อยากรบกวนพี่ๆ ที่มีประสบการณ์การผ่านวิกฤติ มาช่วยแชร์แนวคิดฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันครับ?
- Highway_Star
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 452
- ผู้ติดตาม: 1
Re: อยากรบกวนพี่ๆ ที่มีประสบการณ์การผ่านวิกฤติ มาช่วยแชร์แนวคิดฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันครับ?
โพสต์ที่ 31
ผมเข้าตลาดช่วงที่ตลาดแย่ตอน subprime พอดี
ช่วงนั้นคือรู้ตั้งแต่เข้า ว่านี่คือวิกฤติและเป็นโอกาสที่ดีที่จะเข้าหุ้น เนื่องจากเพิ่งเริ่มต้นเลยไม่ได้หวังจะรวยมาก
เพียงแต่รู้ว่าเข้าตอนนี้ โอกาสแพ้ยากมากกกก
มาครั้งนี้ เอาจริงๆ ก่อนเกิดวิกฤติ ผมคิดมาเสมอว่าวิกฤติจะเกิดยากมากหรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิด
สาเหตุเพราะ internet มันเข้าถึงแทบจะทุกหย่อมหญ้า พอมีสัญญาณอะไรนิดหน่อย คนก็ออกมาเตือนกัน
พอเตือนกันก็จะมีมาตรการต่างๆ ออกมาพยุง ทำให้ดูแล้วยากมากที่จะเกิดได้
แต่ครั้งนี้ ผมกลับหนีทัน .... ขอเรียกว่ายอมเสียแขนขาดีกว่า ผมขาดทุนราวๆ 25%
ผมล้าง port ตอนหลังวันที่หุ้นลงราวๆ 50 จุดติดๆ กันซักวันหรือสองวันเนี่ยแหละ แถวๆ ต้นกุมภา
จริงๆ ควรจะล้างตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว แต่พอดีมีธุระหลายเรื่องมากเลยไม่ว่างล้าง
ถ้าสังเกตซักหน่อยและ "ไม่มีอคติ" จะเห็นว่าตัว drive ศก.ไทยมันพังไปครบแล้ว เหลือแค่การท่องเที่ยว
ซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากคนจีน ซึ่งติดไวรัสกัน
ถ้าติดไวรัส เป็นโรคระบาด"ชนิดใหม่" ใครมันจะมาเที่ยวครับ เดี๋ยวประเทศอื่นๆ มันก็จะระบาดตามอีก
พอคิดได้ดังนี้ผมก็ล้าง port ทิ้งเลย
ด้วยความที่ว่ามันเป็นชนิดใหม่ กว่าจะคิดวิธีรักษาหรืออะไรได้ มันคงยาวนาน
ศก.คงแย่ไปนาน พอสมมติรักษาได้ สถานการณ์ดีขึ้นแล้ว คิดยารักษาได้แล้ว(ซึ่งกว่าจะเอามาใช้ในมนุษย์ได้เป็นปีครับ)
คนจะมาเที่ยวเลยไหม...
ศก.ในประเทศของเค้าช่วงที่เค้าปิดประเทศล่ะ เค้าต้องรักษาแผลทางการเงินของเค้าเองก่อนรึเปล่า ก่อนที่เค้าจะมีเงินออกมาเที่ยวบ้านเรา
สงสารก็แต่คนทำงานรายวันบ้านเราครับ เมื่อวานตอน 11.30 ผมไปร้านขายก๋วยเตี๋ยวแถวบ้าน
ไม่มีคนเลยซักคนเดียว ... แม้แต่คนเดียว ทั้งๆ ที่เป็นช่วงเที่ยงนะครับ
เค้าบอกว่าปกติเวลาตอนนี้ต้องได้ราวๆ 50% ของทั้งวันแล้ว ตอนนี้ได้ไม่ถึง 10%
แล้วมันจะลากยาวไปอีกเป็นเดือน.... ไม่รู้จะอยู่กันยังไง
พูดแล้วก็สงสารครับ
กลับมาเรื่องเดิม
มันมีเรื่องใหม่ให้เกิดวิกฤติได้เสมอจริงๆ แฮะ
ใครมันจะไปคิดว่าวิกฤติใหม่จะเกิดจากไวรัสชนิดใหม่แล้วระบาดไปทั่วโลกแบบนี้
แปลกดี
ช่วงนั้นคือรู้ตั้งแต่เข้า ว่านี่คือวิกฤติและเป็นโอกาสที่ดีที่จะเข้าหุ้น เนื่องจากเพิ่งเริ่มต้นเลยไม่ได้หวังจะรวยมาก
เพียงแต่รู้ว่าเข้าตอนนี้ โอกาสแพ้ยากมากกกก
มาครั้งนี้ เอาจริงๆ ก่อนเกิดวิกฤติ ผมคิดมาเสมอว่าวิกฤติจะเกิดยากมากหรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิด
สาเหตุเพราะ internet มันเข้าถึงแทบจะทุกหย่อมหญ้า พอมีสัญญาณอะไรนิดหน่อย คนก็ออกมาเตือนกัน
พอเตือนกันก็จะมีมาตรการต่างๆ ออกมาพยุง ทำให้ดูแล้วยากมากที่จะเกิดได้
แต่ครั้งนี้ ผมกลับหนีทัน .... ขอเรียกว่ายอมเสียแขนขาดีกว่า ผมขาดทุนราวๆ 25%
ผมล้าง port ตอนหลังวันที่หุ้นลงราวๆ 50 จุดติดๆ กันซักวันหรือสองวันเนี่ยแหละ แถวๆ ต้นกุมภา
จริงๆ ควรจะล้างตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว แต่พอดีมีธุระหลายเรื่องมากเลยไม่ว่างล้าง
ถ้าสังเกตซักหน่อยและ "ไม่มีอคติ" จะเห็นว่าตัว drive ศก.ไทยมันพังไปครบแล้ว เหลือแค่การท่องเที่ยว
ซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากคนจีน ซึ่งติดไวรัสกัน
ถ้าติดไวรัส เป็นโรคระบาด"ชนิดใหม่" ใครมันจะมาเที่ยวครับ เดี๋ยวประเทศอื่นๆ มันก็จะระบาดตามอีก
พอคิดได้ดังนี้ผมก็ล้าง port ทิ้งเลย
ด้วยความที่ว่ามันเป็นชนิดใหม่ กว่าจะคิดวิธีรักษาหรืออะไรได้ มันคงยาวนาน
ศก.คงแย่ไปนาน พอสมมติรักษาได้ สถานการณ์ดีขึ้นแล้ว คิดยารักษาได้แล้ว(ซึ่งกว่าจะเอามาใช้ในมนุษย์ได้เป็นปีครับ)
คนจะมาเที่ยวเลยไหม...
