ข่าวร้ายและข่าวดีจากที่ประชุมของทุ่งคาเมื่อวานนี้
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
ข่าวร้ายและข่าวดีจากที่ประชุมของทุ่งคาเมื่อวานนี้
โพสต์ที่ 1
เมื่อวานนี้ไปประชุมทุ่งคามา
เป็นการประชุมที่ผู้เข้าร่วมประชุม
คุณภาพคับแก้วจริงๆ
ซัดกันด้วยข้อมูลด้านปัจจัยพื้นฐานล้วนๆ
ถามตอบกันตั้งสามชั่วโมงกว่า !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
แต่ไม่มีใครพูดถึงราคาหุ้นเลย
แถมเอ็มดีดันพูดไทยไม่ได้อีก
ผู้ถือหุ้นบางคน จึงต้องถามเป็นภาษาปะกิต
:roll: :roll: :roll: :roll: :roll: :roll: :roll: :roll:
ประชุมทุ่งคาเมื่อวานนี้
คนเข้าประชุมทำเรคคอร์ดไฮเหมือนที่ผมคิดไว้
เป็นการประชุม ที่เป็นนิมิตหมายที่ดีว่า
เดี๋ยวนี้นักลงทุนรายย่อย ไม่ใช่หมูให้เชือดกันง่ายๆแล้ว
แต่ละคนพกข้อมูลมาถาม จนกรรมการสะอึกไปหลายรอบ
อุตส่าห์หมกเม็ด เอ๊ยไม่เผยแพร่ข้อมูลอย่างละเอียดแล้วนะ
ยังตามไปขุดจนเจอ เยี่ยมมากๆ
รายย่อยบางคน
พูดภาษาอังกฤษคล่องเหมือนพูดภาษาไทย
เท่าที่ดูๆ พวกเฮียๆจากไต้หวัน
ก็ซัดทุ่งคาเข้าไปจนจุกเหมือนกัน
เห็นมือถือที่โทรเข้ามา
พูดภาษาจีนกลางกันดังลั่น แบบไม่รู้จักเกรงใจที่ประชุม
:twisted: :twisted: :twisted: :twisted: :twisted:
มาว่ากันถึงข่าวร้ายก่อนก็แล้วกัน
หลังจากฟังข้อมูลในที่ประชุม
ข่าวร้ายระดับพรีเมียร์ลีกคือ
ผมขอดาวน์เกรดทุ่งคาจาก
๓ บี ( แย่ --------> ดีขึ้นมาก)
ลงมาเป็น
๓ เอ (แย่ --------> ดีขึ้น )
ถ้าราคาทองต่ำกว่าห้าร้อยดอลล่าร์เมื่อไร
ทุ่งคาอาจจะกลายเป็นหุ้น ๒ เอ ( ดี --------> แย่ลง) ทันที
เพราะต้นทุนการผลิตทั้งหมดซึ่งรวมค่าเสื่อมราคา
สูงกว่าที่เคยโม้ เอ๊ยประมาณการไว้เมื่อปีที่แล้วกว่าหนึ่งเท่าตัว
ประเด็นนี้ น้กลงทุนบางท่านลุกขึ้นมาฉะกรรมการแบบไม่ไว้หน้า
ประมาณว่า ทำตัวเป็นพวก dream merchant นี่หว่า
:evil: :evil: :evil: :evil: :evil: :evil: :evil:
ข่าวร้ายระดับดิวิสั้นหนึ่ง
ทุ่งคาได้ทำสัญญากู้เงินกับดอยซ์แบงค์
ในลักษณะที่ผู้ถือหุ้นที่ลุกขึ้นอภิปรายบอกว่า
"สัญญาทาส" ชัดๆ
คือปริมาณทองโดยประมาณการ ที่จะขุดได้ในแต่ละปี
ถ้าในปีแรกมีราคาเกิน ๗๑๒ ดอลล่าร์ต่อออนซ์
ส่วนเกินราคาทองจาก ๗๑๒ ดอลล่าร์ไปจนถึง ๙๐๐ ดอลล่าร์
จะตกเป็นของดอยซ์แบงค์
ส่วนปีถัดๆไป ก็เพิ่มให้อีกสิบ ยี่สิบดอลล่าร์ต่อออนซ์
สัญญาทาส สัญญาทาส สัญญาทาส
คำนี้ก้องในที่ประชุมอยู่เกือบชั่วโมง
เพราะเอ็มดีชาวสิงคโปร์ดันไม่รู้เรื่องว่า
