ความรู้ในการลงทุน (ควบคู่กับความมั่นใจที่จะถือยาว)
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 27
- ผู้ติดตาม: 0
ความรู้ในการลงทุน (ควบคู่กับความมั่นใจที่จะถือยาว)
โพสต์ที่ 1
ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ที่เข้ามาเล่นหุ้น มัจะเล่นกันแบบวันนี้ซื้อเดี๋ยวอีกวันสองวันขาย บางคนก็เข้ามาซื้อโดยที่ไม่ได้ศึกษาถึงกิจการหรือศึกษาธุรกิจนั้นให้ดีว่าเขาดำเนินงานอย่างไร
แต่กลับซื้อตามที่เค้าพูดถึงหุ้นตัวนี้ว่ามันดีในสื่อที่วิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องหุ้น พอเราซื้อแบบไม่มีความรู้อะไรเลย บางทีก็ทำให้เกิดความเครียดได้นะจ้ะ เพราะเราจะต้องคอยดูตลอด ว่าราคามันขึ้นหรือยัง
แล้วเวลามันลงมันลงไปเยอะขนาดไหน ถ้าวันไหนหุ้นที่เราซื้อมันขึ้น เราก็ดีใจ (เฮฮฮฮฮ) แต่ถ้าวันไหนมันเกิดลงขึ้นก็ทำให้ใจไม่ดีแล้ว
จนได้มาอ่านหนังสือชนะอย่างเต่าของ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่ได้เขียนถึง วิธีการสร้างความมั่นใจในการลงทุน ที่จะทำให้เรากล้าถือหุ้นยาว ไม่ต้องกลัวหรือกังวลกับสิ่งที่ทำให้เราไม่สบายใจที่ทำให้ต้องขายหุ้นทิ้งไป จึงขอนำมาแชร์เป็นความรู้นะคะ
วิธีสร้างความมั่นใจในการลงทุน
1.ต้องสร้างความศรัทธาในหุ้น เป็นศรัทธาที่อิงอยู่กับประวัติและสถิติระยะยาวของตลาดหุ้น ทั้งของต่างประเทศและของไทยว่าในระยะยาวการลงทุนในหุ้นเป็นสิ่งที่ให้ผลตอบแทนงดงาม อย่างน้อยก็ 7- 8% ต่อปีทบต้นโอกาสที่จะได้ต่ำกว่านี้มีน้อยมากถ้าเราถือหุ้นที่เราซื้อ 15 ถึง 20 ปีขึ้นไป
2.เป็นเรื่องยากมากที่จะคาดการณ์ภาวะตลาดหุ้นปีต่อปี จะไม่ต้องพูดถึงเดือนต่อเดือน หรือวันต่อวัน เพราะฉะนั้นไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามคาดการณ์ตลาดและซื้อหรือขายหุ้นทิ้งเป็นช่วงๆไป
3.เวลาลงทุนจะต้องลงทุนในหุ้นหลายตัวและหลายอุตสาหกรรมกระจายกันไปเป็นพอร์ตฟอลิโอ ที่สำคัญคือการดูผลตอบแทนของการลงทุน ควรจะดูโดยรวมทั้งพอร์ต ตราบใดที่ผลตอบแทนเป็น”บวก” เราก็สบายใจได้ว่าที่ทำมาถูกต้อง
แต่ถ้าหุ้นที่เราลงทุนบางตัวมันติด”ลบ” ก็ไม่ใช่ว่าหุ้นนั้นจะต้องขายทิ้งเสมอไป เราต้องพิจารณาอย่างไม่มีอคติไม่มีอารมณ์แบบไร้เหตุผล บางทีการติดลบแต่ก็ใช่ว่าจะไม่กลับมาเป็นบวกได้เพียงแต่คุณมั่นใจว่าหุ้นตัวนั้นมันพื้นมันมีพื้นฐานที่ดี ถึงมันจะลงคุณก็ไม่ต้องไปสนใจมัน
4.เราต้องมองหุ้นทุกตัวว่าเป็นธุรกิจ คือเป็นกิจการที่เราเป็นเจ้าของส่วนหนึ่ง มันมีมูลค่า (คือมีสินทรัพย์ มีคนที่มีความรู้ความสามารถทำงาน เป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจผู้บริโภค)
