คุณยังใส่หน้ากากอยู่หรือเปล่า? เราเป็นแกะดำหรือแกะสีขาว?
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
คุณยังใส่หน้ากากอยู่หรือเปล่า? เราเป็นแกะดำหรือแกะสีขาว?
โพสต์ที่ 1
ทุกวันนี้เวลาคุณออกไปนอกบ้าน คุณยังใส่หน้ากากอยู่ไหม?
สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ อะไรคือเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังกันแน่?
เราใส่หน้ากาก เพราะ เราต้องการป้องกัน COVID หรือเราใส่หน้ากาก เพราะ คนอื่นๆ ก็ใส่กัน
แล้วถ้าเราใส่หน้ากากเพราะเราต้องการป้องกัน COVID และผลของงานวิจัยชัดเจนแล้วว่าจากวัคซีนที่เราได้รับไปแล้ว ระดับ Exposure ของเราที่อยู่ในสังคมในช่วงที่ผ่านมา ปริมาณเตียงที่ว่าง บุคลากร และปริมาณยารักษาโรคในปัจจุบัน ตลอดจนข้อมูลของพฤติกรรมของคนที่ต่างประเทศที่เป็นตัวอย่างชัดเจนที่ไม่ใส่หน้ากากก็ปลอดภัยดี ทำให้เรามีข้อสรุปว่า ถึงเราไม่ใส่หน้ากาก เราก็จะปลอดภัยดี ไม่เป็นอะไรแน่ๆ อีกทั้งรัฐบาลก็ให้ใส่หน้ากากโดยความสมัครใจ
แต่เรายังใส่หน้ากากอยู่หรือไม่?
.....
สำหรับผมแล้ว ผมไม่ใส่ครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่ใส่แค่ตอนไปต่างประเทศนะครับ หรือตอนอยู่บ้านนะครับ ตอนผมไปเดินห้าง ผมก็ไม่ใส่ครับ
.....
ผมอยาก in trend กับเค้าบ้างในเรื่อง Black Swan แต่เป็นได้แค่ Black Sheep เพราะ ตัวอ้วนกลมไม่ผอมเพรียวแบบคนอื่นเค้า
เห็นกระแสของนักลงทุนในช่วงนี้ (ซึ่งเป็นการจับกระแสแบบมโนๆ เพราะ ผมไม่ได้เข้าสังคม) เหมือนว่า ช่วงนี้ คนขายหุ้นเทคไป Cut ทัน หนีออกจากตลาดได้สำเร็จ เหมือนจะเป็นคนหล่อ แล้วก็ออกมาเคลมตัวเองกันใหญ่ว่า "I told you so" ในขณะที่คนที่ตัดใจ Cut ไป ก็ออกมาบอกว่า โชคดีจัง ที่ได้ พี่ XXX มาเตือนเอาไว้
ช่วงที่ผ่านมาผมสนใจศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง Gene พฤติกรรมของมนุษย์ แล้วก็ได้ข้อสรุปว่า ทำไมการไม่ใส่หน้ากาก ถึงเป็นเรื่องยากมากในสังคม เอเชีย ผมพึ่งไปญี่ปุ่นกลับมา อย่างที่ญี่ปุ่นนี่ใส่หน้ากากกันหนักกว่าบ้านเราอีก น่าจะ 99% ได้เลย ในขณะที่ New Zealand นี่ ยกเลิกกฎเกณฑ์ทุกอย่างหมดแล้ว ไม่ต้องฉีดวัคซีนก็มาเที่ยวได้เลย ทุกอย่างเหมือนปกติหมด ให้ใส่หน้ากากแค่ตอนเข้าสถานพยาบาล
ข้อสรุปที่ผมได้ คือ สังคมเอเชียเป็นสังคมปลูกข้าว การทำตามๆ กันในสังคมเป็นเรื่องใหญ่มาก ในขณะที่สังคมอยู่ อเมริกา หรือ New Zealand เป็นสังคมเกิดจากคนที่อพยพเข้ามาอยู่ ความเป็นปัจเจกจะสูงกว่า
......
ในเชิงพฤติกรรมที่ถูกฝังถูกสั่งสมมาใน DNA ของเรา ที่พัฒนามาจากสัตว์ การที่ไม่ทำตามฝูงจะหมายถึงความตาย แม้ว่าเทคโนโลยีในยุคนี้จะเอื้อประโยชน์ต่อ Individualist มากๆ แล้ว ที่ถึงแม้เราจะไม่ทำตามฝูงจะไม่ทำให้เราอดตายแน่ๆ แต่ DNA และระบบสังคมของเรามันเปลี่ยนไม่ทัน การไม่ทำตามคนอื่นทำให้เรารู้สึกเหมือนจะตายให้ได้ และรู้สึกผิดสุดๆ
ใช่ครับ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองทำผิดเล็กๆ อยู่ทุกครั้ง เวลาไม่ใส่หน้ากากออกไปข้างนอก ทั้งๆ ที่การใส่หน้ากากทุกวันนี้ไม่มีเหตุผลและประโยชน์ในทางการแพทย์เลย แต่ผมก็ยังรู้สึกผิด รู้สึกแปลกๆ ทุกครั้งที่ไม่ใส่หน้ากาก เดินอยู่ท่ามกลางฝูงคนที่ใส่หน้ากากกัน ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าเป็นการฝึกตัวเอง ที่จะโลภในยามที่คนอื่นกลัว และกลัวในยามที่คนอื่นโลภ ที่นักลงทุนเก่งๆ ระดับตำนานเค้าแนะนำมา
ผมมีความคิดว่าถ้าผมไม่ฝึกตัวเองที่จะฝืนกระแสของสังคม เราจะถูกสังคม Drive เราให้ไปถึงจุดที่อาจถึงแก่ความตายได้ อย่างเหตุการณ์ล่าสุดที่ Itaewon เกาหลีใต้ หากพิจารณาอย่างลึกซึ้งแล้ว จะพบว่าไม่มีใครอยากจะไปอยู่ในเหตุการณ์ที่มีความเสี่ยงแบบนั้น แต่จุดเริ่มต้นมันเกิดจากการอยากจะรวมฝูง เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญของฝูง และเมื่อความเก็บกดจาก COVID กลายเป็น Pent-Up Demand การอยากเป็นคนโดดเด่นมีตัวจนจาก Self-Esteem บวกกับ Social Media ทำให้เกิดการรวมตัวกันขึ้นในพื้นที่ที่ไม่รองรับปริมาณคนขนาดนี้ หายนะที่ไม่มีใครอยากให้เกิดจึงเกิดขึ้น
คล้ายๆ กับฟองสบู่หุ้น Tech ที่พึ่งแตกไป
.....
