steel ผมสนใจตัวนี้ใครมีข้อมูลบ้างครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 54
- ผู้ติดตาม: 0
steel ผมสนใจตัวนี้ใครมีข้อมูลบ้างครับ
โพสต์ที่ 1
บังเอิญ มีโรงงานผลิตแผ่นอลูซิ้ง เปิดแถวบ้าน แบบ STEEL เปิดมาปีกว่าแล้วผมรู้จักกับเจ้าของโรงงาน เจ้าของ จบจากจุฬา2-3ปีเปิดโรงงาน สั่งของแต่ละทีสั่งเป็นเดือนกว่าจะได้
ก็เลยสนใจมันขายดีขนาดนั้นเชียวหรือ
ก็เลยสนใจมันขายดีขนาดนั้นเชียวหรือ
ฉันจะไป...ฉันต้องการจะไป
-
- Verified User
- โพสต์: 54
- ผู้ติดตาม: 0
steel ผมสนใจตัวนี้ใครมีข้อมูลบ้างครับ
โพสต์ที่ 3
เคยเข้าไปดูในโรงงาน เห็นม้วนเหล็กเต็มไปหมด เหมือนม้วนกระดาษดาษทิชชู่แต่ใหญ่กว่ามาก สูงประมาณ1เมตร-1.5เมตร วางนอน
แล้วเข้าเครื่องรีด แบบเครื่องรีดปลาหมึกแห้ง 3 ตัว20บ. อยากได้ความยาวกี่เมตร ก็ตัดเอา เห็นบอกว่าทำได้ 60 ม.
แล้วเข้าเครื่องรีด แบบเครื่องรีดปลาหมึกแห้ง 3 ตัว20บ. อยากได้ความยาวกี่เมตร ก็ตัดเอา เห็นบอกว่าทำได้ 60 ม.
ฉันจะไป...ฉันต้องการจะไป
- nano
- Verified User
- โพสต์: 447
- ผู้ติดตาม: 0
steel ผมสนใจตัวนี้ใครมีข้อมูลบ้างครับ
โพสต์ที่ 4
-
- Verified User
- โพสต์: 6853
- ผู้ติดตาม: 0
steel ผมสนใจตัวนี้ใครมีข้อมูลบ้างครับ
โพสต์ที่ 5
. ความเสี่ยงจากการพึ่งพาวัตถุดิบจากบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่
บริษัทซื้อวัตถุดิบหลัก คือ แผ่นเหล็กรีดเย็นเคลือบสังกะสีผสมอลูมิเนียมชนิดเคลือบสีและไม่เคลือบสี ทั้งหมดจากบริษัท บลูสโคป สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (บลูสโคป สตีล) คิดเป็นมูลค่าโดยเฉลี่ยร้อยละ 86.64 ของวัตถุดิบทั้งหมด ดังนั้นหากบลูสโคป สตีล มีนโยบายยกเลิกการผลิต หรือหยุดการจำหน่ายสินค้าให้แก่บริษัท อาจส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม บลูสโคป สตีล เป็นผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดเย็นเคลือบสังกะสีผสมอลูมิเนียมรายใหญ่ เป็นผู้ผลิตเหล็กแผ่นเคลือบสีหนึ่งในสองรายของประเทศไทย และเป็นบริษัทลูกของ BlueScope Steel Limited บริษัทผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดในประเทศออสเตรเลีย กำลังการผลิตแผ่นเหล็กเคลือบทั้งหมดของ บลูสโคป สตีล ปัจจุบันมีประมาณ 270,000 ตันต่อปี และกำลังขยายเป็น 470,000 ตันต่อปี ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2549 ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการแผ่นเหล็กเคลือบในตลาดปัจจุบัน ทำให้ความเสี่ยงจากการหยุดจำหน่ายสินค้าให้บริษัทเนื่องจากสินค้าขาดแคลนอยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ บลูสโคป สตีล จะกำหนดราคาขายและเงื่อนไขในการจ่ายเงินสำหรับลูกค้าแต่ละรายโดยพิจารณาจากปริมาณการซื้อและความต่อเนื่องในการสั่งซื้อ บริษัทซึ่งทำการค้ากับ บลูสโคป สตีล มาเป็นเวลานาน โดยได้สั่งซื้อวัตถุดิบหลักทั้งหมดอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2540 และไม่เคยมีปัญหาในการชำระหนี้ ได้รับการจัดอันดับอยู่ในระดับลูกค้าชั้นดี (red customer) ของบลูสโคป สตีล โดยยอดขายที่ บลูสโคป สตีลขายให้กับบริษัทคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 4 ของยอดขายรวม และบริษัทยังได้จัดทำข้อตกลงในการจัดซื้อวัตถุดิบกับ บลูสโคป สตีล เพื่อความชัดเจนของเงื่อนไขต่าง ๆ ในการสั่งซื้อ รวมถึงข้อตกลงในการใช้ตราสินค้า Steel Supplied by BlueScope Steel ร่วมกับตราสินค้า ROLLFORM ของบริษัท ดังนั้น บริษัทจึงเชื่อมั่นว่าบลูสโคป สตีล จะยังคงผลิตสินค้าที่เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง และยังคงนโยบายการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้กับบริษัทต่อไป อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถสั่งซื้อวัตถุดิบชนิดเดียวกันจากผู้ผลิตในประเทศเกาหลีและญี่ปุ่นได้อีกด้วย
2. ความเสี่ยงจากคู่แข่งขันที่เป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ บลูสโคป สตีล
บลูสโคป สตีล ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายวัตถุดิบหลักทั้งหมดให้กับบริษัท มีบริษัทที่เกี่ยวข้องโดยมีผู้ถือหุ้นและกรรมการร่วมกัน คือบริษัท บลูสโคป ไลสาจท์ (ประเทศไทย) จำกัด (บลูสโคป ไลสาจท์) ซึ่งก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2531 ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายแผ่นเหล็กเคลือบขึ้นลอนเช่นเดียวกับบริษัท โดยใช้วัตถุดิบจาก บลูสโคป สตีล เช่นเดียวกัน ดังนั้น หาก บลูสโคป สตีล จัดจำหน่ายให้กับ บลูสโคป ไลสาจท์ ในเงื่อนไขและราคาอันทำให้ บลูสโคป ไลสาจท์ ได้เปรียบกว่าเงื่อนไขและราคาที่บริษัทได้รับ อาจทำให้บริษัทไม่สามารถแข่งขันในตลาดเดียวกับ บลูสโคป ไลสาจท์ ได้ และอาจมีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในอนาคตของบริษัท
อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นหลักของทั้งสองบริษัท คือ BlueScope Limited ประเทศออสเตรเลีย มีนโยบายในการแยกสายธุรกิจการผลิตผลิตภัณฑ์แผ่นเหล็กเคลือบโลหะผสม และสายธุรกิจการผลิตผลิตภัณฑ์แผ่นเหล็กรีดขึ้นลอนออกจากกันอย่างชัดเจน ทำให้ บลูสโคป สตีล มีนโยบายการทำรายการซื้อขายกับ บลูสโคป ไลสาจท์ เสมือนการทำรายการกับบุคคลภายนอก (Arm's Length Basis) โดยบริษัทและบลูสโคป ไลสาจท์ ถูกจัดอยู่ในระดับลูกค้าชั้นดี (Red customer) ของบลูสโคป สตีล เช่นเดียวกัน ทำให้มั่นใจได้ว่าเงื่อนไขและราคาที่บริษัทและ บลูสโคป ไลสาจท์ ได้รับอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม บลูสโคป ไลสาจท์ มีส่วนแบ่งการตลาดของแผ่นเหล็กเคลือบรีดลอนร้อยละ 29 ในขณะที่บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 3 ทำให้ บลูสโคป ไลสาจท์ ได้รับราคาที่ต่ำกว่าเนื่องจากสั่งซื้อในปริมาณที่มากกว่า อย่างไรก็ตาม บริษัทสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันโดยเน้นความรวดเร็วในการให้บริการ สามารถวางแผนการผลิตเพื่อสนองความต้องการที่เร่งด่วน และมีการสร้างตราสินค้า ROLLFORM เพื่อพัฒนาตลาดของตนเอง ให้ลูกค้ารับรู้ถึงภาพรวมของคุณภาพวัตถุดิบและการให้บริการภายใต้เครื่องหมายการค้าดังกล่าว ทำให้ลูกค้าของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2546 ปี 2547 บริษัทมีลูกค้ารวมเป็นจำนวน 325 ราย 475 ราย คิดเป็นยอดขายเท่ากับ 174.43 และ 223.95 ล้านบาท ตามลำดับ สำหรับปี 2548 บริษัทมีลูกค้ารวมเป็นจำนวน 496 ราย บริษัทขายงานโครงการพร้อมติดตั้งให้กับเจ้าของโครงการโดยตรงมากขึ้น และเป็นโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการ จึงทำให้บริษัทขายผ่านผู้รับเหมารายเล็กลดลง โดยมีสัดส่วนการขายให้กับเจ้าของโครงการเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5 ในปี 2547 เป็นร้อยละ 20 ในปี 2548 และมียอดขายรวมเท่ากับ 325.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 45.26 เมื่อเทียบกับปี 2547
3. ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบ
ในการดำเนินธุรกิจตามปกติ บริษัทจำเป็นต้องมีการสำรองวัตถุดิบให้เพียงพอกับความต้องการของลูกค้า วัตถุดิบหลักของบริษัทคือเหล็กแผ่นเคลือบ คิดเป็นสัดส่วนโดยเฉลี่ยร้อยละ 88.64 ของต้นทุนวัตถุดิบทั้งหมด โดยราคาของเหล็กแผ่นเคลือบมีความผันผวนตามราคาของเหล็กแผ่นรีดเย็นซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นน้ำ ดังนั้น ผลประกอบการของบริษัทอาจได้รับผลกระทบหากราคาตลาดของวัตถุดิบปรับตัวลดลงต่ำกว่าต้นทุนวัตถุดิบที่บริษัทสำรองไว้ และอาจได้รับผลกระทบหากราคาตลาดของวัตถุดิบปรับตัวขึ้นในขณะที่บริษัทสำรองวัตถุดิบไว้น้อยกว่าความต้องการ
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการติดตามแนวโน้มราคาวัตถุดิบอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถปรับกลยุทธ์การสำรองวัตถุดิบให้เหมาะสม และมีนโยบายปรับราคาขายตามราคาวัตถุดิบ ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบ
4. ความเสี่ยงจากการว่าจ้างผู้รับเหมาช่วงในการติดตั้งงานโครงการ
บริษัทมิได้มีทีมงานให้บริการติดตั้ง แต่ใช้วิธีการว่าจ้างผู้รับเหมาช่วงในการติดตั้งผลิตภัณฑ์ในโครงการต่างๆ โดยสัดส่วนรายได้จากการขายพร้อมติดตั้งโครงการในปี 2546 2547 และปี 2548 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.91 34.10 และ 57.46 ของรายได้รวมตามลำดับ ทั้งนี้ การมีสัดส่วนการขายพร้อมติดตั้งงานโครงการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดความเสี่ยงในควบคุมการติดตั้ง โดยหากบริษัทไม่สามารถว่าจ้างผู้รับเหมาช่วงได้ หรือไม่สามารถควบคุมคุณภาพในการติดตั้ง อาจทำให้เกิดความล่าช้าในการติดตั้ง ทำให้บริษัทไม่สามารถควบคุมต้นทุนโครงการ ซึ่งอาจกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ
ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีงานขายพร้อมติดตั้งโครงการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามบริษัทมีวิธีบริหารการติดตั้งโครงการที่สามารถทำให้ควบคุมค่าใช้จ่ายและคุณภาพของโครงการได้ โดยปัจจัยสำคัญในการบริหารการติดตั้งโครงการมีดังต่อไปนี้
(1) การสรรหาผู้รับเหมาช่วง ตามปกติแล้ว บริษัทในอุตสาหกรรมการผลิตและจัดจำหน่ายวัสดุมุงหลังคาจะไม่มีทีมงานติดตั้งเป็นของตนเอง แต่จะใช้วิธีการว่าจ้างผู้รับเหมาช่วงจากภายนอก ซึ่งทำให้ควบคุมต้นทุนได้ดีกว่าเนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างพนักงานประจำ บริษัทคัดเลือกผู้รับเหมาช่วงโดยพิจารณาจากผลงานที่ผ่านมา ฐานะการเงิน จำนวนคนงาน คุณภาพงาน และศักยภาพในการติดตั้ง ปี 2548 บริษัทมีผู้รับเหมาช่วงที่มีศักยภาพในการติดตั้งโครงการขนาดต่างๆกัน ซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินธุรกิจกับบริษัทมาเป็นระยะเวลา 4 ปี ขึ้นไป และผ่านการประเมินคุณภาพแล้วทั้งสิ้น 12 ราย ทำให้ไม่เกิดการพึ่งพิงผู้รับเหมาช่วงเพียงน้อยราย และไม่เคยประสบปัญหาการขาดแคลนผู้รับติดตั้งงาน หรือทิ้งงาน
