อัตราการเติบโตของบริษัท
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
อัตราการเติบโตของบริษัท
โพสต์ที่ 1
บริษัท A
มีรายได้ 100 ล้านบาท
ต้นทุน (70%) 70 ล้านบาท
ค่าเสื่อมราคา 15 ล้านบาท
ค่าใช้จ่าย 10 ล้านบาท
กำไรก่อนภาษี 5 ล้านบาท
ภาษีเงินได้ 1.25 ล้านบาท
กำไรสุทธิ 3.75 ล้านบาท
กำไรสุทธิ + ค่าเสื่อม 18.75 ล้านบาท
-----------------------------------------------------------------------------------
ปีต่อมารายได้โต 20%
รายได้ 120 ล้านบาท
ต้นทุน 84 ล้านบาท
ค่าเสื่อมราคา 15 ล้านบาท
ค่าใช้จ่าย(เพิ่ม 5%) 10.50 ล้านบาท
กำไรก่อนภาษี 10.50 ล้านบาท
ภาษีเงินได้ 2.625 ล้านบาท
กำไรสุทธิ 7.875 ล้านบาท
กำไรสุทธิ + ค่าเสื่อม 22.875 ล้านบาท
-----------------------------------------------------------------------------------
อัตราการเติบโตของบริษัทควรเป็นเท่าไร
ก.คิดจากยอดขาย เพิ่มขึ้น 20% จาก 100 ล้านบาทเป็น 120 ล้านบาท
ข. คิดจากกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 110% จาก 3.75 ล้านบาท เป็น 7.875 ล้านบาท
ค. คิดจากเงินสดจากการดำเนินงาน (กำไรสุทธิ + ค่าเสื่อมราคา) เพิ่มขึ้น 22% จาก 18.75 ล้านบาท เป็น 22.875 ล้านบาท
มูลค่าของบริษัทควรเพิ่มขึ้นในระดับไหนครับ
-------------------------------------------------------------------------------------
มีรายได้ 100 ล้านบาท
ต้นทุน (70%) 70 ล้านบาท
ค่าเสื่อมราคา 15 ล้านบาท
ค่าใช้จ่าย 10 ล้านบาท
กำไรก่อนภาษี 5 ล้านบาท
ภาษีเงินได้ 1.25 ล้านบาท
กำไรสุทธิ 3.75 ล้านบาท
กำไรสุทธิ + ค่าเสื่อม 18.75 ล้านบาท
-----------------------------------------------------------------------------------
ปีต่อมารายได้โต 20%
รายได้ 120 ล้านบาท
ต้นทุน 84 ล้านบาท
ค่าเสื่อมราคา 15 ล้านบาท
ค่าใช้จ่าย(เพิ่ม 5%) 10.50 ล้านบาท
กำไรก่อนภาษี 10.50 ล้านบาท
ภาษีเงินได้ 2.625 ล้านบาท
กำไรสุทธิ 7.875 ล้านบาท
กำไรสุทธิ + ค่าเสื่อม 22.875 ล้านบาท
-----------------------------------------------------------------------------------
อัตราการเติบโตของบริษัทควรเป็นเท่าไร
ก.คิดจากยอดขาย เพิ่มขึ้น 20% จาก 100 ล้านบาทเป็น 120 ล้านบาท
ข. คิดจากกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 110% จาก 3.75 ล้านบาท เป็น 7.875 ล้านบาท
ค. คิดจากเงินสดจากการดำเนินงาน (กำไรสุทธิ + ค่าเสื่อมราคา) เพิ่มขึ้น 22% จาก 18.75 ล้านบาท เป็น 22.875 ล้านบาท
มูลค่าของบริษัทควรเพิ่มขึ้นในระดับไหนครับ
-------------------------------------------------------------------------------------
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
อัตราการเติบโตของบริษัท
โพสต์ที่ 3
พี่ฉัตรชัยมาได้จังหวะพอดี
ผมชอบข้อ ค.ครับ บริษัทนี้โต 22%ครับ
มีCaseที่น่าสนใจมากอยู่เช่น กำไรไม่โตแถมลดลง ปรากฎว่า กระแสเงินสดโต 4เท่าตัว อย่างนี้เรียกว่าโตได้ไหมครับ
ผมชอบข้อ ค.ครับ บริษัทนี้โต 22%ครับ
มีCaseที่น่าสนใจมากอยู่เช่น กำไรไม่โตแถมลดลง ปรากฎว่า กระแสเงินสดโต 4เท่าตัว อย่างนี้เรียกว่าโตได้ไหมครับ
เป็นบุญหนักหนาเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย เป็นคนไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
-
- Verified User
- โพสต์: 743
- ผู้ติดตาม: 0
อัตราการเติบโตของบริษัท
โพสต์ที่ 8
ขอเรียนถาม เป็นไปได้เหรอครับ ในกรณีไหนMon money เขียน:พี่ฉัตรชัยมาได้จังหวะพอดี
ผมชอบข้อ ค.ครับ บริษัทนี้โต 22%ครับ