ผมยังจำได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2020 ผมได้มีเขียนอะไรสักอย่างใน ThaiVI ถึงฟองสบู่ในหุ้น Tech และมีเตือนๆ เกี่ยวกับการจะถือหุ้น Tech ก็เตรียมๆ ใจหน่อยนะ ที่จะเจอ Drawdown ขนาด 90% ผ่านการแชร์บทความเกี่ยวกับหุ้น Amazon ที่ว่าเวลาเห็นในกระดาษว่า Drawdown 90% แต่ก็กลับมาขึ้นได้เป็น 100 เท่า อารมณ์ความรู้สึกจริงมันยากมากๆ และทำจริงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ผมจำได้ว่าช่วงนั้นมีโอกาสได้คุยกับน้องแดม อารมณ์ ณ ขณะนั้น เหมือนกับว่าเค้าจะเตือนสิ่งที่ผมเขียน เพราะ ผมเป็นคนมีหัวโขนจากการที่เป็นนักลงทุนใน Thai VI คนแรกๆ ที่เริ่มไปลงทุนหุ้นเทคก่อน ดังนั้นการที่ผมไปเขียนแบบนั้น เหมือนไปขัดลาภคนอื่นคนเค้า
ผมก็ได้แต่อธิบายว่า ผมไม่ได้บอกว่าฟองสบู่ไม่ดีนะ ถ้าเราสามารถเกาะฟองสบู่ขึ้นไปได้จะเป็นช่วงที่เราจะรวยเร็วมาก รวยเร็วสุดๆ ไปเลย แต่มันก็ควรระวังเอาไว้ เวลาออกจะได้ออกทัน เพราะ จริงอยู่ว่าถ้ามันเป็น Next Amazon ในระยะยาวมูลค่ามันก็สูงกว่านี้แหละ แต่มนุษย์โดยส่วนใหญ่ เราทน Drawdown กันไม่ไหวหรอก
ยิ่งเราเป็นคนที่ใส่หน้ากากตามคนอื่นแล้วด้วย อย่าคิดว่าเราจะไหวเลย ตัวผมเองเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมกลยุทธ์เอาไว้แล้ว ผมยังแทบจะไม่ไหวเลย ยังมีหน้ากากอยู่ในกระเป๋า และบางทีเผลอๆ ทนไม่ไหวจริงๆ ยังต้องหยิบมันขึ้นมาใส่เลย
ความบีบคั้นที่เกิดขึ้น มันรุนแรงมาก การที่จะรู้จักตัวเอง ลดความเครียด แรงกดดัน การเลือกรับอารมณ์ การปรับพอร์ต การปรับกลยุทธ์ การรักษาใจ กับเหตุการณ์ Black Swan แบบนี้ ยากมากๆ เลยครับ ถ้าคุณคิดว่าการลงทุนนี้ เพื่อกำไร และ อนาคต
ผมยังมีหุ้นเทคอยู่เต็มพอร์ต เพราะ ผมแค่ใช้การลงทุนเป็นเครื่องมือในการฝึกจิต เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้โลก ผมเลยยังรอดมาได้อยู่ ผมยังคงสนุกกับการผจญภัยและการเดินทาง ผมเลยยังสนุกกับความเสียหายที่เกิดขึ้น และสนุกกับการได้เรียนรู้จากความเสียหายได้
แต่ถ้าผมลงทุนเพื่อกำไร เพื่ออนาคต ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะทนได้ขนาดนี้ไหม?
.....
ผมไม่ได้เข้าไปฟังในงาน Black Swan ที่ Thai VI พึ่งจัดขึ้นไป ได้อ่านสรุปแบบคร่าวๆ มากๆ แต่ก็ได้ข้อสรุปเหมือนเดิมว่า ไม่มีการคุยเรื่องการ Valuation
ในขณะที่ฝูงกำลังวิ่งไปกับตลาด Tech ขาขึ้น ถ้าคุณเรียนเรื่องการทำ Valuation กิจการที่เป็น Young Growth กับ อ. Damodaran แล้วอ่านหนังสือเรื่อง Expectation Investing ของ อ. Mauboussin แล้วคุณทำการหา Fundamental ที่สะท้อนออกมาราคาที่ซื้อขายในตลาดในช่วงที่ฝูงกระทิงกำลังบ้าคลั่ง คุณจะพบว่า Implied Growth ของหลายๆ บริษัทในระยะ 5 ปี ขึ้นไปไกลกันถึง 45-50% กันเลยทีเดียว ซึ่งบริษัทที่ทำให้จริงๆ จากข้อมูลทางสถิตินี้มีน้อยมาก น้อยยิ่งกว่าน้อย แต่ในตลาดตอนนั้นมีหุ้นแบบนี้เยอะมาก
ซึ่งถ้าเราใช้ Big Data ทำการวิเคราะห์ทางสถิติ หรือไปลองหาค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม หรือไปดูบริษัทที่เป็น Outlier ในอดีต จะพบว่าพื้นฐานที่สะท้อนออกมาผ่านราคามันเกินจริงไปมาก และทุกคนก็ยังเชียร์ซื้อกันอย่างบ้าคลั่งต่อไป
ในขณะที่ถ้าเราทำสิ่งเดียวกันในตอนนี้กับราคา เราจะพบว่ากิจการหลายๆ กิจการที่เคย Implied Growth ที่ระดับ 45-50% ในอดีต ปัจจุบัน กระท้อนการเติบโตที่ 10% หรือต่ำกว่า ทั้งๆ ที่กิจการเหล่านี้กำลังจะเปลี่ยนโลก เปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตของคนในระยะยาว การเติบโตในระดับ 15-20% นี่น่าจะทำได้สบายๆ ผลของ Bullwhip Effect และอารมณ์ของตลาด บิดเบือนการรับรู้ และ ราคาไปมาก
อ. Damodaran สอนผมว่า กิจการใหญ่ๆ Macro Economic มีผลกับกิจการมากกว่า Micro Economic ในขณะที่กิจการเล็กๆ Micro มีผลมากกว่า Macro
ฝูงในขณะนี้กำลังบอกว่าคนขายหุ้นเทค ไม่มีหุ้นเทคเป็นคนที่หล่อ
ฝูงกำลังบอกว่า Macro มีผลมากกว่า Micro
ฝูงกำลัง Drive ราคาไปอีกข้างหนึ่ง ที่ Implied Fundamental Factor กำลังบิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไปจาก Base Rate
....