ผู้ถือหุ้นเขากำลังพูดถึงอะไรกัน เนื่องจากไม่เข้าใจภาษาไทย
:twisted: :twisted: :twisted: :twisted: :twisted:
เป็นการประชุมที่ผู้เข้าร่วมประชุม
คุณภาพคับแก้วจริงๆ
ซัดกันด้วยข้อมูลด้านปัจจัยพื้นฐานล้วนๆ
ถามตอบกันตั้งสามชั่วโมงกว่า !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
แต่ไม่มีใครพูดถึงราคาหุ้นเลย
แถมเอ็มดีดันพูดไทยไม่ได้อีก
ผู้ถือหุ้นบางคน จึงต้องถามเป็นภาษาปะกิต
:roll: :roll: :roll: :roll: :roll: :roll: :roll: :roll:
ประชุมทุ่งคาเมื่อวานนี้
คนเข้าประชุมทำเรคคอร์ดไฮเหมือนที่ผมคิดไว้
เป็นการประชุม ที่เป็นนิมิตหมายที่ดีว่า
เดี๋ยวนี้นักลงทุนรายย่อย ไม่ใช่หมูให้เชือดกันง่ายๆแล้ว
แต่ละคนพกข้อมูลมาถาม จนกรรมการสะอึกไปหลายรอบ
อุตส่าห์หมกเม็ด เอ๊ยไม่เผยแพร่ข้อมูลอย่างละเอียดแล้วนะ
ยังตามไปขุดจนเจอ เยี่ยมมากๆ
รายย่อยบางคน
พูดภาษาอังกฤษคล่องเหมือนพูดภาษาไทย
เท่าที่ดูๆ พวกเฮียๆจากไต้หวัน
ก็ซัดทุ่งคาเข้าไปจนจุกเหมือนกัน
เห็นมือถือที่โทรเข้ามา
พูดภาษาจีนกลางกันดังลั่น แบบไม่รู้จักเกรงใจที่ประชุม
:twisted: :twisted: :twisted: :twisted: :twisted:
มาว่ากันถึงข่าวร้ายก่อนก็แล้วกัน
หลังจากฟังข้อมูลในที่ประชุม
ข่าวร้ายระดับพรีเมียร์ลีกคือ
ผมขอดาวน์เกรดทุ่งคาจาก
๓ บี ( แย่ --------> ดีขึ้นมาก)
ลงมาเป็น
๓ เอ (แย่ --------> ดีขึ้น )
ถ้าราคาทองต่ำกว่าห้าร้อยดอลล่าร์เมื่อไร
ทุ่งคาอาจจะกลายเป็นหุ้น ๒ เอ ( ดี --------> แย่ลง) ทันที
เพราะต้นทุนการผลิตทั้งหมดซึ่งรวมค่าเสื่อมราคา
สูงกว่าที่เคยโม้ เอ๊ยประมาณการไว้เมื่อปีที่แล้วกว่าหนึ่งเท่าตัว
ประเด็นนี้ น้กลงทุนบางท่านลุกขึ้นมาฉะกรรมการแบบไม่ไว้หน้า
ประมาณว่า ทำตัวเป็นพวก dream merchant นี่หว่า
:evil: :evil: :evil: :evil: :evil: :evil: :evil:
ข่าวร้ายระดับดิวิสั้นหนึ่ง
ทุ่งคาได้ทำสัญญากู้เงินกับดอยซ์แบงค์
ในลักษณะที่ผู้ถือหุ้นที่ลุกขึ้นอภิปรายบอกว่า
"สัญญาทาส" ชัดๆ
คือปริมาณทองโดยประมาณการ ที่จะขุดได้ในแต่ละปี
ถ้าในปีแรกมีราคาเกิน ๗๑๒ ดอลล่าร์ต่อออนซ์
ส่วนเกินราคาทองจาก ๗๑๒ ดอลล่าร์ไปจนถึง ๙๐๐ ดอลล่าร์
จะตกเป็นของดอยซ์แบงค์
ส่วนปีถัดๆไป ก็เพิ่มให้อีกสิบ ยี่สิบดอลล่าร์ต่อออนซ์
สัญญาทาส สัญญาทาส สัญญาทาส
คำนี้ก้องในที่ประชุมอยู่เกือบชั่วโมง
เพราะเอ็มดีชาวสิงคโปร์ดันไม่รู้เรื่องว่า
ผู้ถือหุ้นเขากำลังพูดถึงอะไรกัน เนื่องจากไม่เข้าใจภาษาไทย
:twisted: :twisted: :twisted: :twisted: :twisted:
