกเบี้ยต่ำมาก ปีที่แล้ว ขึ้นมาช่วงธันวาคม
0.25% คนไม่แน่ใจว่าจะขึ้นต่อ ถ้าขึ้นดอกเบี้ยต่อในปีนี้ 3 ครั้ง อันนี้น่ากลัว (นอกจากขึ้นแค่ 1 ครั้งในปีนี้ ไม่น่ากลัว)
คนเริ่มจับตาว่าเป็นดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น จะกระทบไปทั่วโลก
ปัจจัยที่มากระทบอีกตัว กระทบปีต่อปี คือ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ปีไหนดี หุ้นขึ้น
ปีไหนแย่ หุ้นลง ภาพใหญ่ถูกควบคุมโดยอัตราดอกเบี้ย
ดร ไพบูลย์ ให้วิทยากรให้คะแนนสำหรับตลาดหุ้นไทยในปี 2560
คุณพีรนาถ ปีที่แล้ว ให้คะแนน 7.5 ปีนี้ภาพระยะยาวไม่น่ามีปัญหา ดัชนีน่าจะอยู่ในช่วง 1430-1690
เลยให้คะแนน สัก 6.5 จะได้คานกับคะแนนของดร นิเวศน์ ที่คาดว่าจะให้ 4 คะแนน
คุณประชา ปีที่แล้วให้ 7 คะแนน มองบวก การลงทุนพอไปได้ แต่อย่าประมาท ให้ 6 คะแนนในปีนี้
หมอพงษ์ศักดิ์ ปีที่แล้วให้ 5 คะแนน มองว่า ภาพรวม มีปัจจัยบวก ลบ คละกัน ตลาดหุ้นไม่ถูกไม่แพง
ให้คะแนนกลางๆ คาน คุณพีรนาถ เท่ากับ 5 คะแนน
ดร นิเวศน์ ปีที่แล้ว ให้ 4 คะแนน ปีนี้ก็ให้เท่าเดิม คือ 4 คะแนน ปีที่แล้วขึ้นมาเกือบ 20% ปีนี้น่าจะลงหน่อย
ดร ไพบูลย์ พูดตบท้ายว่า คะแนนที่ให้ของแต่ละวิทยากร เป็นคะแนนจากความรู้สึก เราให้ข้อมูลแก่ท่านและท่านเป็นผู้ตัดสินใจสุดท้าย
สุดท้ายขอขอบคุณ ดร ไพบูลย์ อาจารย์เสน่ห์ หมอเค น้องจ๋า น้องรี่ น้องบิ๊ก คุณนุช ทีมงาน Moneytalk ทุกท่าน
รวมถึงวิทยากรทั้ง 3 section ที่มาให้ความรู้กับพวกเรามากๆครับ
ขอขอบคุณ CIMB ที่เป็น สปอนเซอร์สำหรับการจัดสัมมนา Moneytalk ครั้งนี้ด้วยครับ
ขอขอบคุณ คุณสันติ ที่ช่วยเจรจาค่าเช่าสถานที่จัดงาน Moneytalk ได้ราคาที่ถูกตลอดปีนี้ด้วยครับ
ช่วงที่ 1 สัมมนา หัวข้อ "เศรษฐกิจและการลงทุนปี 60”
1)ดร.อมรเทพ จาวะลา
ผู้อำนวยการสำนักวิจัย บมจ. ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย
2) คุณ เกษม พันธ์รัตนมาลา
Head of Research บล. ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด
3)คุณ วิน พรหมแพทย์
ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ. ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จำกัด
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
Money talk เดือนหน้า จอง วันเสาร์ที่11 กุมภาพันธ์ งานจัดวันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์
ช่วงที่1 เป็นบริษัทจดทะเบียน 3-4 บริษัทที่เป็นบริษัทดีๆมาให้ข้อมูล
ช่วงที่2 กองทุนมองหุ้นไทยปี60
คุณตู่ วรวรรณ คุณ สมจินต์ ศรไพศาล และ คุณ บัณฑิต จาก บริษัท เอไอเอ ซึ่งเป็นกองทุนขนาดใหญ่มาก
อาจารย์เสน่ห์เสียสละเวลาอันมีค่ามาให้กับพวกเรา อาจารย์เสริมว่าดีกว่าเสียหุ้น
เดือนมีนาคม อาจมีพบเซียน ให้อาจารย์เสน่ห์สัมภาษณ์ จัดสรรเงินอย่างไร
คุณ วิน แนะนำให้ Scan QR code ที่โบว์ชัวร์ ของ CIMB สามารถดูรายละเอียดของการสัมมนาได้
ซึ่งผมได้สแกนดูจะได้ไฟล์ ข้อมูลแนวคิดการลงทุนแบบ Smart Dividend และ หลักเกณฑ์การเลือก
หุ้นเข้า port ของ กองทุน CIMB-Principle Thai Dynamic Income Equity Fund ( TDIF )
รายละเอียดคุณวินจะพูดในช่วงท้ายของsectionแรกครับ
อาจารย์เสน่ห์ อวยพรปีใหม่ในตอนต้นของรายการ กลอนนี้เขียนสดๆตอนแต่งหน้าก่อนเข้ารายการ
ปีไก่ไม่จับแพะ
ปีไก่แระ แพะไม่จับ
ปีไก่เมาไม่ขับ
ปีไก่ครับขับไม่โทร
ปีไก่ไม่โดนปล้น
ปีไก่พ้นคนโมโห
ปีไก่ไม่พลาดโชว์
ปีไก่โซให้หมดไป
ปีไก่ไม่ติดดอย
ปีไก่ง่อยค่อยสดใส
ปีไก่ได้กำไร
ปีไก่ไทยให้รุ่งเรือง
คุณวิน พูดถึง กองทุน iprop RMF ได้ผลตอบแทนเมื่อปีที่แล้ว 25% ผลประกอบย้อนหลัง
สามปี เป็นอันดับหนึ่ง และกองทุน LTF , RMF ของเราติด Top Ten หมด
ส่วนกองตราสารหนี้ ที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และ ตราสารหนี้เอกชน ก็ติดTop ratingด้วย
ดร ไพบูลย์เริ่มก่อนว่า หลังทรัมป์ชนะ หุ้นขึ้น แต่พอปีใหม่ ไม่แน่ใจ ปีนี้โลกมีความเสี่ยงมากสุด
หลังสงครามโลกครั้งที่2 จริงๆแล้วโลกจะเสี่ยงหรือไม่
ดร อมรเทพ ตอบว่า เศรษฐกิจเสี่ยงทุกปี และ ไทยจะอยู่กับความเสี่ยงได้หรือไม่เป็นโจทย์ที่สำคัญ
ดูภาพเศรษฐกิจ ปีไก่ เป็นไก่สายรุ้ง อาจารย์เสน่ห์เสริม Rainbow chicken
สีรุ้ง ได้แก่ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง
บางส่วนอึมครึม บางส่วนยังมีความสดใส
มาดูสีอึมครึมก่อน
1. สีม่วง ตัวแปรที่อึมคริม คือ การส่งออก เมื่อทรัมป์มา มีนโยบายกีดกันการค้า
มีผลต่อจีน ส่งออกลดลง เศรษฐกิจชะลอตัว
ไทย ส่งออกเราติดลบมา3ปีซ้อน ปี 60 การส่งออกติดลบเป็นปีที่5หรือเปล่า ผู้ส่งออกต้องระมัดระวัง
2. สีคราม อาจอีมคริมน้อยหน่อย คือ การลงทุนภาคเอกชน ติดลบมา3 ปีซ้อน ปีทีแล้วก็เสี่ยงติดลบเป็นปีที่สี่
แม้มีนโยบายภาครัฐมาสนับสนุน เศรษฐกิจโลกไม่ดีนัก มีเงินแต่ไม่ลงทุน ขาดความเขื่อมั่น
3. สีน้ำเงิน ครัวเรือน รายได้ระดับล่าง และ กลุ่ม SME
ครัวเรือนเจอปัญหาภัยแล้งในปีที่แล้ว และ ปีนี้เจอน้ำท่วม กำลังซื้อในระดับต่ำ
