10 บทสรุปและประสบการณ์ลงทุนหุ้นอเมริกาปี 2019 - By Billionaire VI
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 178
- ผู้ติดตาม: 0
10 บทสรุปและประสบการณ์ลงทุนหุ้นอเมริกาปี 2019 - By Billionaire VI
โพสต์ที่ 1
ผมลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกาครบ 5 ปี ต้องบอกว่าปีนี้เป็นปีที่โดดเด่น การกระจายการลงทุนไปต่างประเทศช่วยให้พอร์ตโดยรวมเติบโตได้ตามเป้าหมาย ผมจึงอยากนำประสบการณ์มาแชร์กันดังนี้
1. การลงทุนหุ้นอเมริกาโดยเฉพาะปีนี้ให้ผลตอบแทนดีมาก โดยดัชนี Dow Jones ปรับตัวขึ้นมาถึง 22.8% ดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 35.74% และดัชนี S&P 500 ก็ขึ้นมา 29.25% แม้ว่าจะมีปัจจัยลบหลายๆอย่างเข้ามา เช่น สงครามการค้า อัตราดอกเบี้ย Invert Bond Yield
2. หุ้นในอุตสาหกรรมไอทีเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 48% หุ้นเด่นๆ เช่น Microsoft (+56.5%) และ Alibaba (+57.2%) อันดับที่สองคือกลุ่ม Communications services ขึ้นมา 32% นำโดย Facebook (+58.7%) และ Alphabet (+30%) และที่สามคือกลุ่มการเงิน นำโดยหุ้นอย่าง MSCI (+76%) Moody (+52%) และ Mastercard (+60%)
3. หุ้นในอุตสาหกรรมที่ทำผลงานไม่ดีคือกลุ่มค้าปลีก เช่น Gap (-36%) Macy (-45%) L-Brand (-29%) เพราะได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่ดุเดือด เสื้อผ้าของ Gap ขายได้น้อยลงเพราะคู่แข่งเข้ามาแย่งตลาดทั้งจากออนไลน์และร้านอย่าง Zara H&M ส่วนห้างอย่าง Macy ก็โดน e-commerce เข้ามาแข่งแย่งลูกค้าไป
4. หุ้นใน S&P 500 ที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุด 150% คือหุ้น Advanced Micro Devices (AMD) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปในคอมพิวเตอร์ เซิร์ฟเวอร์ และการ์ดจอแบบ Graphic Processing Units (GPU) ที่ส่วนมากใช้ในเกมส์ที่เน้นกราฟฟิกขั้นสุดยอด ส่วนที่ตามมาคือหุ้นผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์อย่าง Lam Research เพิ่มขึ้น 116% และห้าง Target เพิ่มขึ้น 96%
5. ผมตัดสินใจลงทุนในหุ้น Facebook เพิ่มขึ้นจาก 10% ของพอร์ตเป็น 30% ของพอร์ตเมื่อตอนปลายปีที่แล้ว ทั้งที่หุ้นเต็มไปด้วยปัจจัยลบจากการฟ้องร้องของรัฐบาล ทำให้ราคาลดลงจาก $200 มาที่ $128 เป็นจังหวะที่ดีมากที่ผมเข้าลงทุนตอน $144 ประสบการณ์สอนว่าวิกฤตมาเมื่อไหร่ เราต้องเตรียมรับมือด้วยการศึกษาธุรกิจดีๆและหามูลค่าที่เหมาะสมให้ได้
6. หุ้น ULTA ซึ่งเป็นหุ้น 10 เด้งในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ได้ประกาศผลดำเนินงานช่วงเดือนกันยายนออกมาดี แต่เพียงแค่ผู้บริหารปรับลดอัตราการเติบโตของกำไรในไตรมาสถัดไป ทำให้หุ้นปรับตัวลดลงวันเดียวเกือบ 30% แต่นั่นก็ทำให้ผมได้โอกาสเข้าไปลงทุนด้วยตอนพีอี 20 เท่า
