ทำไมit hmpro se-ed ถึงไม่พัฒนา การขายสินค้าออนไลน์
-
- Verified User
- โพสต์: 6853
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมit hmpro se-ed ถึงไม่พัฒนา การขายสินค้าออนไลน์
โพสต์ที่ 1
ผมว่าแปลกดี การเน้นขยายสาขา ผมว่าก็ดี
แต่ยังไม่ครบวงจร การขายสินค้าบนเวป และจัดส่ง
ให้ลูกค้าเพราะมีสาขาทั่วถึงอยู่แล้ว จ่ายผ่านบัตรเครดิต
หรือบัตรเติมเงิน อะไรสักอย่าง
แปลกนะคับ ทำไมเขาไม่ทำกัน
อย่างit น่าทำที่สุดนะผมว่า
แต่ยังไม่ครบวงจร การขายสินค้าบนเวป และจัดส่ง
ให้ลูกค้าเพราะมีสาขาทั่วถึงอยู่แล้ว จ่ายผ่านบัตรเครดิต
หรือบัตรเติมเงิน อะไรสักอย่าง
แปลกนะคับ ทำไมเขาไม่ทำกัน
อย่างit น่าทำที่สุดนะผมว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 35
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมit hmpro se-ed ถึงไม่พัฒนา การขายสินค้าออนไลน์
โพสต์ที่ 2
Se-ed ทำอยู่แล้วนิครับ ใช้ชื่อ eShop se-ed.com (www.se-ed.com/eshop/)
-
- Verified User
- โพสต์: 1822
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมit hmpro se-ed ถึงไม่พัฒนา การขายสินค้าออนไลน์
โพสต์ที่ 3
ของ se-ed ผมซื้อผ่านเน็ตแล้วครับตอนนี้ ได้ลด 10% โดยไม่ต้องเป็นสมาชิก
แต่ว่าผมเลือกไปรับที่สาขา เพราะไม่เสียค่าส่ง
บางทีส่วนลดนี่ เอามาเป็นค่าส่งได้เลย บางคนก็มองว่าเป็นบริการส่งฟรีได้เหมือนกัน
แต่ว่าผมเลือกไปรับที่สาขา เพราะไม่เสียค่าส่ง
บางทีส่วนลดนี่ เอามาเป็นค่าส่งได้เลย บางคนก็มองว่าเป็นบริการส่งฟรีได้เหมือนกัน
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 161
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมit hmpro se-ed ถึงไม่พัฒนา การขายสินค้าออนไลน์
โพสต์ที่ 4
ผมก็ลองสั่ง se-ed e-shop แล้วครับ สะดวกรวดเร็วดีมาก จ่ายผ่านบัตรเครดิตก็ได้ ได้ส่วนลดอีก ยิ่งถ้าอยู่ต่างจังหวัดที่ไม่มีเล่มไหนวางจำหน่ายก็สั่งผ่าน e-shop ได้ แถมไปรับที่สาขาของ se-ed ก็ไม่เสียค่าขนส่ง (เพราะยังไงรถ se-ed ก็ต้องเข้าทุกวันอยู่แล้ว) ผมว่า se-ed ใช้ประโยชน์จากการมีสาขาจำนวนมากได้ดีทีเดียวครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 86
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมit hmpro se-ed ถึงไม่พัฒนา การขายสินค้าออนไลน์
โพสต์ที่ 5
เท่าที่ผู้บริหารของ SE-ED เคยเล่าให้นักลงทุนฟังที่ตลาดหลักทรัพย์เมื่อไม่นานมานี้ ว่า ทิศทางของ SE-ED ที่ลงทุนไปทั้งหมดนี้ คือ "ทำอย่างไรให้ทุกครั้งที่คนคิดอยากได้หนังสือเล่มใดก็ตาม ให้นึกถึง SE-ED แล้วจะได้ภายใน 1 วัน ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนของประเทศก็ตาม" เห็นยกตัวอย่างถึงขั้นว่าแม้แต่อยู่ในระดับตำบล หรือหมู่บ้าน เพราะ SE-ED อาจจะไม่สามารถเปิดร้านหนังสือลงไปในระดับเล็กกว่าอำเภอได้ จึงต้องหาทางใหม่
ผมเข้าใจว่า SE-ED ได้เริ่มลงทุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดให้รองรับทิศทางนี้ อย่างที่เคยให้ข่าวมาโดยตลอดเรื่องการปรับปรุงให้ทุกสาขา online กับสำนักงานใหญ่ การปรับปรุงระบบสารสนเทศ การปรับปรุงศูนย์กระจายสินค้า และการปรับปรุง se-ed.com