ยังไม่สามรถมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจรอกลางปีเสียก่อน
ส่วน SME ปีที่แล้วซึมปีนี้ต้องรอดู
4. สีเขียว ครัวเรือนที่มีรายได้สูง และ กลาง มีกำลังซื้อ แต่เขื่อมั่นระดับต่ำ มีสัดส่วนไม่เยอะแต่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ
ยังไม่ลงทุน และ ใช้จ่าย ทำให้multiplier ไม่ไป
คนมีเงิน อยากใช้ ทำได้ แต่ยังไม่มีความเชื่อมั่น ไทยจะเกิดอะไรในอนาคต
5. สีเหลือง เป็นเรื่อง อัตราดอกเบี้ย และค่าเงิน เศรษฐกิจโตได้ 3% ไม่ได้เร่งอะไร ดังนั้นแนวโน้มดอกเบี้ยของ กนง 1.5%
ดอกเบี้ยน่าจะคงอยู่ระดับนี้ตลอดปีนี้ ค่าเงินน่าจะอ่อน ส่วนสหรัฐถ้าขึ้น3 ครั้งก็ได้ 1.5% เท่ากับดอกเบี้ยของไทย
ทำให้มีโอกาสเงินไหลออกจากไทยในช่วงปลายปี แต่หุ้นจะตกหรือไม่ขึ้นกับกำลังซื้อหุ้นของคนในประเทศ
6. สีแสด ตัวขับเคลื่อนคือ การลงทุนในภาครัฐ โครงการขนาดใหญ่น่าจะมา ทำให้การลงทุนภาคเอกชนมีกำลังใจมากขึ้น โครงการหลายอันน่าจะมาใน Q1/2
7. สีแดง อยู่ที่การท่องเที่ยว ปีที่แล้ว โต 10% คนต่างชาติมาเที่ยว 32.5-33 ล้านคน ได้นักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพมากขึ้น เช่น ยุโรป รัสเซีย
ส่วนที่กระทบจากต่างประเทศ การส่งออกมีความเสี่ยงจาก Frenexit และ นโยบายของทรัมป์
ฝั่งขวาของฝรั่งเศสเป็นชาตินิยม อาจเปลี่ยนโผเป็นออกจากอียูอีกรายนึง ช่วงในความไม่แน่นอน
อาจหยุดลงทุน ทำให้การส่งออกไม่ดี
ถาม ดร อมรเทพ กลัวปัจจัยอะไรที่ทำให้ GDP ไม่โต
ดร อมรเทพ ตอบว่า คือ ความเชื่อมั่น ที่ผ่านมาศักยภาพของไทยดีแต่เราไม่อยากลงทุน
ถึงแม้มีเงิน การลงทุนใหม่ไม่เกิดเป็นเวลานาน ทุกอย่างไหลที่ไปเวียดนามและประเทศอื่นๆ
หวังว่าทุกคนดูโอกาส และ ลงทุนผ่านความเชื่อมั่น
ส่วนตัวที่ดึงให้เศรษฐกิจโตคือ เราหวังตลาดโลกมากกว่า การส่งออกมีผลต่อGDP ตลาดโลกดี จีน ก็โตได้
ประเทศไทยก็ได้อานิสงค์ ตอนนี้จีนมีปัญหามาหลายปี แต่โตได้ 6% ชะลอต่อเนื่อง
ต้องยอมรับและปรับตัวในส่วนการส่งออก และ หาตลาดใหม่ให้ได้
ทรัมป์เอง พยายามจะให้โลกรู้ว่าจีนกังวลต่อสหรัฐ แต่กลับกันต้องมองว่าสหรัฐก็ต้องกังวัล
กับจีนด้วย จีนเทขายพันธบัตรสหรัฐอย่างต่อเนื่อง
มันจะส่งผลต่อต้นทุนการทำธุรกิจของสหรัฐ ทำให้ข้าวของราคาแพงขึ้น ถ้าไม่ใช้จีนเป็นฐานการผลิตต่อ
สหรัฐก็พึ่งจีน 20%มาจากจีน ถ้าขึ้นภาษีคนสหรัฐก็เดือดร้อน เป็นทฤษฎีเกม
ทุกคนอยากต่อรองกัน สหรัฐได้ประโยชน์มากขึ้น แต่จีนก็ได้ประโยชน์ด้วย
ถามคุณเกษมสำหรับทิศทางหุ้นในปี60
คุณเกษมคิดว่าปีนี้ผันผวนพอสมควร downsideมีพอสมควรจากปีที่แล้วขึ้นมา 20% เราขึ้นมาเยอะสุดในภูมิภาค
สาเหตุหลัก ต่างชาติซื้อสุทธิมาตลอด ปีที่แล้วต่างชาติซื้อเยอะ ถามว่ากทำไมมองบวก ก็เพราะสภาพคล่องเยอะ
ส่งออกไม่ค่อยโต แต่นำเข้าลดลงมาก Current accoutเพิ่มมาเยอะ ช่วยsupportค่าเงินให้มีเสถียรภาพกว่าเพื่อนบ้าน
ทำให้นักลงทุนต่างชาติมาซื้อหุ้นไม่ต้องกังวลค่าเงินมากนัก
ทรัมป์มารับตำแหน่งอาทิตย์หน้า จะพูดดอกเบี้ยบลัฟให้อีกข้างมาเจรจา ทำให้ช่วงหน้าผันผวนพอสมควร
ตลาดหุ้น US outperform ยุโรปก็ขึ้นมาเยอะ แต่ไทยไม่เยอะ
ปีนี้มีการจัด Thailand corporate day มีนักลงทุนมามากกว่าปีที่แล้ว
โดยรวมเป็นนักลงทุนในภูมิภาคนี้ มีความสนใจหุ้นไทย
ส่วนใหญ่เป็น สิงค์โปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง บางทีมีกองทุนยุโรปและสหรัฐที่มี office ใน เอเชีย
ปัจจัย drive คือ สภาพคล่องสูง current account surplus แต่gapน้อยลง แต่ยังมีภาษีดีกว่าเพื่อนบ้าน
การเลือกตั้งปลายปีของไทยน่าจะมีโอกาสเกิดน้อย
ทำให้ไม่มีปัญหาทางการเมือง เศรษฐกิจก็โตไม่ต่ำกว่าปีที่แล้ว
เราศึกษาหุ้น100กว่าตัว กำไรที่คาดการณ์โต15%ในปีนี้ ปีที่แล้วเพิ่มมา 12%
ดัชนีปีที่แล้วขึ้นมาเยอะ มาจากปลายปี 58 หุ้นสื่อสาร ธนาคาร และ พลังงาน ลงมาหนัก
ทำให้ตลาดลงเยอะ แต่ต้นปีที่แล้ว ดัชนีกลับขึ้นมาเยอะ
ปีนี้เราเป็นmajor ipo มีตัวใหญ่ TPIPL Power เป็นโรงไฟฟ้าทางเลือก
และ BGrimm power เข้าตลาด
กลุ่มที่จะมาในช่วง3เดือนข้างหน้าผันผวน เน้นหุ้นปันผลสูง เช่น Telecom , Property บางตัว
หุ้น LH, ปูนกลาง ,advance หุ้น utility กลุ่มไฟฟ้าทั้งหลาย
หุ้นเด่น เป็นหุ้นกลุ่มปันผลสูง
ถาม เลือกหุ้นตัวเดียวเลือกหุ้นตัวไหน
คุณเกษมตอบว่า เป็น Planb เพราะค่าโฆษณาจะเข้ามาปีนี้
แต่ไม่แนะนำลงตัวเดียว ให้กระจายความเสี่ยงไปลงหุ้นหลายตัว เช่น หุ้น consumer พื้นฐานขึ้นมาเยอะ
ได้แก่ TKN แต่บางกลุ่มไม่ค่อยขึ้นเช่น Media ปรับลงเยอะ แต่ไม่ใช่ กลุ่มDigitalครับ ซึ่งลำบากกว่า Media
เช่น Planb , VGI เพราะตัวเลขติดลบน้อยลง แต่ถ้า Rabbit card นิยมมากจะส่งผลดีต่อ VGI
คุณวิน เคยคุมการลงทุนที่กองทุนประกันสังคมเป็นระยะเวลา 13 ปี จำนวนเงินที่ลงทุน 1.3 ล้านล้านบาท
ก่อนมาคุมเงินของบลจ CIMB 82,000 ล้านบาทในตอนเริ่มต้น ตอนนี้ขนาดกองทุนขึ้นไปที่ 1.3 แสนล้านบาท
กองทุน มีสินค้าได้แก่ กองทุนตราสารหนี้ หุ้น และ ทางเลือก เราชำนาญทั้ง 3 ด้าน