ศก.ในประเทศของเค้าช่วงที่เค้าปิดประเทศล่ะ เค้าต้องรักษาแผลทางการเงินของเค้าเองก่อนรึเปล่า ก่อนที่เค้าจะมีเงินออกมาเที่ยวบ้านเรา
สงสารก็แต่คนทำงานรายวันบ้านเราครับ เมื่อวานตอน 11.30 ผมไปร้านขายก๋วยเตี๋ยวแถวบ้าน
ไม่มีคนเลยซักคนเดียว ... แม้แต่คนเดียว ทั้งๆ ที่เป็นช่วงเที่ยงนะครับ
เค้าบอกว่าปกติเวลาตอนนี้ต้องได้ราวๆ 50% ของทั้งวันแล้ว ตอนนี้ได้ไม่ถึง 10%
แล้วมันจะลากยาวไปอีกเป็นเดือน.... ไม่รู้จะอยู่กันยังไง
พูดแล้วก็สงสารครับ
กลับมาเรื่องเดิม
มันมีเรื่องใหม่ให้เกิดวิกฤติได้เสมอจริงๆ แฮะ
ใครมันจะไปคิดว่าวิกฤติใหม่จะเกิดจากไวรัสชนิดใหม่แล้วระบาดไปทั่วโลกแบบนี้
แปลกดี
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2846
- ผู้ติดตาม: 1
Re: อยากรบกวนพี่ๆ ที่มีประสบการณ์การผ่านวิกฤติ มาช่วยแชร์แนวคิดฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันครับ?
โพสต์ที่ 32
คิดว่าหลักๆ เลย คือ เลือกลงทุนในหุ้นที่มีคุณสมบัติในการผ่านวิกฤติไปให้ได้ครับ
ข้อยากคือ สถานการณ์ตอนนี้ ไม่รู้จะลากยาวขนาดไหน ถ้ามันกลับมาได้เร็ว ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ มันคงไม่ได้มาก อะไรนัก
แต่ถ้ามันกระทบไปนาน ภาพอนาคตมันอาจจะเปลี่ยนไปเยอะ
ธุรกิจที่เราเคยมองว่ามันดีมากๆ ก่อนที่จะมีวิกฤติ มันอาจจะไม่ดีเหมือนเก่า หลังจากผ่านวิกฤติไปแล้วก็ได้
หลังวิกฤติ หลาย ธุรกิจ อาจสามารถกลับมาได้ทันที แต่หลายธุรกิจอาจจะกลับมาได้ช้ากว่า เพราะ ต้องมีภาระใหญ่ที่ต้องเคลียร์ ต้องตั้งหลักกันใหม่
บางบริษัท อาจล้มหายตายจาก บางบริษัทอาจได้ market share ขึ้นมาทันใด จากที่คู่แข่งล้มไป
บางอุตสาหกรรมอาจจะประสบปัญหาหนัก ในขณะที่บางอุตสาหกรรมกลับเป็นช่วงรุ่งโรจน์
พฤติกรรมผู้บริโภคอาจเปลี่ยนแปลงไป ของที่ไม่เคยได้ลอง ไม่เคยได้ซื้อ แต่ได้มาลองในช่วงวิกฤติ
บริษัทที่มีของหรือบริการเหล่านี้ได้แจ้งเกิด ได้โดยไม่ต้องทุ่มเทมาก แต่เช่นเดียวกัน หลายบริษัทอาจเสียประโยชน์จากความเปลี่ยนแปลงนี้
ของบางอย่างเราเคยจ่ายกันง่ายๆ ก่อนเกิดวิกฤติ อาจจะกลายมาเป็นของที่เราไม่อยากจ่ายในช่วงแรกๆ หลังผ่านวิกฤติไป
เพราะเราซื้อความสุขได้ในวงเงินที่จำกัด
เงินสด สายป่านที่ยาวนาน ภาระหนี้สินที่มี อาจเป็นตัวตัดสินว่า ใครจะอยู่หรือใครจะไป
คือไม่รู้มันจะ ลากยาวขนาดไหน เพราะถ้ายาว ผลกระทบน่าจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ในฐานะนักลงทุน ถือว่าได้เปรียบกว่า คนทำธุรกิจจริงๆ มาก เพราะเราสามารถ สลับไปหาธุรกิจที่น่าจะรอด บริษัทที่รุ่ง ได้ง่ายกว่าคนทำธุรกิจจริงๆ มาก เพียง แค่ปรับชุดความคิดของเราให้ได้ ตามสถาณการณ์ที่เหมาะสม สิ่งที่เราเคยมองว่ามันดี พอสถาณการณ์เปลี่ยนไป ผ่านวิกฤติ มันยังดีอยู่เหมือนเดิมหรือไม่ เตรียมแผน 1 2 3 เอาไว้ให้ดี เผื่อเราคิดผิดเอาไว้ด้วย
เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ
ข้อยากคือ สถานการณ์ตอนนี้ ไม่รู้จะลากยาวขนาดไหน ถ้ามันกลับมาได้เร็ว ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ มันคงไม่ได้มาก อะไรนัก
แต่ถ้ามันกระทบไปนาน ภาพอนาคตมันอาจจะเปลี่ยนไปเยอะ
ธุรกิจที่เราเคยมองว่ามันดีมากๆ ก่อนที่จะมีวิกฤติ มันอาจจะไม่ดีเหมือนเก่า หลังจากผ่านวิกฤติไปแล้วก็ได้
หลังวิกฤติ หลาย ธุรกิจ อาจสามารถกลับมาได้ทันที แต่หลายธุรกิจอาจจะกลับมาได้ช้ากว่า เพราะ ต้องมีภาระใหญ่ที่ต้องเคลียร์ ต้องตั้งหลักกันใหม่
บางบริษัท อาจล้มหายตายจาก บางบริษัทอาจได้ market share ขึ้นมาทันใด จากที่คู่แข่งล้มไป
บางอุตสาหกรรมอาจจะประสบปัญหาหนัก ในขณะที่บางอุตสาหกรรมกลับเป็นช่วงรุ่งโรจน์
พฤติกรรมผู้บริโภคอาจเปลี่ยนแปลงไป ของที่ไม่เคยได้ลอง ไม่เคยได้ซื้อ แต่ได้มาลองในช่วงวิกฤติ
บริษัทที่มีของหรือบริการเหล่านี้ได้แจ้งเกิด ได้โดยไม่ต้องทุ่มเทมาก แต่เช่นเดียวกัน หลายบริษัทอาจเสียประโยชน์จากความเปลี่ยนแปลงนี้
ของบางอย่างเราเคยจ่ายกันง่ายๆ ก่อนเกิดวิกฤติ อาจจะกลายมาเป็นของที่เราไม่อยากจ่ายในช่วงแรกๆ หลังผ่านวิกฤติไป
เพราะเราซื้อความสุขได้ในวงเงินที่จำกัด
เงินสด สายป่านที่ยาวนาน ภาระหนี้สินที่มี อาจเป็นตัวตัดสินว่า ใครจะอยู่หรือใครจะไป
คือไม่รู้มันจะ ลากยาวขนาดไหน เพราะถ้ายาว ผลกระทบน่าจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ในฐานะนักลงทุน ถือว่าได้เปรียบกว่า คนทำธุรกิจจริงๆ มาก เพราะเราสามารถ สลับไปหาธุรกิจที่น่าจะรอด บริษัทที่รุ่ง ได้ง่ายกว่าคนทำธุรกิจจริงๆ มาก เพียง แค่ปรับชุดความคิดของเราให้ได้ ตามสถาณการณ์ที่เหมาะสม สิ่งที่เราเคยมองว่ามันดี พอสถาณการณ์เปลี่ยนไป ผ่านวิกฤติ มันยังดีอยู่เหมือนเดิมหรือไม่ เตรียมแผน 1 2 3 เอาไว้ให้ดี เผื่อเราคิดผิดเอาไว้ด้วย
เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ
“Market prices are always wrong in the sense that they present a biased view of the future.”, Soros.