อย่างที่หลายท่านได้ลองใช้ eShop ที่ www.se-ed.com และรู้สึกว่าน่าพอใจ เข้าใจว่าเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ และน่าจะอยู่ในแค่โครงการทดลอง เพราะถ้าพร้อมกว่านี้ คงจะมีการประชาสัมพันธ์ในวงกว้างกว่านี้ไปแล้ว
ผู้บริหารของ SE-ED เคยให้ข้อมูลว่า ระบบของ SE-ED จะพัฒนาเสร็จหมดในสิ้นปีนี้ (หลังจากเลื่อนมา 2-3 ปี) ดังนั้นในต้นปี 2550 ระบบของ SE-ED น่าจะลงตัว และคงให้บริการที่หลากหลายได้เต็มที่ขึ้น และแน่นอนคงใช้ประโยชน์จากการมีสาขาทั่วประเทศด้วย
ผมคิดว่าถ้าถึงตอนนั้น SE-ED คงมีอะไรน่าสนใจกว่าแค่เป็นร้านหนังสือธรรมดา
คงต้องคอยตามดูกันเอาเองว่า SE-ED จะทำได้ตามที่ประกาศทิศทางนี้ได้จริงหรือเปล่า
ผมเข้าใจว่า SE-ED ได้เริ่มลงทุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดให้รองรับทิศทางนี้ อย่างที่เคยให้ข่าวมาโดยตลอดเรื่องการปรับปรุงให้ทุกสาขา online กับสำนักงานใหญ่ การปรับปรุงระบบสารสนเทศ การปรับปรุงศูนย์กระจายสินค้า และการปรับปรุง se-ed.com
อย่างที่หลายท่านได้ลองใช้ eShop ที่ www.se-ed.com และรู้สึกว่าน่าพอใจ เข้าใจว่าเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ และน่าจะอยู่ในแค่โครงการทดลอง เพราะถ้าพร้อมกว่านี้ คงจะมีการประชาสัมพันธ์ในวงกว้างกว่านี้ไปแล้ว
ผู้บริหารของ SE-ED เคยให้ข้อมูลว่า ระบบของ SE-ED จะพัฒนาเสร็จหมดในสิ้นปีนี้ (หลังจากเลื่อนมา 2-3 ปี) ดังนั้นในต้นปี 2550 ระบบของ SE-ED น่าจะลงตัว และคงให้บริการที่หลากหลายได้เต็มที่ขึ้น และแน่นอนคงใช้ประโยชน์จากการมีสาขาทั่วประเทศด้วย
ผมคิดว่าถ้าถึงตอนนั้น SE-ED คงมีอะไรน่าสนใจกว่าแค่เป็นร้านหนังสือธรรมดา
คงต้องคอยตามดูกันเอาเองว่า SE-ED จะทำได้ตามที่ประกาศทิศทางนี้ได้จริงหรือเปล่า
- คนขายของ
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 792
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมit hmpro se-ed ถึงไม่พัฒนา การขายสินค้าออนไลน์
โพสต์ที่ 6
ผมว่าการทำ website เพื่อรองรับ E-commerce ไม่ใช่เรื่องใหญ่
แต่ผมว่าการบริหารจัดการด้าน Logistics เป็นเรื่องสำคัญมาก
ผมว่าการส่งของ และ การกระจายสินค้าอย่างมืออาชีพ ในเมืองไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น
ระบบการส่งพัสดุต้องมีความน่าเชื่อถือสูง ตรวจสอบได้ บริษัทแบบ FEDEX
DHL UPS ยังไม่มีใครคิดทำจริงจัง การส่งของยังใช้ รสพ และ ไปรษณีย์ไทย
เป็นหลัก หนังสือผมว่าพอทำได้ แต่พวกของที่ "ขนาดไม่มาตรฐาน"
ค่อนข้างลำบากในการจัดส่ง
เรื่องกฏหมายการทำธุรกรรมอีเล็กโทรนิก ก็ไม่รู้ไปถึงไหนแล้ว
แต่ก็ถือว่าเป็นอีกช่องทางการจัดจำหน่ายที่มีอนาคตสำหรับพวกค้าปลีกทั้งหลาย
แต่ผมว่าการบริหารจัดการด้าน Logistics เป็นเรื่องสำคัญมาก
ผมว่าการส่งของ และ การกระจายสินค้าอย่างมืออาชีพ ในเมืองไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น
ระบบการส่งพัสดุต้องมีความน่าเชื่อถือสูง ตรวจสอบได้ บริษัทแบบ FEDEX
DHL UPS ยังไม่มีใครคิดทำจริงจัง การส่งของยังใช้ รสพ และ ไปรษณีย์ไทย
เป็นหลัก หนังสือผมว่าพอทำได้ แต่พวกของที่ "ขนาดไม่มาตรฐาน"
ค่อนข้างลำบากในการจัดส่ง
เรื่องกฏหมายการทำธุรกรรมอีเล็กโทรนิก ก็ไม่รู้ไปถึงไหนแล้ว
