เสาหลักการลงทุน โดย ดร นิเวศน์
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2576
- ผู้ติดตาม: 1
เสาหลักการลงทุน โดย ดร นิเวศน์
โพสต์ที่ 1
สรุปสิ่งที่ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร บรรยายในหลักสูตรอบรมการลงทุนเน้นคุณค่ารุ่นที่ 18 วันที่ 5 พฤศจิกายน 2565
เรื่องหลักๆ ที่ ดร. กล่าวคือ ความรู้ที่จำเป็นต่อการลงทุน เรียกว่าเสาหลักการลงทุนหรือVI
มีประมาณ4-5เรื่อง ครอบคลุมทั้งจักรวาล การลงทุนเป็นเรื่องที่กว้างของชีวิต ชีวิตเป็นการลงทุน
สัตว์อื่นๆหากินได้ เพราะไม่มีการเก็บอาหาร แต่มนุษย์ทำไม่ได้ ต้องเก็บอาหาร ช่วงบั้นปลาย ต้องเอาเงินเก็บมาใช้ตอนเกษียณ ดังนั้นต้องลงทุนใน10ปีสุดท้าย
การลงทุนนอกจากตลาดหุ้น ก็เป็นตลาดชีวิต
อาจารย์เล่าว่าตอนสมัยเด็ก คุณพ่อมาจากเมืองจีน ทำงานวันต่อวัน
ครอบครัวมีกัน3คน ไม่มีตลาดหุ้น สมัยก่อน เปรียบการมีลูกเหมือนการลงทุน ลำบากวันนี้ อาศัยลูกเลี้ยงดูในอนาคต ไม่มีสิทธิเลือกลูกได้
อาจหาหุ้นSuper stockยาก ตัวอย่าง อาจารย์ถือเป็นsuper stock เลี้ยงมาและกลับมาดูแลพ่อแม่ แต่เสียดายว่ากว่าจะมีเงินก็อายุ40กว่าปีแล้ว
ถือเป็นหุ้นโตช้า ใช้เวลานานกว่าจะประสบความสำเร็จ
เวลาผ่านไป ตลาดหุ้นพัฒนาขึ้น การมีลูกไม่ใช่การลงทุน แต่เป็นการบริโภคครั้งยิ่งใหญ่ ต้องรวยขนาดซื้อรถเฟอร์รารี่ถึงจะมีลูกได้ ดังนั้นจึงไปลงทุนในหุ้นกัน
ปัจจุบันไม่ค่อยมีลูกกัน (ทำให้อัตราการเกิดปัจจุบันอยู่ที่1.5คนซึ่งทำให้จำนวนประชากรลดในอนาคต)
เพราะเลี้ยงลูกต้องใช้เงินเยอะ เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และหวังให้เด็กโตขึ้นมาเลี้ยงเราไม่ได้ คนที่มีเงินเยอะก็สามารถมีลูกเยอะได้
สัมมนานี้จะมีพูดถึง3หัวข้อใหญ่ดังนี้
1. เรื่องยีนมนุษย์ที่มีโอกาสทำให้เกิด Megatrend
2. การเลือกอุตสากรรมในการลงทุน และวิธีการหาผู้ชนะ
3. เสาหลักที่ต้องศึกษาเพื่อการลงทุน
1. ยีนทำให้เกิดMegatrend
ดร.ถือว่าเป็นการพูดเรื่องปรัชญาเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ ยีนมนุษย์ และสังคม จากหนังสือ Homo sapien ซึ่งเป็นเรื่องที่นักลงทุนจะถามว่าศึกษาไปทำไม ดร. มองว่าทุกเรื่องเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับคน และจริงๆ มันเป็นเรื่องเดียวกันหมด อะไรจะเกิด เราต้องอธิบายได้ว่าเป็นเพราะอะไร ถ้าอธิบายได้ เราก็จะเข้าใจการลงทุนในหุ้น
- ดร. เชื่อว่าถ้าเราเข้าใจเรื่องยีนมนุษย์ เราจะเข้าใจเรื่อง “จิตวิทยาการลงทุน” และยีนมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง แม้สถานการณ์ต่างๆ จะเปลี่ยน
ยกตัวอย่าง คนเจอเสือก็ต้องตกใจ วิ่งทันที ถ้ามัวแต่คิดมากเกินไปว่าจะเอาชนะเสืออย่างไร ก็มีโอกาสเสียชีวิต เหมือนเวลาหุ้นตกหรือมีวิกฤต คนก็จะไม่ทันคิด และต้องเอาตัวรอดตามสัญชาตญาณก่อน หลายครั้งอย่าทำตามยีน คนอื่น panic เราอย่าไป panic ให้ทำตรงกันข้ามกับยีน ซึ่งเป็นคนส่วนน้อย แล้วเราจะได้ไม่เหมือนคนอื่น
การเลือกอุตสาหกรรมที่ลงทุน คือ เลือกอุตสาหกรรมที่ ”เพิ่มโอกาสในการเอาตัวรอด” ของมนุษย์ได้ เพราะมีโอกาสทำให้เกิด megatrend
ลองสังเกตดูเวลามีเรื่องการสื่อสารรุ่นใหม่ๆเช่นมือถือมา มี Megatrend มาตลอด
