Transition to New World ลงทุนอะไรดี ในปี2021
สรุป Clubhouse เด็กการเงิน x คุณอั้น BottomLiner
[สรุปสาระเต็มอิ่มกว่า 2 ชม. พร้อม Top 5 Picks ธีมและประเทศที่ชอบจากทั้งสองค่าย]
อะไรคือสิ่งที่เปลี่ยนไปจากปี 2020
อะไรคือความท้าทายในปี 2021
อะไรคือกลุ่มที่น่าสนใจ ในมุมมองของเรา ไปดูกันครับ
🥳เริ่มต้นคุยภาพเก่าที่เคยสดใสช่วงปีปลายปี 2020
1. เมื่อโลกได้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ที่ดูประนีประนอมมากขึ้น สนับสนุนนโยบายด้านพลังงานสะอาด พลังงานทดแทน (สีเขียวมาเลย) และเทรนด์รักสิ่งแวดล้อม
2. จีน อยู่ในช่วง Recovery และการจากไปของทรัมป์ ทำให้ความเสี่ยงเรื่อง Trade war ลดน้อยถอยลงไป
3. หุ้นเทคทำผลงานได้ดีต่อเนื่องทั้งปี 2020 และคาดว่ายังทำได้ดีต่อไป แพงแล้วแพงได้อีก
4. ข่าวเรื่องวัคซีนที่เริ่มจาก Pfizer ตามด้วยข่าวดี อีกหลายจ้าว
ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ตลาดหุ้นโลกมีความคึกคักและสดใสทีเดียวในช่วงปลายปี 2020 และต้นปี 2021
ความท้าทายในปี 2021 กับภาพที่เปลี่ยนไป
1. ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นมาก ถึงระดับ 60-70$ ต่อบาร์เรล
2. มีการคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของเงินเฟ้อ จะสูงกว่าที่หลายฝ่ายคาดการ Bond Yield ของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี พุ่งสูงขึ้น เนื่องจากเป็น ทรัพย์สินเสมือน Risk Free Asset มีผลตอบแทนสูงขึ้น ทำให้หุ้นเทคฯ หรือ หุ้น Growth ที่ยังมีความไม่แน่นอนของรายได้ในระยะยาว ถูกเทขาย
ผลจากประชุม FOMC เดือน มี.ค. ไม่ได้มีมาตรการเฉพาะเพื่อจัดการกับ Bond Yield และกรอบเงินเฟ้อ ทำให้ความกังวลนี้ยังคงอยู่ เราคาดว่าจะอยู่ไปอีกน้อยๆ 1 ไตรมาส จนกลับเข้าสู่สภาวะปกติ แต่ยังมีข่าวดีอยู่บ้างว่า FED มองเศรษฐกิจสหรัฐฯเติบโตได้ถึง 6.5% ต่อปี ในปีนี้ จากอานิสงค์แผนกระตุ้นเศรษฐกิจ $1.9 trillion ของรัฐบาลโจ ไบเดน และ นโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายผ่านการอัดฉีดเงินQEซื้อพันธบัตรและMortgage Back Security ของFED
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของการเพิ่มอัตราดอกเบี้ย อาจจะเร็วกว่ากำหนดไว้ในปี 2023
Bond Yield & Inflation from Bottomliner’s View:
ถ้าเรามอง Yield ขึ้น แสดงว่าราคามันปรับตัวลงมา คนที่ลงทุนในตราสารหนี้ขาดทุนส่วนหนึ่งเพราะ Yield ขึ้น จริงๆ ทาง Bottomliner ก็มองไม่ต่างกับ FED ที่คิดว่า Yield จะปรับตัวขึ้นไปที่ 3% ได้เลยนะ จากปัจจุบัน 1.6-1.7% จริงๆ แล้วมันขึ้นมาจากเพราะมันเลยจากวิกฤตมาแล้วสักพักหนึ่ง ซึ่งเวลาเกิดวิกฤต Yield ลงมาต่ำ เพราะคนแห่ซื้อ เนื่องจากคนย้ายจากสินทรัพย์เสี่ยง ไปสินทรัพย์ที่มีปลอดภัยหน่อย ประกอบกับ FED ก็ตั้งดอกเบี้ยไว้ที่ต่ำ โดย Bond Yield ที่หมดอายุ 10 ปี จะสะท้อนภาพเศรษฐกิจและเงินเฟ้อนิดนึง แต่ที่สะท้อนเงินเฟ้อเยอะคือตัว 30 ปี จริงๆ ราคาน้ำมันมีผลต่อ Bond Yield ถ้าราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างเร็วอาจจะส่งผลต่อ Bond Yield ให้ปรับตัวสูงขึ้นไปอีก