(2) การควบคุมคุณภาพของงานติดตั้ง ซึ่งหมายถึงการควบคุมคุณภาพงานของผู้รับเหมาช่วง บริษัทควบคุมงานติดตั้งโดยการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิศวกรรม (Site Supervisor) เป็นผู้ตรวจสอบคุณภาพระหว่างติดตั้งงานทุกโครงการ นอกจากนี้เมื่องานติดตั้งแล้วเสร็จ บริษัทและผู้ว่าจ้างจะมีการประเมินผลงานทั้งหมดร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้มั่นใจถึงคุณภาพโดยรวมของผลงาน และผู้รับเหมาช่วงจะรับประกันงานหลังจากส่งมอบเป็นระยะเวลา 1 ปี
(3) การควบคุมระยะเวลาการติดตั้งให้แล้วเสร็จตามที่กำหนด บริษัทกำหนดให้ผู้รับเหมาช่วงรายงานความคืบหน้าในการดำเนินงานให้บริษัททราบทุกๆ 15 วัน ซึ่งหากการดำเนินงานล่าช้ากว่าแผนที่กำหนด บริษัทและผู้รับเหมาช่วงจะประชุมร่วมกันเพื่อหาทางแก้ไขอย่างทันท่วงที แต่หากความล่าช้าในการติดตั้งเกิดจากผู้รับเหมาช่วง ผู้รับเหมาช่วงจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ทั้งนี้บริษัทเชื่อมั่นว่าการใช้วิธีบริหารโครงการติดตั้งดังกล่าว จะช่วยให้สามารถควบคุมคุณภาพของผู้รับเหมาช่วงและต้นทุนของโครงการได้เป็นอย่างดี และช่วยรองรับแผนการขยายธุรกิจที่เน้นการขายพร้อมติดตั้งมากขึ้นในอนาคต
5. ความเสี่ยงจากการแข่งขันจากสินค้าทดแทน
ผลิตภัณฑ์หลักที่บริษัทผลิตและจัดจำหน่ายคือแผ่นเหล็กเคลือบสังกะสีผสมอลูมิเนียมขึ้นลอนที่ใช้เป็นวัสดุมุงหลังคาและฝาผนัง ซึ่งสินค้าที่สามารถนำมาใช้งานเพื่อวัตถุประสงค์เดียวกันในตลาดมีอยู่หลายประเภท เช่น กระเบื้อง แผ่นเหล็กเคลือบสังกะสีลูกฟูก เป็นต้น ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกจากสินค้าทดแทนที่หลากหลาย นอกจากนั้นราคาของผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีราคาสูงกว่าเมื่อเทียบกับราคาของกระเบื้องหรือแผ่นเหล็กเคลือบสังกะสี หากผู้บริโภคนิยมเลือกใช้วัสดุมุงหลังคาและฝาผนังชนิดอื่นแทนผลิตภัณฑ์ของบริษัท อาจทำให้รายได้ของบริษัทในอนาคตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม วัสดุแต่ละชนิดมีข้อดีข้อเสียในการใช้งานแตกต่างกัน คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ของบริษัท ซึ่งมีความคงทนต่อการกัดกร่อนและการรั่วซึม อายุการใช้งานยาวนานสูงสุด 30 ปีโดยไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ติดตั้งได้สะดวกรวดเร็ว เป็นคุณสมบัติที่มีความจำเป็นต่อการใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัท โดยที่วัสดุมุงหลังคาและฝาผนังประเภทอื่นไม่สามารถทดแทนได้ ดังนั้นบริษัทมั่นใจว่าความเสี่ยงจากสินค้าทดแทนจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทในระดับต่ำ ดังจะเห็นได้จากยอดขายของบริษัทซึ่งเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี
บริษัทซื้อวัตถุดิบหลัก คือ แผ่นเหล็กรีดเย็นเคลือบสังกะสีผสมอลูมิเนียมชนิดเคลือบสีและไม่เคลือบสี ทั้งหมดจากบริษัท บลูสโคป สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (บลูสโคป สตีล) คิดเป็นมูลค่าโดยเฉลี่ยร้อยละ 86.64 ของวัตถุดิบทั้งหมด ดังนั้นหากบลูสโคป สตีล มีนโยบายยกเลิกการผลิต หรือหยุดการจำหน่ายสินค้าให้แก่บริษัท อาจส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม บลูสโคป สตีล เป็นผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดเย็นเคลือบสังกะสีผสมอลูมิเนียมรายใหญ่ เป็นผู้ผลิตเหล็กแผ่นเคลือบสีหนึ่งในสองรายของประเทศไทย และเป็นบริษัทลูกของ BlueScope Steel Limited บริษัทผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดในประเทศออสเตรเลีย กำลังการผลิตแผ่นเหล็กเคลือบทั้งหมดของ บลูสโคป สตีล ปัจจุบันมีประมาณ 270,000 ตันต่อปี และกำลังขยายเป็น 470,000 ตันต่อปี ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2549 ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการแผ่นเหล็กเคลือบในตลาดปัจจุบัน ทำให้ความเสี่ยงจากการหยุดจำหน่ายสินค้าให้บริษัทเนื่องจากสินค้าขาดแคลนอยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ บลูสโคป สตีล จะกำหนดราคาขายและเงื่อนไขในการจ่ายเงินสำหรับลูกค้าแต่ละรายโดยพิจารณาจากปริมาณการซื้อและความต่อเนื่องในการสั่งซื้อ บริษัทซึ่งทำการค้ากับ บลูสโคป สตีล มาเป็นเวลานาน โดยได้สั่งซื้อวัตถุดิบหลักทั้งหมดอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2540 และไม่เคยมีปัญหาในการชำระหนี้ ได้รับการจัดอันดับอยู่ในระดับลูกค้าชั้นดี (red customer) ของบลูสโคป สตีล โดยยอดขายที่ บลูสโคป สตีลขายให้กับบริษัทคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 4 ของยอดขายรวม และบริษัทยังได้จัดทำข้อตกลงในการจัดซื้อวัตถุดิบกับ บลูสโคป สตีล เพื่อความชัดเจนของเงื่อนไขต่าง ๆ ในการสั่งซื้อ รวมถึงข้อตกลงในการใช้ตราสินค้า Steel Supplied by BlueScope Steel ร่วมกับตราสินค้า ROLLFORM ของบริษัท ดังนั้น บริษัทจึงเชื่อมั่นว่าบลูสโคป สตีล จะยังคงผลิตสินค้าที่เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง และยังคงนโยบายการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้กับบริษัทต่อไป อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถสั่งซื้อวัตถุดิบชนิดเดียวกันจากผู้ผลิตในประเทศเกาหลีและญี่ปุ่นได้อีกด้วย
2. ความเสี่ยงจากคู่แข่งขันที่เป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ บลูสโคป สตีล
บลูสโคป สตีล ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายวัตถุดิบหลักทั้งหมดให้กับบริษัท มีบริษัทที่เกี่ยวข้องโดยมีผู้ถือหุ้นและกรรมการร่วมกัน คือบริษัท บลูสโคป ไลสาจท์ (ประเทศไทย) จำกัด (บลูสโคป ไลสาจท์) ซึ่งก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2531 ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายแผ่นเหล็กเคลือบขึ้นลอนเช่นเดียวกับบริษัท โดยใช้วัตถุดิบจาก บลูสโคป สตีล เช่นเดียวกัน ดังนั้น หาก บลูสโคป สตีล จัดจำหน่ายให้กับ บลูสโคป ไลสาจท์ ในเงื่อนไขและราคาอันทำให้ บลูสโคป ไลสาจท์ ได้เปรียบกว่าเงื่อนไขและราคาที่บริษัทได้รับ อาจทำให้บริษัทไม่สามารถแข่งขันในตลาดเดียวกับ บลูสโคป ไลสาจท์ ได้ และอาจมีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในอนาคตของบริษัท
อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นหลักของทั้งสองบริษัท คือ BlueScope Limited ประเทศออสเตรเลีย มีนโยบายในการแยกสายธุรกิจการผลิตผลิตภัณฑ์แผ่นเหล็กเคลือบโลหะผสม และสายธุรกิจการผลิตผลิตภัณฑ์แผ่นเหล็กรีดขึ้นลอนออกจากกันอย่างชัดเจน ทำให้ บลูสโคป สตีล มีนโยบายการทำรายการซื้อขายกับ บลูสโคป ไลสาจท์ เสมือนการทำรายการกับบุคคลภายนอก (Arm's Length Basis) โดยบริษัทและบลูสโคป ไลสาจท์ ถูกจัดอยู่ในระดับลูกค้าชั้นดี (Red customer) ของบลูสโคป สตีล เช่นเดียวกัน ทำให้มั่นใจได้ว่าเงื่อนไขและราคาที่บริษัทและ บลูสโคป ไลสาจท์ ได้รับอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม บลูสโคป ไลสาจท์ มีส่วนแบ่งการตลาดของแผ่นเหล็กเคลือบรีดลอนร้อยละ 29 ในขณะที่บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 3 ทำให้ บลูสโคป ไลสาจท์ ได้รับราคาที่ต่ำกว่าเนื่องจากสั่งซื้อในปริมาณที่มากกว่า อย่างไรก็ตาม บริษัทสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันโดยเน้นความรวดเร็วในการให้บริการ สามารถวางแผนการผลิตเพื่อสนองความต้องการที่เร่งด่วน และมีการสร้างตราสินค้า ROLLFORM เพื่อพัฒนาตลาดของตนเอง ให้ลูกค้ารับรู้ถึงภาพรวมของคุณภาพวัตถุดิบและการให้บริการภายใต้เครื่องหมายการค้าดังกล่าว ทำให้ลูกค้าของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2546 ปี 2547 บริษัทมีลูกค้ารวมเป็นจำนวน 325 ราย 475 ราย คิดเป็นยอดขายเท่ากับ 174.43 และ 223.95 ล้านบาท ตามลำดับ สำหรับปี 2548 บริษัทมีลูกค้ารวมเป็นจำนวน 496 ราย บริษัทขายงานโครงการพร้อมติดตั้งให้กับเจ้าของโครงการโดยตรงมากขึ้น และเป็นโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการ จึงทำให้บริษัทขายผ่านผู้รับเหมารายเล็กลดลง โดยมีสัดส่วนการขายให้กับเจ้าของโครงการเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5 ในปี 2547 เป็นร้อยละ 20 ในปี 2548 และมียอดขายรวมเท่ากับ 325.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 45.26 เมื่อเทียบกับปี 2547
3. ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบ
ในการดำเนินธุรกิจตามปกติ บริษัทจำเป็นต้องมีการสำรองวัตถุดิบให้เพียงพอกับความต้องการของลูกค้า วัตถุดิบหลักของบริษัทคือเหล็กแผ่นเคลือบ คิดเป็นสัดส่วนโดยเฉลี่ยร้อยละ 88.64 ของต้นทุนวัตถุดิบทั้งหมด โดยราคาของเหล็กแผ่นเคลือบมีความผันผวนตามราคาของเหล็กแผ่นรีดเย็นซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นน้ำ ดังนั้น ผลประกอบการของบริษัทอาจได้รับผลกระทบหากราคาตลาดของวัตถุดิบปรับตัวลดลงต่ำกว่าต้นทุนวัตถุดิบที่บริษัทสำรองไว้ และอาจได้รับผลกระทบหากราคาตลาดของวัตถุดิบปรับตัวขึ้นในขณะที่บริษัทสำรองวัตถุดิบไว้น้อยกว่าความต้องการ
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการติดตามแนวโน้มราคาวัตถุดิบอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถปรับกลยุทธ์การสำรองวัตถุดิบให้เหมาะสม และมีนโยบายปรับราคาขายตามราคาวัตถุดิบ ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบ
4. ความเสี่ยงจากการว่าจ้างผู้รับเหมาช่วงในการติดตั้งงานโครงการ
บริษัทมิได้มีทีมงานให้บริการติดตั้ง แต่ใช้วิธีการว่าจ้างผู้รับเหมาช่วงในการติดตั้งผลิตภัณฑ์ในโครงการต่างๆ โดยสัดส่วนรายได้จากการขายพร้อมติดตั้งโครงการในปี 2546 2547 และปี 2548 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.91 34.10 และ 57.46 ของรายได้รวมตามลำดับ ทั้งนี้ การมีสัดส่วนการขายพร้อมติดตั้งงานโครงการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดความเสี่ยงในควบคุมการติดตั้ง โดยหากบริษัทไม่สามารถว่าจ้างผู้รับเหมาช่วงได้ หรือไม่สามารถควบคุมคุณภาพในการติดตั้ง อาจทำให้เกิดความล่าช้าในการติดตั้ง ทำให้บริษัทไม่สามารถควบคุมต้นทุนโครงการ ซึ่งอาจกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ
ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีงานขายพร้อมติดตั้งโครงการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามบริษัทมีวิธีบริหารการติดตั้งโครงการที่สามารถทำให้ควบคุมค่าใช้จ่ายและคุณภาพของโครงการได้ โดยปัจจัยสำคัญในการบริหารการติดตั้งโครงการมีดังต่อไปนี้
(1) การสรรหาผู้รับเหมาช่วง ตามปกติแล้ว บริษัทในอุตสาหกรรมการผลิตและจัดจำหน่ายวัสดุมุงหลังคาจะไม่มีทีมงานติดตั้งเป็นของตนเอง แต่จะใช้วิธีการว่าจ้างผู้รับเหมาช่วงจากภายนอก ซึ่งทำให้ควบคุมต้นทุนได้ดีกว่าเนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างพนักงานประจำ บริษัทคัดเลือกผู้รับเหมาช่วงโดยพิจารณาจากผลงานที่ผ่านมา ฐานะการเงิน จำนวนคนงาน คุณภาพงาน และศักยภาพในการติดตั้ง ปี 2548 บริษัทมีผู้รับเหมาช่วงที่มีศักยภาพในการติดตั้งโครงการขนาดต่างๆกัน ซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินธุรกิจกับบริษัทมาเป็นระยะเวลา 4 ปี ขึ้นไป และผ่านการประเมินคุณภาพแล้วทั้งสิ้น 12 ราย ทำให้ไม่เกิดการพึ่งพิงผู้รับเหมาช่วงเพียงน้อยราย และไม่เคยประสบปัญหาการขาดแคลนผู้รับติดตั้งงาน หรือทิ้งงาน
(2) การควบคุมคุณภาพของงานติดตั้ง ซึ่งหมายถึงการควบคุมคุณภาพงานของผู้รับเหมาช่วง บริษัทควบคุมงานติดตั้งโดยการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิศวกรรม (Site Supervisor) เป็นผู้ตรวจสอบคุณภาพระหว่างติดตั้งงานทุกโครงการ นอกจากนี้เมื่องานติดตั้งแล้วเสร็จ บริษัทและผู้ว่าจ้างจะมีการประเมินผลงานทั้งหมดร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้มั่นใจถึงคุณภาพโดยรวมของผลงาน และผู้รับเหมาช่วงจะรับประกันงานหลังจากส่งมอบเป็นระยะเวลา 1 ปี
(3) การควบคุมระยะเวลาการติดตั้งให้แล้วเสร็จตามที่กำหนด บริษัทกำหนดให้ผู้รับเหมาช่วงรายงานความคืบหน้าในการดำเนินงานให้บริษัททราบทุกๆ 15 วัน ซึ่งหากการดำเนินงานล่าช้ากว่าแผนที่กำหนด บริษัทและผู้รับเหมาช่วงจะประชุมร่วมกันเพื่อหาทางแก้ไขอย่างทันท่วงที แต่หากความล่าช้าในการติดตั้งเกิดจากผู้รับเหมาช่วง ผู้รับเหมาช่วงจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ทั้งนี้บริษัทเชื่อมั่นว่าการใช้วิธีบริหารโครงการติดตั้งดังกล่าว จะช่วยให้สามารถควบคุมคุณภาพของผู้รับเหมาช่วงและต้นทุนของโครงการได้เป็นอย่างดี และช่วยรองรับแผนการขยายธุรกิจที่เน้นการขายพร้อมติดตั้งมากขึ้นในอนาคต
5. ความเสี่ยงจากการแข่งขันจากสินค้าทดแทน
ผลิตภัณฑ์หลักที่บริษัทผลิตและจัดจำหน่ายคือแผ่นเหล็กเคลือบสังกะสีผสมอลูมิเนียมขึ้นลอนที่ใช้เป็นวัสดุมุงหลังคาและฝาผนัง ซึ่งสินค้าที่สามารถนำมาใช้งานเพื่อวัตถุประสงค์เดียวกันในตลาดมีอยู่หลายประเภท เช่น กระเบื้อง แผ่นเหล็กเคลือบสังกะสีลูกฟูก เป็นต้น ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกจากสินค้าทดแทนที่หลากหลาย นอกจากนั้นราคาของผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีราคาสูงกว่าเมื่อเทียบกับราคาของกระเบื้องหรือแผ่นเหล็กเคลือบสังกะสี หากผู้บริโภคนิยมเลือกใช้วัสดุมุงหลังคาและฝาผนังชนิดอื่นแทนผลิตภัณฑ์ของบริษัท อาจทำให้รายได้ของบริษัทในอนาคตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม วัสดุแต่ละชนิดมีข้อดีข้อเสียในการใช้งานแตกต่างกัน คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ของบริษัท ซึ่งมีความคงทนต่อการกัดกร่อนและการรั่วซึม อายุการใช้งานยาวนานสูงสุด 30 ปีโดยไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ติดตั้งได้สะดวกรวดเร็ว เป็นคุณสมบัติที่มีความจำเป็นต่อการใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัท โดยที่วัสดุมุงหลังคาและฝาผนังประเภทอื่นไม่สามารถทดแทนได้ ดังนั้นบริษัทมั่นใจว่าความเสี่ยงจากสินค้าทดแทนจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทในระดับต่ำ ดังจะเห็นได้จากยอดขายของบริษัทซึ่งเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี
-
- Verified User
- โพสต์: 999
- ผู้ติดตาม: 0
steel ผมสนใจตัวนี้ใครมีข้อมูลบ้างครับ
โพสต์ที่ 7
ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีกับคุณเจ้าของกระทู้(และคุณลูกอิสานก็น่าจะใช่ด้วย)ครับ วันนี้ราคาหุ้นทำนิวไฮอีกแล้ว
สำหรับคำถามคุณ hot น่าจะมีคำตอบอยู่ตรงข้อความที่แสดงก่อนหน้านี้
ความเสี่ยงจากการพึ่งพาวัตถุดิบจากบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่
บริษัทซื้อวัตถุดิบหลัก คือ แผ่นเหล็กรีดเย็นเคลือบสังกะสีผสมอลูมิเนียมชนิดเคลือบสีและไม่เคลือบสี ทั้งหมดจากบริษัท บลูสโคป สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (บลูสโคป สตีล) คิดเป็นมูลค่าโดยเฉลี่ยร้อยละ 86.64 ของวัตถุดิบทั้งหมด
สำหรับคำถามคุณ hot น่าจะมีคำตอบอยู่ตรงข้อความที่แสดงก่อนหน้านี้
ความเสี่ยงจากการพึ่งพาวัตถุดิบจากบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่
บริษัทซื้อวัตถุดิบหลัก คือ แผ่นเหล็กรีดเย็นเคลือบสังกะสีผสมอลูมิเนียมชนิดเคลือบสีและไม่เคลือบสี ทั้งหมดจากบริษัท บลูสโคป สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (บลูสโคป สตีล) คิดเป็นมูลค่าโดยเฉลี่ยร้อยละ 86.64 ของวัตถุดิบทั้งหมด
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
-
- Verified User
- โพสต์: 999
- ผู้ติดตาม: 0
steel ผมสนใจตัวนี้ใครมีข้อมูลบ้างครับ
โพสต์ที่ 8
ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีกับคุณเจ้าของกระทู้(และคุณลูกอิสานก็น่าจะใช่ด้วย)ครับ วันนี้ราคาหุ้นทำนิวไฮอีกแล้ว
สำหรับคำถามคุณ hot น่าจะมีคำตอบอยู่ตรงข้อความที่แสดงก่อนหน้านี้
ความเสี่ยงจากการพึ่งพาวัตถุดิบจากบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่
บริษัทซื้อวัตถุดิบหลัก คือ แผ่นเหล็กรีดเย็นเคลือบสังกะสีผสมอลูมิเนียมชนิดเคลือบสีและไม่เคลือบสี ทั้งหมดจากบริษัท บลูสโคป สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (บลูสโคป สตีล) คิดเป็นมูลค่าโดยเฉลี่ยร้อยละ 86.64 ของวัตถุดิบทั้งหมด
สำหรับคำถามคุณ hot น่าจะมีคำตอบอยู่ตรงข้อความที่แสดงก่อนหน้านี้
ความเสี่ยงจากการพึ่งพาวัตถุดิบจากบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่
บริษัทซื้อวัตถุดิบหลัก คือ แผ่นเหล็กรีดเย็นเคลือบสังกะสีผสมอลูมิเนียมชนิดเคลือบสีและไม่เคลือบสี ทั้งหมดจากบริษัท บลูสโคป สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (บลูสโคป สตีล) คิดเป็นมูลค่าโดยเฉลี่ยร้อยละ 86.64 ของวัตถุดิบทั้งหมด
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
-
- Verified User
- โพสต์: 999
- ผู้ติดตาม: 0
steel ผมสนใจตัวนี้ใครมีข้อมูลบ้างครับ
โพสต์ที่ 9
ต้องรบกวนคุณ admin ช่วยลบกระทู้ที่ออกมาซ้ำ (อีกแล้ว) ด้วยครับ
ตะกี้ยังเห็นราคา3.7กว่าอยู่เลย ตอนนี้3.3 กว่าแล้ว ทั้งที่เพิ่งผ่านไปไม่กี่นาที
ตะกี้ยังเห็นราคา3.7กว่าอยู่เลย ตอนนี้3.3 กว่าแล้ว ทั้งที่เพิ่งผ่านไปไม่กี่นาที
We are new KIDS.
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
We don' t SMOKE.
ร่วมรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่
-
- Verified User
- โพสต์: 6853
- ผู้ติดตาม: 0
steel ผมสนใจตัวนี้ใครมีข้อมูลบ้างครับ
โพสต์ที่ 12
โรงงานในนิคมเขาใช้สินค้าแบบนี้สร้างหรือเปล่าคับบริษัทเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ประเภทแผ่นเหล็กเคลือบสังกะสีผสมอลูมิเนียมขึ้นลอน ทั้งชนิดเคลือบสีและชนิดไม่เคลือบสี ซึ่งสามารถใช้มุงหลังคา ประกอบเป็นฝาผนัง ใช้เป็นฝ้า กันสาด รั้ว และบานเกล็ดระบายอากาศ เป็นต้น คุณสมบัติกันน้ำรั่วซึม ทนต่อการกัดกร่อน อายุการใช้งานยาวนาน มีการรับประกันการกัดกร่อนสูงสุดถึง 30 ปี โดยบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์แผ่นหลังคาเคลือบขึ้นลอนประมาณร้อยละ 90 ของรายได้รวม นอกจากนี้บริษัทยังเป็นผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลังคาและฝาผนัง อาทิ โครงหลังคาสำเร็จรูป แปเหล็กกล้ากำลังสูงซึ่งใช้เป็นโครงสร้างหลังคา และหลังคาโปร่งแสง เป็นต้น ลูกค้าผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทคือโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งโรงงานที่สร้างใหม่และโรงงานที่ต้องการเปลี่ยนวัสดุมุงหลังคาให้มีความทนทานมากยิ่งขึ้น โดยบริษัทขายสินค้าผ่านผู้รับเหมา ตัวแทนจำหน่าย และขายให้เจ้าของโครงการโดยตรง
- conseto
- Verified User
- โพสต์: 1184
- ผู้ติดตาม: 1
steel ผมสนใจตัวนี้ใครมีข้อมูลบ้างครับ
โพสต์ที่ 13
STEELรุกอีสานขยายตลาด ตั้งเป้าทั้งปีรายได้โตเพิ่ม 30%