กองทุนหุ้น เราติด Top ten ส่วนตราสารหนี้ ลงทุนภาครัฐ และ เอกชน Top เหมือนกัน
iprop หลายคนชอบมาก ได้มากกว่า 20% ย้อนหลัง 3 ปี เราได้ที่ 1 แต่เราไม่แนะนำให้มีตัวเดียว
ให้จัดผสมกันในport ควรมี ตราสารหนี้ หุ้น และ ทางเลือก อยู่ด้วยกัน
ปีนี้วันเด็ก บลจเลยมีคำขวัญบ้าง เป็น 4 Theme ในการลงทุน
1.โครงสร้างพื้นฐานนำหน้า
2.อสังหาสร้างรายได้
3.หุ้นไทยปันผลดี
4.เกาะกระแสเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก
มาเริ่มลงรายละเอียดในละTheme
Themeแรก โครงสร้างพื้นฐานนำหน้า US ใช้ infra เป็นต้วนำ
บ้านเราก็มีโครงสร้างพื้นฐาน เป็นตัวขับเคลื่อน
ปีที่แล้ว เราออกกองต่างประเทศได้ 10% up
Themeที่2 อสังหาสร้างรายได้ เงินเฟ้อจะมาปีนี้
ต่างประเทศเงินเฟ้อขึ้น ค่าเช่าขึ้น แต่บ้านเราเงินเฟ้อเพิ่ม แต่ค่าเช่าไม่ค่อยเพิ่ม มีyield 6%
Global Riet yield ไม่เยอะ แต่ค่าเช่าเพิ่ม 5-6% เราจะออก Global riet ในเดือนหน้า
ระดมทุนคนไทยไปซื้ออสังหาในโลก
Themeที่3 หุ้นไทยปันผลดี
เงินจะไหลเข้าหุ้นปันผล หุ้นไทยไปได้โดยเป็นหุ้นปันผลที่โดดเด่น
Themeที่4 เกาะกระแสเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก
หุ้นเทคโนโลยีจะกลับมาในปีนี้ online gaming,online payment
เราก็เตรียมกองใหม่มาเกาะกระแสนี้
กองหุ้นปันผลดี จะเปิดกองทุนในเดือนนี้ เราไม่เคยมีกองปันผลมาก่อน เชื่อว่าดอกเบี้ยต่ำ
10ปีที่ผ่านมา เอาหุ้นไทย เรียงจากปันผลเยอะไปน้อย เอาหุ้นไทยที่มีปันผลสูงในport
ได้ 440%ใน10 ปี แต่SET100 โตแค่220% portจำลองชนะset100 2 เท่า
เราทำconcept smart dividend ปันผลแบบฉลาด
การคัดกรองหุ้น 4 ชั้น
1 CG 3 ขึ้นไป ได้หุ้นมาทั้งหมด 400ตัว
2 คัดปันผลเยอะสุด ได้หุ้น 80 ตัว
3.ใช้เกณฑ์ที่ว่าหุ้นมีปันผลในอนาคต คาดประมาณใน 5 ปีข้างหน้าโตต่อเนื่อง เหลือหุ้น 60 ตัว ธุรกิจมั่นคง
4. ใช้เกณฑ์ที่หุ้นต้องเก็บเงินไว้ลงทุนต่อส่วนนึง เพื่อเดิบโตในอนาคตเหลือหุ้นแค่ 40 ตัว
Sector ที่ได้ คือ อสังหาริมทรัพย์ และ Leasing
Sectorของเรากระจายกว่า Sectorที่เยอะสุด คือ
1. Utility ไฟฟ้า ประปา สาธารณูปโภค ได้เงินสดเข้ามาประจำ
กลายเป็นปันผลระยะยาว
2 อสังหาริมทรัพย์ เราเลือกกลุ่มที่ขายบ้าน และ officeให้เช่า มีรายได้ประจำ
นอกจากนี้ บริโภคในประเทศ บริษัทผลิตเพื่อส่งออก
ผลออกมา มี utility เป็นหลัก อสังหา ธนาคารขนาดกลาง
และเราลงทุนจริง 25 ตัว แต่ 40 ตัวเป็น Universeซึ่งสอดรับกับคุณเกษม
มูลค่า ตลาด RMF, LTF แค่หลายแสนล้านไม่ได้เยอะถ้าเปรียบกับขนาดกองทุนประกันสังคม
ต้นปี คนกลับมาซื้อหุ้นมาก ปกติคนเข้ามาซื้อตอนปลายปี แต่ผันผวนเลยทยอยซื้อ
ปีที่แล้ว ขึ้นตลอด เลยมาซื้อตอนปลายปีพอสมควร บลจ เห็นว่าต้นปีนี้อาจมีการขาย เลยเก็บเงิน
ไว้บางส่วนตอนปลายปีที่แล้ว เพื่อรองรับการไถ่ถอน
กลับมา หุ้นที่ลง 20 กว่าตัว ที่คุณวินพูดถึง
CIMB-Principle Thai Dynamic Income Equity Fund ( TDIF ) หรือ กองทุน smart dividend
จะได้ผลคือปันผลเฉลี่ย 5% ปกติหุ้นปันผลเฉลี่ย 3% ต่อปี
PE ratio ต่ำกว่าปกติ คือ 12 เท่า ตอนนี้ PE เฉลี่ย 15 เท่า
หุ้นปันผล 5% แต่ Growth เฉลี่ย 10% ซึ่งถือว่าไม่เลว ได้จากการมีเงินเหลือไปลงทุนทำให้โตต่อได้
แสดงบริษัทเหล่านี้ margin ต้องเยอะ ไปลงทุนต่อได้ เป็น concept ของ smart dividend
IPO 19 มค เป็นต้นไป ถึง 27 มค 2017 ขั้นต่ำ 5,000 บาท เตรียมไว้ 3,000 ล้านบาท
ปันผลปีละ 2 ครั้ง แต่จดไว้ว่าปันผลไม่ต่ำกว่าปีละ1 ครั้ง
ถามคุณวิน คนที่จองซื้อ เหมาะกับใครบ้าง
คุณวิน บอกว่า ออกแบบให้เหมาะกับทุกคน ปันผลดีช่วยให้เรามีรายได้ประจำ ผลตอบแทนสุทธิ
มีความเสถียรมากขึ้น PE ต่ำกว่าปกติ ผันผวนน้อยกว่าเพราะเป็นUtility
แต่แนะนำให้จัดพอร์ตด้วย มีให้ครบกอง
ดร ไพบูลย์ถาม คาดว่าผลตอบแทนเท่าไหร่
คุณวิน ตอบว่า คาดหวังจากเงินปันผล 5% ถ้าเรารับมา 5% เราก็จ่ายคืนให้ผู้หน่วยหมด
ช่องทางการจัดจำหน่าย แนะนำติดต่อ ธนาคาร CIMB thai ทั่วประเทศ
สนใจเพิ่มเติม ติดต่อที่เบอร์ 02-686-9595
มีpromotion 1-4 ล้านบาท ได้ ล้านละ 300 บาท เป็นกองทุน treasury
แต่ถ้ามากกว่า ได้ 500 บาท ต่อ 1 ล้านบาท
ถามคุณวินต่อว่า การลงทุนในกองทุน ได้ประโยชน์อะไรบ้าง
คุณวิน ตอบ หุ้นมี downside riskน้อย และ upsideเยอะ ผมค่อนข้างระมัดระวัง ไม่ไปไล่ราคา
ถ้าราคาขึ้นไปเยอะจะถือเงินสดรอดีกว่า หุ้นปันผล จะเหมาะในช่วงหุ้นผันผวน
ดร อมรเทพ สรุป ปีนี้โตต่อเนื่องจากปีที่แล้ว 3.2% แต่มีผันผวนระหว่าง
ภายนอกผันผวนมากกว่าในประเทศ
คุณวิน copy สีรุ้งของผม
สีคราม การลงทุนของภาคเอกชน
สีเหลือง corporate ธุรกิจขนาดใหญ่ มีเงินลงทุน
ดอกเบี้ยต่ำ นั่งทับเงินสด เลยมาปันผลดีกว่า
สีแดง cimb group มีความเชี่ยวชาญ ในการบริหารกองทุน และ หุ้น รวมถึงวิเคราะห์เศรษฐกิจ
คุณเกษม คิดว่า ใน 2-3 เดือนข้างหน้าผันผวนสูง
แต่เป็นโอกาสเลือกหุ้นได้ในราคาที่ถูก
เศรษฐกิจ อาจไม่โตดีมาก ตอนนี้เราดูจาก consensus
FED ขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้ง การค้าโลกอาจไม่สดใส จากจีนทุ่มส่งออกไปส่วนอื่น