แต่ก็ถือว่าเป็นอีกช่องทางการจัดจำหน่ายที่มีอนาคตสำหรับพวกค้าปลีกทั้งหลาย
อดทนไว้ กำไรยั่งยืน
- pong
- Verified User
- โพสต์: 361
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมit hmpro se-ed ถึงไม่พัฒนา การขายสินค้าออนไลน์
โพสต์ที่ 7
hompro เคยทำครับในเว็บ homedd.com ตั้งแต่ 5-6 ปีทีแล้ว แต่หลังจากในหมวด home shopping แต่ไม่มียอดสั่งซื้อเกิดขึ้นเลยหรือน้อยมากๆ
สาเหตุหลักน่าจะมาจาก
1. ราคาทีขายอยู่เป็นราคาเดียวกับที่ขายในห้าง แถมอาจจะมีค่าขนส่งเพิ่มมาอีก (ในเมืองนอกเวลาซื้อออนไลน์มักได้ราคาถูกกว่าซื้อจากร้านค้า เพราะไม่ต้องมีหน้าร้าน ไม่ต้องมีภาษี ถึงบวกค่าขนส่งก็ยังถูกกว่า)
2 ความไม่มั่นใจเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยบนคอมพิวเตอร์ แถมต้องกรอกบัตรเครดิตเข้าไป คนซื้อก็กลัว คนขายก็กลัวครับ
3 ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ คือ คนไทยยังอยากได้ไปจับต้อง เห็นของจริงจะได้ชัวร์ว่า มันใหม่ มันคืออันทีเราเลือก ประมาณนั้นครับ
โฮมโปร กลับไปทำในเว็บ homepro.co.th พักนึง ก็ไม่ประสบความสำเร็จอีก
เลยยังไม่มีการพัฒนาระบบ E-commerce จนทุกวันนี้ครับ
สาเหตุหลักน่าจะมาจาก
1. ราคาทีขายอยู่เป็นราคาเดียวกับที่ขายในห้าง แถมอาจจะมีค่าขนส่งเพิ่มมาอีก (ในเมืองนอกเวลาซื้อออนไลน์มักได้ราคาถูกกว่าซื้อจากร้านค้า เพราะไม่ต้องมีหน้าร้าน ไม่ต้องมีภาษี ถึงบวกค่าขนส่งก็ยังถูกกว่า)
2 ความไม่มั่นใจเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยบนคอมพิวเตอร์ แถมต้องกรอกบัตรเครดิตเข้าไป คนซื้อก็กลัว คนขายก็กลัวครับ
3 ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ คือ คนไทยยังอยากได้ไปจับต้อง เห็นของจริงจะได้ชัวร์ว่า มันใหม่ มันคืออันทีเราเลือก ประมาณนั้นครับ
โฮมโปร กลับไปทำในเว็บ homepro.co.th พักนึง ก็ไม่ประสบความสำเร็จอีก
เลยยังไม่มีการพัฒนาระบบ E-commerce จนทุกวันนี้ครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1067
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมit hmpro se-ed ถึงไม่พัฒนา การขายสินค้าออนไลน์
โพสต์ที่ 8
เรื่องของ Logistics ผมก็เห็นความสำคัญเหมือนกันครับพี่คนขายของ เขียน:ผมว่าการทำ website เพื่อรองรับ E-commerce ไม่ใช่เรื่องใหญ่
แต่ผมว่าการบริหารจัดการด้าน Logistics เป็นเรื่องสำคัญมาก
ผมว่าการส่งของ และ การกระจายสินค้าอย่างมืออาชีพ ในเมืองไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น
ระบบการส่งพัสดุต้องมีความน่าเชื่อถือสูง ตรวจสอบได้ บริษัทแบบ FEDEX
DHL UPS ยังไม่มีใครคิดทำจริงจัง การส่งของยังใช้ รสพ และ ไปรษณีย์ไทย
เป็นหลัก หนังสือผมว่าพอทำได้ แต่พวกของที่ "ขนาดไม่มาตรฐาน"
ค่อนข้างลำบากในการจัดส่ง
เรื่องกฏหมายการทำธุรกรรมอีเล็กโทรนิก ก็ไม่รู้ไปถึงไหนแล้ว
แต่ก็ถือว่าเป็นอีกช่องทางการจัดจำหน่ายที่มีอนาคตสำหรับพวกค้าปลีกทั้งหลาย
เลยอยากจะขอความเห็นพี่ด้วยครับว่า
Logistics มีโอกาสจะกลายมาเป็น Core Business ของ Se-ed หรือไม่ครับ
หรือว่าปัจจุบันมันเป็นอยู่แล้วครับ ???
... จุดเริ่มต้นของคนเราไม่สำคัญ
มันสำคัญที่ว่าเขาวิ่งได้เร็วแค่ไหนตะหาก ...
มันสำคัญที่ว่าเขาวิ่งได้เร็วแค่ไหนตะหาก ...