ที่สำคัญเป็นกิจการที่ทำกำไร มีการจ่ายปันผล มีโอกาสเติบโตทางธุรกิจเพิ่มขึ้น (ไม่ใช่กระดาษหรือตัวเลขในบัญชีที่สามารถขึ้นลงได้อย่างรวดเร็วและมูลค่าอาจตกลงมหาศาลได้ในชั่วข้ามคืน)
5.ซื้อหุ้นของบริษัทที่มีความเข้มแข็ง คือมีผลการดำเนินงานที่ดีสม่ำเสมอ อนาคตน่าจะดีต่อไปอีกนานในราคาถูก หรือราคายุติธรรมถ้าเป็นหุ้นของกิจการที่โดดเด่นมากๆ
6.ถ้าทำได้พยายามสัมผัสกับสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของบริษัทให้มากที่สุด ถ้าเป็นสินค้าบริโภคจะเป็นเรื่องง่ายที่เราต้องคอยตรวจสอบสังเกต และหลังใช้ทุกครั้งที่เกิดความไม่มั่นใจ กลับไปที่บ้านไปตรวจสอบความนิยม กลับไปลองใช้ ความมั่นใจก็จะกลับคืนมาอย่าปล่อยให้ราคาหุ้นในตลาดหุ้นเป็นตัวกำหนดชี้นำอารมณ์และความคิดของเรา
7.การพบผู้บริหารบริษัทและเยี่ยมชมบริษัท เดี๋ยวนี้ทำได้ง่ายขึ้นเพราะตลาดหลักทรัพย์ได้มีการจัดทำ oppday ให้ผู้บริหารได้มาชี้แจงการทำงานและผลของการดำเนินงานของบริษัท
ซึ่งนักลงทุนทั่วไปสามารถเข้าร่วมฟังได้ ส่งเสริมผู้ลงทุนไทยเองมีการจัดเข้าเยี่ยมชมกิจการของบริษัทจดทะเบียนที่สมาชิกสามารถเข้าร่วมได้
วิธีการสร้างความมั่นใจที่ ดร.นิเวศน์ ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ คือ การสร้างความรอบรู้ในตลาดหุ้น ตัวผู้บริหาร ตัวธุรกิจ และภาวะของธุรกิจที่บริษัททำอยู่ ซึ่งจะเป็นความรู้พื้นฐานที่ทำให้เราเข้าใจ เกิดเป็นความมั่นใจในการลงทุน
แต่สิ่งที่นักลงทุนควรระวัง คือ อย่าปล่อยให้เกิดเป็นความมั่นใจจนเกินไป เพราะจะเป็นสิ่งที่น่ากลัว (อาจทำให้เกิดการติดดอยได้จ้า)
มาร่วมกันแชร์ข้อมูล ข้อแนะนำ และความรู้ดีๆได้นะคะ (ขอบคุณค่ะ)
แต่กลับซื้อตามที่เค้าพูดถึงหุ้นตัวนี้ว่ามันดีในสื่อที่วิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องหุ้น พอเราซื้อแบบไม่มีความรู้อะไรเลย บางทีก็ทำให้เกิดความเครียดได้นะจ้ะ เพราะเราจะต้องคอยดูตลอด ว่าราคามันขึ้นหรือยัง
แล้วเวลามันลงมันลงไปเยอะขนาดไหน ถ้าวันไหนหุ้นที่เราซื้อมันขึ้น เราก็ดีใจ (เฮฮฮฮฮ) แต่ถ้าวันไหนมันเกิดลงขึ้นก็ทำให้ใจไม่ดีแล้ว
จนได้มาอ่านหนังสือชนะอย่างเต่าของ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่ได้เขียนถึง วิธีการสร้างความมั่นใจในการลงทุน ที่จะทำให้เรากล้าถือหุ้นยาว ไม่ต้องกลัวหรือกังวลกับสิ่งที่ทำให้เราไม่สบายใจที่ทำให้ต้องขายหุ้นทิ้งไป จึงขอนำมาแชร์เป็นความรู้นะคะ
วิธีสร้างความมั่นใจในการลงทุน
1.ต้องสร้างความศรัทธาในหุ้น เป็นศรัทธาที่อิงอยู่กับประวัติและสถิติระยะยาวของตลาดหุ้น ทั้งของต่างประเทศและของไทยว่าในระยะยาวการลงทุนในหุ้นเป็นสิ่งที่ให้ผลตอบแทนงดงาม อย่างน้อยก็ 7- 8% ต่อปีทบต้นโอกาสที่จะได้ต่ำกว่านี้มีน้อยมากถ้าเราถือหุ้นที่เราซื้อ 15 ถึง 20 ปีขึ้นไป
