ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 32
นั่งมองรายชื่อหุ้นในตารางหุ้น ธุรกิจบริการหมวดแรกที่เจอก็คือหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์...
เท่าที่ทราบ ธปท.บอกว่าถ้า NPL ของระบบธนาคารลดเหลือ 2% เมื่อไร จะเปิดเสรีอย่างเต็มที่ ซึ่งผลกระทบของการเปิดเสรีจะเป็นยังไงนั้นยังไม่มีใครทราบ เชื่อว่าการเข้ามาของต่างชาติจะทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้นซึ่งธนาคารไทยที่ถูกปกป้องมานานอาจไม่สามารถปรับตัวให้แข่งขันกับต่างชาติได้ แต่ถ้าต่างชาติเลือกที่จะเข้ามาด้วยวิธี acquisition คนที่ถือหุ้นธนาคารไทยไว้ก็คงได้เฮกัน ดังนั้นการเลือกลงทุนหุ้นในกลุ่มนี้เป็นการเดิมพันที่มีโอกาสออกได้ทั้งหัวและก้อย ถ้าสนใจจริงๆ ผมว่าควรจะเลือกธนาคารที่มี retail business ที่เข้มแข็ง เพราะน่าจะเป็นที่หมายปองของต่างชาติ เนื่องจากการเริ่มต้นธุรกิจด้วยการขยายสาขาทีละสาขานั้นไม่ใช่เรื่องสนุก
เท่าที่ทราบ ธปท.บอกว่าถ้า NPL ของระบบธนาคารลดเหลือ 2% เมื่อไร จะเปิดเสรีอย่างเต็มที่ ซึ่งผลกระทบของการเปิดเสรีจะเป็นยังไงนั้นยังไม่มีใครทราบ เชื่อว่าการเข้ามาของต่างชาติจะทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้นซึ่งธนาคารไทยที่ถูกปกป้องมานานอาจไม่สามารถปรับตัวให้แข่งขันกับต่างชาติได้ แต่ถ้าต่างชาติเลือกที่จะเข้ามาด้วยวิธี acquisition คนที่ถือหุ้นธนาคารไทยไว้ก็คงได้เฮกัน ดังนั้นการเลือกลงทุนหุ้นในกลุ่มนี้เป็นการเดิมพันที่มีโอกาสออกได้ทั้งหัวและก้อย ถ้าสนใจจริงๆ ผมว่าควรจะเลือกธนาคารที่มี retail business ที่เข้มแข็ง เพราะน่าจะเป็นที่หมายปองของต่างชาติ เนื่องจากการเริ่มต้นธุรกิจด้วยการขยายสาขาทีละสาขานั้นไม่ใช่เรื่องสนุก
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 689
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 33
ผมอยากให้ the mall group เข้าตลาดหุ้นบ้าง...ชอบideaในการดำเนินธุรกิจและการจัดการปัญหาของผู้บริหารเค้าอะ...ทั้ง ดิ เอ็มโพเรียม ทั้ง สยาม พารากอน โครงการพวกนี้ถ้าไม่แน่จริง คงเกิดยากนะครับ...หรือวิธีการที่ประสบความสำเร็จต่างๆในอดีต ทั้งการรวมโรงหนัง สวนน้ำ concert hall เข้าไว้บนห้าง ที่เค้าเป็นผู้ริเริ่ม... :roll:
ในระยะสองสามปีถัดจากนี้...ใครครอบครองที่ดินไว้มากๆน่าจะได้เปรียบผมว่านะ... :shock: :shock:
ในระยะสองสามปีถัดจากนี้...ใครครอบครองที่ดินไว้มากๆน่าจะได้เปรียบผมว่านะ... :shock: :shock:
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 34
ธุรกิจบริการกลุ่มถัดไปคือ ธุรกิจหลักทรัพย์..
ผมว่าถ้าใครจะหาหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาวน่าจะมองข้ามหุ้นในกลุ่มนี้ไปได้เลย แม้รัฐจะพยายามส่งเสริมให้คนไทยเล่นหุ้นกันมากขึ้น แต่ดูเหมือนอุตสาหกรรมนี้จะเข้ามาแข่งขันได้ง่ายเกินไป market fragmentation สูงมาก หลายแห่งมี share ไม่ถึง 2% การเติบโตของผู้บริโภคเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ทุกโบรกมีเป้าหมายที่จะโตให้เร็วเพราะต้องการให้ตนมี share ในระดับที่อยู่ได้ ธนาคารทุกแห่งที่อยากเป็น universal bank ก็เข้ามาเปิดโบรกใหม่กันเพียงเพื่อให้ครบสายธุรกิจ สุดท้ายแล้วถ้าคนเล่นหุ้นเติบโตสูงได้จริงจนโบรกพอหายใจหายคอกันได้คล่องขึ้นมาหน่อย ตลท.ก็คงจะถือโอกาสให้ลอยตัวค่าโบรกอยู่ดีอีกเพราะรอมานานแล้ว เหนื่อยทั้งขึ้นทั้งล่องครับ
ผมว่าถ้าใครจะหาหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาวน่าจะมองข้ามหุ้นในกลุ่มนี้ไปได้เลย แม้รัฐจะพยายามส่งเสริมให้คนไทยเล่นหุ้นกันมากขึ้น แต่ดูเหมือนอุตสาหกรรมนี้จะเข้ามาแข่งขันได้ง่ายเกินไป market fragmentation สูงมาก หลายแห่งมี share ไม่ถึง 2% การเติบโตของผู้บริโภคเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ทุกโบรกมีเป้าหมายที่จะโตให้เร็วเพราะต้องการให้ตนมี share ในระดับที่อยู่ได้ ธนาคารทุกแห่งที่อยากเป็น universal bank ก็เข้ามาเปิดโบรกใหม่กันเพียงเพื่อให้ครบสายธุรกิจ สุดท้ายแล้วถ้าคนเล่นหุ้นเติบโตสูงได้จริงจนโบรกพอหายใจหายคอกันได้คล่องขึ้นมาหน่อย ตลท.ก็คงจะถือโอกาสให้ลอยตัวค่าโบรกอยู่ดีอีกเพราะรอมานานแล้ว เหนื่อยทั้งขึ้นทั้งล่องครับ
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 35
ผมก็เล็งไฟแนนซ์ครับ เป็นหุ้นวัฏจักรที่ทำกำไรให้สามสี่เด้งได้สบายๆและแบบค่อนข้างแน่นอนด้วย เพราะว่าตาดหมีต้องตามมาด้วยตลาดกระทิงแหง ๆ กระทิงเสร็จก็ต้องหมี หมีเสร็จก็กระทิง วนเวียนไม่รู้จบ และหากินได้ไม่รู้จบเช่นกัน :lol:
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 36
ถ้าเป็นการเล่นแบบ buy low sell high หุ้นไฟแนนซ์ก็น่าเล่นอยู่แล้วครับ ขึ้นแรงลงแรง
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 37
กลุ่มต่อไปคือหุ้นกลุ่มประกันภัย
ผมคิดว่าหุ้นกลุ่มประกันภัยนั้นจะได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทั้งหลายที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้น้อยกว่ากลุ่มอื่นๆ ดังนั้นจึงถือได้ว่าปลอดภัยพอสมควรถ้าคิดจะมองหาหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาว
ที่ผ่านมาธุรกิจประกันภัยนั้นให้ผลตอบแทนพอประมาณคือไม่โดดเด่นแต่ไปได้เรื่อยๆ และผมก็คิดว่ามันจะเป็นอย่างนี้อีกต่อไปในอนาคตครับ ถ้ามองในแง่ของธุรกิจแล้วอาจไม่โดดเด่นนัก แต่ถ้ามองราคาหุ้นประกอบด้วย ผมคิดว่าน่าสนใจเพราะราคาหุ้นตอนนี้โดยรวมถือว่าไม่แพง
P/BV เป็น benchmark ที่ดีของการวัดมูลค่าหุ้นประกันภัย เพราะสินทรัพย์ส่วนใหญ่ของบริษัทประกันเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องสูงมีราคาตลาดอยู่ และการบันทึกบัญชีส่วนใหญ่เป็นการบันทึกบัญชีที่ราคาตลาดด้วย ดังนั้น BV จึงน่าเชื่อถือในระดับหนึ่ง
แต่สิ่งหนึ่งที่จะต้องไม่ลืมก็คือว่า เงินกองทุนของบริษัทประกันไม่ใช่เป็นของบริษัทประกันทั้ง 100% เงินกองทุนมีไว้เพื่อสำรองจ่ายค่าสินไหมในอนาคต ซึ่งสินไหมในอนาคตเป็นหนี้สินมองไม่เห็นจึงที่ไม่อยู่ในงบดุล ถ้าบริษัทประกันภัยระมัดระวังไม่ underwrite แบบเสี่ยงๆ ในขณะเดียวกันก็สามารถบริหารเงินกองทุนให้ได้ผลตอบแทนสูงในระยะยาว ก็จะช่วยแบ่งเบาภาระในอนาคตที่มองไม่เห็นนี้ได้ แต่เพื่อความปลอดภัยควรซื้อหุ้นประกันภัยที่มี P/BV ไม่เกินหนึ่งเท่าไว้ก่อนจะดีกว่า