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
Blog about the investment playbook https://www.blockdit.com/alphainvesting
Re: อยากรบกวนพี่ๆ ที่มีประสบการณ์การผ่านวิกฤติ มาช่วยแชร์แนวคิดฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันครับ?
โพสต์ที่ 33
ขอถามพี่่ตี่ครับ...สำหรับประเทศและวิกฤตที่เกิดขึ้นในครั้งนี้...ย่อมเกิดการเปลี่ยนในภาวะอุตสาหกรรมต่างๆ...พี่คิดว่าต่อจากนี้พี่คิดว่า sector ไหนจะมีความโดดเด่นหลังจากวิกฤตครั้งนี้ได้ผ่านไป...และsectorไหนที่ควรให้ความระวังเป็นพิเศษ..อสังหาที่ดูไม่ดียังพอมีบางตัวพอไปได้มั้ยหรือพอยกตัวอย่างกลุ่มไหนก็ได้ครับเพื่อพอได้เห็นภาพ...ขอบคุณครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 411
- ผู้ติดตาม: 1
Re: อยากรบกวนพี่ๆ ที่มีประสบการณ์การผ่านวิกฤติ มาช่วยแชร์แนวคิดฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันครับ?
โพสต์ที่ 34
นั่งทบทวนเหตุการณ์ว่าวิกฤติครั้งนี้สอนอะไรบ้าง
1.หุ้นทำให้คุณรวยได้ ก็ทำให้คุณหายนะทางการเงินได้
2.วิกฤติครั้งนี้ทิ้งห่างจากsubprimeกว่า10ปี
มันนานจนหลายคนรวมทั้งผมประมาทว่ามันคงไม่มา
ขนาดอจ.นิเวศน์ทำนายไว้ว่า10ปีมาแน่จนเตรียมเงินสดไว้มาก
รอแล้วรอเล่าไม่ยอมมา จนอจ.รอไม่ไหวกลับมาซื้อหุ้นใหม่
3.ตอนsubprimeผมเพิ่งเริ่มเล่นหุ้นไม่นาน พอร์ทเล็กนิดเดียว
ขาดทุน50%ยังเฉยๆ ตอนนั้นผมยังทำงานประจำเงินเดือนสูงอยู่
แต่เที่ยวนี้ผมลาออกจากงานมาหลายปี พอร์ทใหญ่กว่าเดิมหลายสิบเท่า
พอร์ทหายไป50%เที่ยวนี้ยอมรับว่าแทบหมดแรง
อีก5ปียังไม่แน่ใจว่าพอร์ทจะกลับมาที่เดิมไหม
อายุก็มากขึ้นถึงตอนนั้นเรายังจะมีไฟในการลงทุนอยู่ไหม
4.เงินปันผลคือลมหายใจ
ช่วง3-4ปีมานี้ผมได้ปันผลปีละ2-3ล้านบาท ซึ่งพอใช้จ่ายในครอบครัว
ทำให้หุ้นที่ถืออยู่แม้จะตกมากผมก็ไม่ถูกบังคับให้ขาย
5.ยิ่งวิกฤติยิ่งต้องยึดหลักการให้มั่นคง
นายตลาดกำลังบ้าคลั่ง เทขายทุกกิจการในราคาเลหลัง
เราเป็นวีไอราควรขายตามนายตลาดหรือช้อนหุ้นดีๆราคาถูกกันแน่
6.ถ้าพอร์ทคุณยังเล็กเป็นเรื่องปกติที่เงินคุณจะอยู่ในหุ้นทั้งหมด
แต่ถ้าพอร์ทคุณใหญ่ถึงระดับหนึ่งแล้ว
การรักษาความรวยไว้อาจสำคัญกว่าการพยายามจะรวยมากขึ้น
ความเห็นผมคิดว่าถ้าพอร์ทใหญ่แล้ว
น่าจะกันสัก20-30%ไปเป็นเงินสดตราสารหนี้และหุ้นต่างประเทศบ้าง
ถ้าเกิดวิกฤติอีกเงินส่วนนี้จะช่วยไม่ให้เราต้องทุกข์ร้อนใจมากเกินไป
รวมทั้งอาจแปรกลับมาเป็นเงินให้เราช้อนหุ้นราคาถูก
7.บังเอิญผมโชคดีเพิ่งขายที่ดินได้แปลงหนึ่งไม่กี่วันนี้
ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายได้ระดับหนึ่ง
อันที่จริงมีถ้าเงินสดมากในช่วงเวลาแบบนี้
อาจพูดได้ว่าเป็นเรื่องสนุกสนานที่ได้ช้อนหุ้นที่เคยได้แต่มองในราคาสะใจ
อยากฝากไว้ว่า
This too shall pass , stay calm stay invest
สุดท้ายนี้ขอให้เพื่อนพี่น้องวีไอทุกท่าน
รอดปลอดภัยทั้งจากตลาดหุ้นและcovid19ครับ
ปล.เพิ่งอ่านข่าวเจอว่าเซียนวีไอระดับต้นของประเทศโดนหนักแทบทุกคน
แล้วรู้สึกอุ่นใจขึ้นบ้าง
1.หุ้นทำให้คุณรวยได้ ก็ทำให้คุณหายนะทางการเงินได้
2.วิกฤติครั้งนี้ทิ้งห่างจากsubprimeกว่า10ปี
มันนานจนหลายคนรวมทั้งผมประมาทว่ามันคงไม่มา
ขนาดอจ.นิเวศน์ทำนายไว้ว่า10ปีมาแน่จนเตรียมเงินสดไว้มาก
รอแล้วรอเล่าไม่ยอมมา จนอจ.รอไม่ไหวกลับมาซื้อหุ้นใหม่
3.ตอนsubprimeผมเพิ่งเริ่มเล่นหุ้นไม่นาน พอร์ทเล็กนิดเดียว
ขาดทุน50%ยังเฉยๆ ตอนนั้นผมยังทำงานประจำเงินเดือนสูงอยู่
แต่เที่ยวนี้ผมลาออกจากงานมาหลายปี พอร์ทใหญ่กว่าเดิมหลายสิบเท่า
พอร์ทหายไป50%เที่ยวนี้ยอมรับว่าแทบหมดแรง
อีก5ปียังไม่แน่ใจว่าพอร์ทจะกลับมาที่เดิมไหม
อายุก็มากขึ้นถึงตอนนั้นเรายังจะมีไฟในการลงทุนอยู่ไหม
4.เงินปันผลคือลมหายใจ
ช่วง3-4ปีมานี้ผมได้ปันผลปีละ2-3ล้านบาท ซึ่งพอใช้จ่ายในครอบครัว
ทำให้หุ้นที่ถืออยู่แม้จะตกมากผมก็ไม่ถูกบังคับให้ขาย
5.ยิ่งวิกฤติยิ่งต้องยึดหลักการให้มั่นคง
นายตลาดกำลังบ้าคลั่ง เทขายทุกกิจการในราคาเลหลัง
เราเป็นวีไอราควรขายตามนายตลาดหรือช้อนหุ้นดีๆราคาถูกกันแน่
6.ถ้าพอร์ทคุณยังเล็กเป็นเรื่องปกติที่เงินคุณจะอยู่ในหุ้นทั้งหมด
แต่ถ้าพอร์ทคุณใหญ่ถึงระดับหนึ่งแล้ว
การรักษาความรวยไว้อาจสำคัญกว่าการพยายามจะรวยมากขึ้น