2.เป็นเรื่องยากมากที่จะคาดการณ์ภาวะตลาดหุ้นปีต่อปี จะไม่ต้องพูดถึงเดือนต่อเดือน หรือวันต่อวัน เพราะฉะนั้นไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามคาดการณ์ตลาดและซื้อหรือขายหุ้นทิ้งเป็นช่วงๆไป
3.เวลาลงทุนจะต้องลงทุนในหุ้นหลายตัวและหลายอุตสาหกรรมกระจายกันไปเป็นพอร์ตฟอลิโอ ที่สำคัญคือการดูผลตอบแทนของการลงทุน ควรจะดูโดยรวมทั้งพอร์ต ตราบใดที่ผลตอบแทนเป็น”บวก” เราก็สบายใจได้ว่าที่ทำมาถูกต้อง
แต่ถ้าหุ้นที่เราลงทุนบางตัวมันติด”ลบ” ก็ไม่ใช่ว่าหุ้นนั้นจะต้องขายทิ้งเสมอไป เราต้องพิจารณาอย่างไม่มีอคติไม่มีอารมณ์แบบไร้เหตุผล บางทีการติดลบแต่ก็ใช่ว่าจะไม่กลับมาเป็นบวกได้เพียงแต่คุณมั่นใจว่าหุ้นตัวนั้นมันพื้นมันมีพื้นฐานที่ดี ถึงมันจะลงคุณก็ไม่ต้องไปสนใจมัน
4.เราต้องมองหุ้นทุกตัวว่าเป็นธุรกิจ คือเป็นกิจการที่เราเป็นเจ้าของส่วนหนึ่ง มันมีมูลค่า (คือมีสินทรัพย์ มีคนที่มีความรู้ความสามารถทำงาน เป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจผู้บริโภค)
ที่สำคัญเป็นกิจการที่ทำกำไร มีการจ่ายปันผล มีโอกาสเติบโตทางธุรกิจเพิ่มขึ้น (ไม่ใช่กระดาษหรือตัวเลขในบัญชีที่สามารถขึ้นลงได้อย่างรวดเร็วและมูลค่าอาจตกลงมหาศาลได้ในชั่วข้ามคืน)
5.ซื้อหุ้นของบริษัทที่มีความเข้มแข็ง คือมีผลการดำเนินงานที่ดีสม่ำเสมอ อนาคตน่าจะดีต่อไปอีกนานในราคาถูก หรือราคายุติธรรมถ้าเป็นหุ้นของกิจการที่โดดเด่นมากๆ
6.ถ้าทำได้พยายามสัมผัสกับสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของบริษัทให้มากที่สุด ถ้าเป็นสินค้าบริโภคจะเป็นเรื่องง่ายที่เราต้องคอยตรวจสอบสังเกต และหลังใช้ทุกครั้งที่เกิดความไม่มั่นใจ กลับไปที่บ้านไปตรวจสอบความนิยม กลับไปลองใช้ ความมั่นใจก็จะกลับคืนมาอย่าปล่อยให้ราคาหุ้นในตลาดหุ้นเป็นตัวกำหนดชี้นำอารมณ์และความคิดของเรา
7.การพบผู้บริหารบริษัทและเยี่ยมชมบริษัท เดี๋ยวนี้ทำได้ง่ายขึ้นเพราะตลาดหลักทรัพย์ได้มีการจัดทำ oppday ให้ผู้บริหารได้มาชี้แจงการทำงานและผลของการดำเนินงานของบริษัท
ซึ่งนักลงทุนทั่วไปสามารถเข้าร่วมฟังได้ ส่งเสริมผู้ลงทุนไทยเองมีการจัดเข้าเยี่ยมชมกิจการของบริษัทจดทะเบียนที่สมาชิกสามารถเข้าร่วมได้
วิธีการสร้างความมั่นใจที่ ดร.นิเวศน์ ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ คือ การสร้างความรอบรู้ในตลาดหุ้น ตัวผู้บริหาร ตัวธุรกิจ และภาวะของธุรกิจที่บริษัททำอยู่ ซึ่งจะเป็นความรู้พื้นฐานที่ทำให้เราเข้าใจ เกิดเป็นความมั่นใจในการลงทุน