เงินเฟ้อนี่มันมาแน่นอน เพราะปีที่แล้วฐานมันต่ำ ซึ่งเงินเฟ้อนี่เกิดจากการที่ Supply มันขาด เพราะคนหยุดผลิต ข้าวของขาดแคลนไปหมด และการที่เงินเฟ้อจาก Supply ไม่พอ มันจะทำให้เงินเฟ้อมันเร็วและแรง ประกอบกับฐานต่ำอีก ซึ่งจะทำให้ Bond Yield ปรับตัวขึ้น มันจะไม่ดีต่อพวกหุ้นกู้และอสังหาริมทรัพย์
3. หลังจากการประชุมสภาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจีน กำหนดยุทธศาสตร์เติบโตอย่างมีคุณภาพ ในกรอบระยะเวลา 5 ปี กำหนดการเติบโตของ GDP เพียง 6%ต่อปี ซึ่งดูน้อย พร้อมเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบ บ. ยักษ์ใหญ่ E-Commerce หลายเจ้า ทำให้เป็นปัจจัยลบกับตลาดหุ้นจีน
4. ท่าทีของ Joe Biden และทีมงานไม่ได้อ่อนข้อให้จีนเท่าไหร่เลย อย่างที่ตลาดหวังไว้ในตอนแรก
ความเสี่ยงเรื่อง trade war เริ่มกลับมา หลังจากที่ สองรัฐบาล จีน-สหรัฐ ได้พบปะกันเป็นครั้งแรก ด้วยบรรยากาศที่ไม่ค่อยดีนัก แถมนักวิเคราะห์คาดการณ์ได้ยากว่า โจ ไบเดน จะเล่นเกมการเมืองอะไรในเวทีโลก
5. ความเข้มงวดในการตรวจสอบ บ. ที่จดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์จีน เรามองเหมือนเป็นความพยายามควบคุมให้เอกชนอยู่ในการควบคุมมากกว่า (ในระยะสั้น)
🌤 ผลกระทบต่อธีม
1. กลุ่มเทคโนโลยี จะถูกปัจจัย Bond Yield กระทบไปอีกสักพัก จนกว่าราคาน้ำมันจะอยู่ในระดับปานกลาง $55-60 ต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตามกลุ่มเทคฯอาจจะมีปัจจัยบวกอยู่บ้างจาก กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ Global Intangible Low Tax Income (GILTI) ที่จะทำให้ valuation ของกลุ่มเทคฯดูดีขึ้นมาบ้าง (ในทางบัญชี)
Tech views from Bottomliner:
หุ้นเทคลงรอบนี้ จะเห็นว่า Google / Microsoft / facebook มันแทบจะไม่ลงเลยนะ มันพึ่งมาลง ไม่เหมือนพวกหุ้นเทคขวัญใจ ARK เช่น TESLA / Roku และ Biotech ต้องบอกก่อนว่าพวกนี้มันอาจจะต้องรอนโยบายของ Biden ในบางตัวเช่น TESLA จะรอนโยบายของ Biden ที่อาจจะช่วยผลักดันราคาได้ ส่วน Chip บางตัวก็ดีและไม่ดี ตัวที่ดีก็จะลิงค์พวก EV ต้องเลือกตัวที่มีนโยบายของ Biden รองรับ โดยรวมแล้วมองว่าหุ้นมันก็จะเด้งกลับ แต่สิ่งที่ต้องจับตาคือ Biden taxes ที่จะเก็บภาษีประมาณ 28% หลังจาก Trump ปรับภาษีลงมาเหลือ 21%
2. กลุ่ม Healthcare ไม่น่าจะทำได้ดีเหมือนปี 2020 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Genomic Technology ที่พ้นระยะผ่อนปรนในช่วงคิดค้นวัคซีปี 2020ไปแล้ว
3. EV/Clean energy ราคาของหุ้นกลุ่มพลังงานสีเขียวและรถพลังงานไฟฟ้าสูงขึ้นมาก และมีการย่อตัวจากปัจจัย Bond Yield อย่างไรก็ตามต้องรอความชัดเจนในการผลักดันนโยบายพลังงานของไบเดน และปรับเป้าลด Carbon ว่าจะเข้มงวดมากแค่ไหนใน1-2ปีนี้
5 ธีมที่BottomLiner และ เด็กการเงินชอบในปี 2021
BottomLiner:
1.ส่วนประกอบ และ AI ที่ใช้ใน Edge Computing เช่นพวก Autonomous Car เช่น ปลั๊ก ชิป ที่ชาร์จ เซนเซอร์ radar lidar กล้อง A.I.