(เปรียบกับเรื่องยีน มนุษย์อ่อนแอ และจะเอาตัวรอดได้ดีจากการรวมกลุ่ม พลังหมู่ การเข้าสังคม และลงทุน
มนุษย์ ที่ไม่ชอบเข้าสังคมจะตายหายจากไป ดังนั้น ยีนที่หลงเหลืออยู่ต่อๆ มาคือยีนที่เก่งการสื่อสาร ยีนต้องการเพื่อน ยีนที่ต้องการการยอมรับ)
ยีนก็มีเรื่องบริจาคด้วย เวลาบริจาคต้องให้คนรับรู้ด้วย
มนุษย์มีimagination แต่สัดว์ส่วนใหญ่ไม่มีimagination มนุษย์กลัวผีแต่สัตว์ เช่น สุนัขไม่กลัวผี
มนุษย์เลยimaginationว่า คลิปโต ซึ่งไม่ใช่เงินเป็นตัวเลขเฉยๆ แต่มีการพูดบ่อยๆใส่สมอง คนก็ยอมรับ และรับรู้ว่า คลิปโตมีค่าขึ้นมา
และท้ายสุดทุกคนก็มีimagination ทำให้เกิดพลังขึ้นมา คุณและทุกคนทำตาม พลังจะเกิด ทุกคนหวังจะรวย
สมัยก่อนคนทำอาชีพต่างๆเช่น ช่างนาฬิกา พอตายไป ลูกหลานก็ไม่ทำต่อ แต่ต่อมาเปิดบริษัท มีการพัฒนาและสืบทอด
สมัยก่อน ขอโทรศัพท์ใช้เวลาขอ7ปี แต่หลังจากเปิดบริษัทโทรศัพท์ ใช้เวลาแค่1วันในการติดตั้ง
ผู้เขียนSapien เข้าใจการเมืองด้วยการวิเคราะห์ด้วยยีน มีข้อสรุปอีกอย่างคือ ยีนเหมือนกันทั้งโลก
แล้วในเมื่อ ยีนเหมือนกันหมด สิ่งที่ทำให้เราเกิดความแตกต่างคืออะไร?
คำตอบคือ “รายได้” เพราะเป็นตัวบอกว่าคุณสามารถใช้บริการอะไร สินค้าอะไร ท่องเที่ยวไปไหนมาไหนได้หรือไม่ หรือซื้อของแพงได้มั้ย และรายได้ก็มีความสามารถในการเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่าง รายได้เพิ่มเร็ว ก็มีการใช้ผลิตภัณฑ์มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นต้นตอในการเกิด Megatrend นั่นก็คือ อุตสาหกรรมที่โตต่อเนื่อง/ยาวนาน/ราคาไม่แพง/sustain ถ้าเจอธุรกิจไหนเป็นแบบนี้ ก็เป็น superstock
เมื่อก่อนเราอาจเห็นว่าหุ้นโรงพยาบาล หุ้นห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือมีราคาแพง เมื่อคนมีรายได้เพิ่ม โรงพยาบาลก็ต้องมีเพิ่ม คนก็ต้องใช้โทรศัพท์มือถือ เพราะเป็นสิ่งจำเป็น
ดร.ซื้อหุ้นโรงพยาบาลเอกชนในเวียดนาม ซึ่งเวียดนามโตเร็วมาก ถึงตอนนี้ตกมา ก็กำลังจะซื้อเพิ่ม
ทั้งนี้ การเป็น megatrend ไม่ได้หมายความว่าจะดีเสมอไป เพราะมันต้องมี super หรือผู้ชนะ เมื่อมีผู้ชนะก็ต้องมีผู้แพ้ (เปรียบกับเรื่องยีน คนเราก็แข่งกันมาตั้งแต่ยังเป็น sperm โอกาสชนะก็มีเพียงหนึ่งเดียว)
2.วิธีการหาผู้ชนะ
ทุกครั้งที่วิเคราะห์ ต้องคิดถึงการวิเคราะห์การแข่งขันเสมอ
1. คู่แข่งเป็นใคร ธุรกิจทำอะไร
2. อะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการต่อสู้หรือแข่งขัน
3. ใครมีปัจจัยสำคัญในการแข่งขันสูง ก็มีโอกาสชนะ
ชีวิตของอาจารย์แพ้มาตลอดจนมาเข้าตลาดหุ้น
ปัจจัยในการต่อสู้ในตลาดหุ้นมีน้อย
การหาSuperStock คือ “สมอง วินัย และ Mindset” ซึ่งพอจะสู้คนอื่นได้
แต่ตอนนี้ต้องมีอีกปัจจัย เราต้องเป็นคนเริ่มคนแรกจะได้เปรียบคนอื่น
เป็นนักสู้มาตลอดชีวิต เรียนเป็นที่หนึ่ง ทำงานก็ได้งานดีๆ สุดท้ายเป็น Investment Banker แข่งกับบล ภัทร ,บล ทิสโก้
แข่งทีไรก็แพ้ทุกที เราทำมาน้อยกว่าเขาเยอะ(หมายถึงประสบการณ์การทำIBน้อยกว่าอีกสองเจ้าซึ่งมีลูกค้าสถาบันและต่างประเทศเยอะ)
เด็กที่ทิสโก้และภัทรจบนอก ภาษาอังกฤษดีมาก เวลาไปpresentงาน ก็สู้เขาไม่ได้
