งานสัมมนาVI 2/60 Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI?
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
งานสัมมนาVI 2/60 Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI?
โพสต์ที่ 1
สรุปสัมมนางานสังสรรค์ VI ประจำปี 2560 ครั้งที่ 2 - 9/9/60
Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI จะเป็นอย่างไร เมื่อเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนโลก
วิทยากร
คุณลงทุนแมนที่เขียนบทความดีๆให้นักลงทุนอ่านมาตลอดห้าเดือน
คุณตู้ หรือ นายมานะ เจ้าของเพจSnowball และ กรรมการสมาคมนักลงทุนหุ้นคุณค่า ประเทศไทย
พิธีกร คุณบอล กรรมการสมาคมนักลงทุนหุ้นคุณค่า ประเทศไทย และ ผู้เชี่ยวชาญตลาดหุ้นเวียดนาม
หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นการเสริมจากผู้สรุปเองครับ ถ้าผิดพลาดประการใดขออภัยมาณ ที่นี้ครับ
.ในช่วงที่คุณตู้พูด ผมได้นำบทความของคุณตู้ที่เคยเขียนมาเพิ่มเติม เพื่อสร้างความเข้าใจเนื้อหามากขึ้น
และมีLinkเพื่อจะได้ติดตามข้อมูลเพิ่มเติม ส่วนของคุณลงทุนแมนสามารถติดตามเพจของลงทุนแมนได้โดยตรงครับ
Q:มองเทคโนโลยีในอนาคตอย่างไร?
คุณตู้ออกตัวก่อนอธิบายว่าสิ่งที่จะพูดวันนี้เป็นเรื่องในอนาคต จึงอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ ถ้าไม่ถูกต้องขออภัยล่วงหน้า
เมื่อสองปี เคยบอกว่า Platform youtube , Facebook live ,Netflix จะทำให้ในอนาคต platform TV มี value ลดลง
แต่ตอนนั้นก็มีคนโต้แย้ง เพราะไม่มีตัวเลขมายืนยัน มาวันนี้ถ้าดูจากตัวเลข Market share ของ TV น่าจะเห็นว่าลดลงจากเดิมจริง
เมื่อ 2 ปีก่อน พูดเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าEVและรถยนต์ไร้คนขับAV
หลายคนก็ไม่เชื่อ บางคนบอกว่าเป็นเรื่องลวงโลก
บางคนไปเชื่อว่ารถไฮโดรเจนมีโอกาสมากกว่า แค่เติมน้ำก็วิ่งได้แล้ว
ตอนที่ผมพูด ไม่ค่อยมีคนพูด ผมอาจพูดเร็วเกินไป(พูดก่อนเวลาที่เกิด)
ตอนนี้พอพูดถึงรถยนต์ไฟฟ้าคนเชื่อมากขึ้น และ รู้จักอีรอน มัสก์กันมากขึ้นกว่าเดิมมาก
ปีก่อนพูดเรื่องAI ทำให้เกิดdisrupt แรงงานลดลงมหาศาล
และแรงงานถูกทดแทนด้วยRobot
มีคำถามโต้แย้งว่าร้อยปีที่ผ่านมา คนไม่เคยตกงาน เครื่องจักรยังไม่สามารถทดแทนคนได้
เคยโพสในwebboardthaiviว่ากล้องDSLRหรือ MLR อาจถูกทดแทนด้วยกล้องมือถือในอนาคตข้างหน้า
หลายคนไม่เชื่อ สรุปแล้วเรื่องในอนาคต มีโอกาสเกิดการโต้แย้งกันจนกว่าความจริงจะปรากฏ และที่พูดวันนี้ผมอาจจะผิดบ้างก็ได้
คำถามถึงคุณลงทุนแมนว่า
ความรวดเร็วในการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีจะเป็นอย่างไร จะเกิดขึ้นอย่างไร?
คุณลงทุนแมนเริ่มจากถามคนในห้องสัมมนาว่ามีใครไม่เล่นFacebookบ้าง ปรากฏว่าเล่นกันเกือบทุกคน
ผมโพสในFacebook 5 เดือน มีคนfollower2.6แสนคน
ไม่เคยมียุคไหนที่โชคดีแบบนี้มาก่อน
บริษัทของไทยอันดับหนึ่งคือ ปตท มีmarket capประมาณ 1 ล้านล้าน
แต่บริษัทใหญ่สุดในไทยอาจเป็นFacebook สาขาประเทศไทยหรือเปล่า
บริษัทWxxkมีmarket cap 35,000 ลบ แต่ให้เราคิดดูว่าเราดูFacebookหรือWxxkมากกว่ากัน
เนื้อหาที่เราชอบในwxxkจะเป็นแค่เกมโชว์เกี่ยวกับเพลง แต่ในFacebook มีทั้งมุมอาหาร ท่องเที่ยว ลงทุน
และเรื่องอื่นๆอีกมากมายที่เราชอบดู ดังนั้นFacebookในไทยน่าจะใหญ่กว่า 20 เท่า
ดังนั้นmarket cap น่าจะ500,000ลบ สิ่งที่มองไม่เห็นที่มาจากต่างประเทศจะค่อยๆกลืนเราไป
แต่ไม่ใช่มาจากบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย
Q: ถามคุณตู้กับคุณลงทุนแมนว่าเรื่องสไตล์การลงทุนไทยและต่างประเทศเป็นอย่างไร
A: คุณตู้ตอบว่า ผมลงทุนในไทย:ต่างประเทศ เป็นอัตราส่วน 70:30
ในไทย (น่าจะ)เกินกว่า 50% ใน 70% ที่ว่า เป็นแบบBargain hunting เป็นนักล่าส่วนต่าง คาดเดาผลประกอบการล่วงหน้า2-3ไตรมาสและเข้าซื้อกิจการก่อนผลประกอบการก้าวกระโดด
จะเรียกว่าวีไอหรือเปล่า แล้วแต่จะนิยาม เป็นวิธีการที่มีพื้นฐานมาจากแนวทางของอ.เกรแฮม แต่มีการเปลี่ยนคือโฟกัสมากขึ้น ทุกวันนี้ VI หลายคนก็น่าจะใช้กัน
ผมมองว่า super stock ที่น่าลงทุนในไทยหาได้ยากขึ้นทุกที เพราะจะเป็น super stock ต้องมีครบทั้งสามปัจจัยได้แก่
1. DCA (Durable Competitive Advantage)
2. Growth
3. ราคาหุ้นสมเหตุผล
ซึ่งในเมืองไทย ส่วนตัวผมว่าหุ้นที่มีทั้ง 3 ข้อหาได้ยาก ถ้ามี 2 ข้อแรก ราคาจะแพงมาก
ในขณะที่ DCA ของหุ้นในไทยก็ไม่ได้แกร่งเท่ากับหุ้นต่างประเทศ
ผมเคยเขียนบทความเรื่องปราการที่เปลี่ยนไป (มีทั้งหมดสองตอน)
พูดถึงDCAที่เริ่มเปลี่ยนไป
DCAประกอบไปด้วย (ตรงส่วนนี้ขออนุญาตนำบทความที่คุณตู้เขียนไว้เข้ามาเสริม โดย DCA ในนิยามของคุณตู้คือ 10 ปีขึ้นไป)
1. Brandที่แข็งแกร่งมากๆ
Brand ทำให้ลูกค้าไม่อยากเปลี่ยนซึ่งสำหรับผมแล้วมี Brand ที่เข้มแข็งระดับจะเป็น Durable แค่ 3 ประเภทคือ
1.1 (Very Very) Luxury Brand หรือสินค้าที่ไว้บ่งบอกสถานะอย่าง Hermes หรือ Rolex
1.2 Character Brand อาทิเช่น Brand ของดาราศิลปินตัวการ์ตูนหรือสโมสรฟุตบอล
1.3 Brand ที่เกี่ยวกับสุขภาพร่างกายเช่นโรงพยาบาลหมอศัลยกรรมหรือเครื่องสำอางจำพวก Skin Care
แบรนด์ประเภทอื่นๆที่เหลือผมว่าไม่ได้เข้มแข็งมากมายระดับเกิน 10 ปีลูกค้าพร้อมจะลองและเปลี่ยนได้เสมอ
2. Patent สิทธิบัตรหรือสัมปทาน สัมปทานข้อนี้ผมว่าชัดเจนสุดเลยคือเป็นอะไรที่เกี่ยวกับข้อกำหนดของรัฐทำให้คู่แข่งเข้ามาไม่ได้บริษัทในไทยได้แก่บริษัทที่บริหารท่าอากาศยาน
3. Market share & Economy of scaleข้อนี้มักจะเป็นข้อได้เปรียบในด้านของ First Mover คือมาจากการที่คนทำก่อนยึดครองตลาดได้รวดเร็วกว่าทำให้มี Market Share มากกว่าและส่งผลให้ต้นทุนต่ำกว่าอย่างไรก็ดีข้อนี้ต้องระวังเสมอ Kodak หรือ Nokia เองก็เคยเป็น Market Leader วันดีคืนดีอาจมี Disruptive Innovation มาทำลายล้างธุรกิจของเราก็ได้
4. Network effect เช่นบริษัทFacebook , Google ที่ผลิตOS android ขึ้นมา,Appleที่ผลิตIOSขึ้นมา
( ในส่วนนี้ความถี่ในการใช้เป็นปัจจัยสำคัญ เมื่อคนใช้แล้วติด คนที่จะติดต่อด้วยก็ต้องใช้เหมือนๆกัน เช่น android ช่วงแรกคนใช้น้อยมาก แต่เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีแบบเปิด ทำให้มีการพัฒนาapplicationให้กับ androidมากขึ้น ถ้าคุณต้องการใช้แอปเหล่านี้ก็ต้องใช้มือถือที่ใช้ OS android
หรือ ตัวอย่างของ Microsoft windows & office คนใช้งานกันจนคุ้นเคยยิ่งมีคนใช้มากเท่าไหร่ ทำให้เกิดnetwork effect คนที่ต้องการติดต่อด้วยก็ต้องใช้officeเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาตัวอักษรไม่ตรงกัน หรืออ่านไม่รู้เรื่อง )
5. Experience effect คล้าย Learning curveซึ่งเป็นส่วนนึงของ Network effectเป็นสิ่งที่คนยังไม่ focus มันพัฒนาไปเรื่อยจนจุดหนึ่งคู่แข่งตามไม่ทัน ตัวอย่างชัดๆ คือพวก Big data เมื่อบริษัทมีข้อมูล/know how มากระดับหนึ่งแล้ว คู่แข่งใหม่จะเลียนแบบข้อมูลนั้น ทำไม่ได้ (เช่น Google search, Facebook, Intel)
(สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้จากLink ของ Snowball page https://goo.gl/4rn521 , https://goo.gl/tmTLvO)
ถ้าดูหุ้นในไทย ส่วนใหญ่ไม่เกินสามข้อ ข้อสี่และห้าหายากในบริษัทของไทย
ผมดูหุ้นต่างประเทศ เช่น Facebookมี 4 ข้อ ขาดแค่ข้อ patent ที่อาจมีบ้าง แต่ไม่ได้สำคัญอะไร
ถ้าดูข้อ 5. Experience effect จะเห็นว่า Facebookสะสมข้อมูลที่เราโพสเรื่อยๆเป็นสิบปีถือเป็นBig data
เป็น DCA ของ Facebook เป็นไปไม่ได้ที่จะไปขายข้อมูลนี้ให้คู่แข่ง
ดังนั้นหุ้นต่างประเทศบางตัวมีDCA ในนิยามของผมมากกว่าสามข้อ เยอะกว่าหุ้นในไทย
อย่าง Facebook คือมีทั้งDCA,Growthแต่ราคาเป็นอีกเรื่องนึง
หลายคนชอบถามว่าทำไมชอบไปลงทุนในต่างประเทศ
ผมตั้งคำถามตัวเอง อยากถามกลับว่าทำไมต้องลงทุนเฉพาะในไทย
ถ้าเรากรอบตัวเองเป็นนักลงทุนไทย ทำให้เราไม่มีแม้แต่จะโอกาสจะไปศึกษาเรื่อง bit coin ซึ่งราคาขึ้นมาถึง4-5000$ คิดเป็น 4-5 เท่าจากต้นปี
คุณบอล บอกว่าเป็นประเด็นที่ดี หุ้นที่เป็นsuperstockมีแต่ราคาในไทยแพงไปแล้ว
Q: คุณลงทุนแมนเป็นคนลงในตลาดหุ้นUSเมื่อ5ปีที่แล้ว ทำไมไปลงทุนที่นั่นครับ
A: แนวทางการลงทุน เราเข้าใจอะไร อยู่กับอะไร สังเกตรอบข้างว่าวันๆอยู่กับมือถือ
ก็เดาว่าทุกคนก็เหมือนๆกัน
ทุกคนใช้มือถือเปิดFacebook , Line , Instagramเพราะทุกคนอยากรู้อยากเห็น
เราก็ลงทุนในสิ่งที่เข้าใจแต่สงสัยว่า lipstick no.9 ทำไมโต ไม่เข้าใจ
สมมติว่าPE&Growthเท่ากัน ก็น่าจะเลือกบริษัทที่เราเข้าใจในการเติบโต
เช่นซื้อFacebookเรายังเข้าใจกว่า ซื้อบริษัทค้าปลีกเครื่องสำอางในไทย
คนสามารถขายสินค้าในFacebook ได้กลายเป็นวงจรธุรกิจไป
ทำให้Facebookมีรายได้เข้ามาตลอดเวลา
สไตด์การลงทุนช่วง5ปีแรก portในต่างประเทศเล็กกว่าในประเทศ
แต่ตอนนี้มูลค่าหุ้นของต่างประเทศโตขึ้นทำให้ portในต่างประเทศโตกว่าในประเทศ
บริษัทใหญ่สุดในโลก5บริษัทเป็นบริษัททางด้านเทคโนโลยี เมื่อก่อนmarket capเล็กกว่าGDP Thailand
แต่ตอนนี้ทุกบริษัทใหญ่กว่า GDP Thailand ทั้งหมด แปลว่าบริษัทพวกนี้โตเร็วกว่า
อันดับห้า Amazon มีmarket cap15 ล้านล้านบาท
เริ่มจากการขายหนังสือonline E-commerce Amazon web service
รายได้มาจาก ค้าปลีกonline 60%
Amazonมีลำโพงอัจฉริยะชื่อ echo สามารถใช้เสียงสามารถสั่งนมโดยไม่ต้องเดินไปซื้อจากหน้าปากซอย
ที่US supermarketห่างไกลจากบ้านมาก
AI ไม่ต้องใช้มือกด ใช้เสียงพูด
รายได้20% เป็นAmazon media
รายได้10%เป็น Amazon web service,
คนจะเช่าserverแทนการซื้อ ถ้าเราไม่มีwebsiteของตัวเองอาจไม่เห็นภาพ
อันดับสี่ Facebook market cap 16ล้านล้านบาท
97%ของรายได้มาจากโฆษณา อีก3%เป็นรายได้อื่นๆ
เขาFocus Adsมาก คนชอบโฆษณาเพราะสามารถtarget ไปที่เพศไหน อายุเท่าไหร่ก็ได้
FB มี AI look alikeสามารถcreate ลูกค้ากลุ่มใหม่ได้เลยจากข้อมูลลูกค้าเดิม
โดยไม่ต้องไปเปิดหน้าร้าน จะdisruptretail shop
ทุกคนคิดว่าdisrupt adsอย่างเดียว จริงๆdisrupt retail shopด้วย
รวมCokeด้วย คนเดินน้อยลง ทำให้หยอดเหรียญซื้อcokeน้อยลง
อันดับสาม บริษัทเก่าแก่ Microsoft market cap 19 ล้านล้านบาท
สัดส่วนรายได้แต่ละproduct
Windows 9%, Microsoft office 28% ,
Microsoft server 22%
Xbox 11%
ไม่ได้ขายProgram เช่นMicrosoftถาวร แต่จ่ายเป็นรายเดือนหรือรายปี
แสดงว่าเราจ่ายไปโดยไม่รู้ตัว
Switching costสูงเพราะเราไม่เวลาไปเรียนรู้โปรแกรมอื่นแล้ว
อันดับสอง Alphabet เป็นบริษัทแม่ของGoogle มีmarket cap 21 ล้านล้านบาท
รายได้ 80% มาจากโฆษณาบนGoogleAbwords,Googleadsence, Youtube
รายได้ 11% มาจาก Google play, Pixel ,Android
ต่อไปคนไม่ต้องอ่านหนังสือเป็นเล่มๆ เพราะในตลาดมีหนังสือเป็นล้านล้านเล่ม
เปลี่ยนวิธีการอ่านหนังสือ ชอบเรื่องไหนก็หาอ่านเป็นเรื่องๆไป
Google สาขาประเทศไทย เป็นอีก 1 บริษัทที่ถ้าอยู่ในตลาดหุ้นไทย จะใหญ่พอๆกับ Facebook สาขาประเทศไทย
บริษัทPricelineเจ้าของกิจการagoda/bookingยอมจ่ายเงินให้ googleไม่อั้นถ้ายังทำให้เขามีได้รายได้จากการจองโรงแรมจองท่องเที่ยว
สิ่งที่น่าสนใจ คือ pricelineไม่มีโรงแรมของตัวเอง
มีแต่ platform กลับสามารถทำรายได้มากกว่า 4 เชนโรงแรมใหญ่รวมกัน
อันดับหนึ่ง Apple 27ล้านล้านบาท ใหญ่กว่าGDP ไทย สองเท่า
ปีหน้าอาจไม่ใช่
สัดส่วนรายได้ของApple
Iphone 63%,mac 11%, ipad 10% ที่เหลือเป็น icloud
เคยเปรียบเทียบกับPTT แล้วพบว่าใช้สินทรัพย์น้อยกว่า เป็น Light asset
ปตท ต้องลงทุนสินทรัพย์เยอะ ทำให้บริษัทต่างชาติเข้ามายากในสมัยก่อน
LOCAL เลยสร้างขึ้นมาได้ในช่วงนั้น
แต่ตอนนี้ Facebook,Googleเข้ามาง่าย เติบโตเร็ว
บริษัท Saudi Aramcoมูลค่าใหญ่กว่าapple 2,000 ล้านล้านเหรียญ
ทำไมถึง IPO เพราะว่าเจ้าของมองว่าresourceในอนาคตจะไม่ใช่น้ำมันแล้วหรือเปล่า
อาจเป็นLithiumหรือเปล่า
Q: ถามคุณตู้ Resouceที่สำคัญที่สุดคืออะไร
A: คุณตู้บอกว่าResouceที่สำคัญสุดคิดว่าคือข้อมูล คนที่มีdataสุดท้ายเป็นผู้ชนะ
แต่ถ้ามองเฉพาะธุรกิจด้านพลังงาน Lithiumอาจจะเป็นผู้ชนะก็ได้
คุณลงทุนแมนเสริมว่าราคาหุ้นNvidiaเพิ่มเป็น10เด้ง เนื่องจากการประมวลผล
ต้องใช้GPU ซึ่งnvidiaเป็นเจ้าตลาด
หรือ memory chipสำหรับเก็บข้อมูลSamsung ก็เป็นเจ้าตลาดอยู่
เจ้าตลาดอาจshiftไปเรื่อยๆ ไม่ใช่น้ำมันอีกต่อไป ไฟฟ้าอาจได้ฟรีๆจากพลังงานแสงอาทิตย์
Q: คุณบอลถามเกี่ยวกับสาเหตุที่ลงทุนในบริษัท Nvidiaซึ่งขึ้นมาเยอะแล้ว
A: คุณตู้กล่าวถึง AI Theme ก่อน
AI คือสมองจักรกล สมองเทียมที่สร้างขึ้นเลียนแบบคน
ดูจากAlpha Go เมื่อสองปีก่อน
ปีที่แล้วเอาชนะผู้เล่นอันดับที่สี่ของโลก ผ่านมา 1 ปีเอาชนะอันดับหนึ่ง
แต่ถ้าใครตามลึกๆ จะทราบว่านอกจาก Alpha Go จะเก่งขึ้นมาก ยังใช้พลังการประมวลผลน้อยลง10เท่าเมื่อเทียบกับพลังงานที่ต้องใช้เพื่อเอาชนะผู้เล่นอันดับที่4เมื่อปีก่อน
คุณลงทุนแมน เสริมว่าถ้ามองว่า Alpha Goไกลตัว
ก็หันมามองnews feed ดูข้อมูลอะไรที่สนใจ มันก็จะfeedกลับมาให้
คุณตู้กลับมาต่อว่า AI Themeประกอบด้วยปัจจัยสำคัญ 5 ข้อได้แก่
1.Dataยิ่งข้อมูลเยอะยิ่งฉลาด
2.chipประมวลผลด้านข้อมูล CPU/GPU
3.Time ต้องมีเวลาใครเริ่มก่อนได้เปรียบ
4.Engineer
5.Infrastructure platform
ขอเสริมข้อ 3 คือเรื่องเวลา ถือว่าน่าสนใจ
AI คล้ายสมองมนุษย์ ใครเริ่มก่อนเหมือนเด็กที่โตกว่าคนเริ่มทีหลัง
Phaseใหญ่ๆ มี 2 Phase คือการเรียนรู้ Training แล้วเป็นInferencing(Apply)
ตอนTraining ใช้เวลาเยอะ ใส่ Input ไปเยอะ แต่ได้ Output ออกมาน้อย เหมือนเด็ก
หลังเข้าที่แล้วใส่ Input น้อยลง แต่ได้ Output มากขึ้น เหมือนผู้ใหญ่
AI เรียนรู้ไปเรื่อยๆจนสุดท้ายใช้Input น้อยลงแต่จะฉลาดขึ้นแบบก้าวกระโดด
คุณลงทุนแมน บอกว่าวิวัฒนาการของAIคล้ายสมองมนุษย์
โลกผ่านมา4,500ล้านปี มนุษย์อยู่รอดเพียงเผ่าพันธุ์เดียว
เทคโนโลยีพัฒนามาใช้เวลาแค่200ปี
AI ไปเร็วกว่านั้นจากกฎของมัวร์การประมวลผลจะก้าวกระโดดทุกๆ14เดือน
จนถ้ามองไปอีก28ปีข้างหน้า
Singularity คือจุดที่สมองคอมพิวเตอร์ฉลาดขึ้นอีก 16 ล้านเท่า
ใครอายุ30-40ปี มีโอกาสมีชีวิตตลอดไป แต่จะเป็นอย่างไรต้องติดตามต่อไป
คุณตู้ บอกว่า Homo sapiensเกิดมาหนึ่งแสนปีแต่เทคโนโลยีเพิ่งพัฒนาจริงจังในช่วง 1-2 ร้อยปีที่ผ่านมา
คอมพิวเตอร์เร็วสุดเมื่อร้อยปีที่แล้วยังช้ากว่ามือถือของพวกเราในห้องนี้หลายเท่า
เมื่อ 200 ปีก่อนอายุคนเฉลี่ยยังอยู่แค่ราว40ปีอยู่เลย