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
ข่าวร้ายและข่าวดีจากที่ประชุมของทุ่งคาเมื่อวานนี้
โพสต์ที่ 2
มาว่ากันถึงข่าวดีบ้าง
ข่าวดีระดับพรีเมียร์ลีกคือ
ทุ่งคาได้ยื่นเรื่องขอกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดฯอีกครั้ง
ยังขาดเอกสารสำคัญเพียงสองชิ้นคือ
หุ้นจำนวน ๑๘๕ ล้านหุ้น ที่ต้องนำเข้าไซเรนท์พีเรียด ๑ ปี
ยังไม่สามารถส่งมอบให้ศูนย์รับฝากใบหุ้นได้จนครบ
ถ้าส่งเอกสารครบถ้วนเมื่อไร
"ทุ่งคา อาจจะกลับมาเทรดได้ก่อนสิ้นเดือนนี้ครับ"
อันนี้เป็นข่าววงในดิวิสั้นสาม ที่ไม่สามารถยืนยันความถูกต้อง
เป็นข่าวที่ได้มาจาก การยืนคุยกับเสี่ยอุดม กรรมการบริหาร
หลังจากเลิกประชุมมาราธอนแล้ว
ข่าวดีระดับดิวิสั้นหนึ่ง
ไอ้ที่ว่าสัญญาทาสกับดอยซ์แบงค์นั้น
ความจริงดอยซ์แบงค์กล้าแทงไฮโลทองว่า ออกสูงแน่นอน
เขารับประกันราคาทองที่จะขายได้ ไว้ที่ขั้นต่ำ ๕๐๐ ดอลล่าร์
และที่สำคัญ ที่สื่อสารกันไม่รู้เรื่องแต่แรก
เพราะเอ็มดีดันฟังภาษาไทยไม่ออกก็คือ
ไอ้สัญญาทาสที่ว่านั้น
บริษัทสามารถยกเลิกสัญญาเงินกู้กับดอยซ์แบงค์ได้ตลอดเวลา
ถ้าสามารถหาแหล่งเงินกู้ที่ให้เงื่อนไขดีกว่าดอยซ์แบงค์
ตอนที่ทุ่งคาตัดสินใจรีไฟแนนซ์เงินกู้
จาก exim bank มาเป็น ดอยซ์แบงค์
ก็เพราะว่า เอ๊กซซิมแบงค์มีเงื่อนไข
ให้ทุ่งคาต้องขายทองล่วงหน้า ไม่ต่ำกว่าห้าหมื่นออนซ์
เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินให้กู้
ทางกรรมการเห็นว่าดอกเบี้ยของดอยซ์แบงค์ถูกกว่า
และเงื่อนไขเงินกู้ดีกว่า
ก็เลยทำการรีไฟแนนซ์เงินกู้เพื่อขยายการผลิต
ลดต้นทุนตามหลัก ecomic of scale
แรงกรรมของผลประกอบการที่ได้จากที่ประชุม
ก็มีแค่นั้นแหละ ส่วนแรงกรรมแห่งความโลภของคนในตลาด
ว่าจะให้ราคาทุ่งคาเท่าไร
แม้แต่กรรมการบริหารเองก็ตอบไม่ได้
ประมาณว่า ผมไม่ใช่เจ้ามือครับ
ขึ้นอยู่กับว่าเงินที่มีอำนาจซื้อนำจริง
จะตีค่าพีอี ให้กับทุ่งคาที่เท่าไร
ถ้าเอาตามต่างประเทศ อย่างต่ำก็ยี่สิบเท่า
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
ยังไงถ้าเทรดแล้ว ราคาไปถึงคลายเครียดเรโช
ก็คงต้องทำ เพื่อปกป้องความเสี่ยงจากราคาทองเหมียนกัน
ข่าวดีระดับพรีเมียร์ลีกคือ
ทุ่งคาได้ยื่นเรื่องขอกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดฯอีกครั้ง
ยังขาดเอกสารสำคัญเพียงสองชิ้นคือ
หุ้นจำนวน ๑๘๕ ล้านหุ้น ที่ต้องนำเข้าไซเรนท์พีเรียด ๑ ปี
ยังไม่สามารถส่งมอบให้ศูนย์รับฝากใบหุ้นได้จนครบ