เป็นผู้บริหาร ขึ้นตำแหน่งช้ามากในบริษัท การขึ้นตำแหน่งสูงขึ้นต้องมีคนให้คะแนนคุณ
มนุษย์เป็นผู้นำ ต้องมีผู้ตามที่ยอมรับคุณ (อันนี้จริงเลยครับ) สมัยใหม่ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำ
ผู้นำหรือผู้บริหารระดับสูงของบริษัทในSET50 ส่วนใหญ่เป็นคนตัวสูง เพราะยีนเป็นตัวบอก
ในยุคสมัยใหม่ มีinnovation ญี่ปุ่น จักรพรรดิ์ครอบคลุมทุกอย่าง แต่พอโลกเปลี่ยนก็ตามไม่ทัน จนเกาหลีแซงหน้าไป
US มีinnovationเยอะ มีคนหนุ่มสาวสร้างบริษัทinnovationเยอะ
USมีความเป็นindividualมากกว่าคนเอเซีย แต่คนเอเซียเก่งกว่า แต่อยู่ในกรอบ หัวหน้า/ลูกน้อง
ต้องหาเหตุผลให้ได้ว่าทำไม USมีความเป็นindividual
US กินข้าวสาลี แต่คนเอเซียกินข้าวเจ้า ซึ่งข้าวเจ้าต้องลงแขก ช่วยกันทำงานทั้งในไทยและเอเซีย ข้าวเจ้ารวงแก่เต็มที่
ภายใน1-2สัปดาห์ ต้องเก็บให้เสร็จไม่เช่นนั้นข้าวจะเน่าเลยทำให้คนเอเซียทำงานเป็นกลุ่ม เวลาอยู่กันเป็นกลุ่ม
เวลาจะเข้าห้องน้ำก็จะชวนกันไปเข้าห้องน้ำ (เคยเจอตอนเรียน)
ส่วนการปลูกข้าวสาลี ไม่ต้องทำงานกันเป็นกลุ่มก็ได้ เป็นindividual
ถ้าเข้าใจเรื่องยีน ทำให้เรามีพลังเยอะ แต่โลกก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะ ทำให้เราทำไม่สอดคล้องกันเยอะ
การลงทุนหลายครั้งต้องฝืน อย่าทำตามยีนต้องทำสวนแบบcontrarian ถ้าเราฝืนได้ จะได้เปรียบ ดังนั้นคนส่วนน้อยจะทำกำไรได้
เสาหลักแรก ทฤษฏีการลงทุน มาไม่นาน
ผลตอบแทนการลงทุนขึ้นกับความเสี่ยง
USเป็นตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพสูง หุ้นทุกตัว ราคาเหมาะสมคือราคาตลาด ไม่สามารถซื้อถูกขายแพงได้ มีโอกาสแต่ช่วงสั้นๆ
ทฤษฏีตลาดมีประสิทธิภาพ (EMH) เหมือนหอคอยงาช้าง ไม่มีความจริง ตลาดหุ้นแข่งขันกันเยอะ และมีราคาเข้ามาเกี่ยว
ไม่มีใครสามารถเอาชนะตลาดได้
มีคนตั้งIndex Fund อิงกับ S&P500 ปรากฏว่า กองactiveสู้ไม่ได้เพราะเก็บค่าใช้จ่ายสูงกว่า ต้องใช้ผู้จัดการกองทุนเลือกหุ้น
ตอนหลังมีHedge Fundเอาชนะได้ เพราะยอมรับความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้น
Buffett ได้พนันกับเซียนหุ้นทางเทคนิค ให้แข่งกับดัชนีS&P500 เวลา10ปี ปรากฏว่า S&P500 ชนะผลตอบแทนของกองทุนHedge
Fund เหตุผลที่Buffettแข่งเพราะไม่เชื่อว่ากองนี้ซึ่งคิดค่าธรรมเนียนมบริหารสูงจะเอาชนะS&P500ได้
หลังจากนั้นกองPassive Fund,Index Fund นิยมกันมากขึ้นในUS
นักเก็งกำไรในตลาดเช่น เจสซี่ ลิเวอร์เมอร์ หรือ ป้าเคธี่ กองARK บางช่วงอาจได้ผลตอบแทนสูง ระยะยาวเฉลี่ยจะน้อยกว่าIndex Fund
ตลาดหุ้นญี่ปุ่น 30-40ปีที่ผ่านมาไม่ขึ้นเลย เปรียบกับSET 10 ปีที่ผ่านมาไม่ขึ้นเลย ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร
ประเทศที่พัฒนาแล้วจะได้ผลตอบแทน 10%ต่อปี ส่วนSET ไม่เกิน 5%ต่อปี ปีที่ผ่านมารวมปันผล2-3% รวมได้ 7-8%ต่อปี
อาจารย์บอกว่า Innovation อยู่ที่US คนไม่แก่ตัวในUSเพราะมีคนอพยพเข้าประเทศ เป็นระดับหัวกระทิทั้งนั้น
3.เสาหลักความคิดที่ต้องศึกษาก่อนลงทุน
3.1ใครจะพูดอะไร ต้องวิเคราะห์ข้อมูลที่แท้จริง ต้องคิดแบบIndependent
3.2ประวัติศาสตร์ เราต้องศึกษา เช่น เศรษฐกิจUS เป็นสังคมที่พัฒนามาตลอด เช่น