2. Clean energy เทรนด์นี้คิดว่าจะมาพร้อมการผ่านกฎหมาย แต่มองว่ากลุ่มของหุ้นมันจะเริ่ม Shift จากพวกที่ขึ้นมาร้อนแรงเช่นพวก Tesla ไปตัวที่จะได้ประโยชน์จากนโยบายมากขึ้นเช่น พวกพวก Ford & GM ที่เริ่มทำรถยนต์ไฟฟ้า จะเป็นกลุ่มทีได้เต็มๆ ตามนโยบายของ Biden ส่วน Green energy อย่างอื่น เทคโนโลยีต่างๆ รายได้มันคงไม่ได้เข้าทันที ต้องใช้เวลา ซึ่ง valuation นี้แพงไปแล้ว แม้นโยบายที่ออกอาจจะมา Subsidy ส่วนนี้ จะทำให้PE ดูดีขึ้น แต่ไม่มองว่ามันไปได้ไกลมากนัก เพราะราคาขึ้นมารอแล้ว
3. Tier-2 E-commerce ประเทศที่ได้ประโยชน์จากการที่ได้ประโยชน์ยุค digital และเป็นประเทศที่เป็น Emerging (กำลังพัฒนา) โดยเฉพาะ payment / digital
4. Connected TV ทำทีวีครบวงจร เช่น Roku ซึ่งพวกกองทุนเทคยอดนิยมมีตัวนี้
5. Re-opening economy
Re-opening economy พวกที่เสียประโยชน์จาก COVID โดยเฉพาะการท่องเที่ยว เพราะคนยังต้องเที่ยวเหมือนเดิม แต่หุ้นการท่องเที่ยวจะเสียอย่างหนึ่งคือหุ้นพวกนี้ราคามันไปแล้ว เช่นพวกหุ้นแพลตฟอร์มการท่องเที่ยว และหุ้นโรงแรม หลังโควิดบางกลุ่มจะได้รับผลกระทบจริงๆ คนอาจจะไปน้อยลง เช่นโรงหนัง คนอาจจะไม่ไปเหมือนเดิมเพราะไปดู streaming แทน ก็สามารถใช้วิธีแบบ discount 20-30% ลงมาได้ และอีกกลุ่มคืออสังหาริมทรัพย์ หรือ REIT น่าสนใจหากจบช่วง QE และหมดช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น
เด็กการเงิน:
1. โครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่ (New Infrastructure) โลกเปลี่ยนแปลงเร็วต้องมีเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานทดแทนของเดิม (Traditional Infrastructure) เช่น Renewable Energy, Energy Efficiency และ Data Center for Smart Cities
2. ธีมพลังงานสะอาด (Clean Energy) ยังคงเล่นได้ตามนโยบายประเทศยักษ์ใหญ่อย่าง USA และเป้าลด carbon emission
3. ประเทศที่น่าสนใจ ไม่ได้รับผลกระทบจาก trade war อย่าง อินเดีย ที่มีเป้า GDP Growth สูงที่สุด ใน 1-2 ปีนี้ ประชากรอยู่ในวัยแรงงาน มีกำลังบริโภค ข้อเสียคือเป็นประเทศที่นำเข้าน้ำมันเยอะมาก ทำให้มีเงินเฟ้อสูง และค่าเงินด้อยค่าเร็ว ค่าเงินที่ไปลงทุนในอินเดียอาจจะอ่อนค่า ต้องลงทุนในกองอินเดียที่มีการป้องกันความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน อีกทั้ง India ผลตอบแทนปีที่แล้วก็แรงไม่แพ้จีน
4. เวียดนาม ประชากรก็อายุน้อยเหมือนอินเดีย อยู่ใน frontier market ทำให้สภาพคล่องน้อย และมีรัฐบาลแทรก ต้องบอกว่าเวียดนามก็เหมือนประเทศไทย 10 ปีที่แล้ว เวียดนามมีข้อเสียคือมี foreign limit ของนักลงทุน ทำให้ต้องเข้าลงทุนตัว ETF ที่ไม่ติดข้อจำกัดนี้แทน บางกองในไทยมีลงผ่าน ETF บ้าง
5. ไทย โดยเฉพาะ REIT น่าสนใจเพราะมองว่าผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และจะได้ประโยชน์จากการเปิดเมืองและวัคซีน โดยเราชอบพวกสนามบิน ท่องเที่ยว โดยจริงๆแอบชอบ media ในช่วงเศรษฐกิจบูม จะมีเงินไหลเข้ากลุ่มนี้แบบพีคๆ