-
- Verified User
- โพสต์: 86
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมit hmpro se-ed ถึงไม่พัฒนา การขายสินค้าออนไลน์
โพสต์ที่ 9
พอดีเห็นคุณ Capo ยกประเด็นเรื่อง Logistics ขึ้นมาว่าจะเป็น core business ของ SE-ED หรือเปล่า
ประเด็นนี้น่าสนใจนะครับ
ที่รู้แน่ๆ คือ เป็น critical sucess factor ตัวหนึ่งของ SE-ED อยู่ตอนนี้ และจะยิ่งมีบทบาทมากขึ้นในอนาคต ลองนึกดูว่าถ้า SE-ED บอกว่าผลลัพธ์สุดท้ายของระบบ Logistics ของ SE-ED ที่กำลังพัฒนาอยู่ คือ "ไม่ว่าคนนั้นจะอยู่ที่ไหนในประเทศไทย จะได้รับภายใน 1 วัน" ตรงนี้ คงเห็นภาพชัดว่า SE-ED กำลังจะใช้ตรงนี้เป็นจุดแข็งในอนาคตของการบริการ
ผมเคยทราบมาว่าอย่างของ 7-11 ซึ่งมีบริการรับสั่งของจาก 7 Catalog ยังต้องใช้เวลาหลายวัน ระบบการสั่งหนังสือของหลายค่ายตอนนี้ ที่อ่านดูจากตามเวบบอร์ด ยังได้รับการบ่นอยู่มาก และใช้เวลาหลายวัน ดังนั้น ถ้า SE-ED สามารถพัฒนาขึ้นมาเป็น ภายใน 1 วันได้จริง ก็น่าจะถือว่าเป็นจุดแข็ง และคุยได้
ที่ SE-ED ทำได้ เพราะผู้บริหารเคยเล่าให้นักลงทุนฟังว่า SE-ED ส่งของทุกวันไปยังทุกสาขา โดยมีรถวิ่งไปต่างจังหวัดโดยเฉพาะในตอนกลางคืน และรับของบางอย่างกลับมาในตอนกลางวัน แสดงว่า SE-ED คงพัฒนาให้ระบบการรับการสั่งซื้อ และระบบการจัดสินค้าที่มีร่วมอย่างน้อยเป็นแสนรายการ เสร็จได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง เพื่อให้พร้อมส่งตอนก่อนขบวนรถจะออกเดินทาง
ถ้า SE-ED ทำได้อย่างนี้จริง ก็คงพร้อมจะขายสินค้าที่ไม่ใช่หนังสืออีกมหาศาลได้ โดยใช้สาขาที่กระจายทั่วประเทศเป็นจุดรับสินค้า !!
ที่ยังเป็นปริศนา และผู้บริหารของ SE-ED ยังไมได้แย้มพราย คือ SE-ED จะทำให้คนที่อยู่ในระดับหมู่บ้าน และตำบล ได้รับหนังสือที่สั่งได้อย่างไรภายใน 1 วัน ??
ประเด็นนี้น่าสนใจนะครับ
ที่รู้แน่ๆ คือ เป็น critical sucess factor ตัวหนึ่งของ SE-ED อยู่ตอนนี้ และจะยิ่งมีบทบาทมากขึ้นในอนาคต ลองนึกดูว่าถ้า SE-ED บอกว่าผลลัพธ์สุดท้ายของระบบ Logistics ของ SE-ED ที่กำลังพัฒนาอยู่ คือ "ไม่ว่าคนนั้นจะอยู่ที่ไหนในประเทศไทย จะได้รับภายใน 1 วัน" ตรงนี้ คงเห็นภาพชัดว่า SE-ED กำลังจะใช้ตรงนี้เป็นจุดแข็งในอนาคตของการบริการ
ผมเคยทราบมาว่าอย่างของ 7-11 ซึ่งมีบริการรับสั่งของจาก 7 Catalog ยังต้องใช้เวลาหลายวัน ระบบการสั่งหนังสือของหลายค่ายตอนนี้ ที่อ่านดูจากตามเวบบอร์ด ยังได้รับการบ่นอยู่มาก และใช้เวลาหลายวัน ดังนั้น ถ้า SE-ED สามารถพัฒนาขึ้นมาเป็น ภายใน 1 วันได้จริง ก็น่าจะถือว่าเป็นจุดแข็ง และคุยได้
ที่ SE-ED ทำได้ เพราะผู้บริหารเคยเล่าให้นักลงทุนฟังว่า SE-ED ส่งของทุกวันไปยังทุกสาขา โดยมีรถวิ่งไปต่างจังหวัดโดยเฉพาะในตอนกลางคืน และรับของบางอย่างกลับมาในตอนกลางวัน แสดงว่า SE-ED คงพัฒนาให้ระบบการรับการสั่งซื้อ และระบบการจัดสินค้าที่มีร่วมอย่างน้อยเป็นแสนรายการ เสร็จได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง เพื่อให้พร้อมส่งตอนก่อนขบวนรถจะออกเดินทาง
ถ้า SE-ED ทำได้อย่างนี้จริง ก็คงพร้อมจะขายสินค้าที่ไม่ใช่หนังสืออีกมหาศาลได้ โดยใช้สาขาที่กระจายทั่วประเทศเป็นจุดรับสินค้า !!
ที่ยังเป็นปริศนา และผู้บริหารของ SE-ED ยังไมได้แย้มพราย คือ SE-ED จะทำให้คนที่อยู่ในระดับหมู่บ้าน และตำบล ได้รับหนังสือที่สั่งได้อย่างไรภายใน 1 วัน ??