สมัยก่อน Rocky ทำธุรกิจขายน้ำมัน ต่อมาธุรกิจก็ย้ายไปเรื่อยๆ ต่อมาก็เป็น Retailธุรกิจค้าปลีก เช่น Walmart
ปัจจุบัน เป็นธุรกิจเกี่ยวกับ Technology เช่น apple,Google
ธุรกิจในไทย จากเดิม ทำเกษตร ต่อมาก็เปลี่ยนเป็น ธุรกิจทอผ้า แล้วมาโตในธุรกิจค้าปลีก ร้านสดวกซื้อยังไม่สุด
แต่ยังไม่มีธุรกิจhitechที่ใหญ่โตในไทย
ธุรกิจในเวียดนาม จะเห็นว่า Property,Banking ใหญ่สุดในตลาดหุ้นเวียดนาม แต่ก็ยังไม่ซื้อ
เราต้องดูการพัฒนาในแต่ละช่วง อาจารย์บอกว่าซื้อบริษัทHitechในเวียดนาม กะถือ 10ปีรอดูผล Market Cap 100,000 ล้าน
เอาชนะอินเดีย โลกตอนนี้ สกุลเหงียนมาแรงมาก ที่US สกุลนี้ดัง ที่เมืองซิดนีย์ คนเวียดนามสกุลเหงียน40%
มีหลายสิบล้านคน เป็นนักวิทยาศาสตร์ดังๆ
ประวัติศาสตร์ทุกช่วงมีขึ้นและลง บางช่วงหุ้นvalue อาจไม่ไปไหน
ที่US หุ้นValueไม่ค่อยโต แต่ราคาถูก Warran บอกว่าเขาสนใจหุ้นGrowth
ช่วงนี้หุ้นValueกำลังมา ได้แก่ธุรกิจค้าปลีก ทำรองเท้า ราคาถูก รวมถึงหุ้นGrowthที่กำไรโตไวๆด้วย
แต่ละช่วงมีหุ้นแต่ละประเภทที่เติบโตไม่เหมือนกัน
4.จิตวิทยาในการลงทุน
ปัจจัยในการแข่งขันของธุรกิจ
Competitive Advantage อาจารย์เอ่ยถึงปีเตอร์ ดัตเกอร์ว่า การเทรนผู้บริหารให้รู้เกี่ยวกับCompetitive advantage
แต่ถ้าเป็นนักลงทุน ต้องเข้าใจข้อได้เปรียบของแต่ละบริษัท รวมถึง Networking , Digital Business
Buffett ตอนลงทุนจะดู Competitive Advantageของแต่ละบริษัท และต้องมีเครือข่ายถึงได้เปรียบ
มหาศาล เช่น Facebook จะมี Network effect
อาจารย์เคยขายหุ้นMinor ไปเพราะตอนนั้นคิดว่า Pizza Hut เรียกคืนลิขสิทธิ์ไปทำเอง นึกว่าแพ้ ปรากฏว่า Minor เปิดตัว
Pizza Company แข่ง (คุณวิลเลี่ยม นำทีมซิ่ง Big bite โปรโมท ใช้เวลาแค่41วันก็เป็นผู้นำที่1ในไทย)
ส่วนหุ้นนางฟ้า ตอนคนจีนมาเที่ยวและซื้อขนมในไทยกลับประเทศ ทำให้ราคาหุ้นขึ้นแรง เพราะตอนนั้นเชื่อว่าคนจีนชอบ และ
คิดว่าจะโตดีในตลาดเมืองจีน จริงๆแล้ว สมัยก่อนจะเห็นว่าไทยเจริญกว่าจีน การซื้อของฝากเป็นที่นิยม
ต่อมาฐานะคนจีนดีขึ้น อาจไม่นิยมซื้อขนมไทยไปฝากอีกก็ได้
สรุปยีนเป็นคนบอกว่า คนส่วนใหญ่จะชอบสินค้าที่อยู่เหนือเรา พอจีนเริ่มรวย อาจไม่นิยม และไปซื้อขนมเกาหลีหรือญี่ปุ่นแทน
สุดท้ายขอขอบคุณอาจารย์ที่มาให้ความรู้กับสมาชิกThaivi และถ้าใครสนใจฟังอาจารย์แบบใกล้ชิด ติดตาม
หลักสูตรของThaivi ครั้งที่19ในปีนี้ครับ
เรื่องหลักๆ ที่ ดร. กล่าวคือ ความรู้ที่จำเป็นต่อการลงทุน เรียกว่าเสาหลักการลงทุนหรือVI
มีประมาณ4-5เรื่อง ครอบคลุมทั้งจักรวาล การลงทุนเป็นเรื่องที่กว้างของชีวิต ชีวิตเป็นการลงทุน
สัตว์อื่นๆหากินได้ เพราะไม่มีการเก็บอาหาร แต่มนุษย์ทำไม่ได้ ต้องเก็บอาหาร ช่วงบั้นปลาย ต้องเอาเงินเก็บมาใช้ตอนเกษียณ ดังนั้นต้องลงทุนใน10ปีสุดท้าย
การลงทุนนอกจากตลาดหุ้น ก็เป็นตลาดชีวิต
อาจารย์เล่าว่าตอนสมัยเด็ก คุณพ่อมาจากเมืองจีน ทำงานวันต่อวัน
ครอบครัวมีกัน3คน ไม่มีตลาดหุ้น สมัยก่อน เปรียบการมีลูกเหมือนการลงทุน ลำบากวันนี้ อาศัยลูกเลี้ยงดูในอนาคต ไม่มีสิทธิเลือกลูกได้
อาจหาหุ้นSuper stockยาก ตัวอย่าง อาจารย์ถือเป็นsuper stock เลี้ยงมาและกลับมาดูแลพ่อแม่ แต่เสียดายว่ากว่าจะมีเงินก็อายุ40กว่าปีแล้ว