ความเห็นผมคิดว่าถ้าพอร์ทใหญ่แล้ว
น่าจะกันสัก20-30%ไปเป็นเงินสดตราสารหนี้และหุ้นต่างประเทศบ้าง
ถ้าเกิดวิกฤติอีกเงินส่วนนี้จะช่วยไม่ให้เราต้องทุกข์ร้อนใจมากเกินไป
รวมทั้งอาจแปรกลับมาเป็นเงินให้เราช้อนหุ้นราคาถูก
7.บังเอิญผมโชคดีเพิ่งขายที่ดินได้แปลงหนึ่งไม่กี่วันนี้
ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายได้ระดับหนึ่ง
อันที่จริงมีถ้าเงินสดมากในช่วงเวลาแบบนี้
อาจพูดได้ว่าเป็นเรื่องสนุกสนานที่ได้ช้อนหุ้นที่เคยได้แต่มองในราคาสะใจ
อยากฝากไว้ว่า
This too shall pass , stay calm stay invest
สุดท้ายนี้ขอให้เพื่อนพี่น้องวีไอทุกท่าน
รอดปลอดภัยทั้งจากตลาดหุ้นและcovid19ครับ
ปล.เพิ่งอ่านข่าวเจอว่าเซียนวีไอระดับต้นของประเทศโดนหนักแทบทุกคน
แล้วรู้สึกอุ่นใจขึ้นบ้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 176
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากรบกวนพี่ๆ ที่มีประสบการณ์การผ่านวิกฤติ มาช่วยแชร์แนวคิดฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันครับ?
โพสต์ที่ 35
ดีใจที่พี่ๆวีไอที่เคารพหลายท่านกลับมาแชร์ความรู้และแบ่งปันนะครับ
ผมก็เป็นคนนึงที่นึกว่าจะได้เกษียณจากงานประจำในอีกปีสองปีข้างหน้า แต่แล้วมาเจอวิกฤติรอบนี้พอร์ตหายไปครึ่งนึง (อาจจะด้วยใช้มาร์จินด้วย) เท่ากับ 10 ปีที่ผ่านมากำไรคืนหมด (รู้สึกหมดแรงเหมือนกันครับ)
วิกฤติครั้งนี้สอนให้รู้ว่า
1) ถึงแม้ว่าเราคิดว่าเราหลบมาอยู่ในหุ้น defensive แล้วก็ใช่ว่าจะปลอดภัย เวลาวิกฤติหุ้นลงทั้งกระดาน
2) อย่ามั่นใจในตัวเองสูง ถือหุ้นไม่อีกตัว (ความสำเร็จที่ผ่านมาอาจจะเพราะหุ้นเป็นขาขึ้น)
3) ถ้ามีมาร์จิน ควรปลดแค่มาร์จินออกก่อน (เพื่อความโล่งใจ) แล้วมาคิดตั้งหลักว่าจะเอายังไงต่อ ผมดันขายหมด ตอน SET แถวๆ พันต้นๆ ด้วยความกลัวว่าจะลงต่ออีก (ต้องการรักษากองทัพหลัก) สุดท้ายตอนนี้ หุ้นก็รีบาว (กลายเป็นขายเกือบตำ่สุด), แต่ก็ไม่มีใครรู้อีก 2-3 เดือน, 6 เดือนหรือ 1 ปี ข้างหน้า ก็ต้องคอยวิเคราะห์เหตุการณ์กันต่อไป
4) ตอนนี้ก็ได้แต่ ค่อยๆสะสมหุ้นใหม่ จากที่พี่ๆวีไอ คอยแชร์ ให้เลือกกิจการที่มีหนี้ตำ่ และคิดว่าจะฟื้นกลับมาได้เร็วหลังวิกฤติผ่านไป
สุดท้ายผมก็ยังมีความเชื่อว่า ลงทุนในกิจการที่ดี ในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป ซักวันนึง ราคาหุ้นก็จะกลับมา (แต่ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนนะครับ)
เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ รวมทั้งตัวผมเองด้วย
เดี๋ยวทุกอย่างก็ผ่านไปครับ
ผมก็เป็นคนนึงที่นึกว่าจะได้เกษียณจากงานประจำในอีกปีสองปีข้างหน้า แต่แล้วมาเจอวิกฤติรอบนี้พอร์ตหายไปครึ่งนึง (อาจจะด้วยใช้มาร์จินด้วย) เท่ากับ 10 ปีที่ผ่านมากำไรคืนหมด (รู้สึกหมดแรงเหมือนกันครับ)
วิกฤติครั้งนี้สอนให้รู้ว่า
1) ถึงแม้ว่าเราคิดว่าเราหลบมาอยู่ในหุ้น defensive แล้วก็ใช่ว่าจะปลอดภัย เวลาวิกฤติหุ้นลงทั้งกระดาน
2) อย่ามั่นใจในตัวเองสูง ถือหุ้นไม่อีกตัว (ความสำเร็จที่ผ่านมาอาจจะเพราะหุ้นเป็นขาขึ้น)
3) ถ้ามีมาร์จิน ควรปลดแค่มาร์จินออกก่อน (เพื่อความโล่งใจ) แล้วมาคิดตั้งหลักว่าจะเอายังไงต่อ ผมดันขายหมด ตอน SET แถวๆ พันต้นๆ ด้วยความกลัวว่าจะลงต่ออีก (ต้องการรักษากองทัพหลัก) สุดท้ายตอนนี้ หุ้นก็รีบาว (กลายเป็นขายเกือบตำ่สุด), แต่ก็ไม่มีใครรู้อีก 2-3 เดือน, 6 เดือนหรือ 1 ปี ข้างหน้า ก็ต้องคอยวิเคราะห์เหตุการณ์กันต่อไป
4) ตอนนี้ก็ได้แต่ ค่อยๆสะสมหุ้นใหม่ จากที่พี่ๆวีไอ คอยแชร์ ให้เลือกกิจการที่มีหนี้ตำ่ และคิดว่าจะฟื้นกลับมาได้เร็วหลังวิกฤติผ่านไป
สุดท้ายผมก็ยังมีความเชื่อว่า ลงทุนในกิจการที่ดี ในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป ซักวันนึง ราคาหุ้นก็จะกลับมา (แต่ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนนะครับ)
เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ รวมทั้งตัวผมเองด้วย
เดี๋ยวทุกอย่างก็ผ่านไปครับ
- Juninho
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1054
- ผู้ติดตาม: 1
Re: อยากรบกวนพี่ๆ ที่มีประสบการณ์การผ่านวิกฤติ มาช่วยแชร์แนวคิดฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันครับ?