ถ้าจะซื้อหุ้นประกันภัยที่มี P/BV เกินหนึ่งเท่าจริงๆ จะต้องแน่ใจว่าบริษัทนั้นมีความแตกต่างจากคู่แข่งอย่างชัดเจน (มี intangible asset) ซึ่งผมว่าธุรกิจประกันภัยนั้นสร้างความแตกต่างยาก สุดท้ายแล้วลูกค้าก็ดูราคาเป็นหลัก บริษัทที่อยู่ในใจผู้บริโภคจริงๆ ขนาดที่ผู้บริโภคยอมจ่ายแพงได้ ก็จะเห็นจะมีแต่ วิริยะประกันภัย เท่านั้นซึ่งไม่อยู่ในตลาด บริษัทประกันภัยที่อยู่ในตลาดส่วนใหญ่ผมว่าพอๆ กันไม่มีใครโดดเด่น ยกเว้นบางตัวที่อาจจะได้เปรียบเรื่องมีฐานลูกค้าที่เป็นผู้ถือหุ้นอยู่แล้วส่วนหนึ่ง
อีกเรื่องหนึ่งคือควรตรวจดูขนาดของกองทุนเทียบกับขนาดของธุรกิจ ถ้ากองทุนมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับรายได้ค่าเบี้ยประกันโดยเฉลี่ยต่อปี แสดงว่ากองทุนมีเงินมากพออยู่แล้ว ความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มทุนในอนาคตจะน้อยครับ
ผมคิดว่าหุ้นกลุ่มประกันภัยนั้นจะได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทั้งหลายที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้น้อยกว่ากลุ่มอื่นๆ ดังนั้นจึงถือได้ว่าปลอดภัยพอสมควรถ้าคิดจะมองหาหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาว
ที่ผ่านมาธุรกิจประกันภัยนั้นให้ผลตอบแทนพอประมาณคือไม่โดดเด่นแต่ไปได้เรื่อยๆ และผมก็คิดว่ามันจะเป็นอย่างนี้อีกต่อไปในอนาคตครับ ถ้ามองในแง่ของธุรกิจแล้วอาจไม่โดดเด่นนัก แต่ถ้ามองราคาหุ้นประกอบด้วย ผมคิดว่าน่าสนใจเพราะราคาหุ้นตอนนี้โดยรวมถือว่าไม่แพง
P/BV เป็น benchmark ที่ดีของการวัดมูลค่าหุ้นประกันภัย เพราะสินทรัพย์ส่วนใหญ่ของบริษัทประกันเป็นสินทรัพย์สภาพคล่องสูงมีราคาตลาดอยู่ และการบันทึกบัญชีส่วนใหญ่เป็นการบันทึกบัญชีที่ราคาตลาดด้วย ดังนั้น BV จึงน่าเชื่อถือในระดับหนึ่ง
แต่สิ่งหนึ่งที่จะต้องไม่ลืมก็คือว่า เงินกองทุนของบริษัทประกันไม่ใช่เป็นของบริษัทประกันทั้ง 100% เงินกองทุนมีไว้เพื่อสำรองจ่ายค่าสินไหมในอนาคต ซึ่งสินไหมในอนาคตเป็นหนี้สินมองไม่เห็นจึงที่ไม่อยู่ในงบดุล ถ้าบริษัทประกันภัยระมัดระวังไม่ underwrite แบบเสี่ยงๆ ในขณะเดียวกันก็สามารถบริหารเงินกองทุนให้ได้ผลตอบแทนสูงในระยะยาว ก็จะช่วยแบ่งเบาภาระในอนาคตที่มองไม่เห็นนี้ได้ แต่เพื่อความปลอดภัยควรซื้อหุ้นประกันภัยที่มี P/BV ไม่เกินหนึ่งเท่าไว้ก่อนจะดีกว่า
ถ้าจะซื้อหุ้นประกันภัยที่มี P/BV เกินหนึ่งเท่าจริงๆ จะต้องแน่ใจว่าบริษัทนั้นมีความแตกต่างจากคู่แข่งอย่างชัดเจน (มี intangible asset) ซึ่งผมว่าธุรกิจประกันภัยนั้นสร้างความแตกต่างยาก สุดท้ายแล้วลูกค้าก็ดูราคาเป็นหลัก บริษัทที่อยู่ในใจผู้บริโภคจริงๆ ขนาดที่ผู้บริโภคยอมจ่ายแพงได้ ก็จะเห็นจะมีแต่ วิริยะประกันภัย เท่านั้นซึ่งไม่อยู่ในตลาด บริษัทประกันภัยที่อยู่ในตลาดส่วนใหญ่ผมว่าพอๆ กันไม่มีใครโดดเด่น ยกเว้นบางตัวที่อาจจะได้เปรียบเรื่องมีฐานลูกค้าที่เป็นผู้ถือหุ้นอยู่แล้วส่วนหนึ่ง
อีกเรื่องหนึ่งคือควรตรวจดูขนาดของกองทุนเทียบกับขนาดของธุรกิจ ถ้ากองทุนมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับรายได้ค่าเบี้ยประกันโดยเฉลี่ยต่อปี แสดงว่ากองทุนมีเงินมากพออยู่แล้ว ความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มทุนในอนาคตจะน้อยครับ
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 77
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 38
ธุรกิจประกันภัยผมไม่แน่ใจ แต่ประกันชีวิตเงินลงทุน กรมประกันไม่ได้กำหนดให้ต้อง Mark to Market นะครับ ดังนั้นมูลค่าเงินลงทุนในตราสารหนี้จะบันทึกในราคาทุน ส่วนเงินลงทุนในตราสารทุน Mark to Market ครับ
พอร์ตปกติของประกันชีวิตมีหุ้นกันราว 10% สูงสุดไม่เกิน 20% ผลจากที่พอร์ตส่วนใหญ่เป็น Fixed Income ซึ่งไม่ถูก MtM ดังนั้นเราจะเห็นพอร์ตลงทุนของบริษัทประกันชีวิตไม่ค่อยผันผวนเท่าไหร่ (ไม่งั้นช่วงที่ดอกเบี้ยขึ้นๆ ประกันชีวิตร้องจ๊ากเลยครับ)
แต่ก็ต้องระวัง ถ้าบ.ประกันต้องลดพอร์ตลงทุน เพื่อนำเงินสดไปใช้ ก็อาจเจ็บตัวจากการขาดทุนได้ครับ ยิ่งพวกที่ซื้อพันธบัตรรัฐบาลยาวๆ สมัยก่อนได้ดอกกันต่ำๆ (พันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ดอก 4% นิดๆอย่างนี้) ถ้าต้องขายเพื่อเอาเงินมาจ่ายคืนผู้เอาประกัน รับรองจุกกันถ้วนหน้า
พอร์ตปกติของประกันชีวิตมีหุ้นกันราว 10% สูงสุดไม่เกิน 20% ผลจากที่พอร์ตส่วนใหญ่เป็น Fixed Income ซึ่งไม่ถูก MtM ดังนั้นเราจะเห็นพอร์ตลงทุนของบริษัทประกันชีวิตไม่ค่อยผันผวนเท่าไหร่ (ไม่งั้นช่วงที่ดอกเบี้ยขึ้นๆ ประกันชีวิตร้องจ๊ากเลยครับ)
แต่ก็ต้องระวัง ถ้าบ.ประกันต้องลดพอร์ตลงทุน เพื่อนำเงินสดไปใช้ ก็อาจเจ็บตัวจากการขาดทุนได้ครับ ยิ่งพวกที่ซื้อพันธบัตรรัฐบาลยาวๆ สมัยก่อนได้ดอกกันต่ำๆ (พันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ดอก 4% นิดๆอย่างนี้) ถ้าต้องขายเพื่อเอาเงินมาจ่ายคืนผู้เอาประกัน รับรองจุกกันถ้วนหน้า
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 39
หุ้น scnyl น่าสนใจเพราะว่า
1. มีสินทรัพย์มากถึง 13,000 ลบ.ที่จะนำไปลงทุนในพันธบัตรซึ่งมีความแน่นอนสูงมากแม้ผลตอบแทนจะต่ำ แต่ว่าอาศัยว่ามีวงเงินลงทุนสูงมากเมื่อเทียบกับส่วนผู้ถือหุ้นซึ่งมีแค่สี่ร้อยกว่าล้านบาท
2. แม้หนี้สินจะสูงถึง 12,000 + ลบ. แต่เป็นเบี้ยประกันซึ่งยังไม่ต้องจ่ายในเร็ววันนี้ และระยะเวลาที่จะจ่ายก็ยังอยู่อีกนานมาก รวมทั้งค่าเคลมประกันก็อยู่ในช่วงปกติของธุรกิจไม่ได้มากมายอะไร
3. บริษัทรับทำประกันชีวิต ซึ่งมักจะมีความต่อเนื่องของการจ่ายเบี้ยประกันสูงมาก ต่างจากการรับทำประกันอื่นๆซึ่งมักจะมีความต่อเนื่องที่สั้นกว่า เช่น การรับประกันรถยนต์อาจจะได้มากในปีนี้แต่ปีหน้าอาจจะลดลงเพราะลูกค้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำกับบริษัทใดบริษัทหนึ่งทุกปี แต่ประกันชีวิตมักจะไม่เป็นอย่างนั้น