ถือเป็นหุ้นโตช้า ใช้เวลานานกว่าจะประสบความสำเร็จ
เวลาผ่านไป ตลาดหุ้นพัฒนาขึ้น การมีลูกไม่ใช่การลงทุน แต่เป็นการบริโภคครั้งยิ่งใหญ่ ต้องรวยขนาดซื้อรถเฟอร์รารี่ถึงจะมีลูกได้ ดังนั้นจึงไปลงทุนในหุ้นกัน
ปัจจุบันไม่ค่อยมีลูกกัน (ทำให้อัตราการเกิดปัจจุบันอยู่ที่1.5คนซึ่งทำให้จำนวนประชากรลดในอนาคต)
เพราะเลี้ยงลูกต้องใช้เงินเยอะ เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และหวังให้เด็กโตขึ้นมาเลี้ยงเราไม่ได้ คนที่มีเงินเยอะก็สามารถมีลูกเยอะได้
สัมมนานี้จะมีพูดถึง3หัวข้อใหญ่ดังนี้
1. เรื่องยีนมนุษย์ที่มีโอกาสทำให้เกิด Megatrend
2. การเลือกอุตสากรรมในการลงทุน และวิธีการหาผู้ชนะ
3. เสาหลักที่ต้องศึกษาเพื่อการลงทุน
1. ยีนทำให้เกิดMegatrend
ดร.ถือว่าเป็นการพูดเรื่องปรัชญาเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ ยีนมนุษย์ และสังคม จากหนังสือ Homo sapien ซึ่งเป็นเรื่องที่นักลงทุนจะถามว่าศึกษาไปทำไม ดร. มองว่าทุกเรื่องเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับคน และจริงๆ มันเป็นเรื่องเดียวกันหมด อะไรจะเกิด เราต้องอธิบายได้ว่าเป็นเพราะอะไร ถ้าอธิบายได้ เราก็จะเข้าใจการลงทุนในหุ้น
- ดร. เชื่อว่าถ้าเราเข้าใจเรื่องยีนมนุษย์ เราจะเข้าใจเรื่อง “จิตวิทยาการลงทุน” และยีนมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง แม้สถานการณ์ต่างๆ จะเปลี่ยน
ยกตัวอย่าง คนเจอเสือก็ต้องตกใจ วิ่งทันที ถ้ามัวแต่คิดมากเกินไปว่าจะเอาชนะเสืออย่างไร ก็มีโอกาสเสียชีวิต เหมือนเวลาหุ้นตกหรือมีวิกฤต คนก็จะไม่ทันคิด และต้องเอาตัวรอดตามสัญชาตญาณก่อน หลายครั้งอย่าทำตามยีน คนอื่น panic เราอย่าไป panic ให้ทำตรงกันข้ามกับยีน ซึ่งเป็นคนส่วนน้อย แล้วเราจะได้ไม่เหมือนคนอื่น
การเลือกอุตสาหกรรมที่ลงทุน คือ เลือกอุตสาหกรรมที่ ”เพิ่มโอกาสในการเอาตัวรอด” ของมนุษย์ได้ เพราะมีโอกาสทำให้เกิด megatrend
ลองสังเกตดูเวลามีเรื่องการสื่อสารรุ่นใหม่ๆเช่นมือถือมา มี Megatrend มาตลอด
(เปรียบกับเรื่องยีน มนุษย์อ่อนแอ และจะเอาตัวรอดได้ดีจากการรวมกลุ่ม พลังหมู่ การเข้าสังคม และลงทุน
มนุษย์ ที่ไม่ชอบเข้าสังคมจะตายหายจากไป ดังนั้น ยีนที่หลงเหลืออยู่ต่อๆ มาคือยีนที่เก่งการสื่อสาร ยีนต้องการเพื่อน ยีนที่ต้องการการยอมรับ)
ยีนก็มีเรื่องบริจาคด้วย เวลาบริจาคต้องให้คนรับรู้ด้วย
มนุษย์มีimagination แต่สัดว์ส่วนใหญ่ไม่มีimagination มนุษย์กลัวผีแต่สัตว์ เช่น สุนัขไม่กลัวผี
มนุษย์เลยimaginationว่า คลิปโต ซึ่งไม่ใช่เงินเป็นตัวเลขเฉยๆ แต่มีการพูดบ่อยๆใส่สมอง คนก็ยอมรับ และรับรู้ว่า คลิปโตมีค่าขึ้นมา
และท้ายสุดทุกคนก็มีimagination ทำให้เกิดพลังขึ้นมา คุณและทุกคนทำตาม พลังจะเกิด ทุกคนหวังจะรวย
สมัยก่อนคนทำอาชีพต่างๆเช่น ช่างนาฬิกา พอตายไป ลูกหลานก็ไม่ทำต่อ แต่ต่อมาเปิดบริษัท มีการพัฒนาและสืบทอด
สมัยก่อน ขอโทรศัพท์ใช้เวลาขอ7ปี แต่หลังจากเปิดบริษัทโทรศัพท์ ใช้เวลาแค่1วันในการติดตั้ง
ผู้เขียนSapien เข้าใจการเมืองด้วยการวิเคราะห์ด้วยยีน มีข้อสรุปอีกอย่างคือ ยีนเหมือนกันทั้งโลก
แล้วในเมื่อ ยีนเหมือนกันหมด สิ่งที่ทำให้เราเกิดความแตกต่างคืออะไร?