โพสต์ที่ 36
ตรง ปล. อ่านจากไหนครับ อยากหาอ่านมั่งครับdrsp เขียน: ↑พุธ เม.ย. 08, 2020 9:44 pmนั่งทบทวนเหตุการณ์ว่าวิกฤติครั้งนี้สอนอะไรบ้าง
1.หุ้นทำให้คุณรวยได้ ก็ทำให้คุณหายนะทางการเงินได้
2.วิกฤติครั้งนี้ทิ้งห่างจากsubprimeกว่า10ปี
มันนานจนหลายคนรวมทั้งผมประมาทว่ามันคงไม่มา
ขนาดอจ.นิเวศน์ทำนายไว้ว่า10ปีมาแน่จนเตรียมเงินสดไว้มาก
รอแล้วรอเล่าไม่ยอมมา จนอจ.รอไม่ไหวกลับมาซื้อหุ้นใหม่
3.ตอนsubprimeผมเพิ่งเริ่มเล่นหุ้นไม่นาน พอร์ทเล็กนิดเดียว
ขาดทุน50%ยังเฉยๆ ตอนนั้นผมยังทำงานประจำเงินเดือนสูงอยู่
แต่เที่ยวนี้ผมลาออกจากงานมาหลายปี พอร์ทใหญ่กว่าเดิมหลายสิบเท่า
พอร์ทหายไป50%เที่ยวนี้ยอมรับว่าแทบหมดแรง
อีก5ปียังไม่แน่ใจว่าพอร์ทจะกลับมาที่เดิมไหม
อายุก็มากขึ้นถึงตอนนั้นเรายังจะมีไฟในการลงทุนอยู่ไหม
4.เงินปันผลคือลมหายใจ
ช่วง3-4ปีมานี้ผมได้ปันผลปีละ2-3ล้านบาท ซึ่งพอใช้จ่ายในครอบครัว
ทำให้หุ้นที่ถืออยู่แม้จะตกมากผมก็ไม่ถูกบังคับให้ขาย
5.ยิ่งวิกฤติยิ่งต้องยึดหลักการให้มั่นคง
นายตลาดกำลังบ้าคลั่ง เทขายทุกกิจการในราคาเลหลัง
เราเป็นวีไอราควรขายตามนายตลาดหรือช้อนหุ้นดีๆราคาถูกกันแน่
6.ถ้าพอร์ทคุณยังเล็กเป็นเรื่องปกติที่เงินคุณจะอยู่ในหุ้นทั้งหมด
แต่ถ้าพอร์ทคุณใหญ่ถึงระดับหนึ่งแล้ว
การรักษาความรวยไว้อาจสำคัญกว่าการพยายามจะรวยมากขึ้น
ความเห็นผมคิดว่าถ้าพอร์ทใหญ่แล้ว
น่าจะกันสัก20-30%ไปเป็นเงินสดตราสารหนี้และหุ้นต่างประเทศบ้าง
ถ้าเกิดวิกฤติอีกเงินส่วนนี้จะช่วยไม่ให้เราต้องทุกข์ร้อนใจมากเกินไป
รวมทั้งอาจแปรกลับมาเป็นเงินให้เราช้อนหุ้นราคาถูก
7.บังเอิญผมโชคดีเพิ่งขายที่ดินได้แปลงหนึ่งไม่กี่วันนี้
ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายได้ระดับหนึ่ง
อันที่จริงมีถ้าเงินสดมากในช่วงเวลาแบบนี้
อาจพูดได้ว่าเป็นเรื่องสนุกสนานที่ได้ช้อนหุ้นที่เคยได้แต่มองในราคาสะใจ
อยากฝากไว้ว่า
This too shall pass , stay calm stay invest
สุดท้ายนี้ขอให้เพื่อนพี่น้องวีไอทุกท่าน
รอดปลอดภัยทั้งจากตลาดหุ้นและcovid19ครับ
ปล.เพิ่งอ่านข่าวเจอว่าเซียนวีไอระดับต้นของประเทศโดนหนักแทบทุกคน
แล้วรู้สึกอุ่นใจขึ้นบ้าง
You Can Get It If You Really Want
But you must try, try and try
But you must try, try and try
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 411
- ผู้ติดตาม: 1
Re: อยากรบกวนพี่ๆ ที่มีประสบการณ์การผ่านวิกฤติ มาช่วยแชร์แนวคิดฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันครับ?
โพสต์ที่ 37
Re: อยากรบกวนพี่ๆ ที่มีประสบการณ์การผ่านวิกฤติ มาช่วยแชร์แนวคิดฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันครับ?
โพสต์ที่ 38
เป็นผมผมไม่มาเทียบกับคนที่เค้าแย่หรอกครับ หันไปมองคนที่เค้าทำได้ดีดีกว่าว่าเค้าทำยังไง
- odin
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 112
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากรบกวนพี่ๆ ที่มีประสบการณ์การผ่านวิกฤติ มาช่วยแชร์แนวคิดฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันครับ?