4.การประมาณการรายรับในเรื่องการลงทุนทำได้ง่ายกว่าเพราะบริษัทลงทุนในพันธบัตร ต่างจากการลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูง
5. บริษัทสามารถสร้างกระแสเงินสดได้สูงมากจากเบี้ยประกัน บัฟเฟตต์เองชอบหุ้นประกันก็ด้วยเหตุผลเรื่องเงินสดเป็นสำคัญ(เหมือนกัน)
6. บริษัทสามารถขยายกิจการได้มาก ขยายสาขาได้มาก เพราะใช้สาขาเดียวกันและพนักงานเดียวกันกับธนาคารไทยพานิชย์ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศอยู่แล้ว
7. การประกันชีวิตน่าจะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อลดความเสี่ยงของการดำเนินชีวิตที่มีความเสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆในปัจจุบัน
แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยราคาที่แพงขนาดนี้ pb สุงถึง 5.5 เท่าทำให้ความปลอดภัยลดลงเยอะ และยิ่งดอกเบี้ยอยู่ในแนวโน้มเป็นขาขึ้นก็ยิ่งลดความน่าสนใจลง แต่ถ้าเป็นตรงกันข้ามก็จะน่าสนใจไม่น้อย
1. มีสินทรัพย์มากถึง 13,000 ลบ.ที่จะนำไปลงทุนในพันธบัตรซึ่งมีความแน่นอนสูงมากแม้ผลตอบแทนจะต่ำ แต่ว่าอาศัยว่ามีวงเงินลงทุนสูงมากเมื่อเทียบกับส่วนผู้ถือหุ้นซึ่งมีแค่สี่ร้อยกว่าล้านบาท
2. แม้หนี้สินจะสูงถึง 12,000 + ลบ. แต่เป็นเบี้ยประกันซึ่งยังไม่ต้องจ่ายในเร็ววันนี้ และระยะเวลาที่จะจ่ายก็ยังอยู่อีกนานมาก รวมทั้งค่าเคลมประกันก็อยู่ในช่วงปกติของธุรกิจไม่ได้มากมายอะไร
3. บริษัทรับทำประกันชีวิต ซึ่งมักจะมีความต่อเนื่องของการจ่ายเบี้ยประกันสูงมาก ต่างจากการรับทำประกันอื่นๆซึ่งมักจะมีความต่อเนื่องที่สั้นกว่า เช่น การรับประกันรถยนต์อาจจะได้มากในปีนี้แต่ปีหน้าอาจจะลดลงเพราะลูกค้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำกับบริษัทใดบริษัทหนึ่งทุกปี แต่ประกันชีวิตมักจะไม่เป็นอย่างนั้น
4.การประมาณการรายรับในเรื่องการลงทุนทำได้ง่ายกว่าเพราะบริษัทลงทุนในพันธบัตร ต่างจากการลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูง
5. บริษัทสามารถสร้างกระแสเงินสดได้สูงมากจากเบี้ยประกัน บัฟเฟตต์เองชอบหุ้นประกันก็ด้วยเหตุผลเรื่องเงินสดเป็นสำคัญ(เหมือนกัน)
6. บริษัทสามารถขยายกิจการได้มาก ขยายสาขาได้มาก เพราะใช้สาขาเดียวกันและพนักงานเดียวกันกับธนาคารไทยพานิชย์ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศอยู่แล้ว
7. การประกันชีวิตน่าจะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อลดความเสี่ยงของการดำเนินชีวิตที่มีความเสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆในปัจจุบัน
แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยราคาที่แพงขนาดนี้ pb สุงถึง 5.5 เท่าทำให้ความปลอดภัยลดลงเยอะ และยิ่งดอกเบี้ยอยู่ในแนวโน้มเป็นขาขึ้นก็ยิ่งลดความน่าสนใจลง แต่ถ้าเป็นตรงกันข้ามก็จะน่าสนใจไม่น้อย
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 40
ผมไม่แน่ใจว่ามูลค่าหลักทรัพย์ที่กรมการประกันภัยกำหนดกับมูลค่าหลักทรัพย์ที่ปรากฎในรายงานต่อตลาดหลักทรัพย์จะเหมือนกันหรือเปล่า
ถ้าเป็นงบการเงินที่แจ้งตลาด พันธบัตรหรือหุ้นกู้ที่มีราคาตลาดอ้างอิงจะต้องบันทึกมูลค่าในงบดุลที่ราคาตลาด (mark-to-market) ครับ แต่ผลต่างจากราคาทุนจะ hit งบกำไรขาดทุนหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าจะจัดประเภทพันธบัตรหรือหุ้นกู้นั้นว่าเป็น trading, available-for-sales หรือ hold-to-marturity ครับ ดังนั้นถ้ามอง BV ซึ่งอยู่เป็นตัวเลขที่อยู่ในงบดุลจะมั่นใจได้เพราะ mark-to-market แล้วเสมอ
ยกเว้นเงินลงทุนในหลักทรัพย์นอกตลาด พวกนี้ไม่สามารถเชื่อถือมูลค่าในงบดุลได้เนื่องจากไม่ได้ mark-to-market แต่ส่วนใหญ่มักมีอยู่ไม่มาก ถ้าบริษัทไหนมีพวกนี้มากๆ ควรระวังไว้ก่อนครับ
ถ้าเป็นงบการเงินที่แจ้งตลาด พันธบัตรหรือหุ้นกู้ที่มีราคาตลาดอ้างอิงจะต้องบันทึกมูลค่าในงบดุลที่ราคาตลาด (mark-to-market) ครับ แต่ผลต่างจากราคาทุนจะ hit งบกำไรขาดทุนหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าจะจัดประเภทพันธบัตรหรือหุ้นกู้นั้นว่าเป็น trading, available-for-sales หรือ hold-to-marturity ครับ ดังนั้นถ้ามอง BV ซึ่งอยู่เป็นตัวเลขที่อยู่ในงบดุลจะมั่นใจได้เพราะ mark-to-market แล้วเสมอ
ยกเว้นเงินลงทุนในหลักทรัพย์นอกตลาด พวกนี้ไม่สามารถเชื่อถือมูลค่าในงบดุลได้เนื่องจากไม่ได้ mark-to-market แต่ส่วนใหญ่มักมีอยู่ไม่มาก ถ้าบริษัทไหนมีพวกนี้มากๆ ควรระวังไว้ก่อนครับ
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 41
อย่างไรก็ตามธุรกิจประกันในอนาคต น่าจะเติบโตได้อีกมากเพราะตอบสนองต่อพความต้องการมนุษย์ในอนาคต แต่ก็จะมีคู่แข่งมาแย่งส่วนแบ่งอีกมากมาย
ลำพังธุรกิจประกันในเมืองไทยเองก็มีมากมาย เมื่อบวกกับบริษัทประกันจากต่างประเทศเข้าไปอีกการแข่งขันก็ยิ่งสูงขึ้น
ที่สำคัญต้นทุนทางการเงินในเมืองไทยก็ถือว่าอยู่ในอัตราที่สูงกว่าต่างประเทศมาก เมื่อบวกกับความรุนแรงของการแข่งขันความน่าสนใจจึงลดลงมาก
ลำพังธุรกิจประกันในเมืองไทยเองก็มีมากมาย เมื่อบวกกับบริษัทประกันจากต่างประเทศเข้าไปอีกการแข่งขันก็ยิ่งสูงขึ้น
ที่สำคัญต้นทุนทางการเงินในเมืองไทยก็ถือว่าอยู่ในอัตราที่สูงกว่าต่างประเทศมาก เมื่อบวกกับความรุนแรงของการแข่งขันความน่าสนใจจึงลดลงมาก
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- Verified User
- โพสต์: 689
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 42
ปัจจัยเดียวที่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจประกันในขณะนี้ก็คือ นโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบัน (ที่มีท่านสมคิดนั่งเป็นรองนายกคุมเศรษฐกิจ) นั้นไม่ค่อยเอื้อประโยชน์ต่อ บริษัทประกันเท่าที่ควร เนื่องจากเล็งเห็นว่า บริษัทมีนโยบายในการนำเงินมาลงทุนมาใช้แบบค่อนข้าง conservative คือไม่ aggressive เท่าที่รัฐบาลต้องการ ดังนั้นรัดบาลจึงไม่ค่อยสนับสนุนให้ประชาชน นำเงินมาทำประกันหรือมาออมกับพวกบริษัทประกันพวกนี้สักเท่าไหร่...