ถ้าคุณไม่เห็นโอกาสที่กำลังเกิดขึ้น ให้เริ่มต้นจากการถอดหน้ากากในที่สาธารณะครับ
ถ้าถอดได้สำเร็จแล้ว เรามาเริ่มทำ Valuation กันเถอะครับ คุยเรื่อง Valuation ให้มากกว่า Macro Economic เราเป็น Value Investor นะครับ ไม่ใช่ Macro Economist
สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ อะไรคือเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังกันแน่?
เราใส่หน้ากาก เพราะ เราต้องการป้องกัน COVID หรือเราใส่หน้ากาก เพราะ คนอื่นๆ ก็ใส่กัน
แล้วถ้าเราใส่หน้ากากเพราะเราต้องการป้องกัน COVID และผลของงานวิจัยชัดเจนแล้วว่าจากวัคซีนที่เราได้รับไปแล้ว ระดับ Exposure ของเราที่อยู่ในสังคมในช่วงที่ผ่านมา ปริมาณเตียงที่ว่าง บุคลากร และปริมาณยารักษาโรคในปัจจุบัน ตลอดจนข้อมูลของพฤติกรรมของคนที่ต่างประเทศที่เป็นตัวอย่างชัดเจนที่ไม่ใส่หน้ากากก็ปลอดภัยดี ทำให้เรามีข้อสรุปว่า ถึงเราไม่ใส่หน้ากาก เราก็จะปลอดภัยดี ไม่เป็นอะไรแน่ๆ อีกทั้งรัฐบาลก็ให้ใส่หน้ากากโดยความสมัครใจ
แต่เรายังใส่หน้ากากอยู่หรือไม่?
.....
สำหรับผมแล้ว ผมไม่ใส่ครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่ใส่แค่ตอนไปต่างประเทศนะครับ หรือตอนอยู่บ้านนะครับ ตอนผมไปเดินห้าง ผมก็ไม่ใส่ครับ
.....
ผมอยาก in trend กับเค้าบ้างในเรื่อง Black Swan แต่เป็นได้แค่ Black Sheep เพราะ ตัวอ้วนกลมไม่ผอมเพรียวแบบคนอื่นเค้า
เห็นกระแสของนักลงทุนในช่วงนี้ (ซึ่งเป็นการจับกระแสแบบมโนๆ เพราะ ผมไม่ได้เข้าสังคม) เหมือนว่า ช่วงนี้ คนขายหุ้นเทคไป Cut ทัน หนีออกจากตลาดได้สำเร็จ เหมือนจะเป็นคนหล่อ แล้วก็ออกมาเคลมตัวเองกันใหญ่ว่า "I told you so" ในขณะที่คนที่ตัดใจ Cut ไป ก็ออกมาบอกว่า โชคดีจัง ที่ได้ พี่ XXX มาเตือนเอาไว้
ช่วงที่ผ่านมาผมสนใจศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง Gene พฤติกรรมของมนุษย์ แล้วก็ได้ข้อสรุปว่า ทำไมการไม่ใส่หน้ากาก ถึงเป็นเรื่องยากมากในสังคม เอเชีย ผมพึ่งไปญี่ปุ่นกลับมา อย่างที่ญี่ปุ่นนี่ใส่หน้ากากกันหนักกว่าบ้านเราอีก น่าจะ 99% ได้เลย ในขณะที่ New Zealand นี่ ยกเลิกกฎเกณฑ์ทุกอย่างหมดแล้ว ไม่ต้องฉีดวัคซีนก็มาเที่ยวได้เลย ทุกอย่างเหมือนปกติหมด ให้ใส่หน้ากากแค่ตอนเข้าสถานพยาบาล
ข้อสรุปที่ผมได้ คือ สังคมเอเชียเป็นสังคมปลูกข้าว การทำตามๆ กันในสังคมเป็นเรื่องใหญ่มาก ในขณะที่สังคมอยู่ อเมริกา หรือ New Zealand เป็นสังคมเกิดจากคนที่อพยพเข้ามาอยู่ ความเป็นปัจเจกจะสูงกว่า
......
ในเชิงพฤติกรรมที่ถูกฝังถูกสั่งสมมาใน DNA ของเรา ที่พัฒนามาจากสัตว์ การที่ไม่ทำตามฝูงจะหมายถึงความตาย แม้ว่าเทคโนโลยีในยุคนี้จะเอื้อประโยชน์ต่อ Individualist มากๆ แล้ว ที่ถึงแม้เราจะไม่ทำตามฝูงจะไม่ทำให้เราอดตายแน่ๆ แต่ DNA และระบบสังคมของเรามันเปลี่ยนไม่ทัน การไม่ทำตามคนอื่นทำให้เรารู้สึกเหมือนจะตายให้ได้ และรู้สึกผิดสุดๆ
ใช่ครับ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองทำผิดเล็กๆ อยู่ทุกครั้ง เวลาไม่ใส่หน้ากากออกไปข้างนอก ทั้งๆ ที่การใส่หน้ากากทุกวันนี้ไม่มีเหตุผลและประโยชน์ในทางการแพทย์เลย แต่ผมก็ยังรู้สึกผิด รู้สึกแปลกๆ ทุกครั้งที่ไม่ใส่หน้ากาก เดินอยู่ท่ามกลางฝูงคนที่ใส่หน้ากากกัน ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าเป็นการฝึกตัวเอง ที่จะโลภในยามที่คนอื่นกลัว และกลัวในยามที่คนอื่นโลภ ที่นักลงทุนเก่งๆ ระดับตำนานเค้าแนะนำมา
ผมมีความคิดว่าถ้าผมไม่ฝึกตัวเองที่จะฝืนกระแสของสังคม เราจะถูกสังคม Drive เราให้ไปถึงจุดที่อาจถึงแก่ความตายได้ อย่างเหตุการณ์ล่าสุดที่ Itaewon เกาหลีใต้ หากพิจารณาอย่างลึกซึ้งแล้ว จะพบว่าไม่มีใครอยากจะไปอยู่ในเหตุการณ์ที่มีความเสี่ยงแบบนั้น แต่จุดเริ่มต้นมันเกิดจากการอยากจะรวมฝูง เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญของฝูง และเมื่อความเก็บกดจาก COVID กลายเป็น Pent-Up Demand การอยากเป็นคนโดดเด่นมีตัวจนจาก Self-Esteem บวกกับ Social Media ทำให้เกิดการรวมตัวกันขึ้นในพื้นที่ที่ไม่รองรับปริมาณคนขนาดนี้ หายนะที่ไม่มีใครอยากให้เกิดจึงเกิดขึ้น
คล้ายๆ กับฟองสบู่หุ้น Tech ที่พึ่งแตกไป
.....