โพสต์ที่ 39
บางทีการเห็นคนอื่นกำลังลำบาก ใจเราจะเกิดกรุณา อย่างเช่นกับคนที่เป็นกลุ่มคนรากหญ้า ช่วงนี้พวกเขากำลังเดือดร้อน เราก็แค่รู้สึกว่า “เรานี่ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่หรอกนะ” อีกทั้งยังมีความอยากช่วยเหลือเขาอีกด้วย การที่เราเปรียบเทียบกับคนที่แย่กว่าเรา เราก็อาจจะเกิดความพอเพียงขึ้นมา พอใจกับปัจจุบันมากขึ้นA44950 เขียน: ↑ศุกร์ เม.ย. 10, 2020 5:09 pmเป็นผมผมไม่มาเทียบกับคนที่เค้าแย่หรอกครับ หันไปมองคนที่เค้าทำได้ดีดีกว่าว่าเค้าทำยังไง
แล้วเซียนหุ้นติดลบหนัก กำลังแย่นั้น จริงๆแล้ว พวกเค้าอาจะไม่ได้แย่ก็ได้ เราแค่ดูไว้ให้ใจเราฟื้นดีขึ้นมา ให้เราแค่รู้สึกว่า “เรานี่ไม่ได้แย่เท่าไหร่หรอกนะ” สติจะได้กลับมา จะได้ตั้งใจปรับพอร์ตให้เหมาะสม
การลงทุนช่วงนี้ถือเป็นโอกาสทอง ใช่แล้วครับ เราต้องศึกษาจากคนที่เก่งจริงๆ ไม่ใช่เก่งไม่จริง
ขอบคุณพี่ๆทุกท่านที่นำเสนอความคิดเห็นและความรู้ในการลงทุน มีประโยชน์มากๆในช่วงเวลาแบบนี้ครับ
“Compound interest is the eighth wonder of the world. He who understands it, earn it ; he who doesn’t, pays it.”
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1399
- ผู้ติดตาม: 1
Re: อยากรบกวนพี่ๆ ที่มีประสบการณ์การผ่านวิกฤติ มาช่วยแชร์แนวคิดฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันครับ?
โพสต์ที่ 40
ผมเองผ่านวิกฤติ2009 แต่ในปีนั้นผมไม่ได้ขาดทุนเพราะต้นปีผมมีกำไร100% ทำให้ช่วงครึ่งปีหลังมันไม่ได้เอากำไรผมไปหมด หลังจากนั้นผมว่าใครๆก็ลงทุนแล้วได้กำไรกันทั้งนั้น
ผมว่าในระหว่างการตกลงของหุ้นเป็นโอกาสที่เราจะปรับพอร์ตโดยการโยกหุ้นในพอร์ตจากตัวที่อ่อนแอไปเป็นหุ้นที่แข็งแรง นอกจากนี้การบริหารเงินสดก็สำคัญ ผมเติบโตจากการลงทุนในแบบอนุรักษ์นิยม ทำให้ผมไม่ได้ถือหุ้นอย่าง hmpro cpall มายาวนานนั้นตั้งแต่มันมี pe เกิน 25 เท่า ผมถือเงินสดมากกว่า 60% ในปี 2019 ก่อนที่ปลายปี2019จะนำเงินไปซื้อหุ้นที่ฮองกงบางส่วนเพราะเทียบกันแล้วกับหุ้นไทยผมว่าฮ่องกงดีกว่าหลายตัว จนมาถึงช่วงวิกฤตินี้ผมก็ได้เพิ่มการลงทุนในหุ้นไทย สำคัญคือต้องไม่ซื้อหุ้นในราคาที่แพงเกินกว่าการเติบโตในระยะยาวที่ควรจะเป็น เช่น ผมจะไม่ซื้อหุ้นอย่าง hmpro แต่ถ้าผมสนใจผมจะซื้อ QH ปลายเดือนก่อนผมก็ได้เป็นเจ้าของ hmpro ผ่าน QH และได้ BA แทนการซื้อ BDMS ราคาค่อนข้างถูกแต่ก็มาด้วยความเสี่ยงสูงของธุรกิจสายการบิน
- ผมมองว่าหลังจากวิกฤตนี้จะทำให้การสั่งซื้อเครื่องบินชลอตัวอย่างแรง และจะเป็นจุดเริ่มการฟื้นตัวของธุรกิจการบินที่เกิดจาก supply ทยอยน้อยลง และต้นทุนเชื้อเพลิงต่ำ แต่ก็คงเฉพาะบริษัทที่มีฐานะการเงินที่ดีเท่านั้น
- ผมเองลงทุนมาตั้งแต่ดอยปี 2546 ปลายปี ได้เห็นสิ่งสำคัญในตลาดหุ้นคือวงจรการขึ้นลงของหุ้น กับเศรษฐกิจที่มันกำลังอิ่มตัวและจะเติบโตยากของไทยในช่วง5ปีหลัง ดังนั้นกลยุทธคือ ซื้อปีละ 2-4 ครั้ง ปรับพอร์ตปีละ 1-2 ครั้ง จะช่วยทำให้เรามีผลตอบแทนในระดับที่เหนือกว่า SET ได้
- ตอนนี้เองหุ้นในไทยก็มีหลายตัวที่มีปันผล 10% แต่มันอาจจะทำไม่ได้ในปีหน้าและอาจจะถึงขั้นกำไรลดน้อยลงจนน่าตกใจ ดังนั้นไม่ควรดูเงินปันผลเป็นหลักในการลงทุน แต่หุ้นหลายตัวในฮ่องกงกลับมีความสามารถที่จะจ่ายปันผลได้มากกว่าปีนี้และปันผลในระดับใกล้ 10% เช่นหุ้นพวกกลุ่ม utility น้ำ ไฟฟ้า กำจัดของเสีย โรงพยาบาล พวกนี้กำไรค่อนข้างแน่นอน และมีสัญญางานที่ยังไม่ได้ COD หรือก่อสร้างไม่เสร็จอีกพอควร แต่ปัญหาหุ้นเหล่านี้คือ หนี้สูง แต่ก็ปันผลเพิ่มขึ้นทุกปี
- และสิ่งที่ผมมองไปข้างหน้าคือเงินเฟ้อที่รัฐทั้งหลายอัดเข้ามาในระบบ จะทำให้การลงทุนมองไปที่บริษัทที่มีทรัพย์สินทำเงิน มากกว่าธุรกิจการเงิน เพราะถ้าเงินเฟ้อคนที่เจ็บตัวก็คือบริษัทที่ปล่อยกู้ระยะยาว
-และมองการลงทุนในต่างประเทศให้มากขึ้น
- ผมยังเหลือเงินสดอีก 20% และเงินสดจากแหล่งอื่นที่จะเข้ามาอีกพอควร ที่จะซื้อหุ้นในอีก 1-2ปีข้างหน้า กลยุทธผมก็คือรอ รอไปก่อน หากอะไรชัดเจนระดับที่พอทำนายได้ว่ามีการฟื้นตัว(แต่อะไรๆมันก็ดูยากนะและราคามันก็จะชี้นำไประดับหนึ่งแล้ว)ผมจะเข้าไปซื้อและอาจจะใช้ margin มาช่วยหากมีอะไรน่าสนใจ