คำตอบคือ “รายได้” เพราะเป็นตัวบอกว่าคุณสามารถใช้บริการอะไร สินค้าอะไร ท่องเที่ยวไปไหนมาไหนได้หรือไม่ หรือซื้อของแพงได้มั้ย และรายได้ก็มีความสามารถในการเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่าง รายได้เพิ่มเร็ว ก็มีการใช้ผลิตภัณฑ์มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นต้นตอในการเกิด Megatrend นั่นก็คือ อุตสาหกรรมที่โตต่อเนื่อง/ยาวนาน/ราคาไม่แพง/sustain ถ้าเจอธุรกิจไหนเป็นแบบนี้ ก็เป็น superstock
เมื่อก่อนเราอาจเห็นว่าหุ้นโรงพยาบาล หุ้นห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือมีราคาแพง เมื่อคนมีรายได้เพิ่ม โรงพยาบาลก็ต้องมีเพิ่ม คนก็ต้องใช้โทรศัพท์มือถือ เพราะเป็นสิ่งจำเป็น
ดร.ซื้อหุ้นโรงพยาบาลเอกชนในเวียดนาม ซึ่งเวียดนามโตเร็วมาก ถึงตอนนี้ตกมา ก็กำลังจะซื้อเพิ่ม
ทั้งนี้ การเป็น megatrend ไม่ได้หมายความว่าจะดีเสมอไป เพราะมันต้องมี super หรือผู้ชนะ เมื่อมีผู้ชนะก็ต้องมีผู้แพ้ (เปรียบกับเรื่องยีน คนเราก็แข่งกันมาตั้งแต่ยังเป็น sperm โอกาสชนะก็มีเพียงหนึ่งเดียว)
2.วิธีการหาผู้ชนะ
ทุกครั้งที่วิเคราะห์ ต้องคิดถึงการวิเคราะห์การแข่งขันเสมอ
1. คู่แข่งเป็นใคร ธุรกิจทำอะไร
2. อะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการต่อสู้หรือแข่งขัน
3. ใครมีปัจจัยสำคัญในการแข่งขันสูง ก็มีโอกาสชนะ
ชีวิตของอาจารย์แพ้มาตลอดจนมาเข้าตลาดหุ้น
ปัจจัยในการต่อสู้ในตลาดหุ้นมีน้อย
การหาSuperStock คือ “สมอง วินัย และ Mindset” ซึ่งพอจะสู้คนอื่นได้
แต่ตอนนี้ต้องมีอีกปัจจัย เราต้องเป็นคนเริ่มคนแรกจะได้เปรียบคนอื่น
เป็นนักสู้มาตลอดชีวิต เรียนเป็นที่หนึ่ง ทำงานก็ได้งานดีๆ สุดท้ายเป็น Investment Banker แข่งกับบล ภัทร ,บล ทิสโก้
แข่งทีไรก็แพ้ทุกที เราทำมาน้อยกว่าเขาเยอะ(หมายถึงประสบการณ์การทำIBน้อยกว่าอีกสองเจ้าซึ่งมีลูกค้าสถาบันและต่างประเทศเยอะ)
เด็กที่ทิสโก้และภัทรจบนอก ภาษาอังกฤษดีมาก เวลาไปpresentงาน ก็สู้เขาไม่ได้
เป็นผู้บริหาร ขึ้นตำแหน่งช้ามากในบริษัท การขึ้นตำแหน่งสูงขึ้นต้องมีคนให้คะแนนคุณ
มนุษย์เป็นผู้นำ ต้องมีผู้ตามที่ยอมรับคุณ (อันนี้จริงเลยครับ) สมัยใหม่ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำ
ผู้นำหรือผู้บริหารระดับสูงของบริษัทในSET50 ส่วนใหญ่เป็นคนตัวสูง เพราะยีนเป็นตัวบอก
ในยุคสมัยใหม่ มีinnovation ญี่ปุ่น จักรพรรดิ์ครอบคลุมทุกอย่าง แต่พอโลกเปลี่ยนก็ตามไม่ทัน จนเกาหลีแซงหน้าไป
US มีinnovationเยอะ มีคนหนุ่มสาวสร้างบริษัทinnovationเยอะ
USมีความเป็นindividualมากกว่าคนเอเซีย แต่คนเอเซียเก่งกว่า แต่อยู่ในกรอบ หัวหน้า/ลูกน้อง
ต้องหาเหตุผลให้ได้ว่าทำไม USมีความเป็นindividual
US กินข้าวสาลี แต่คนเอเซียกินข้าวเจ้า ซึ่งข้าวเจ้าต้องลงแขก ช่วยกันทำงานทั้งในไทยและเอเซีย ข้าวเจ้ารวงแก่เต็มที่