การเกิดคอมพิวเตอร์ ไฟฟ้า รถยนต์เพียง100-200ปีทำให้ GDP เติบโตแบบก้าวกระโดด อายุเฉลี่ยคนก็สูงขึ้นเรื่อยๆ
ลองย้อนนึกสมัยก่อนมนุษย์อายุแค่40กว่าปีถ้ามีคนบอกว่าในอนาคตอาจถึง 100 ปี คนคงหาว่าบ้า
การพัฒนาเทคโนโลยีในทุกวันนี้มุ่งเน้นให้คนมีอายุยืนยาวขึ้นในอนาคตอาจเป็นอย่างที่คุณลงทุนแมนว่าก็ได้
คุณลงทุนแมน บอกว่าคนพิการไม่มีแขน แค่มีเครื่องช่วยในการสั่งการจากสมอง
สมองสามารถไปเก็บไว้ที่นึง และโคลนนิ่งข้อมูลในสมองไปอยู่อีกร่างนึง
เมื่อก่อนมี phone link ก็กลายเป็น Iphoneใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงน้อยลงเรื่อยๆ
มีกฏหนึ่ง เรียกว่า The Six D’s มี 6 Step
1.Digitalizationจะdisrupt กล้องถ่ายรูปธรรมดาหายไป เป็น กล้องดิจิตอล เช่นแปลงภาพเป็น .jpg
2.Deceptionก่อนสิ่งของจะหายไป คิดว่าไม่น่าเป็นไปได้
รถไฟฟ้าไม่น่าจะมาแทนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันหรือ นิตรสารก็ถูกแทนด้วยFacebookไป
3.Disruption
( เป็นเทคโนโลยีที่มาทดแทนของเดิม เช่น UberจะdisruptTaxiแบบเดิม หรือ Instagram disrupt kodak)
4.Demonetizationเมื่อก่อนต้องเสียเงินค่าสมัครดูเคเบิ้ลทีวี ต่อไปไม่มีการเก็บเงิน สามารถดูจากช่องทางอื่นได้
5.Dematerializationของหลายอย่างจะหายไป เช่น กล้องDLSR จะหายไป
เครื่องคิดเลขก็หายไปรวมถึงแผนที่ ทุกอย่างอยู่ในมือถือ
ตัวเราเหมือนอยู่ในโลกเสมือนต่อไปเราก็จะหายไปด้วย
6.Democratizationทำให้ทุกอย่างเป็นประชาธิบไตย
เช่น Facebook, Uberรัฐบาลของแต่ละประเทศไม่สามารถเก็บภาษีจากบริษัทเหล่านี้ที่อยู่ต่างประเทศ
เวเนซูเอล่า มีเงินเฟ้อมาก คนเข้าไปขุดBitcoin แต่จะมีปัญหามากขึ้นจีนก็แบนไม่ยอมรับBit coin
จะสู้กันระหว่างเสรีนิยม กับ รัฐบาลที่บังคับให้อยู่ในกฎ
Etherliumเจ้าของอายุ23ปี เงินสกุลนี้ทำให้มีICO (เหมือนกับIPO คือออกเหรียญใหม่)สกุลเหรียญใหม่ขึ้นมาเช่น
Omiseเป็นบริษัทที่ร่วมลงทุนในไทย market cap 30,000 ลบ ซึ่งcreate value ขึ้นมาเร็วมาก
ตอนนี้จะเกิดในฝั่งตะวันออก technologyเร็วกว่าฝั่งตะวันตกซึ่งยังใช้บัตรเครดิตกันอยู่เลย
Q: อุตสาหกรรมไทยที่ถูกกระทบ และ กระทบอย่างไร
A: คุณตู้บอกว่าขอเล่าเรื่องหนึ่งก่อนจะตอบคำถามนี้
คนฟังอาจรู้สึกว่าที่พูดกันมานี่ไกลไปแล้วหรือเปล่าคงมี 2 คำถามเกิดขึ้นว่า 1. ที่พูดๆ กันจะเป็นจริงมั้ย2. จะเร็วแค่ไหน
มีกฏข้อหนึ่งชื่อ Law of accelerating returns
ทุกคนส่วนใหญ่คิดว่า
หนึ่ง อะไรที่เกิดขึ้นในอดีตก็เกิดในอนาคตเหมือนกัน
สอง การพัฒนาของเทคโนโลยีในอนาคตจะพัฒนาแบบเป็นเส้นตรง ใช้เวลาเท่ากันกับในอดีต
แต่จริงๆแล้วปัจจุบันเปลี่ยนแปลงเร็วมาก การพัฒนาไม่ได้เป็น Linear แต่เป็นแบบ Exponential
รถยนต์Teslaไม่ต้องเปลี่ยนhardware แต่เปลี่ยนที่softwareก็สามารถเปลี่ยนความเร็วได้
ตัวอย่างในไทยขอเล่าปรากฎการณ์ “ลำไยไหทองคำ”
คนเป็นนักร้อง สมัยก่อนต้องย้ายมากรุงเทพ อยู่แฟลต เป็นนักร้องตามคาเฟ่ บางคนเริ่มจากเป็นเด็กเสิร์ฟ
ร้องดี ร้องเพราะ มีคนบอกต่อ เริ่มมีแมวมองมาฟัง
ก็ไปออดิชั่นที่ค่ายเพลงโดยแมวมองชวน ถ้าผ่านก็ออกเทป และส่งขาย กว่าจะดังก็ต้องรอโปรโมทผ่านสถานีวิทยุ
แต่ลำไย ไหทองคำ ใช้แค่ตัวเอง มือถือ อินเตอร์เน๊ต ใช้เวลานิดเดียว ในการทำให้เพลงตัวเองมียอด view สูงสุดในประเทศ
ถามว่าปรากฏการณ์นี้มี party ไหนหายไปบ้าง
การเกิดtechnology&AIจะทำให้ตัวกลางส่วนใหญ่หายไป
ลองนึกๆ ว่าคนเราบริโภคอะไร
มี product , service content
Content เปลี่ยนแปลงเร็วทีสุด เพราะไม่ต้องใช้material
Product อาจช้ากว่า แต่เริ่มมีให้เห็นแล้ว
Amazon ในอนาคตอาจมีแค่supplierแล้วใช้ AI ส่งของ ไม่ต้องจ้าง DHL, Fedexแล้วก็ได้
สุดท้าย ตัวกลางที่จะถูกแทนที่ก็คือ “ตัวมนุษย์เอง”
AI เก่งเรื่องการทำซ้ำฟัง, เห็น, อ่าน, คิด ทุกวันนี้ AI ทำได้ดีกว่าคนหมดแล้ว
แค่ตอนนี้AI ยังไม่สามารถรวมความเก่งแต่ละเรื่องเข้าด้วยกัน
AI เข้าใจภาษา ,วาดรูป,เล่นโก๊ะ
มันจะโตขึ้นๆ สุดท้ายจะแทนที่คนแต่แค่ไม่สามารถรวมตัวกันเป็นอยู่ร่างเดียวกันในตอนนี้
Q: ถามคุณลงทุนแมน ร้านสะดวกซื้อ และ ห้างสรรพสินค้าจะถูกdisruptหรือไม่
A: Merry king เป็นตัวอย่าง เมื่อก่อนคู่มากับเซ็นทรัล
อยู่กับการปรับตัวได้เร็วก็อยู่ได้
ส่วนผู้ประกอบการใหม่ที่ไม่มีplatform เช่น Lazadaก็เข้าได้ง่าย
Product,contentดี ก็สามารถโตได้
ธุรกิจอาหาร สามารถขายonline ผ่านทาง Lineman
JQ ปูม้านึ่ง ใช้platform Facebook ยอดขาย 600 ลบต่อปี
บริษัท Wxxkเกิดได้จาก Facebookบอกต่อ และ contentดี
รายได้โต กำไรโต contentดีมาก แต่ช่องทีวีสนามเป้าไม่มีcontent หรือ Woodyดูดีกว่า อีก
แต่สถานีช่องที่มีละครที่คนกรุงเทพติดกันเมื่อก่อนมีcontent และ ผูกขาดทั้งด้านละครและข่าว
ตอนนี้ไม่ใช่ผูกขาด คนสมัยนี้ดูcontentมากกว่า
บางทีวัยรุ่นสมัยนี้ไปดูคนพากย์การเล่มเกมก็มี
คนที่มีcontent หรือ สินค้าที่ดีก็ขายได้ เช่น มาม่า อาจสั่งซื้อจากที่อื่นที่ไม่ใช่ห้างก็ได้
เราไปหาอะไรที่ดีแต่ถูกplatformที่ผูกขาดอยู่ พอถึงเวลาที่ไม่มีการผูกขาด ได้เวลาที่จะลงทุน
แต่ถ้าเป็นบริษัทที่เป็นตัวกลาง เราพยายามหลีกเลี่ยง
และหุ้นต้องเป็นuniverseมากขึ้น ทำให้เรามีตัวเลือกมากขึ้น
Forward PE 20-30 เท่าของFB,Googleเราก็สามารถเลือกได้
ยูนิโคล ซาร่า รองเท้าไนกี้ อดิดาส สตาร์บัคส์ เป็นแบรนด์ต่างประเทศที่อยู่รอบตัวเรา
ประเทศไทยเล่น Facebook 25ล้านราย มากสุดในโลก
เวลาทดสอบก็มาทดสอบในไทย เราจะรู้ก่อนว่าworkหรือไม่
Messenger จะเข้ามาบังคับว่า ต้องจ่ายในFBซึ่งจะdisruptธนาคารไป
แต่ผู้บริโภคได้รับประโยชน์
เมื่อก่อน จะส่งsmsจะคิดแล้วคิดอีกก่อนส่ง
เหมือนการโอนเงิน ถ้ามีใครทำได้ฟรีคนก็จะเทไปทางนั้น
Portionค่าธรรมเนียมลดลง ธนาคารอาจจะไปขายappหรืออื่นๆแทน
ROV เจ้าของคือ Garenaซึ่งเป็นเจ้าของAir pay ไว้เติมเงินเล่นเกม
ถือเป็นตลาดใหญ่มาก
เราต้องดูuniverseทั้งหมด
A: คุณตู้ฟังมาทั้งหมด ตอนนี้คนฟังคงมี 3 คำถามที่ต้องคิด
1. คุณตู้ AI จะมาแทน VI ไหม
2. หุ้นที่เราถือจะโดนdisruptหรือไม่
3. เราควรลงทุนในอะไร
คุณตู้บอกว่าข้อแรกข้ามไปก่อนเลย มันToo soon to tell ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดเพราะยังไงเราก็ลงทุนอยู่
ที่เราคุยกันอยู่คือข้อ 2 และ 3
AI จะกระทบธุรกิจ ธนาคาร ค้าปลีก mediaที่คุณลงทุนแมนพูดถึงก่อนหน้า
อีกอันที่ผมคิดว่าเป็นไปได้และน่าหยิบมาพูดคือโรงพยาบาล
อีกสัก10-20ปีข้างหน้า โรงพยาบาลซึ่งมี5ข้อFive Forceดีมาก อาจจะค่อยๆเปลี่ยนไป
แบ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เป็น 2 phase
Phase I ทุกวันนี้จะเป็นการleverageความสามารถ เช่นร้านอาหารเจ้าดัง มีคนช่วยส่ง ไม่มีหน้าร้าน
แม้แต่ FB , Youtubeก็มีการleverageไปต่างประเทศได้รวดเร็ว
ตอนนี้สมมติหมอหนึ่งคนรักษาคนไข้ได้ 10 คนต่อวัน ต่อไปอาจรักษาได้100คน
ตอนนี้อาจยังไม่เกิดปัญหาเพราะขาดแคลนหมออยู่
แต่ต่อไป หมอที่ไม่เก่งอาจจะมี value ลดลง
เปรียบหมอเหมือนโรงงานผลิตน้ำ
หมอเก่งทุกวันนี้เหมือนคนงานที่เก่งในกรอกน้ำ แบกน้ำจนมาวันนี้เครื่องจักรมาแทน
ในวันนั้นหน้าหมอเก่งก็อาจเป็นคนคุมเครื่องจักร คุม AI ไม่ต้องกรอกน้ำเองแล้ว
phase II เราถือหุ้นโรงพยาบาลPE 40 เท่าแต่growth 10-15% เราคงคาดหวังจะให้ โรงพยาบาลไม่เจ๊งตลอดไป
โลกของเรา ตอนนี้การรักษาตอนเป็นโรคแล้ว แต่อีก30-40ปีจะเป็นโลกของการpreventโรค
เช่น การขับเคลื่อนอัตโนมัติ สาเหตุที่errorส่วนใหญ่มาจากคนคนทำให้เกิดอุบัติเหตุ ก็จะเปลี่ยน
Self driving car เกิดขึ้นเพื่อลดอุบัติเหตุ
โรงงานผลิตอาหารต่อไปก็ใช้robotหมดเพราะเน้นความสะอาด
ทุกวันนี้ มีเทคโนโลยีที่เรียกว่าCRISPR/Cas9
(รายละเอียดดูจาก https://www.youtube.com/watch?v=2pp17E4E-O8)
การตัดต่อพันธุกรรมหรือmappingยีน
จากราคาเป็นล้าน USD เหลือหลักพัน
ใช้เวลาน้อยลงจาก 1 ปีเหลือ 80 วัน หรือ ใช้นศแพทย์ ทำในห้องแลบธรรมดาก็ทำได้แล้ว
ร่างกายเรามียีนส์20,000 ตัว แต่ ยีนส์ที่ทำให้เกิดมะเร็ง อาจมีแค่ไม่กี่ตัวแค่ตัดทิ้งออกไปก็ป้องกันการเกิดมะเร็งได้แล้ว
ตอนนี้ทดลองกับหนู กับ ยุง
เราเปลี่ยนหนูสีขาวเป็นหนูสีดำ แค่เปลี่ยนยีนไม่กี่ตัว
โรคมาเลเรียฆ่าคนเยอะสุด สาเหตุจากยุงเป็นพาหะ
ก็เปลี่ยนพันธุกรรมไม่ให้เป็นโรคมาเลเรีย และเปลี่ยนตาเป็นสีแดงจะได้รู้ว่าเป็นตัวที่แก้ไขแล้ว
หลังจากนั้นก็ปล่อยให้อยู่กับยุงตาสีขาว ทำให้เกิดแผ่พันธุ์
สุดท้ายทำให้ยุงทั้งหมดตาสีแดง ไม่เกิดโรคมาเลเรีย
สุดท้ายโรงพยาบาลเลยอาจมี value ลดลงไปจากเดิม
คำถามอีกข้อคือเราจะลงทุนอะไรดี
เนื่องจากเวลาเหลือน้อย ขอยกตัวอย่างคร่าวๆ (ต้องไปศึกษาต่อเองไม่ใช่ลงทุนได้เลย)
1.ลงในตัวผู้สร้างAI ex Google, amazon ,FB
2.ลงทุนในผู้มีdata คล้ายกับกลุ่มแรก Baba, Tencent
3.ผู้ผลิตhardware เช่น mobileye,intel,nvidia
4.เจ้าของservice,product, content ที่ได้ประโยชน์จาก AI ex Disney, marvel, DC
5.เจ้าของservice,productทีไม่เสียประโยชน์ เช่น กระเป๋าHermes, Louis Vuitton (superstar economy)
Q: ถามคุณลงทุนแมน หุ้นต่างประเทศไกลตัวมาก หาข้อมูลอย่างไร
A: เอาสิ่งที่เราคุ้นเคย เราไม่ได้ใช้อะไรก็อย่าไปยุ่ง
หาข้อมูลจากgoogleเช่น search หา Amazon IR
การคัดเลือกหุ้น คาดเดายากว่าใครแพ้ใครชนะ ตัวอย่างเช่นsnapchatถูกรุมจากFacebook
ถ้าให้ปลอดภัยให้ลงใน5บริษัทที่ครองโลกแล้ว
Q: ถามต่อว่าการvaluationดูตรงไหนบ้างและจะทำvaluationอย่างไร
A: คุณลงทุนแมน ตอบว่าคล้ายกัน FBบางช่วงเดาง่าย ส่วนGoogleบางช่วงก็มีโอกาสลงตอนPE 20
ถ้าvaluationไม่ได้ เช่น Line กำไรยังไม่โผล่ ต้องbetว่ากำไรจะมาเมื่อไหร่
อาจลงแค่ส่วนนึงก็พอ คล้ายหุ้นไทย adaptอย่างไรก็ไปทำในต่างประเทศ
อีกประเด็น บางทีไม่ต้องหุ้นชนะ แต่ไปลงในหุ้นpanicทุกคนมองว่ามันแย่หมด
เช่น GM ผลิตรถ 10ล้านคัน PE5เท่า แต่ Teslaผลิตรถแค่หลักหมื่นคัน ไม่มีกำไร
อาจเป็นโอกาสหรือเปล่า
BMW PE 7 เท่าเอง เป็นเจ้าของbrand
ต่อให้มีคนใช้รถEVแต่ก็มีคนใช้รถพวกนี้เหมือนhermes
บริษัทประกัน คนคิดว่ารายได้ลดจาก รถขับเคลื่อนด้วยตัวเอง ทำให้อุบัติเหตุน้อยลง จะขายประกันได้น้อยลง PEเลยต่ำ ตลาดอาจจะกลัวเกินไป
A: คุณตู้บอกก่อนว่าการลงทุนในต่างประเทศ อาจไม่ใช่ว่าเหมาะกับทุกคน
อะไรที่คุ้นเคยและเห็นอนาคตในอีก3-5ปี ยังไม่เปลี่ยนแปลงเราควรลงทุน
แต่ทำใจยอมรับ ซื้อหุ้นsuper stockที่แพงแล้ว ยอมรับผลตอบแทนที่น้อยลง
ส่วนสินค้าทดแทน เราจะคิดเพิ่มว่าบริษัทที่เราลงทุนถูกทดแทนหรือเปล่า
เรื่องข้อมูลทุกวันนี้มีเยอะแยะมากมาย
เอาง่ายๆ แค่อ่านจากเพจลงทุนแมน อ่านครบหมดยัง
ต่างประเทศราคาหุ้นไปตามงบการเงินหุ้นBigcapดูfair gameกว่า
หาproductรอบตัวที่เราใช้ เราเห็นพัฒนาการ
อ่านจาก Seeking Alhpa Website เป็นwebsiteที่มีข้อมูลเยอะ รวมถึงoppdayของUSเป็นเฉพาะเสียง
(https://seekingalpha.com/)
Transformเป็นอักษรได้ด้วย มีคนมาวิจารณ์ด้วย
เรื่องvaluation หลีกเลี่ยงหุ้นที่valuationไม่ได้
Amazon ดู PE ไม่ได้เพราะมีcarpexเยอะ
Google , Facebook ดูforward PEแค่ 30 กว่าเท่า
Nvidia forward PE ปีหน้าก็แค่30กว่าเท่าคิดว่าคล้ายๆ ซื้อหุ้นอย่าง beauty เพราะ PE พอๆ กัน
ส่วนTesla จินตการระยะยาวยาก เพราะคู่แข่งก็พยายามพัฒนา ไม่ยอมแพ้tesla
คุณลงทุนแมนเชื่อว่า teslaจะมีแบรนด์รถหลายๆแบรนด์มาแข่ง เหมือนกระเป๋าแบรนด์เนม
Q: อยากให้ฝากข้อคิดกับนักลงทุน ควรปรับตัวอย่างไร หรือเคล็ดลับในการลงทุน
A: คุณลงทุนแมน บอกว่า หลับตามองรอบตัวเรา และตื่นมาที่ท้องถนนมีบริษัทอะไรบ้าง
ทุกคนใช้อะไรที่ร่วมกันบ้าง
คุณตู้ บอกว่า 2-3ปีที่ผ่านมาทำสิ่งหนึ่งที่ทำให้ตัวเองดี การปฏิบัติธรรม ทำให้เปลี่ยนแปลงการคิดวิเคราะห์
มีสติมากขึ้น ทุกข์น้อยลง ทุกวันนี้ทำมาปีกว่ามีผลมหาศาล
เริ่มแบบง่ายๆ เช่น แปรงฟันก็ให้รู้ตัวว่าแปรงฟัน สวดมนต์ก่อนนอน5-10นาที
หรือให้หลับตา เพื่ออยู่กับลมหายใจ อย่าฝืนทำให้ตรงกับจริตของเรา
สุดท้ายขอขอบคุณ คุณลงทุนแมน คุณมานะ และ คุณบอลมากๆครับที่มาแชร์ความรู้ให้เราฟังครับ
Website บทความ หรือ คลิปที่แนบมา ต้องขอบคุณคุณมานะที่มาแชร์ด้วยครับ
Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI จะเป็นอย่างไร เมื่อเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนโลก
วิทยากร
คุณลงทุนแมนที่เขียนบทความดีๆให้นักลงทุนอ่านมาตลอดห้าเดือน
คุณตู้ หรือ นายมานะ เจ้าของเพจSnowball และ กรรมการสมาคมนักลงทุนหุ้นคุณค่า ประเทศไทย
พิธีกร คุณบอล กรรมการสมาคมนักลงทุนหุ้นคุณค่า ประเทศไทย และ ผู้เชี่ยวชาญตลาดหุ้นเวียดนาม
หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นการเสริมจากผู้สรุปเองครับ ถ้าผิดพลาดประการใดขออภัยมาณ ที่นี้ครับ
.ในช่วงที่คุณตู้พูด ผมได้นำบทความของคุณตู้ที่เคยเขียนมาเพิ่มเติม เพื่อสร้างความเข้าใจเนื้อหามากขึ้น
และมีLinkเพื่อจะได้ติดตามข้อมูลเพิ่มเติม ส่วนของคุณลงทุนแมนสามารถติดตามเพจของลงทุนแมนได้โดยตรงครับ
Q:มองเทคโนโลยีในอนาคตอย่างไร?
คุณตู้ออกตัวก่อนอธิบายว่าสิ่งที่จะพูดวันนี้เป็นเรื่องในอนาคต จึงอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ ถ้าไม่ถูกต้องขออภัยล่วงหน้า
เมื่อสองปี เคยบอกว่า Platform youtube , Facebook live ,Netflix จะทำให้ในอนาคต platform TV มี value ลดลง
แต่ตอนนั้นก็มีคนโต้แย้ง เพราะไม่มีตัวเลขมายืนยัน มาวันนี้ถ้าดูจากตัวเลข Market share ของ TV น่าจะเห็นว่าลดลงจากเดิมจริง
เมื่อ 2 ปีก่อน พูดเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าEVและรถยนต์ไร้คนขับAV
หลายคนก็ไม่เชื่อ บางคนบอกว่าเป็นเรื่องลวงโลก
บางคนไปเชื่อว่ารถไฮโดรเจนมีโอกาสมากกว่า แค่เติมน้ำก็วิ่งได้แล้ว
ตอนที่ผมพูด ไม่ค่อยมีคนพูด ผมอาจพูดเร็วเกินไป(พูดก่อนเวลาที่เกิด)
ตอนนี้พอพูดถึงรถยนต์ไฟฟ้าคนเชื่อมากขึ้น และ รู้จักอีรอน มัสก์กันมากขึ้นกว่าเดิมมาก
ปีก่อนพูดเรื่องAI ทำให้เกิดdisrupt แรงงานลดลงมหาศาล
และแรงงานถูกทดแทนด้วยRobot
มีคำถามโต้แย้งว่าร้อยปีที่ผ่านมา คนไม่เคยตกงาน เครื่องจักรยังไม่สามารถทดแทนคนได้
เคยโพสในwebboardthaiviว่ากล้องDSLRหรือ MLR อาจถูกทดแทนด้วยกล้องมือถือในอนาคตข้างหน้า
หลายคนไม่เชื่อ สรุปแล้วเรื่องในอนาคต มีโอกาสเกิดการโต้แย้งกันจนกว่าความจริงจะปรากฏ และที่พูดวันนี้ผมอาจจะผิดบ้างก็ได้
คำถามถึงคุณลงทุนแมนว่า
ความรวดเร็วในการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีจะเป็นอย่างไร จะเกิดขึ้นอย่างไร?