มีCaseที่น่าสนใจมากอยู่เช่น กำไรไม่โตแถมลดลง ปรากฎว่า กระแสเงินสดโต 4เท่าตัว อย่างนี้เรียกว่าโตได้ไหมครับ
จากหนังสือ ท่านแม่ทัพบอกว่า
FCF = nopat+D&A+CAPEX-deltaWC
แล้วถ้า NOPAT ติดลบ เป็นไปได้ที่ตัวที่เหลือจะทำให้ FCF เพิ่ม 4 เท่า โดยเป็นการเพิ่มที่พื้นฐานบริษัทเหรอครับ
ขอความรู้ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 743
- ผู้ติดตาม: 0
อัตราการเติบโตของบริษัท
โพสต์ที่ 9
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วขอถามต่อเลยครับ มีคำถามที่สงสัยพอดี
บริษัทๆหนึ่ง ถ้าวัดการเติบโตด้วย FCF ถ้าโตมากๆ แสดงว่าบริษัทมีมูลค่ามากขึ้นๆ แต่ถ้าสมมติว่าบริษัทนี้มีนโยบายขยายงาน ไม่จ่ายปันผล ในช่วง 5 ปีที่คิดว่าอัตราเติบโตจะสูง VI จะชอบไหมครับ
ที่ผมสงสัยคือ เราลงทุน ต้องการผลตอบแทน ในกรณีนี้ สมมติว่า โตจริง เราถือหุ้นอยู่จริง แต่ถ้า ถึงปลายปีที่ 5 เรายังไม่ได้ปันผลสักบาท เกิดบริษัทขาดทุนมหาศาลด้วยเหตุอะไรก็ตามที่เหนือความคาดหมาย ทำให้ FCF ลด ราคาตกลงมาเท่าเดิม เท่ากับว่าเราไม่ได้อะไรเลย เพราะหุ้นเราก็ไม่ได้ขาย เนื่องจากราคา ขึ้นไป เหมาะสมกับพื้นฐาน ยังไม่มี indication ในการขายของ VI
ผมเลยกำลังสงสัยว่า ที่ซื้อลงทุนอย่างนี้ ถูกจริงหรือไม่ครับ
ขอแนวคิดครับ
บริษัทๆหนึ่ง ถ้าวัดการเติบโตด้วย FCF ถ้าโตมากๆ แสดงว่าบริษัทมีมูลค่ามากขึ้นๆ แต่ถ้าสมมติว่าบริษัทนี้มีนโยบายขยายงาน ไม่จ่ายปันผล ในช่วง 5 ปีที่คิดว่าอัตราเติบโตจะสูง VI จะชอบไหมครับ
ที่ผมสงสัยคือ เราลงทุน ต้องการผลตอบแทน ในกรณีนี้ สมมติว่า โตจริง เราถือหุ้นอยู่จริง แต่ถ้า ถึงปลายปีที่ 5 เรายังไม่ได้ปันผลสักบาท เกิดบริษัทขาดทุนมหาศาลด้วยเหตุอะไรก็ตามที่เหนือความคาดหมาย ทำให้ FCF ลด ราคาตกลงมาเท่าเดิม เท่ากับว่าเราไม่ได้อะไรเลย เพราะหุ้นเราก็ไม่ได้ขาย เนื่องจากราคา ขึ้นไป เหมาะสมกับพื้นฐาน ยังไม่มี indication ในการขายของ VI
ผมเลยกำลังสงสัยว่า ที่ซื้อลงทุนอย่างนี้ ถูกจริงหรือไม่ครับ
ขอแนวคิดครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
อัตราการเติบโตของบริษัท
โพสต์ที่ 11
อัตราการเติบโตของ FCF ย่อมเป็นปัจจัยในการประเมินราคาที่เหมาะสม
แต่สิ่งที่ละเลยไม่ได้และสำคัญกว่า ก็คือ ความมั่นคงและความแน่นอนของ FCF ที่เราประเมินครับ
แต่ถ้าเกิดเหตุสุดวิสัยจริงๆ ก็คงต้องพิจารณาว่าเป็นปัจจัยเพียงชั่วคราวเพียงปีเดียวหรือไม่ ถ้าเป็นแบบถาวรก็คงต้องทำใจขายครับ
ผมเองนั้นไม่ชอบบริษัทที่เติบโตมากจนผิดธรรมชาติ เพราะราคาหุ้นก็มักจะสูง และอาจมีสิ่งบางอย่างซ้อนอยู่
แต่สิ่งที่ละเลยไม่ได้และสำคัญกว่า ก็คือ ความมั่นคงและความแน่นอนของ FCF ที่เราประเมินครับ
แต่ถ้าเกิดเหตุสุดวิสัยจริงๆ ก็คงต้องพิจารณาว่าเป็นปัจจัยเพียงชั่วคราวเพียงปีเดียวหรือไม่ ถ้าเป็นแบบถาวรก็คงต้องทำใจขายครับ
ผมเองนั้นไม่ชอบบริษัทที่เติบโตมากจนผิดธรรมชาติ เพราะราคาหุ้นก็มักจะสูง และอาจมีสิ่งบางอย่างซ้อนอยู่
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
- apichai214
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 207
- ผู้ติดตาม: 0
อัตราการเติบโตของบริษัท
โพสต์ที่ 12
ตอบข้อ ค. ครับ ถ้าค่าเสื่อมราคามาจากสินทรัพย์ประเภทที่ดิน อาคาร แต่ถ้าเป็นค่าเสื่อมราคามาจากพวกเครื่องจักรผมตอบข้อ ข.ครับ
- worapong
- Verified User
- โพสต์: 929
- ผู้ติดตาม: 0
อัตราการเติบโตของบริษัท
โพสต์ที่ 13