พอถ้าดอกเบี้ยขึ้นน้อย เงินเข้าตลาดเงินเยอะ ครึ่งปีหลังมีโอกาสมากกว่า
เรามองว่าปีหน้า หุ้นกลุ่ม infrastructure ผู้รับเหมา
คนได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อน เช่น ส่งออก ท่องเที่ยว
Sector ที่แย่ในปีที่แล้วคือ กลุ่มโฆษณา น่าจะดีในปีนี้
ช่วงที่ 2 สัมมนา หัวข้อ“เศรษฐกิจไทยในปี 2560”
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
อาจารย์เสน่ห์ พูดถึงคำขวัญจาก CIMB แล้วในแง่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สอดคล้องกันหรือเปล่า
อยากฟังโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรมสาหกรรม 4.0 คนไทย 4.0 เราหวังได้ GDP 4.0 ด้วย
ดร กอบศักดิ์ บอกว่ามาครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งใหม่
อยากมาพูดว่าในปีที่ผ่านมาที่ไปช่วยรัฐบาล มาเล่าให้เข้าใจถึงความตั้งใจของรัฐบาล
คนชอบถามว่า Thailand 4.0 ตั้งแต่เมื่อไหร่
Thailand 4.0 ได้แก่ยุคที่ 1-4 ดังนี้
1.0 ยุคเกษตร ดั้งเดิม
2.0 ยุคอุตสาหกรรมสาหกรรมเบา รองเท้า สิ่งทอ เฟอร์นิเจรอ์
3.0 ยุคอุตสาหกรรมหนัก ได้แก่ ปิโตรเคมี รถยนต์ ปูนซิเมนต์
4.0 ยุคอุตสาหกรรมที่ใช้นวัตกรรม เป็นยุคใหม่ที่ทำมาหากินบน ปัญญา ความคิดของเรา เช่น ทุเรียน มาทำผงทุเรียน และ ชงดื่มได้เลย
อยากเข้มข้น ทำขนมทุเรียนได้เลย อย่าไปขายของเดิมๆ ไม่ต้องขายยางพาราแบบเดิม
พยายามสร้างมูลค่าให้กับสินค้าเดิม
ปีที่แล้ว จัดงาน start up Thailand คนมาเต็มศูนย์สิริกิต์ คนที่มาเปิดบูธ ก็มาอธิบายให้ ดร กอบศักดิ์ฟัง
อยากเป็นผู้ประกอบธุรกิจ เช่น AFTER YOU 1ร้านมีมูลค่า 500 ล้านบาท ของเดิมๆหามุมใหม่ ดีกว่าเดิม
พอคนชอบ ก็มีมูลค่ามากขึ้น รัฐบาลคิดว่า ไทยยุคใหม่เป้นอย่างไร
1 โครงสร้างพื้นฐานใหม่
2. อุตสาหกรรมสาหกรรมใหม่ 4.0
3. คนไทยยุคใหม่ 4.0
เรื่องที่ 1 บริษัทขนาดใหญ่บอกว่า เป็นปีทองของก่อสร้างไทย เคยโดนหลอกมา 7 รัฐบาล
เมื่อ 10 ปีก่อน เมื่อก่อน ซื้อหุ้นก่อสร้าง ไม่เคยขึ้น รายได้ไม่เข้า เพราะไม่เกิด
1. เมื่อครึ่งปีก่อน เริ่มเกิดขึ้น 4G เรารอมา จนลาวเกิดมาก่อน ตอนนั้นเรายัง 3G
ตอนนี้เรามี 4 G ทั้งมือถือและเครือข่าย
2. สนามสุวรรณภูมิ phase II เริ่มสร้าง หลังจากมีแผนมาหลายปี
3.รถไฟทางคู่ เราเป็นประเทศแรกในเอเชียมีรถไฟสมัย รัชกาลที่5 พร้อมกับญี่ปุ่น หลังจากนั้น 150 ปีผ่านไปยังไม่มีโครงการใหม่เกิดขึ้น
ปีที่แล้ว มีแผน 1,000 กม 7 เส้นทาง มาบกระเบา-จิระ ประมูลปลายปี 58 หลังจากนั้น 2 เดือน เริ่มสร้าง ตอนนี้ไปถึงขอนแก่น
รถไฟรางคู่ ทำให้รถไฟสวนทางกันได้ เมื่อก่อน 8 ชม วิ่งได้ไม่กี่กิโลเมตร ปีนี้อนุมัติเพิ่มเติมอีก
รถไฟใต้ดินเรามีก่อนคนอื่น เซี่ยงไฮ้มาขอดูงาน แต่ตอนนี้เราขอไปดูงานที่เซียงไฮ้ที่ลงไป 10 เส้นทางแล้ว
ปีที่แล้วประมูลไปแล้ว สายสีเหลือง ส้ม ชมพู
สีแดงเข้ม สีแดงอ่อนมาในปีนี้ ทุกคนไม่ต้องรอรถไฟฟ้าอีกต่อไป
4. โครงการmotor way เกิดขึ้น จนก่อสร้างบอกว่า รับงานไม่ทัน แสดงว่าทำงานไม่ทัน
รถไฟความเร็วสูง จีนคุยเส้นโคราช ต้องใช้เวลานิด ปี 2020 น่าจะสร้างแน่
นอกจากโครงสร้างพื้นฐานใหม่ เมื่อก่อน จังหวัด เชียงราย นครพนม แม่ฮ่องสอน ไม่ค่อยคึกคัก
ตอนนี้ นครพนม มีสะพานมิตรภาพ ไทย ลาว สร้าง 2011 ปีแรกการค้า 5 พันล้าน
5 ปีผ่านมา การค้าเพิ่มเป็น 1 แสนล้าน กลายเป็นจังหวัดหน้าด่าน ไปสู่อินโดจีน เช่น พม่า
เมืองจีนพัฒนาประเทศ เน้นlogistic ไทยกำลังทำเหมือนจีนตอนนั้น
เรื่องที่สอง ทำอุตสาหกรรมสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐาน ต่อไปจะลง internet ตามหมู่บ้านต่างๆ
โดยใช้เงินจากประมูล 4G ประมาณ 20,000 กว่าล้านบาท ไปลงinternet ทุกหมู่บ้านในต่างจังหวัดไกลๆ
เราเตรียมการ E-commerce เราติดต่อ แจ๊กหม่า ให้มาช่วยเรื่องนี้
คุณแจ็กหม่า ไม่เคยลืมคนจน เขาบอกว่าเมื่อ 17 ปีก่อน สอบเข้ามหาลัยตั้ง3 ครั้ง และยังตกงานอยู่
แต่ตั้งใจเอาเทคโนโลยีมาช่วยทำ E-commerce สำหรับ SME รายย่อย
ต่อไปสินค้าไทยไม่ต้องผ่านคนกลาง ไปสู่ผู้บริโภคโดยตรง
อุตสาหกรรมสาหกรรม มีความสำคัญ
เมื่อก่อนตัดสินใจถูก 2 เรื่อง คือ เราไม่ได้ทำรถยนต์เอง เราเลยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถปิกอัฟ
เราทำปิโตรเคมี จนโชติช่วงชัชวาล
ต่อไป เราต้องสร้างอุตสาหกรรม ที่ออกดอกออกผลในอนาคต
-โครงการ EEC เราปรับปรุง Eastern seaboard เป็นจุดยุทธศาสตร์
มีท่าเรือน้ำลึก มีสนามบินอู่ตะเภา เป็นศูนย์ซ่อมอากาศยานที่ใใหญ่สุดในภูมิภาค
Airbusสนใจมาก เพราะ ตอนนี้มีที่สิงคโปร์ แต่เครื่องลงยาก เสียเวลาเพิ่ม 2 ชม
-ทำยานยนต์ไฟฟ้า
-Robotic
-ปิโตรเคมีชั้นสูง
เราจะมีอุตสาหกรรมสาหกรรมใหม่ เช่น อาหารสุขภาพ แต่เราต้องก้าวไปข้างหน้า
ส่วนอุตสาหกรรมสาหกรรมเก่า บางอย่างต้องปล่อยมันไป เช่น อุตสาหกรรมสาหกรรมสิ่งทอ
มันเป็นปกติของโลก เมื่อก่อนก็ย้ายจากสหรัฐมาไทย ตอนนี้ไป เวียดนาม บังคลาเทศ
และ เรานำสิ่งยากๆมาทำแทน เช่น ยานยนต์ ไฟฟ้า หรือ อิเลคทรอนิสต์ชั้นสูง ทำให้เราก้าวหน้าไปได้