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมit hmpro se-ed ถึงไม่พัฒนา การขายสินค้าออนไลน์
โพสต์ที่ 11
เมืองไทยยอดขายส่วนใหญ่มาจาก กทม. ซึ่งคนที่อยู่ใน กทม. ก็ไม่รู้ว่าจะซื้อหนังสือผ่านเวบแล้วรอให้เขาส่งไปรษณีย์มาให้เพื่ออะไร ทำไมไม่ซื้อที่ร้านหนังสือเลย ต้องไปห้างฯ บ่อยๆ อยู่แล้ว
ในสหรัฐ ขายของออนไลน์ไปได้ดีเพราะประชากรอยู่อย่างกระจัดกระจาย ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในเมืองใหญ่ ไม่มี Barnes&Noble ให้เดินหรอกครับ อยากไปร้านหนังสือที่ใหญ่ๆ ก็ต้องขับรถเข้าไปในเมืองใหญ่หลายชั่วโมงอยู่ ซื้ออเมซอนเอาจะดีกว่า
ในสหรัฐ ขายของออนไลน์ไปได้ดีเพราะประชากรอยู่อย่างกระจัดกระจาย ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในเมืองใหญ่ ไม่มี Barnes&Noble ให้เดินหรอกครับ อยากไปร้านหนังสือที่ใหญ่ๆ ก็ต้องขับรถเข้าไปในเมืองใหญ่หลายชั่วโมงอยู่ ซื้ออเมซอนเอาจะดีกว่า
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 86
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมit hmpro se-ed ถึงไม่พัฒนา การขายสินค้าออนไลน์
โพสต์ที่ 12
คุณสุมาอี้ ให้ข้อมูลได้ดีว่าทำไมระบบการสั่งซื้อหนังสือทางออนไลน์ของสหรัฐจึงได้รับความนิยม และทำไมในเมืองไทยถึงไม่ได้รับความนิยม
ถ้าผมจำไม่ผิด ผู้บริหารของ SE-ED เคยชี้แจงกับนักลงทุนเรื่องผลกระทบของการสั่งซื้อพวกออนไลน์ว่า ในเมืองไทยนั้นยอดขายหนังสือออนไลน์รายใหญ่ที่สุด ยอดขายน้อยเพียงแค่พอๆ กับยอดขายของร้านหนังสือขนาดเล็กร้านหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ได้มากมายอะไรให้น่าวิตกว่าจะมาทำให้คนไม่ไปเดินร้านหนังสือ ยิ่งถ้าร้านหนังสืออย่าง SE-ED กระจายตัวมากขึ้น ความจำเป็นที่จะต้องสั่งซื้ออนไลน์ก็ลดลง เห็นของจริงได้เปิดดู คงอุ่นใจกว่าจะซื้อแบบมองไม่เห็นเลย
ทีนี้ถ้าถามแล้วว่า ในเมือ่ข้อมูลป็นแบบนี้ ทำไม SE-ED จึงยังลงทุนระบบ Logistics และโครงสร้างพื้นฐานรองรับการสั่งซื้อจากทุกจุดในเมืองไทย ??
ผู้บริหารของ SE-ED ชี้แจงว่า เพราะแนวโน้มการเปิดร้านหนังสือในอนาคตจะมีขนาดเล็กลงตามแนวโน้มขนาดของของพวกโมเดิร์นเทรดรายใหญ่ที่มีขนาดเล็กลง เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายผังเมืองที่บีบการเติบโตของรายใหญ่ และประกอบกับนโยบายการรุกในระดับอำเภอขนาดใหญ่ของ SE-ED จึงทำให้ร้านหนังสือของ SE-ED บรรจุหนังสือได้น้อยลง โจทย์ของ SE-ED คือ ทำอย่างไรให้ร้านหนังสือขนาดเล็กของ SE-ED (รวมถึง kiosk ตามที่ผู้บริหารได้ยกตัวอย่าง) สามารถให้บริการได้เท่ากับร้านใหญ่ เพื่อให้ทุกคนที่แวะมาร้าน SE-ED แล้วจะได้หนังสือที่ต้องการแน่นอน พูดง่ายๆ คือ ในร้านไม่มี ก็สั่งซื้อผ่านระบบออนไลน์ของร้านเองได้ และได้ในเวลาอันรวดเร็วจนไม่ต้องดิ้นรนไปหาซื้อที่ร้านอื่น
อีกส่วนหนึ่ง คงรองรับคนที่ไม่ได้มาร้านหนังสือบ่อย แต่พอจะแวะมาได้ถ้ารู้ว่ามี ก็สั่งซื้อจากที่บ้านได้เลย คือ มีอารมณ์อยากอ่านเล่มไหนที่รู้ชัดเจนแล้ว ก็สั่งซื้อล่วงหน้าแล้วค่อยแวะมารับที่ร้าน ที่ไม่ให้มาส่งถึงบ้านเพื่อลดค่าขนส่งลง ตรงนี้ผู้บริหารเล่าว่าจะช่วยทำให้ลูกค้าต้องแวะมาที่ร้าน และอาจจะเห็นหนังสือที่น่าสนใจเพิ่มขึ้น และซื้อหนังสือมากกว่าที่ต้งใจมารับได้