ดูเอาง่ายๆ แม้แต่ตัวท่านดร.สมคิดเองยังไม่ทำประกันเร้ยส์...อันนี้ได้ยินมานะ... :shock: :shock:
ดูเอาง่ายๆ แม้แต่ตัวท่านดร.สมคิดเองยังไม่ทำประกันเร้ยส์...อันนี้ได้ยินมานะ... :shock: :shock:
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 43
ผมก็ไม่ทำประกันครับเพราะว่ามีเงินเพียงพอแล้ว ถึงเกิดอะไรขึ้นก็ตามเงินที่ได้จากการทำประกันก็ไม่ได้มากมายอะไร
แล้วท่านสมคิดมีเงินมากขนาดนั้นแล้วจะเอาเงินจากประกันมาทำอะไรหละครับ มันเล็กน้อยมากเลยทีเดียว
แล้วท่านสมคิดมีเงินมากขนาดนั้นแล้วจะเอาเงินจากประกันมาทำอะไรหละครับ มันเล็กน้อยมากเลยทีเดียว
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 44
กลุ่มถัดไปถ้าไม่นับค้าปลีกที่พูดถึงไปบ้างแล้วได้แก่ กลุ่มการแพทย์..
ผมว่าประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันด้านนี้ในตลาดโลกสูงมาก เพราะคนเก่งๆ นิยมเรียนหมอมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในขณะที่ต้นทุนของไทยก็ต่ำมาก เพราะหมอไทยยังมีรายได้น้อยเมื่อเทียบกับหมอในประเทศร่ำรวย เนื่องจากหมอในประเทศร่ำรวยมีโอกาสถูกฟ้องสูง จึงต้องมีรายได้สูงเพื่อชดเชยความเสี่ยงนี้
ผมจึงคิดว่ารพ.เอกชนที่รับคนไข้ต่างชาติได้น่ามีการเติบโตเฉลี่ยระยะยาวต่อจากนี้ไปที่ดีมาก ถ้าราคาหุ้นไม่แพง น่าลงทุนมากครับ
แต่ก็ไม่ใช่ทุกรพ.เอกชนที่จะมีศักยภาพที่จะรับคนไข้ต่างประเทศได้ การจะทำให้รพ.รับคนไข้ต่างชาติได้ต้องมีการลงทุนสูงมาก ดังนั้นจึงตั้งอยู่ใกล้ชุมชนของคนที่มีฐานะดีเพื่อที่จะได้มีฐานลูกค้าขาประจำส่วนหนึ่งที่ช่วยทำให้การลงทุนในเครื่องมือราคาแพงสามารถถึงจุดคุ้มทุนได้ ตอนนี้ที่เห็นก็มี BH, BGH, SVH, BNH
หลุมพรางอย่างหนึ่งของธุรกิจนี้คือ เมื่อเศรษฐกิจดี รพ.กำไรมากก็จะขยายด้วยการเปิดสาขาไปยังต่างจังหวัด แต่กำลังซื้อของคนต่างจังหวัดโดยเฉลี่ยนั้นผมว่ายังไม่สูงพอที่จะเปิดรพ.เอกชนแล้วคุ้มทุนได้ อย่าว่าแต่ต่างจังหวัดเลย แค่ฝั่งธนผมว่าก็เสี่ยงแล้ว ทำเลกลายเป้น critical success factor ของธุรกิจนี้อย่างไม่น่าเชื่อ
ดังนั้นผมจึงไม่ศรัทธา รพ.เอกชนที่ใช้กลยุทธ์เครือข่าย ผมเชื่อว่าประโยชน์ที่จะได้รับจาก economy of scales ของธุรกิจนี้จะไม่มีนัยสำคัญมากพอ เมื่อเทียบกับโอกาสที่ รพ.ที่อยู่ไกลออกไปในต่างจังหวัดจะต้องขาดทุน กลายเป็นภาระมากกว่าจะเป็นตัวช่วยครับ ผมเลยไม่ค่อยเชื่อมั่นใน strategy ของ BGH เท่าไร ต้องดูว่าในระยะยาวจะเป็นอย่างไร
รพ.เอกชนกลุ่มที่ดีรองลงมา คือ โรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพแต่ไม่ใช่กรุงเทพชั้นใน กลุ่มนี้แม้จะไม่สามารถส่งออกการแพทย์ได้อย่างกลุ่มแรก แต่ประชาชนรอบๆ รพ.ก็มีกำลังซื้อสูงพอที่จะทำให้ รพ.มีกำไรได้ ในกลุ่มนี้ก็เช่น ตาหูคอจมูก VIBHA เจ้าพระยา AHC และอื่นๆ อีกหลายตัวที่อยู่ในตลาดฯ
ที่ไม่ค่อยโดนใจก็พวกที่อยู่ต่างจังหวัด เช่น NEW, LNH, M-CHAI กับพวกที่มีสาขามากๆ เช่น KDH พญาไท แต่ก็ไม่ได้ถึงกับคิดว่าจะแย่มาก น่าจะไปได้ในระดับหนึ่ง (อาจดีกว่าเศรษฐกิจโดยเฉลี่ย)
ผมว่าประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันด้านนี้ในตลาดโลกสูงมาก เพราะคนเก่งๆ นิยมเรียนหมอมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในขณะที่ต้นทุนของไทยก็ต่ำมาก เพราะหมอไทยยังมีรายได้น้อยเมื่อเทียบกับหมอในประเทศร่ำรวย เนื่องจากหมอในประเทศร่ำรวยมีโอกาสถูกฟ้องสูง จึงต้องมีรายได้สูงเพื่อชดเชยความเสี่ยงนี้
ผมจึงคิดว่ารพ.เอกชนที่รับคนไข้ต่างชาติได้น่ามีการเติบโตเฉลี่ยระยะยาวต่อจากนี้ไปที่ดีมาก ถ้าราคาหุ้นไม่แพง น่าลงทุนมากครับ
แต่ก็ไม่ใช่ทุกรพ.เอกชนที่จะมีศักยภาพที่จะรับคนไข้ต่างประเทศได้ การจะทำให้รพ.รับคนไข้ต่างชาติได้ต้องมีการลงทุนสูงมาก ดังนั้นจึงตั้งอยู่ใกล้ชุมชนของคนที่มีฐานะดีเพื่อที่จะได้มีฐานลูกค้าขาประจำส่วนหนึ่งที่ช่วยทำให้การลงทุนในเครื่องมือราคาแพงสามารถถึงจุดคุ้มทุนได้ ตอนนี้ที่เห็นก็มี BH, BGH, SVH, BNH
หลุมพรางอย่างหนึ่งของธุรกิจนี้คือ เมื่อเศรษฐกิจดี รพ.กำไรมากก็จะขยายด้วยการเปิดสาขาไปยังต่างจังหวัด แต่กำลังซื้อของคนต่างจังหวัดโดยเฉลี่ยนั้นผมว่ายังไม่สูงพอที่จะเปิดรพ.เอกชนแล้วคุ้มทุนได้ อย่าว่าแต่ต่างจังหวัดเลย แค่ฝั่งธนผมว่าก็เสี่ยงแล้ว ทำเลกลายเป้น critical success factor ของธุรกิจนี้อย่างไม่น่าเชื่อ
ดังนั้นผมจึงไม่ศรัทธา รพ.เอกชนที่ใช้กลยุทธ์เครือข่าย ผมเชื่อว่าประโยชน์ที่จะได้รับจาก economy of scales ของธุรกิจนี้จะไม่มีนัยสำคัญมากพอ เมื่อเทียบกับโอกาสที่ รพ.ที่อยู่ไกลออกไปในต่างจังหวัดจะต้องขาดทุน กลายเป็นภาระมากกว่าจะเป็นตัวช่วยครับ ผมเลยไม่ค่อยเชื่อมั่นใน strategy ของ BGH เท่าไร ต้องดูว่าในระยะยาวจะเป็นอย่างไร