เราบินไปต่างประเทศ เพื่อชักชวนนักลงทุนต่างประเทศมาลงทุนในไทย เช่น Michelin
บางแห่งทำอุตสาหกรรม เช่น อายิโนโมโต๊ะ จะทำให้สูงขึ้น
แม้กระทั่งข้าว เราไม่ขายแบบเดิม เช่น แป้งผัดหน้าทำจากข้าว ไม่กระทบต่อผิวพรรณ
ถาม ดร กอบศักดิ์ เราวางแผนมากมาย แต่ปีหน้าเลือกตั้ง จะมาพิจารณาใหม่หรือเปล่า
เราเตรียมไว้อย่างไร
ดร ตอบว่า จะพยายามทำในปีนี้หรือปีหน้า รถไฟฟ้าได้ 4-5 สาย ที่เหลือจะทำภายในปีนี้
รัฐบาลใหม่ก็มาจ่ายเงินอย่างเดียว
สนามบินสุวรรณภูมิ 60,000 ล้านบาท เมื่อ 6 ปีก่อน ผ่านมาจนถึงตอนนี้ราคากลับถูกลง 28%
ถ้าเราทำปีนี้ ปีหน้า จะถูกลง 20-30%
โครงการสำคัญ จะประมูลให้เรียบร้อยในปีนี้ ทุกคนได้โครงสร้างใหม่
คนไทย โตแค่ 3 % จากเมื่อก่อนโต 8 % ทุกคนบอกว่า เป็น new normal
แต่ประเทศฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ทำไมโต6% เพราะว่า ไทยไม่มีอุตสาหกรรมสาหกรรมใหม่
เหมือนกับ โนเกีย ทนไม้ทนมือแต่ว่าเวลาที่โลกเปลี่ยนแปลง แต่ยังทำเหมือนเดิม ดังนั้นโตน้อย ขายของเก่า
เหมือนไทย ขายของเดิม ถ้าเราทำอุตสาหกรรมใหม่ได้ ไทยมี แพลตฟอร์มใหม่โตต่อไปได้
ปีนี้ ปีหน้า จะโตในช่วง 3-4% แต่เราไม่ประกาศ GDP สูง เพราะ เราอยู่ในช่วงเตรียมตัว ไม่ใช่เร่งเครื่องเกินไปแต่โตเท่าเดิม
ดังนั้น ปีนี้เอาเศรษฐกิจพอไปได้ แต่ไปขับเคลื่อนอุตสาหกรรมใหม่ ทำโครงสร้างพื้นฐานใหม่
ทำแหลมฉบัง อู่ตะเภา ทำ EEC
โครงการเหล่านี้ นักลงทุนมองว่าเป็นไปได้ ตัวอุตสาหกรรม และ แหลมฉบัง มีอยู่แล้วแค่ต่อยอดออกไป
ช่วงที่3 สัมมนา หัวข้อ “กลยุทธ์วีไอในปี 2560”
1)ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผู้เชี่ยวชาญหุ้น
2)คุณ พีรนาถ โชควัฒนา
นักลงทุนเน้นคุณค่า
3)คุณ ประชา ดำรงค์สุทธิพงศ์
นักลงทุนเน้นคุณค่า
4)นพ.พงษ์ศักดิ์ ธรรมธัศอารี
นักลงทุนเน้นคุณค่า
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
ช่วงเดือนมีนาคม จะพบ3นายกสมาคมเน้นหุ้นคุณค่า ได้แก่ อดีตนายกสมาคม คุณธันวา และ คุณโจ ลูกอีสาน
นายกสมาคมหุ้นเน้นคุณค่าคนปัจจุบัน คุณชาย มโนภาส และ ดร นิเวศน์
วันนี้คุณโจมาร่วมงานไม่ได้ เพราะไปผ่าตัดนิดหน่อยและมาเจอกับเราในเดือน มีนาคมแทน
อาจาย์เสน่ห์ พูดถึง คำขวัญวันเด็ก
หลังผ่าน 7 วัน อันตราย ถ้าจะปลอดภัย ควรฟังคำขวัญด้านล่าง
ติดกล้องหน้ารถ
งดฉี่ในผลับ
ขับผ่านมินิ
โจรจี้อย่าสู้
รถตู้อย่าขึ้น
มีคนต่อให้ในโซเชียล
อย่าฝืนลุงตู่
อย่าเป็นกิ๊กตำรวจ
อาจารย์เสน่ห์ แนะนำเป็นคำกลอนที่เตรียมอย่างดี
สวัสดีปีไก่ หุ้นไทยแกว่ง
หรือแข็งแกร่งไปต่อข้อสงสัย
จะดีปีแย่ปีมีเลศนัย
เอายังงัยใคร่รู้กูรูเซียน
วีไอพี่พีรนาถไม่คาดเคลื่อน
คอยย้ำเตือนการลงทุนแม้หุ้นเปลี่ยน
กลยุทธ์ข้อกำหนดคือบทเรียน
อย่านั่งเทียนคิดมโนโอ้สาวน้อย
วีไอพระประชาพูดจานิด
แต่ความคิดเรื่องลงทุนคุณใช่ย่อย
เน้นคุณค่า ผลสัมฤทธิ์ไม่ติดดอย
ใช่ลาภลอยแต่ฝีมือคือของจริง
วีไอหมอพงษ์ศักดิ์นักเล่นกล้าม
เก่งความงามเก่งลงทุนหุ้นยอดยิ่ง
สร้างบิ๊กพอร์ตเติบใหญ่ไม่ประวิง
ไม่เคยทิ้งหลักวีไอใช้ลงทุน
วีไอพ่อดอนิเวศน์ สำเร็จสูตร
คอยพร่ำพูด หลักวีไอไว้เกื้อหนุน
ผ่านวิกฤตมากมายไม่เซซุน
จะมองหุ้นปีไก่ให้ท่านฟัง
วีไอโจลูกอีสานท่านนั้นป่วย
เอาใจช่วยให้ท่านหายสมใจหวัง
ให้แข็งแรงกลับมาดีมีพลัง
กลับมาปังก้าววิถีแห่งวีไอ
ดอไพบูลย์พูนเพิ่มเติมคำถาม
ออเหน่ตามซ้ำชัดพร้อมจัดให้
เปิดกลยุทธ์ปีระกาน่าสนใจ
ฟังรุ่นใหญ่ให้แนวคิดพิชิตชัย
เวทีนี้มีport รวมกัน 3-4 หมื่นล้าน เงินเก็บไว้ลูกหลานหรือทำบุญ
แต่ละท่านไม่เคยลืมตัว เป็นตัวอย่างให้คนอื่นได้
เริ่มเข้าเรื่อง กลยุทธ์วีไอ ปี 2560
วันนี้วีไอที่มาได้พิสูจน์อย่างต่อเนื่อง
ดร นิเวศน์ ตอบท้ายรายการ
เริ่มจากคุณพีรนาถ มองหุ้นในปี60อย่างไร
คุณพีบอกว่า ก่อนเริ่มสัมมนาคุยนอกรอบก่อน ว่าใครโดนก่อน ซึ่งเป็นผมตลอด
อารมณ์ปีนี้เทียบกับปีที่แล้ว คนละเรื่อง ปีที่แล้ว ง่าย เพราะคนกลัวกันสุดๆ ดัชนีต่ำ
เรามองเห็นสิ่งที่เลวร้าย ไม่ว่าจะเรื่องภัยแล้ง ซึ่งโดยธรรมชาติ การคาดคะเนจะมากเกินไป
พอเหตุการณ์เกิดจริง อาจจะน้อยกว่า ณ ปีนี้ เป็นเรื่องที่ว่า ตรงกันข้ามปีที่แล้ว
อยู่ในที่สูง แต่ยังไม่ดอย ครั้งแรก คิดว่า 3,000 จุด แต่พอฟังดร กอบศักดิ์ พูด คิดว่า 4,000 จุด
แต่อาจไม่อยู่ถึง วีไอ จะไม่ควรอยู่เฉย ดร นิเวศน์ ควรเปลี่ยนรถ ดร ไพบูลย์ เสริม เปลี่ยนแล้ว
วันเริ่มต้นจากค่อนข้างสูง เราคาดการณ์จากดีที่เกินไป ดัชนีขึ้นเยอะ
แต่พอทำแล้ว ผลออกมาไม่ดี หรือช้ากว่าที่คิด มันเป็นเรื่องยาก ดัชนีสูง อาจรวมเรื่องดีๆไว้แล้ว
ถ้าไม่ตามคาด อาจลงมา หรือ ออกมาตามคาด ก็เป็นช่วงที่พีคสุด และ เริ่มลงได้
ดังนั้นอย่าหลงระเริงเกินไป ข้อดีจากบทวิเคราะห์หลายสำนัก มองดัชนีแค่ 1,600 กว่าๆจุดเอง
ปีนี้เป็นปีที่ท้าทาย และ น่าระวังตัว
ปีนี้อาจปิดต่ำกว่าที่เปิดก็ได้ แต่ต่ำสุดไม่น่าจะต่ำกว่า 1,220 จุด ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของปีที่แล้ว