ผมยังจำได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2020 ผมได้มีเขียนอะไรสักอย่างใน ThaiVI ถึงฟองสบู่ในหุ้น Tech และมีเตือนๆ เกี่ยวกับการจะถือหุ้น Tech ก็เตรียมๆ ใจหน่อยนะ ที่จะเจอ Drawdown ขนาด 90% ผ่านการแชร์บทความเกี่ยวกับหุ้น Amazon ที่ว่าเวลาเห็นในกระดาษว่า Drawdown 90% แต่ก็กลับมาขึ้นได้เป็น 100 เท่า อารมณ์ความรู้สึกจริงมันยากมากๆ และทำจริงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ผมจำได้ว่าช่วงนั้นมีโอกาสได้คุยกับน้องแดม อารมณ์ ณ ขณะนั้น เหมือนกับว่าเค้าจะเตือนสิ่งที่ผมเขียน เพราะ ผมเป็นคนมีหัวโขนจากการที่เป็นนักลงทุนใน Thai VI คนแรกๆ ที่เริ่มไปลงทุนหุ้นเทคก่อน ดังนั้นการที่ผมไปเขียนแบบนั้น เหมือนไปขัดลาภคนอื่นคนเค้า
ผมก็ได้แต่อธิบายว่า ผมไม่ได้บอกว่าฟองสบู่ไม่ดีนะ ถ้าเราสามารถเกาะฟองสบู่ขึ้นไปได้จะเป็นช่วงที่เราจะรวยเร็วมาก รวยเร็วสุดๆ ไปเลย แต่มันก็ควรระวังเอาไว้ เวลาออกจะได้ออกทัน เพราะ จริงอยู่ว่าถ้ามันเป็น Next Amazon ในระยะยาวมูลค่ามันก็สูงกว่านี้แหละ แต่มนุษย์โดยส่วนใหญ่ เราทน Drawdown กันไม่ไหวหรอก
ยิ่งเราเป็นคนที่ใส่หน้ากากตามคนอื่นแล้วด้วย อย่าคิดว่าเราจะไหวเลย ตัวผมเองเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมกลยุทธ์เอาไว้แล้ว ผมยังแทบจะไม่ไหวเลย ยังมีหน้ากากอยู่ในกระเป๋า และบางทีเผลอๆ ทนไม่ไหวจริงๆ ยังต้องหยิบมันขึ้นมาใส่เลย
ความบีบคั้นที่เกิดขึ้น มันรุนแรงมาก การที่จะรู้จักตัวเอง ลดความเครียด แรงกดดัน การเลือกรับอารมณ์ การปรับพอร์ต การปรับกลยุทธ์ การรักษาใจ กับเหตุการณ์ Black Swan แบบนี้ ยากมากๆ เลยครับ ถ้าคุณคิดว่าการลงทุนนี้ เพื่อกำไร และ อนาคต
ผมยังมีหุ้นเทคอยู่เต็มพอร์ต เพราะ ผมแค่ใช้การลงทุนเป็นเครื่องมือในการฝึกจิต เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้โลก ผมเลยยังรอดมาได้อยู่ ผมยังคงสนุกกับการผจญภัยและการเดินทาง ผมเลยยังสนุกกับความเสียหายที่เกิดขึ้น และสนุกกับการได้เรียนรู้จากความเสียหายได้
แต่ถ้าผมลงทุนเพื่อกำไร เพื่ออนาคต ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะทนได้ขนาดนี้ไหม?
.....
ผมไม่ได้เข้าไปฟังในงาน Black Swan ที่ Thai VI พึ่งจัดขึ้นไป ได้อ่านสรุปแบบคร่าวๆ มากๆ แต่ก็ได้ข้อสรุปเหมือนเดิมว่า ไม่มีการคุยเรื่องการ Valuation
ในขณะที่ฝูงกำลังวิ่งไปกับตลาด Tech ขาขึ้น ถ้าคุณเรียนเรื่องการทำ Valuation กิจการที่เป็น Young Growth กับ อ. Damodaran แล้วอ่านหนังสือเรื่อง Expectation Investing ของ อ. Mauboussin แล้วคุณทำการหา Fundamental ที่สะท้อนออกมาราคาที่ซื้อขายในตลาดในช่วงที่ฝูงกระทิงกำลังบ้าคลั่ง คุณจะพบว่า Implied Growth ของหลายๆ บริษัทในระยะ 5 ปี ขึ้นไปไกลกันถึง 45-50% กันเลยทีเดียว ซึ่งบริษัทที่ทำให้จริงๆ จากข้อมูลทางสถิตินี้มีน้อยมาก น้อยยิ่งกว่าน้อย แต่ในตลาดตอนนั้นมีหุ้นแบบนี้เยอะมาก
ซึ่งถ้าเราใช้ Big Data ทำการวิเคราะห์ทางสถิติ หรือไปลองหาค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม หรือไปดูบริษัทที่เป็น Outlier ในอดีต จะพบว่าพื้นฐานที่สะท้อนออกมาผ่านราคามันเกินจริงไปมาก และทุกคนก็ยังเชียร์ซื้อกันอย่างบ้าคลั่งต่อไป
ในขณะที่ถ้าเราทำสิ่งเดียวกันในตอนนี้กับราคา เราจะพบว่ากิจการหลายๆ กิจการที่เคย Implied Growth ที่ระดับ 45-50% ในอดีต ปัจจุบัน กระท้อนการเติบโตที่ 10% หรือต่ำกว่า ทั้งๆ ที่กิจการเหล่านี้กำลังจะเปลี่ยนโลก เปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตของคนในระยะยาว การเติบโตในระดับ 15-20% นี่น่าจะทำได้สบายๆ ผลของ Bullwhip Effect และอารมณ์ของตลาด บิดเบือนการรับรู้ และ ราคาไปมาก
อ. Damodaran สอนผมว่า กิจการใหญ่ๆ Macro Economic มีผลกับกิจการมากกว่า Micro Economic ในขณะที่กิจการเล็กๆ Micro มีผลมากกว่า Macro
ฝูงในขณะนี้กำลังบอกว่าคนขายหุ้นเทค ไม่มีหุ้นเทคเป็นคนที่หล่อ
ฝูงกำลังบอกว่า Macro มีผลมากกว่า Micro
ฝูงกำลัง Drive ราคาไปอีกข้างหนึ่ง ที่ Implied Fundamental Factor กำลังบิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไปจาก Base Rate
....