รพ.เอกชนกลุ่มที่ดีรองลงมา คือ โรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพแต่ไม่ใช่กรุงเทพชั้นใน กลุ่มนี้แม้จะไม่สามารถส่งออกการแพทย์ได้อย่างกลุ่มแรก แต่ประชาชนรอบๆ รพ.ก็มีกำลังซื้อสูงพอที่จะทำให้ รพ.มีกำไรได้ ในกลุ่มนี้ก็เช่น ตาหูคอจมูก VIBHA เจ้าพระยา AHC และอื่นๆ อีกหลายตัวที่อยู่ในตลาดฯ
ที่ไม่ค่อยโดนใจก็พวกที่อยู่ต่างจังหวัด เช่น NEW, LNH, M-CHAI กับพวกที่มีสาขามากๆ เช่น KDH พญาไท แต่ก็ไม่ได้ถึงกับคิดว่าจะแย่มาก น่าจะไปได้ในระดับหนึ่ง (อาจดีกว่าเศรษฐกิจโดยเฉลี่ย)
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 45
เห็นด้วยครับ จุดเด่นของกลุ่มโรงพยาบาลสำหรับชาวต่างชาติ คือ
1. แพทย์ไทยเราเก่งเพราะคัดเลือกจากหัวกะทิของประเทศในขณะที่ต่างประเทศจะไม่ใช่
2.หลังวิกฤติเศรษฐกิจมีโรงพยาบาลเกิดใหม่น้อยมาก
3.คนไทยเห่อต่างชาติและมักจะให้บริการได้ดีกว่า บวกกับการเป็นสยามเมืองยิ้มจึงมักจะถูกใจต่างชาติ
4.ค่าแรงในเมืองไทยถูกมาก ทำให้ค่าบริการทั้งหมดไม่แพงแต่ได้คุณภาพในระดับเฟิร์สคลาส
แต่ก็ต้องเป็นโรงพยาบาลระดับบน ในส่วนโรงพยาบาลระดับกลางถึงล่างก็ไม่น่าสนใจนัก
1. แพทย์ไทยเราเก่งเพราะคัดเลือกจากหัวกะทิของประเทศในขณะที่ต่างประเทศจะไม่ใช่
2.หลังวิกฤติเศรษฐกิจมีโรงพยาบาลเกิดใหม่น้อยมาก
3.คนไทยเห่อต่างชาติและมักจะให้บริการได้ดีกว่า บวกกับการเป็นสยามเมืองยิ้มจึงมักจะถูกใจต่างชาติ
4.ค่าแรงในเมืองไทยถูกมาก ทำให้ค่าบริการทั้งหมดไม่แพงแต่ได้คุณภาพในระดับเฟิร์สคลาส
แต่ก็ต้องเป็นโรงพยาบาลระดับบน ในส่วนโรงพยาบาลระดับกลางถึงล่างก็ไม่น่าสนใจนัก
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 46
ผมมองธุรกิจของโรงพยาบาลเอกชนในต่างจังหวัดว่ายังสู้ในกรุงเทพไม่ได้เนื่องจากโครงสร้างลักษณะของประชากรที่ต่างกันในแง่ฐานะทางเศรษฐกิจ
ลองดูเป็นรายตัว
โรงพยาบาลเอกชล ( AHC ) มีคู่แข่งที่น่ากลัวคือ รพ. ศูนย์ชลบุรี ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นโรงเรียนแพทย์ไปเรียบร้อยแล้ว โดยจะมีนิสิตแพทย์ ปี 4 6 จากจุฬาบางส่วนมาเรียนที่นี่
ดังนั้นที่นี่จึงพรั่งพร้อมไปด้วยอาจารย์แพทย์ที่เก่ง ๆ และเครื่องมือที่ทันสมัยครบชุด ชาวบ้านทั้งจนทั้งรวยนิยมมารักษาที่นี่ อาจจะมีประชาชนบางกลุ่มที่ป่วยเป็นโรคไม่หนักนัก และขี้เกียจรอนานถึงจะไป รพ.เอกชล นอกจากนี้ด้วยทำเลที่อยู่ใกล้กันจึงทำให้รพ.เอกชลเสียเปรียบ เพราะการไป รพ.ศูนย์ไม่ได้ลำบากกว่าแต่อย่างใด ถ้าไปยืนอยู่บนตึกผู้ป่วยในของ รพ.เอกชล จะสามารถมองเห็น รพ.ศูนย์ได้สบาย ๆ
รพ.ศูนย์ชลบุรี ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ รพ.ที่รักษาโรคยาก ๆ ได้ มีอาจารย์แพทย์เก่ง ๆ ผู้ป่วยก็ไม่แน่นมากนัก เนื่องจากมีสถานที่กว้างขวางใหญ่โต และคนเมืองชล ( ที่อยู่ในตัวเมือง และอำเภอใกล้เคียง ) ก็ไม่ได้มีมากนัก
นั่นเป็นเรื่องของผู้ป่วยใน ในเรื่องของผู้ป่วยนอก รพ.เอกชลก็เจอคู่แข่งที่น่ากลัวและมีโอกาสจะชนะได้น้อยมาก ก็คือ อาจารย์แพทย์เกือบทั้งหมด ( มีอาจารย์บางท่าน มีหุ้นอยูในรพ.เอกชลด้วย ) ทุกท่านนิยมที่จะเปิดคลินิคส่วนตัวกันมาก เรียกได้ว่าแทบจะทำคลินิคส่วนตัวกันทั้งหมด และก็เป็นที่นิยมของผู้ป่วยมาก สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำทั้งนั้นเลย จนกระทั่งรายการตามไปดู เคยไปถ่ายทำรายการออกทีวี และตั้งสมญานามถนนเส้นในของจังหวัดชลบุรี ว่าเป็นถนนคลินิคแพทย์ เนื่องจากมีคลินิคแพทย์ตั้งเรียงรายกันมากที่สุดในประเทศไทย
ในขณะที่โรงพยาบาลเอกชลเองกลับมีเพียงแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป ( ไม่ใช่แพทย์เฉพาะทางและเปิดคลินิคสู้เขาไม่ได้ ) มานั่งตรวจผู้ป่วยนอก นอกเวลาราชการ จึงไม่มีโอกาสที่จะสู้ได้เลย
ในขณะที่อาจารย์แพทย์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นด้วยก็ไม่ชอบที่จะมานั่งตรวจใน รพ. เพราะทำคลินิคของตัวเองได้กำไรมากกว่า
อย่างไรก็ตามด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ก็ทำไห้ผลประกอบการของ รพ.เอกชลดีขึ้นเรื่อย ๆ โดย ROE ในช่วงสองสามปีนี้สามารถทำได้ที่ระดับ 16 20 % มาตลอด แต่จะทำได้ถึง 30 40 % ผมว่าเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าจะรักษาระดับ 20 % ผมว่าไม่ยากเลย และก็ถือว่าที่ระดับนี้เป็นระดับที่สูงน่าพอใจพอสมควร ถ้าเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ
ลองดูเป็นรายตัว
โรงพยาบาลเอกชล ( AHC ) มีคู่แข่งที่น่ากลัวคือ รพ. ศูนย์ชลบุรี ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นโรงเรียนแพทย์ไปเรียบร้อยแล้ว โดยจะมีนิสิตแพทย์ ปี 4 6 จากจุฬาบางส่วนมาเรียนที่นี่
ดังนั้นที่นี่จึงพรั่งพร้อมไปด้วยอาจารย์แพทย์ที่เก่ง ๆ และเครื่องมือที่ทันสมัยครบชุด ชาวบ้านทั้งจนทั้งรวยนิยมมารักษาที่นี่ อาจจะมีประชาชนบางกลุ่มที่ป่วยเป็นโรคไม่หนักนัก และขี้เกียจรอนานถึงจะไป รพ.เอกชล นอกจากนี้ด้วยทำเลที่อยู่ใกล้กันจึงทำให้รพ.เอกชลเสียเปรียบ เพราะการไป รพ.ศูนย์ไม่ได้ลำบากกว่าแต่อย่างใด ถ้าไปยืนอยู่บนตึกผู้ป่วยในของ รพ.เอกชล จะสามารถมองเห็น รพ.ศูนย์ได้สบาย ๆ