ผมว่าในระหว่างการตกลงของหุ้นเป็นโอกาสที่เราจะปรับพอร์ตโดยการโยกหุ้นในพอร์ตจากตัวที่อ่อนแอไปเป็นหุ้นที่แข็งแรง นอกจากนี้การบริหารเงินสดก็สำคัญ ผมเติบโตจากการลงทุนในแบบอนุรักษ์นิยม ทำให้ผมไม่ได้ถือหุ้นอย่าง hmpro cpall มายาวนานนั้นตั้งแต่มันมี pe เกิน 25 เท่า ผมถือเงินสดมากกว่า 60% ในปี 2019 ก่อนที่ปลายปี2019จะนำเงินไปซื้อหุ้นที่ฮองกงบางส่วนเพราะเทียบกันแล้วกับหุ้นไทยผมว่าฮ่องกงดีกว่าหลายตัว จนมาถึงช่วงวิกฤตินี้ผมก็ได้เพิ่มการลงทุนในหุ้นไทย สำคัญคือต้องไม่ซื้อหุ้นในราคาที่แพงเกินกว่าการเติบโตในระยะยาวที่ควรจะเป็น เช่น ผมจะไม่ซื้อหุ้นอย่าง hmpro แต่ถ้าผมสนใจผมจะซื้อ QH ปลายเดือนก่อนผมก็ได้เป็นเจ้าของ hmpro ผ่าน QH และได้ BA แทนการซื้อ BDMS ราคาค่อนข้างถูกแต่ก็มาด้วยความเสี่ยงสูงของธุรกิจสายการบิน
- ผมมองว่าหลังจากวิกฤตนี้จะทำให้การสั่งซื้อเครื่องบินชลอตัวอย่างแรง และจะเป็นจุดเริ่มการฟื้นตัวของธุรกิจการบินที่เกิดจาก supply ทยอยน้อยลง และต้นทุนเชื้อเพลิงต่ำ แต่ก็คงเฉพาะบริษัทที่มีฐานะการเงินที่ดีเท่านั้น
- ผมเองลงทุนมาตั้งแต่ดอยปี 2546 ปลายปี ได้เห็นสิ่งสำคัญในตลาดหุ้นคือวงจรการขึ้นลงของหุ้น กับเศรษฐกิจที่มันกำลังอิ่มตัวและจะเติบโตยากของไทยในช่วง5ปีหลัง ดังนั้นกลยุทธคือ ซื้อปีละ 2-4 ครั้ง ปรับพอร์ตปีละ 1-2 ครั้ง จะช่วยทำให้เรามีผลตอบแทนในระดับที่เหนือกว่า SET ได้
- ตอนนี้เองหุ้นในไทยก็มีหลายตัวที่มีปันผล 10% แต่มันอาจจะทำไม่ได้ในปีหน้าและอาจจะถึงขั้นกำไรลดน้อยลงจนน่าตกใจ ดังนั้นไม่ควรดูเงินปันผลเป็นหลักในการลงทุน แต่หุ้นหลายตัวในฮ่องกงกลับมีความสามารถที่จะจ่ายปันผลได้มากกว่าปีนี้และปันผลในระดับใกล้ 10% เช่นหุ้นพวกกลุ่ม utility น้ำ ไฟฟ้า กำจัดของเสีย โรงพยาบาล พวกนี้กำไรค่อนข้างแน่นอน และมีสัญญางานที่ยังไม่ได้ COD หรือก่อสร้างไม่เสร็จอีกพอควร แต่ปัญหาหุ้นเหล่านี้คือ หนี้สูง แต่ก็ปันผลเพิ่มขึ้นทุกปี
- และสิ่งที่ผมมองไปข้างหน้าคือเงินเฟ้อที่รัฐทั้งหลายอัดเข้ามาในระบบ จะทำให้การลงทุนมองไปที่บริษัทที่มีทรัพย์สินทำเงิน มากกว่าธุรกิจการเงิน เพราะถ้าเงินเฟ้อคนที่เจ็บตัวก็คือบริษัทที่ปล่อยกู้ระยะยาว
-และมองการลงทุนในต่างประเทศให้มากขึ้น
- ผมยังเหลือเงินสดอีก 20% และเงินสดจากแหล่งอื่นที่จะเข้ามาอีกพอควร ที่จะซื้อหุ้นในอีก 1-2ปีข้างหน้า กลยุทธผมก็คือรอ รอไปก่อน หากอะไรชัดเจนระดับที่พอทำนายได้ว่ามีการฟื้นตัว(แต่อะไรๆมันก็ดูยากนะและราคามันก็จะชี้นำไประดับหนึ่งแล้ว)ผมจะเข้าไปซื้อและอาจจะใช้ margin มาช่วยหากมีอะไรน่าสนใจ
มาคุยกันได้ที่นี่ครับ https://www.facebook.com/value.investing.freedom
-
- Verified User
- โพสต์: 183
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากรบกวนพี่ๆ ที่มีประสบการณ์การผ่านวิกฤติ มาช่วยแชร์แนวคิดฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันครับ?
โพสต์ที่ 41
เมื่อปู่ชาร์ลี มังเกอร์ ฟันธงเศรษฐกิจถดถอยแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าจะฟื้นเมื่อไหร่
.
ปู่บอกว่าไม่รู้เมื่อไหร่จะฟื้น แต่ก็คงไม่ถึงขั้นช่วง Great Depression นะครับ
.
===============
.
1.วิกฤตจากเจ้าไวรัสโควิด 19 นี้หนักจริงๆครับ ปู่ชาร์ลี มังเกอร์คู่หูปู่บัฟเฟตต์บอกว่าแม้แต่ Berkshire ก็คงได้รับผลกระทบเช่นกันครับ
.
2.”พวกเราเองก็มีธุรกิจที่แย่ๆอยู่บ้าง และคิดว่าท่ามกลางวิกฤตตอนนี้ ก็คงต้องมีที่ต้องปิดไปบ้าง”
.
3.ปู่มังเกอร์บอกว่า จริงๆแล้วไม่มีใครรู้หรอกครับว่า ตลาดหุ้นจะร่วงไปอีกแค่ไหน และไม่มีใครรู้ว่ามันอาจจะร่วงหลุด จุดต่ำสุดเดิมลงไปอีกก็ได้ หรืออาจจะไม่
.
“ไม่มีใครรู้ครับ แต่ที่รู้แน่ๆคือ เราต้องผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้”
.
4.สำหรับมุมมองด้านการลงทุน ปู่มังเกอร์มองว่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็จใช้เวลาส่วนใหญ่ อยู่เฉยๆไม่ทำอะไรเลยครับ แต่จะรอจัดหนักตอนที่มีหุ้นราคาถูก
.
5.สถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมือนตอนปี 2008-2009 ที่ปู่จัดหนักหลายหมื่นล้านเหรียญลงทุนในหุ้น GE, Goldman Sachs ก่อนจะทำกำไรได้อย่างงดงาม
.
6.แต่รอบนี้ยังไม่ได้เป็นแบบนั้นครับ ปู่บอกว่าถ้าตอนนี้เราเป็นกัปตันเรือ แล้วกำลังจะเจอพายุไต้ฝุ่นที่หนักที่สุดเท่าที่เคยเจอมา
.
