ตามที่หลายๆท่านในนี้ได้พูดถึงความยากที่จะชนะตลาดหุ้นโดยรวมโดยเฉพาะที่ US ในขณะเดียวกันตลาด US นั้นโดยรวมทำผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีในระดับที่น่าพอใจในระยะยาวมากตั้งแต่ยุค 50 ผมเองก็พยายามที่จะเข้าไปซื้อ ETF หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้ซื้อซักที
Prof. Damodaran เคยพูดในทำนองว่าตลาด US นั้นเป็น survivorship bias ด้วยเหตุผลที่เอาชนะตลาดอื่นๆอีกหลายๆที่ (อ.เค้าไม่ได้เจาะจงว่าเป็นที่ไหน) ซึ่งจะส่งผลต่อการประเมินมูลค่า... (จำไม่ได้ครับว่าอยู่ในบทไหน) ทำให้ผมสงสัยว่าอะไรที่ทำให้ที่นี่มีลักษณะที่เป็นผู้ชนะในระยะยาว
โดยส่วนตัวคิดว่าปัจจัยที่ทำให้ US แตกต่างจากประเทศอื่น มาจากวิธีการเกิดขึ้นของประเทศนี้ ที่เป็น land of opportunities ที่ให้คนอพยพเข้ามาอยู่ในช่วงตั้งประเทศ และมี free speech เป็นแก่นหลักของประเทศ
ซึ่งโอกาสการที่เกิดขึ้น ในการระดมทุนนี้ ผมเชื่อว่าจะเป็นการระดมทุนผ่านทางตลาดทุนของสหรัฐฯ จึงทำให้ถึงแม้ว่าการเติบโตของธุรกิจในรอบนี้ที่ผมเชื่อว่าเป็นการเติบโตของคนตัวเล็กๆ ในประเทศเล็กๆ แต่บริษัทที่ทำ platform เหล่านี้ยังคงจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ และมีโอกาสสูงที่ index ของ US จะทำผลงานได้ดีในระยะยาว มากกว่าตลาดหุ้นของ local ในแต่ละประเทศ ที่มีแต่เศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ เป็นส่วนใหญ่
สุดท้าย ผมเชื่อว่าผลตอบแทนที่เกิดขึ้นมันจะเป็นไปตาม value creation ที่เกิดขึ้น ซึ่งผมเชื่อว่า value creation สูงที่สุดที่เกิดขึ้นในยุคถัดไปมันจะเกิดจาก platform business model ที่มี network effect สูงๆ AI และ Metaverse ซึ่งเท่าที่ส่องดูทั้งโลกแล้ว สหรัฐฯ น่าจะเป็นผู้นำ เพราะ
1) ลักษณะธุรกิจเน้นไปที่ global network effect ซึ่งจีนทำได้แค่ local ของตัวเอง
2) AI research ที่ advance ที่สุดอยู่ที่สหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น open AI ของ MSFT หรือ deep mind ของ alphabet
ณ ตอนนี้ US เป็นมหาอำนาจหลักล่วงมาเกือบ 100 ปีแล้ว ผมจะไม่ทำนายหรือ suggest ว่าความเป็นมหาอำนาจและความเป็น land of freedom, free speech, and opportunity ของอเมริกานั้นจะลดทอนลงในอนาคต
อันนี้จดหมายของ Mark, META คิดว่าตอนนี้เจ็บกันหมดก็เริ่มต้นเรียนรู้กันใหม่ครับ
How did we get here?
At the start of Covid, the world rapidly moved online and the surge of e-commerce led to outsized revenue growth. Many people predicted this would be a permanent acceleration that would continue even after the pandemic ended. I did too, so I made the decision to significantly increase our investments. Unfortunately, this did not play out the way I expected. Not only has online commerce returned to prior trends, but the macroeconomic downturn, increased competition, and ads signal loss have caused our revenue to be much lower than I’d expected. I got this wrong, and I take responsibility for that.
In this new environment, we need to become more capital efficient. We’ve shifted more of our resources onto a smaller number of high priority growth areas — like our AI discovery engine, our ads and business platforms, and our long-term vision for the metaverse. We’ve cut costs across our business, including scaling back budgets, reducing perks, and shrinking our real estate footprint. We’re restructuring teams to increase our efficiency. But these measures alone won’t bring our expenses in line with our revenue growth, so I’ve also made the hard decision to let people go.
Bill Nygren & David Herro / Oarkmark Funds
Charlie Munger / Daily Journal
Chuck Akre / Akre Capital
Daniel Loeb / Third Point
Guy Spier / Aquamarine Capital
Howard Marks / Oaktree
Li Lu / Himalaya Capial
Michael Burry / Scion Capital
Monish Pabrai / Pabrai Fund
Ruane, Cunniff & Goldfarb / Sequoia Fund
Robert Vinall / RV Capital
Seth Klarman / Baupost Group
Warren Buffett / Berkshire Hathaway
สำหรับหุ้น US ที่กองทุนพวกนี้ถือและมี movements และต้องทำ filing แบบ 13F เป็น public info ก็จะมีเว็บต่าง ๆ ทำสรุปไว้ให้ เช่น www.dataroma.com แต่ถ้าเป็น holding หุ้นในประเทศอื่น ๆ บางเว็บเช่น www.tikr.com ก็อาจจะพอเข้าไปส่องดูได้ฮะ