รพ.ศูนย์ชลบุรี ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ รพ.ที่รักษาโรคยาก ๆ ได้ มีอาจารย์แพทย์เก่ง ๆ ผู้ป่วยก็ไม่แน่นมากนัก เนื่องจากมีสถานที่กว้างขวางใหญ่โต และคนเมืองชล ( ที่อยู่ในตัวเมือง และอำเภอใกล้เคียง ) ก็ไม่ได้มีมากนัก
นั่นเป็นเรื่องของผู้ป่วยใน ในเรื่องของผู้ป่วยนอก รพ.เอกชลก็เจอคู่แข่งที่น่ากลัวและมีโอกาสจะชนะได้น้อยมาก ก็คือ อาจารย์แพทย์เกือบทั้งหมด ( มีอาจารย์บางท่าน มีหุ้นอยูในรพ.เอกชลด้วย ) ทุกท่านนิยมที่จะเปิดคลินิคส่วนตัวกันมาก เรียกได้ว่าแทบจะทำคลินิคส่วนตัวกันทั้งหมด และก็เป็นที่นิยมของผู้ป่วยมาก สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำทั้งนั้นเลย จนกระทั่งรายการตามไปดู เคยไปถ่ายทำรายการออกทีวี และตั้งสมญานามถนนเส้นในของจังหวัดชลบุรี ว่าเป็นถนนคลินิคแพทย์ เนื่องจากมีคลินิคแพทย์ตั้งเรียงรายกันมากที่สุดในประเทศไทย
ในขณะที่โรงพยาบาลเอกชลเองกลับมีเพียงแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป ( ไม่ใช่แพทย์เฉพาะทางและเปิดคลินิคสู้เขาไม่ได้ ) มานั่งตรวจผู้ป่วยนอก นอกเวลาราชการ จึงไม่มีโอกาสที่จะสู้ได้เลย
ในขณะที่อาจารย์แพทย์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นด้วยก็ไม่ชอบที่จะมานั่งตรวจใน รพ. เพราะทำคลินิคของตัวเองได้กำไรมากกว่า
อย่างไรก็ตามด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ก็ทำไห้ผลประกอบการของ รพ.เอกชลดีขึ้นเรื่อย ๆ โดย ROE ในช่วงสองสามปีนี้สามารถทำได้ที่ระดับ 16 20 % มาตลอด แต่จะทำได้ถึง 30 40 % ผมว่าเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าจะรักษาระดับ 20 % ผมว่าไม่ยากเลย และก็ถือว่าที่ระดับนี้เป็นระดับที่สูงน่าพอใจพอสมควร ถ้าเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 47
โรงพยาบาลลานนา ( LNH )
เมืองเชียงใหม่มีประชากรมากกว่าเมืองชลมาก แต่คู่แข่งก็มากตามไปด้วย มีตั้งแต่
1. รพ.สวนดอก ( หรือ รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ หรือ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ) ที่มีศักยภาพขนาดโรงเรียนแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ ผ่านการประเมินและรับรอง HA ทำไห้ระบบต่างๆ ดีขึ้นกว่าเดิมมาก มีผู้ป่วยเยอะ แต่ข้อเสียก็คือ ยังต้องเสียเวลารอนานมาก
2. รพ.แม็คคอมิคส์ ที่เปิดมานานแล้วมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับว่าเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ดีที่สุดในเชียงใหม่
3. รพ.เชียงใหม่ราม 1 คนไข้ไม่เยอะ
4. รพ.เชียงใหม่ราม 2 คนไข้น้อย
5. รพ.หมอวงศ์ พอมีคนไข้
6. รพ.นครพิงค์
7. รพ.ขนาดเล็กอีกเป็นสิบแห่ง
รพ.ลานนาตั้งอยู่ในทำเลที่ดี อยู่ติดถนนซูเปอร์ไฮเวย์ ไปมาสะดวก ที่จอดรถกว้างขวาง ตัว รพ. ใหญ่โต สะอาดสะอ้าน น่าอยู่มาก แต่ปริมาณผู้ป่วยค่อนข้างน้อย เนื่องจากแพทย์ส่วนใหญ่ ( และเป็นผู้ถือหุ้นด้วย ) ล้วนแต่เป็นอาจารย์แพทย์ใน รพ.สวนดอกทั้งนั้น อาจไม่มีเวลามานั่งประจำรอตรวจได้ตลอดเวลา ผู้ป่วยในส่วนใหญ่ได้มาจากการส่งต่อมาจาก รพ.สวนดอกเนื่องจากเตียงเต็ม ที่มาเองโดยตรงก็มีมากเหมือนกัน
ในส่วนผู้ป่วยนอกนั้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะมีผู้ป่วยที่ตรวจรักษาที่ รพ.สวนดอก แต่ขี้เกียจรอรับยานาน ๆ ก็จะถือโอกาสเบี้ยว หนีมารับยา ( ถือใบสั่งยามา ) ที่ รพ.ลานนาเลย ไม่ต้องจ่ายค่าตรวจโรค ค่าเอ็กซ์เรย์ ค่าตรวจเลือด ( ก่อนจะมีโครงการ 30 บาท ) ซึ่งสร้างรายได้ให้ รพ.ลานนา เป็นกอบเป็นกำเช่นเดียวกัน แต่ปัจจุบันมีพ่อค้าหัวใส ไปเปิดร้านขายยาหน้า รพ.สวนดอกเลย รายได้จากจุดนี้ก็เลยลดลงไป
รพ.ลานนานก็เป็นเช่นเดียวกับ รพ.เอกชล ที่สามารถทำกำไรได้ดีในช่วงที่เศรษฐกิจดี ๆ ROE อยู่ในช่วง 20 % แต่จะมากถึง 40 % เป็นเรื่องยาก ไม่เหมือน รพ.เอกชนในกรุงเทพ ที่มีประชากรที่หลากหลายทั้งที่รวยมาก รวยมาก ๆ และอภิมหารวย ซึ่งพร้อมจะจ่ายได้ไม่อั้น ขอให้ได้เจอหมอเก่ง ๆ บริการดี ๆ
เมืองเชียงใหม่มีประชากรมากกว่าเมืองชลมาก แต่คู่แข่งก็มากตามไปด้วย มีตั้งแต่
1. รพ.สวนดอก ( หรือ รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ หรือ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ) ที่มีศักยภาพขนาดโรงเรียนแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ ผ่านการประเมินและรับรอง HA ทำไห้ระบบต่างๆ ดีขึ้นกว่าเดิมมาก มีผู้ป่วยเยอะ แต่ข้อเสียก็คือ ยังต้องเสียเวลารอนานมาก
2. รพ.แม็คคอมิคส์ ที่เปิดมานานแล้วมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับว่าเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ดีที่สุดในเชียงใหม่