ภายใน1-2สัปดาห์ ต้องเก็บให้เสร็จไม่เช่นนั้นข้าวจะเน่าเลยทำให้คนเอเซียทำงานเป็นกลุ่ม เวลาอยู่กันเป็นกลุ่ม
เวลาจะเข้าห้องน้ำก็จะชวนกันไปเข้าห้องน้ำ (เคยเจอตอนเรียน)
ส่วนการปลูกข้าวสาลี ไม่ต้องทำงานกันเป็นกลุ่มก็ได้ เป็นindividual
ถ้าเข้าใจเรื่องยีน ทำให้เรามีพลังเยอะ แต่โลกก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะ ทำให้เราทำไม่สอดคล้องกันเยอะ
การลงทุนหลายครั้งต้องฝืน อย่าทำตามยีนต้องทำสวนแบบcontrarian ถ้าเราฝืนได้ จะได้เปรียบ ดังนั้นคนส่วนน้อยจะทำกำไรได้
เสาหลักแรก ทฤษฏีการลงทุน มาไม่นาน
ผลตอบแทนการลงทุนขึ้นกับความเสี่ยง
USเป็นตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพสูง หุ้นทุกตัว ราคาเหมาะสมคือราคาตลาด ไม่สามารถซื้อถูกขายแพงได้ มีโอกาสแต่ช่วงสั้นๆ
ทฤษฏีตลาดมีประสิทธิภาพ (EMH) เหมือนหอคอยงาช้าง ไม่มีความจริง ตลาดหุ้นแข่งขันกันเยอะ และมีราคาเข้ามาเกี่ยว
ไม่มีใครสามารถเอาชนะตลาดได้
มีคนตั้งIndex Fund อิงกับ S&P500 ปรากฏว่า กองactiveสู้ไม่ได้เพราะเก็บค่าใช้จ่ายสูงกว่า ต้องใช้ผู้จัดการกองทุนเลือกหุ้น
ตอนหลังมีHedge Fundเอาชนะได้ เพราะยอมรับความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้น
Buffett ได้พนันกับเซียนหุ้นทางเทคนิค ให้แข่งกับดัชนีS&P500 เวลา10ปี ปรากฏว่า S&P500 ชนะผลตอบแทนของกองทุนHedge
Fund เหตุผลที่Buffettแข่งเพราะไม่เชื่อว่ากองนี้ซึ่งคิดค่าธรรมเนียนมบริหารสูงจะเอาชนะS&P500ได้
หลังจากนั้นกองPassive Fund,Index Fund นิยมกันมากขึ้นในUS
นักเก็งกำไรในตลาดเช่น เจสซี่ ลิเวอร์เมอร์ หรือ ป้าเคธี่ กองARK บางช่วงอาจได้ผลตอบแทนสูง ระยะยาวเฉลี่ยจะน้อยกว่าIndex Fund
ตลาดหุ้นญี่ปุ่น 30-40ปีที่ผ่านมาไม่ขึ้นเลย เปรียบกับSET 10 ปีที่ผ่านมาไม่ขึ้นเลย ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร
ประเทศที่พัฒนาแล้วจะได้ผลตอบแทน 10%ต่อปี ส่วนSET ไม่เกิน 5%ต่อปี ปีที่ผ่านมารวมปันผล2-3% รวมได้ 7-8%ต่อปี
อาจารย์บอกว่า Innovation อยู่ที่US คนไม่แก่ตัวในUSเพราะมีคนอพยพเข้าประเทศ เป็นระดับหัวกระทิทั้งนั้น
3.เสาหลักความคิดที่ต้องศึกษาก่อนลงทุน
3.1ใครจะพูดอะไร ต้องวิเคราะห์ข้อมูลที่แท้จริง ต้องคิดแบบIndependent
3.2ประวัติศาสตร์ เราต้องศึกษา เช่น เศรษฐกิจUS เป็นสังคมที่พัฒนามาตลอด เช่น
สมัยก่อน Rocky ทำธุรกิจขายน้ำมัน ต่อมาธุรกิจก็ย้ายไปเรื่อยๆ ต่อมาก็เป็น Retailธุรกิจค้าปลีก เช่น Walmart
ปัจจุบัน เป็นธุรกิจเกี่ยวกับ Technology เช่น apple,Google
ธุรกิจในไทย จากเดิม ทำเกษตร ต่อมาก็เปลี่ยนเป็น ธุรกิจทอผ้า แล้วมาโตในธุรกิจค้าปลีก ร้านสดวกซื้อยังไม่สุด
แต่ยังไม่มีธุรกิจhitechที่ใหญ่โตในไทย
ธุรกิจในเวียดนาม จะเห็นว่า Property,Banking ใหญ่สุดในตลาดหุ้นเวียดนาม แต่ก็ยังไม่ซื้อ