คุณลงทุนแมนเริ่มจากถามคนในห้องสัมมนาว่ามีใครไม่เล่นFacebookบ้าง ปรากฏว่าเล่นกันเกือบทุกคน
ผมโพสในFacebook 5 เดือน มีคนfollower2.6แสนคน
ไม่เคยมียุคไหนที่โชคดีแบบนี้มาก่อน
บริษัทของไทยอันดับหนึ่งคือ ปตท มีmarket capประมาณ 1 ล้านล้าน
แต่บริษัทใหญ่สุดในไทยอาจเป็นFacebook สาขาประเทศไทยหรือเปล่า
บริษัทWxxkมีmarket cap 35,000 ลบ แต่ให้เราคิดดูว่าเราดูFacebookหรือWxxkมากกว่ากัน
เนื้อหาที่เราชอบในwxxkจะเป็นแค่เกมโชว์เกี่ยวกับเพลง แต่ในFacebook มีทั้งมุมอาหาร ท่องเที่ยว ลงทุน
และเรื่องอื่นๆอีกมากมายที่เราชอบดู ดังนั้นFacebookในไทยน่าจะใหญ่กว่า 20 เท่า
ดังนั้นmarket cap น่าจะ500,000ลบ สิ่งที่มองไม่เห็นที่มาจากต่างประเทศจะค่อยๆกลืนเราไป
แต่ไม่ใช่มาจากบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย
Q: ถามคุณตู้กับคุณลงทุนแมนว่าเรื่องสไตล์การลงทุนไทยและต่างประเทศเป็นอย่างไร
A: คุณตู้ตอบว่า ผมลงทุนในไทย:ต่างประเทศ เป็นอัตราส่วน 70:30
ในไทย (น่าจะ)เกินกว่า 50% ใน 70% ที่ว่า เป็นแบบBargain hunting เป็นนักล่าส่วนต่าง คาดเดาผลประกอบการล่วงหน้า2-3ไตรมาสและเข้าซื้อกิจการก่อนผลประกอบการก้าวกระโดด
จะเรียกว่าวีไอหรือเปล่า แล้วแต่จะนิยาม เป็นวิธีการที่มีพื้นฐานมาจากแนวทางของอ.เกรแฮม แต่มีการเปลี่ยนคือโฟกัสมากขึ้น ทุกวันนี้ VI หลายคนก็น่าจะใช้กัน
ผมมองว่า super stock ที่น่าลงทุนในไทยหาได้ยากขึ้นทุกที เพราะจะเป็น super stock ต้องมีครบทั้งสามปัจจัยได้แก่
1. DCA (Durable Competitive Advantage)
2. Growth
3. ราคาหุ้นสมเหตุผล
ซึ่งในเมืองไทย ส่วนตัวผมว่าหุ้นที่มีทั้ง 3 ข้อหาได้ยาก ถ้ามี 2 ข้อแรก ราคาจะแพงมาก
ในขณะที่ DCA ของหุ้นในไทยก็ไม่ได้แกร่งเท่ากับหุ้นต่างประเทศ
ผมเคยเขียนบทความเรื่องปราการที่เปลี่ยนไป (มีทั้งหมดสองตอน)
พูดถึงDCAที่เริ่มเปลี่ยนไป
DCAประกอบไปด้วย (ตรงส่วนนี้ขออนุญาตนำบทความที่คุณตู้เขียนไว้เข้ามาเสริม โดย DCA ในนิยามของคุณตู้คือ 10 ปีขึ้นไป)
1. Brandที่แข็งแกร่งมากๆ
Brand ทำให้ลูกค้าไม่อยากเปลี่ยนซึ่งสำหรับผมแล้วมี Brand ที่เข้มแข็งระดับจะเป็น Durable แค่ 3 ประเภทคือ
1.1 (Very Very) Luxury Brand หรือสินค้าที่ไว้บ่งบอกสถานะอย่าง Hermes หรือ Rolex
1.2 Character Brand อาทิเช่น Brand ของดาราศิลปินตัวการ์ตูนหรือสโมสรฟุตบอล
1.3 Brand ที่เกี่ยวกับสุขภาพร่างกายเช่นโรงพยาบาลหมอศัลยกรรมหรือเครื่องสำอางจำพวก Skin Care
แบรนด์ประเภทอื่นๆที่เหลือผมว่าไม่ได้เข้มแข็งมากมายระดับเกิน 10 ปีลูกค้าพร้อมจะลองและเปลี่ยนได้เสมอ
2. Patent สิทธิบัตรหรือสัมปทาน สัมปทานข้อนี้ผมว่าชัดเจนสุดเลยคือเป็นอะไรที่เกี่ยวกับข้อกำหนดของรัฐทำให้คู่แข่งเข้ามาไม่ได้บริษัทในไทยได้แก่บริษัทที่บริหารท่าอากาศยาน
3. Market share & Economy of scaleข้อนี้มักจะเป็นข้อได้เปรียบในด้านของ First Mover คือมาจากการที่คนทำก่อนยึดครองตลาดได้รวดเร็วกว่าทำให้มี Market Share มากกว่าและส่งผลให้ต้นทุนต่ำกว่าอย่างไรก็ดีข้อนี้ต้องระวังเสมอ Kodak หรือ Nokia เองก็เคยเป็น Market Leader วันดีคืนดีอาจมี Disruptive Innovation มาทำลายล้างธุรกิจของเราก็ได้
4. Network effect เช่นบริษัทFacebook , Google ที่ผลิตOS android ขึ้นมา,Appleที่ผลิตIOSขึ้นมา
( ในส่วนนี้ความถี่ในการใช้เป็นปัจจัยสำคัญ เมื่อคนใช้แล้วติด คนที่จะติดต่อด้วยก็ต้องใช้เหมือนๆกัน เช่น android ช่วงแรกคนใช้น้อยมาก แต่เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีแบบเปิด ทำให้มีการพัฒนาapplicationให้กับ androidมากขึ้น ถ้าคุณต้องการใช้แอปเหล่านี้ก็ต้องใช้มือถือที่ใช้ OS android
หรือ ตัวอย่างของ Microsoft windows & office คนใช้งานกันจนคุ้นเคยยิ่งมีคนใช้มากเท่าไหร่ ทำให้เกิดnetwork effect คนที่ต้องการติดต่อด้วยก็ต้องใช้officeเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาตัวอักษรไม่ตรงกัน หรืออ่านไม่รู้เรื่อง )
5. Experience effect คล้าย Learning curveซึ่งเป็นส่วนนึงของ Network effectเป็นสิ่งที่คนยังไม่ focus มันพัฒนาไปเรื่อยจนจุดหนึ่งคู่แข่งตามไม่ทัน ตัวอย่างชัดๆ คือพวก Big data เมื่อบริษัทมีข้อมูล/know how มากระดับหนึ่งแล้ว คู่แข่งใหม่จะเลียนแบบข้อมูลนั้น ทำไม่ได้ (เช่น Google search, Facebook, Intel)
(สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้จากLink ของ Snowball page https://goo.gl/4rn521 , https://goo.gl/tmTLvO)
ถ้าดูหุ้นในไทย ส่วนใหญ่ไม่เกินสามข้อ ข้อสี่และห้าหายากในบริษัทของไทย
ผมดูหุ้นต่างประเทศ เช่น Facebookมี 4 ข้อ ขาดแค่ข้อ patent ที่อาจมีบ้าง แต่ไม่ได้สำคัญอะไร
ถ้าดูข้อ 5. Experience effect จะเห็นว่า Facebookสะสมข้อมูลที่เราโพสเรื่อยๆเป็นสิบปีถือเป็นBig data
เป็น DCA ของ Facebook เป็นไปไม่ได้ที่จะไปขายข้อมูลนี้ให้คู่แข่ง
ดังนั้นหุ้นต่างประเทศบางตัวมีDCA ในนิยามของผมมากกว่าสามข้อ เยอะกว่าหุ้นในไทย
อย่าง Facebook คือมีทั้งDCA,Growthแต่ราคาเป็นอีกเรื่องนึง
หลายคนชอบถามว่าทำไมชอบไปลงทุนในต่างประเทศ
ผมตั้งคำถามตัวเอง อยากถามกลับว่าทำไมต้องลงทุนเฉพาะในไทย
ถ้าเรากรอบตัวเองเป็นนักลงทุนไทย ทำให้เราไม่มีแม้แต่จะโอกาสจะไปศึกษาเรื่อง bit coin ซึ่งราคาขึ้นมาถึง4-5000$ คิดเป็น 4-5 เท่าจากต้นปี
คุณบอล บอกว่าเป็นประเด็นที่ดี หุ้นที่เป็นsuperstockมีแต่ราคาในไทยแพงไปแล้ว
Q: คุณลงทุนแมนเป็นคนลงในตลาดหุ้นUSเมื่อ5ปีที่แล้ว ทำไมไปลงทุนที่นั่นครับ
A: แนวทางการลงทุน เราเข้าใจอะไร อยู่กับอะไร สังเกตรอบข้างว่าวันๆอยู่กับมือถือ
ก็เดาว่าทุกคนก็เหมือนๆกัน
ทุกคนใช้มือถือเปิดFacebook , Line , Instagramเพราะทุกคนอยากรู้อยากเห็น
เราก็ลงทุนในสิ่งที่เข้าใจแต่สงสัยว่า lipstick no.9 ทำไมโต ไม่เข้าใจ
สมมติว่าPE&Growthเท่ากัน ก็น่าจะเลือกบริษัทที่เราเข้าใจในการเติบโต
เช่นซื้อFacebookเรายังเข้าใจกว่า ซื้อบริษัทค้าปลีกเครื่องสำอางในไทย
คนสามารถขายสินค้าในFacebook ได้กลายเป็นวงจรธุรกิจไป
ทำให้Facebookมีรายได้เข้ามาตลอดเวลา
สไตด์การลงทุนช่วง5ปีแรก portในต่างประเทศเล็กกว่าในประเทศ
แต่ตอนนี้มูลค่าหุ้นของต่างประเทศโตขึ้นทำให้ portในต่างประเทศโตกว่าในประเทศ
บริษัทใหญ่สุดในโลก5บริษัทเป็นบริษัททางด้านเทคโนโลยี เมื่อก่อนmarket capเล็กกว่าGDP Thailand
แต่ตอนนี้ทุกบริษัทใหญ่กว่า GDP Thailand ทั้งหมด แปลว่าบริษัทพวกนี้โตเร็วกว่า
อันดับห้า Amazon มีmarket cap15 ล้านล้านบาท
เริ่มจากการขายหนังสือonline E-commerce Amazon web service
รายได้มาจาก ค้าปลีกonline 60%
Amazonมีลำโพงอัจฉริยะชื่อ echo สามารถใช้เสียงสามารถสั่งนมโดยไม่ต้องเดินไปซื้อจากหน้าปากซอย
ที่US supermarketห่างไกลจากบ้านมาก
AI ไม่ต้องใช้มือกด ใช้เสียงพูด
รายได้20% เป็นAmazon media
รายได้10%เป็น Amazon web service,
คนจะเช่าserverแทนการซื้อ ถ้าเราไม่มีwebsiteของตัวเองอาจไม่เห็นภาพ
อันดับสี่ Facebook market cap 16ล้านล้านบาท
97%ของรายได้มาจากโฆษณา อีก3%เป็นรายได้อื่นๆ
เขาFocus Adsมาก คนชอบโฆษณาเพราะสามารถtarget ไปที่เพศไหน อายุเท่าไหร่ก็ได้
FB มี AI look alikeสามารถcreate ลูกค้ากลุ่มใหม่ได้เลยจากข้อมูลลูกค้าเดิม
โดยไม่ต้องไปเปิดหน้าร้าน จะdisruptretail shop
ทุกคนคิดว่าdisrupt adsอย่างเดียว จริงๆdisrupt retail shopด้วย
รวมCokeด้วย คนเดินน้อยลง ทำให้หยอดเหรียญซื้อcokeน้อยลง
อันดับสาม บริษัทเก่าแก่ Microsoft market cap 19 ล้านล้านบาท
สัดส่วนรายได้แต่ละproduct
Windows 9%, Microsoft office 28% ,
Microsoft server 22%
Xbox 11%
ไม่ได้ขายProgram เช่นMicrosoftถาวร แต่จ่ายเป็นรายเดือนหรือรายปี
แสดงว่าเราจ่ายไปโดยไม่รู้ตัว
Switching costสูงเพราะเราไม่เวลาไปเรียนรู้โปรแกรมอื่นแล้ว
อันดับสอง Alphabet เป็นบริษัทแม่ของGoogle มีmarket cap 21 ล้านล้านบาท
รายได้ 80% มาจากโฆษณาบนGoogleAbwords,Googleadsence, Youtube
รายได้ 11% มาจาก Google play, Pixel ,Android
ต่อไปคนไม่ต้องอ่านหนังสือเป็นเล่มๆ เพราะในตลาดมีหนังสือเป็นล้านล้านเล่ม
เปลี่ยนวิธีการอ่านหนังสือ ชอบเรื่องไหนก็หาอ่านเป็นเรื่องๆไป
Google สาขาประเทศไทย เป็นอีก 1 บริษัทที่ถ้าอยู่ในตลาดหุ้นไทย จะใหญ่พอๆกับ Facebook สาขาประเทศไทย
บริษัทPricelineเจ้าของกิจการagoda/bookingยอมจ่ายเงินให้ googleไม่อั้นถ้ายังทำให้เขามีได้รายได้จากการจองโรงแรมจองท่องเที่ยว
สิ่งที่น่าสนใจ คือ pricelineไม่มีโรงแรมของตัวเอง
มีแต่ platform กลับสามารถทำรายได้มากกว่า 4 เชนโรงแรมใหญ่รวมกัน
อันดับหนึ่ง Apple 27ล้านล้านบาท ใหญ่กว่าGDP ไทย สองเท่า
ปีหน้าอาจไม่ใช่
สัดส่วนรายได้ของApple
Iphone 63%,mac 11%, ipad 10% ที่เหลือเป็น icloud
เคยเปรียบเทียบกับPTT แล้วพบว่าใช้สินทรัพย์น้อยกว่า เป็น Light asset
ปตท ต้องลงทุนสินทรัพย์เยอะ ทำให้บริษัทต่างชาติเข้ามายากในสมัยก่อน
LOCAL เลยสร้างขึ้นมาได้ในช่วงนั้น
แต่ตอนนี้ Facebook,Googleเข้ามาง่าย เติบโตเร็ว
บริษัท Saudi Aramcoมูลค่าใหญ่กว่าapple 2,000 ล้านล้านเหรียญ
ทำไมถึง IPO เพราะว่าเจ้าของมองว่าresourceในอนาคตจะไม่ใช่น้ำมันแล้วหรือเปล่า
อาจเป็นLithiumหรือเปล่า
Q: ถามคุณตู้ Resouceที่สำคัญที่สุดคืออะไร
A: คุณตู้บอกว่าResouceที่สำคัญสุดคิดว่าคือข้อมูล คนที่มีdataสุดท้ายเป็นผู้ชนะ
แต่ถ้ามองเฉพาะธุรกิจด้านพลังงาน Lithiumอาจจะเป็นผู้ชนะก็ได้
คุณลงทุนแมนเสริมว่าราคาหุ้นNvidiaเพิ่มเป็น10เด้ง เนื่องจากการประมวลผล
ต้องใช้GPU ซึ่งnvidiaเป็นเจ้าตลาด
หรือ memory chipสำหรับเก็บข้อมูลSamsung ก็เป็นเจ้าตลาดอยู่
เจ้าตลาดอาจshiftไปเรื่อยๆ ไม่ใช่น้ำมันอีกต่อไป ไฟฟ้าอาจได้ฟรีๆจากพลังงานแสงอาทิตย์
Q: คุณบอลถามเกี่ยวกับสาเหตุที่ลงทุนในบริษัท Nvidiaซึ่งขึ้นมาเยอะแล้ว
A: คุณตู้กล่าวถึง AI Theme ก่อน
AI คือสมองจักรกล สมองเทียมที่สร้างขึ้นเลียนแบบคน
ดูจากAlpha Go เมื่อสองปีก่อน
ปีที่แล้วเอาชนะผู้เล่นอันดับที่สี่ของโลก ผ่านมา 1 ปีเอาชนะอันดับหนึ่ง
แต่ถ้าใครตามลึกๆ จะทราบว่านอกจาก Alpha Go จะเก่งขึ้นมาก ยังใช้พลังการประมวลผลน้อยลง10เท่าเมื่อเทียบกับพลังงานที่ต้องใช้เพื่อเอาชนะผู้เล่นอันดับที่4เมื่อปีก่อน
คุณลงทุนแมน เสริมว่าถ้ามองว่า Alpha Goไกลตัว
ก็หันมามองnews feed ดูข้อมูลอะไรที่สนใจ มันก็จะfeedกลับมาให้
คุณตู้กลับมาต่อว่า AI Themeประกอบด้วยปัจจัยสำคัญ 5 ข้อได้แก่
1.Dataยิ่งข้อมูลเยอะยิ่งฉลาด
2.chipประมวลผลด้านข้อมูล CPU/GPU
3.Time ต้องมีเวลาใครเริ่มก่อนได้เปรียบ
4.Engineer
5.Infrastructure platform
ขอเสริมข้อ 3 คือเรื่องเวลา ถือว่าน่าสนใจ
AI คล้ายสมองมนุษย์ ใครเริ่มก่อนเหมือนเด็กที่โตกว่าคนเริ่มทีหลัง
Phaseใหญ่ๆ มี 2 Phase คือการเรียนรู้ Training แล้วเป็นInferencing(Apply)
ตอนTraining ใช้เวลาเยอะ ใส่ Input ไปเยอะ แต่ได้ Output ออกมาน้อย เหมือนเด็ก
หลังเข้าที่แล้วใส่ Input น้อยลง แต่ได้ Output มากขึ้น เหมือนผู้ใหญ่
AI เรียนรู้ไปเรื่อยๆจนสุดท้ายใช้Input น้อยลงแต่จะฉลาดขึ้นแบบก้าวกระโดด
คุณลงทุนแมน บอกว่าวิวัฒนาการของAIคล้ายสมองมนุษย์
โลกผ่านมา4,500ล้านปี มนุษย์อยู่รอดเพียงเผ่าพันธุ์เดียว
เทคโนโลยีพัฒนามาใช้เวลาแค่200ปี
AI ไปเร็วกว่านั้นจากกฎของมัวร์การประมวลผลจะก้าวกระโดดทุกๆ14เดือน
จนถ้ามองไปอีก28ปีข้างหน้า
Singularity คือจุดที่สมองคอมพิวเตอร์ฉลาดขึ้นอีก 16 ล้านเท่า
ใครอายุ30-40ปี มีโอกาสมีชีวิตตลอดไป แต่จะเป็นอย่างไรต้องติดตามต่อไป
คุณตู้ บอกว่า Homo sapiensเกิดมาหนึ่งแสนปีแต่เทคโนโลยีเพิ่งพัฒนาจริงจังในช่วง 1-2 ร้อยปีที่ผ่านมา
คอมพิวเตอร์เร็วสุดเมื่อร้อยปีที่แล้วยังช้ากว่ามือถือของพวกเราในห้องนี้หลายเท่า
เมื่อ 200 ปีก่อนอายุคนเฉลี่ยยังอยู่แค่ราว40ปีอยู่เลย
การเกิดคอมพิวเตอร์ ไฟฟ้า รถยนต์เพียง100-200ปีทำให้ GDP เติบโตแบบก้าวกระโดด อายุเฉลี่ยคนก็สูงขึ้นเรื่อยๆ
ลองย้อนนึกสมัยก่อนมนุษย์อายุแค่40กว่าปีถ้ามีคนบอกว่าในอนาคตอาจถึง 100 ปี คนคงหาว่าบ้า
การพัฒนาเทคโนโลยีในทุกวันนี้มุ่งเน้นให้คนมีอายุยืนยาวขึ้นในอนาคตอาจเป็นอย่างที่คุณลงทุนแมนว่าก็ได้
คุณลงทุนแมน บอกว่าคนพิการไม่มีแขน แค่มีเครื่องช่วยในการสั่งการจากสมอง
สมองสามารถไปเก็บไว้ที่นึง และโคลนนิ่งข้อมูลในสมองไปอยู่อีกร่างนึง
เมื่อก่อนมี phone link ก็กลายเป็น Iphoneใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงน้อยลงเรื่อยๆ
มีกฏหนึ่ง เรียกว่า The Six D’s มี 6 Step
1.Digitalizationจะdisrupt กล้องถ่ายรูปธรรมดาหายไป เป็น กล้องดิจิตอล เช่นแปลงภาพเป็น .jpg
2.Deceptionก่อนสิ่งของจะหายไป คิดว่าไม่น่าเป็นไปได้
รถไฟฟ้าไม่น่าจะมาแทนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันหรือ นิตรสารก็ถูกแทนด้วยFacebookไป
3.Disruption
( เป็นเทคโนโลยีที่มาทดแทนของเดิม เช่น UberจะdisruptTaxiแบบเดิม หรือ Instagram disrupt kodak)
4.Demonetizationเมื่อก่อนต้องเสียเงินค่าสมัครดูเคเบิ้ลทีวี ต่อไปไม่มีการเก็บเงิน สามารถดูจากช่องทางอื่นได้
5.Dematerializationของหลายอย่างจะหายไป เช่น กล้องDLSR จะหายไป
เครื่องคิดเลขก็หายไปรวมถึงแผนที่ ทุกอย่างอยู่ในมือถือ
ตัวเราเหมือนอยู่ในโลกเสมือนต่อไปเราก็จะหายไปด้วย
6.Democratizationทำให้ทุกอย่างเป็นประชาธิบไตย
เช่น Facebook, Uberรัฐบาลของแต่ละประเทศไม่สามารถเก็บภาษีจากบริษัทเหล่านี้ที่อยู่ต่างประเทศ
เวเนซูเอล่า มีเงินเฟ้อมาก คนเข้าไปขุดBitcoin แต่จะมีปัญหามากขึ้นจีนก็แบนไม่ยอมรับBit coin
จะสู้กันระหว่างเสรีนิยม กับ รัฐบาลที่บังคับให้อยู่ในกฎ
Etherliumเจ้าของอายุ23ปี เงินสกุลนี้ทำให้มีICO (เหมือนกับIPO คือออกเหรียญใหม่)สกุลเหรียญใหม่ขึ้นมาเช่น
Omiseเป็นบริษัทที่ร่วมลงทุนในไทย market cap 30,000 ลบ ซึ่งcreate value ขึ้นมาเร็วมาก
ตอนนี้จะเกิดในฝั่งตะวันออก technologyเร็วกว่าฝั่งตะวันตกซึ่งยังใช้บัตรเครดิตกันอยู่เลย
Q: อุตสาหกรรมไทยที่ถูกกระทบ และ กระทบอย่างไร
A: คุณตู้บอกว่าขอเล่าเรื่องหนึ่งก่อนจะตอบคำถามนี้
คนฟังอาจรู้สึกว่าที่พูดกันมานี่ไกลไปแล้วหรือเปล่าคงมี 2 คำถามเกิดขึ้นว่า 1. ที่พูดๆ กันจะเป็นจริงมั้ย2. จะเร็วแค่ไหน
มีกฏข้อหนึ่งชื่อ Law of accelerating returns
ทุกคนส่วนใหญ่คิดว่า
หนึ่ง อะไรที่เกิดขึ้นในอดีตก็เกิดในอนาคตเหมือนกัน
สอง การพัฒนาของเทคโนโลยีในอนาคตจะพัฒนาแบบเป็นเส้นตรง ใช้เวลาเท่ากันกับในอดีต
แต่จริงๆแล้วปัจจุบันเปลี่ยนแปลงเร็วมาก การพัฒนาไม่ได้เป็น Linear แต่เป็นแบบ Exponential
รถยนต์Teslaไม่ต้องเปลี่ยนhardware แต่เปลี่ยนที่softwareก็สามารถเปลี่ยนความเร็วได้
ตัวอย่างในไทยขอเล่าปรากฎการณ์ “ลำไยไหทองคำ”
คนเป็นนักร้อง สมัยก่อนต้องย้ายมากรุงเทพ อยู่แฟลต เป็นนักร้องตามคาเฟ่ บางคนเริ่มจากเป็นเด็กเสิร์ฟ
ร้องดี ร้องเพราะ มีคนบอกต่อ เริ่มมีแมวมองมาฟัง
ก็ไปออดิชั่นที่ค่ายเพลงโดยแมวมองชวน ถ้าผ่านก็ออกเทป และส่งขาย กว่าจะดังก็ต้องรอโปรโมทผ่านสถานีวิทยุ
แต่ลำไย ไหทองคำ ใช้แค่ตัวเอง มือถือ อินเตอร์เน๊ต ใช้เวลานิดเดียว ในการทำให้เพลงตัวเองมียอด view สูงสุดในประเทศ
ถามว่าปรากฏการณ์นี้มี party ไหนหายไปบ้าง
การเกิดtechnology&AIจะทำให้ตัวกลางส่วนใหญ่หายไป
ลองนึกๆ ว่าคนเราบริโภคอะไร
มี product , service content
Content เปลี่ยนแปลงเร็วทีสุด เพราะไม่ต้องใช้material
Product อาจช้ากว่า แต่เริ่มมีให้เห็นแล้ว
Amazon ในอนาคตอาจมีแค่supplierแล้วใช้ AI ส่งของ ไม่ต้องจ้าง DHL, Fedexแล้วก็ได้
สุดท้าย ตัวกลางที่จะถูกแทนที่ก็คือ “ตัวมนุษย์เอง”
AI เก่งเรื่องการทำซ้ำฟัง, เห็น, อ่าน, คิด ทุกวันนี้ AI ทำได้ดีกว่าคนหมดแล้ว
แค่ตอนนี้AI ยังไม่สามารถรวมความเก่งแต่ละเรื่องเข้าด้วยกัน
AI เข้าใจภาษา ,วาดรูป,เล่นโก๊ะ
มันจะโตขึ้นๆ สุดท้ายจะแทนที่คนแต่แค่ไม่สามารถรวมตัวกันเป็นอยู่ร่างเดียวกันในตอนนี้
Q: ถามคุณลงทุนแมน ร้านสะดวกซื้อ และ ห้างสรรพสินค้าจะถูกdisruptหรือไม่
A: Merry king เป็นตัวอย่าง เมื่อก่อนคู่มากับเซ็นทรัล
อยู่กับการปรับตัวได้เร็วก็อยู่ได้
ส่วนผู้ประกอบการใหม่ที่ไม่มีplatform เช่น Lazadaก็เข้าได้ง่าย
Product,contentดี ก็สามารถโตได้
ธุรกิจอาหาร สามารถขายonline ผ่านทาง Lineman
JQ ปูม้านึ่ง ใช้platform Facebook ยอดขาย 600 ลบต่อปี
บริษัท Wxxkเกิดได้จาก Facebookบอกต่อ และ contentดี
รายได้โต กำไรโต contentดีมาก แต่ช่องทีวีสนามเป้าไม่มีcontent หรือ Woodyดูดีกว่า อีก
แต่สถานีช่องที่มีละครที่คนกรุงเทพติดกันเมื่อก่อนมีcontent และ ผูกขาดทั้งด้านละครและข่าว
ตอนนี้ไม่ใช่ผูกขาด คนสมัยนี้ดูcontentมากกว่า
บางทีวัยรุ่นสมัยนี้ไปดูคนพากย์การเล่มเกมก็มี
คนที่มีcontent หรือ สินค้าที่ดีก็ขายได้ เช่น มาม่า อาจสั่งซื้อจากที่อื่นที่ไม่ใช่ห้างก็ได้
เราไปหาอะไรที่ดีแต่ถูกplatformที่ผูกขาดอยู่ พอถึงเวลาที่ไม่มีการผูกขาด ได้เวลาที่จะลงทุน
แต่ถ้าเป็นบริษัทที่เป็นตัวกลาง เราพยายามหลีกเลี่ยง
และหุ้นต้องเป็นuniverseมากขึ้น ทำให้เรามีตัวเลือกมากขึ้น
Forward PE 20-30 เท่าของFB,Googleเราก็สามารถเลือกได้
ยูนิโคล ซาร่า รองเท้าไนกี้ อดิดาส สตาร์บัคส์ เป็นแบรนด์ต่างประเทศที่อยู่รอบตัวเรา
ประเทศไทยเล่น Facebook 25ล้านราย มากสุดในโลก
เวลาทดสอบก็มาทดสอบในไทย เราจะรู้ก่อนว่าworkหรือไม่
Messenger จะเข้ามาบังคับว่า ต้องจ่ายในFBซึ่งจะdisruptธนาคารไป
แต่ผู้บริโภคได้รับประโยชน์
เมื่อก่อน จะส่งsmsจะคิดแล้วคิดอีกก่อนส่ง
เหมือนการโอนเงิน ถ้ามีใครทำได้ฟรีคนก็จะเทไปทางนั้น
Portionค่าธรรมเนียมลดลง ธนาคารอาจจะไปขายappหรืออื่นๆแทน
ROV เจ้าของคือ Garenaซึ่งเป็นเจ้าของAir pay ไว้เติมเงินเล่นเกม
ถือเป็นตลาดใหญ่มาก
เราต้องดูuniverseทั้งหมด
A: คุณตู้ฟังมาทั้งหมด ตอนนี้คนฟังคงมี 3 คำถามที่ต้องคิด
1. คุณตู้ AI จะมาแทน VI ไหม
2. หุ้นที่เราถือจะโดนdisruptหรือไม่
3. เราควรลงทุนในอะไร
คุณตู้บอกว่าข้อแรกข้ามไปก่อนเลย มันToo soon to tell ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดเพราะยังไงเราก็ลงทุนอยู่
ที่เราคุยกันอยู่คือข้อ 2 และ 3
AI จะกระทบธุรกิจ ธนาคาร ค้าปลีก mediaที่คุณลงทุนแมนพูดถึงก่อนหน้า
อีกอันที่ผมคิดว่าเป็นไปได้และน่าหยิบมาพูดคือโรงพยาบาล
อีกสัก10-20ปีข้างหน้า โรงพยาบาลซึ่งมี5ข้อFive Forceดีมาก อาจจะค่อยๆเปลี่ยนไป
แบ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เป็น 2 phase
Phase I ทุกวันนี้จะเป็นการleverageความสามารถ เช่นร้านอาหารเจ้าดัง มีคนช่วยส่ง ไม่มีหน้าร้าน
แม้แต่ FB , Youtubeก็มีการleverageไปต่างประเทศได้รวดเร็ว
ตอนนี้สมมติหมอหนึ่งคนรักษาคนไข้ได้ 10 คนต่อวัน ต่อไปอาจรักษาได้100คน
ตอนนี้อาจยังไม่เกิดปัญหาเพราะขาดแคลนหมออยู่
แต่ต่อไป หมอที่ไม่เก่งอาจจะมี value ลดลง
เปรียบหมอเหมือนโรงงานผลิตน้ำ
หมอเก่งทุกวันนี้เหมือนคนงานที่เก่งในกรอกน้ำ แบกน้ำจนมาวันนี้เครื่องจักรมาแทน
ในวันนั้นหน้าหมอเก่งก็อาจเป็นคนคุมเครื่องจักร คุม AI ไม่ต้องกรอกน้ำเองแล้ว
phase II เราถือหุ้นโรงพยาบาลPE 40 เท่าแต่growth 10-15% เราคงคาดหวังจะให้ โรงพยาบาลไม่เจ๊งตลอดไป
โลกของเรา ตอนนี้การรักษาตอนเป็นโรคแล้ว แต่อีก30-40ปีจะเป็นโลกของการpreventโรค
เช่น การขับเคลื่อนอัตโนมัติ สาเหตุที่errorส่วนใหญ่มาจากคนคนทำให้เกิดอุบัติเหตุ ก็จะเปลี่ยน
Self driving car เกิดขึ้นเพื่อลดอุบัติเหตุ
โรงงานผลิตอาหารต่อไปก็ใช้robotหมดเพราะเน้นความสะอาด
ทุกวันนี้ มีเทคโนโลยีที่เรียกว่าCRISPR/Cas9
(รายละเอียดดูจาก https://www.youtube.com/watch?v=2pp17E4E-O8)
การตัดต่อพันธุกรรมหรือmappingยีน
จากราคาเป็นล้าน USD เหลือหลักพัน
ใช้เวลาน้อยลงจาก 1 ปีเหลือ 80 วัน หรือ ใช้นศแพทย์ ทำในห้องแลบธรรมดาก็ทำได้แล้ว
ร่างกายเรามียีนส์20,000 ตัว แต่ ยีนส์ที่ทำให้เกิดมะเร็ง อาจมีแค่ไม่กี่ตัวแค่ตัดทิ้งออกไปก็ป้องกันการเกิดมะเร็งได้แล้ว
ตอนนี้ทดลองกับหนู กับ ยุง
เราเปลี่ยนหนูสีขาวเป็นหนูสีดำ แค่เปลี่ยนยีนไม่กี่ตัว
โรคมาเลเรียฆ่าคนเยอะสุด สาเหตุจากยุงเป็นพาหะ
ก็เปลี่ยนพันธุกรรมไม่ให้เป็นโรคมาเลเรีย และเปลี่ยนตาเป็นสีแดงจะได้รู้ว่าเป็นตัวที่แก้ไขแล้ว
หลังจากนั้นก็ปล่อยให้อยู่กับยุงตาสีขาว ทำให้เกิดแผ่พันธุ์
สุดท้ายทำให้ยุงทั้งหมดตาสีแดง ไม่เกิดโรคมาเลเรีย
สุดท้ายโรงพยาบาลเลยอาจมี value ลดลงไปจากเดิม
คำถามอีกข้อคือเราจะลงทุนอะไรดี
เนื่องจากเวลาเหลือน้อย ขอยกตัวอย่างคร่าวๆ (ต้องไปศึกษาต่อเองไม่ใช่ลงทุนได้เลย)
1.ลงในตัวผู้สร้างAI ex Google, amazon ,FB
2.ลงทุนในผู้มีdata คล้ายกับกลุ่มแรก Baba, Tencent
3.ผู้ผลิตhardware เช่น mobileye,intel,nvidia
4.เจ้าของservice,product, content ที่ได้ประโยชน์จาก AI ex Disney, marvel, DC
5.เจ้าของservice,productทีไม่เสียประโยชน์ เช่น กระเป๋าHermes, Louis Vuitton (superstar economy)
Q: ถามคุณลงทุนแมน หุ้นต่างประเทศไกลตัวมาก หาข้อมูลอย่างไร
A: เอาสิ่งที่เราคุ้นเคย เราไม่ได้ใช้อะไรก็อย่าไปยุ่ง
หาข้อมูลจากgoogleเช่น search หา Amazon IR
การคัดเลือกหุ้น คาดเดายากว่าใครแพ้ใครชนะ ตัวอย่างเช่นsnapchatถูกรุมจากFacebook
ถ้าให้ปลอดภัยให้ลงใน5บริษัทที่ครองโลกแล้ว
Q: ถามต่อว่าการvaluationดูตรงไหนบ้างและจะทำvaluationอย่างไร
A: คุณลงทุนแมน ตอบว่าคล้ายกัน FBบางช่วงเดาง่าย ส่วนGoogleบางช่วงก็มีโอกาสลงตอนPE 20
ถ้าvaluationไม่ได้ เช่น Line กำไรยังไม่โผล่ ต้องbetว่ากำไรจะมาเมื่อไหร่
อาจลงแค่ส่วนนึงก็พอ คล้ายหุ้นไทย adaptอย่างไรก็ไปทำในต่างประเทศ
อีกประเด็น บางทีไม่ต้องหุ้นชนะ แต่ไปลงในหุ้นpanicทุกคนมองว่ามันแย่หมด
เช่น GM ผลิตรถ 10ล้านคัน PE5เท่า แต่ Teslaผลิตรถแค่หลักหมื่นคัน ไม่มีกำไร
อาจเป็นโอกาสหรือเปล่า
BMW PE 7 เท่าเอง เป็นเจ้าของbrand
ต่อให้มีคนใช้รถEVแต่ก็มีคนใช้รถพวกนี้เหมือนhermes
บริษัทประกัน คนคิดว่ารายได้ลดจาก รถขับเคลื่อนด้วยตัวเอง ทำให้อุบัติเหตุน้อยลง จะขายประกันได้น้อยลง PEเลยต่ำ ตลาดอาจจะกลัวเกินไป
A: คุณตู้บอกก่อนว่าการลงทุนในต่างประเทศ อาจไม่ใช่ว่าเหมาะกับทุกคน
อะไรที่คุ้นเคยและเห็นอนาคตในอีก3-5ปี ยังไม่เปลี่ยนแปลงเราควรลงทุน
แต่ทำใจยอมรับ ซื้อหุ้นsuper stockที่แพงแล้ว ยอมรับผลตอบแทนที่น้อยลง
ส่วนสินค้าทดแทน เราจะคิดเพิ่มว่าบริษัทที่เราลงทุนถูกทดแทนหรือเปล่า
เรื่องข้อมูลทุกวันนี้มีเยอะแยะมากมาย
เอาง่ายๆ แค่อ่านจากเพจลงทุนแมน อ่านครบหมดยัง
ต่างประเทศราคาหุ้นไปตามงบการเงินหุ้นBigcapดูfair gameกว่า
หาproductรอบตัวที่เราใช้ เราเห็นพัฒนาการ
อ่านจาก Seeking Alhpa Website เป็นwebsiteที่มีข้อมูลเยอะ รวมถึงoppdayของUSเป็นเฉพาะเสียง
(https://seekingalpha.com/)
Transformเป็นอักษรได้ด้วย มีคนมาวิจารณ์ด้วย
เรื่องvaluation หลีกเลี่ยงหุ้นที่valuationไม่ได้
Amazon ดู PE ไม่ได้เพราะมีcarpexเยอะ
Google , Facebook ดูforward PEแค่ 30 กว่าเท่า
Nvidia forward PE ปีหน้าก็แค่30กว่าเท่าคิดว่าคล้ายๆ ซื้อหุ้นอย่าง beauty เพราะ PE พอๆ กัน
ส่วนTesla จินตการระยะยาวยาก เพราะคู่แข่งก็พยายามพัฒนา ไม่ยอมแพ้tesla
คุณลงทุนแมนเชื่อว่า teslaจะมีแบรนด์รถหลายๆแบรนด์มาแข่ง เหมือนกระเป๋าแบรนด์เนม
Q: อยากให้ฝากข้อคิดกับนักลงทุน ควรปรับตัวอย่างไร หรือเคล็ดลับในการลงทุน
A: คุณลงทุนแมน บอกว่า หลับตามองรอบตัวเรา และตื่นมาที่ท้องถนนมีบริษัทอะไรบ้าง
ทุกคนใช้อะไรที่ร่วมกันบ้าง
คุณตู้ บอกว่า 2-3ปีที่ผ่านมาทำสิ่งหนึ่งที่ทำให้ตัวเองดี การปฏิบัติธรรม ทำให้เปลี่ยนแปลงการคิดวิเคราะห์
มีสติมากขึ้น ทุกข์น้อยลง ทุกวันนี้ทำมาปีกว่ามีผลมหาศาล
เริ่มแบบง่ายๆ เช่น แปรงฟันก็ให้รู้ตัวว่าแปรงฟัน สวดมนต์ก่อนนอน5-10นาที
หรือให้หลับตา เพื่ออยู่กับลมหายใจ อย่าฝืนทำให้ตรงกับจริตของเรา
สุดท้ายขอขอบคุณ คุณลงทุนแมน คุณมานะ และ คุณบอลมากๆครับที่มาแชร์ความรู้ให้เราฟังครับ
Website บทความ หรือ คลิปที่แนบมา ต้องขอบคุณคุณมานะที่มาแชร์ด้วยครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 728
- ผู้ติดตาม: 0
Re: งานสัมมนาVI 2/60 Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI?