3. รพ.เชียงใหม่ราม 1 คนไข้ไม่เยอะ
4. รพ.เชียงใหม่ราม 2 คนไข้น้อย
5. รพ.หมอวงศ์ พอมีคนไข้
6. รพ.นครพิงค์
7. รพ.ขนาดเล็กอีกเป็นสิบแห่ง
รพ.ลานนาตั้งอยู่ในทำเลที่ดี อยู่ติดถนนซูเปอร์ไฮเวย์ ไปมาสะดวก ที่จอดรถกว้างขวาง ตัว รพ. ใหญ่โต สะอาดสะอ้าน น่าอยู่มาก แต่ปริมาณผู้ป่วยค่อนข้างน้อย เนื่องจากแพทย์ส่วนใหญ่ ( และเป็นผู้ถือหุ้นด้วย ) ล้วนแต่เป็นอาจารย์แพทย์ใน รพ.สวนดอกทั้งนั้น อาจไม่มีเวลามานั่งประจำรอตรวจได้ตลอดเวลา ผู้ป่วยในส่วนใหญ่ได้มาจากการส่งต่อมาจาก รพ.สวนดอกเนื่องจากเตียงเต็ม ที่มาเองโดยตรงก็มีมากเหมือนกัน
ในส่วนผู้ป่วยนอกนั้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะมีผู้ป่วยที่ตรวจรักษาที่ รพ.สวนดอก แต่ขี้เกียจรอรับยานาน ๆ ก็จะถือโอกาสเบี้ยว หนีมารับยา ( ถือใบสั่งยามา ) ที่ รพ.ลานนาเลย ไม่ต้องจ่ายค่าตรวจโรค ค่าเอ็กซ์เรย์ ค่าตรวจเลือด ( ก่อนจะมีโครงการ 30 บาท ) ซึ่งสร้างรายได้ให้ รพ.ลานนา เป็นกอบเป็นกำเช่นเดียวกัน แต่ปัจจุบันมีพ่อค้าหัวใส ไปเปิดร้านขายยาหน้า รพ.สวนดอกเลย รายได้จากจุดนี้ก็เลยลดลงไป
รพ.ลานนานก็เป็นเช่นเดียวกับ รพ.เอกชล ที่สามารถทำกำไรได้ดีในช่วงที่เศรษฐกิจดี ๆ ROE อยู่ในช่วง 20 % แต่จะมากถึง 40 % เป็นเรื่องยาก ไม่เหมือน รพ.เอกชนในกรุงเทพ ที่มีประชากรที่หลากหลายทั้งที่รวยมาก รวยมาก ๆ และอภิมหารวย ซึ่งพร้อมจะจ่ายได้ไม่อั้น ขอให้ได้เจอหมอเก่ง ๆ บริการดี ๆ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 48
kh ในแง่ five force
1. พลังที่หนึ่ง ( การคุกคามจากบริษัทหน้าใหม่ ที่เข้ามาขายสินค้า หรือบริการแข่งกับผู้เล่นเดิมในอุตสาหกรรม )
ในแง่ที่จะมีคู่แข่งมาตั้งโรงพยาบาลเอกชนแห่งใหม่น่าจะมีโอกาสน้อย นับจากวิกฤติเศรษฐกิจมีการเปิด รพ.ใหม่น้อยมาก แต่ในแง่การเปิดคลินิกแห่งใหม่ๆ น่าจะมีเยอะพอสมควร เนื่องจากใช้เงินลงทุนน้อย ซึ่งจะเป็นการแย่งลูกค้าที่เป็นกลุ่มผู้ป่วยนอก
2. พลังที่สอง ( ภาวะการแข่งขันภายในอุตสาหกรรม ) มีการแข่งขันไม่รุนแรงนัก และกลุ่มลูกค้าเป็นคนละกลุ่มเป้าหมาย
เกษมราษฎร์เน้นลูกค้ากลุ่มล่าง ได้แก่ กลุ่มประกันสังคม แลโครงการ 30 บาท ซึ่งถ้านับเฉพาะกลุ่มนี้ ก็ถือว่าเกษมราษฎร์หรูกว่าใครๆ
กลุ่มประกันสังคมได้งบเหมาจ่ายสูงขึ้นแต่ผมไม่มีตัวเลขแน่นอนว่าเท่าไหร่ แต่ก็ไม่มากนัก แต่จะได้เพิ่มขึ้นจากส่วนผู้ป่วยที่มาคลอดบุตรแบบเหมาจ่ายพอสมควร
กลุ่ม 30 บาท ได้เพิ่มขึ้นเยอะ จาก แถวๆ 1400 เป็น 1600 กว่าๆ และที่สำคัญเกษมราษฏร์ได้ยกเลิกในส่วนผู้ป่วยในซึ่งเป็นตัวทำให้ขาดทุน เหลือเฉพาะผู้ป่วยนอกอย่างเดียวซึ่งเป็นตัวที่ได้กำไร ยังไม่ทราบว่าอนาคตจะทำให้กำไรมากขึ้นมากแค่ไหน และอาจจะกระทบต่อยอดขายได้ เพราะบางทีผู้ป่วยเองก็บอกไม่ได้ว่าตนเองอาการหนักหรือเบาและสมควรจะนอนรักษาเป็นผู้ป่วยในหรือไม่ ซึ่งอาจทำให้ยอดผู้ป่วยนอกลดลง
3. พลังที่สาม ( สินค้าทดแทน ) ได้แก่ระบบแพทย์ทางเลือก ไม่ว่าจะเป็น แพทย์แผนไทย การฝังเข็ม การอบ ประคบ และอื่นๆ อีกมาก ในแง่แพทย์แผนไทยยังไม่น่าจะแข่งได้มากนัก เพราะบุคคลที่สำคัญที่สุดที่จะพัฒนาแพทย์แผนไทยได้ดีก็คือ แพทย์แผนปัจจุบัน แต่แพทย์แผนปัจจุบันส่วนใหญ่จะมีความรู้ในเรื่องสมุนไพรค่อนข้างน้อยและไม่นิยมนำมาใช้กับผู้ป่วย เนื่องจากไม่มีหลักฐานงานวิจัยที่สนับสนุนถึงประสิทธิภาพที่แน่นอน หรือถ้าใช้ก็มักจะใช้เพื่อบรรเทาอาการหรือรักษาโรคที่ไม่ร้ายแรง ส่วนผู้ที่ไม่ใช่แพทย์แผนปัจจุบัน ก็มักไม่ได้รับความเชื่อถือ
ในส่วนการฝังเข็มนั้น เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับการนวดแผนโบราณ หรือธุรกิจ spa ที่กำลังอยู่ในกระแสทุกวันนี้
4.พลังที่สี่ ( อำนาจต่อรองของผู้ซื้อ ) อำนาจต่อรองผู้ซื้อในอุตสาหกรรมโรงพยาบาลเอกชนนั้นเริ่มสูงขึ้น เนื่องจาก
- จำนวนผู้ป่วยใช้บริการเอกชนค่อนข้างมาก
- การเปลี่ยนการรักษาไปโรงพยาบาลเอกชนอื่นทำได้ง่าย และต้นทุนไม่สูงแต่อย่างไรก็ตาม การที่ผู้ป่วยเคยมารักษาที่ ram ก็ย่อมจะมีประวัติการเจ็บป่วย การรักษา ผล x- ray ผล ultrasound ต่างๆ ในอดีต ซึ่งมีประโยชน์เมื่อนำมาเทียบกับการเจ็บป่วยในปัจจุบัน การเปลี่ยนโรงพยาบาลก็อาจทำให้ การวินิจฉัยโรคเป็นไปได้ยากขึ้น- สื่อสารมวลชนและองค์การต่างๆ ของรัฐบาลและเอกชน พยายามเพิ่มอำนาจการต่อของผู้ป่วยโดยการออกกฎหมาย กฎระเบียบ เพื่อเพิ่มสิทธิของผู้ป่วย
5. พลังที่ห้า ( อำนาจต่อรองของผู้ป้อนวัตถุดิบหรือผู้ขายผลิตภัณฑ์ให้แก่บริษัท ) อำนาจการต่อรองของผู้ขายในอุตสาหกรรมโรงพยาบาลค่อนข้างต่ำ เนื่องจาก
- มียาและเวชภัณฑ์เลียนแบบมากมายทั้งในและนอกประเทศ
- โลกาภิวัตน์ (Globalization) ทำให้การสรรหายาและเวชภัณฑ์ที่มีราคาถูกจากในประเทศง่ายขึ้น
- มีการแข่งขันอย่างรุนแรงในกลุ่มผู้ขาย
- เป็นการยากที่ผู้ขายจะขยายตัวเข้าสู่โรงพยาบาลเอกชน
โดยรวมกลุ่มบริษัทยาเป็นเบี้ยล่างของกลุ่ม รพ.