ผมขอถามต่อนะครับว่า ควรแล้วหรือที่เราจะเอาสิ่งที่เกิดขึ้นปีต่อปี เพื่อเอามาประเมินสิ่งที่จะเกิดขึ้นอีกหลายๆปีข้างหน้าครับ ผมสงสัยมากเพราะว่าตามตำราเค้าก็บอกว่าให้ดูเรื่องระยะยาว แต่เท่าที่เห็น การที่กำไรพุ่งจากไตรมาสก่อน หรือไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ก็ทำให้ราคาหุ้นมันกระโดดทันที เพื่อนๆคิดว่า เราควรมองเรื่องระยะสั้นๆด้วยไหมครับ หรือให้เรามองไปไกลกว่านั้น เช่นผมยกตัวอย่างว่าบางบริษัทที่ระยะยาวสามารถโตได้ปีละ 15% แต่บางบริษัทกำไรโตขึ้นเยอะเป็น 100% แต่เราก็มองไม่ออกว่าอีกห้าปีจะเป็นอย่างไร เราควรจะให้ความสนใจบริษัทไหนมากกว่าครับ
margin of safety
circle of competence
waiting for the perfect pitch
circle of competence
waiting for the perfect pitch
-
- Verified User
- โพสต์: 743
- ผู้ติดตาม: 0
อัตราการเติบโตของบริษัท
โพสต์ที่ 14
มีคนนึงสอนเราตลอดเวลา บอกว่าworapong เขียน:ผมขอถามต่อนะครับว่า ควรแล้วหรือที่เราจะเอาสิ่งที่เกิดขึ้นปีต่อปี เพื่อเอามาประเมินสิ่งที่จะเกิดขึ้นอีกหลายๆปีข้างหน้าครับ ผมสงสัยมากเพราะว่าตามตำราเค้าก็บอกว่าให้ดูเรื่องระยะยาว แต่เท่าที่เห็น การที่กำไรพุ่งจากไตรมาสก่อน หรือไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ก็ทำให้ราคาหุ้นมันกระโดดทันที เพื่อนๆคิดว่า เราควรมองเรื่องระยะสั้นๆด้วยไหมครับ หรือให้เรามองไปไกลกว่านั้น เช่นผมยกตัวอย่างว่าบางบริษัทที่ระยะยาวสามารถโตได้ปีละ 15% แต่บางบริษัทกำไรโตขึ้นเยอะเป็น 100% แต่เราก็มองไม่ออกว่าอีกห้าปีจะเป็นอย่างไร เราควรจะให้ความสนใจบริษัทไหนมากกว่าครับ
"ระยะสั้นตามข่าว ระยะยาวตามผลกำไร"
ผมเข้าใจว่า ผลกำไรที่โตโดดเด่น เป็นไตรมาศ ผมถือว่าเป็นแค่ข่าว
แต่ผลกำไรที่ว่าในสโลแกน หมายความอย่างที่พี่ chatchai ขยายความ คือ เป็นผลกำไรที่มีความมั่นคงและความแน่นอนหรือไม่ ก็คงต้องพิจารณาว่าเป็นปัจจัยเพียงชั่วคราวเพียงปีเดียว ดังนั้นผลกำไรที่ว่าคงต้องพิจารณาเป็นปีขึ้นไป
ขอตอบว่า ถ้าให้ความสนใจบริษัทที่กำไรโตเป็น 100% โดยที่ไม่ได้ดูความมั่นคงในกำไร ก็คงเป็นแค่การเล่นข่าว แต่ถ้าเรามีความมั่นใจในความแน่นอน ก็เป็นการลงทุนตามพื้นฐานครับ
ดังนั้นถึงแม้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นปีต่อปีเหมือนกัน แต่มันก็แล้วแต่คนพิจารณา เป็นได้ทั้งสองอย่าง
ไม่ทราบตอบคำถามรึเปล่าวครับ
พี่ๆ เสริม/แก้ไขด้วยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 320
- ผู้ติดตาม: 0
อัตราการเติบโตของบริษัท
โพสต์ที่ 15
ผมก็สงสัยเหมือนกันครับ
เวลาผลประกอบการหุ้นหนึ่งๆเติบโตขึ้น ตลาดให้ราคาหุ้นนั้นสะท้อนการเติบโตในระดับนั้นไปล่วงหน้าหลายๆปีทีเทียว
คิดว่าต้องลบ ตรรกกะพวกนี้ออกไป แล้วใช้เรื่อง ดีมานด์ซัพพลาย และ จิตวิทยาการลงทุน เข้ามาแทน
growth stock จึงให้ cap gain ที่สูงตราบเท่าที่มันยังสามารถ และตลาดยังคงสมมติฐานอัตราเติบโตแบบนั้นไปเรื่อยๆ
เวลาผลประกอบการหุ้นหนึ่งๆเติบโตขึ้น ตลาดให้ราคาหุ้นนั้นสะท้อนการเติบโตในระดับนั้นไปล่วงหน้าหลายๆปีทีเทียว
คิดว่าต้องลบ ตรรกกะพวกนี้ออกไป แล้วใช้เรื่อง ดีมานด์ซัพพลาย และ จิตวิทยาการลงทุน เข้ามาแทน
growth stock จึงให้ cap gain ที่สูงตราบเท่าที่มันยังสามารถ และตลาดยังคงสมมติฐานอัตราเติบโตแบบนั้นไปเรื่อยๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 320
- ผู้ติดตาม: 0
อัตราการเติบโตของบริษัท
โพสต์ที่ 16
สำหรับ ข้อ ขอไข่
โดยธรรมชาติ net profit ผันผวนมากกว่า sales
อีกอย่าง มัน manipulated ง่ายกว่า sales