สตีล อินเตอร์เทค เปิดแผนธุรกิจปี50 รุกตลาดภาคอีสาน พร้อมร่วมทุนสาขาย่อยและสร้างคลังสินค้า ล่าสุดตั้งเป้าทั้งปีเติบโต 30% หรือ 460 ล้านบาท คาดหลายปัจจัยคลี่คลายดันภาพรวมกลุ่มรับเหมาปรับตัวเพิ่มในไตรมาส 3 พร้อมเร่งสร้างรายได้-กำไรเพิ่ม เพื่อเพิ่มสภาพคล่องหุ้น และอาจรองรับการเพิ่มทุนในอนาคต
นายประสิทธิ์ อุ่นวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตีล อินเตอร์เทค จำกัด (มหาชน) หรือ STEEL เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทในปี 2550 ว่า บริษัทมีแผนที่จะรุกในเรื่องของการเป็นตัวแทนจำหน่ายเพิ่มประมาณ 10 ราย และจะรุกการทำการตลาดในภาคอีสานให้เพิ่มมากขึ้น โดยจะส่ง Sale เข้าไปเซอร์เวย์และเข้าไปทำตลาด สาเหตุที่บริษัทเลือกที่จะรุกตลาดทางภาคอีสานเนื่องมาจากถือได้ว่าเป็นตลาดที่ใหญ่และมีอัตราการเติบโตได้อีกมาก
นอกจากนี้ บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาในเรื่องของการร่วมทุนเพื่อสร้างสาขาย่อยและทำในเรื่องของ M&A เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดและเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท รวมไปถึงการเพิ่มการส่งสินค้าไปจำหน่ายยังต่างประเทศ โดยในเบื้องต้นบริษัทคาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในเรื่องดังกล่าวประมาณปลายไตรมาส 2/2550 ตอนนี้เรากำลังอยู่ระหว่างการศึกษาถึงความเป็นไปได้ในเรื่องของการร่วมทุนเพื่อสร้างสาขาย่อย และศึกษาในเรื่องของการทำ M&A เพื่อเพิ่มมาร์เก็ตแชร์และเพิ่มรายได้ให้กับเรา นอกจากนี้เราก็อาจจะทำในเรื่องของการส่งสินค้าของเราไปจำหน่ายยังต่างประเทศ หากว่าการที่เราไปร่วมทุนกับบริษัทใดบริษัทหนึ่งแล้วเขามีช่องทางที่จะสามารถส่งสินค้าไปจำหน่ายต่างประเทศได้เราก็จะทำ เราคาดว่าประมาณไตรมาส 2/2550 ทุกอย่างมันน่าจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ นายประสิทธิ์กล่าว
นายประสิทธิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับแผนการลงทุนในปีนี้นั้น บริษัทมีแผนที่จะสร้างอาคารสำนักงานและคลังสินค้าใหม่ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและเพิ่มสต็อกสินค้าได้เพิ่มมากขึ้น โดยในเบื้องต้นบริษัทคาดว่าจะใช้งบประมาณในการลงทุนประมาณ 20 ล้านบาท อย่างไรก็ดี บริษัทได้ตั้งเป้ารายได้ปีนี้อยู่ที่ประมาณ 460 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 30% จากปี 2549 ที่มีรายได้อยู่ที่ 360 ล้านบาท สำหรับภาพรวมของธุรกิจในปีนี้ มองว่าดีมานด์ในตลาดน่าจะลดลง ซึ่งจุดนี้ทำให้บริษัทต้องทำงานเชิงรุกให้เพิ่มมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าปัจจัยทางด้านการเมืองน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น โดยคาดว่าประมาณไตรมาส 2/2550 น่าจะมีความชัดเจนในเรื่องของการเลือกตั้ง ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมและธุรกิจกลุ่มรับเหมาก่อสร้างมันน่าจะปรับตัวเดีขึ้นในไตรมาส 3/2550
นายประสิทธิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับประเด็นเรื่องของทิศทางของค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่านั้น ทางบริษัทได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวไม่มากนัก เนื่องจากบริษัทไม่ใช่เป็นผู้ส่งออกสินค้าโดยตรง ส่วนวัตถุดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นทางบริษัทสามารถผลักภาระไปยังลูกค้าได้ ประกอบกับบริษัทไม่ได้มีการสต็อกสินค้าไว้มาก ดังนั้นทางบริษัทจึงไม่ค่อยได้รับผลกระทบมากนัก
สำหรับประเด็นเรื่องของราคาหุ้นของบริษัทที่เทรดอยู่ในกระดาน ณ ปัจจุบันนั้น ทางบริษัทมองว่าราคาหุ้นมันยังไม่ค่อยสะท้อนปัจจัยพื้นฐานเท่าที่ควร หากเทียบกับผลประกอบการและอัตราผลตอบแทนที่บริษัทให้กับผู้ถือหุ้น ดังนั้นทางบริษัทมองว่าจะต้องเพิ่มในเรื่องสภาพคล่องให้มากขึ้น ซึ่งบริษัทต้องพิจารณาว่าอาจจะต้องทำการเพิ่มทุน แต่ว่าบริษัทก็กังวลว่าจะเกิดไดลูชั่นเอ็คเฟ็คต่อนักลงทุนและผู้ถือหุ้น ดังนั้นทางบริษัทจึงพยายามที่จะสร้างรายได้และกำไรให้เติบโตมากกว่านี้ ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่บริษัทจะต้องทำการเพิ่มทุนจริงๆจะไม่ไดลูชั่นเอ็คเฟ็คมากนัก แต่อย่างไรก็ตามจะพยายามที่จะจ่ายปันผลกับผู้ถือหุ้นให้ได้ปีละ 2 ครั้ง เพื่อที่จะให้นักลงทุนและผู้ถือหุ้น Happy และถือหุ้นของบริษัทในระยะยาว
สตีล อินเตอร์เทค เปิดแผนธุรกิจปี50 รุกตลาดภาคอีสาน พร้อมร่วมทุนสาขาย่อยและสร้างคลังสินค้า ล่าสุดตั้งเป้าทั้งปีเติบโต 30% หรือ 460 ล้านบาท คาดหลายปัจจัยคลี่คลายดันภาพรวมกลุ่มรับเหมาปรับตัวเพิ่มในไตรมาส 3 พร้อมเร่งสร้างรายได้-กำไรเพิ่ม เพื่อเพิ่มสภาพคล่องหุ้น และอาจรองรับการเพิ่มทุนในอนาคต