1. พลังที่หนึ่ง ( การคุกคามจากบริษัทหน้าใหม่ ที่เข้ามาขายสินค้า หรือบริการแข่งกับผู้เล่นเดิมในอุตสาหกรรม )
ในแง่ที่จะมีคู่แข่งมาตั้งโรงพยาบาลเอกชนแห่งใหม่น่าจะมีโอกาสน้อย นับจากวิกฤติเศรษฐกิจมีการเปิด รพ.ใหม่น้อยมาก แต่ในแง่การเปิดคลินิกแห่งใหม่ๆ น่าจะมีเยอะพอสมควร เนื่องจากใช้เงินลงทุนน้อย ซึ่งจะเป็นการแย่งลูกค้าที่เป็นกลุ่มผู้ป่วยนอก
2. พลังที่สอง ( ภาวะการแข่งขันภายในอุตสาหกรรม ) มีการแข่งขันไม่รุนแรงนัก และกลุ่มลูกค้าเป็นคนละกลุ่มเป้าหมาย
เกษมราษฎร์เน้นลูกค้ากลุ่มล่าง ได้แก่ กลุ่มประกันสังคม แลโครงการ 30 บาท ซึ่งถ้านับเฉพาะกลุ่มนี้ ก็ถือว่าเกษมราษฎร์หรูกว่าใครๆ
กลุ่มประกันสังคมได้งบเหมาจ่ายสูงขึ้นแต่ผมไม่มีตัวเลขแน่นอนว่าเท่าไหร่ แต่ก็ไม่มากนัก แต่จะได้เพิ่มขึ้นจากส่วนผู้ป่วยที่มาคลอดบุตรแบบเหมาจ่ายพอสมควร
กลุ่ม 30 บาท ได้เพิ่มขึ้นเยอะ จาก แถวๆ 1400 เป็น 1600 กว่าๆ และที่สำคัญเกษมราษฏร์ได้ยกเลิกในส่วนผู้ป่วยในซึ่งเป็นตัวทำให้ขาดทุน เหลือเฉพาะผู้ป่วยนอกอย่างเดียวซึ่งเป็นตัวที่ได้กำไร ยังไม่ทราบว่าอนาคตจะทำให้กำไรมากขึ้นมากแค่ไหน และอาจจะกระทบต่อยอดขายได้ เพราะบางทีผู้ป่วยเองก็บอกไม่ได้ว่าตนเองอาการหนักหรือเบาและสมควรจะนอนรักษาเป็นผู้ป่วยในหรือไม่ ซึ่งอาจทำให้ยอดผู้ป่วยนอกลดลง
3. พลังที่สาม ( สินค้าทดแทน ) ได้แก่ระบบแพทย์ทางเลือก ไม่ว่าจะเป็น แพทย์แผนไทย การฝังเข็ม การอบ ประคบ และอื่นๆ อีกมาก ในแง่แพทย์แผนไทยยังไม่น่าจะแข่งได้มากนัก เพราะบุคคลที่สำคัญที่สุดที่จะพัฒนาแพทย์แผนไทยได้ดีก็คือ แพทย์แผนปัจจุบัน แต่แพทย์แผนปัจจุบันส่วนใหญ่จะมีความรู้ในเรื่องสมุนไพรค่อนข้างน้อยและไม่นิยมนำมาใช้กับผู้ป่วย เนื่องจากไม่มีหลักฐานงานวิจัยที่สนับสนุนถึงประสิทธิภาพที่แน่นอน หรือถ้าใช้ก็มักจะใช้เพื่อบรรเทาอาการหรือรักษาโรคที่ไม่ร้ายแรง ส่วนผู้ที่ไม่ใช่แพทย์แผนปัจจุบัน ก็มักไม่ได้รับความเชื่อถือ
ในส่วนการฝังเข็มนั้น เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับการนวดแผนโบราณ หรือธุรกิจ spa ที่กำลังอยู่ในกระแสทุกวันนี้
4.พลังที่สี่ ( อำนาจต่อรองของผู้ซื้อ ) อำนาจต่อรองผู้ซื้อในอุตสาหกรรมโรงพยาบาลเอกชนนั้นเริ่มสูงขึ้น เนื่องจาก
- จำนวนผู้ป่วยใช้บริการเอกชนค่อนข้างมาก
- การเปลี่ยนการรักษาไปโรงพยาบาลเอกชนอื่นทำได้ง่าย และต้นทุนไม่สูงแต่อย่างไรก็ตาม การที่ผู้ป่วยเคยมารักษาที่ ram ก็ย่อมจะมีประวัติการเจ็บป่วย การรักษา ผล x- ray ผล ultrasound ต่างๆ ในอดีต ซึ่งมีประโยชน์เมื่อนำมาเทียบกับการเจ็บป่วยในปัจจุบัน การเปลี่ยนโรงพยาบาลก็อาจทำให้ การวินิจฉัยโรคเป็นไปได้ยากขึ้น- สื่อสารมวลชนและองค์การต่างๆ ของรัฐบาลและเอกชน พยายามเพิ่มอำนาจการต่อของผู้ป่วยโดยการออกกฎหมาย กฎระเบียบ เพื่อเพิ่มสิทธิของผู้ป่วย
5. พลังที่ห้า ( อำนาจต่อรองของผู้ป้อนวัตถุดิบหรือผู้ขายผลิตภัณฑ์ให้แก่บริษัท ) อำนาจการต่อรองของผู้ขายในอุตสาหกรรมโรงพยาบาลค่อนข้างต่ำ เนื่องจาก
- มียาและเวชภัณฑ์เลียนแบบมากมายทั้งในและนอกประเทศ
- โลกาภิวัตน์ (Globalization) ทำให้การสรรหายาและเวชภัณฑ์ที่มีราคาถูกจากในประเทศง่ายขึ้น
- มีการแข่งขันอย่างรุนแรงในกลุ่มผู้ขาย
- เป็นการยากที่ผู้ขายจะขยายตัวเข้าสู่โรงพยาบาลเอกชน
โดยรวมกลุ่มบริษัทยาเป็นเบี้ยล่างของกลุ่ม รพ.
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 49
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 50
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 51
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 52
กลุ่มการแพทย์นี่ ผมเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนแท้ๆ เลย ได้ความรู้ใหม่จากคุณหมอเพียบ :D
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 1
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 54
[quote="Rocker"]As the future catch you
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
-
- Verified User
- โพสต์: 77
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 56
ไม่แน่ใจเรื่อง mark to market แฮะ
ถ้าฝั่ง asset มีการ mtm ฝั่ง liability ก็ต้องมีการ mtm ด้วยซิครับ
ไม่งั้นมันก็ไม่ match และถ้าดอกเบี้ยมีการเปลี่ยนแปลง ผลประกอบการบริษัทประกันก็สวิงกันระเบิดเทิดเถิง
ปัญหาคือว่า หนี้สินของบริษัทประกันเนี่ย มัน mtm กันยังไง?
ถ้าฝั่ง asset มีการ mtm ฝั่ง liability ก็ต้องมีการ mtm ด้วยซิครับ
ไม่งั้นมันก็ไม่ match และถ้าดอกเบี้ยมีการเปลี่ยนแปลง ผลประกอบการบริษัทประกันก็สวิงกันระเบิดเทิดเถิง
ปัญหาคือว่า หนี้สินของบริษัทประกันเนี่ย มัน mtm กันยังไง?
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
ธุรกิจอะไรที่คาดว่าน่าจะมาแรงในอนาคต
โพสต์ที่ 59
[quote="yoyo"][quote="Rocker"]As the future catch you
"Winners never quit, and quitters never win."