การเติบโตต่อเนื่องเป็นสิ่งผิดธรรมชาติ
เพราะทุกบริษัทมี limit resource
ต่อให้ตลาดขยายตัว ทำมาเท่าไหร่และขายได้หมด
สุดท้ายก็ต้องเพิ่มทุน growth ในมุมเจ้าของทุน
ก็ชะลออยู่ดี
สำหรับบริษัทโตเรื่อยๆ แต่ไม่จ่ายปันผลเลยก็ไม่ชอบ
เพราะเรายอมจ่ายเพื่อแลกกับปันผลรับในอนาคต
เอาทุกอย่างไปไว้ที่ตัวบริษัทหมดก็เสี่ยงต่อผู้ถือหุ้นอยู่ดี
โดยธรรมชาติ net profit ผันผวนมากกว่า sales
อีกอย่าง มัน manipulated ง่ายกว่า sales
การเติบโตต่อเนื่องเป็นสิ่งผิดธรรมชาติ
เพราะทุกบริษัทมี limit resource
ต่อให้ตลาดขยายตัว ทำมาเท่าไหร่และขายได้หมด
สุดท้ายก็ต้องเพิ่มทุน growth ในมุมเจ้าของทุน
ก็ชะลออยู่ดี
สำหรับบริษัทโตเรื่อยๆ แต่ไม่จ่ายปันผลเลยก็ไม่ชอบ
เพราะเรายอมจ่ายเพื่อแลกกับปันผลรับในอนาคต
เอาทุกอย่างไปไว้ที่ตัวบริษัทหมดก็เสี่ยงต่อผู้ถือหุ้นอยู่ดี
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 1
อัตราการเติบโตของบริษัท
โพสต์ที่ 18
เห็นด้วยกับพี่เจ๋งครับ .. เพราะปกติมันมักจะมีเงินที่ต้องลงทุนเพิ่มด้วยJeng เขียน:แล้วถ้าปีที่สาม ต้องลงเครื่องจักรใหม่หมด เพราะของเก่าต้องโละทิ้งเป็นเศษเหล็ก เงินสดก็หายไปอีกอะจิ
โจทย์ไม่เคลียร์
ตอบไม่ได้ครับ
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
-
- Verified User
- โพสต์: 200
- ผู้ติดตาม: 0
อัตราการเติบโตของบริษัท
โพสต์ที่ 20
ผมไม่ทราบนะครับว่าพี่ Chatchai พยายามจะบอกอะไร
แต่ตัวอย่างของพี่นั้น ค่าเสื่อมราคา มากกว่า กำไรสุทธิ ถึง 3 เท่า ซึ่งผมยังนึกไม่ออกครับว่าธุรกิจโตเร็วอะไรที่เป็นแบบนี้ และตัวอย่างนี้ยังทำให้ ยอดขาย กับ กำไรสุทธิ + ค่าเสื่อม เติบโตไม่แตกต่างกันมากนัก
ธุรกิจที่จะเติบโตมั่นคงอย่างต่อเนื่องไปอีกหลายๆปีข้างหน้า และมี Net Margin 3%กว่าๆเหมือนตัวอย่างของพี่ Chatchai ผมขอยกตัวอย่าง Modern Trade ละกันนะครับ
น่าจะประมาณๆ ตามนี้ครับ
บริษัท A
มีรายได้ 100 ล้านบาท
ต้นทุน (80%) 80 ล้านบาท
ค่าเสื่อมราคา 3 ล้านบาท
ค่าใช้จ่าย 12 ล้านบาท
กำไรก่อนภาษี 5 ล้านบาท
ภาษีเงินได้ 1.25 ล้านบาท
กำไรสุทธิ 3.75 ล้านบาท
กำไรสุทธิ + ค่าเสื่อม 6.75 ล้านบาท
-----------------------------------------------------------------------------------
ปีต่อมารายได้โต 20%
รายได้ 120 ล้านบาท
ต้นทุน 96 ล้านบาท
ค่าเสื่อมราคา 3 ล้านบาท
ค่าใช้จ่าย(เพิ่ม 5%) 12.50 ล้านบาท
กำไรก่อนภาษี 8.50 ล้านบาท
ภาษีเงินได้ 2.125 ล้านบาท
กำไรสุทธิ 6.4 ล้านบาท
กำไรสุทธิ + ค่าเสื่อม 9.4 ล้านบาท
-----------------------------------------------------------------------------------
อัตราการเติบโตของบริษัทควรเป็นเท่าไร
ก.คิดจากยอดขาย เพิ่มขึ้น 20% จาก 100 ล้านบาทเป็น 120 ล้านบาท
ข. คิดจากกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 68% จาก 3.75 ล้านบาท เป็น 6.4 ล้านบาท
ค. คิดจากเงินสดจากการดำเนินงาน (กำไรสุทธิ + ค่าเสื่อมราคา) เพิ่มขึ้น 38% จาก 6.75 ล้านบาท เป็น 9.4 ล้านบาท
มูลค่าของบริษัทควรเพิ่มขึ้นในระดับไหนครับ
-------------------------------------------------------------------------------------
ผมไม่ค่อยชำนาญเรื่องทฤษฏีทางบัญชีหรือ Finance เท่าไหร่หรอกครับ
แต่สามัญสำนึกของผมบอกว่า
แน่นอน มูลค่าของธุรกิจน่าจะโตมากกว่ายอดขาย เนื่องจากมี Economy of scale นอกจากนี้ธุรกิจจะต้องใช้เงินบางส่วนในการปรับปรุงกิจการให้สามารถแข่งขันได้อยู่ตลอด ดังนั้นผมคิดว่าคำตอบน่าจะอยู่ระหว่างข้อ ข. กับ ข้อ ค.