โพสต์ที่ 2
ขอบคุณครับ
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: งานสัมมนาVI 2/60 Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI?
โพสต์ที่ 3
สุดยอดทั้งคนถาม คนตอบ และคนสรุป
ขอบคุณมากๆ นะครับ
ปล. เห็นคุณตู้พูดเรื่องปฏิบัติธรรมแล้วก็คันไม้คันมือ 555
ขอเพิ่มเติมนิดนึงว่า การปฏิบัติธรรม จะช่วยให้สัญชาตญาณในการมองอนาคตคมขึ้น ญาณปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมอันหนึ่งเรียกว่า อนาคตังสญาณ ซึ่งถึงแม้ญาณอันนี้จะยังไม่ถูกฝึกอย่างแก่กล้าขนาดเรียกใช้ได้ เห็นแจ้ง แบบนอสตราดามุส แต่การฝึกปฏิบัติธรรม ถ้าทำอย่างถูกวิธี จะช่วยพัฒนาญาณอันนี้ให้เกิดขึ้น จนเกิดความรู้ในสิ่งที่จะเกิดขึ้นบางอย่าง อย่างที่ใช้เหตุผลทางโลกอธิบายชัดๆ ไม่ได้
นอกจากนี้การปฏิบัติธรรมจะช่วยให้ประสิทธิภาพการประมวลผลของสมองสูงขึ้น จึงเกิดสภาพที่คุณตู้บอกว่า ใช้ข้อมูลน้อยลง แต่ได้ผลมากขึ้น
ขอบคุณมากๆ นะครับ
ปล. เห็นคุณตู้พูดเรื่องปฏิบัติธรรมแล้วก็คันไม้คันมือ 555
ขอเพิ่มเติมนิดนึงว่า การปฏิบัติธรรม จะช่วยให้สัญชาตญาณในการมองอนาคตคมขึ้น ญาณปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมอันหนึ่งเรียกว่า อนาคตังสญาณ ซึ่งถึงแม้ญาณอันนี้จะยังไม่ถูกฝึกอย่างแก่กล้าขนาดเรียกใช้ได้ เห็นแจ้ง แบบนอสตราดามุส แต่การฝึกปฏิบัติธรรม ถ้าทำอย่างถูกวิธี จะช่วยพัฒนาญาณอันนี้ให้เกิดขึ้น จนเกิดความรู้ในสิ่งที่จะเกิดขึ้นบางอย่าง อย่างที่ใช้เหตุผลทางโลกอธิบายชัดๆ ไม่ได้
นอกจากนี้การปฏิบัติธรรมจะช่วยให้ประสิทธิภาพการประมวลผลของสมองสูงขึ้น จึงเกิดสภาพที่คุณตู้บอกว่า ใช้ข้อมูลน้อยลง แต่ได้ผลมากขึ้น
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: งานสัมมนาVI 2/60 Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI?
โพสต์ที่ 4
ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จด้วยใจ
ความสำเร็จในโลกใดๆ เกิดจากใจที่เพียรกระทำดีแล้ว
ความมีประสิทธิภาพใดๆ ในโลก เกิดขึ้นจากใจที่ฝึกดีแล้ว จนมีประสิทธิภาพและมีกำลัง
โดยส่วนตัว รู้สึกว่าตัวเองฉลาดขึ้น เก่งขึ้น มีประสิทธิภาพในการทำสิ่งต่างๆ สูงขึ้นเช่นกัน หลังจากได้ลองปฏิบัติธรรมจริงๆ จังๆ
ขออนุโมทนากับคุณตู้ด้วยนะครับ ที่ยกเรื่องการปฏิบัติธรรมขึ้นเชิญชวนให้คนอื่นๆ ได้ลิ้มรสพระธรรม
ความสำเร็จในโลกใดๆ เกิดจากใจที่เพียรกระทำดีแล้ว
ความมีประสิทธิภาพใดๆ ในโลก เกิดขึ้นจากใจที่ฝึกดีแล้ว จนมีประสิทธิภาพและมีกำลัง
โดยส่วนตัว รู้สึกว่าตัวเองฉลาดขึ้น เก่งขึ้น มีประสิทธิภาพในการทำสิ่งต่างๆ สูงขึ้นเช่นกัน หลังจากได้ลองปฏิบัติธรรมจริงๆ จังๆ
ขออนุโมทนากับคุณตู้ด้วยนะครับ ที่ยกเรื่องการปฏิบัติธรรมขึ้นเชิญชวนให้คนอื่นๆ ได้ลิ้มรสพระธรรม
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
- นายมานะ
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1167
- ผู้ติดตาม: 1
Re: งานสัมมนาVI 2/60 Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI?
โพสต์ที่ 5
ขอบคุณอ. Picatos มากเลยครับ มีอีกประเด็นที่ผมคิดว่าอยากพูดบนเวที แต่ไม่มีเวลาเลย คือหลายสิ่ง หลายเรื่องทั้งที่ผมได้มีโอกาสพูดและไม่มี ผมเรียนรู้มาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ มากมาย หลายๆ เรื่องในนั้นก็ได้อ. Picatos เป็นผู้แนะนำให้ศึกษา
เรื่องการปฏิบัติธรรม ผมก็ได้แรงบันดาลใจมาจากอ.ชาย มโนภาส และอ. Picatos ปัจจุบันผมมีศึกษาเพิ่มเติมจากแหล่งอื่นๆ แต่ยังถือว่าน้อยมาก ยังต้องเรียนรู้อีกมาก
นอกจากนี้ยังมีเรื่องอื่นๆ อีก อย่างเรื่อง Law of accelerating returns อันนี้เป็นแนวคิดของคุณ Ray Kurzweil และผมได้ศึกษามาจากเว็บ Wait but why อีกทีหนึ่ง (ใครสนใจตามลิงค์นี้ดูครับ https://waitbutwhy.com/2015/01/artifici ... ion-1.html) ยังมีเรื่อง Crispr/Cas9 ที่ผมอ่านมาจากหลายแหล่งมาก ซึ่งอาจจะลง credit ทั้งหมดไม่ไหว
หลายเรื่องผมลักจำมาอีกที ผมเพียงแค่มาส่งผ่านสิ่งที่ผมเรียนรู้ผ่านบนเวที ต้องขอขอบคุณแหล่งความรู้ต่างๆ มากมายไว้ ณ ที่นี้ด้วย
เพิ่มเติมเผื่อใครสนใจ หากใครอยากลงลึกเกี่ยวกับเรื่อง 6D's ที่พี่ลงทุนแมนได้นำเสนอไว้ ผมแนะนำให้อ่าน หนังสือเล่มนี้ครับ (ส่วนตัวคิดว่าเป็นหนังสือที่ Underrated ในไทยมากๆ) ปล. แต่ถ้าใครไม่ชอบแปลไทย ฉบับภาษาอังกฤษมีชื่อว่า Bold ครับ
หรือถ้าใครสนใจอีกหลายเรื่อง มีอีกหนึ่งแหล่งที่ผมลืมแนะนำไปคือรายการ Ted Talk หรือรายการอื่นๆ ใน Youtube หัวข้อ AI/Tech ตัวอย่างคนพูดดีๆ เช่น Elon Musk, Ray Kurzweil, Peter Diamondis, Andrew McAfree, Jeremy Howard, Nick Bostrom, Fei-Fei Li, Demis Hassabis (ทุกคนนอกจากคนสุดท้ายน่าจะเคยพูดในเวที Ted Talk หมด ส่วนคนสุดท้ายเป็น CEO DeepMind พูดถึงปรากฏการณ์ AlphaGo ไม่ได้ออก Ted แต่พูดเอาไว้หลายเวทีอยู่)
หวังว่าคอมเม้นนี้น่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจศึกษาเพิ่มเติมบ้าง ไม่มากก็น้อยครับ
เรื่องการปฏิบัติธรรม ผมก็ได้แรงบันดาลใจมาจากอ.ชาย มโนภาส และอ. Picatos ปัจจุบันผมมีศึกษาเพิ่มเติมจากแหล่งอื่นๆ แต่ยังถือว่าน้อยมาก ยังต้องเรียนรู้อีกมาก
นอกจากนี้ยังมีเรื่องอื่นๆ อีก อย่างเรื่อง Law of accelerating returns อันนี้เป็นแนวคิดของคุณ Ray Kurzweil และผมได้ศึกษามาจากเว็บ Wait but why อีกทีหนึ่ง (ใครสนใจตามลิงค์นี้ดูครับ https://waitbutwhy.com/2015/01/artifici ... ion-1.html) ยังมีเรื่อง Crispr/Cas9 ที่ผมอ่านมาจากหลายแหล่งมาก ซึ่งอาจจะลง credit ทั้งหมดไม่ไหว
หลายเรื่องผมลักจำมาอีกที ผมเพียงแค่มาส่งผ่านสิ่งที่ผมเรียนรู้ผ่านบนเวที ต้องขอขอบคุณแหล่งความรู้ต่างๆ มากมายไว้ ณ ที่นี้ด้วย
เพิ่มเติมเผื่อใครสนใจ หากใครอยากลงลึกเกี่ยวกับเรื่อง 6D's ที่พี่ลงทุนแมนได้นำเสนอไว้ ผมแนะนำให้อ่าน หนังสือเล่มนี้ครับ (ส่วนตัวคิดว่าเป็นหนังสือที่ Underrated ในไทยมากๆ) ปล. แต่ถ้าใครไม่ชอบแปลไทย ฉบับภาษาอังกฤษมีชื่อว่า Bold ครับ
หรือถ้าใครสนใจอีกหลายเรื่อง มีอีกหนึ่งแหล่งที่ผมลืมแนะนำไปคือรายการ Ted Talk หรือรายการอื่นๆ ใน Youtube หัวข้อ AI/Tech ตัวอย่างคนพูดดีๆ เช่น Elon Musk, Ray Kurzweil, Peter Diamondis, Andrew McAfree, Jeremy Howard, Nick Bostrom, Fei-Fei Li, Demis Hassabis (ทุกคนนอกจากคนสุดท้ายน่าจะเคยพูดในเวที Ted Talk หมด ส่วนคนสุดท้ายเป็น CEO DeepMind พูดถึงปรากฏการณ์ AlphaGo ไม่ได้ออก Ted แต่พูดเอาไว้หลายเวทีอยู่)
หวังว่าคอมเม้นนี้น่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจศึกษาเพิ่มเติมบ้าง ไม่มากก็น้อยครับ
- alpha26
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 19
- ผู้ติดตาม: 0
Re: งานสัมมนาVI 2/60 Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI?
โพสต์ที่ 6
พี่ picatos ครับ ที่บอกว่าปฏิบัติอย่าง "ถูกวิธี" นี่ ไม่ทราบว่าพอจะให้แนวทางกับน้องๆที่พึ่งเริ่มฝึกปฏิบัติธรรมได้มั้ยครับ? ผมเองเป็นมือใหม่เลยไม่แน่ใจว่าเคยมีคนโพสเรื่องนี้หรือยัง ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากเลยถ้าพี่เขียนกระทู้สรุป แล้วก็อาจจะให้พี่ชายหรือท่านที่มีประสบการณ์ด้านนี้ช่วยแชร์ความรู้ ขอบพระคุณมากครับpicatos เขียน:สุดยอดทั้งคนถาม คนตอบ และคนสรุป
ขอบคุณมากๆ นะครับ
ปล. เห็นคุณตู้พูดเรื่องปฏิบัติธรรมแล้วก็คันไม้คันมือ 555
ขอเพิ่มเติมนิดนึงว่า การปฏิบัติธรรม จะช่วยให้สัญชาตญาณในการมองอนาคตคมขึ้น ญาณปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมอันหนึ่งเรียกว่า อนาคตังสญาณ ซึ่งถึงแม้ญาณอันนี้จะยังไม่ถูกฝึกอย่างแก่กล้าขนาดเรียกใช้ได้ เห็นแจ้ง แบบนอสตราดามุส แต่การฝึกปฏิบัติธรรม ถ้าทำอย่างถูกวิธี จะช่วยพัฒนาญาณอันนี้ให้เกิดขึ้น จนเกิดความรู้ในสิ่งที่จะเกิดขึ้นบางอย่าง อย่างที่ใช้เหตุผลทางโลกอธิบายชัดๆ ไม่ได้
นอกจากนี้การปฏิบัติธรรมจะช่วยให้ประสิทธิภาพการประมวลผลของสมองสูงขึ้น จึงเกิดสภาพที่คุณตู้บอกว่า ใช้ข้อมูลน้อยลง แต่ได้ผลมากขึ้น
ส่วนตัวอันนี้คือประเด็นที่ผมสงสัยครับ
- คำว่าปฏิบัตินี่คืออะไรครับ ถ้าผมนั่งนิ่งๆให้จิตใจสงบวันละ 5-10 นาทีนี่พอมั้ยครับ?
- ถ้าไม่พอ ผมควรจะปฏิบัติอย่างไรครับ? จำเป็นต้องทำทุกวันมั้ยครับ?
- เวลานั่งนี่ต้องทำยังไงครับ อันนี้อาจจะถามขวานผ่าซากไปหน่อย แต่ผมไม่ค่อยแน่ใจจริงๆครับ สมมติว่าถ้าเราฟุ้งซ่านคิดโน่นนี่ ควรจะทำยังไงครับ? บางครั้งอยากให้สงบใจก็ไม่สงบครับ
- เราจะรู้ได้ยังไงว่าเรามีพัฒนาการครับ หมายถึงว่าเราจะรู้ได้ยังไงครับว่าเรามาถูกทางแล้ว คือผมอยากจะทราบ progress ของตัวเองครับ ถ้าเราก้าวหน้าขึ้นก็จะได้มีกำลังใจปฏิบัติต่อครับ
รบกวนขอความรู้ด้วยครับ อาจจะนอกเรื่องไปนิดนึง แต่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับสมาชิกท่านอื่นที่อยากจะเริ่มฝึกครับ
Work hard, stay humble and eat fish.
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: งานสัมมนาVI 2/60 Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI?
โพสต์ที่ 7
ผมเองก็เป็นผู้ที่อยู่ระหว่างการศึกษา ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง แต่จะพยายามช่วยเท่าที่ช่วยได้ในมุมมองของผมนะครับ ซึ่งหากมีความผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยนะครับ
การปฏิบัติธรรมน่าจะคล้ายๆ กับการทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้กายใจของเราเป็นห้องทดลอง เราจะทำการทดลอง ฝึกฝนกายใจของเราตามทฤษฏีและแนวทางที่พระพุทธเจ้าได้ให้เอาไว้ โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า สติ เข้าไปตามดูตามรู้อยู่ในฐานต่างๆ ทั้งหมด 4 ฐาน โดยสติก็คล้ายๆ กับ กล้องโทรทรรศน์เอาไว้ส่องดวงดาว และกล้องจุลทรรศน์เอาไว้ส่องจุลินทรีย์ ที่เอาไว้ใช้ขยาย ตรวจจับสิ่งที่ต้องการศึกษา
เป้าหมายของการศึกษานี้เป็นไปเพื่อประโยชน์หลักๆ คือ การฝึกความสามารถในการดับทุกข์ในแต่ละขั้น หรือ เข้าถึงสุขในระดับที่ละเอียดปราณีตยิ่งๆ ขึ้นไป ที่ดีงามยิ่งกว่าสุขทางโลกๆ ท่าน ป. ปยุตโต ได้เขียนอธิบายถึงความสุข เอาไว้ในหนังสือ พุทธธรรม เอาไว้อย่างงดงามถึงความสุข 10 ระดับ ซึ่งสุขทางโลก อย่างที่คนเป็นมหาเศรษฐี คนมีชื่อเสียง มีอำนาจ นี้เป็นความสุขแค่ขั้นแรกสุดเท่านั้น แม้แต่ความสุขในระดับสวรรค์ ก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามพ้นสุขในขั้นแรกเลย ในขณะที่ความสุขในอีก 9 ขั้นที่เหลือเข้าถึงได้ด้วยการปฏิบัติธรรมเท่านั้น
ดังนั้นการปฏิบัติธรรม ถ้าวัดผลเร็วๆ ง่ายๆ ที่สุด ก็คือ ถ้าไม่ทุกข์น้อยลง ก็ควรที่จะสุขมากขึ้น
แต่บางทีไอ้ตอนที่เราทุกข์ก็ทุกข์เหลือเกิน สุขก็สุขเหลือเกิน สุขก็ส่วนหนึ่ง ทุกข์ก็ส่วนหนึ่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปในขณะหนึ่งๆ เมื่อทุกข์อยู่ก็ลืมไปแล้วว่าไอ้ที่เคยสุขมันเป็นยังไง และเมื่อเราสุขอยู่เราก็จำไม่ค่อยได้หรอกว่าช่วงทุกข์มันทุกข์ขณะไหน เหมือนที่เราก็จำไม่ค่อยได้หรอกว่า วันนี้ของเมื่อปีที่แล้ว เรากินอะไรเป็นข้าวเช้า ดังนั้นมาตรวัดความสำเร็จในเรื่องสุขทุกข์นี้คงต้องเอาไปใช้ที่ระดับพระอริยะเท่านั้นที่ได้ฝึกฝน จนมีทุกข์เหลือน้อยมากแล้ว สำหรับปุถุชนที่มีสุขเจือทุกข์ เราคงต้องใช้มาตรวัดที่ละเอียดกว่านี้ ไม่อย่างนั้นพอทุกข์มากๆ เข้าก็คิดว่าเราปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้าไปซะงั้น
แต่ถ้าจะเอาอย่างละเอียดๆ ผมสังเกตว่าช่วงต้นๆ ของการปฏิบัติ หรือ ในการเข้าห้องทดลอง เพื่อฝึกฝนอะไรบางอย่าง แรกๆ เราก็จะมึนงงกับระบบบ้าง งงกับวิธีการบ้าง งงกับวิธีการใช้เครื่องมือบ้าง มือไม้ปั่นป่วน สับสน เหมือนกับการเล่นกีฬาครั้งแรกๆ เราก็ต้องทดลองเล่น ทดลองใช้ ดังนั้นในการฝึกทำช่วงต้นๆ การทำของเราก็จะมีถูกบ้าง ผิดบ้าง ได้ผลลัพธ์ที่ดีบ้าง แย่บ้าง เราต้องฝึกจนกระทั่งมีความเชี่ยวชาญก่อน จึงจะวัดผลลัพธ์ที่เชื่อมั่นได้ เชื่อถือได้
อย่างในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เราต้องทดลองหลายๆ รอบ และมีการเอาเครื่องมือทางสถิติเข้ามาใช้ว่าสิ่งที่ค้นพบนี้มีนัยสำคัญมากเพียงพอหรือไม่
ในการปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน ก็ต้องฝึกทำบ่อยๆ หลายๆ รอบ จนได้ผลลัพธ์ที่ Consistent มากเพียงพอ จึงจะพอสรุปได้ว่ามาถูกทางหรือผิดทาง แต่ที่สำคัญคือ ไม่ว่าจะถูก จะผิด เราก็ควรพยายามฝึกฝน พยายามทำให้มันดีขึ้น สุดท้ายที่ผิดก็ถูกของมันเอง
เครื่องมือในการตรวจสอบผล พระพุทธเจ้าได้อธิบายเอาไว้พระสูตรที่ชื่อว่า "มหาสติปัฎฐานสูตร" นี่เอง มีพุทธพจน์ เกิดขึ้นซ้ำๆ หลังจากที่ท่านได้อธิบายว่าจะให้มีสติอย่างไร ตามดูตามรู้อย่างไร แล้วก็เน้นถึงผลการปฏิบัติที่เกิดขึ้น ซ้ำแล้วซ้ำอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า ว่า
"... เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก..."
ผลของการปฏิบัติที่ถูกจะได้ผลลัพธ์ 3 อย่างครับ คือ
1) ความทะยานอยาก (ตัณหา) เบาบาง คลายลง สังเกตุได้ว่าความรุ่มร้อนจากการพุ่งออกไปแสวงหาสิ่งที่ชอบใจ หรือหลีกหนีสิ่งที่ไม่ชอบใจมีน้อยลง รู้สึกว่าอยู่ในโลกนี้ได้อย่างเป็นสุขมากขึ้น รู้จักความสุขจากการไม่ต้องไปวุ่นวายแสวงหาให้ม้ันได้มา รู้จักความสุขจากการพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีมากขึ้น
2) ความเห็นผิด (ทิฐิ) ในเรื่องต่างๆ ลดลง เห็นถูกมากขึ้น เห็นผิดในเรื่องอะไร คร่าวๆ ก็คือ เห็นสิ่งที่ไม่งามว่างาม เห็นสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง เห็นสิ่งที่ไม่เป็นตัวตนว่าเป็นตัวตน
3) ความยึดมั่นถือมั่น (อุปทาน) คลายลง ความรู้สึกยึดถือในเรื่องต่างๆ ว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ต้องเป็นคนนั้น เป็นคนนี้ ต้องพูดแบบนั้น พูดแบบนี้ ต้องเป็นวิธีการนั้น วิธีการนี้ คลายลง อยู่ในโลกง่ายขึ้น เข้าใจและยอมรับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้มากขึ้น จึงเกิดสภาพการ "ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก" ได้ โดนคนด่าใส่ก็ยิ้มได้ เจอคนทำไม่ดีใส่ก็อยู่ได้
อันนี้ คือ ภาพย่อยในการปฏิบัติและผลที่เกิดขึ้นในระดับจิต แต่ถ้าเป็นภาพใหญ่ พระพุทธเจ้าได้อธิบายเอาไว้ตอนต้นพระสูตรว่า
"... ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก
1) เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์
2) เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ
3) เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส
4) เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง
5) เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
..."