7. หุ้นที่เราเคยมองว่าน่าถึงถึงจุดอิ่มตัวอย่างหุ้น Apple บางครั้งอาจจะลืมไปว่าบริษัทมีระบบวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่ยอดเยี่ยม สามารถผลิตสินค้าใหม่ๆออกมาสู่ตลาดได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมากถึง 84% ทั้งที่เป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่ดับสองของโลกรองจากหุ้นน้ำมัน Aramco
8. หุ้นที่เคยแย่สุดๆอย่าง Tesla เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัทรายล้อมไปด้วยปัจจัยลบ ทั้งข่าวการสูบกัญชาของ Elon Musk ข่าวปัญหาการผลิตรถติดขัดทำให้ผลิตรถได้น้อยลง และข่าวที่บริษัทกำลังขาดเงินสดจน Elon Musk ต้องเขียนอีเมลให้พนักงานทุกคนเข้มงวดค่าใช้จ่าย ทุกรายการที่ใช้เงินต้องผ่านการอนุมัติจาก CFO ของบริษัท แต่หลังจากนั้นยอดขายดีกว่าคาด ออกรถรุ่นใหม่ และการเปิดตลาดจีน ทำให้ราคาหุ้นกระโดดจากจุดต่ำสุด $178 จนราคา $430
9.หุ้น Google และ Facebook มีข่าวการฟ้องร้องจากรัฐบาลทั้งในสหรัฐและยุโรปอยู่ตลอดเวลา แต่ด้วยผลประกอบการณ์ที่ยอดเยี่ยมก็เลยทำให้หุ้นทั้งสองตัวทำผลงานได้ดีในปีนี้ สรุปว่าผลดำเนินงานมีผลต่อราคาหุ้นมากกว่าปัจจัยอื่นๆ
10.หุ้นไอพีโอของบริษัทยังไม่มีกำไรอย่าง Uber และ Lyft เข้ามาในตลาดก็ติดลบ 33% และ 36% ตามลำดับ วอร์เรน บัฟเฟตต์จึงหลีกเลี่ยงหุ้นดังกล่าวเพราะบริษัทยังไม่สามารถทำกำไรได้และเรายังไม่รู้จักหุ้นดีพอ
สุดท้ายนี้ขอให้นักลงทุนทุกท่านศึกษาดีๆก่อนไปลงทุนที่อเมริกา อย่าลงทุนเพราะตลาดขาขึ้น ลงทุนอย่างมีความรู้และมีสติ ขอให้โชคดีครับ #หุ้นอเมริกา #แชร์ประสบการณ์
1. การลงทุนหุ้นอเมริกาโดยเฉพาะปีนี้ให้ผลตอบแทนดีมาก โดยดัชนี Dow Jones ปรับตัวขึ้นมาถึง 22.8% ดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 35.74% และดัชนี S&P 500 ก็ขึ้นมา 29.25% แม้ว่าจะมีปัจจัยลบหลายๆอย่างเข้ามา เช่น สงครามการค้า อัตราดอกเบี้ย Invert Bond Yield
2. หุ้นในอุตสาหกรรมไอทีเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 48% หุ้นเด่นๆ เช่น Microsoft (+56.5%) และ Alibaba (+57.2%) อันดับที่สองคือกลุ่ม Communications services ขึ้นมา 32% นำโดย Facebook (+58.7%) และ Alphabet (+30%) และที่สามคือกลุ่มการเงิน นำโดยหุ้นอย่าง MSCI (+76%) Moody (+52%) และ Mastercard (+60%)
3. หุ้นในอุตสาหกรรมที่ทำผลงานไม่ดีคือกลุ่มค้าปลีก เช่น Gap (-36%) Macy (-45%) L-Brand (-29%) เพราะได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่ดุเดือด เสื้อผ้าของ Gap ขายได้น้อยลงเพราะคู่แข่งเข้ามาแย่งตลาดทั้งจากออนไลน์และร้านอย่าง Zara H&M ส่วนห้างอย่าง Macy ก็โดน e-commerce เข้ามาแข่งแย่งลูกค้าไป