ถ้าคุณไม่เห็นโอกาสที่กำลังเกิดขึ้น ให้เริ่มต้นจากการถอดหน้ากากในที่สาธารณะครับ
ถ้าถอดได้สำเร็จแล้ว เรามาเริ่มทำ Valuation กันเถอะครับ คุยเรื่อง Valuation ให้มากกว่า Macro Economic เราเป็น Value Investor นะครับ ไม่ใช่ Macro Economist
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- Verified User
- โพสต์: 42
- ผู้ติดตาม: 1
Re: คุณยังใส่หน้ากากอยู่หรือเปล่า? เราเป็นแกะดำหรือแกะสีขาว?
โพสต์ที่ 2
ขอบคุณครับอ.ตี่ ที่เข้ามาทักทายและให้ข้อคิดใน Thai VI ช่วยกระตุ้นให้ผมคัดหาหุ้นที่มันจะกลับมาโตได้หลังจาก Bull Whip Effect นี้ แต่ต้องบอกว่า พอ growth มันชะลอเยอะๆ ก็ยังเสียวๆ อยู่เลยครับว่ามันจะกลับมาโตได้แค่ไหน ยกตัวอย่างเช่น Shopify เป็นต้น (ถ้าใครมีตัวไหนที่คิดว่า return กลับมาโตแบบ precovid ได้กระซิบมานิดนึงนะครับ 555)
เรื่องพอร์ต เท่าที่ผมเจอเพื่อนๆ ในงาน Blackswan ส่วนใหญ่ถือลากยาว พอร์ตเต็มอยู่ก็เยอะเลยครับ แต่พวกเรากลุ่มนี้ก็จะเงียบๆ เจียมตัวนิดนึงไม่ค่อยอยากพูดถึงพอร์ตเท่าไหร่ แหะๆ
ส่วนเรื่อง Mask ทุกวันนี้ มีลืมพกไปบ่อยเหมือนกันครับ เวลาไม่ได้ใส่ในห้างก็กลัวคนอื่นด่าในใจเหมือนกันทั้งๆ ที่ห้างก็โล่งมาก กินข้าวก็ไม่ใส่อยู่ดี ขอบคุรสำหรับแนวคิดที่ให้เน้นที่ผลลัพธ์ มากกว่าคนอื่นเค้าทำยังไงกันนะครับ
เรื่องพอร์ต เท่าที่ผมเจอเพื่อนๆ ในงาน Blackswan ส่วนใหญ่ถือลากยาว พอร์ตเต็มอยู่ก็เยอะเลยครับ แต่พวกเรากลุ่มนี้ก็จะเงียบๆ เจียมตัวนิดนึงไม่ค่อยอยากพูดถึงพอร์ตเท่าไหร่ แหะๆ
ส่วนเรื่อง Mask ทุกวันนี้ มีลืมพกไปบ่อยเหมือนกันครับ เวลาไม่ได้ใส่ในห้างก็กลัวคนอื่นด่าในใจเหมือนกันทั้งๆ ที่ห้างก็โล่งมาก กินข้าวก็ไม่ใส่อยู่ดี ขอบคุรสำหรับแนวคิดที่ให้เน้นที่ผลลัพธ์ มากกว่าคนอื่นเค้าทำยังไงกันนะครับ
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: คุณยังใส่หน้ากากอยู่หรือเปล่า? เราเป็นแกะดำหรือแกะสีขาว?