“พวกเราต้องการเพียงแค่ขอให้ผ่านพ้นพายุไต้ฝุ่นนี้ไปให้ได้” และพอผ่านพ้นพายุไปได้แล้ว ต้องผ่านวิกฤตมาพร้อมกับสภาพคล่อง (ผ่านแบบมีเงิน)
.
7.ปู่บอกว่าเราไม่ได้ลงทุนแบบว่า โอวตอนนี้ทุกสินทรัพย์ร่วงหนักมากๆ ถ้างั้นจัดหนักจัดเต็มเอาเงินทั้งหมดเข้าไปซื้อหุ้น แต่ต้องวิเคราะห์ให้ดีก่อนลงทุนครับ
.
8.สำหรับธุรกิจที่ตอนนี้กำลังต้องติดตาม คือ ธุรกิจสายการบิน เพราะตอนนี้ผู้ประกอบการอยู่ในภาวะที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องทำอะไร
.
“ตอนนี้พวกเค้ากำลังเจรจากับรัฐบาล” “พวกเค้าไม่เคยเจอเหตุการณ์เหล่านี้มาก่อน” เพราะในตำราไม่เคยบอกไว้ว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้
.
9.วิกฤตรอบนี้แตกต่างจากรอบที่ผ่านๆมา ปู่บอกว่าทุกคนไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกันแน่
.
10.ถ้าถามว่ารอบนี้จะเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอยไหม? ปู่ตอบทันทีว่าใช่แน่ๆครับ แต่อาจจะไม่ถึงขั้น Great Depression
.
“คำถามคือวิกฤตรอบนี้จะหนักแค่ไหน และจะยาวนานแค่ไหน” คำถามนี้ยังไม่มีคำตอบครับ
.
11.และที่แน่ๆที่ไม่มีใครรู้ว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจจะหนักแค่ไหน แต่ปู่ชาร์ลี มังเกอร์เชื่อว่าสักวันนึงไม่ช้าก็เร็ว และแม้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวก็จะฟื้นได้เพียงแค่ระดับปานกลาง ไม่มีทางเฟื่องฟูเหมือนเดิม
.
12.ถามว่าเราจะมีการจ้างงานมากเท่ากับที่ปลดพนักงานตอนนี้ไหม? ปู่มองว่า ไม่มีวันที่จะมีวันแบบนั้นอีกแล้วครับ
.
========
#ลงทุนนอกโลก โดยเพจ #ถามอีกกับอิก
.
.
ปู่บอกว่าไม่รู้เมื่อไหร่จะฟื้น แต่ก็คงไม่ถึงขั้นช่วง Great Depression นะครับ
.
===============
.
1.วิกฤตจากเจ้าไวรัสโควิด 19 นี้หนักจริงๆครับ ปู่ชาร์ลี มังเกอร์คู่หูปู่บัฟเฟตต์บอกว่าแม้แต่ Berkshire ก็คงได้รับผลกระทบเช่นกันครับ
.
2.”พวกเราเองก็มีธุรกิจที่แย่ๆอยู่บ้าง และคิดว่าท่ามกลางวิกฤตตอนนี้ ก็คงต้องมีที่ต้องปิดไปบ้าง”
.
3.ปู่มังเกอร์บอกว่า จริงๆแล้วไม่มีใครรู้หรอกครับว่า ตลาดหุ้นจะร่วงไปอีกแค่ไหน และไม่มีใครรู้ว่ามันอาจจะร่วงหลุด จุดต่ำสุดเดิมลงไปอีกก็ได้ หรืออาจจะไม่
.
“ไม่มีใครรู้ครับ แต่ที่รู้แน่ๆคือ เราต้องผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้”
.
4.สำหรับมุมมองด้านการลงทุน ปู่มังเกอร์มองว่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็จใช้เวลาส่วนใหญ่ อยู่เฉยๆไม่ทำอะไรเลยครับ แต่จะรอจัดหนักตอนที่มีหุ้นราคาถูก
.
5.สถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมือนตอนปี 2008-2009 ที่ปู่จัดหนักหลายหมื่นล้านเหรียญลงทุนในหุ้น GE, Goldman Sachs ก่อนจะทำกำไรได้อย่างงดงาม
.
6.แต่รอบนี้ยังไม่ได้เป็นแบบนั้นครับ ปู่บอกว่าถ้าตอนนี้เราเป็นกัปตันเรือ แล้วกำลังจะเจอพายุไต้ฝุ่นที่หนักที่สุดเท่าที่เคยเจอมา
.
“พวกเราต้องการเพียงแค่ขอให้ผ่านพ้นพายุไต้ฝุ่นนี้ไปให้ได้” และพอผ่านพ้นพายุไปได้แล้ว ต้องผ่านวิกฤตมาพร้อมกับสภาพคล่อง (ผ่านแบบมีเงิน)
.
7.ปู่บอกว่าเราไม่ได้ลงทุนแบบว่า โอวตอนนี้ทุกสินทรัพย์ร่วงหนักมากๆ ถ้างั้นจัดหนักจัดเต็มเอาเงินทั้งหมดเข้าไปซื้อหุ้น แต่ต้องวิเคราะห์ให้ดีก่อนลงทุนครับ
.
8.สำหรับธุรกิจที่ตอนนี้กำลังต้องติดตาม คือ ธุรกิจสายการบิน เพราะตอนนี้ผู้ประกอบการอยู่ในภาวะที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องทำอะไร
.
“ตอนนี้พวกเค้ากำลังเจรจากับรัฐบาล” “พวกเค้าไม่เคยเจอเหตุการณ์เหล่านี้มาก่อน” เพราะในตำราไม่เคยบอกไว้ว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้
.
9.วิกฤตรอบนี้แตกต่างจากรอบที่ผ่านๆมา ปู่บอกว่าทุกคนไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกันแน่
.
10.ถ้าถามว่ารอบนี้จะเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอยไหม? ปู่ตอบทันทีว่าใช่แน่ๆครับ แต่อาจจะไม่ถึงขั้น Great Depression
.
“คำถามคือวิกฤตรอบนี้จะหนักแค่ไหน และจะยาวนานแค่ไหน” คำถามนี้ยังไม่มีคำตอบครับ
.
11.และที่แน่ๆที่ไม่มีใครรู้ว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจจะหนักแค่ไหน แต่ปู่ชาร์ลี มังเกอร์เชื่อว่าสักวันนึงไม่ช้าก็เร็ว และแม้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวก็จะฟื้นได้เพียงแค่ระดับปานกลาง ไม่มีทางเฟื่องฟูเหมือนเดิม
.
12.ถามว่าเราจะมีการจ้างงานมากเท่ากับที่ปลดพนักงานตอนนี้ไหม? ปู่มองว่า ไม่มีวันที่จะมีวันแบบนั้นอีกแล้วครับ
.
========
#ลงทุนนอกโลก โดยเพจ #ถามอีกกับอิก
.