1) ในแง่ของความบริสุทธิ์อันหนึ่งที่ผมว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ คือ เราจะรู้สึกได้ว่า เมื่อฝึกสติไปแล้ว การรับรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ของเราจะบริสุทธิ์ขึ้น ความสามารถในการรับรู้คมขึ้นเรื่อยๆ สามารถเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น ได้ยินในสิ่งไม่เคยได้ยิน รับรู้ในสิ่งที่ไม่เคยได้รับรู้ ระบบความคิด การรับรู้จะใส สะอาด บริสุทธิ์ เบาบางจากอคติ ฝุ่น ฝ้า หมอกควัน ที่เคยบังตา โลกนี้ดูเหมือนจะสว่างไสว ชัดเจนกว่าเดิมเป็นอย่างมาก หรือที่เรียกว่า อายตนะผ่องใส
2) ถ้ากำลังทุกข์ เศร้าโศก เสียใจอยู่ การปฏิบัติธรรม จะช่วยก้าวข้ามผ่านความทุกข์เหล่านั้นไปได้ ตัวผมเอง หรือ ภรรยาก็เริ่มปฏิบัติธรรม เพราะ เผชิญกับความทุกข์บางอย่าง จนต้องหันหน้าเข้าทางธรรม และก็ได้สติปัฏฐาน 4 นี่เองเป็นเครื่องมือในการก้าวล่วงความเศร้าโศกเสียใจ แถมได้เครื่องมือวิเศษในการทำความสำเร็จทางโลกและทางธรรมให้เกิดขึ้นมาเป็นของแถมด้วย
3) ผลอันหนึ่งจากการปฏิบัติเปรียบเสมือนเราได้สร้าง "รั้วกันภัย" ของเราเป็นการส่วนตัว สติที่ฝึกดีแล้วจะระวังป้องกันทุกข์ใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และเมื่่อกระทบกับสิ่งที่ไม่น่าพึงปรารถนาขึ้น สตินี้เองจะช่วยให้เรามีภูมิต้านทานต่อความทุกข์ ทำให้เราแข็งแรงมากขึ้น และถ้าปฏิบัติถึงขั้นลึกซึ้งจนได้ผลจริงๆ จังๆ ก็จะทำให้ความทุกข์ไม่สามารถมายึดเกี่ยวเกาะกุมจิตใจเราได้อีกเลย
4) "เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง" อันนี้ความหมายละเอียดลึกซึ้งมาก ในมุมมองทางพุทธอันหนึ่ง การบรรลุธรรม หมายถึง การเกิดขึ้นของปัญญา หรือเรียกว่า ฉลาดขึ้นนี่แหละ ซึ่งในการเจริญสติ เราจะพบ และรู้สึกได้เลยว่า ยิ่งปฏิบัติมากขึ้น ก็รู้สึกว่าเรายิ่งฉลาดมากขึ้น
ทั้งนี้เนื่องจากการปฏิบัติเป็นการฝึกที่จะเป็นนักทดลองที่ปราศจากอคติ พระพุทธเจ้าจะให้ทัศคติต่อเราให้เราศึกษาและสังเกตปรากฎการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่สภาพที่ปรุงแต่งตามเหตุปัจจัย ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปราศจากตัวตนของเราที่เป็นผู้กระทำ ด้วยเหตุนี้ทัศนคติที่ถูกฝึกอยู่เนื่องๆ จะทำให้เรามีลักษณะของนักวิชาการ ที่เป็นผู้ศึกษาและสังเกตที่มีอคติน้อยลง
ผลของการที่เราฝึกสติให้บริสุทธิ์จะเกิดการรับรู้ที่บริสุทธิ์ การคิดพิจารณาที่บริสุทธิ์ การฝึกเจริญสติอยู่เนื่องๆ จะทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ซึ่งเหมาะแก่การนำไปในเป็นฐานในการเกิดปัญญา ตลอดจนถ้าไปถึงการฝึกสติปัฎฐานไปจนถึงฐานธรรม จะมีฝึกการสติหมวดหนึ่ง ชื่อว่า "โพชฌงค์" ซึ่ง โพชฌงค์ นี่เองที่เป็นองค์ประกอบที่ทำให้พระพุทธเจ้าตรัสรู้ การฝึกสติปัฎฐานจึงได้ชื่อว่าเป็นการฝึกฝนสร้างเครื่องมือที่ก่อให้เกิดปัญญา รู้แจ้งในสิ่งต่างๆ
5) สำหรับพระนิพพานนี้เป็นเป้าของคนที่เห็นทุกข์โทษของการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏแล้วเท่านั้น ดังนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่ใช่เป้าของคนทั่วไปที่เข้ามาปฏิบัติ แต่เป็นเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม ซึ่งมีน้อยนิด อย่างผมเองในตอนแรกก็ไม่สนใจเป้าอันนี้สักเท่าไร ดังนั้นในข้อนี้จึงขออธิบายผ่านๆ
จากผลลัพธ์ในข้อที่ 4 เมื่อมีปัญญาที่แก่กล้ามากขึ้นเรื่อยๆ เราก็จะเห็นความจริงต่างๆ มากขึ้นๆ รู้ว่าทุกข์ต่างละอย่าง เป็นอย่างไร มีขั้นตอนกระบวนการเกิดขึ้นมาอย่างไร และจะจัดการกับมันได้อย่างไร เราจะฝึกฝนจนจัดการกับทุกข์ได้ทุกประเภท จนมีความสามารถในการเข้าถึงสภาพของที่ทุกข์ดับสนิทไม่มีเหลือ และไม่มีเชื้อที่จะก่อให้เกิดทุกข์ใหม่ๆ ขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งสภาพทุกข์อันสำคัญที่สุดที่เป็นเป้าของคนกลุ่มนี้ คือ การเกิด อันนี้แหละที่เรียกว่า "ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน"
ถ้าเป้าหมายเพื่อให้นอนหลับ ไม่ฝันร้าย พักผ่อนได้อย่างเต็มที่ การปฏิบัติ 5-10 นาทีก่อนนอนก็น่าจะเหมาะสม ถ้าจะเอาประโยชน์แค่ให้จิตสงบก่อนนอน เพิ่มประสิทธิภาพการพักผ่อน ผลที่น่าจะได้ คือ นอนน้อยลงแต่รู้สึกนอนอิ่มมากขึ้น ร่างกายสดชื่นมากขึ้นเมื่อตื่นนอน แต่บางคนก็ทำแล้วอาจจะนอนไม่หลับ ยิ่งทำให้สติตื่นก็มีนะครับ ซึ่งเรื่องนี้แล้วแต่เทคนิค แล้วแต่จริตมากๆ เลย อย่างตัวผมเอง ก็จะไม่ค่อยทำตอนก่อนนอน
แต่ถ้าคาดหวังอะไรสูงกว่านั้น ก็ต้องใส่ความเพียรพยายามมากกว่านั้น ถ้าจะเอาระดับอายตนะผ่องใส การรับรู้คมกริบ สมอง ร่างกายทำงานได้เยี่ยม ผมคิดว่าน่าจะต้องลองไปเข้าหลักสูตรปฏิบัติธรรมในสถานที่เหมาะสมสัก 1 สัปดาห์ ให้รู้จัก เข้าใจ และเคยเข้าถึงสภาพของการรับรู้ที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน หลังจากนั้นก็ควรทำทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย และรู้ตัวเมื่อไหร่ก็ดึงสติกลับมาที่ฐาน เพื่อเป็นการออกกำลังกายสติให้แข็งแรง ให้พร้อมที่จะเอาไปใช้งาน อย่างตอนที่ผมไปปฏิบัติธรรมครั้งแรกกลับมา แล้วมีโอกาสได้ไปตีแบต ผมเห็นลูกแบตวิ่งเข้ามาเป็น Slow Motion เห็นถึงอาการของกล้ามเนื้อ และใจของเราที่วางแผนการตี ตลอดจนสั่งการร่างกายให้เข้าไปตี เห็นการเหวี่ยงแขน การกระทบของหน้าไม้กับลูก ได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว ซึ่งเหล่านี้เป็นผลพลอยได้เล็กๆ น้อยๆ จากการปฏิบัติ
เป็นต้น
สำหรับเรื่องความสงบ ในมหาสติปัฏฐานสูตร ที่เห็นตรงๆ ชัดๆ จะอยู่ในหมวด โพชฌงค์ โดยมีองค์ประกอบอันหนึ่งชื่อว่า ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ คำว่า ปัสสัทธิ แปลว่า ความสงบ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวเอาไว้ว่า
"...
เมื่อปัสสัทธิสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา
หรือเมื่อปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา
อนึ่ง ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
..."
พระพุทธองค์ทรงให้แนวทางเอาไว้ว่า ถ้าสงบก็ให้รู้ว่าสงบ ถ้าไม่สงบก็ให้รู้ว่าไม่สงบ ถ้าตอนนี้ยังไม่สงบ เหตุอะไรที่จะทำให้สงบก็ให้ไปศึกษาเรียนรู้ และถ้าที่สงบแล้วจะสงบยิ่งๆ ขึ้น ก็ให้ศึกษารู้ในเหตุอันนั้น ซึ่งเหตุแห่งความสงบนี้ต้องเรียนรู้กันไปอีกเยอะมากเลยครับ กว่าจะเข้าใจ และทำได้จริง ซึ่งเป็นขั้นหลังๆ ของการปฏิบัติกันไปเลยทีเดียว
ในสติปัฏฐาน 4 นี้ พระพุทธองค์ แบ่งตามระดับจากง่ายไปหายาก จากระดับที่หยาบสุดง่ายสุดก่อน คือ การกำหนดฐานกาย ฐานเวทนา ฐานจิต แล้วถึงจะไปฐานธรรม ซึ่งในฐานธรรมนี้เองมีความละเอียด ปราณีต ยาก ที่สุดในบรรดา 4 ฐาน เนื่องจากเป็นรายละเอียดการปรุงแต่งของจิต
เราจึงเห็นว่าในหนังสือเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมหรือในหลักสูตรปฏิบัติธรรม ไม่ค่อยมีใครสอนวิธีเจริญสติฐานนี้สักเท่าไร เนื่องจากการจะกำหนดฐานธรรมนี้ได้ เราต้องกำหนดกายจนเชี่ยวชาญก่อน เมื่อเชี่ยวชาญในฐานกายจึงจะเริ่มมีความสามารถในการกำหนดฐานเวทนาได้อย่างจริงๆ จังๆ และเมื่อกำหนดเวทนาได้อย่างเชี่ยวชาญจึงจะเริ่มกำหนดจิตเป็น ต้องกำหนดจิตอย่างเชี่ยวชาญก่อนจึงจะขึ้นฐานธรรม
และในฐานธรรมนี้เอง ความสงบนี้้อยู่ในระดับที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ตัวที่ 5 จาก 7 เลยทีเดียว และด้วยความสามารถของปีติและปัสสัทธิที่สมบูรณ์นี่เอง จึงเป็นคุณสมบัติของพระอนาคามี เพราะ เป็นผู้ที่ฝึกสมาธิได้สมบูรณ์แล้ว สำหรับผู้ที่ปฏิบัติให้เห็นผลในขั้นต้น ควรที่จะเน้นไปที่ วิริยะ กับ ธัมมวิจยะ แทน เพียรที่จะเรียนรู้เข้าไปให้มากๆ ให้เห็นความจริงของกายใจนี้ให้มากๆ เพื่อไถ่ถอนความเห็นผิด ไถ่ถอนอคติในเรื่องต่างๆ
ดังนั้นเป้าที่คุณ alpha26 ตั้งจึงเป็นเป้าที่ยากเกินขีดความสามารถของผู้เริ่มปฏิบัติครับ
ความสงบจึงไม่ใช่เป้าที่ควรตั้ง แต่เป้าที่ควรตั้ง คือ ควรที่จะฝึกสติกับฐานกายให้เชี่ยวชาญก่อน เมื่อมีความฟุ้งซ่าน ความวุ่นวาย สิ่งที่ควรทำ ก็คือ ยอมรับมันตามความเป็นจริงว่ามันยังไม่ใช่ Level ที่เราจะไปจัดการกับมัน แล้วย้อนกลับมาที่ ฐานกาย ที่เป็นอารมณ์กรรมฐานของเรา ฝึกฐานกายให้เชี่ยวชาญมั่นคงก่อน
และเมื่อเรามีสติ สมาธิกับฐานกายของเรามากขึ้นๆ ความฟุ้งซ่าน ความไม่สงบก็จะน้อยลงเรื่อยๆ เอง แต่ก็ยังไม่ใช่วิสัยที่จะจัดการกับมันได้อย่างสมบูรณ์ เราแค่ถูกมันรบกวนน้อยลง แต่ไม่ใช่ไม่ถูกรบกวนเลย เราจะค่อยๆ มีความสามารถที่จะอยู่กับความสงบบ้าง ไม่สงบบ้าง โดยไม่ทุกข์ร้อนไปกับมัน สุดท้ายสงบก็จะค่อยๆ มีมากขึ้นตามมาเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ถูกรบกวนเลย เพราะ ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลก เสวยโลกอยู่ ตราบนั้น คือ เราก็ยังสร้างเหตุแห่งความไม่สงบอยู่นั่นเอง และด้วยเหตุที่พระอนาคมีเป็นผู้ที่เป็นอิสระต่อโลกนี้แล้วอย่างแท้จริง จึงมีความสมบูรณ์ของความสงบ
ขอยกเป็น Case Study ของตัวผมเองแล้วกัน...
แรกเริ่มสุด ผมปฏิบัติธรรมเพราะความทุกข์จากการเล่นหุ้น ความวุ่นวายที่เข้ามาในชีวิตจากความสำเร็จในการลงทุน ผมปฏิบัติธรรม เพื่อที่จะได้ไม่ทุกข์กับการลงทุน ผมอยากได้อิสระภาพทางใจกลับคืนมา เอาแค่เวลาแฟนผมเรียกผมให้ไปทำอะไร ในขณะที่กำลังครุ่นคิดเรื่องหุ้นอยู่ ผมหงุดหงิด ไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่สามารถที่จะตัดอารมณ์ ไปวิ่งเล่นอยู่กับแฟนได้อย่างมีความสุข มีอิสระจากตลาดหุ้น ดังนั้นความก้าวหน้าในขั้นต้นของผมที่ผมวัด คือ ผมสามารถที่จะอยู่กับครอบครัว ไปเที่ยวได้ โดยไม่คิดถึงหุ้น สามารถอยู่กับปัจจุบันได้อย่างแท้จริง
ขั้นถัดมา ยิ่งปฏิบัติธรรม ผมยิ่งเห็นความน่าเกลียด อัปลักษณ์ของกิเลสตัวเอง ผมวัดผลโดยตรวจสอบจากคำพูด การกระทำของผมที่ไปเบียดเบียนคนอื่น ว่ามีน้อยลงไป เรื่องไหนที่เราตั้งใจว่าจะไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น แล้วเราเผลอไปเบียนเบียด ก็ต้องสำรวมระวัง รักษาสติให้มากขึ้น
ขั้นถัดมา ยิ่งปฏิบัติธรรม ผมยิ่งเห็นความทุกข์จากการยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวคน ชอบใจยินดีในความเก่งของตัวเอง ผมสำรวมคำพูดตัวเองมากยิ่งขึ้น จะเขียน จะโพสต์ จะออกไปเจอผํู้คน จะระวังมากยิ่งขึ้น คิดก่อนเขียนให้มากขึ้น อย่างที่ผมเขียนตอบคุณ alpha26 นี่ ผมเขียนมา 3 ชั่วโมงกว่าแล้ว ยังเขียนไม่เสร็จเลย พอเขียนเสร็จก็ต้องมานั่งตรวจสอบแล้ว ตรวจสอบเล่า ว่าสิ่งที่เขียนออกไป เป็นประโยชน์ ไม่เป็นโทษ เป็นใช่เขียนเพื่ออวด เพื่อโชว์ เพื่อสนองอัตตา ดีไม่ดี เขียนเสร็จแล้วก็อาจจะลบมันทิ้งไปให้หมดเลย ผมก็ทำออกบ่อยๆ ซึ่งสุดท้ายถ้าผมเกิดได้โพสต์ข้อความนี้ลงไป คงจะได้เวลาราวๆ 4 ชั่วโมงในการเขียน
ขั้นถัดมา ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งเห็นความวุ่นวายของทางโลก ถึงเราไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น แต่การเอาตัวไปเกลือกกลั้วอยู่กับทางโลก ก็เหมือนเอาตัวไปให้คนอื่นเบียดเบียน เริ่มเห็นความสุขจากความสงบ จากการออกจากความวุ่นวายมากขึ้น เห็นสุขจากภายใน จากสมาธิ และจากปัญญาในธรรมมากยิ่งขึ้น จึงตัดสินใจที่จะถอยห่างจากทางโลก รับรู้โลกให้น้อยลง เรียนรู้ตัวเองให้มากขึ้น ในระดับนี้วัดความก้าวหน้าจากใจของเราเองที่เป็นอิสระจากเครื่องยึดเหนี่ยวต่างๆ ว่ามีน้อยลงบ้างไหม เมื่อเวลาผ่านไป
อันนี้คร่าวๆ ในเบื้องต้นนะครับ ทุกวันนี้ผมวัดผลโดยการตรวจสอบว่า ตัวผมเองยังมีความเบียดเบียนคนอื่น และเบียดเบียนตัวเองมากน้อยขนาดไหน ตัวผมเองยังหลง ยังพุ่งเข้าไปเกาะเกี่ยวกับทางโลกมากขนาดไหน ตัวผมเองมีความสงบระงับ ไม่วุ่นวายใจมากขึ้นขนาดไหน ตัวผมเองมีทุกข์น้อยลงไหม ทุกๆ วันที่ผ่านไปเรามีความเข้าใจกายใจเรามากขึ้นขนาดไหน อะไรประมาณนี้
ปล. ขออภัยหากตอบยาวเกินไป สำหรับยุคที่คนอ่านหนังสือกันน้อยลง ดูภาพกันมากขึ้น หวังว่าคนที่ได้อ่านจะได้รับประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ
การปฏิบัติธรรม ผมเข้าใจว่าเป็นกระบวนการศึกษากายใจในระบบการเรียนการศึกษาของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจะเรียกสาวกว่า ภิกษุ คำว่าภิกษุ นัยยะหนึ่ง แปลว่าผู้ศึกษาalpha26 เขียน: พี่ picatos ครับ ที่บอกว่าปฏิบัติอย่าง "ถูกวิธี" นี่ ไม่ทราบว่าพอจะให้แนวทางกับน้องๆที่พึ่งเริ่มฝึกปฏิบัติธรรมได้มั้ยครับ? ผมเองเป็นมือใหม่เลยไม่แน่ใจว่าเคยมีคนโพสเรื่องนี้หรือยัง ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากเลยถ้าพี่เขียนกระทู้สรุป แล้วก็อาจจะให้พี่ชายหรือท่านที่มีประสบการณ์ด้านนี้ช่วยแชร์ความรู้ ขอบพระคุณมากครับ
ส่วนตัวอันนี้คือประเด็นที่ผมสงสัยครับ
- คำว่าปฏิบัตินี่คืออะไรครับ
การปฏิบัติธรรมน่าจะคล้ายๆ กับการทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้กายใจของเราเป็นห้องทดลอง เราจะทำการทดลอง ฝึกฝนกายใจของเราตามทฤษฏีและแนวทางที่พระพุทธเจ้าได้ให้เอาไว้ โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า สติ เข้าไปตามดูตามรู้อยู่ในฐานต่างๆ ทั้งหมด 4 ฐาน โดยสติก็คล้ายๆ กับ กล้องโทรทรรศน์เอาไว้ส่องดวงดาว และกล้องจุลทรรศน์เอาไว้ส่องจุลินทรีย์ ที่เอาไว้ใช้ขยาย ตรวจจับสิ่งที่ต้องการศึกษา
เป้าหมายของการศึกษานี้เป็นไปเพื่อประโยชน์หลักๆ คือ การฝึกความสามารถในการดับทุกข์ในแต่ละขั้น หรือ เข้าถึงสุขในระดับที่ละเอียดปราณีตยิ่งๆ ขึ้นไป ที่ดีงามยิ่งกว่าสุขทางโลกๆ ท่าน ป. ปยุตโต ได้เขียนอธิบายถึงความสุข เอาไว้ในหนังสือ พุทธธรรม เอาไว้อย่างงดงามถึงความสุข 10 ระดับ ซึ่งสุขทางโลก อย่างที่คนเป็นมหาเศรษฐี คนมีชื่อเสียง มีอำนาจ นี้เป็นความสุขแค่ขั้นแรกสุดเท่านั้น แม้แต่ความสุขในระดับสวรรค์ ก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามพ้นสุขในขั้นแรกเลย ในขณะที่ความสุขในอีก 9 ขั้นที่เหลือเข้าถึงได้ด้วยการปฏิบัติธรรมเท่านั้น
ดังนั้นการปฏิบัติธรรม ถ้าวัดผลเร็วๆ ง่ายๆ ที่สุด ก็คือ ถ้าไม่ทุกข์น้อยลง ก็ควรที่จะสุขมากขึ้น
แต่บางทีไอ้ตอนที่เราทุกข์ก็ทุกข์เหลือเกิน สุขก็สุขเหลือเกิน สุขก็ส่วนหนึ่ง ทุกข์ก็ส่วนหนึ่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปในขณะหนึ่งๆ เมื่อทุกข์อยู่ก็ลืมไปแล้วว่าไอ้ที่เคยสุขมันเป็นยังไง และเมื่อเราสุขอยู่เราก็จำไม่ค่อยได้หรอกว่าช่วงทุกข์มันทุกข์ขณะไหน เหมือนที่เราก็จำไม่ค่อยได้หรอกว่า วันนี้ของเมื่อปีที่แล้ว เรากินอะไรเป็นข้าวเช้า ดังนั้นมาตรวัดความสำเร็จในเรื่องสุขทุกข์นี้คงต้องเอาไปใช้ที่ระดับพระอริยะเท่านั้นที่ได้ฝึกฝน จนมีทุกข์เหลือน้อยมากแล้ว สำหรับปุถุชนที่มีสุขเจือทุกข์ เราคงต้องใช้มาตรวัดที่ละเอียดกว่านี้ ไม่อย่างนั้นพอทุกข์มากๆ เข้าก็คิดว่าเราปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้าไปซะงั้น
แต่ถ้าจะเอาอย่างละเอียดๆ ผมสังเกตว่าช่วงต้นๆ ของการปฏิบัติ หรือ ในการเข้าห้องทดลอง เพื่อฝึกฝนอะไรบางอย่าง แรกๆ เราก็จะมึนงงกับระบบบ้าง งงกับวิธีการบ้าง งงกับวิธีการใช้เครื่องมือบ้าง มือไม้ปั่นป่วน สับสน เหมือนกับการเล่นกีฬาครั้งแรกๆ เราก็ต้องทดลองเล่น ทดลองใช้ ดังนั้นในการฝึกทำช่วงต้นๆ การทำของเราก็จะมีถูกบ้าง ผิดบ้าง ได้ผลลัพธ์ที่ดีบ้าง แย่บ้าง เราต้องฝึกจนกระทั่งมีความเชี่ยวชาญก่อน จึงจะวัดผลลัพธ์ที่เชื่อมั่นได้ เชื่อถือได้
อย่างในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เราต้องทดลองหลายๆ รอบ และมีการเอาเครื่องมือทางสถิติเข้ามาใช้ว่าสิ่งที่ค้นพบนี้มีนัยสำคัญมากเพียงพอหรือไม่
ในการปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน ก็ต้องฝึกทำบ่อยๆ หลายๆ รอบ จนได้ผลลัพธ์ที่ Consistent มากเพียงพอ จึงจะพอสรุปได้ว่ามาถูกทางหรือผิดทาง แต่ที่สำคัญคือ ไม่ว่าจะถูก จะผิด เราก็ควรพยายามฝึกฝน พยายามทำให้มันดีขึ้น สุดท้ายที่ผิดก็ถูกของมันเอง
เครื่องมือในการตรวจสอบผล พระพุทธเจ้าได้อธิบายเอาไว้พระสูตรที่ชื่อว่า "มหาสติปัฎฐานสูตร" นี่เอง มีพุทธพจน์ เกิดขึ้นซ้ำๆ หลังจากที่ท่านได้อธิบายว่าจะให้มีสติอย่างไร ตามดูตามรู้อย่างไร แล้วก็เน้นถึงผลการปฏิบัติที่เกิดขึ้น ซ้ำแล้วซ้ำอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า ว่า
"... เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก..."
ผลของการปฏิบัติที่ถูกจะได้ผลลัพธ์ 3 อย่างครับ คือ
1) ความทะยานอยาก (ตัณหา) เบาบาง คลายลง สังเกตุได้ว่าความรุ่มร้อนจากการพุ่งออกไปแสวงหาสิ่งที่ชอบใจ หรือหลีกหนีสิ่งที่ไม่ชอบใจมีน้อยลง รู้สึกว่าอยู่ในโลกนี้ได้อย่างเป็นสุขมากขึ้น รู้จักความสุขจากการไม่ต้องไปวุ่นวายแสวงหาให้ม้ันได้มา รู้จักความสุขจากการพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีมากขึ้น
2) ความเห็นผิด (ทิฐิ) ในเรื่องต่างๆ ลดลง เห็นถูกมากขึ้น เห็นผิดในเรื่องอะไร คร่าวๆ ก็คือ เห็นสิ่งที่ไม่งามว่างาม เห็นสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง เห็นสิ่งที่ไม่เป็นตัวตนว่าเป็นตัวตน
3) ความยึดมั่นถือมั่น (อุปทาน) คลายลง ความรู้สึกยึดถือในเรื่องต่างๆ ว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ต้องเป็นคนนั้น เป็นคนนี้ ต้องพูดแบบนั้น พูดแบบนี้ ต้องเป็นวิธีการนั้น วิธีการนี้ คลายลง อยู่ในโลกง่ายขึ้น เข้าใจและยอมรับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้มากขึ้น จึงเกิดสภาพการ "ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก" ได้ โดนคนด่าใส่ก็ยิ้มได้ เจอคนทำไม่ดีใส่ก็อยู่ได้
อันนี้ คือ ภาพย่อยในการปฏิบัติและผลที่เกิดขึ้นในระดับจิต แต่ถ้าเป็นภาพใหญ่ พระพุทธเจ้าได้อธิบายเอาไว้ตอนต้นพระสูตรว่า
"... ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก
1) เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์
2) เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ
3) เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส
4) เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง
5) เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
..."