ส่วนการสั่งซื้อออนไลน์จากนอกร้านและไม่ได้แวมารับที่ร้าน คงรองรับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ห่างไกลร้านหนังสือ หรืออยู่ห่างไกลปืนเที่ยงจนไม่สะดวกจะแวะร้านหนังสือได้บ่อย อย่างอำเภอขนาดเล็ก หรือตำบล หรือหมู่บ้าน ซึ่งคนเหล่านี้อาจต้องการหนังสือที่ชัดเจนจนรู้จักชื่อหนังสือแล้ว การสั่งซื้อจะง่าย ยอดขายจากคนเหล่านี้น่าจะมีไม่เยอะนัก แต่คงเสริมภาพพจน์ของ SE-ED อย่างที่ผู้บริหารใช้คำว่า ต้องการทำให้ "ทุกคนที่มีอารมณ์อยากได้หนังสือ คิดถึง SE-ED"
อีกส่วนหนึ่ง ที่ SE-ED ลงทุนระบบ Logistics อย่างเอาเป็นเอาตาย (เพราะเป็นประเด็นที่เน้นมาโดบตลอดในการแถลงข่าว หรือชี้แจงนักลงทุน) คือ ผมคิดว่า SE-ED คงรองรับการขายสินค้าที่ไม่ใช่เพียงหนังสืออย่างเดียว หรือที่ใช้คำว่า nonbooks
ผู้บริหารของ SE-ED เล่าว่า ได้ทดลองการขาย nonbooks มาพอสมควร อย่างเช่น การขายคอมพิวเตอร์ การขายโน้ตบุ๊ค การขายโปรแกรมป้องกันไวรัส การขายเครื่อง UPS การรับจองอะไรที่ร้าน ซึ่งประสบความสำเร็จมากพอสมควร ทั้งที่หลายอย่างไม่มีของจริงให้ดูที่ร้านเลย มีแต่เอกสารใบเดียวให้ดู และยังต้องไปรับของเองอีกที่หนึ่ง ก็ยังขายคอมและโน้ตบุ๊คได้เกินหมื่นเครื่อง ขณะที่ 7-11 ก็ขายเช่นเดียวกันในระยะเวลาเดียวกัน โดยมีสาขามากกว่ากันอย่างเทียบไม่ติด แต่ได้เพียงพันเครื่อง แสดงว่ากลุ่มลูกค้าของ SE-ED พร้อมที่จะสนใจสินค้าพิเศษมากกว่า (อีกส่วนหนึ่งที่ยืนยันเรื่องนี้ คือ การรับจองเสื้อยืดเฉลิมฉลองการครองราชย์ 60 ปี ที่ผู้บริหารให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เมื่อไม่นานมานี้ ว่ารับจองไปแสนกว่าตัว ทั้งที่ราคาแพงกว่าเสื้อยืดปกติ และกว่าจะได้ต้องคอยการผลิตเป็นเดือน แต่ลูกค้าก็คอย โดยไม่ขอคืนเงินคาจอง)
การมีระบบ Logistics และระบบการรับสั่งซื้อออนไลน์ที่ดี จะช่วยให้ SE-ED รองรับการขายสินค้า nonbooks ได้ เพระไม่ต้องสต็อคที่สาขาซึ่งมีความเสี่ยงที่อาจจะขายไม่ได้ในหลายสาขา
ผมคิดว่า SE-ED คงประเมินแล้วว่านี้จะเป็นแนวทางการเติบโตที่จะเพิ่มยอดขาย และกำไรได้มากขึ้นคุ้มค่าการลงทุน และเป็นการสร้างจุดต่างอะไรบางอย่างให้กับ SE-ED ได้ในอนาคต
ส่วนใหญ่ที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ ผมเก็บความมาจากการที่ผู้บริหาร SE-ED เล่าให้ฟังในงานพบนักลงทุนที่ตลาดหลักทรัพย์เมื่อหลายเดือนก่อน ซึ่งชี้แจงแบบละเอียด แต่ผู้บริหารได้ออกตัวก่อนว่าอะไรที่เป็นความลับในทางธุรกิจจริงๆ ที่ยังไม่พร้อมจะเปิดเผย จะขอเล่าแต่ทิศทาง แต่ยังจะขอไม่เล่าวิธีการ ถ้าจำไม่ผิด ใช้เวลาชี้แจงนานถึงร่วม 3 ชั่วโมง จนไม่มีใครถามอีกนั่นแหละถึงได้เลิก ขณะที่บริษัทอื่นจะชี้แจงเพียงครึ่งชั่วโมงถึง 1.5 ชั่วโมงเท่านั้น
ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับท่านที่สนใจ SE-ED จึงมาเล่าให้ฟังต่อ
ส่วน HomePro ผมไม่ได้ตามครับ จึงไม่มีข้อมูล เชิญท่านที่รู้เรื่องมาเสริมต่ออีกทีก็แล้วกัน
ถ้าผมจำไม่ผิด ผู้บริหารของ SE-ED เคยชี้แจงกับนักลงทุนเรื่องผลกระทบของการสั่งซื้อพวกออนไลน์ว่า ในเมืองไทยนั้นยอดขายหนังสือออนไลน์รายใหญ่ที่สุด ยอดขายน้อยเพียงแค่พอๆ กับยอดขายของร้านหนังสือขนาดเล็กร้านหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ได้มากมายอะไรให้น่าวิตกว่าจะมาทำให้คนไม่ไปเดินร้านหนังสือ ยิ่งถ้าร้านหนังสืออย่าง SE-ED กระจายตัวมากขึ้น ความจำเป็นที่จะต้องสั่งซื้ออนไลน์ก็ลดลง เห็นของจริงได้เปิดดู คงอุ่นใจกว่าจะซื้อแบบมองไม่เห็นเลย
ทีนี้ถ้าถามแล้วว่า ในเมือ่ข้อมูลป็นแบบนี้ ทำไม SE-ED จึงยังลงทุนระบบ Logistics และโครงสร้างพื้นฐานรองรับการสั่งซื้อจากทุกจุดในเมืองไทย ??