ถ้าส่งเอกสารครบถ้วนเมื่อไร
"ทุ่งคา อาจจะกลับมาเทรดได้ก่อนสิ้นเดือนนี้ครับ"
อันนี้เป็นข่าววงในดิวิสั้นสาม ที่ไม่สามารถยืนยันความถูกต้อง
เป็นข่าวที่ได้มาจาก การยืนคุยกับเสี่ยอุดม กรรมการบริหาร
หลังจากเลิกประชุมมาราธอนแล้ว
ข่าวดีระดับดิวิสั้นหนึ่ง
ไอ้ที่ว่าสัญญาทาสกับดอยซ์แบงค์นั้น
ความจริงดอยซ์แบงค์กล้าแทงไฮโลทองว่า ออกสูงแน่นอน
เขารับประกันราคาทองที่จะขายได้ ไว้ที่ขั้นต่ำ ๕๐๐ ดอลล่าร์
และที่สำคัญ ที่สื่อสารกันไม่รู้เรื่องแต่แรก
เพราะเอ็มดีดันฟังภาษาไทยไม่ออกก็คือ
ไอ้สัญญาทาสที่ว่านั้น
บริษัทสามารถยกเลิกสัญญาเงินกู้กับดอยซ์แบงค์ได้ตลอดเวลา
ถ้าสามารถหาแหล่งเงินกู้ที่ให้เงื่อนไขดีกว่าดอยซ์แบงค์
ตอนที่ทุ่งคาตัดสินใจรีไฟแนนซ์เงินกู้
จาก exim bank มาเป็น ดอยซ์แบงค์
ก็เพราะว่า เอ๊กซซิมแบงค์มีเงื่อนไข
ให้ทุ่งคาต้องขายทองล่วงหน้า ไม่ต่ำกว่าห้าหมื่นออนซ์
เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินให้กู้
ทางกรรมการเห็นว่าดอกเบี้ยของดอยซ์แบงค์ถูกกว่า
และเงื่อนไขเงินกู้ดีกว่า
ก็เลยทำการรีไฟแนนซ์เงินกู้เพื่อขยายการผลิต
ลดต้นทุนตามหลัก ecomic of scale
แรงกรรมของผลประกอบการที่ได้จากที่ประชุม
ก็มีแค่นั้นแหละ ส่วนแรงกรรมแห่งความโลภของคนในตลาด
ว่าจะให้ราคาทุ่งคาเท่าไร
แม้แต่กรรมการบริหารเองก็ตอบไม่ได้
ประมาณว่า ผมไม่ใช่เจ้ามือครับ
ขึ้นอยู่กับว่าเงินที่มีอำนาจซื้อนำจริง
จะตีค่าพีอี ให้กับทุ่งคาที่เท่าไร
ถ้าเอาตามต่างประเทศ อย่างต่ำก็ยี่สิบเท่า
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
ยังไงถ้าเทรดแล้ว ราคาไปถึงคลายเครียดเรโช
ก็คงต้องทำ เพื่อปกป้องความเสี่ยงจากราคาทองเหมียนกัน
- น้ำครึ่งแก้ว
- Verified User
- โพสต์: 1098
- ผู้ติดตาม: 0
ข่าวร้ายและข่าวดีจากที่ประชุมของทุ่งคาเมื่อวานนี้
โพสต์ที่ 4
คุณ คลายเครียด :
ทุ่งคาได้ทำสัญญากู้เงินกับดอยซ์แบงค์
ในลักษณะที่ผู้ถือหุ้นที่ลุกขึ้นอภิปรายบอกว่า
"สัญญาทาส" ชัดๆ
คือปริมาณทองโดยประมาณการ ที่จะขุดได้ในแต่ละปี
ถ้าในปีแรกมีราคาเกิน ๗๑๒ ดอลล่าร์ต่อออนซ์
ส่วนเกินราคาทองจาก ๗๑๒ ดอลล่าร์ไปจนถึง ๙๐๐ ดอลล่าร์
จะตกเป็นของดอยซ์แบงค์
ส่วนปีถัดๆไป ก็เพิ่มให้อีกสิบ ยี่สิบดอลล่าร์ต่อออนซ์
--------------------------------------------------------------------------------
รบกวนคุณ คลายเครียด ช่วยอธิบายรายละเอียดตรงนี้ให้หน่อยได้มั้ยครับ
ในปีแรก