1) ในแง่ของความบริสุทธิ์อันหนึ่งที่ผมว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ คือ เราจะรู้สึกได้ว่า เมื่อฝึกสติไปแล้ว การรับรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ของเราจะบริสุทธิ์ขึ้น ความสามารถในการรับรู้คมขึ้นเรื่อยๆ สามารถเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น ได้ยินในสิ่งไม่เคยได้ยิน รับรู้ในสิ่งที่ไม่เคยได้รับรู้ ระบบความคิด การรับรู้จะใส สะอาด บริสุทธิ์ เบาบางจากอคติ ฝุ่น ฝ้า หมอกควัน ที่เคยบังตา โลกนี้ดูเหมือนจะสว่างไสว ชัดเจนกว่าเดิมเป็นอย่างมาก หรือที่เรียกว่า อายตนะผ่องใส
2) ถ้ากำลังทุกข์ เศร้าโศก เสียใจอยู่ การปฏิบัติธรรม จะช่วยก้าวข้ามผ่านความทุกข์เหล่านั้นไปได้ ตัวผมเอง หรือ ภรรยาก็เริ่มปฏิบัติธรรม เพราะ เผชิญกับความทุกข์บางอย่าง จนต้องหันหน้าเข้าทางธรรม และก็ได้สติปัฏฐาน 4 นี่เองเป็นเครื่องมือในการก้าวล่วงความเศร้าโศกเสียใจ แถมได้เครื่องมือวิเศษในการทำความสำเร็จทางโลกและทางธรรมให้เกิดขึ้นมาเป็นของแถมด้วย
3) ผลอันหนึ่งจากการปฏิบัติเปรียบเสมือนเราได้สร้าง "รั้วกันภัย" ของเราเป็นการส่วนตัว สติที่ฝึกดีแล้วจะระวังป้องกันทุกข์ใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และเมื่่อกระทบกับสิ่งที่ไม่น่าพึงปรารถนาขึ้น สตินี้เองจะช่วยให้เรามีภูมิต้านทานต่อความทุกข์ ทำให้เราแข็งแรงมากขึ้น และถ้าปฏิบัติถึงขั้นลึกซึ้งจนได้ผลจริงๆ จังๆ ก็จะทำให้ความทุกข์ไม่สามารถมายึดเกี่ยวเกาะกุมจิตใจเราได้อีกเลย
4) "เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง" อันนี้ความหมายละเอียดลึกซึ้งมาก ในมุมมองทางพุทธอันหนึ่ง การบรรลุธรรม หมายถึง การเกิดขึ้นของปัญญา หรือเรียกว่า ฉลาดขึ้นนี่แหละ ซึ่งในการเจริญสติ เราจะพบ และรู้สึกได้เลยว่า ยิ่งปฏิบัติมากขึ้น ก็รู้สึกว่าเรายิ่งฉลาดมากขึ้น
ทั้งนี้เนื่องจากการปฏิบัติเป็นการฝึกที่จะเป็นนักทดลองที่ปราศจากอคติ พระพุทธเจ้าจะให้ทัศคติต่อเราให้เราศึกษาและสังเกตปรากฎการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่สภาพที่ปรุงแต่งตามเหตุปัจจัย ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปราศจากตัวตนของเราที่เป็นผู้กระทำ ด้วยเหตุนี้ทัศนคติที่ถูกฝึกอยู่เนื่องๆ จะทำให้เรามีลักษณะของนักวิชาการ ที่เป็นผู้ศึกษาและสังเกตที่มีอคติน้อยลง
ผลของการที่เราฝึกสติให้บริสุทธิ์จะเกิดการรับรู้ที่บริสุทธิ์ การคิดพิจารณาที่บริสุทธิ์ การฝึกเจริญสติอยู่เนื่องๆ จะทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ซึ่งเหมาะแก่การนำไปในเป็นฐานในการเกิดปัญญา ตลอดจนถ้าไปถึงการฝึกสติปัฎฐานไปจนถึงฐานธรรม จะมีฝึกการสติหมวดหนึ่ง ชื่อว่า "โพชฌงค์" ซึ่ง โพชฌงค์ นี่เองที่เป็นองค์ประกอบที่ทำให้พระพุทธเจ้าตรัสรู้ การฝึกสติปัฎฐานจึงได้ชื่อว่าเป็นการฝึกฝนสร้างเครื่องมือที่ก่อให้เกิดปัญญา รู้แจ้งในสิ่งต่างๆ
5) สำหรับพระนิพพานนี้เป็นเป้าของคนที่เห็นทุกข์โทษของการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏแล้วเท่านั้น ดังนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่ใช่เป้าของคนทั่วไปที่เข้ามาปฏิบัติ แต่เป็นเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม ซึ่งมีน้อยนิด อย่างผมเองในตอนแรกก็ไม่สนใจเป้าอันนี้สักเท่าไร ดังนั้นในข้อนี้จึงขออธิบายผ่านๆ
จากผลลัพธ์ในข้อที่ 4 เมื่อมีปัญญาที่แก่กล้ามากขึ้นเรื่อยๆ เราก็จะเห็นความจริงต่างๆ มากขึ้นๆ รู้ว่าทุกข์ต่างละอย่าง เป็นอย่างไร มีขั้นตอนกระบวนการเกิดขึ้นมาอย่างไร และจะจัดการกับมันได้อย่างไร เราจะฝึกฝนจนจัดการกับทุกข์ได้ทุกประเภท จนมีความสามารถในการเข้าถึงสภาพของที่ทุกข์ดับสนิทไม่มีเหลือ และไม่มีเชื้อที่จะก่อให้เกิดทุกข์ใหม่ๆ ขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งสภาพทุกข์อันสำคัญที่สุดที่เป็นเป้าของคนกลุ่มนี้ คือ การเกิด อันนี้แหละที่เรียกว่า "ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน"
สรุปการปฏิบัติถูกผิด นี่คือขึ้นอยู่กับเป้าหมายว่าจะปฏิบัติเพื่อเป้าหมายอะไร ต้องการระดับไหน...
- ถ้าผมนั่งนิ่งๆให้จิตใจสงบวันละ 5-10 นาทีนี่พอมั้ยครับ?
- ถ้าไม่พอ ผมควรจะปฏิบัติอย่างไรครับ? จำเป็นต้องทำทุกวันมั้ยครับ?
ถ้าเป้าหมายเพื่อให้นอนหลับ ไม่ฝันร้าย พักผ่อนได้อย่างเต็มที่ การปฏิบัติ 5-10 นาทีก่อนนอนก็น่าจะเหมาะสม ถ้าจะเอาประโยชน์แค่ให้จิตสงบก่อนนอน เพิ่มประสิทธิภาพการพักผ่อน ผลที่น่าจะได้ คือ นอนน้อยลงแต่รู้สึกนอนอิ่มมากขึ้น ร่างกายสดชื่นมากขึ้นเมื่อตื่นนอน แต่บางคนก็ทำแล้วอาจจะนอนไม่หลับ ยิ่งทำให้สติตื่นก็มีนะครับ ซึ่งเรื่องนี้แล้วแต่เทคนิค แล้วแต่จริตมากๆ เลย อย่างตัวผมเอง ก็จะไม่ค่อยทำตอนก่อนนอน
แต่ถ้าคาดหวังอะไรสูงกว่านั้น ก็ต้องใส่ความเพียรพยายามมากกว่านั้น ถ้าจะเอาระดับอายตนะผ่องใส การรับรู้คมกริบ สมอง ร่างกายทำงานได้เยี่ยม ผมคิดว่าน่าจะต้องลองไปเข้าหลักสูตรปฏิบัติธรรมในสถานที่เหมาะสมสัก 1 สัปดาห์ ให้รู้จัก เข้าใจ และเคยเข้าถึงสภาพของการรับรู้ที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน หลังจากนั้นก็ควรทำทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย และรู้ตัวเมื่อไหร่ก็ดึงสติกลับมาที่ฐาน เพื่อเป็นการออกกำลังกายสติให้แข็งแรง ให้พร้อมที่จะเอาไปใช้งาน อย่างตอนที่ผมไปปฏิบัติธรรมครั้งแรกกลับมา แล้วมีโอกาสได้ไปตีแบต ผมเห็นลูกแบตวิ่งเข้ามาเป็น Slow Motion เห็นถึงอาการของกล้ามเนื้อ และใจของเราที่วางแผนการตี ตลอดจนสั่งการร่างกายให้เข้าไปตี เห็นการเหวี่ยงแขน การกระทบของหน้าไม้กับลูก ได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว ซึ่งเหล่านี้เป็นผลพลอยได้เล็กๆ น้อยๆ จากการปฏิบัติ
เป็นต้น
เท่าที่อ่านดู เป้าหมายขณะปฏิบัติของคุณ alpha26 คือ เพื่อความสงบ ซึ่งถ้าอ่านสิ่งที่ผมเขียนก่อนหน้าถึงเป้าหมายแล้ว จะพบว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้เป้าเรื่องความสงบเอาไว้ในมหาสติปัฎฐานสูตรเลย ดังนั้นผมคิดว่าการตั้งเป้าของคุณ alpha26 อาจจะไม่ค่อยถูกต้องนักนะครับ- เวลานั่งนี่ต้องทำยังไงครับ อันนี้อาจจะถามขวานผ่าซากไปหน่อย แต่ผมไม่ค่อยแน่ใจจริงๆครับ สมมติว่าถ้าเราฟุ้งซ่านคิดโน่นนี่ ควรจะทำยังไงครับ? บางครั้งอยากให้สงบใจก็ไม่สงบครับ
สำหรับเรื่องความสงบ ในมหาสติปัฏฐานสูตร ที่เห็นตรงๆ ชัดๆ จะอยู่ในหมวด โพชฌงค์ โดยมีองค์ประกอบอันหนึ่งชื่อว่า ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ คำว่า ปัสสัทธิ แปลว่า ความสงบ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวเอาไว้ว่า
"...
เมื่อปัสสัทธิสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา
หรือเมื่อปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา
อนึ่ง ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
..."
พระพุทธองค์ทรงให้แนวทางเอาไว้ว่า ถ้าสงบก็ให้รู้ว่าสงบ ถ้าไม่สงบก็ให้รู้ว่าไม่สงบ ถ้าตอนนี้ยังไม่สงบ เหตุอะไรที่จะทำให้สงบก็ให้ไปศึกษาเรียนรู้ และถ้าที่สงบแล้วจะสงบยิ่งๆ ขึ้น ก็ให้ศึกษารู้ในเหตุอันนั้น ซึ่งเหตุแห่งความสงบนี้ต้องเรียนรู้กันไปอีกเยอะมากเลยครับ กว่าจะเข้าใจ และทำได้จริง ซึ่งเป็นขั้นหลังๆ ของการปฏิบัติกันไปเลยทีเดียว
ในสติปัฏฐาน 4 นี้ พระพุทธองค์ แบ่งตามระดับจากง่ายไปหายาก จากระดับที่หยาบสุดง่ายสุดก่อน คือ การกำหนดฐานกาย ฐานเวทนา ฐานจิต แล้วถึงจะไปฐานธรรม ซึ่งในฐานธรรมนี้เองมีความละเอียด ปราณีต ยาก ที่สุดในบรรดา 4 ฐาน เนื่องจากเป็นรายละเอียดการปรุงแต่งของจิต
เราจึงเห็นว่าในหนังสือเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมหรือในหลักสูตรปฏิบัติธรรม ไม่ค่อยมีใครสอนวิธีเจริญสติฐานนี้สักเท่าไร เนื่องจากการจะกำหนดฐานธรรมนี้ได้ เราต้องกำหนดกายจนเชี่ยวชาญก่อน เมื่อเชี่ยวชาญในฐานกายจึงจะเริ่มมีความสามารถในการกำหนดฐานเวทนาได้อย่างจริงๆ จังๆ และเมื่อกำหนดเวทนาได้อย่างเชี่ยวชาญจึงจะเริ่มกำหนดจิตเป็น ต้องกำหนดจิตอย่างเชี่ยวชาญก่อนจึงจะขึ้นฐานธรรม
และในฐานธรรมนี้เอง ความสงบนี้้อยู่ในระดับที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ตัวที่ 5 จาก 7 เลยทีเดียว และด้วยความสามารถของปีติและปัสสัทธิที่สมบูรณ์นี่เอง จึงเป็นคุณสมบัติของพระอนาคามี เพราะ เป็นผู้ที่ฝึกสมาธิได้สมบูรณ์แล้ว สำหรับผู้ที่ปฏิบัติให้เห็นผลในขั้นต้น ควรที่จะเน้นไปที่ วิริยะ กับ ธัมมวิจยะ แทน เพียรที่จะเรียนรู้เข้าไปให้มากๆ ให้เห็นความจริงของกายใจนี้ให้มากๆ เพื่อไถ่ถอนความเห็นผิด ไถ่ถอนอคติในเรื่องต่างๆ
ดังนั้นเป้าที่คุณ alpha26 ตั้งจึงเป็นเป้าที่ยากเกินขีดความสามารถของผู้เริ่มปฏิบัติครับ
ความสงบจึงไม่ใช่เป้าที่ควรตั้ง แต่เป้าที่ควรตั้ง คือ ควรที่จะฝึกสติกับฐานกายให้เชี่ยวชาญก่อน เมื่อมีความฟุ้งซ่าน ความวุ่นวาย สิ่งที่ควรทำ ก็คือ ยอมรับมันตามความเป็นจริงว่ามันยังไม่ใช่ Level ที่เราจะไปจัดการกับมัน แล้วย้อนกลับมาที่ ฐานกาย ที่เป็นอารมณ์กรรมฐานของเรา ฝึกฐานกายให้เชี่ยวชาญมั่นคงก่อน
และเมื่อเรามีสติ สมาธิกับฐานกายของเรามากขึ้นๆ ความฟุ้งซ่าน ความไม่สงบก็จะน้อยลงเรื่อยๆ เอง แต่ก็ยังไม่ใช่วิสัยที่จะจัดการกับมันได้อย่างสมบูรณ์ เราแค่ถูกมันรบกวนน้อยลง แต่ไม่ใช่ไม่ถูกรบกวนเลย เราจะค่อยๆ มีความสามารถที่จะอยู่กับความสงบบ้าง ไม่สงบบ้าง โดยไม่ทุกข์ร้อนไปกับมัน สุดท้ายสงบก็จะค่อยๆ มีมากขึ้นตามมาเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ถูกรบกวนเลย เพราะ ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลก เสวยโลกอยู่ ตราบนั้น คือ เราก็ยังสร้างเหตุแห่งความไม่สงบอยู่นั่นเอง และด้วยเหตุที่พระอนาคมีเป็นผู้ที่เป็นอิสระต่อโลกนี้แล้วอย่างแท้จริง จึงมีความสมบูรณ์ของความสงบ
สำหรับคุณ alpha26 ตั้งเป้าอะไร อย่างไรเอาไว้ ก็ควรวัดผลจากความสำเร็จว่าเป็นไปตามเป้าที่วางไว้หรือไม่ และก็ควรศึกษาถึงหลักการ วิชา ผลลัพธ์ที่เราอาจคาดหวังได้จริงๆ จังๆ จากหนังสือ จากอาจารย์ทางธรรมที่คุณ alpha26 ศรัทธา และใช้สติของเราเองตามดู ตามรู้ ตรวจสอบผลเป็นระยะๆ รวมไปถึงสอบถามอาจารย์ทางธรรมที่คุณศรัทธา (แนวทางของคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต้องได้อาจารย์ที่ตรงสาย ตรงแนว ที่ศรัทธาเคารพ จึงจะก้าวหน้าและได้ผล)- เราจะรู้ได้ยังไงว่าเรามีพัฒนาการครับ หมายถึงว่าเราจะรู้ได้ยังไงครับว่าเรามาถูกทางแล้ว คือผมอยากจะทราบ progress ของตัวเองครับ ถ้าเราก้าวหน้าขึ้นก็จะได้มีกำลังใจปฏิบัติต่อครับ
ขอยกเป็น Case Study ของตัวผมเองแล้วกัน...
แรกเริ่มสุด ผมปฏิบัติธรรมเพราะความทุกข์จากการเล่นหุ้น ความวุ่นวายที่เข้ามาในชีวิตจากความสำเร็จในการลงทุน ผมปฏิบัติธรรม เพื่อที่จะได้ไม่ทุกข์กับการลงทุน ผมอยากได้อิสระภาพทางใจกลับคืนมา เอาแค่เวลาแฟนผมเรียกผมให้ไปทำอะไร ในขณะที่กำลังครุ่นคิดเรื่องหุ้นอยู่ ผมหงุดหงิด ไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่สามารถที่จะตัดอารมณ์ ไปวิ่งเล่นอยู่กับแฟนได้อย่างมีความสุข มีอิสระจากตลาดหุ้น ดังนั้นความก้าวหน้าในขั้นต้นของผมที่ผมวัด คือ ผมสามารถที่จะอยู่กับครอบครัว ไปเที่ยวได้ โดยไม่คิดถึงหุ้น สามารถอยู่กับปัจจุบันได้อย่างแท้จริง
ขั้นถัดมา ยิ่งปฏิบัติธรรม ผมยิ่งเห็นความน่าเกลียด อัปลักษณ์ของกิเลสตัวเอง ผมวัดผลโดยตรวจสอบจากคำพูด การกระทำของผมที่ไปเบียดเบียนคนอื่น ว่ามีน้อยลงไป เรื่องไหนที่เราตั้งใจว่าจะไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น แล้วเราเผลอไปเบียนเบียด ก็ต้องสำรวมระวัง รักษาสติให้มากขึ้น
ขั้นถัดมา ยิ่งปฏิบัติธรรม ผมยิ่งเห็นความทุกข์จากการยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวคน ชอบใจยินดีในความเก่งของตัวเอง ผมสำรวมคำพูดตัวเองมากยิ่งขึ้น จะเขียน จะโพสต์ จะออกไปเจอผํู้คน จะระวังมากยิ่งขึ้น คิดก่อนเขียนให้มากขึ้น อย่างที่ผมเขียนตอบคุณ alpha26 นี่ ผมเขียนมา 3 ชั่วโมงกว่าแล้ว ยังเขียนไม่เสร็จเลย พอเขียนเสร็จก็ต้องมานั่งตรวจสอบแล้ว ตรวจสอบเล่า ว่าสิ่งที่เขียนออกไป เป็นประโยชน์ ไม่เป็นโทษ เป็นใช่เขียนเพื่ออวด เพื่อโชว์ เพื่อสนองอัตตา ดีไม่ดี เขียนเสร็จแล้วก็อาจจะลบมันทิ้งไปให้หมดเลย ผมก็ทำออกบ่อยๆ ซึ่งสุดท้ายถ้าผมเกิดได้โพสต์ข้อความนี้ลงไป คงจะได้เวลาราวๆ 4 ชั่วโมงในการเขียน
ขั้นถัดมา ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งเห็นความวุ่นวายของทางโลก ถึงเราไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น แต่การเอาตัวไปเกลือกกลั้วอยู่กับทางโลก ก็เหมือนเอาตัวไปให้คนอื่นเบียดเบียน เริ่มเห็นความสุขจากความสงบ จากการออกจากความวุ่นวายมากขึ้น เห็นสุขจากภายใน จากสมาธิ และจากปัญญาในธรรมมากยิ่งขึ้น จึงตัดสินใจที่จะถอยห่างจากทางโลก รับรู้โลกให้น้อยลง เรียนรู้ตัวเองให้มากขึ้น ในระดับนี้วัดความก้าวหน้าจากใจของเราเองที่เป็นอิสระจากเครื่องยึดเหนี่ยวต่างๆ ว่ามีน้อยลงบ้างไหม เมื่อเวลาผ่านไป
อันนี้คร่าวๆ ในเบื้องต้นนะครับ ทุกวันนี้ผมวัดผลโดยการตรวจสอบว่า ตัวผมเองยังมีความเบียดเบียนคนอื่น และเบียดเบียนตัวเองมากน้อยขนาดไหน ตัวผมเองยังหลง ยังพุ่งเข้าไปเกาะเกี่ยวกับทางโลกมากขนาดไหน ตัวผมเองมีความสงบระงับ ไม่วุ่นวายใจมากขึ้นขนาดไหน ตัวผมเองมีทุกข์น้อยลงไหม ทุกๆ วันที่ผ่านไปเรามีความเข้าใจกายใจเรามากขึ้นขนาดไหน อะไรประมาณนี้
ปล. ขออภัยหากตอบยาวเกินไป สำหรับยุคที่คนอ่านหนังสือกันน้อยลง ดูภาพกันมากขึ้น หวังว่าคนที่ได้อ่านจะได้รับประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- Verified User
- โพสต์: 297
- ผู้ติดตาม: 0
Re: งานสัมมนาVI 2/60 Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI?
โพสต์ที่ 8
ขอบคุณครับ ทำให้รู้อะไรเยอะขึ้นเรื่องตัวเลขในต่างประเทศ บางทีหายากจริงๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 322
- ผู้ติดตาม: 1
Re: งานสัมมนาVI 2/60 Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI?
โพสต์ที่ 16
อยากให้พี่ picatos ช่วยอธิบายวิธีเจริญสติให้เห็นภาพหน่อยครับว่ามีวิธีทำอย่างไร หรือเป็น case study ตอนพี่เริ่มฝึกก็ได้ครับจะได้เห็นภาพชัดเพิ่อเป็นประโยชรณ์กับคนที่เริ่มอยากฝึกเจริญสติครับpicatos เขียน:ผมเองก็เป็นผู้ที่อยู่ระหว่างการศึกษา ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง แต่จะพยายามช่วยเท่าที่ช่วยได้ในมุมมองของผมนะครับ ซึ่งหากมีความผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยนะครับ
การปฏิบัติธรรม ผมเข้าใจว่าเป็นกระบวนการศึกษากายใจในระบบการเรียนการศึกษาของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจะเรียกสาวกว่า ภิกษุ คำว่าภิกษุ นัยยะหนึ่ง แปลว่าผู้ศึกษาalpha26 เขียน: พี่ picatos ครับ ที่บอกว่าปฏิบัติอย่าง "ถูกวิธี" นี่ ไม่ทราบว่าพอจะให้แนวทางกับน้องๆที่พึ่งเริ่มฝึกปฏิบัติธรรมได้มั้ยครับ? ผมเองเป็นมือใหม่เลยไม่แน่ใจว่าเคยมีคนโพสเรื่องนี้หรือยัง ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากเลยถ้าพี่เขียนกระทู้สรุป แล้วก็อาจจะให้พี่ชายหรือท่านที่มีประสบการณ์ด้านนี้ช่วยแชร์ความรู้ ขอบพระคุณมากครับ
ส่วนตัวอันนี้คือประเด็นที่ผมสงสัยครับ
- คำว่าปฏิบัตินี่คืออะไรครับ
การปฏิบัติธรรมน่าจะคล้ายๆ กับการทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้กายใจของเราเป็นห้องทดลอง เราจะทำการทดลอง ฝึกฝนกายใจของเราตามทฤษฏีและแนวทางที่พระพุทธเจ้าได้ให้เอาไว้ โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า สติ เข้าไปตามดูตามรู้อยู่ในฐานต่างๆ ทั้งหมด 4 ฐาน โดยสติก็คล้ายๆ กับ กล้องโทรทรรศน์เอาไว้ส่องดวงดาว และกล้องจุลทรรศน์เอาไว้ส่องจุลินทรีย์ ที่เอาไว้ใช้ขยาย ตรวจจับสิ่งที่ต้องการศึกษา
เป้าหมายของการศึกษานี้เป็นไปเพื่อประโยชน์หลักๆ คือ การฝึกความสามารถในการดับทุกข์ในแต่ละขั้น หรือ เข้าถึงสุขในระดับที่ละเอียดปราณีตยิ่งๆ ขึ้นไป ที่ดีงามยิ่งกว่าสุขทางโลกๆ ท่าน ป. ปยุตโต ได้เขียนอธิบายถึงความสุข เอาไว้ในหนังสือ พุทธธรรม เอาไว้อย่างงดงามถึงความสุข 10 ระดับ ซึ่งสุขทางโลก อย่างที่คนเป็นมหาเศรษฐี คนมีชื่อเสียง มีอำนาจ นี้เป็นความสุขแค่ขั้นแรกสุดเท่านั้น แม้แต่ความสุขในระดับสวรรค์ ก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามพ้นสุขในขั้นแรกเลย ในขณะที่ความสุขในอีก 9 ขั้นที่เหลือเข้าถึงได้ด้วยการปฏิบัติธรรมเท่านั้น
ดังนั้นการปฏิบัติธรรม ถ้าวัดผลเร็วๆ ง่ายๆ ที่สุด ก็คือ ถ้าไม่ทุกข์น้อยลง ก็ควรที่จะสุขมากขึ้น
แต่บางทีไอ้ตอนที่เราทุกข์ก็ทุกข์เหลือเกิน สุขก็สุขเหลือเกิน สุขก็ส่วนหนึ่ง ทุกข์ก็ส่วนหนึ่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปในขณะหนึ่งๆ เมื่อทุกข์อยู่ก็ลืมไปแล้วว่าไอ้ที่เคยสุขมันเป็นยังไง และเมื่อเราสุขอยู่เราก็จำไม่ค่อยได้หรอกว่าช่วงทุกข์มันทุกข์ขณะไหน เหมือนที่เราก็จำไม่ค่อยได้หรอกว่า วันนี้ของเมื่อปีที่แล้ว เรากินอะไรเป็นข้าวเช้า ดังนั้นมาตรวัดความสำเร็จในเรื่องสุขทุกข์นี้คงต้องเอาไปใช้ที่ระดับพระอริยะเท่านั้นที่ได้ฝึกฝน จนมีทุกข์เหลือน้อยมากแล้ว สำหรับปุถุชนที่มีสุขเจือทุกข์ เราคงต้องใช้มาตรวัดที่ละเอียดกว่านี้ ไม่อย่างนั้นพอทุกข์มากๆ เข้าก็คิดว่าเราปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้าไปซะงั้น
แต่ถ้าจะเอาอย่างละเอียดๆ ผมสังเกตว่าช่วงต้นๆ ของการปฏิบัติ หรือ ในการเข้าห้องทดลอง เพื่อฝึกฝนอะไรบางอย่าง แรกๆ เราก็จะมึนงงกับระบบบ้าง งงกับวิธีการบ้าง งงกับวิธีการใช้เครื่องมือบ้าง มือไม้ปั่นป่วน สับสน เหมือนกับการเล่นกีฬาครั้งแรกๆ เราก็ต้องทดลองเล่น ทดลองใช้ ดังนั้นในการฝึกทำช่วงต้นๆ การทำของเราก็จะมีถูกบ้าง ผิดบ้าง ได้ผลลัพธ์ที่ดีบ้าง แย่บ้าง เราต้องฝึกจนกระทั่งมีความเชี่ยวชาญก่อน จึงจะวัดผลลัพธ์ที่เชื่อมั่นได้ เชื่อถือได้
อย่างในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เราต้องทดลองหลายๆ รอบ และมีการเอาเครื่องมือทางสถิติเข้ามาใช้ว่าสิ่งที่ค้นพบนี้มีนัยสำคัญมากเพียงพอหรือไม่
ในการปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน ก็ต้องฝึกทำบ่อยๆ หลายๆ รอบ จนได้ผลลัพธ์ที่ Consistent มากเพียงพอ จึงจะพอสรุปได้ว่ามาถูกทางหรือผิดทาง แต่ที่สำคัญคือ ไม่ว่าจะถูก จะผิด เราก็ควรพยายามฝึกฝน พยายามทำให้มันดีขึ้น สุดท้ายที่ผิดก็ถูกของมันเอง
เครื่องมือในการตรวจสอบผล พระพุทธเจ้าได้อธิบายเอาไว้พระสูตรที่ชื่อว่า "มหาสติปัฎฐานสูตร" นี่เอง มีพุทธพจน์ เกิดขึ้นซ้ำๆ หลังจากที่ท่านได้อธิบายว่าจะให้มีสติอย่างไร ตามดูตามรู้อย่างไร แล้วก็เน้นถึงผลการปฏิบัติที่เกิดขึ้น ซ้ำแล้วซ้ำอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า ว่า
"... เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก..."