แต่สิ่งที่นักลงทุนควรระวัง คือ อย่าปล่อยให้เกิดเป็นความมั่นใจจนเกินไป เพราะจะเป็นสิ่งที่น่ากลัว (อาจทำให้เกิดการติดดอยได้จ้า)
มาร่วมกันแชร์ข้อมูล ข้อแนะนำ และความรู้ดีๆได้นะคะ (ขอบคุณค่ะ)
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความรู้ในการลงทุน (ควบคู่กับความมั่นใจที่จะถือยาว)
โพสต์ที่ 2
ไม่เห็นด้วยกับข้อ 1 ส่วนข้ออื่นเห็นด้วย
" 1.ต้องสร้างความศรัทธาในหุ้น เป็นศรัทธาที่อิงอยู่กับประวัติและสถิติระยะยาวของตลาดหุ้น ทั้งของต่างประเทศและของไทยว่าในระยะยาวการลงทุนในหุ้นเป็นสิ่งที่ให้ผลตอบแทนงดงาม อย่างน้อยก็ 7- 8% ต่อปีทบต้นโอกาสที่จะได้ต่ำกว่านี้มีน้อยมากถ้าเราถือหุ้นที่เราซื้อ 15 ถึง 20 ปีขึ้นไป "
การยกเอาประวัติและสถิติระยะยาวของตลาดหุ้น ควรใช้แค่ประกอบการตัดสินใจเท่านั้น
แม้ว่าจะเป็นระยะยาวแค่ไหน เพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลงเสมอในช่วงเวลาต่างๆกัน
นักลงทุนคนไหนจับกระแสได้ถูกก็มักจะได้ผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำในช่วงนั้น
ถ้าใครลงทุนโดยมีแค่ศรัทธาอย่างเดียว คุณได้ถือหุ้นจนแก่แต่ผลตอบแทนก็งั้นๆ
หรือรอจนคุณเกษียณคุณอาจจะขาดทุนเงินต้นไปมากมาย ถ้าอยู่ในช่วงตลาดหุ้นขาลง
ระยะเวลาเกี่ยวเนื่องกับการเติบโต สถิติคือสถิติ ประวัติศาสตร์คือประวัติศาสตร์
ไม่ใช่เอามาเป็นศรัทธาในหุ้น คุณต้องมองโลกตามความเป็นจริงทั้งปัจจุบันและอนาคต
เราต้องดูหุ้นเป็นช่วงเวลาเทียบกับการพัฒนาและการเติบโตของแต่ละประเทศ
ตอนนี้ไม่เห็นมีเซียนหุ้นคนไหนบอกว่าหุ้นไทยดีเลย แรงงานแก่ตัว
ความสามารถในการแข่งขันลดลง สินค้าและอุตสาหกรรมล้าสมัย
ผลตอบแทนระยะยาวที่คาดหวังก็น่าจะน้อยกว่านั้น
จุดสำคัญของตลาดหุ้นไทยตอนนี้จึงอยู่ที่การคัดเลือกหุ้นรายตัวที่ยังเติบโตเท่านั้น
รวมทั้งต้องมีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
การลงทุนต่างประเทศจึงเป็นตัวสำคัญถ้าเราอยากได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น
แต่ก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เราควรเลือกไปลงทุนประเทศที่ยังเติบโตมีการพัฒนา
และก็ต้องทำงานหนักขึ้น ไม่ประมาท
ปล.ไม่จำเป็นที่จะต้องถือหุ้น 15-20 ปีแล้วได้ผลตอบแทนดีเสมอ จุดนี้เป็นมายาคติ
ถ้าคุณไม่เชื่อไปถามเซียนหุ้นแต่ละคนดูสิว่ายังถือหุ้นตัวเดิมอยู่ไหมเมื่อ 15-20 ปีที่แล้ว
" 1.ต้องสร้างความศรัทธาในหุ้น เป็นศรัทธาที่อิงอยู่กับประวัติและสถิติระยะยาวของตลาดหุ้น ทั้งของต่างประเทศและของไทยว่าในระยะยาวการลงทุนในหุ้นเป็นสิ่งที่ให้ผลตอบแทนงดงาม อย่างน้อยก็ 7- 8% ต่อปีทบต้นโอกาสที่จะได้ต่ำกว่านี้มีน้อยมากถ้าเราถือหุ้นที่เราซื้อ 15 ถึง 20 ปีขึ้นไป "