ถ้าราคาทองโลกไม่เกิน 712 usd/onz ทุ่งคาได้ไปหมด
ถ้าราคาทองโลกเกิน 712-900 usd/onz ดอยซ์แบงค์ได้ส่วนต่างที่เกิน 712
แล้วปีต่อๆไปจะต้องจ่ายยังไงครับ
แล้วดอกเงินกู้ที่กู้จาก ดอยซ์แบงค์นี้ประมาณเท่าไหร่ครับ
ขอบคุณครับ
ทุ่งคาได้ทำสัญญากู้เงินกับดอยซ์แบงค์
ในลักษณะที่ผู้ถือหุ้นที่ลุกขึ้นอภิปรายบอกว่า
"สัญญาทาส" ชัดๆ
คือปริมาณทองโดยประมาณการ ที่จะขุดได้ในแต่ละปี
ถ้าในปีแรกมีราคาเกิน ๗๑๒ ดอลล่าร์ต่อออนซ์
ส่วนเกินราคาทองจาก ๗๑๒ ดอลล่าร์ไปจนถึง ๙๐๐ ดอลล่าร์
จะตกเป็นของดอยซ์แบงค์
ส่วนปีถัดๆไป ก็เพิ่มให้อีกสิบ ยี่สิบดอลล่าร์ต่อออนซ์
--------------------------------------------------------------------------------
รบกวนคุณ คลายเครียด ช่วยอธิบายรายละเอียดตรงนี้ให้หน่อยได้มั้ยครับ
ในปีแรก
ถ้าราคาทองโลกไม่เกิน 712 usd/onz ทุ่งคาได้ไปหมด
ถ้าราคาทองโลกเกิน 712-900 usd/onz ดอยซ์แบงค์ได้ส่วนต่างที่เกิน 712
แล้วปีต่อๆไปจะต้องจ่ายยังไงครับ
แล้วดอกเงินกู้ที่กู้จาก ดอยซ์แบงค์นี้ประมาณเท่าไหร่ครับ
ขอบคุณครับ
" ชีวิตไม่เคยขาดความหวาน "
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
ข่าวร้ายและข่าวดีจากที่ประชุมของทุ่งคาเมื่อวานนี้
โพสต์ที่ 5
[quote="น้ำครึ่งแก้ว"]
รบกวนคุณ คลายเครียด ช่วยอธิบายรายละเอียดตรงนี้ให้หน่อยได้มั้ยครับ
ในปีแรก
ถ้าราคาทองโลกไม่เกิน
รบกวนคุณ คลายเครียด ช่วยอธิบายรายละเอียดตรงนี้ให้หน่อยได้มั้ยครับ
ในปีแรก
ถ้าราคาทองโลกไม่เกิน
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
ข่าวร้ายและข่าวดีจากที่ประชุมของทุ่งคาเมื่อวานนี้
โพสต์ที่ 6
คุณน้ำครึ่งแก้ว
ปีนี้ทุ่งคาแจกเป็นแผ่นซีดีครับ
ก็เลยไม่มีข้อมูลที่จะเปิดดู
แม้แต่ในที่ประชุม ก็มีแจกให้เฉพาะคนที่มาเร็ว
เท่าที่ผมจำได้จากคำพูดของคุณอุดม กรรมการบริหาร
ทุ่งคาต้องคืนหนี้ให้ดอยซ์แบงค์เดือนละ ๗ แสนดอลล่าร์
ระยะคืนหนี้จนหมดคือ ๔ ปี
ดังนั้นเงินกู้น่าจะประมาณ ๓๒ ล้านดอลล่าร์ครับ
ดอยซ์แบงค์จะได้ส่วนต่างราคาทองจนถึง ๙๐๐ ดอลล่าร์ครับ
เกินจากนั้น ส่วนต่างจะกลับมาเป็นของทุ่งคา
เงื่อนไขมี ๔ ปีตามระยะเวลาในการคืนหนี้
ปีที่สอง ดอยซ์แบงค์
ได้ส่วนที่เกิน ๗๒๕ ดอลล่าร์จนถึง ๙๐๐ ดอลล่าร์
ปีที่สาม
ได้ส่วนที่เกิน ๗๓๕ ดอลล่าร์จนถึง ๙๐๐ ดอลล่าร์
ปีที่สี่
ได้ส่วนที่เกิน ๗๓๕ ดอลล่าร์จนถึง ๙๐๐ ดอลล่าร์
เถียงกันจะเป็นจะตายในที่ประชุม
ลงท้ายเอ็มดีชาวสิงคโปร์
ซึ่งฟังภาษาไทยไม่ค่อยรู้เรื่อง