ผลของการปฏิบัติที่ถูกจะได้ผลลัพธ์ 3 อย่างครับ คือ
1) ความทะยานอยาก (ตัณหา) เบาบาง คลายลง สังเกตุได้ว่าความรุ่มร้อนจากการพุ่งออกไปแสวงหาสิ่งที่ชอบใจ หรือหลีกหนีสิ่งที่ไม่ชอบใจมีน้อยลง รู้สึกว่าอยู่ในโลกนี้ได้อย่างเป็นสุขมากขึ้น รู้จักความสุขจากการไม่ต้องไปวุ่นวายแสวงหาให้ม้ันได้มา รู้จักความสุขจากการพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีมากขึ้น
2) ความเห็นผิด (ทิฐิ) ในเรื่องต่างๆ ลดลง เห็นถูกมากขึ้น เห็นผิดในเรื่องอะไร คร่าวๆ ก็คือ เห็นสิ่งที่ไม่งามว่างาม เห็นสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง เห็นสิ่งที่ไม่เป็นตัวตนว่าเป็นตัวตน
3) ความยึดมั่นถือมั่น (อุปทาน) คลายลง ความรู้สึกยึดถือในเรื่องต่างๆ ว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ต้องเป็นคนนั้น เป็นคนนี้ ต้องพูดแบบนั้น พูดแบบนี้ ต้องเป็นวิธีการนั้น วิธีการนี้ คลายลง อยู่ในโลกง่ายขึ้น เข้าใจและยอมรับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้มากขึ้น จึงเกิดสภาพการ "ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก" ได้ โดนคนด่าใส่ก็ยิ้มได้ เจอคนทำไม่ดีใส่ก็อยู่ได้
อันนี้ คือ ภาพย่อยในการปฏิบัติและผลที่เกิดขึ้นในระดับจิต แต่ถ้าเป็นภาพใหญ่ พระพุทธเจ้าได้อธิบายเอาไว้ตอนต้นพระสูตรว่า
"... ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก
1) เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์
2) เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ
3) เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส
4) เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง
5) เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
..."
1) ในแง่ของความบริสุทธิ์อันหนึ่งที่ผมว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ คือ เราจะรู้สึกได้ว่า เมื่อฝึกสติไปแล้ว การรับรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ของเราจะบริสุทธิ์ขึ้น ความสามารถในการรับรู้คมขึ้นเรื่อยๆ สามารถเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น ได้ยินในสิ่งไม่เคยได้ยิน รับรู้ในสิ่งที่ไม่เคยได้รับรู้ ระบบความคิด การรับรู้จะใส สะอาด บริสุทธิ์ เบาบางจากอคติ ฝุ่น ฝ้า หมอกควัน ที่เคยบังตา โลกนี้ดูเหมือนจะสว่างไสว ชัดเจนกว่าเดิมเป็นอย่างมาก หรือที่เรียกว่า อายตนะผ่องใส
2) ถ้ากำลังทุกข์ เศร้าโศก เสียใจอยู่ การปฏิบัติธรรม จะช่วยก้าวข้ามผ่านความทุกข์เหล่านั้นไปได้ ตัวผมเอง หรือ ภรรยาก็เริ่มปฏิบัติธรรม เพราะ เผชิญกับความทุกข์บางอย่าง จนต้องหันหน้าเข้าทางธรรม และก็ได้สติปัฏฐาน 4 นี่เองเป็นเครื่องมือในการก้าวล่วงความเศร้าโศกเสียใจ แถมได้เครื่องมือวิเศษในการทำความสำเร็จทางโลกและทางธรรมให้เกิดขึ้นมาเป็นของแถมด้วย
3) ผลอันหนึ่งจากการปฏิบัติเปรียบเสมือนเราได้สร้าง "รั้วกันภัย" ของเราเป็นการส่วนตัว สติที่ฝึกดีแล้วจะระวังป้องกันทุกข์ใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และเมื่่อกระทบกับสิ่งที่ไม่น่าพึงปรารถนาขึ้น สตินี้เองจะช่วยให้เรามีภูมิต้านทานต่อความทุกข์ ทำให้เราแข็งแรงมากขึ้น และถ้าปฏิบัติถึงขั้นลึกซึ้งจนได้ผลจริงๆ จังๆ ก็จะทำให้ความทุกข์ไม่สามารถมายึดเกี่ยวเกาะกุมจิตใจเราได้อีกเลย
4) "เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง" อันนี้ความหมายละเอียดลึกซึ้งมาก ในมุมมองทางพุทธอันหนึ่ง การบรรลุธรรม หมายถึง การเกิดขึ้นของปัญญา หรือเรียกว่า ฉลาดขึ้นนี่แหละ ซึ่งในการเจริญสติ เราจะพบ และรู้สึกได้เลยว่า ยิ่งปฏิบัติมากขึ้น ก็รู้สึกว่าเรายิ่งฉลาดมากขึ้น
ทั้งนี้เนื่องจากการปฏิบัติเป็นการฝึกที่จะเป็นนักทดลองที่ปราศจากอคติ พระพุทธเจ้าจะให้ทัศคติต่อเราให้เราศึกษาและสังเกตปรากฎการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่สภาพที่ปรุงแต่งตามเหตุปัจจัย ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปราศจากตัวตนของเราที่เป็นผู้กระทำ ด้วยเหตุนี้ทัศนคติที่ถูกฝึกอยู่เนื่องๆ จะทำให้เรามีลักษณะของนักวิชาการ ที่เป็นผู้ศึกษาและสังเกตที่มีอคติน้อยลง
ผลของการที่เราฝึกสติให้บริสุทธิ์จะเกิดการรับรู้ที่บริสุทธิ์ การคิดพิจารณาที่บริสุทธิ์ การฝึกเจริญสติอยู่เนื่องๆ จะทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ซึ่งเหมาะแก่การนำไปในเป็นฐานในการเกิดปัญญา ตลอดจนถ้าไปถึงการฝึกสติปัฎฐานไปจนถึงฐานธรรม จะมีฝึกการสติหมวดหนึ่ง ชื่อว่า "โพชฌงค์" ซึ่ง โพชฌงค์ นี่เองที่เป็นองค์ประกอบที่ทำให้พระพุทธเจ้าตรัสรู้ การฝึกสติปัฎฐานจึงได้ชื่อว่าเป็นการฝึกฝนสร้างเครื่องมือที่ก่อให้เกิดปัญญา รู้แจ้งในสิ่งต่างๆ
5) สำหรับพระนิพพานนี้เป็นเป้าของคนที่เห็นทุกข์โทษของการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏแล้วเท่านั้น ดังนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่ใช่เป้าของคนทั่วไปที่เข้ามาปฏิบัติ แต่เป็นเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม ซึ่งมีน้อยนิด อย่างผมเองในตอนแรกก็ไม่สนใจเป้าอันนี้สักเท่าไร ดังนั้นในข้อนี้จึงขออธิบายผ่านๆ
จากผลลัพธ์ในข้อที่ 4 เมื่อมีปัญญาที่แก่กล้ามากขึ้นเรื่อยๆ เราก็จะเห็นความจริงต่างๆ มากขึ้นๆ รู้ว่าทุกข์ต่างละอย่าง เป็นอย่างไร มีขั้นตอนกระบวนการเกิดขึ้นมาอย่างไร และจะจัดการกับมันได้อย่างไร เราจะฝึกฝนจนจัดการกับทุกข์ได้ทุกประเภท จนมีความสามารถในการเข้าถึงสภาพของที่ทุกข์ดับสนิทไม่มีเหลือ และไม่มีเชื้อที่จะก่อให้เกิดทุกข์ใหม่ๆ ขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งสภาพทุกข์อันสำคัญที่สุดที่เป็นเป้าของคนกลุ่มนี้ คือ การเกิด อันนี้แหละที่เรียกว่า "ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน"
สรุปการปฏิบัติถูกผิด นี่คือขึ้นอยู่กับเป้าหมายว่าจะปฏิบัติเพื่อเป้าหมายอะไร ต้องการระดับไหน...
- ถ้าผมนั่งนิ่งๆให้จิตใจสงบวันละ 5-10 นาทีนี่พอมั้ยครับ?
- ถ้าไม่พอ ผมควรจะปฏิบัติอย่างไรครับ? จำเป็นต้องทำทุกวันมั้ยครับ?
ถ้าเป้าหมายเพื่อให้นอนหลับ ไม่ฝันร้าย พักผ่อนได้อย่างเต็มที่ การปฏิบัติ 5-10 นาทีก่อนนอนก็น่าจะเหมาะสม ถ้าจะเอาประโยชน์แค่ให้จิตสงบก่อนนอน เพิ่มประสิทธิภาพการพักผ่อน ผลที่น่าจะได้ คือ นอนน้อยลงแต่รู้สึกนอนอิ่มมากขึ้น ร่างกายสดชื่นมากขึ้นเมื่อตื่นนอน แต่บางคนก็ทำแล้วอาจจะนอนไม่หลับ ยิ่งทำให้สติตื่นก็มีนะครับ ซึ่งเรื่องนี้แล้วแต่เทคนิค แล้วแต่จริตมากๆ เลย อย่างตัวผมเอง ก็จะไม่ค่อยทำตอนก่อนนอน
แต่ถ้าคาดหวังอะไรสูงกว่านั้น ก็ต้องใส่ความเพียรพยายามมากกว่านั้น ถ้าจะเอาระดับอายตนะผ่องใส การรับรู้คมกริบ สมอง ร่างกายทำงานได้เยี่ยม ผมคิดว่าน่าจะต้องลองไปเข้าหลักสูตรปฏิบัติธรรมในสถานที่เหมาะสมสัก 1 สัปดาห์ ให้รู้จัก เข้าใจ และเคยเข้าถึงสภาพของการรับรู้ที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน หลังจากนั้นก็ควรทำทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย และรู้ตัวเมื่อไหร่ก็ดึงสติกลับมาที่ฐาน เพื่อเป็นการออกกำลังกายสติให้แข็งแรง ให้พร้อมที่จะเอาไปใช้งาน อย่างตอนที่ผมไปปฏิบัติธรรมครั้งแรกกลับมา แล้วมีโอกาสได้ไปตีแบต ผมเห็นลูกแบตวิ่งเข้ามาเป็น Slow Motion เห็นถึงอาการของกล้ามเนื้อ และใจของเราที่วางแผนการตี ตลอดจนสั่งการร่างกายให้เข้าไปตี เห็นการเหวี่ยงแขน การกระทบของหน้าไม้กับลูก ได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว ซึ่งเหล่านี้เป็นผลพลอยได้เล็กๆ น้อยๆ จากการปฏิบัติ
เป็นต้น
เท่าที่อ่านดู เป้าหมายขณะปฏิบัติของคุณ alpha26 คือ เพื่อความสงบ ซึ่งถ้าอ่านสิ่งที่ผมเขียนก่อนหน้าถึงเป้าหมายแล้ว จะพบว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้เป้าเรื่องความสงบเอาไว้ในมหาสติปัฎฐานสูตรเลย ดังนั้นผมคิดว่าการตั้งเป้าของคุณ alpha26 อาจจะไม่ค่อยถูกต้องนักนะครับ- เวลานั่งนี่ต้องทำยังไงครับ อันนี้อาจจะถามขวานผ่าซากไปหน่อย แต่ผมไม่ค่อยแน่ใจจริงๆครับ สมมติว่าถ้าเราฟุ้งซ่านคิดโน่นนี่ ควรจะทำยังไงครับ? บางครั้งอยากให้สงบใจก็ไม่สงบครับ
สำหรับเรื่องความสงบ ในมหาสติปัฏฐานสูตร ที่เห็นตรงๆ ชัดๆ จะอยู่ในหมวด โพชฌงค์ โดยมีองค์ประกอบอันหนึ่งชื่อว่า ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ คำว่า ปัสสัทธิ แปลว่า ความสงบ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวเอาไว้ว่า
"...
เมื่อปัสสัทธิสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา
หรือเมื่อปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา
อนึ่ง ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
..."
พระพุทธองค์ทรงให้แนวทางเอาไว้ว่า ถ้าสงบก็ให้รู้ว่าสงบ ถ้าไม่สงบก็ให้รู้ว่าไม่สงบ ถ้าตอนนี้ยังไม่สงบ เหตุอะไรที่จะทำให้สงบก็ให้ไปศึกษาเรียนรู้ และถ้าที่สงบแล้วจะสงบยิ่งๆ ขึ้น ก็ให้ศึกษารู้ในเหตุอันนั้น ซึ่งเหตุแห่งความสงบนี้ต้องเรียนรู้กันไปอีกเยอะมากเลยครับ กว่าจะเข้าใจ และทำได้จริง ซึ่งเป็นขั้นหลังๆ ของการปฏิบัติกันไปเลยทีเดียว
ในสติปัฏฐาน 4 นี้ พระพุทธองค์ แบ่งตามระดับจากง่ายไปหายาก จากระดับที่หยาบสุดง่ายสุดก่อน คือ การกำหนดฐานกาย ฐานเวทนา ฐานจิต แล้วถึงจะไปฐานธรรม ซึ่งในฐานธรรมนี้เองมีความละเอียด ปราณีต ยาก ที่สุดในบรรดา 4 ฐาน เนื่องจากเป็นรายละเอียดการปรุงแต่งของจิต
เราจึงเห็นว่าในหนังสือเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมหรือในหลักสูตรปฏิบัติธรรม ไม่ค่อยมีใครสอนวิธีเจริญสติฐานนี้สักเท่าไร เนื่องจากการจะกำหนดฐานธรรมนี้ได้ เราต้องกำหนดกายจนเชี่ยวชาญก่อน เมื่อเชี่ยวชาญในฐานกายจึงจะเริ่มมีความสามารถในการกำหนดฐานเวทนาได้อย่างจริงๆ จังๆ และเมื่อกำหนดเวทนาได้อย่างเชี่ยวชาญจึงจะเริ่มกำหนดจิตเป็น ต้องกำหนดจิตอย่างเชี่ยวชาญก่อนจึงจะขึ้นฐานธรรม
และในฐานธรรมนี้เอง ความสงบนี้้อยู่ในระดับที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ตัวที่ 5 จาก 7 เลยทีเดียว และด้วยความสามารถของปีติและปัสสัทธิที่สมบูรณ์นี่เอง จึงเป็นคุณสมบัติของพระอนาคามี เพราะ เป็นผู้ที่ฝึกสมาธิได้สมบูรณ์แล้ว สำหรับผู้ที่ปฏิบัติให้เห็นผลในขั้นต้น ควรที่จะเน้นไปที่ วิริยะ กับ ธัมมวิจยะ แทน เพียรที่จะเรียนรู้เข้าไปให้มากๆ ให้เห็นความจริงของกายใจนี้ให้มากๆ เพื่อไถ่ถอนความเห็นผิด ไถ่ถอนอคติในเรื่องต่างๆ
ดังนั้นเป้าที่คุณ alpha26 ตั้งจึงเป็นเป้าที่ยากเกินขีดความสามารถของผู้เริ่มปฏิบัติครับ
ความสงบจึงไม่ใช่เป้าที่ควรตั้ง แต่เป้าที่ควรตั้ง คือ ควรที่จะฝึกสติกับฐานกายให้เชี่ยวชาญก่อน เมื่อมีความฟุ้งซ่าน ความวุ่นวาย สิ่งที่ควรทำ ก็คือ ยอมรับมันตามความเป็นจริงว่ามันยังไม่ใช่ Level ที่เราจะไปจัดการกับมัน แล้วย้อนกลับมาที่ ฐานกาย ที่เป็นอารมณ์กรรมฐานของเรา ฝึกฐานกายให้เชี่ยวชาญมั่นคงก่อน
และเมื่อเรามีสติ สมาธิกับฐานกายของเรามากขึ้นๆ ความฟุ้งซ่าน ความไม่สงบก็จะน้อยลงเรื่อยๆ เอง แต่ก็ยังไม่ใช่วิสัยที่จะจัดการกับมันได้อย่างสมบูรณ์ เราแค่ถูกมันรบกวนน้อยลง แต่ไม่ใช่ไม่ถูกรบกวนเลย เราจะค่อยๆ มีความสามารถที่จะอยู่กับความสงบบ้าง ไม่สงบบ้าง โดยไม่ทุกข์ร้อนไปกับมัน สุดท้ายสงบก็จะค่อยๆ มีมากขึ้นตามมาเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ถูกรบกวนเลย เพราะ ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลก เสวยโลกอยู่ ตราบนั้น คือ เราก็ยังสร้างเหตุแห่งความไม่สงบอยู่นั่นเอง และด้วยเหตุที่พระอนาคมีเป็นผู้ที่เป็นอิสระต่อโลกนี้แล้วอย่างแท้จริง จึงมีความสมบูรณ์ของความสงบ
สำหรับคุณ alpha26 ตั้งเป้าอะไร อย่างไรเอาไว้ ก็ควรวัดผลจากความสำเร็จว่าเป็นไปตามเป้าที่วางไว้หรือไม่ และก็ควรศึกษาถึงหลักการ วิชา ผลลัพธ์ที่เราอาจคาดหวังได้จริงๆ จังๆ จากหนังสือ จากอาจารย์ทางธรรมที่คุณ alpha26 ศรัทธา และใช้สติของเราเองตามดู ตามรู้ ตรวจสอบผลเป็นระยะๆ รวมไปถึงสอบถามอาจารย์ทางธรรมที่คุณศรัทธา (แนวทางของคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต้องได้อาจารย์ที่ตรงสาย ตรงแนว ที่ศรัทธาเคารพ จึงจะก้าวหน้าและได้ผล)- เราจะรู้ได้ยังไงว่าเรามีพัฒนาการครับ หมายถึงว่าเราจะรู้ได้ยังไงครับว่าเรามาถูกทางแล้ว คือผมอยากจะทราบ progress ของตัวเองครับ ถ้าเราก้าวหน้าขึ้นก็จะได้มีกำลังใจปฏิบัติต่อครับ
ขอยกเป็น Case Study ของตัวผมเองแล้วกัน...
แรกเริ่มสุด ผมปฏิบัติธรรมเพราะความทุกข์จากการเล่นหุ้น ความวุ่นวายที่เข้ามาในชีวิตจากความสำเร็จในการลงทุน ผมปฏิบัติธรรม เพื่อที่จะได้ไม่ทุกข์กับการลงทุน ผมอยากได้อิสระภาพทางใจกลับคืนมา เอาแค่เวลาแฟนผมเรียกผมให้ไปทำอะไร ในขณะที่กำลังครุ่นคิดเรื่องหุ้นอยู่ ผมหงุดหงิด ไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่สามารถที่จะตัดอารมณ์ ไปวิ่งเล่นอยู่กับแฟนได้อย่างมีความสุข มีอิสระจากตลาดหุ้น ดังนั้นความก้าวหน้าในขั้นต้นของผมที่ผมวัด คือ ผมสามารถที่จะอยู่กับครอบครัว ไปเที่ยวได้ โดยไม่คิดถึงหุ้น สามารถอยู่กับปัจจุบันได้อย่างแท้จริง
ขั้นถัดมา ยิ่งปฏิบัติธรรม ผมยิ่งเห็นความน่าเกลียด อัปลักษณ์ของกิเลสตัวเอง ผมวัดผลโดยตรวจสอบจากคำพูด การกระทำของผมที่ไปเบียดเบียนคนอื่น ว่ามีน้อยลงไป เรื่องไหนที่เราตั้งใจว่าจะไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น แล้วเราเผลอไปเบียนเบียด ก็ต้องสำรวมระวัง รักษาสติให้มากขึ้น
ขั้นถัดมา ยิ่งปฏิบัติธรรม ผมยิ่งเห็นความทุกข์จากการยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวคน ชอบใจยินดีในความเก่งของตัวเอง ผมสำรวมคำพูดตัวเองมากยิ่งขึ้น จะเขียน จะโพสต์ จะออกไปเจอผํู้คน จะระวังมากยิ่งขึ้น คิดก่อนเขียนให้มากขึ้น อย่างที่ผมเขียนตอบคุณ alpha26 นี่ ผมเขียนมา 3 ชั่วโมงกว่าแล้ว ยังเขียนไม่เสร็จเลย พอเขียนเสร็จก็ต้องมานั่งตรวจสอบแล้ว ตรวจสอบเล่า ว่าสิ่งที่เขียนออกไป เป็นประโยชน์ ไม่เป็นโทษ เป็นใช่เขียนเพื่ออวด เพื่อโชว์ เพื่อสนองอัตตา ดีไม่ดี เขียนเสร็จแล้วก็อาจจะลบมันทิ้งไปให้หมดเลย ผมก็ทำออกบ่อยๆ ซึ่งสุดท้ายถ้าผมเกิดได้โพสต์ข้อความนี้ลงไป คงจะได้เวลาราวๆ 4 ชั่วโมงในการเขียน
ขั้นถัดมา ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งเห็นความวุ่นวายของทางโลก ถึงเราไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น แต่การเอาตัวไปเกลือกกลั้วอยู่กับทางโลก ก็เหมือนเอาตัวไปให้คนอื่นเบียดเบียน เริ่มเห็นความสุขจากความสงบ จากการออกจากความวุ่นวายมากขึ้น เห็นสุขจากภายใน จากสมาธิ และจากปัญญาในธรรมมากยิ่งขึ้น จึงตัดสินใจที่จะถอยห่างจากทางโลก รับรู้โลกให้น้อยลง เรียนรู้ตัวเองให้มากขึ้น ในระดับนี้วัดความก้าวหน้าจากใจของเราเองที่เป็นอิสระจากเครื่องยึดเหนี่ยวต่างๆ ว่ามีน้อยลงบ้างไหม เมื่อเวลาผ่านไป
อันนี้คร่าวๆ ในเบื้องต้นนะครับ ทุกวันนี้ผมวัดผลโดยการตรวจสอบว่า ตัวผมเองยังมีความเบียดเบียนคนอื่น และเบียดเบียนตัวเองมากน้อยขนาดไหน ตัวผมเองยังหลง ยังพุ่งเข้าไปเกาะเกี่ยวกับทางโลกมากขนาดไหน ตัวผมเองมีความสงบระงับ ไม่วุ่นวายใจมากขึ้นขนาดไหน ตัวผมเองมีทุกข์น้อยลงไหม ทุกๆ วันที่ผ่านไปเรามีความเข้าใจกายใจเรามากขึ้นขนาดไหน อะไรประมาณนี้
ปล. ขออภัยหากตอบยาวเกินไป สำหรับยุคที่คนอ่านหนังสือกันน้อยลง ดูภาพกันมากขึ้น หวังว่าคนที่ได้อ่านจะได้รับประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: งานสัมมนาVI 2/60 Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI?
โพสต์ที่ 17
จริงๆ แล้วมันมีหนังสือ หลักสูตร ตลอดจนผู้สอนจำนวนมากมายท่ี่ให้คำแนะนำในการฝึกเจริญสติอยู่ครับ สำหรับผมเองแล้ว เนื่องจากเป็นผู้ศึกษาอยู่เหมือนกัน ไม่ได้เป็นผู้สอน และไม่มีความสามารถในการสอน แถมในศาสตร์ทางด้านนี้ ผู้ฝึกควรที่จะมีควรศรัทธา เคารพ ในวิธีการและตัวผู้สอนเป็นอย่างมาก จึงจะปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและก้าวหน้า ต้องมีการสอนแบบเจอตัวกันจริงๆ โดยเฉพาะในการเริ่มต้นฝึกใหม่ๆ เพราะ ผู้สอนจะมีการให้โจทย์ไปทดลองทำ และตรวจสอบผล ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ถูกควบคุม (เหมือนห้องทดลองที่ต้องคุมตัวแปรต่างๆ) จึงไม่ใช่วิสัยที่ผมจะให้คำแนะนำอะไรไปได้มากไปกว่านี้Fin เขียน:...
อยากให้พี่ picatos ช่วยอธิบายวิธีเจริญสติให้เห็นภาพหน่อยครับว่ามีวิธีทำอย่างไร หรือเป็น case study ตอนพี่เริ่มฝึกก็ได้ครับจะได้เห็นภาพชัดเพิ่อเป็นประโยชรณ์กับคนที่เริ่มอยากฝึกเจริญสติครับ
สำหรับการฝึกของผมเอง ผมจึงเริ่มต้นจากการไปปฏิบัติธรรม 8 วัน 7 คืน ที่มูลนิธิศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่ หลังจากนั้นก็ได้บวชต่อที่วัดร่ำเปิงอีก 10 วัน เพื่อทดลองฝึกในขั้นต้น โดยผมเริ่มต้นปฏิบัติในแนวทางของคุณแม่สิริ กรินชัย และต่อยอดไปในแนวทางพองหนอ ยุบหนอ ของทางพม่าครับ
ในการปฏิบัติในแนวทางนี้ของพม่า มีข้อดีสำหรับผู้เริ่มต้น เนื่องจากสมาธิจะไม่ดิ่งลึกจนเกินไป มีแนวทางปฏิบัติ วิธีการตรวจสอบผลการปฏิบัติ ตลอดจนมีวิธีการแก้ไขปัญหาระหว่างปฏิบัติชัดเจนในระดับหนึ่ง จึงทำให้เริ่มต้นเรียนรู้การปฏิบัติได้อย่างไม่หลงทางเท่าไรนัก
สำหรับผมเอง หลังจากที่ได้ทดลองฝึกในขั้นต้น ก็กลับมาฝึกเองที่บ้าน ตื่นทุกเช้ามาทำ เดินจงกรม 1 ชั่วโมง นั่งสมาธิ 1 ชั่วโมง วันไหนว่างๆ ก็ทำ 4 ชั่วโมงบ้าง 6 ชั่วโมงบ้าง
จัดสรรเวลา กลับเข้าไปปฏิบัติตามหลักสูตรอีกหลายต่อหลายครั้ง ศึกษาพระธรรม อ่านพระไตรปิฎก อ่านคัมภีร์ อรรถกถาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยเพิ่มความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติ ใช้เวลาประมาณ 4-5 ปีได้ จึงพอจะรู้ว่าการปฏิบัติธรรมจริงๆ คือ อะไร ต้องทำอะไร ดูแลตัวเองอย่างไร จึงพอเริ่มที่จะทำเองได้
สำหรับคนอื่นๆ อาจจะปฏิบัติโดยวิธีการ shortcut บ้าง ทำเป็นงานอดิเรกบ้าง แต่ผมเป็นพวกทำอะไรจริงจัง ชอบทำอะไรตรงๆ เถือกๆ ไป และการปฏิบัติธรรมสำหรับผมถือเป็นสาระสำคัญของชีวิตเป็นเหมือนการทำงานอย่างหนึ่ง ผมจึงให้เวลากับตรงนี้มากๆ ซึ่งอาจจะไม่ค่อยตรงกับคนอื่นๆ นัก อย่างช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมให้เวลาที่ผมเก็บตัวปฏิบัติธรรม ก็จะปฏิบัติเหมือนทำงาน วันละ 8 ชั่วโมงบ้าง 10 ชั่วโมงบ้าง 12 ชั่วโมงบ้าง แล้วแต่เวลาที่เอื้ออำนวย
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- Verified User
- โพสต์: 322
- ผู้ติดตาม: 1
Re: งานสัมมนาVI 2/60 Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI?