พื้นฐานของประเทศ เป็นช่วงที่ก่อนที่อะไรจะไป จะกระโดด ต้องย่อก่อน
หมอพงษ์ศักดิ์ พูดเป็นคนต่อมา ส่วนใหญ่ดูดัชนีจะอิงการเติบโตของ GDP ซึ่งโตในระยะยาว 3-4%
ตลาดหลักทรัพย์จะโตเป็น 1.5-2 เท่า ถ้ามาดูว่าตลาดโต 1.5-2 เท่า หมายถึงโต 5-8%
ปีที่แล้ว ตลาดหลักทรัพย์โต 20% ดังนั้นปีนี้ไม่น่าโต 20% ติดต่อกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นปีต่อไปอันตรายมาก
ถ้าดูแล้ว ดัชนีน่าจะทรงๆมากกว่า เพราะปีที่แล้วโตมากกว่าศักยภาพของมัน
ต้องดูปัจจัยอย่างอื่นอีกเยอะ ดัชนีภาพรวมไม่น่าจะโตมากนัก
โดยปกติดัชนีจะโตเข้าใกล้ค่าเฉลี่ย หมายถึงปีนี้น่าโตน้อยลง
ช่วงนี้และต่อไป ดัชนีน่าจะโต 5-8%
คุณประชา มองคล้ายๆกับคุณพีรนาถ และ หมอพงษ์ศักดิ์
ปีที่แล้ว ขึ้นมากกว่าทุกคนคาด โตเกือบ 20% ถือว่าเยอะ แต่ 2 ปีก่อนลงไป 10กว่า%
ถือว่าขึ้นเยอะ แสดงว่าหลายบริษัทราคาขึ้นเยอะมาก
ทำให้ความรู้สึกของนักลงทุนดีขึ้น แต่ราคาได้สะท้อนไปไกลแค่ไหน
ตลาดหุ้น ขึ้น 2 ปี เฉลี่ยจะโต 9-10% ต่อปี
ผมกลับไปดู เลยย้อนกลับไปดู S&P500 เวลาปีไหนบวกเยอะ ปีต่อไปจะลบ
แต่ถ้าย้อนไปก่อนปี 2000 บางช่วง run ยาว มีบวกมาก บวกน้อย ระยเวลา 5-7 ปีเลย
สรุปแล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าปีนี้จะเป็นอย่างไร
ดร ไพบูลย์ บอกว่า ย้อนหลัง 12-14% รวมปันผล แต่หักปันผล เฉลี่ย 8-10%
ดร นิเวศน์ เตรียมข้อมูลมาพูด
ย้อนกลับไป ความจริงในประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ เหตุผลไม่มีความหมาย
จริงๆตลาดหุ้นจะวิ่งเข้าหาค่าเฉลี่ยในระยะยาว สำหรับตลาดหุ้นทั่วโลก
เช่น ผ่านไป 10 ปีวิ่งเกินค่าเฉลี่ย ก็จะมีโอกาสที่หุ้นต่อๆไปอีกหลายปี
จะโตลดลงจากค่าเฉลี่ยจนเข้าสู่ค่าเฉลี่ย
41 ปี ของ SET ขึ้นมา6 % กว่าๆ ถ้ารวมปันผลก็เกือบ 10%
ย้อนหลังไปปี 40 ลดลง 52.7% ปั41 ลดลงไป 4.5%
พอปีไหนลดหนัก จะบวกกลับ 35.5% ในปี42 และ เพิ่มต่อ 44% ในปี43
และ ขึ้นไป 116% ในปี46 ปีต่อมาลด 13% ปี49 ลดไป 4.8%
ใน ปี 51 ลด 47% พอลดแรงๆก็ขึ้น 63% ในปี 52
ปีต่อไปขึ้น 40% ต่อมาลดลงนิดหน่อย ต่อมาขึ้นแรง 35.8%ในปี55
ปี 56 ลง 7% และ ปรับเพิ่มมาในปี57 พอปี58 ปรับลดไป 10กว่า%
ปี59 เพิ่มเกือบ 20%
ดังนั้นปีนี้ ถ้าดูตามสถิติขึ้นซ้ำสองยากมาก ปีก่อนๆต้องลบเยอะๆ
แต่จะลงไม่แรง หรือ บวกนิดหน่อย
คำถามต่อมา คือ ดูกลุ่มเด่นปี60
คุณพีรนาถ บอกว่า ผมดูอสังหาล้วนๆ ตลาดให้PEกลุ่มนี้น้อยเกินไป คนคิด ดอกเบี้ยขึ้น ก็กระทบ
ผมคิดว่า อสังหาเป็นปัจจัยสี่ คุณวิน มองกลุ่มที่สองเป็นอสังหา จ่ายเงินปันผล และโตได้
น่าจะให้PEสูงขึ้น ผมมั่นใจเพราะเข้าใจอสังหามากสุด และ มองว่าราคาถูก
หมอพงษ์ศักดิ์ มองกลุ่มที่น่าสนใจ คือ โอกาสที่ขยายตัวไปต่างประเทศ และ พิสูจน์แล้วว่าสำเร็จ
ปัจจุบันเริ่มเห็นแนวโน้มหลายบริษัทขยายไปต่างประเทศและประสบความสำเร็จ ไม่ได้พึ่งในประเทศอย่างเดียว
กลุ่มที่สอง กลุ่มที่พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง บางบริษัทได้ประโยชน์จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง
บางบริการและสินค้า เช่น ในอดีต พฤติกรรมการบริโภคสินค้าบางอย่างมากขึ้น
บางบริษัท พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปใช้ สังเกตจากรอบข้าง และ สะท้อนในงบการเงิน
เวลาเกิดค่อนข้างเกิดเร็ว มีผลต่อกิจการค่อนข้างชัด
บางครั้ง เราเห็นในช่วงที่เป็นจุดเริ่มของการเปลี่ยนแปลง เราเข้าไปซื้อถ้าราคาไม่แพงมาก
คุณประชา เรื่องกลุ่ม ไม่ได้มองว่ากลุ่มไหนเป็นพิเศษ
เช่น ในกลุ่มน้ำมัน แต่ละบริษัท ก็ไม่เหมือนกัน
หรือแม้แต่บางบริษัทในอุปโภคบริโภค เช่น เครื่องดื่ม ก็ไม่เหมือนกัน จะเป็นการ miss leading
เห็นด้วยกับหมอ จัดกลุ่มเอง เช่น กลุ่มที่ไปขยายในต่างประเทศ หรือ กลุ่มที่ได้ประโยชน์ จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค
ธุรกิจเปลี่ยนแปลงบ้างเพื่อตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป กลุ่มประชากร กลุ่มไหนเยอะกว่า
ในตอนนี้ไปดู สินค้าอะไรที่รองรับ เราควรคิดว่า เมือ่ 30-40 ปีก่อนไม่มี ตอนนี้เยี่ยมมาก แต่อนาคตอาจไม่เยี่ยม
ถ้าผู้บริหารไม่ปรับตัวตามสิ่งที่เปลี่ยนแปลง Generationของคนที่เปลี่ยนแปลงไป
ถ้าเราปรับเปลี่ยนไปตามได้ เราก็อยู่ได้ในระยะยาว
อาจารย์เสน่ห์ ทายออกว่าเป็นกลุ่มโรงพยาบาล เยี่ยมมาก เพราะมีคนไปเยี่ยมผู้ป่วยมาก
เราตีออกแต่อยู่ข้างบนลงมาไม่ทัน
ดร นิเวศน์ ตอนนี้สมถะ หวังน้อยลง เอาหุ้นที่พอกำไรบ้าง แต่มั่นใจ มีปันผล
กลุ่มธนาคาร คุ้ม ปันผล 4% กว่าก็ยังมี ถ้า control NPL ได้กำไรจะมา
ส่วนประเด็นอื่นไม่มี ฐานลูกค้า เงินทุนพอไปได้ ต่างชาติที่มาลงทุน กลัวหุ้นไม่ไปไหนทั้งที่ราคาถูก
ผมกลัว เลยเสียโอกาสไปเยอะ เก็บเงินสดเยอะ ถ้าหุ้นไม่ตก บวกลบนิดหน่อย
ก็ไปลงทุนหุ้นธนาคาร ได้ 3-4% ดีกว่าฝากธนาคารได้แค่ 1% อย่างน้อยได้ปันผล 4-5%
ธนาคารก็ดูแค่ NPL ความแตกต่างระหว่าง ธนาคารใหญ่กับเล็กไม่เยอะ
สุดท้ายก็manageได้ อนาคตก็ชั่งมัน ได้ 4-5% ก็ happy และ คนทิ้งมานานรวมถึงต่างชาติ