ผู้บริหารของ SE-ED ชี้แจงว่า เพราะแนวโน้มการเปิดร้านหนังสือในอนาคตจะมีขนาดเล็กลงตามแนวโน้มขนาดของของพวกโมเดิร์นเทรดรายใหญ่ที่มีขนาดเล็กลง เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายผังเมืองที่บีบการเติบโตของรายใหญ่ และประกอบกับนโยบายการรุกในระดับอำเภอขนาดใหญ่ของ SE-ED จึงทำให้ร้านหนังสือของ SE-ED บรรจุหนังสือได้น้อยลง โจทย์ของ SE-ED คือ ทำอย่างไรให้ร้านหนังสือขนาดเล็กของ SE-ED (รวมถึง kiosk ตามที่ผู้บริหารได้ยกตัวอย่าง) สามารถให้บริการได้เท่ากับร้านใหญ่ เพื่อให้ทุกคนที่แวะมาร้าน SE-ED แล้วจะได้หนังสือที่ต้องการแน่นอน พูดง่ายๆ คือ ในร้านไม่มี ก็สั่งซื้อผ่านระบบออนไลน์ของร้านเองได้ และได้ในเวลาอันรวดเร็วจนไม่ต้องดิ้นรนไปหาซื้อที่ร้านอื่น
อีกส่วนหนึ่ง คงรองรับคนที่ไม่ได้มาร้านหนังสือบ่อย แต่พอจะแวะมาได้ถ้ารู้ว่ามี ก็สั่งซื้อจากที่บ้านได้เลย คือ มีอารมณ์อยากอ่านเล่มไหนที่รู้ชัดเจนแล้ว ก็สั่งซื้อล่วงหน้าแล้วค่อยแวะมารับที่ร้าน ที่ไม่ให้มาส่งถึงบ้านเพื่อลดค่าขนส่งลง ตรงนี้ผู้บริหารเล่าว่าจะช่วยทำให้ลูกค้าต้องแวะมาที่ร้าน และอาจจะเห็นหนังสือที่น่าสนใจเพิ่มขึ้น และซื้อหนังสือมากกว่าที่ต้งใจมารับได้
ส่วนการสั่งซื้อออนไลน์จากนอกร้านและไม่ได้แวมารับที่ร้าน คงรองรับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ห่างไกลร้านหนังสือ หรืออยู่ห่างไกลปืนเที่ยงจนไม่สะดวกจะแวะร้านหนังสือได้บ่อย อย่างอำเภอขนาดเล็ก หรือตำบล หรือหมู่บ้าน ซึ่งคนเหล่านี้อาจต้องการหนังสือที่ชัดเจนจนรู้จักชื่อหนังสือแล้ว การสั่งซื้อจะง่าย ยอดขายจากคนเหล่านี้น่าจะมีไม่เยอะนัก แต่คงเสริมภาพพจน์ของ SE-ED อย่างที่ผู้บริหารใช้คำว่า ต้องการทำให้ "ทุกคนที่มีอารมณ์อยากได้หนังสือ คิดถึง SE-ED"
อีกส่วนหนึ่ง ที่ SE-ED ลงทุนระบบ Logistics อย่างเอาเป็นเอาตาย (เพราะเป็นประเด็นที่เน้นมาโดบตลอดในการแถลงข่าว หรือชี้แจงนักลงทุน) คือ ผมคิดว่า SE-ED คงรองรับการขายสินค้าที่ไม่ใช่เพียงหนังสืออย่างเดียว หรือที่ใช้คำว่า nonbooks
ผู้บริหารของ SE-ED เล่าว่า ได้ทดลองการขาย nonbooks มาพอสมควร อย่างเช่น การขายคอมพิวเตอร์ การขายโน้ตบุ๊ค การขายโปรแกรมป้องกันไวรัส การขายเครื่อง UPS การรับจองอะไรที่ร้าน ซึ่งประสบความสำเร็จมากพอสมควร ทั้งที่หลายอย่างไม่มีของจริงให้ดูที่ร้านเลย มีแต่เอกสารใบเดียวให้ดู และยังต้องไปรับของเองอีกที่หนึ่ง ก็ยังขายคอมและโน้ตบุ๊คได้เกินหมื่นเครื่อง ขณะที่ 7-11 ก็ขายเช่นเดียวกันในระยะเวลาเดียวกัน โดยมีสาขามากกว่ากันอย่างเทียบไม่ติด แต่ได้เพียงพันเครื่อง แสดงว่ากลุ่มลูกค้าของ SE-ED พร้อมที่จะสนใจสินค้าพิเศษมากกว่า (อีกส่วนหนึ่งที่ยืนยันเรื่องนี้ คือ การรับจองเสื้อยืดเฉลิมฉลองการครองราชย์ 60 ปี ที่ผู้บริหารให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เมื่อไม่นานมานี้ ว่ารับจองไปแสนกว่าตัว ทั้งที่ราคาแพงกว่าเสื้อยืดปกติ และกว่าจะได้ต้องคอยการผลิตเป็นเดือน แต่ลูกค้าก็คอย โดยไม่ขอคืนเงินคาจอง)