4. หุ้นใน S&P 500 ที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุด 150% คือหุ้น Advanced Micro Devices (AMD) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปในคอมพิวเตอร์ เซิร์ฟเวอร์ และการ์ดจอแบบ Graphic Processing Units (GPU) ที่ส่วนมากใช้ในเกมส์ที่เน้นกราฟฟิกขั้นสุดยอด ส่วนที่ตามมาคือหุ้นผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์อย่าง Lam Research เพิ่มขึ้น 116% และห้าง Target เพิ่มขึ้น 96%
5. ผมตัดสินใจลงทุนในหุ้น Facebook เพิ่มขึ้นจาก 10% ของพอร์ตเป็น 30% ของพอร์ตเมื่อตอนปลายปีที่แล้ว ทั้งที่หุ้นเต็มไปด้วยปัจจัยลบจากการฟ้องร้องของรัฐบาล ทำให้ราคาลดลงจาก $200 มาที่ $128 เป็นจังหวะที่ดีมากที่ผมเข้าลงทุนตอน $144 ประสบการณ์สอนว่าวิกฤตมาเมื่อไหร่ เราต้องเตรียมรับมือด้วยการศึกษาธุรกิจดีๆและหามูลค่าที่เหมาะสมให้ได้
6. หุ้น ULTA ซึ่งเป็นหุ้น 10 เด้งในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ได้ประกาศผลดำเนินงานช่วงเดือนกันยายนออกมาดี แต่เพียงแค่ผู้บริหารปรับลดอัตราการเติบโตของกำไรในไตรมาสถัดไป ทำให้หุ้นปรับตัวลดลงวันเดียวเกือบ 30% แต่นั่นก็ทำให้ผมได้โอกาสเข้าไปลงทุนด้วยตอนพีอี 20 เท่า
7. หุ้นที่เราเคยมองว่าน่าถึงถึงจุดอิ่มตัวอย่างหุ้น Apple บางครั้งอาจจะลืมไปว่าบริษัทมีระบบวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่ยอดเยี่ยม สามารถผลิตสินค้าใหม่ๆออกมาสู่ตลาดได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมากถึง 84% ทั้งที่เป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่ดับสองของโลกรองจากหุ้นน้ำมัน Aramco
8. หุ้นที่เคยแย่สุดๆอย่าง Tesla เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัทรายล้อมไปด้วยปัจจัยลบ ทั้งข่าวการสูบกัญชาของ Elon Musk ข่าวปัญหาการผลิตรถติดขัดทำให้ผลิตรถได้น้อยลง และข่าวที่บริษัทกำลังขาดเงินสดจน Elon Musk ต้องเขียนอีเมลให้พนักงานทุกคนเข้มงวดค่าใช้จ่าย ทุกรายการที่ใช้เงินต้องผ่านการอนุมัติจาก CFO ของบริษัท แต่หลังจากนั้นยอดขายดีกว่าคาด ออกรถรุ่นใหม่ และการเปิดตลาดจีน ทำให้ราคาหุ้นกระโดดจากจุดต่ำสุด $178 จนราคา $430
9.หุ้น Google และ Facebook มีข่าวการฟ้องร้องจากรัฐบาลทั้งในสหรัฐและยุโรปอยู่ตลอดเวลา แต่ด้วยผลประกอบการณ์ที่ยอดเยี่ยมก็เลยทำให้หุ้นทั้งสองตัวทำผลงานได้ดีในปีนี้ สรุปว่าผลดำเนินงานมีผลต่อราคาหุ้นมากกว่าปัจจัยอื่นๆ
10.หุ้นไอพีโอของบริษัทยังไม่มีกำไรอย่าง Uber และ Lyft เข้ามาในตลาดก็ติดลบ 33% และ 36% ตามลำดับ วอร์เรน บัฟเฟตต์จึงหลีกเลี่ยงหุ้นดังกล่าวเพราะบริษัทยังไม่สามารถทำกำไรได้และเรายังไม่รู้จักหุ้นดีพอ