ถ้าต่างชาติกลับมา ธนาคารก็เป็นเป้าหมาย
หุ้นสื่อสาร กำไรลดลง แต่ปันผล 4-5% ก็สนใจ แต่รอดูงบก่อนดีกว่า
ตอนนี้พยายามรักษาเงินต้นไว้
รวมถึงกลุ่มสาธารณูปโภค ถ้าราคาลงมานิดนึง ก็สนใจ
ดร ไพบูลย์ ถามว่า ในสายตาวีไอ ปัจจัยอะไรทำให้หุ้นดี และ ปัจจัยอะไรทำให้หุ้นแย่
คุณพีรนาถ ตลาดดีหรือแย่ อยู่ที่ความเชื่อของมวลชน อาจจะผิดก็ได้
มวลชนก็จะไป ตอนนี้มีเรื่องตั๋วบีอี แย่แล้วในตลาด ส่วนใหญ่ไม่มั่นใจ
เพราะบริษัทจะกู้ใหม่มาจ่ายของเก่า จะเกิดปัญหาขึ้นจริงๆ
ผมดูหลักๆ คือ เลือกคนเก่ง ถึงพลาดก็กลับมาได้ เก่งและมีคุณธรรม
ถ้าเก่งแต่ไม่มีคุณธรรม ก็เสี่ยง
กลัวว่า เราไม่รู้จริง แต่คิดว่าเรารู้ เป็นเรื่องสำคัญมาก
ถ้ามาดูตลาด ผมไม่รู้มันไปทางไหน แต่เริ่มจากที่สูง ต้องระวังตัว
วิกฤตคาดไม่ได้ แต่มันมา ต้องประเมินว่ากระทบขนาดไหน
หมอพงษ์ศักดิ์
อิจฉาคุณประชา อายุน้อย ออกทีหลังทุกที
ถามหมอว่า กลัวเรื่องอะไรทำให้มันแย่กว่าที่คิด
หรือ ปัจจัยอะไรที่ทำให้เราตาย
หมอ มองว่า ถ้า FED ขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าตลาดคาด น่าเป็นห่วง ประกาศขึ้น 3 ครั้ง มันไม่แน่นอน
ถ้าขึ้นมากกว่า 3 ครั้ง และ มองว่าปีต่อไปขึ้นเร็วอีก valuation relateกับอัตราดอกเบี้ย
ก็ทำให้ราคาที่คำนวณลดลง คือ เป็นสิ่งที่กลัว
ที่อยากให้เกิด คือ เกษตรกรให้มีรายได้ที่ดีซึ่งเป็นส่วนที่เป็นปัญหาของไทย คือ ถ้ารายได้เกษตรกรดี
ทำให้ภาวะเศรษฐกิจไปได้
คุณประชา ถ้าเอาตามตัวอักษรที่ถาม ภาพ macro ไม่รู้จริงว่าคาดหวังปัจจัยไหน หรือกลัวปัจจัยไหน
ไม่เคยคาดการณ์ถูกเลย เช่น Brexit คาดว่าไม่ออก แต่ ออกจริง และ หนังสือพิมพ์บอกว่า
ถ้าออกจะกระทบมาก ตลาดลงวันเดียว แต่กลับมาได้อย่างรวดเร็ว
ผมเลยสนใจภาค macroน้อยลง
ผมตื่นมา พึ่งรู้ว่ามีเลือกตั้งPresident อเมริกา
และ คาดการณ์ว่า ฮิลลารี่ชนะแน่นอน ข้อมูลจาก วอชิงตัน โพส แต่ปรากฏว่า ทรัมป์ชนะ
ขณะผิดจากการคาดการณ์ ตลาด action 2-3 วัน เอง ตลาดก็กลับมา
เมื่อ 40 ปีก่อน ดอกเบี้ย อยู่ระดับตำ ตลาดหุ้นขึ้น แต่ ดอกเบี้ย ปรับขึ้น ตลาดไม่ได้ลงมากมาย เป็น ไซด์เวย์
ภาพmacro ไม่แย่ แต่บอกว่า เศรษฐกิจ ดีขึ้น เลือกบริษัทที่มีความมั่นคง ปลอดภัย
ภาพรายบุคคล คือ พื้นฐานเปลี่ยนแปลง หรือ ดีกว่าที่เราคิด
เช่น ถ้าเราใส่ใจ macro เกินไป ญี่ปุ่น ดอกเบี้ยต่ำ Aging society ดัชนีปี2530 ตอนนี้ยังไม่ขึ้นมาhighเดิม
ให้ภัทรทำการบ้าน ตอนช่วงดัชนีหุ้น ญี่ปุ่นลงใน 30 ปี
ช่วง15 ปีแรก ดัชนีลงจาก high 60% หุ้นที่ขึ้น Top 20 บวกเป็น 100% คือ Konami บริษัทผลิตเกมชื่อดัง
ประวัติบริษัท มีเกมดังมากมาย
Unicharm ทำ มัมมี่ โป๊โก๊ะ ก็โตมากมาย
บริษัท แคนนอน บวกมา 100กว่า %
ช่วง15 ปีต่อมา ในช่วงปี 2000-2015 ดัชนีขึ้นมา 80% แต่หุ้นขึ้นมา 40กว่าเท่า ได้แก่บริษัทที่ทำ healthcare , internet base
บริษัทผลิตรองเท้า ASICS ที่โตมาก ราคาขึ้นมา 20 เท่า สืบหาข้อมูลลึกเข้าไป ปรากฏว่าเป็นเจ้าของรองเท้า Onitsuka Tiger
ซึ่งใครไปญี่ปุ่นต้องฝากซื้อ บริษัทก่อตั้งมา 60 ปี โดยตระกูล Onitsuka
Isuzu motor
Uniqlo ไม่ติด Top rating แต่ราคาขึ้น 10 เท่า ในรอบ 15 ปี เฉลี่ย 17-18% ต่อปีทบต้น มี market cap หนึ่งล้านล้านบาท เทียบกับ หุ้นบริษัท ASICS แค่หลักแสนล้านบาทเอง แต่การที่บริษัท Uniqlo จะประสบความสำเร็จจนถึงวันนี้
เมื่อก่อน ก็ล้มลุกคลุกคลานมาหลายรอบ แรกเริ่มทำเสื้อผ้าสำหรับผู้ชาย ตอนหลังปรับเปลี่ยนมาทำทั้งเสื้อผ้าสำหรับชายหญิง ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จ และ ขยายธุรกิจไปต่างประเทศ
ดังนั้นไม่ว่าภาค Macro จะเป็นอย่างไร ต้องติดตามเป็นรายบริษัททั้งที่อยู่ในอุตสาหกรรมสาหกรรมเดียวกัน แต่ก็มีลักษณะธุรกิจที่ไม่เหมือนกัน มนุษย์ต้องมีการปรับตัว ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถอยู่รอดได้ ราคาหุ้นจะสะท้อนไปตามผลประกอบการของบริษัท
ดร ไพบูลย์ สรุปให้ว่า ภาพใหญ่ ไม่สำคัญเท่ากับภาพเล็ก เราไม่มองภาพ Macro
ดร นิเวศน์ กล่าวว่า จากประวัติศาสตร์ อิทธิพลต่อตลาดหุ้นโดยรวมคือ เงินเฟ้อ และ อัตราดอกเบี้ยไปด้วยกัน
ถ้าดอกเบี้ย เงินเฟ้อ แกว่ง ราคาหุ้นจะตกหนัก
ถ้าดอกเบี้ย เงินเฟ้อ ต่ำ ราคาหุ้นจะขึ้น
วิกฤตการเงิน หรือ สงครามที่เกิดขึ้นชั่วคราว อาจเกิดการขายชั่วคราว เช่น สงครามอ่าวเปอร์เซีย หรือ ทรัมป์ได้เป็น
ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ราคาหุ้นที่ตกลงมาก็กลับขึ้นอย่างรวดเร็วในไม่นาน
แต่อัตราดอกเบี้ย เกิดจาก น้ำมันแพง เงินเฟ้อสูง ทำให้ดอกเบี้ยขึ้นสูง หุ้นจะตกนาน สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คืออัตราดอกเบี้ย
ตอนนี้ ดัชนีอุตสาหกรรมสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) ทะลุ 20,000 จุด แล้ว แต่ ตอนนั้นดอกเบี้ยต่ำมาก ปีที่แล้ว ขึ้นมาช่วงธันวาคม
0.25% คนไม่แน่ใจว่าจะขึ้นต่อ ถ้าขึ้นดอกเบี้ยต่อในปีนี้ 3 ครั้ง อันนี้น่ากลัว (นอกจากขึ้นแค่ 1 ครั้งในปีนี้ ไม่น่ากลัว)