เด็กการเงินยังมอง ประเทศจีน มีความน่าสนใจและน่าสะสมจาก GDP ที่ตลาดคาด 8-9% ถึงแม้ปีที่แล้ว GDP ก็เป็นบวก ไม่เหมือนประเทศอื่นที่ติดลบ แล้วปีที่กลับมาโต นั่นหมายความจีนทำได้ดีมากๆ โดยราคาที่ปรับตัวลงมาส่งผลให้พีอีลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจกว่ายุโรปที่แม้จะถูก แต่จีนถูกกว่าและมี ROE ในระดับสูงกว่า
สรุปช่วง Q&A
คุยถึงโอกาสของ Fuel cell จะมาแซง EV แบบไฟฟ้าปกติได้หรือไม่ โดย EV เองก็ออกตลาดมาสักพักนึงแล้ว ถ้ามาดูกว่ามัน Hydrogen จะเป็น sizeable คือหลังปี 2025 มีหลายรัฐบาลให้ความสนับสนุน EV แต่มันไม่ได้จำกัดแค่ Pure EV นะ EV มันมีหลายรูปแบบ อีกปัจจัยหนึ่ง ถ้ามันราคาถูกเนี่ยจะทำให้อาจจะเป็นตัวขัดขา EV ได้เหมือนกัน แต่มีอีกสมมติฐานหนึ่งว่า Biden เขาก็พยายามให้ราคาน้ำมันสูง เพื่อให้คนหันมา EV มากขึ้น
Fuel cell อาจจะไปใช้กับรถขนาดใหญ่แทน เพราะรถขนาดใหญ่ขึ้นไม่เหมาะใช้ Battery เนื่องจากขนาดและความจุ ตอนนี้จริงๆ มีช่องวางในตลาดอยู่เหมือนกัน
เข้มข้นมากกกก หวังว่าทุกคนได้อะไรไปไม่มากก็น้อยเนอะ
ศ 26 นี้ พบกับ "Megatrends ลงทุนระยะยาว 3-5 ปี"
กับคุณจูเนียร์ INDEGO (Robowealth)
Clubhouse เวลาเดิม 21.00
----------------------------------------------
Facebook เด็กการเงิน DekFinance
FB Group https://www.facebook.com/groups/2881645572091138
Blockdit https://www.blockdit.com/dekfinance
Transition to New World ลงทุนอะไรดี ในปี2021
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1399
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Transition to New World ลงทุนอะไรดี ในปี2021
โพสต์ที่ 2
ขอออกความเห็นเพิ่มนะครับ (เสียดายไม่ได้ฟังเพราะไม่มี club house)
- green hydrogen ตอนนี้เป็นช่วงเริ่มต้น หุ้นพลังงานในจีนที่ผมลงทุนเริ่มนำแผนการพัฒนา hydrogen มาใช้แล้วครับมีเงินลงทุนตรงนี้ใหญ่ขึ้น รัฐบาลจีนก็สนับสนุน
- ในยุโรปถือว่า (green) hydrogen สะอาดกว่า BEV และนำไปใช้ในรถบรรทุกซึ่งจะเป็นข้อได้เปรียบ BEV
- ตอนนี้ประสิทธิภาพของ green hydrogen มันต่ำกว่า batt มากไป ดังนั้นเรื่องต้นทุนต่อหน่วยในการขับเคลื่อนรถยนต์ขนาดเล็ก สู้ batt ไม่ได้ แต่ถ้าประสิทธิภาพขึ้นมาต่ำกว่า batt 10% จะทำให้ hydrogen ชนะขาด ในแทบทุกๆด้าน
- hydrogen นำไปใช้ในเครื่องบินได้ แต่ batt มีอุปสรรค์เรื่องน้ำหนัก
- hydrogen คือธาตุที่มีมากที่สุดในจักรวาล มันคือพลังงานที่ "ผู้สร้าง" เจตนาให้มนุษย์นำมันไปใช้มากที่สุด แต่ batt ก็เป็นส่วนสำคัญในเรื่องการเก็บพลังงานไฟฟ้า ดังนั้นการที่มนุษย์จะไปตั้งอาณานิคมในดาวอื่น hydrogen ดูเหมาะสม และการขับเคลื่อนยานในอวกาศใช้หลักของโมเมนตัม ใช้ batt โดยตรงไม่ได้
- แผนการใช้ renewable นั้นมีมานานแล้ว ไม่ว่า trump จะชนะหรือแพ้การเลือกตั้งก็ไม่อาจจะเป็นนโยบายได้ zero-emission ยังคงวางไว้เหมือนเดิม (จีน 2060)