สุดท้ายนี้ขอให้นักลงทุนทุกท่านศึกษาดีๆก่อนไปลงทุนที่อเมริกา อย่าลงทุนเพราะตลาดขาขึ้น ลงทุนอย่างมีความรู้และมีสติ ขอให้โชคดีครับ #หุ้นอเมริกา #แชร์ประสบการณ์
- นายมานะ
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1167
- ผู้ติดตาม: 1
Re: 10 บทสรุปและประสบการณ์ลงทุนหุ้นอเมริกาปี 2019 - By Billionaire VI
โพสต์ที่ 3
(เข้าใจว่าคุณ ktoa นำโพสจากเพจ Billionaire VI มาโพสอีกที แต่ก็ขออนุญาตคอมเม้นเนื้อหาของกระทู้ละกันนะครับ)
ผมอ่านโพสนี้แล้วมีบางจุดรู้สึกไม่ค่อยเห็นด้วย เช่นเรื่อง Tesla ลงเพราะ Musk สูบกัญชา คือผมคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยว น่าจะลงเพราะเรื่องที่ SEC เล่นงานที่ Musk ไป Tweet เรื่องจะ Delist มากกว่า ส่วนเรื่อง Model 3 อันนี้น่าจะใช่ แต่ยอดขาย Model 3 ก็ไม่ถึงกับดีกว่าคาดมั้งครับ เข้าใจว่าที่ดีกว่าคาดคือเรื่องการลดคชจ.มากกว่า และอันที่จริงแกก็ไม่ได้สูบกัญชาบ่อยๆ ครับ แกให้สัมภาษณ์ว่าเพิ่งเคยลองครั้งแรกในรายการที่มีภาพภาพนั้นหลุดออกมานั่นแหละครับ (แกลองสูบแค่ไม่กี่วินาที แต่ นัก cap ทำงานได้ดีเลยครับ)
อีกเรื่องคือ Apple ราคาหุ้นกลับมาโตเพราะเรื่อง R&D ประเด็นนี้ผมไม่เห็นความเชื่อมโยงเท่าไหร่แฮะ กลับคิดว่า Apple ราคาหุ้นโตได้ดีเพราะกลยุทธ์อื่นๆ มากกว่าเรื่อง innovation ที่มีบ้าง แต่ไม่ถึงกับว้าว
กระทู้นี้ผมอ่านแล้วเหมือนสรุปผลงานภาพรวมๆ ส่วนตัวคิดว่าถ้ามีการวิเคราะห์ในรายละเอียดด้วยน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านมากกว่านี้ครับ
ผมอ่านโพสนี้แล้วมีบางจุดรู้สึกไม่ค่อยเห็นด้วย เช่นเรื่อง Tesla ลงเพราะ Musk สูบกัญชา คือผมคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยว น่าจะลงเพราะเรื่องที่ SEC เล่นงานที่ Musk ไป Tweet เรื่องจะ Delist มากกว่า ส่วนเรื่อง Model 3 อันนี้น่าจะใช่ แต่ยอดขาย Model 3 ก็ไม่ถึงกับดีกว่าคาดมั้งครับ เข้าใจว่าที่ดีกว่าคาดคือเรื่องการลดคชจ.มากกว่า และอันที่จริงแกก็ไม่ได้สูบกัญชาบ่อยๆ ครับ แกให้สัมภาษณ์ว่าเพิ่งเคยลองครั้งแรกในรายการที่มีภาพภาพนั้นหลุดออกมานั่นแหละครับ (แกลองสูบแค่ไม่กี่วินาที แต่ นัก cap ทำงานได้ดีเลยครับ)
อีกเรื่องคือ Apple ราคาหุ้นกลับมาโตเพราะเรื่อง R&D ประเด็นนี้ผมไม่เห็นความเชื่อมโยงเท่าไหร่แฮะ กลับคิดว่า Apple ราคาหุ้นโตได้ดีเพราะกลยุทธ์อื่นๆ มากกว่าเรื่อง innovation ที่มีบ้าง แต่ไม่ถึงกับว้าว
กระทู้นี้ผมอ่านแล้วเหมือนสรุปผลงานภาพรวมๆ ส่วนตัวคิดว่าถ้ามีการวิเคราะห์ในรายละเอียดด้วยน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านมากกว่านี้ครับ