อย่างไรก็ตาม ถ้าอยู่ในธุรกิจที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะข้อ ข. หรือ ข้อ ค. ก็ดีทั้งนั้น
แต่ตัวอย่างของพี่นั้น ค่าเสื่อมราคา มากกว่า กำไรสุทธิ ถึง 3 เท่า ซึ่งผมยังนึกไม่ออกครับว่าธุรกิจโตเร็วอะไรที่เป็นแบบนี้ และตัวอย่างนี้ยังทำให้ ยอดขาย กับ กำไรสุทธิ + ค่าเสื่อม เติบโตไม่แตกต่างกันมากนัก
ธุรกิจที่จะเติบโตมั่นคงอย่างต่อเนื่องไปอีกหลายๆปีข้างหน้า และมี Net Margin 3%กว่าๆเหมือนตัวอย่างของพี่ Chatchai ผมขอยกตัวอย่าง Modern Trade ละกันนะครับ
น่าจะประมาณๆ ตามนี้ครับ
บริษัท A
มีรายได้ 100 ล้านบาท
ต้นทุน (80%) 80 ล้านบาท
ค่าเสื่อมราคา 3 ล้านบาท
ค่าใช้จ่าย 12 ล้านบาท
กำไรก่อนภาษี 5 ล้านบาท
ภาษีเงินได้ 1.25 ล้านบาท
กำไรสุทธิ 3.75 ล้านบาท
กำไรสุทธิ + ค่าเสื่อม 6.75 ล้านบาท
-----------------------------------------------------------------------------------
ปีต่อมารายได้โต 20%
รายได้ 120 ล้านบาท
ต้นทุน 96 ล้านบาท
ค่าเสื่อมราคา 3 ล้านบาท
ค่าใช้จ่าย(เพิ่ม 5%) 12.50 ล้านบาท
กำไรก่อนภาษี 8.50 ล้านบาท
ภาษีเงินได้ 2.125 ล้านบาท
กำไรสุทธิ 6.4 ล้านบาท
กำไรสุทธิ + ค่าเสื่อม 9.4 ล้านบาท
-----------------------------------------------------------------------------------
อัตราการเติบโตของบริษัทควรเป็นเท่าไร
ก.คิดจากยอดขาย เพิ่มขึ้น 20% จาก 100 ล้านบาทเป็น 120 ล้านบาท
ข. คิดจากกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 68% จาก 3.75 ล้านบาท เป็น 6.4 ล้านบาท
ค. คิดจากเงินสดจากการดำเนินงาน (กำไรสุทธิ + ค่าเสื่อมราคา) เพิ่มขึ้น 38% จาก 6.75 ล้านบาท เป็น 9.4 ล้านบาท
มูลค่าของบริษัทควรเพิ่มขึ้นในระดับไหนครับ
-------------------------------------------------------------------------------------
ผมไม่ค่อยชำนาญเรื่องทฤษฏีทางบัญชีหรือ Finance เท่าไหร่หรอกครับ
แต่สามัญสำนึกของผมบอกว่า
แน่นอน มูลค่าของธุรกิจน่าจะโตมากกว่ายอดขาย เนื่องจากมี Economy of scale นอกจากนี้ธุรกิจจะต้องใช้เงินบางส่วนในการปรับปรุงกิจการให้สามารถแข่งขันได้อยู่ตลอด ดังนั้นผมคิดว่าคำตอบน่าจะอยู่ระหว่างข้อ ข. กับ ข้อ ค.
อย่างไรก็ตาม ถ้าอยู่ในธุรกิจที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะข้อ ข. หรือ ข้อ ค. ก็ดีทั้งนั้น
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
อัตราการเติบโตของบริษัท
โพสต์ที่ 21
ถ้าถามเฉยๆ ว่าโตเท่าไรก็ตอบให้ไม่ได้ ต้องย้อนถามว่าจะถามว่าอะไรโต (ไม่ได้ลามกนะ :lol: ) รายได้โต กำไรโต หรือ cash earnings โต คำว่า โตเฉยๆ ไม่รู้จะตอบยังไง
แต่ถ้าเป็นการถามว่า "โตเท่าไร" เพื่อที่จะวัดมูลค่าหุ้น การที่รายได้โตเกิน 20% ก็ต้องตระหนักว่าจะใช้ FCF/(r-g) เลยไม่ได้ เพราะไม่มีบริษัทใดในโลกที่ g เฉลี่ยตลอดกาลจะสูงได้ถึง 20% (เพราะจะใหญ่กว่าโลกในที่สุด)
ก็เลยต้องเริ่มด้วยการประเมิน FCF ในปีแรกๆ ที่ยังโตสูงอยู่เป็นรายปีก่อน โดยอาศัย g ของ NOPAT ในปัจจุบัน และ แผนการลงทุนในอนาคตของบริษัทเป็น guide ส่วน FCF ของปีไกลๆ ก็ค่อยเข้าสูตร FCF/(r-g) ที่มี g ต่ำๆ
แต่ถ้าเป็นการถามว่า "โตเท่าไร" เพื่อที่จะวัดมูลค่าหุ้น การที่รายได้โตเกิน 20% ก็ต้องตระหนักว่าจะใช้ FCF/(r-g) เลยไม่ได้ เพราะไม่มีบริษัทใดในโลกที่ g เฉลี่ยตลอดกาลจะสูงได้ถึง 20% (เพราะจะใหญ่กว่าโลกในที่สุด)
ก็เลยต้องเริ่มด้วยการประเมิน FCF ในปีแรกๆ ที่ยังโตสูงอยู่เป็นรายปีก่อน โดยอาศัย g ของ NOPAT ในปัจจุบัน และ แผนการลงทุนในอนาคตของบริษัทเป็น guide ส่วน FCF ของปีไกลๆ ก็ค่อยเข้าสูตร FCF/(r-g) ที่มี g ต่ำๆ