โพสต์ที่ 18
ขอบคุณมากๆครับพี่ ถ้าเราจะเจริญสติ เช่นดูจิต หรือทำอานาปนสติ เพื่อไม่ให้เป็นผู้เพ่ง ทำแบบธรรมชาติ เราควรจะวางจิตหรือรู้สึกอย่างไรครับ ผมเคยชินแต่การกำหนดลมหายใจแบบชัด นิ่งอยู่จุดเดี่ยว ทำไปๆ จิตจะเริ่มตัดผัสสะภายนอก แล้วก็จะเริ่มหมดความรับรู้ทางกาย แล้วก็จะเกิดสว่างจ้าภายในครับผมpicatos เขียน:จริงๆ แล้วมันมีหนังสือ หลักสูตร ตลอดจนผู้สอนจำนวนมากมายท่ี่ให้คำแนะนำในการฝึกเจริญสติอยู่ครับ สำหรับผมเองแล้ว เนื่องจากเป็นผู้ศึกษาอยู่เหมือนกัน ไม่ได้เป็นผู้สอน และไม่มีความสามารถในการสอน แถมในศาสตร์ทางด้านนี้ ผู้ฝึกควรที่จะมีควรศรัทธา เคารพ ในวิธีการและตัวผู้สอนเป็นอย่างมาก จึงจะปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและก้าวหน้า ต้องมีการสอนแบบเจอตัวกันจริงๆ โดยเฉพาะในการเริ่มต้นฝึกใหม่ๆ เพราะ ผู้สอนจะมีการให้โจทย์ไปทดลองทำ และตรวจสอบผล ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ถูกควบคุม (เหมือนห้องทดลองที่ต้องคุมตัวแปรต่างๆ) จึงไม่ใช่วิสัยที่ผมจะให้คำแนะนำอะไรไปได้มากไปกว่านี้Fin เขียน:...
อยากให้พี่ picatos ช่วยอธิบายวิธีเจริญสติให้เห็นภาพหน่อยครับว่ามีวิธีทำอย่างไร หรือเป็น case study ตอนพี่เริ่มฝึกก็ได้ครับจะได้เห็นภาพชัดเพิ่อเป็นประโยชรณ์กับคนที่เริ่มอยากฝึกเจริญสติครับ
สำหรับการฝึกของผมเอง ผมจึงเริ่มต้นจากการไปปฏิบัติธรรม 8 วัน 7 คืน ที่มูลนิธิศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่ หลังจากนั้นก็ได้บวชต่อที่วัดร่ำเปิงอีก 10 วัน เพื่อทดลองฝึกในขั้นต้น โดยผมเริ่มต้นปฏิบัติในแนวทางของคุณแม่สิริ กรินชัย และต่อยอดไปในแนวทางพองหนอ ยุบหนอ ของทางพม่าครับ
ในการปฏิบัติในแนวทางนี้ของพม่า มีข้อดีสำหรับผู้เริ่มต้น เนื่องจากสมาธิจะไม่ดิ่งลึกจนเกินไป มีแนวทางปฏิบัติ วิธีการตรวจสอบผลการปฏิบัติ ตลอดจนมีวิธีการแก้ไขปัญหาระหว่างปฏิบัติชัดเจนในระดับหนึ่ง จึงทำให้เริ่มต้นเรียนรู้การปฏิบัติได้อย่างไม่หลงทางเท่าไรนัก
สำหรับผมเอง หลังจากที่ได้ทดลองฝึกในขั้นต้น ก็กลับมาฝึกเองที่บ้าน ตื่นทุกเช้ามาทำ เดินจงกรม 1 ชั่วโมง นั่งสมาธิ 1 ชั่วโมง วันไหนว่างๆ ก็ทำ 4 ชั่วโมงบ้าง 6 ชั่วโมงบ้าง
จัดสรรเวลา กลับเข้าไปปฏิบัติตามหลักสูตรอีกหลายต่อหลายครั้ง ศึกษาพระธรรม อ่านพระไตรปิฎก อ่านคัมภีร์ อรรถกถาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยเพิ่มความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติ ใช้เวลาประมาณ 4-5 ปีได้ จึงพอจะรู้ว่าการปฏิบัติธรรมจริงๆ คือ อะไร ต้องทำอะไร ดูแลตัวเองอย่างไร จึงพอเริ่มที่จะทำเองได้
สำหรับคนอื่นๆ อาจจะปฏิบัติโดยวิธีการ shortcut บ้าง ทำเป็นงานอดิเรกบ้าง แต่ผมเป็นพวกทำอะไรจริงจัง ชอบทำอะไรตรงๆ เถือกๆ ไป และการปฏิบัติธรรมสำหรับผมถือเป็นสาระสำคัญของชีวิตเป็นเหมือนการทำงานอย่างหนึ่ง ผมจึงให้เวลากับตรงนี้มากๆ ซึ่งอาจจะไม่ค่อยตรงกับคนอื่นๆ นัก อย่างช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมให้เวลาที่ผมเก็บตัวปฏิบัติธรรม ก็จะปฏิบัติเหมือนทำงาน วันละ 8 ชั่วโมงบ้าง 10 ชั่วโมงบ้าง 12 ชั่วโมงบ้าง แล้วแต่เวลาที่เอื้ออำนวย
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: งานสัมมนาVI 2/60 Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI?
โพสต์ที่ 19
สงสัยครับ ว่าทำไมต้องเจริญสติแบบไม่เป็นผู้เพ่งด้วยเหรอครับ?Fin เขียน:...
ขอบคุณมากๆครับพี่ ถ้าเราจะเจริญสติ เช่นดูจิต หรือทำอานาปนสติ เพื่อไม่ให้เป็นผู้เพ่ง ทำแบบธรรมชาติ เราควรจะวางจิตหรือรู้สึกอย่างไรครับ ผมเคยชินแต่การกำหนดลมหายใจแบบชัด นิ่งอยู่จุดเดี่ยว ทำไปๆ จิตจะเริ่มตัดผัสสะภายนอก แล้วก็จะเริ่มหมดความรับรู้ทางกาย แล้วก็จะเกิดสว่างจ้าภายในครับผม
ผมเข้าใจว่าคนแต่ละคน มีธรรมชาติที่เหมาะสมในการปฏิบัติต่างกัน การเป็นผู้เพ่ง ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด น่าจะเป็นการปักจิตลงสู่สมถะ โน้มจิตเข้าสู่ความสงบ ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะ การปฏิบัติถ้าตามที่พระอานนท์อธิบายเอาไว้ใน ยุคนัทธกถา ได้แสดงวิธีเอาไว้ 4 วิธี โดยวิธีหลักๆ มี 2 วิธี คือ วิปัสสนาอันมีสมถะเป็นเบื้องต้น กับ สมถะอันมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น
ประเด็น คือ เมื่อจิตเข้าสู่ความสงบแล้ว ตั้งมั่นดีแล้ว ก็ควรโน้มจิตเข้าไปเพื่อเจริญปัญญาต่อ อย่างเช่น เมื่อจิตถอยออกมาจากความสงบแล้ว เริ่มรับรู้สภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งทางกายและทางใจ ก็ตามดูตามรู้สภาพที่เป็นปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นตามความเป็นจริง อย่างเช่น สังเกตว่าสภาวะหนึ่งๆ ที่เด่นชัดความเกิดขึ้น แล้วก็แปรเปลี่ยน ดับไปด้วยความจดจ่อต่อเนื่อง ถึงขนาดที่ว่าเห็นจิตที่เข้าไปเห็นสภาพธรรมอันนั้นที่ดับไป ดับลงไปอีกที (เห็นสภาวะหนึ่งๆ ดับลงไป และเห็นจิตที่เข้าไปเห็นสภาวะอันนั้นๆ ดับลงไปอีกทอดหนึ่ง) เป็นต้น และถ้าเมื่อไหร่ที่เริ่มมีนิวรณ์รบกวนมากๆ เข้า ก็โน้มจิตเข้าสู่ความสงบอีกครั้งด้วยการเพ่งลมหายใจ แล้วเมื่อจิตถอยออกมาก็กำหนดรู้สภาวะต่างๆ ตามความเป็นจริงอีกครั้ง
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- Verified User
- โพสต์: 322
- ผู้ติดตาม: 1
Re: งานสัมมนาVI 2/60 Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI?
โพสต์ที่ 20
ขอบคุณครับพี่เข้าใจแล้วครับ )picatos เขียน:สงสัยครับ ว่าทำไมต้องเจริญสติแบบไม่เป็นผู้เพ่งด้วยเหรอครับ?Fin เขียน:...
ขอบคุณมากๆครับพี่ ถ้าเราจะเจริญสติ เช่นดูจิต หรือทำอานาปนสติ เพื่อไม่ให้เป็นผู้เพ่ง ทำแบบธรรมชาติ เราควรจะวางจิตหรือรู้สึกอย่างไรครับ ผมเคยชินแต่การกำหนดลมหายใจแบบชัด นิ่งอยู่จุดเดี่ยว ทำไปๆ จิตจะเริ่มตัดผัสสะภายนอก แล้วก็จะเริ่มหมดความรับรู้ทางกาย แล้วก็จะเกิดสว่างจ้าภายในครับผม
ผมเข้าใจว่าคนแต่ละคน มีธรรมชาติที่เหมาะสมในการปฏิบัติต่างกัน การเป็นผู้เพ่ง ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด น่าจะเป็นการปักจิตลงสู่สมถะ โน้มจิตเข้าสู่ความสงบ ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะ การปฏิบัติถ้าตามที่พระอานนท์อธิบายเอาไว้ใน ยุคนัทธกถา ได้แสดงวิธีเอาไว้ 4 วิธี โดยวิธีหลักๆ มี 2 วิธี คือ วิปัสสนาอันมีสมถะเป็นเบื้องต้น กับ สมถะอันมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น
ประเด็น คือ เมื่อจิตเข้าสู่ความสงบแล้ว ตั้งมั่นดีแล้ว ก็ควรโน้มจิตเข้าไปเพื่อเจริญปัญญาต่อ อย่างเช่น เมื่อจิตถอยออกมาจากความสงบแล้ว เริ่มรับรู้สภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งทางกายและทางใจ ก็ตามดูตามรู้สภาพที่เป็นปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นตามความเป็นจริง อย่างเช่น สังเกตว่าสภาวะหนึ่งๆ ที่เด่นชัดความเกิดขึ้น แล้วก็แปรเปลี่ยน ดับไปด้วยความจดจ่อต่อเนื่อง ถึงขนาดที่ว่าเห็นจิตที่เข้าไปเห็นสภาพธรรมอันนั้นที่ดับไป ดับลงไปอีกที (เห็นสภาวะหนึ่งๆ ดับลงไป และเห็นจิตที่เข้าไปเห็นสภาวะอันนั้นๆ ดับลงไปอีกทอดหนึ่ง) เป็นต้น และถ้าเมื่อไหร่ที่เริ่มมีนิวรณ์รบกวนมากๆ เข้า ก็โน้มจิตเข้าสู่ความสงบอีกครั้งด้วยการเพ่งลมหายใจ แล้วเมื่อจิตถอยออกมาก็กำหนดรู้สภาวะต่างๆ ตามความเป็นจริงอีกครั้ง
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: งานสัมมนาVI 2/60 Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI?
โพสต์ที่ 21
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- Verified User
- โพสต์: 322
- ผู้ติดตาม: 1
Re: งานสัมมนาVI 2/60 Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI?
โพสต์ที่ 22
picatos เขียน:ฝากให้น้อง Fin ลองฟังดูนะครับ เรื่องสมาธิในฌาน ของหลวงพ่อพุธ
https://youtu.be/ubsOiDyq99w
ขอบคุณมากๆครับพี่
-
- Verified User
- โพสต์: 3350
- ผู้ติดตาม: 0
Re: งานสัมมนาVI 2/60 Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI?
โพสต์ที่ 23
ขออนุญาต แนะนำ youtube หลวงพ่อ ปราโมทย์ คับalpha26 เขียน:พี่ picatos ครับ ที่บอกว่าปฏิบัติอย่าง "ถูกวิธี" นี่ ไม่ทราบว่าพอจะให้แนวทางกับน้องๆที่พึ่งเริ่มฝึกปฏิบัติธรรมได้มั้ยครับ? ผมเองเป็นมือใหม่เลยไม่แน่ใจว่าเคยมีคนโพสเรื่องนี้หรือยัง ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากเลยถ้าพี่เขียนกระทู้สรุป แล้วก็อาจจะให้พี่ชายหรือท่านที่มีประสบการณ์ด้านนี้ช่วยแชร์ความรู้ ขอบพระคุณมากครับpicatos เขียน:สุดยอดทั้งคนถาม คนตอบ และคนสรุป
ขอบคุณมากๆ นะครับ
ปล. เห็นคุณตู้พูดเรื่องปฏิบัติธรรมแล้วก็คันไม้คันมือ 555
ขอเพิ่มเติมนิดนึงว่า การปฏิบัติธรรม จะช่วยให้สัญชาตญาณในการมองอนาคตคมขึ้น ญาณปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมอันหนึ่งเรียกว่า อนาคตังสญาณ ซึ่งถึงแม้ญาณอันนี้จะยังไม่ถูกฝึกอย่างแก่กล้าขนาดเรียกใช้ได้ เห็นแจ้ง แบบนอสตราดามุส แต่การฝึกปฏิบัติธรรม ถ้าทำอย่างถูกวิธี จะช่วยพัฒนาญาณอันนี้ให้เกิดขึ้น จนเกิดความรู้ในสิ่งที่จะเกิดขึ้นบางอย่าง อย่างที่ใช้เหตุผลทางโลกอธิบายชัดๆ ไม่ได้
นอกจากนี้การปฏิบัติธรรมจะช่วยให้ประสิทธิภาพการประมวลผลของสมองสูงขึ้น จึงเกิดสภาพที่คุณตู้บอกว่า ใช้ข้อมูลน้อยลง แต่ได้ผลมากขึ้น
ส่วนตัวอันนี้คือประเด็นที่ผมสงสัยครับ
- คำว่าปฏิบัตินี่คืออะไรครับ ถ้าผมนั่งนิ่งๆให้จิตใจสงบวันละ 5-10 นาทีนี่พอมั้ยครับ?
- ถ้าไม่พอ ผมควรจะปฏิบัติอย่างไรครับ? จำเป็นต้องทำทุกวันมั้ยครับ?
- เวลานั่งนี่ต้องทำยังไงครับ อันนี้อาจจะถามขวานผ่าซากไปหน่อย แต่ผมไม่ค่อยแน่ใจจริงๆครับ สมมติว่าถ้าเราฟุ้งซ่านคิดโน่นนี่ ควรจะทำยังไงครับ? บางครั้งอยากให้สงบใจก็ไม่สงบครับ
- เราจะรู้ได้ยังไงว่าเรามีพัฒนาการครับ หมายถึงว่าเราจะรู้ได้ยังไงครับว่าเรามาถูกทางแล้ว คือผมอยากจะทราบ progress ของตัวเองครับ ถ้าเราก้าวหน้าขึ้นก็จะได้มีกำลังใจปฏิบัติต่อครับ
รบกวนขอความรู้ด้วยครับ อาจจะนอกเรื่องไปนิดนึง แต่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับสมาชิกท่านอื่นที่อยากจะเริ่มฝึกครับ
ฟังไปเรื่อยๆ เหมือน สารคดี ไม่ต้องคิดอะไร
เข้าใจ กะคือเข้าใจ ไม่เข้าใจกะคือไม่เข้าใจ
เรื่องพวกนี้ผมว่า เป็น ปัจจตัง เวธิตัพโพ
มันจะรู้ได้ด้วยตัวเอง
ผมเชื่อว่า ฟังแบบสารคดี อาทิตย์นึง น่าจะได้คำตอบนะคับ
https://www.youtube.com/playlist?list=P ... nHtJ4JU1j7
show me money.
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 560
- ผู้ติดตาม: 0
Re: งานสัมมนาVI 2/60 Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI?
โพสต์ที่ 24
มีใครพอจะแนะนำสถานที่ปฏิบัติธรรมในกรุงเทพหรือจังหวัดใกล้เคียงได้บ้างครับ ถ้าสนใจไปปฏิบัติซัก 7 วันครับ
- edd
- Verified User
- โพสต์: 325
- ผู้ติดตาม: 0
Re: งานสัมมนาVI 2/60 Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI?
โพสต์ที่ 25
ขอบคุณ คุณ picatos มากครับ เรื่องปฎิบัติธรรม เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากจริงๆครับ ผมเข้าใจสิ่งที่คุณถ่ายทอดไว้นี้ได้น้อยมากจริงๆ คงต้องอ่านหลายๆรอบ เพราะเป็นเรื่องที่มีความรู้น้อยมาก
สำหรับตัวผมที่ปฎิบัติอยู่ก็แค่นั่งกำหนดลมหายใจ เพื่ออยู่กับปัจจุบัน ไม่เสียใจกังวลกับอดีตหรืออนาคต เพื่อทำใจให้เป็นสมาธิ อ่านหนังสือธรรมมะ สวดมนต์ก่อนนอน ทั้งหมดทำแค่เพื่อให้ใจสงบ ไม่ได้มีเป้าหมายอื่นใดเลย
แต่พออ่านโพสนี้แล้ว จึงทราบว่าองค์ความรู้มันใหญ่มาก...ขอบคุณอีกครั้งครับ
สำหรับตัวผมที่ปฎิบัติอยู่ก็แค่นั่งกำหนดลมหายใจ เพื่ออยู่กับปัจจุบัน ไม่เสียใจกังวลกับอดีตหรืออนาคต เพื่อทำใจให้เป็นสมาธิ อ่านหนังสือธรรมมะ สวดมนต์ก่อนนอน ทั้งหมดทำแค่เพื่อให้ใจสงบ ไม่ได้มีเป้าหมายอื่นใดเลย
แต่พออ่านโพสนี้แล้ว จึงทราบว่าองค์ความรู้มันใหญ่มาก...ขอบคุณอีกครั้งครับ
คนเราไม่เคยเดินสะดุดภูเขาล้ม สิ่งที่เราสะดุดก็คือเหล่ากอหญ้าและก้อนหินทั้งหลาย ดังนั้น ถ้าเราสามารถเดินผ่านพวกมันไปได้ เราก็สามารถเดินข้ามภูเขาได้
- นายมานะ
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1167
- ผู้ติดตาม: 1
Re: งานสัมมนาVI 2/60 Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI?
โพสต์ที่ 27
พอดีได้โอกาสกลับมาอ่านกระทู้นี้อีกครั้งครับ
ผ่านมาราวปีกว่าแล้ว แต่ยังจำครั้งแรกที่อ่านคอมเม้นของอาจารย์ picatos ที่ตอบคุณ alpha26 ได้อยู่เลย
จำได้ว่าอ่านครั้งแรกนั้นรู้สึกทึ่งมาก มีคำศัพท์มากมายที่ไม่เข้าใจ แถม process ก็เยอะ รายละเอียดก็ยิบย่อยมาก อ่านเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ครึ่งๆ กลางๆ รู้สึกแค่ว่า โห นี่มันสุดยอดเลยแฮะ และนับถือในน้ำใจของอาจารย์ที่สละเวลาถึง 4 ชม.เขียนออกมา
วันนี้โชคดี ได้โอกาสกลับมาอ้างอีกครั้ง ครั้งนี้อ่านแล้วเข้าใจมากขึ้นกว่าเดิมพอสมควร แต่ก็ยังมีหลายจุดที่ไม่เข้าใจ รู้เลยว่ายังศึกษา พัฒนาตัวเองอีกมากมายเหลือเกิน จนไม่รู้ว่าทั้งชีวิตจะเข้าใจเนื้อหาในกระทู้นี่ได้ทั้ง 100% อย่างท่องแท้รึเปล่า แต่อีกใจหนึ่งก็ดีใจ จากที่อ่านรู้เรื่องแบบครึ่งๆ กลางๆ เข้าใจแค่บางช่วงบางตอน มาวันนี้ทำความเข้าใจเนื้อหาได้สัก 70-75% ยิ่งบางเรื่องที่ได้เจอกับตัวเองยิ่งกระจ่างชัดขึ้นกว่าเดิม กลับมาอ่านกระทู้แล้วรู้สึกมีกำลังใจขึ้นว่า เอ้อ นี่เราก็พัฒนาขึ้นบ้างเหมือนกันแฮะ
สุดท้ายนี้ก็อยากจะขอบคุณอาจารย์ picatos มากๆ อีกครั้งครับ และหากผมและครอบครัวได้ล่วงเกินอะไรใดๆ ไป อยากจะขออภัย และขออโหสิต่อกรรมต่างๆ ที่ได้ล่วงเกินอาจารย์ picatos และครอบครัว มา ณ ทีนี้ด้วยครับ
ขอบคุณอาจารย์มากๆ อีกครั้งที่ทำให้ผมศรัทธาในพระรัตนตรัยอย่างแท้จริงครับ
ผ่านมาราวปีกว่าแล้ว แต่ยังจำครั้งแรกที่อ่านคอมเม้นของอาจารย์ picatos ที่ตอบคุณ alpha26 ได้อยู่เลย
จำได้ว่าอ่านครั้งแรกนั้นรู้สึกทึ่งมาก มีคำศัพท์มากมายที่ไม่เข้าใจ แถม process ก็เยอะ รายละเอียดก็ยิบย่อยมาก อ่านเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ครึ่งๆ กลางๆ รู้สึกแค่ว่า โห นี่มันสุดยอดเลยแฮะ และนับถือในน้ำใจของอาจารย์ที่สละเวลาถึง 4 ชม.เขียนออกมา
วันนี้โชคดี ได้โอกาสกลับมาอ้างอีกครั้ง ครั้งนี้อ่านแล้วเข้าใจมากขึ้นกว่าเดิมพอสมควร แต่ก็ยังมีหลายจุดที่ไม่เข้าใจ รู้เลยว่ายังศึกษา พัฒนาตัวเองอีกมากมายเหลือเกิน จนไม่รู้ว่าทั้งชีวิตจะเข้าใจเนื้อหาในกระทู้นี่ได้ทั้ง 100% อย่างท่องแท้รึเปล่า แต่อีกใจหนึ่งก็ดีใจ จากที่อ่านรู้เรื่องแบบครึ่งๆ กลางๆ เข้าใจแค่บางช่วงบางตอน มาวันนี้ทำความเข้าใจเนื้อหาได้สัก 70-75% ยิ่งบางเรื่องที่ได้เจอกับตัวเองยิ่งกระจ่างชัดขึ้นกว่าเดิม กลับมาอ่านกระทู้แล้วรู้สึกมีกำลังใจขึ้นว่า เอ้อ นี่เราก็พัฒนาขึ้นบ้างเหมือนกันแฮะ
สุดท้ายนี้ก็อยากจะขอบคุณอาจารย์ picatos มากๆ อีกครั้งครับ และหากผมและครอบครัวได้ล่วงเกินอะไรใดๆ ไป อยากจะขออภัย และขออโหสิต่อกรรมต่างๆ ที่ได้ล่วงเกินอาจารย์ picatos และครอบครัว มา ณ ทีนี้ด้วยครับ
ขอบคุณอาจารย์มากๆ อีกครั้งที่ทำให้ผมศรัทธาในพระรัตนตรัยอย่างแท้จริงครับ
- Highway_Star
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 452
- ผู้ติดตาม: 1
Re: งานสัมมนาVI 2/60 Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI?
โพสต์ที่ 28
ขอบคุณพี่มานะที่ขุดกระทู้นี้ขึ้นมาครับนายมานะ เขียน:พอดีได้โอกาสกลับมาอ่านกระทู้นี้อีกครั้งครับ
ผ่านมาราวปีกว่าแล้ว แต่ยังจำครั้งแรกที่อ่านคอมเม้นของอาจารย์ picatos ที่ตอบคุณ alpha26 ได้อยู่เลย
จำได้ว่าอ่านครั้งแรกนั้นรู้สึกทึ่งมาก มีคำศัพท์มากมายที่ไม่เข้าใจ แถม process ก็เยอะ รายละเอียดก็ยิบย่อยมาก อ่านเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ครึ่งๆ กลางๆ รู้สึกแค่ว่า โห นี่มันสุดยอดเลยแฮะ และนับถือในน้ำใจของอาจารย์ที่สละเวลาถึง 4 ชม.เขียนออกมา
วันนี้โชคดี ได้โอกาสกลับมาอ้างอีกครั้ง ครั้งนี้อ่านแล้วเข้าใจมากขึ้นกว่าเดิมพอสมควร แต่ก็ยังมีหลายจุดที่ไม่เข้าใจ รู้เลยว่ายังศึกษา พัฒนาตัวเองอีกมากมายเหลือเกิน จนไม่รู้ว่าทั้งชีวิตจะเข้าใจเนื้อหาในกระทู้นี่ได้ทั้ง 100% อย่างท่องแท้รึเปล่า แต่อีกใจหนึ่งก็ดีใจ จากที่อ่านรู้เรื่องแบบครึ่งๆ กลางๆ เข้าใจแค่บางช่วงบางตอน มาวันนี้ทำความเข้าใจเนื้อหาได้สัก 70-75% ยิ่งบางเรื่องที่ได้เจอกับตัวเองยิ่งกระจ่างชัดขึ้นกว่าเดิม กลับมาอ่านกระทู้แล้วรู้สึกมีกำลังใจขึ้นว่า เอ้อ นี่เราก็พัฒนาขึ้นบ้างเหมือนกันแฮะ
สุดท้ายนี้ก็อยากจะขอบคุณอาจารย์ picatos มากๆ อีกครั้งครับ และหากผมและครอบครัวได้ล่วงเกินอะไรใดๆ ไป อยากจะขออภัย และขออโหสิต่อกรรมต่างๆ ที่ได้ล่วงเกินอาจารย์ picatos และครอบครัว มา ณ ทีนี้ด้วยครับ
ขอบคุณอาจารย์มากๆ อีกครั้งที่ทำให้ผมศรัทธาในพระรัตนตรัยอย่างแท้จริงครับ
ผมเพิ่งได้อ่านก็วันนี้เอง ได้ประโยชน์หลายอย่างมากครับ