โพสต์ที่ 3
เยอะแยะครับ สิ่งที่คนกลัวตอนนี้ คือ กลัวเยอะเกินความจริงไปไกลเลยครับ
จิตวิทยาของมนุษย์เรา ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับสถิติ base rate, mean revision หรือ bayesian probability ทำให้เกิดพฤติกรรมตาม prospect theory ที่นำไปสู่การตัดสินใจแปลกๆ ที่อาจจะสบายใจ แต่ไม่ค่อยสมเหตุสมผล
ในทางเทคโนโลยีมนุษย์เราก็ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ exponential growth และ bullwhip effect ได้ยาก
ในทางบัญชี หุ้นเทค ดันไปใช้มาตรฐานการบัญชีที่อิงกับระบบเศรษฐกิจที่อิงกับโรงงานและค้าปลีก ทำให้งบลงทุนอย่าง R&D กับ CAC มันไปยำรวมกันใน Opex ในขณะที่ revenue recognition ก็ conservative เกินไป ในขณะที่ SBC ก็ทำให้หา FCF จริงๆ ได้ยาก
ในทาง valuation ข้อสรุปจากการอ่านบทวิเคราะห์หุ้น tech ต่างประเทศมา 10 ปี ก็อย่างที่ อ. Damodaran ว่า คือ นักวิเคราะห์ทำ valuation กันได้มั่วมาก อย่าง Meta แทนที่จะทำ SOTP ก็ดันใช้ aggregate business ซะงั้น
ความเป็นจริงที่เกิดกับ Amazon ช่วงหลังฟองสบู่ dot com แตก ยิ่งเป็นจริงในยุคนี้ เทคโนโลยี AI ล่าสุด กับการบรรจบกันของเทคโนโลยีหลายๆ อย่าง จะสร้างสรรค์ use case ที่ยิ่งกว่ายุค internet และ smart phone
Case study ในอดีต ข้อมูลทางสถิติในระดับ macro ที่นักวิเคราะห์ หรือ คนขี้กลัวที่มองโลกในแง่ลบมาใช้เล่นงานกับเรา บางที่เราก็ต้อง counter balance ด้วยการเอาข้อมูลทางสถิติในทาง micro มาหา base rate และ probability มาหาข้อสรุปที่ทำให้เราจะไม่ไปเหยียบกันตายแบบคนหนีไฟไหม้
เหตุผลในการลงทุนระยะยาวตอนนี้มีเยอะแยะครับ แค่กล้าที่จะเลิกใส่หน้ากากในที่สาธารณะ
เลิกที่จะคิดที่จะเป็น alpha male
เลิกกลัวที่จะถูกฝูงทิ้ง
เพราะ เมื่อเลิกกลัวที่จะถูกฝูงทิ้ง เราจะเห็นว่า มันมีฝูงอีกฝูงหนึ่งที่เล็กกว่า ที่ลงมาเก็บข้าวของ ของป่า ที่มหาชนโยนทิ้งเอาไว้ หรือเห็นโอกาสจาก landscape และ demography ที่เปลี่ยนไป
เกาะ founder led company ที่กำลังสร้างกิจการที่เปลี่ยนโลก ได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ ในยุคนี้ให้ดีครับ เพราะ จริงๆ แล้วเราไม่ได้อยากได้ next Amazon ตอนกำลังจะ drawdown แต่เราอยากจะได้ next Amazon ตอนขาขึ้นรอบใหม่ ที่คราวนี้ เราคงจะถือไปได้ยาวๆ แบบทน drawdown ได้มากกว่านี้ และธุรกิจแข็งแรงกว่านี้
สำคัญที่สุด คือ เมื่อเลิกใส่หน้ากากแล้ว เราต้องหาความสุขจากภายในจากการไม่ใส่หน้ากากให้เจอ ความสุขที่ได้เป็นอิสระ ที่สามารถทำสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผล ที่เราภูมิใจและพอใจกับตัวเราเองได้
ถ้าทำได้สำเร็จ นอกจากจะได้ผลลัพธ์ในการลงทุนที่ดีแล้ว ทางเดินของเราก็จะเข้าสู่ระดับ self actualization โดยอัตโนมัติ ซึ่งสุขกว่า ปราณีตกว่าระดับ self esteem ขึ้นไปอีกขั้นครับ
และไม่ต้องกลัวว่าถ้าทิ้งฝูงนี้ไปแล้วจะไม่มีฝูงใหม่นะครับ พวก self actualization เค้าก็มีฝูงของเค้าเหมือนกัน แต่ฝูงเล็กกว่า ปราณีตกว่า เพราะ เค้ามีความสุขกับตัวเองโดยไม่ต้องเข้าฝูงแล้ว ดังนั้นการจะไปเข้าฝูงแต่ละครั้งต้องมีคุณค่า ความหมาย และทำดี ปรารถนาดีต่อกันจริงๆ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 1
Re: คุณยังใส่หน้ากากอยู่หรือเปล่า? เราเป็นแกะดำหรือแกะสีขาว?
โพสต์ที่ 4
ขอสอบถามมุมมอง อจ ตี๋เกี่ยวกับหุ้น TDOC หน่อยคับ
โดยตัวธุรกิจ อาจจะไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมาก แต่ก็ดูเป็นผู้นำ และคิดว่าน่าจะอยู่รอดได้ในระยะยาว
พอดีผมเห็นว่ามันเป็นหุ้นที่คนเกลียดมากๆเลยตอนนี้ แต่ด้วย valuation (ผมคิดแบบโลกเก่านะคับ) คือ PBV ตอนนี้ 0.7-0.8 เท่า MKT cap 4.8 B การ Write off LVGO ไปเยอะมากแล้ว CFO ก็เริ่มเป็นบวกแล้ว
ผมอาจจะไม่ได้ทำ valuation ด้วย DCF แบบละเอียดๆ
แต่ก็มองเห็นว่ามันดูค่อนข้างถูกมาก
อนาคตสัก 4-5 ปีข้างหน้า มองว่ามีโอกาสที่จะสามารถกลับมามี กำไรได้ปีละ 4-500 USD มองด้วย Forward PE บ้านๆ ก็ ประมาณ 10
คือมองแล้วมันดูค่อนข้างถูก ไม่รู้คิดแบบนี้ อจ มี comment อะไรเพิ่มเติมไหมคับ ขอบคุณครับ
โดยตัวธุรกิจ อาจจะไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมาก แต่ก็ดูเป็นผู้นำ และคิดว่าน่าจะอยู่รอดได้ในระยะยาว
พอดีผมเห็นว่ามันเป็นหุ้นที่คนเกลียดมากๆเลยตอนนี้ แต่ด้วย valuation (ผมคิดแบบโลกเก่านะคับ) คือ PBV ตอนนี้ 0.7-0.8 เท่า MKT cap 4.8 B การ Write off LVGO ไปเยอะมากแล้ว CFO ก็เริ่มเป็นบวกแล้ว
ผมอาจจะไม่ได้ทำ valuation ด้วย DCF แบบละเอียดๆ
แต่ก็มองเห็นว่ามันดูค่อนข้างถูกมาก
อนาคตสัก 4-5 ปีข้างหน้า มองว่ามีโอกาสที่จะสามารถกลับมามี กำไรได้ปีละ 4-500 USD มองด้วย Forward PE บ้านๆ ก็ ประมาณ 10
คือมองแล้วมันดูค่อนข้างถูก ไม่รู้คิดแบบนี้ อจ มี comment อะไรเพิ่มเติมไหมคับ ขอบคุณครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 377
- ผู้ติดตาม: 1
Re: คุณยังใส่หน้ากากอยู่หรือเปล่า? เราเป็นแกะดำหรือแกะสีขาว?