การมีระบบ Logistics และระบบการรับสั่งซื้อออนไลน์ที่ดี จะช่วยให้ SE-ED รองรับการขายสินค้า nonbooks ได้ เพระไม่ต้องสต็อคที่สาขาซึ่งมีความเสี่ยงที่อาจจะขายไม่ได้ในหลายสาขา
ผมคิดว่า SE-ED คงประเมินแล้วว่านี้จะเป็นแนวทางการเติบโตที่จะเพิ่มยอดขาย และกำไรได้มากขึ้นคุ้มค่าการลงทุน และเป็นการสร้างจุดต่างอะไรบางอย่างให้กับ SE-ED ได้ในอนาคต
ส่วนใหญ่ที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ ผมเก็บความมาจากการที่ผู้บริหาร SE-ED เล่าให้ฟังในงานพบนักลงทุนที่ตลาดหลักทรัพย์เมื่อหลายเดือนก่อน ซึ่งชี้แจงแบบละเอียด แต่ผู้บริหารได้ออกตัวก่อนว่าอะไรที่เป็นความลับในทางธุรกิจจริงๆ ที่ยังไม่พร้อมจะเปิดเผย จะขอเล่าแต่ทิศทาง แต่ยังจะขอไม่เล่าวิธีการ ถ้าจำไม่ผิด ใช้เวลาชี้แจงนานถึงร่วม 3 ชั่วโมง จนไม่มีใครถามอีกนั่นแหละถึงได้เลิก ขณะที่บริษัทอื่นจะชี้แจงเพียงครึ่งชั่วโมงถึง 1.5 ชั่วโมงเท่านั้น
ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับท่านที่สนใจ SE-ED จึงมาเล่าให้ฟังต่อ
ส่วน HomePro ผมไม่ได้ตามครับ จึงไม่มีข้อมูล เชิญท่านที่รู้เรื่องมาเสริมต่ออีกทีก็แล้วกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
ทำไมit hmpro se-ed ถึงไม่พัฒนา การขายสินค้าออนไลน์
โพสต์ที่ 13
ผมมองว่าเป็นการดีครับ
เพิ่งเริ่มทำก็ถือว่าเริ่มก้าว
เพราะก้าวแรกเป็นก้าวที่สำคัญ
เรื่องพวกนี้คือ
ถ้าหากอยู่ที่ไกลๆ ในชนบทจะมาเข้ากรุงที่จะลำบาก
onlineเป็นเรื่องจำเป็นแก่พวกเขาครับ
ถ้าดูภาพนี้แสดงว่าผู้บริหารมั่นใจว่าต่อไปในประเทศไทย
internetจะไปยังทุกคน คนมีรายได้ดีขึ้นสามารถซื้อหนังสือได้เอง สิ่งที่จะตามมาคือ ผู้บริหารต้องคิดถึง ขั้นตอนการจัดส่งและคลังสินค้า ว่าจะบริหารอย่างไง
ในต่างประเทศมีตัวอย่างของอะเมซอน ซึ่งลงทุนทางด้านนี้มากมาย เพราะเขาเป็นร้านหนังสือonlineไม่มีร้านเป็นของตัวเอง ตอนนี้ก็พัฒนาการขายไปมาก การส่งสินค้ามีหลายแบบอีกอย่าง
เนี่ยคือสิ่งที่พัฒนาต่อไปเรื่อยๆ
ปล.สิ่งพวกนี้ต้องระวังเรื่องความปลอดภัย
เพราะ ระยะหลังๆ ข่าวทางด้านนี้ออกมาถี่ขึ้น
ปีหนึ่งๆๆ มีความเสียหายจากเรื่องนี้มากขึ้น
ผู้บริหารต้องมองสิ่งนี้ควบคู่ไปด้วย
กันได้ดีกว่าแก้ไขครับ
เพราะตอนนี้ใครมีข้อมูลที่มากกว่าได้เปรียบ
เพิ่งเริ่มทำก็ถือว่าเริ่มก้าว
เพราะก้าวแรกเป็นก้าวที่สำคัญ
เรื่องพวกนี้คือ
ถ้าหากอยู่ที่ไกลๆ ในชนบทจะมาเข้ากรุงที่จะลำบาก
onlineเป็นเรื่องจำเป็นแก่พวกเขาครับ
ถ้าดูภาพนี้แสดงว่าผู้บริหารมั่นใจว่าต่อไปในประเทศไทย
internetจะไปยังทุกคน คนมีรายได้ดีขึ้นสามารถซื้อหนังสือได้เอง สิ่งที่จะตามมาคือ ผู้บริหารต้องคิดถึง ขั้นตอนการจัดส่งและคลังสินค้า ว่าจะบริหารอย่างไง
ในต่างประเทศมีตัวอย่างของอะเมซอน ซึ่งลงทุนทางด้านนี้มากมาย เพราะเขาเป็นร้านหนังสือonlineไม่มีร้านเป็นของตัวเอง ตอนนี้ก็พัฒนาการขายไปมาก การส่งสินค้ามีหลายแบบอีกอย่าง
เนี่ยคือสิ่งที่พัฒนาต่อไปเรื่อยๆ
ปล.สิ่งพวกนี้ต้องระวังเรื่องความปลอดภัย
เพราะ ระยะหลังๆ ข่าวทางด้านนี้ออกมาถี่ขึ้น
ปีหนึ่งๆๆ มีความเสียหายจากเรื่องนี้มากขึ้น
ผู้บริหารต้องมองสิ่งนี้ควบคู่ไปด้วย
กันได้ดีกว่าแก้ไขครับ
เพราะตอนนี้ใครมีข้อมูลที่มากกว่าได้เปรียบ