การยกเอาประวัติและสถิติระยะยาวของตลาดหุ้น ควรใช้แค่ประกอบการตัดสินใจเท่านั้น
แม้ว่าจะเป็นระยะยาวแค่ไหน เพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลงเสมอในช่วงเวลาต่างๆกัน
นักลงทุนคนไหนจับกระแสได้ถูกก็มักจะได้ผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำในช่วงนั้น
ถ้าใครลงทุนโดยมีแค่ศรัทธาอย่างเดียว คุณได้ถือหุ้นจนแก่แต่ผลตอบแทนก็งั้นๆ
หรือรอจนคุณเกษียณคุณอาจจะขาดทุนเงินต้นไปมากมาย ถ้าอยู่ในช่วงตลาดหุ้นขาลง
ระยะเวลาเกี่ยวเนื่องกับการเติบโต สถิติคือสถิติ ประวัติศาสตร์คือประวัติศาสตร์
ไม่ใช่เอามาเป็นศรัทธาในหุ้น คุณต้องมองโลกตามความเป็นจริงทั้งปัจจุบันและอนาคต
เราต้องดูหุ้นเป็นช่วงเวลาเทียบกับการพัฒนาและการเติบโตของแต่ละประเทศ
ตอนนี้ไม่เห็นมีเซียนหุ้นคนไหนบอกว่าหุ้นไทยดีเลย แรงงานแก่ตัว
ความสามารถในการแข่งขันลดลง สินค้าและอุตสาหกรรมล้าสมัย
ผลตอบแทนระยะยาวที่คาดหวังก็น่าจะน้อยกว่านั้น
จุดสำคัญของตลาดหุ้นไทยตอนนี้จึงอยู่ที่การคัดเลือกหุ้นรายตัวที่ยังเติบโตเท่านั้น
รวมทั้งต้องมีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
การลงทุนต่างประเทศจึงเป็นตัวสำคัญถ้าเราอยากได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น
แต่ก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เราควรเลือกไปลงทุนประเทศที่ยังเติบโตมีการพัฒนา
และก็ต้องทำงานหนักขึ้น ไม่ประมาท
ปล.ไม่จำเป็นที่จะต้องถือหุ้น 15-20 ปีแล้วได้ผลตอบแทนดีเสมอ จุดนี้เป็นมายาคติ
ถ้าคุณไม่เชื่อไปถามเซียนหุ้นแต่ละคนดูสิว่ายังถือหุ้นตัวเดิมอยู่ไหมเมื่อ 15-20 ปีที่แล้ว
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 27
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความรู้ในการลงทุน (ควบคู่กับความมั่นใจที่จะถือยาว)
โพสต์ที่ 3
ขอบคุณค่ะที่แชร์ความรู้ และแนวคิดดีๆค่ะTibular เขียน: ↑พุธ ต.ค. 14, 2020 10:34 amไม่เห็นด้วยกับข้อ 1 ส่วนข้ออื่นเห็นด้วย
" 1.ต้องสร้างความศรัทธาในหุ้น เป็นศรัทธาที่อิงอยู่กับประวัติและสถิติระยะยาวของตลาดหุ้น ทั้งของต่างประเทศและของไทยว่าในระยะยาวการลงทุนในหุ้นเป็นสิ่งที่ให้ผลตอบแทนงดงาม อย่างน้อยก็ 7- 8% ต่อปีทบต้นโอกาสที่จะได้ต่ำกว่านี้มีน้อยมากถ้าเราถือหุ้นที่เราซื้อ 15 ถึง 20 ปีขึ้นไป "
การยกเอาประวัติและสถิติระยะยาวของตลาดหุ้น ควรใช้แค่ประกอบการตัดสินใจเท่านั้น
แม้ว่าจะเป็นระยะยาวแค่ไหน เพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลงเสมอในช่วงเวลาต่างๆกัน
นักลงทุนคนไหนจับกระแสได้ถูกก็มักจะได้ผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำในช่วงนั้น