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 133
- ผู้ติดตาม: 0
อัตราการเติบโตของบริษัท
โพสต์ที่ 23
ปกติการบอกการเติบโต มันขึ้นอยุ่กับผู้ที่ต้องการสื่อครับ
หลายบริษัทมียอดขายโตมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เนื่องจากภาวะการแข่งขัน หรือจะด้วยสภาพเศรษฐกิจก็ตาม กำไรกลับมีอัตราที่ไม่โตหรือลดลงด้วยซ้ำไป สามารถดูได้จากหลายบริษัทในตลาด
หากท่านเป็นผู้บริหารแล้วมีคนมาถาม แน่นอน คงต้องหยิบยกการเติบโตของยอดขายมากล่าวอ้าง...แล้วเค้าไม่กลัวด้วย หากมีคนช่างสังเกตถามลึกลงไปอีกว่า กำไรมันหดนะ อาจจะน้อยกว่าเดิมก็ได้ ผู้บริหารก็จะสามารถเลือกพลิกไปได้อีกว่า ก็ช่วงนี้การแข่งขันสูงเอย เศรษฐกิจไม่ค่อยดีมั่งล่ะ แต่เราต้องการสร้างส่วนแบ่งในตลาดไว้ก่อน รอวันเศรษฐกิจดีขึ้น รับรองกำไรหลั่งไหลมาแน่ๆ
มีบริษัทไม่น้อยที่ยอดขายมีอัตราการเติบโตน้อยลง แต่อัตรากำไรสูงขึ้น เรียกได้ว่ากำไรมีคุณภาพ บริษัทนี้หากไม่มีกำไรจากแหล่งพิเศษๆ ก็น่าสนใจ เพราะเค้าอาจจะมีการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่มีอัตรากำไรสูงเข้ามามากขึ้น
มีบางท่านสงสัยว่า ทำไมค่าเสื่อมถึงสูงกว่ากำไรเยอะจัง ตอบง่ายๆเลยครับ มาจากหลายสาเหตุมาก เช่น บริษัทเพิ่งเปิดใหม่ๆ ยอดขายและกำไรยังไม่สูง ไม่ก็เป็นค่าเสื่อมจากอาคารสถานที่ที่มีมูลค่าสูงมาก ตัวอย่างเช่น บริษัททำธุรกิจสร้าง apartment ให้เช่า ช่วงแรกๆค่าเสื่อมจากอาคารจะสูงกว่ากำไรมาก เพราะอัตราการเช่าไม่สูง แม้ค่าใช้จ่ายจะต่ำมาก (อาจต่ำเหลือเพียง 30-40%ของยอดขายเท่านั้นเอง)
หากไม่มีเงื่อนไขอื่นๆ ผมยังชอบข้อ ข. เงินสดที่ได้มาจากบวกค่าเสื่อมไม่ค่อยชอบครับ
งูๆปลาๆ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านครับ
หลายบริษัทมียอดขายโตมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เนื่องจากภาวะการแข่งขัน หรือจะด้วยสภาพเศรษฐกิจก็ตาม กำไรกลับมีอัตราที่ไม่โตหรือลดลงด้วยซ้ำไป สามารถดูได้จากหลายบริษัทในตลาด
หากท่านเป็นผู้บริหารแล้วมีคนมาถาม แน่นอน คงต้องหยิบยกการเติบโตของยอดขายมากล่าวอ้าง...แล้วเค้าไม่กลัวด้วย หากมีคนช่างสังเกตถามลึกลงไปอีกว่า กำไรมันหดนะ อาจจะน้อยกว่าเดิมก็ได้ ผู้บริหารก็จะสามารถเลือกพลิกไปได้อีกว่า ก็ช่วงนี้การแข่งขันสูงเอย เศรษฐกิจไม่ค่อยดีมั่งล่ะ แต่เราต้องการสร้างส่วนแบ่งในตลาดไว้ก่อน รอวันเศรษฐกิจดีขึ้น รับรองกำไรหลั่งไหลมาแน่ๆ
มีบริษัทไม่น้อยที่ยอดขายมีอัตราการเติบโตน้อยลง แต่อัตรากำไรสูงขึ้น เรียกได้ว่ากำไรมีคุณภาพ บริษัทนี้หากไม่มีกำไรจากแหล่งพิเศษๆ ก็น่าสนใจ เพราะเค้าอาจจะมีการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่มีอัตรากำไรสูงเข้ามามากขึ้น
มีบางท่านสงสัยว่า ทำไมค่าเสื่อมถึงสูงกว่ากำไรเยอะจัง ตอบง่ายๆเลยครับ มาจากหลายสาเหตุมาก เช่น บริษัทเพิ่งเปิดใหม่ๆ ยอดขายและกำไรยังไม่สูง ไม่ก็เป็นค่าเสื่อมจากอาคารสถานที่ที่มีมูลค่าสูงมาก ตัวอย่างเช่น บริษัททำธุรกิจสร้าง apartment ให้เช่า ช่วงแรกๆค่าเสื่อมจากอาคารจะสูงกว่ากำไรมาก เพราะอัตราการเช่าไม่สูง แม้ค่าใช้จ่ายจะต่ำมาก (อาจต่ำเหลือเพียง 30-40%ของยอดขายเท่านั้นเอง)
หากไม่มีเงื่อนไขอื่นๆ ผมยังชอบข้อ ข. เงินสดที่ได้มาจากบวกค่าเสื่อมไม่ค่อยชอบครับ
งูๆปลาๆ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 577
- ผู้ติดตาม: 0
อัตราการเติบโตของบริษัท
โพสต์ที่ 24
สมมติ รายได้เท่าเดิม กำไรเท่าเดิม
เงินสดมากขึ้น
ข้อ ค. บอกว่าโตขึ้น
....
สมมติ รายได้ลด กำไรลด (ไม่ได้ขาดทุน)
ข้อ ค. ก็บอกว่าโตขึ้น เพราะ เงินสดมากขึ้น
...
งั้นถ้าเรียก ข้อ ค. ใหม่ว่า เป็นการสะสมเงินสด ...