เราต้องดูการพัฒนาในแต่ละช่วง อาจารย์บอกว่าซื้อบริษัทHitechในเวียดนาม กะถือ 10ปีรอดูผล Market Cap 100,000 ล้าน
เอาชนะอินเดีย โลกตอนนี้ สกุลเหงียนมาแรงมาก ที่US สกุลนี้ดัง ที่เมืองซิดนีย์ คนเวียดนามสกุลเหงียน40%
มีหลายสิบล้านคน เป็นนักวิทยาศาสตร์ดังๆ
ประวัติศาสตร์ทุกช่วงมีขึ้นและลง บางช่วงหุ้นvalue อาจไม่ไปไหน
ที่US หุ้นValueไม่ค่อยโต แต่ราคาถูก Warran บอกว่าเขาสนใจหุ้นGrowth
ช่วงนี้หุ้นValueกำลังมา ได้แก่ธุรกิจค้าปลีก ทำรองเท้า ราคาถูก รวมถึงหุ้นGrowthที่กำไรโตไวๆด้วย
แต่ละช่วงมีหุ้นแต่ละประเภทที่เติบโตไม่เหมือนกัน
4.จิตวิทยาในการลงทุน
ปัจจัยในการแข่งขันของธุรกิจ
Competitive Advantage อาจารย์เอ่ยถึงปีเตอร์ ดัตเกอร์ว่า การเทรนผู้บริหารให้รู้เกี่ยวกับCompetitive advantage
แต่ถ้าเป็นนักลงทุน ต้องเข้าใจข้อได้เปรียบของแต่ละบริษัท รวมถึง Networking , Digital Business
Buffett ตอนลงทุนจะดู Competitive Advantageของแต่ละบริษัท และต้องมีเครือข่ายถึงได้เปรียบ
มหาศาล เช่น Facebook จะมี Network effect
อาจารย์เคยขายหุ้นMinor ไปเพราะตอนนั้นคิดว่า Pizza Hut เรียกคืนลิขสิทธิ์ไปทำเอง นึกว่าแพ้ ปรากฏว่า Minor เปิดตัว
Pizza Company แข่ง (คุณวิลเลี่ยม นำทีมซิ่ง Big bite โปรโมท ใช้เวลาแค่41วันก็เป็นผู้นำที่1ในไทย)
ส่วนหุ้นนางฟ้า ตอนคนจีนมาเที่ยวและซื้อขนมในไทยกลับประเทศ ทำให้ราคาหุ้นขึ้นแรง เพราะตอนนั้นเชื่อว่าคนจีนชอบ และ
คิดว่าจะโตดีในตลาดเมืองจีน จริงๆแล้ว สมัยก่อนจะเห็นว่าไทยเจริญกว่าจีน การซื้อของฝากเป็นที่นิยม
ต่อมาฐานะคนจีนดีขึ้น อาจไม่นิยมซื้อขนมไทยไปฝากอีกก็ได้
สรุปยีนเป็นคนบอกว่า คนส่วนใหญ่จะชอบสินค้าที่อยู่เหนือเรา พอจีนเริ่มรวย อาจไม่นิยม และไปซื้อขนมเกาหลีหรือญี่ปุ่นแทน
สุดท้ายขอขอบคุณอาจารย์ที่มาให้ความรู้กับสมาชิกThaivi และถ้าใครสนใจฟังอาจารย์แบบใกล้ชิด ติดตาม
หลักสูตรของThaivi ครั้งที่19ในปีนี้ครับ
- Bird.Songwut
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 159
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เสาหลักการลงทุน โดย ดร นิเวศน์
โพสต์ที่ 2
ขอบคุณสำหรับการสรุปเนื้อหาครับ
"มีกระแสน้ำสายหนึ่งในกิจกรรมของคน ซึ่งเมื่อมันไหลบ่าท่วมท้นจะนำไปสู่ความมั่งคั่งมหาศาล"
Investor hub : ห้องลับนักลงทุน https://www.youtube.com/@Investor_hub
Investor hub : ห้องลับนักลงทุน https://www.youtube.com/@Investor_hub
-
- Verified User
- โพสต์: 2
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เสาหลักการลงทุน โดย ดร นิเวศน์
โพสต์ที่ 3
ขอบคุณสำหรับการสรุปเนื้อหาดีๆ นะคะ
- Jimmy Rogers
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 55
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เสาหลักการลงทุน โดย ดร นิเวศน์
โพสต์ที่ 4
ขอบคุณการสรุปเนื้อหาครับ ได้ประโยชน์มากๆเลยครับ