- จีนเขียนแผน 5ปีฉบับที่ 14 ไว้น่าสนใจ transformation จากปริมาณไปสู้คุณภาพ มีกิจการหลากหลายที่จะเติบโต โดยเฉพาะสิ่งแวดล้อมและ smart city
- ผมไม่เห็นด้วยนะว่าจีนมี ROE สูง ผมมองว่าโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับกลางเท่านั้น และการแทรกแซงจากรัฐนั้นทำให้หลายกิจการทำROEต่ำกว่าประเทศอื่นๆ แต่ข้อดีคือการแข่งขันไม่รุนแรง(ในบาง sector) แต่ก็มีคู่แข่งจำนวนมาก(มาย)
- smart city อาจจะมา disrupt รถEV ทั้งหลายที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติ เพราะการใช้การควบคุมศูนย์เดียวจะทำให้ ความปลอยภัย,การขับเคลื่อนอัตโนมัติ, การใช้ public transportation ได้ผลดีขึ้นมาก ซึ่ง 5-6G จะเป็นตัวช่วยในเรื่องนี้ , tower ก็ได้ประโยชน์
- มีหลายเรื่องครับอยากเล่า แต่พิมพ์ยากเกิน
- green hydrogen ตอนนี้เป็นช่วงเริ่มต้น หุ้นพลังงานในจีนที่ผมลงทุนเริ่มนำแผนการพัฒนา hydrogen มาใช้แล้วครับมีเงินลงทุนตรงนี้ใหญ่ขึ้น รัฐบาลจีนก็สนับสนุน
- ในยุโรปถือว่า (green) hydrogen สะอาดกว่า BEV และนำไปใช้ในรถบรรทุกซึ่งจะเป็นข้อได้เปรียบ BEV
- ตอนนี้ประสิทธิภาพของ green hydrogen มันต่ำกว่า batt มากไป ดังนั้นเรื่องต้นทุนต่อหน่วยในการขับเคลื่อนรถยนต์ขนาดเล็ก สู้ batt ไม่ได้ แต่ถ้าประสิทธิภาพขึ้นมาต่ำกว่า batt 10% จะทำให้ hydrogen ชนะขาด ในแทบทุกๆด้าน
- hydrogen นำไปใช้ในเครื่องบินได้ แต่ batt มีอุปสรรค์เรื่องน้ำหนัก
- hydrogen คือธาตุที่มีมากที่สุดในจักรวาล มันคือพลังงานที่ "ผู้สร้าง" เจตนาให้มนุษย์นำมันไปใช้มากที่สุด แต่ batt ก็เป็นส่วนสำคัญในเรื่องการเก็บพลังงานไฟฟ้า ดังนั้นการที่มนุษย์จะไปตั้งอาณานิคมในดาวอื่น hydrogen ดูเหมาะสม และการขับเคลื่อนยานในอวกาศใช้หลักของโมเมนตัม ใช้ batt โดยตรงไม่ได้
- แผนการใช้ renewable นั้นมีมานานแล้ว ไม่ว่า trump จะชนะหรือแพ้การเลือกตั้งก็ไม่อาจจะเป็นนโยบายได้ zero-emission ยังคงวางไว้เหมือนเดิม (จีน 2060)
- จีนเขียนแผน 5ปีฉบับที่ 14 ไว้น่าสนใจ transformation จากปริมาณไปสู้คุณภาพ มีกิจการหลากหลายที่จะเติบโต โดยเฉพาะสิ่งแวดล้อมและ smart city
- ผมไม่เห็นด้วยนะว่าจีนมี ROE สูง ผมมองว่าโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับกลางเท่านั้น และการแทรกแซงจากรัฐนั้นทำให้หลายกิจการทำROEต่ำกว่าประเทศอื่นๆ แต่ข้อดีคือการแข่งขันไม่รุนแรง(ในบาง sector) แต่ก็มีคู่แข่งจำนวนมาก(มาย)
- smart city อาจจะมา disrupt รถEV ทั้งหลายที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติ เพราะการใช้การควบคุมศูนย์เดียวจะทำให้ ความปลอยภัย,การขับเคลื่อนอัตโนมัติ, การใช้ public transportation ได้ผลดีขึ้นมาก ซึ่ง 5-6G จะเป็นตัวช่วยในเรื่องนี้ , tower ก็ได้ประโยชน์
- มีหลายเรื่องครับอยากเล่า แต่พิมพ์ยากเกิน
มาคุยกันได้ที่นี่ครับ https://www.facebook.com/value.investing.freedom