นายประสิทธิ์ อุ่นวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตีล อินเตอร์เทค จำกัด (มหาชน) หรือ STEEL เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทในปี 2550 ว่า บริษัทมีแผนที่จะรุกในเรื่องของการเป็นตัวแทนจำหน่ายเพิ่มประมาณ 10 ราย และจะรุกการทำการตลาดในภาคอีสานให้เพิ่มมากขึ้น โดยจะส่ง Sale เข้าไปเซอร์เวย์และเข้าไปทำตลาด สาเหตุที่บริษัทเลือกที่จะรุกตลาดทางภาคอีสานเนื่องมาจากถือได้ว่าเป็นตลาดที่ใหญ่และมีอัตราการเติบโตได้อีกมาก
นอกจากนี้ บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาในเรื่องของการร่วมทุนเพื่อสร้างสาขาย่อยและทำในเรื่องของ M&A เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดและเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท รวมไปถึงการเพิ่มการส่งสินค้าไปจำหน่ายยังต่างประเทศ โดยในเบื้องต้นบริษัทคาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในเรื่องดังกล่าวประมาณปลายไตรมาส 2/2550 ตอนนี้เรากำลังอยู่ระหว่างการศึกษาถึงความเป็นไปได้ในเรื่องของการร่วมทุนเพื่อสร้างสาขาย่อย และศึกษาในเรื่องของการทำ M&A เพื่อเพิ่มมาร์เก็ตแชร์และเพิ่มรายได้ให้กับเรา นอกจากนี้เราก็อาจจะทำในเรื่องของการส่งสินค้าของเราไปจำหน่ายยังต่างประเทศ หากว่าการที่เราไปร่วมทุนกับบริษัทใดบริษัทหนึ่งแล้วเขามีช่องทางที่จะสามารถส่งสินค้าไปจำหน่ายต่างประเทศได้เราก็จะทำ เราคาดว่าประมาณไตรมาส 2/2550 ทุกอย่างมันน่าจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ นายประสิทธิ์กล่าว
นายประสิทธิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับแผนการลงทุนในปีนี้นั้น บริษัทมีแผนที่จะสร้างอาคารสำนักงานและคลังสินค้าใหม่ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและเพิ่มสต็อกสินค้าได้เพิ่มมากขึ้น โดยในเบื้องต้นบริษัทคาดว่าจะใช้งบประมาณในการลงทุนประมาณ 20 ล้านบาท อย่างไรก็ดี บริษัทได้ตั้งเป้ารายได้ปีนี้อยู่ที่ประมาณ 460 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 30% จากปี 2549 ที่มีรายได้อยู่ที่ 360 ล้านบาท สำหรับภาพรวมของธุรกิจในปีนี้ มองว่าดีมานด์ในตลาดน่าจะลดลง ซึ่งจุดนี้ทำให้บริษัทต้องทำงานเชิงรุกให้เพิ่มมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าปัจจัยทางด้านการเมืองน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น โดยคาดว่าประมาณไตรมาส 2/2550 น่าจะมีความชัดเจนในเรื่องของการเลือกตั้ง ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมและธุรกิจกลุ่มรับเหมาก่อสร้างมันน่าจะปรับตัวเดีขึ้นในไตรมาส 3/2550
นายประสิทธิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับประเด็นเรื่องของทิศทางของค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่านั้น ทางบริษัทได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวไม่มากนัก เนื่องจากบริษัทไม่ใช่เป็นผู้ส่งออกสินค้าโดยตรง ส่วนวัตถุดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นทางบริษัทสามารถผลักภาระไปยังลูกค้าได้ ประกอบกับบริษัทไม่ได้มีการสต็อกสินค้าไว้มาก ดังนั้นทางบริษัทจึงไม่ค่อยได้รับผลกระทบมากนัก
สำหรับประเด็นเรื่องของราคาหุ้นของบริษัทที่เทรดอยู่ในกระดาน ณ ปัจจุบันนั้น ทางบริษัทมองว่าราคาหุ้นมันยังไม่ค่อยสะท้อนปัจจัยพื้นฐานเท่าที่ควร หากเทียบกับผลประกอบการและอัตราผลตอบแทนที่บริษัทให้กับผู้ถือหุ้น ดังนั้นทางบริษัทมองว่าจะต้องเพิ่มในเรื่องสภาพคล่องให้มากขึ้น ซึ่งบริษัทต้องพิจารณาว่าอาจจะต้องทำการเพิ่มทุน แต่ว่าบริษัทก็กังวลว่าจะเกิดไดลูชั่นเอ็คเฟ็คต่อนักลงทุนและผู้ถือหุ้น ดังนั้นทางบริษัทจึงพยายามที่จะสร้างรายได้และกำไรให้เติบโตมากกว่านี้ ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่บริษัทจะต้องทำการเพิ่มทุนจริงๆจะไม่ไดลูชั่นเอ็คเฟ็คมากนัก แต่อย่างไรก็ตามจะพยายามที่จะจ่ายปันผลกับผู้ถือหุ้นให้ได้ปีละ 2 ครั้ง เพื่อที่จะให้นักลงทุนและผู้ถือหุ้น Happy และถือหุ้นของบริษัทในระยะยาว
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
steel ผมสนใจตัวนี้ใครมีข้อมูลบ้างครับ
โพสต์ที่ 15
ทำไมผู้บริหารถึงได้ยอมจ่ายปันผลออกมาเยอะจังครับ แล้วเหลือเงินสดไว้นิดเดียวเอง งบปี 2006
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
-
- Verified User
- โพสต์: 6853
- ผู้ติดตาม: 0
steel ผมสนใจตัวนี้ใครมีข้อมูลบ้างครับ
โพสต์ที่ 16
ในปีนี้ มองว่าดีมานด์ในตลาดน่าจะลดลง ซึ่งจุดนี้ทำให้บริษัทต้องทำงานเชิงรุกให้เพิ่มมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าปัจจัยทางด้านการเมืองน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น โดยคาดว่าประมาณไตรมาส 2/2550 น่าจะมีความชัดเจนในเรื่องของการเลือกตั้ง ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมและธุรกิจกลุ่มรับเหมาก่อสร้างมันน่าจะปรับตัวเดีขึ้นในไตรมาส 3/2550