ข้อ ค. ติดลบเมื่อ เงินสดลดลง เช่น ปันผล ลงทุน ...
อย่างนี้ผมเข้าใจถูกหรือเปล่าครับ
เงินสดมากขึ้น
ข้อ ค. บอกว่าโตขึ้น
....
สมมติ รายได้ลด กำไรลด (ไม่ได้ขาดทุน)
ข้อ ค. ก็บอกว่าโตขึ้น เพราะ เงินสดมากขึ้น
...
งั้นถ้าเรียก ข้อ ค. ใหม่ว่า เป็นการสะสมเงินสด ...
ข้อ ค. ติดลบเมื่อ เงินสดลดลง เช่น ปันผล ลงทุน ...
อย่างนี้ผมเข้าใจถูกหรือเปล่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1372
- ผู้ติดตาม: 1
อัตราการเติบโตของบริษัท
โพสต์ที่ 25
ขออนุญาตขุดกระทู้เก่าเก็บหน่อยนะครับ พอดีได้อ่านแล้วเกิดสนใจขึ้นมา และไม่เห็นพี่ chatchai เข้ามาเฉลย
ผมขอเลือกตอบข้อ ง. ถูกทุกข้อครับ เนื่องจากมองการโตคนละมุม
ข้อ ก. มองยอดขายโต
ข้อ ข. มองการโตของกำไรสุทธิ
ข้อ ค. การโตขึ้นจากเงินสดจากการดำเนินงาน
ส่วนมูลค่าของบริษัทน่าจะเพิ่มขึ้นจากเงินสดจากการดำเนินงานนะครับ
อยากดูเฉลยของพี่ chatchai ครับ
ผมขอเลือกตอบข้อ ง. ถูกทุกข้อครับ เนื่องจากมองการโตคนละมุม
ข้อ ก. มองยอดขายโต
ข้อ ข. มองการโตของกำไรสุทธิ
ข้อ ค. การโตขึ้นจากเงินสดจากการดำเนินงาน
ส่วนมูลค่าของบริษัทน่าจะเพิ่มขึ้นจากเงินสดจากการดำเนินงานนะครับ
อยากดูเฉลยของพี่ chatchai ครับ
สติมา ปัญญาเกิด
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
อัตราการเติบโตของบริษัท
โพสต์ที่ 27
ความคิดเห็นและมุมมองด้านต่างๆของเพื่อนๆ มีประโยชน์มากทีเดียวครับsattaya เขียน:อยากดูเฉลยของพี่ chatchai ครับ
เราสามารถอ่านแล้วพินิจพิจารณาเหตุผลแต่ละคนประกอบ อ่านแล้วก็ได้มุมมองที่หลายด้านมากขึ้นกว่าที่เราเคยมอง
ส่วนความคิดของผม ถ้าผมจะถึงว่ากิจการมีการเติบโตมากน้อยเพียงใด ผมคงคิดจากกำไรจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์และหนี้สินหมุนเวียนครับ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
อัตราการเติบโตของบริษัท
โพสต์ที่ 28
มาตอบคำถามคุณฉัตรชัยด้วยคนครับ
ผมว่าเทคนิคในการประเมินมูลค่าหุ้นนั้น ทั้ง 3 คำตอบนั้น ผมใช้หลักคิดในการประเมินมูลค่าดังนี้ครับ
1. ถ้าบริษัทนั้นยังเล็กอยู่ และเป็นบริษัทที่กำลังเติบโตที่สูงมาก และกำไรที่เกิดขึ้นในระยะสั้นจะยังน้อยอยู่มาก คำตอบของผมในการประเมินมูลค่าหุ้นที่เป็น Super growth Stock จะใช้การประเมินมูลค่าหุ้นแบบ ก.ครับ เพราะผมคิดว่า หุ้น Super growth Stock ในช่วงแรก ๆ จะกำไรไม่มากนัก แต่เราเน้นการเติบโตของยอดขายเป็นหลักเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้สูง ๆ ไว้ก่อน เป็นการจองฐานการตลาด เหมือน Modern Trade ช่วงแรก ๆ ครับ ซึ่งอาจดูจากอัตราการเพิ่มของกำไรไม่ได้ ต้องดูการเพิ่มของยอดขายเป็นหลัก
2. ถ้าบริษัทนั้นโตเต็มที่แล้ว และเราหวังผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลจากผลกำไรสุทธิ แบบนี้ผมจะประเมินมูลค่าหุ้นแบบ ข. ครับ เพราะส่วนใหญ่แล้วปันผลจะจ่ายเป็นสัดส่วนจากกำไรสูทธิ แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูกระแสเงินสดประกอบกับกำไรสุทธิด้วย ซึ่งน่าจะเหมาะสำหรับการประเมินมูลค่าหุ้นแบบ Defensive stock โดยเทียบเคียงกับหลักทรัพย์ที่จ่ายผลตอบแทนแน่นอนเช่น พันธบัตร หุ้นกุ้ หรือ เงินฝากประจำ เป็นต้น
3. ถ้าเราต้องการลงทุนแบบเน้นคุณค่าหุ้น โดยดูการ Generate Income กระแสเงินสด ในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ แล้ว และเราต้องการดูว่ากระแสเงินสดที่ได้รับมาคุ้มกับเงินลงทุนในช่วงแรกหรือไม่ โดยมากถ้าเป็นหุ้นที่ Generate Income และประเมินมูลค่าหุ้นแบบโครงการได้ แบบนี้ ผมขอตอบแบบ ค.