คนเริ่มจับตาว่าเป็นดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น จะกระทบไปทั่วโลก
ปัจจัยที่มากระทบอีกตัว กระทบปีต่อปี คือ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ปีไหนดี หุ้นขึ้น
ปีไหนแย่ หุ้นลง ภาพใหญ่ถูกควบคุมโดยอัตราดอกเบี้ย
ดร ไพบูลย์ ให้วิทยากรให้คะแนนสำหรับตลาดหุ้นไทยในปี 2560
คุณพีรนาถ ปีที่แล้ว ให้คะแนน 7.5 ปีนี้ภาพระยะยาวไม่น่ามีปัญหา ดัชนีน่าจะอยู่ในช่วง 1430-1690
เลยให้คะแนน สัก 6.5 จะได้คานกับคะแนนของดร นิเวศน์ ที่คาดว่าจะให้ 4 คะแนน
คุณประชา ปีที่แล้วให้ 7 คะแนน มองบวก การลงทุนพอไปได้ แต่อย่าประมาท ให้ 6 คะแนนในปีนี้
หมอพงษ์ศักดิ์ ปีที่แล้วให้ 5 คะแนน มองว่า ภาพรวม มีปัจจัยบวก ลบ คละกัน ตลาดหุ้นไม่ถูกไม่แพง
ให้คะแนนกลางๆ คาน คุณพีรนาถ เท่ากับ 5 คะแนน
ดร นิเวศน์ ปีที่แล้ว ให้ 4 คะแนน ปีนี้ก็ให้เท่าเดิม คือ 4 คะแนน ปีที่แล้วขึ้นมาเกือบ 20% ปีนี้น่าจะลงหน่อย
ดร ไพบูลย์ พูดตบท้ายว่า คะแนนที่ให้ของแต่ละวิทยากร เป็นคะแนนจากความรู้สึก เราให้ข้อมูลแก่ท่านและท่านเป็นผู้ตัดสินใจสุดท้าย
สุดท้ายขอขอบคุณ ดร ไพบูลย์ อาจารย์เสน่ห์ หมอเค น้องจ๋า น้องรี่ น้องบิ๊ก คุณนุช ทีมงาน Moneytalk ทุกท่าน
รวมถึงวิทยากรทั้ง 3 section ที่มาให้ความรู้กับพวกเรามากๆครับ
ขอขอบคุณ CIMB ที่เป็น สปอนเซอร์สำหรับการจัดสัมมนา Moneytalk ครั้งนี้ด้วยครับ
ขอขอบคุณ คุณสันติ ที่ช่วยเจรจาค่าเช่าสถานที่จัดงาน Moneytalk ได้ราคาที่ถูกตลอดปีนี้ด้วยครับ
- วิมานดิน
- Verified User
- โพสต์: 170
- ผู้ติดตาม: 0
Re: MoneyTalk@SET 14 มกราคม 2560
โพสต์ที่ 3
ผมได้ไปฟังสัมมนา Moneytalk@SET ครั้งนี้เป็นครั้งแรก แล้วรู้สึกประทับใจ งานออกมาได้สมบูรณ์แบบ
ขอขอบคุณ ดร.ไพบูลย์ และทีมงาน Money Talkทุกท่าน รวมทั้งวิทยากรทุกท่านด้วยครับ
ขอขอบคุณ พี่อมร ที่สรุปเนื้อหามาให้พวกเราได้อ่านครับ
หมายเหตุ ;
- ครั้งนี้เสียดายนิดนึง ตรงที่คุณโจ ลูกอิสาน ไม่ได้มาร่วมงาน เพราะไปผ่าตัด (ขอให้หายไวๆครับ)
- ผมเข้าใจดีว่ายุคนี้เทคโนโลยีทำให้เราสะดวกขึ้น เราจะเลือกฟังการสัมมนาจากทาง facebook หรือ youtube ก็ได้
แต่การที่ผมได้ไปฟังสัมมนาที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้ได้พบเจอ และได้ฟังความรู้จากวิทยากรตัวจริง
อีกทั้ง ครั้งนี้ได้พบนักลงทุนหลายท่านด้วย เช่น คุณชาย มโนภาส คุณณัฐชาต คำศิริตระกูล รวมทั้งนักลงทุนที่เป็นสมาชิกสมาคมหุ้นเน้นคุณค่า
ซึ่งไปร่วมฟังสัมมนาครั้งนี้ด้วย มันก็รู้สึกดีกว่าอยู่บ้านแล้วฟังจากคลิปครับ
ขอชื่นชมMoney Talk ครับ โอกาสหน้าจะไปฟังอีก ขอบคุณมากครับ
ขอขอบคุณ ดร.ไพบูลย์ และทีมงาน Money Talkทุกท่าน รวมทั้งวิทยากรทุกท่านด้วยครับ
ขอขอบคุณ พี่อมร ที่สรุปเนื้อหามาให้พวกเราได้อ่านครับ
หมายเหตุ ;
- ครั้งนี้เสียดายนิดนึง ตรงที่คุณโจ ลูกอิสาน ไม่ได้มาร่วมงาน เพราะไปผ่าตัด (ขอให้หายไวๆครับ)
- ผมเข้าใจดีว่ายุคนี้เทคโนโลยีทำให้เราสะดวกขึ้น เราจะเลือกฟังการสัมมนาจากทาง facebook หรือ youtube ก็ได้
แต่การที่ผมได้ไปฟังสัมมนาที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้ได้พบเจอ และได้ฟังความรู้จากวิทยากรตัวจริง
อีกทั้ง ครั้งนี้ได้พบนักลงทุนหลายท่านด้วย เช่น คุณชาย มโนภาส คุณณัฐชาต คำศิริตระกูล รวมทั้งนักลงทุนที่เป็นสมาชิกสมาคมหุ้นเน้นคุณค่า
ซึ่งไปร่วมฟังสัมมนาครั้งนี้ด้วย มันก็รู้สึกดีกว่าอยู่บ้านแล้วฟังจากคลิปครับ
ขอชื่นชมMoney Talk ครับ โอกาสหน้าจะไปฟังอีก ขอบคุณมากครับ
ฉันรัก Money Talk
-
- Verified User
- โพสต์: 30
- ผู้ติดตาม: 0
Re: MoneyTalk@SET 14 มกราคม 2560
โพสต์ที่ 5
Thanks ka
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: MoneyTalk@SET 14 มกราคม 2560
โพสต์ที่ 7
ยินดีค่ะ...โอกาสหน้าไปฟังอีกบ่อยๆ นะคะ ^^วิมานดิน เขียน:ผมได้ไปฟังสัมมนา Moneytalk@SET ครั้งนี้เป็นครั้งแรก แล้วรู้สึกประทับใจ งานออกมาได้สมบูรณ์แบบ
ขอขอบคุณ ดร.ไพบูลย์ และทีมงาน Money Talkทุกท่าน รวมทั้งวิทยากรทุกท่านด้วยครับ
ขอขอบคุณ พี่อมร ที่สรุปเนื้อหามาให้พวกเราได้อ่านครับ
หมายเหตุ ;
- ครั้งนี้เสียดายนิดนึง ตรงที่คุณโจ ลูกอิสาน ไม่ได้มาร่วมงาน เพราะไปผ่าตัด (ขอให้หายไวๆครับ)
- ผมเข้าใจดีว่ายุคนี้เทคโนโลยีทำให้เราสะดวกขึ้น เราจะเลือกฟังการสัมมนาจากทาง facebook หรือ youtube ก็ได้
แต่การที่ผมได้ไปฟังสัมมนาที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้ได้พบเจอ และได้ฟังความรู้จากวิทยากรตัวจริง
อีกทั้ง ครั้งนี้ได้พบนักลงทุนหลายท่านด้วย เช่น คุณชาย มโนภาส คุณณัฐชาต คำศิริตระกูล รวมทั้งนักลงทุนที่เป็นสมาชิกสมาคมหุ้นเน้นคุณค่า
ซึ่งไปร่วมฟังสัมมนาครั้งนี้ด้วย มันก็รู้สึกดีกว่าอยู่บ้านแล้วฟังจากคลิปครับ
ขอชื่นชมMoney Talk ครับ โอกาสหน้าจะไปฟังอีก ขอบคุณมากครับ
คงรู้สึกเหมือนกันนะคะ...เวลาได้พบเจอ IDOL แล้วรู้สึกมีพลัง
เป็นมาตั้งแต่เริ่มลงทุน...ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ค่ะ ^^