โพสต์ที่ 5
ขอบคุณอ.ตี่ครับ ช่วงนี้มีหุ้นที่ผมเคยชอบมากๆหลายตัวP/S 3-4 เท่าหรือน้อยกว่าหลายตัวเลย(เข้าใจว่าอ.ตี่เน้นDCFมากกว่าแต่เอาง่ายๆขอเป็นrelative valuation) ข่าวร้ายและความกลัวเต็มตลาดมากๆ ทุกวันนี้ผมหาเพื่อนชวนขุดหุ้นtechยากมากๆ ไม่สิเรียกว่าตอนนี้ต้องกลับมาขุดคนเดียวเหงาๆเหมือนเมื่อ4-5ปีก่อนตอนผมเริ่มลงทุนหุ้นนอกเลย ผมจำได้ว่าตอน2017-18 หุ้นเด้งตัวนึงที่ทุกวันนี้ตกมาแต่ถ้าเทียบกับวันนั้นก็ยัง+เยอะมากๆอย่างTesla P/Sช่วงนั้นแค่ประมาณ2เท่าเพราะจุดนั้นteslaมีทั้งข่าวร้ายและมีความกลัวเต็มตลาดมากๆ ผมยังจำ"ความรู้สึก"นั้นได้ดี ตอนนี้ผมว่าตลาดtechมี"ความรู้สึก"กลัวเหมือนในวันนั้น ข่าวร้ายmacroมันเต็มไปหมดประดุจดั่งทุกบริษัทมันจะเจ๊งกันหมดฮ่าๆ ผมสังเกตหุ้นบางตัวที่Q2-3ที่ผ่านมารายได้โตต่อแบบเยอะมากๆบางตัวขึ้นfull year guidanceด้วยซ้ำแต่ราคายังเป็นขาลงอยู่เลย รุ้สึกดีมากที่อ.ตี่กลับมาโพส(แถมให้กำลังใจอย่างนี้ครับ) อ่านอ.ตี่ก็ยังคงclassicเหมือนเดิมคืออ่านบรรทัดนึงเสร็จต้องเสิชgoogleแปลคำอีกบรรทัดนึงเพราะแปลไม่ออก ฮ่าๆๆ ติดตามอยู่นะครับ ^^
ปล. ผมขอถามอ.ตี่เปนความรุ้หน่อยนะครับ เวลาดอกเบี้ยขาขึ้นเช่นนี้ อ.ตี่คิดrisk free rateจากการคาดการณ์ดอกเบี้ย/bond yieldในอนาคตจากพวกanalystหรือใช้ของปัจจุบันครับ ขอบคุณครับ
ปล. ผมขอถามอ.ตี่เปนความรุ้หน่อยนะครับ เวลาดอกเบี้ยขาขึ้นเช่นนี้ อ.ตี่คิดrisk free rateจากการคาดการณ์ดอกเบี้ย/bond yieldในอนาคตจากพวกanalystหรือใช้ของปัจจุบันครับ ขอบคุณครับ
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: คุณยังใส่หน้ากากอยู่หรือเปล่า? เราเป็นแกะดำหรือแกะสีขาว?
โพสต์ที่ 6
โดยส่วนตัวแล้ว ภาพ Macro ความถูกความแพงของตลาด และทิศทางตลาดโดยรวม จะเป็นปัจจัยในการจัด asset allocation เสียมากกว่า ซึ่งผมก็จะดูระดับถูกหรือแพงของตลาด ผสมกับทิศทางของตลาดในปัจจุบัน ถ้าตลาดแพง sentiment ไม่ดีก็จะถือสัดส่วนเงินสดมากหน่อย แต่ถ้าตลาดถูก sentiment โอเค ก็จะถือหุ้นเยอะหน่อย
จากนั้นก็เอาค่า ERP, beta ที่ implied มาจากตลาด กับค่า risk free rate อย่างพวก T-Bond มาใช้ทำ valuation ถึงแม้ว่าผมจะไม่เห็นด้วยกับอัตราดอกเบี้ย หรือค่าความเสี่ยงที่ใช้ในปัจจุบันก็ตาม
ทั้งนี้เพราะความไม่เห็นด้วยดังกล่าวถูกใช้ไปแล้วในการปรับ asset allocation ไปแล้ว การจะเอา rf rate หรือ erp มาใช้ในการ valuation อีก มันจะเป็นการ double counting และทำให้ model ในการทำ DCF ของผมมันยิ่งเพี้ยนไปไกล
ผมพยายาม simplify เรื่องต่างๆ ลงโดยไม่เอามาปนกัน โดยผมเชื่อว่าผมเดาความถูกแพงของหุ้นได้ดีกว่า การเดาทิศทางและความถูกแพงของตลาด ผมเลยไม่อยากให้ view ของตลาด มา contaminate valuation ของหุ้นรายตัว และที่สำคัญ คือ ถ้าเราเข้าใจว่าการที่เราทนความเสี่ยงจากการลงทุน มันมีผลตอบแทนที่ชดเชยกับความทุกข์ที่ต้องแบกรับจากการลงทุน ยังไงการลงทุนในหุ้นระยะยาวก็ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนอย่างอื่น
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- Verified User
- โพสต์: 40
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คุณยังใส่หน้ากากอยู่หรือเปล่า? เราเป็นแกะดำหรือแกะสีขาว?