ดังนั้นผมคิดว่าคำตอบการประเมินมูลค่าหุ้นนั้น ปกติผมก็ต้องใช้ทั้ง 3 วิธีเหมือนกันครับ อยู่ที่เราต้องการประเมินมูลค่าหุ้นเพื่อลงทุนในลักษณะอย่างไร โดยประเมินให้ตรงกับลักษณะของหุ้นที่ลงทุน และพฤติกรรมการลงทุนของเราด้วยครับ
แต่ถ้าถามความเห็นเฉพาะ ผมก็ชอบแบบที่ 3 ครับ เพราะสามารถประเมินผลตอบแทนเพื่อเทียบความคุ้มค่ากับเงินลงทุนได้ชัดเจนดีครับ เพียงแต่ต้องมีข้อมูลเพื่อคาดการณ์กระแสเงินสดในอนาคตได้ระดับหนึ่ง และความเสี่ยงของกระแสเงินสดรับนั้น มีความผันผวนไม่มากนักครับ :lol:
ผมว่าเทคนิคในการประเมินมูลค่าหุ้นนั้น ทั้ง 3 คำตอบนั้น ผมใช้หลักคิดในการประเมินมูลค่าดังนี้ครับ
1. ถ้าบริษัทนั้นยังเล็กอยู่ และเป็นบริษัทที่กำลังเติบโตที่สูงมาก และกำไรที่เกิดขึ้นในระยะสั้นจะยังน้อยอยู่มาก คำตอบของผมในการประเมินมูลค่าหุ้นที่เป็น Super growth Stock จะใช้การประเมินมูลค่าหุ้นแบบ ก.ครับ เพราะผมคิดว่า หุ้น Super growth Stock ในช่วงแรก ๆ จะกำไรไม่มากนัก แต่เราเน้นการเติบโตของยอดขายเป็นหลักเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้สูง ๆ ไว้ก่อน เป็นการจองฐานการตลาด เหมือน Modern Trade ช่วงแรก ๆ ครับ ซึ่งอาจดูจากอัตราการเพิ่มของกำไรไม่ได้ ต้องดูการเพิ่มของยอดขายเป็นหลัก
2. ถ้าบริษัทนั้นโตเต็มที่แล้ว และเราหวังผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลจากผลกำไรสุทธิ แบบนี้ผมจะประเมินมูลค่าหุ้นแบบ ข. ครับ เพราะส่วนใหญ่แล้วปันผลจะจ่ายเป็นสัดส่วนจากกำไรสูทธิ แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูกระแสเงินสดประกอบกับกำไรสุทธิด้วย ซึ่งน่าจะเหมาะสำหรับการประเมินมูลค่าหุ้นแบบ Defensive stock โดยเทียบเคียงกับหลักทรัพย์ที่จ่ายผลตอบแทนแน่นอนเช่น พันธบัตร หุ้นกุ้ หรือ เงินฝากประจำ เป็นต้น
3. ถ้าเราต้องการลงทุนแบบเน้นคุณค่าหุ้น โดยดูการ Generate Income กระแสเงินสด ในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ แล้ว และเราต้องการดูว่ากระแสเงินสดที่ได้รับมาคุ้มกับเงินลงทุนในช่วงแรกหรือไม่ โดยมากถ้าเป็นหุ้นที่ Generate Income และประเมินมูลค่าหุ้นแบบโครงการได้ แบบนี้ ผมขอตอบแบบ ค.
ดังนั้นผมคิดว่าคำตอบการประเมินมูลค่าหุ้นนั้น ปกติผมก็ต้องใช้ทั้ง 3 วิธีเหมือนกันครับ อยู่ที่เราต้องการประเมินมูลค่าหุ้นเพื่อลงทุนในลักษณะอย่างไร โดยประเมินให้ตรงกับลักษณะของหุ้นที่ลงทุน และพฤติกรรมการลงทุนของเราด้วยครับ
แต่ถ้าถามความเห็นเฉพาะ ผมก็ชอบแบบที่ 3 ครับ เพราะสามารถประเมินผลตอบแทนเพื่อเทียบความคุ้มค่ากับเงินลงทุนได้ชัดเจนดีครับ เพียงแต่ต้องมีข้อมูลเพื่อคาดการณ์กระแสเงินสดในอนาคตได้ระดับหนึ่ง และความเสี่ยงของกระแสเงินสดรับนั้น มีความผันผวนไม่มากนักครับ :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 1104
- ผู้ติดตาม: 0
อัตราการเติบโตของบริษัท
โพสต์ที่ 29
1. ถ้าผมเป็นเจ้าของบริษัท หรือ IR ผมจะเลือกข้อ ก
เเละให้ข่าวเยอะๆว่าบริษัทโตเร็วมักๆ
2. ถ้าผมเป็น Broker ก็จะเลือกข้อ ข. กำไรสุทธิโต P/E เท่านี้ ราคาเป้าหมาย เท่าไหร่......
3. ถ้าเป็น VI ก็คงเลือกข้อ ค.
เเต่ผมเคยเจอ Case นึงที่ กำไรสุทธิ เท่าเดิม เเต่ กำไร+ค่าเสื่อม เพิ่มขึ้น ก็งงๆ ว่ามัน โตเหรอ เป่า ??
8)
เเละให้ข่าวเยอะๆว่าบริษัทโตเร็วมักๆ
2. ถ้าผมเป็น Broker ก็จะเลือกข้อ ข. กำไรสุทธิโต P/E เท่านี้ ราคาเป้าหมาย เท่าไหร่......
3. ถ้าเป็น VI ก็คงเลือกข้อ ค.
เเต่ผมเคยเจอ Case นึงที่ กำไรสุทธิ เท่าเดิม เเต่ กำไร+ค่าเสื่อม เพิ่มขึ้น ก็งงๆ ว่ามัน โตเหรอ เป่า ??
8)