ถ้าใครลงทุนโดยมีแค่ศรัทธาอย่างเดียว คุณได้ถือหุ้นจนแก่แต่ผลตอบแทนก็งั้นๆ
หรือรอจนคุณเกษียณคุณอาจจะขาดทุนเงินต้นไปมากมาย ถ้าอยู่ในช่วงตลาดหุ้นขาลง
ระยะเวลาเกี่ยวเนื่องกับการเติบโต สถิติคือสถิติ ประวัติศาสตร์คือประวัติศาสตร์
ไม่ใช่เอามาเป็นศรัทธาในหุ้น คุณต้องมองโลกตามความเป็นจริงทั้งปัจจุบันและอนาคต
เราต้องดูหุ้นเป็นช่วงเวลาเทียบกับการพัฒนาและการเติบโตของแต่ละประเทศ
ตอนนี้ไม่เห็นมีเซียนหุ้นคนไหนบอกว่าหุ้นไทยดีเลย แรงงานแก่ตัว
ความสามารถในการแข่งขันลดลง สินค้าและอุตสาหกรรมล้าสมัย
ผลตอบแทนระยะยาวที่คาดหวังก็น่าจะน้อยกว่านั้น
จุดสำคัญของตลาดหุ้นไทยตอนนี้จึงอยู่ที่การคัดเลือกหุ้นรายตัวที่ยังเติบโตเท่านั้น
รวมทั้งต้องมีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
การลงทุนต่างประเทศจึงเป็นตัวสำคัญถ้าเราอยากได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น
แต่ก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เราควรเลือกไปลงทุนประเทศที่ยังเติบโตมีการพัฒนา
และก็ต้องทำงานหนักขึ้น ไม่ประมาท
ปล.ไม่จำเป็นที่จะต้องถือหุ้น 15-20 ปีแล้วได้ผลตอบแทนดีเสมอ จุดนี้เป็นมายาคติ
ถ้าคุณไม่เชื่อไปถามเซียนหุ้นแต่ละคนดูสิว่ายังถือหุ้นตัวเดิมอยู่ไหมเมื่อ 15-20 ปีที่แล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 1150
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความรู้ในการลงทุน (ควบคู่กับความมั่นใจที่จะถือยาว)
โพสต์ที่ 4
อันนี้ก็แล้วแต่ละครับ ดร.ท่านประสพความสำเร็จมาด้วยวิธีแบบนี้ ท่านก็แชร์วิธีที่ท่านสำเร็จให้ฟัง ส่วนเราจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ละครับ วิธีกำไรจากการลงทุนมันมีหลายวิธี วิธีของ ดร.ท่านทำแล้วสำเร็จแล้วแบบของท่าน
- ส.สลึง
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3750
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ความรู้ในการลงทุน (ควบคู่กับความมั่นใจที่จะถือยาว)
โพสต์ที่ 5
การมีโอกาสได้ใช้บริการ ผลิตภัณฑ์หรือสินค้าของ บมจ. จดทะเบียน
บางครั้งก็ทำให้เกิดความลำเอียง
เช่น ถ้าเราไม่ใช่กลุ่มลูกค้าของเขา เราเคยใช้บริการแล้ว
รู้สึกไม่ค่อยประทับใจ และคิดไปว่าบริษัทแบบนี้ไม่น่าจะดี
แต่ตัวบริษัทอาจจะกำลังเป็นการลงทุนที่น่าจะดีอยู่ก็ได้ ฯลฯ
บางครั้งก็ทำให้เกิดความลำเอียง
เช่น ถ้าเราไม่ใช่กลุ่มลูกค้าของเขา เราเคยใช้บริการแล้ว
รู้สึกไม่ค่อยประทับใจ และคิดไปว่าบริษัทแบบนี้ไม่น่าจะดี
แต่ตัวบริษัทอาจจะกำลังเป็นการลงทุนที่น่าจะดีอยู่ก็ได้ ฯลฯ
"วิถีรักษ์โลก บ้าน 1 หลัง รถ 1 คัน สาว 1 คน กางเกงใน 1 ตัว" <( ̄︶ ̄)> ...