โพสต์ที่ 8
ผมไปต่างประเทศ ตั้งแต่ต้นปี
พวกประเทศแถบแสกน, ออสซี่ , ยุโรป ไม่มีใครใส่แล้วครับ (มีแค่ประปราย ในเยอรมัน)
แต่เวลากลับมาเมืองไทย พอไม่ใส่แล้วคนมองหน้าแปลกๆ
เช่นกัน ในมุมกลับ พอไปออสซี่ หรือ แสกน เวลาเราใส่แมสเดินในเมือง เค้าก็มองเราแปลกๆเช่นกัน
มาช่วงหลังเมืองไทยดีขึ้น ผมถอดแมสช่วงนี้ ไม่ค่อยมีใครว่าอะไรแล้ว
ปล. ติดตามพี่ picatos มาตั้งแต่สมัยหุ้นไทย จนไปถึง discord
เรื่อง valuation ผมว่านี่เป็นประสบการณ์ใหม่ๆมากๆ ที่เห็น consensus เปลี่ยนมุมมองอย่างรวดเร็วเพียงแค่ข้ามปี และ range มันกว้างมาก กว่าหุ้น old economy แบบสุดๆ
เคยคิดว่าช่วงต้นปี2022 คือถูกแล้ว พอมาปลายปี ยังมีถูกกว่าอีก 555+
พวกประเทศแถบแสกน, ออสซี่ , ยุโรป ไม่มีใครใส่แล้วครับ (มีแค่ประปราย ในเยอรมัน)
แต่เวลากลับมาเมืองไทย พอไม่ใส่แล้วคนมองหน้าแปลกๆ
เช่นกัน ในมุมกลับ พอไปออสซี่ หรือ แสกน เวลาเราใส่แมสเดินในเมือง เค้าก็มองเราแปลกๆเช่นกัน
มาช่วงหลังเมืองไทยดีขึ้น ผมถอดแมสช่วงนี้ ไม่ค่อยมีใครว่าอะไรแล้ว
ปล. ติดตามพี่ picatos มาตั้งแต่สมัยหุ้นไทย จนไปถึง discord
เรื่อง valuation ผมว่านี่เป็นประสบการณ์ใหม่ๆมากๆ ที่เห็น consensus เปลี่ยนมุมมองอย่างรวดเร็วเพียงแค่ข้ามปี และ range มันกว้างมาก กว่าหุ้น old economy แบบสุดๆ
เคยคิดว่าช่วงต้นปี2022 คือถูกแล้ว พอมาปลายปี ยังมีถูกกว่าอีก 555+
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 710
- ผู้ติดตาม: 1
Re: คุณยังใส่หน้ากากอยู่หรือเปล่า? เราเป็นแกะดำหรือแกะสีขาว?
โพสต์ที่ 9
ผมใส่
ผมมีมาราธอนที่จะแข่งหลายงาน
ผมซ้อมมาทั้งปี ผมจะต้องไม่ติด
ผมต้องไม่พลาดกับเรื่องง่ายๆ
ผมไม่ได้กลัวมัน
ผมมีมาราธอนที่จะแข่งหลายงาน
ผมซ้อมมาทั้งปี ผมจะต้องไม่ติด
ผมต้องไม่พลาดกับเรื่องง่ายๆ
ผมไม่ได้กลัวมัน
"Failure is the only way to start again intelligently"
- ส.สลึง
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3750
- ผู้ติดตาม: 1
Re: คุณยังใส่หน้ากากอยู่หรือเปล่า? เราเป็นแกะดำหรือแกะสีขาว?
โพสต์ที่ 10
ผมมันเป็นสายพันธุ์ conservative
ตอนเช้าหลังตื่นนอน
ยังกดดูสถานการณ์ PM 2.5 อยู่ทุกวัน
แถมยังใส่แมสทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน
ไม่ได้กลัวโควิด
แต่เพราะตอนใส่แมสแล้ว
รู้สึกว่าตัวเองหน้าตาดี
ดูหล่อขึ้นกว่าเดิม
ส่วนตัวรู้สึกเฉยๆ ใครจะใส่หรือไม่ใส่
แต่ถ้าเลือกได้
ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร
ขอใส่แมสเป็นคนแรกๆ
แล้วก็ถอดออกเป็นคนท้ายๆ
ตอนเช้าหลังตื่นนอน
ยังกดดูสถานการณ์ PM 2.5 อยู่ทุกวัน
แถมยังใส่แมสทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน
ไม่ได้กลัวโควิด
แต่เพราะตอนใส่แมสแล้ว
รู้สึกว่าตัวเองหน้าตาดี
ดูหล่อขึ้นกว่าเดิม
ส่วนตัวรู้สึกเฉยๆ ใครจะใส่หรือไม่ใส่
แต่ถ้าเลือกได้
ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร
ขอใส่แมสเป็นคนแรกๆ
แล้วก็ถอดออกเป็นคนท้ายๆ
"วิถีรักษ์โลก บ้าน 1 หลัง รถ 1 คัน สาว 1 คน กางเกงใน 1 ตัว" <( ̄︶ ̄)> ...
-
- Verified User
- โพสต์: 131
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คุณยังใส่หน้ากากอยู่หรือเปล่า? เราเป็นแกะดำหรือแกะสีขาว?
โพสต์ที่ 11
อย่าลืมว่าเหตุผลนึงของการใส่หน้ากากคือเพื่อคนที่ใส่จะได้ไม่แพร่เชื้อให้คนอื่นด้วย ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นใครไม่เป็น แต่ถ้าอยู่กลางแจ้งไม่มีคนพลุกพล่านแน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องใส่
ส่วนตัวเวลาผมเห็นใครใส่หน้ากาก ผมจะคิดว่าคนที่ใส่ยอมเสียสละ อดทนกับความอึดอัด เพื่อคนอื่นจะได้ไม่ต้องสูดอากาศที่อาจจะปนเปื้อนละอองน้ำมูกน้ำลายของเขา โดยเฉพาะถ้าอยู่ในสถานที่ปิดเช่นตามห้าง เพราะถึงฉีดวัคซีนไปแล้วก็ใช่ว่าจะมีภูมิคุ้มกันดีทุกคน เช่นผู้สูงอายุเป็นต้น เห็นใจคนกลุ่มนี้บ้างเถอะครับ
ส่วนตัวเวลาผมเห็นใครใส่หน้ากาก ผมจะคิดว่าคนที่ใส่ยอมเสียสละ อดทนกับความอึดอัด เพื่อคนอื่นจะได้ไม่ต้องสูดอากาศที่อาจจะปนเปื้อนละอองน้ำมูกน้ำลายของเขา โดยเฉพาะถ้าอยู่ในสถานที่ปิดเช่นตามห้าง เพราะถึงฉีดวัคซีนไปแล้วก็ใช่ว่าจะมีภูมิคุ้มกันดีทุกคน เช่นผู้สูงอายุเป็นต้น เห็นใจคนกลุ่มนี้บ้างเถอะครับ