บอกว่า สัญญาทาสที่ว่านั้น
บริษัทสามารถยกเลิกได้ตลอดเวลา
ถ้าสามารถหาแหล่งเงินอื่นๆ มารีไฟแนนซ์ได้
ดังนั้นถ้าทองเกินเจ็ดร้อยมากๆ
ผมว่าทุ่งคา สามารถระดมทุนจากตลาดหุ้น
ไปใช้หนี้ดอยซแบงค์ได้สบายๆ
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
ปีนี้ทุ่งคาแจกเป็นแผ่นซีดีครับ
ก็เลยไม่มีข้อมูลที่จะเปิดดู
แม้แต่ในที่ประชุม ก็มีแจกให้เฉพาะคนที่มาเร็ว
เท่าที่ผมจำได้จากคำพูดของคุณอุดม กรรมการบริหาร
ทุ่งคาต้องคืนหนี้ให้ดอยซ์แบงค์เดือนละ ๗ แสนดอลล่าร์
ระยะคืนหนี้จนหมดคือ ๔ ปี
ดังนั้นเงินกู้น่าจะประมาณ ๓๒ ล้านดอลล่าร์ครับ
ดอยซ์แบงค์จะได้ส่วนต่างราคาทองจนถึง ๙๐๐ ดอลล่าร์ครับ
เกินจากนั้น ส่วนต่างจะกลับมาเป็นของทุ่งคา
เงื่อนไขมี ๔ ปีตามระยะเวลาในการคืนหนี้
ปีที่สอง ดอยซ์แบงค์
ได้ส่วนที่เกิน ๗๒๕ ดอลล่าร์จนถึง ๙๐๐ ดอลล่าร์
ปีที่สาม
ได้ส่วนที่เกิน ๗๓๕ ดอลล่าร์จนถึง ๙๐๐ ดอลล่าร์
ปีที่สี่
ได้ส่วนที่เกิน ๗๓๕ ดอลล่าร์จนถึง ๙๐๐ ดอลล่าร์
เถียงกันจะเป็นจะตายในที่ประชุม
ลงท้ายเอ็มดีชาวสิงคโปร์
ซึ่งฟังภาษาไทยไม่ค่อยรู้เรื่อง
บอกว่า สัญญาทาสที่ว่านั้น
บริษัทสามารถยกเลิกได้ตลอดเวลา
ถ้าสามารถหาแหล่งเงินอื่นๆ มารีไฟแนนซ์ได้
ดังนั้นถ้าทองเกินเจ็ดร้อยมากๆ
ผมว่าทุ่งคา สามารถระดมทุนจากตลาดหุ้น
ไปใช้หนี้ดอยซแบงค์ได้สบายๆ
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
- น้ำครึ่งแก้ว
- Verified User
- โพสต์: 1098
- ผู้ติดตาม: 0
ข่าวร้ายและข่าวดีจากที่ประชุมของทุ่งคาเมื่อวานนี้
โพสต์ที่ 8
ขอบคุณ คุณคลายเครียดมากครับ
ตามสัญญา ถ้าราคาทองใน 4 ปีไม่เกิน 700 กว่าเหรียญ แถม ยังให้สามารถ
ยกเลิกสัญญาได้ถ้ามีแหล่งเงินกู้ที่ดีกว่ามา refinance ได้
ผมว่าก็ยังไม่ถึงกับเป็นสัญญาทาสนะครับ เอาแค่เรื่องราคาเกิน 700 เหรียญ
ประเด็นเดียว นับว่าเขี้ยวใช้ได้ แต่ยังไม่ถึงกับเขี้ยวลากดินขูดเลือดขูด
เนื้อกันจนหมดนะครับ(ประมาณว่าเจ้ามือดอยซ์แบงค์ แทงสูง วัดใจกัน
มากกว่า) :lol: :lol:
ยังไงก็ขอให้ผู้ถือหุ้นทุ่งคาทุกคนร่ำรวยๆ :lol: :lol: นะครับ
ตามสัญญา ถ้าราคาทองใน 4 ปีไม่เกิน 700 กว่าเหรียญ แถม ยังให้สามารถ
ยกเลิกสัญญาได้ถ้ามีแหล่งเงินกู้ที่ดีกว่ามา refinance ได้
ผมว่าก็ยังไม่ถึงกับเป็นสัญญาทาสนะครับ เอาแค่เรื่องราคาเกิน 700 เหรียญ
ประเด็นเดียว นับว่าเขี้ยวใช้ได้ แต่ยังไม่ถึงกับเขี้ยวลากดินขูดเลือดขูด
เนื้อกันจนหมดนะครับ(ประมาณว่าเจ้ามือดอยซ์แบงค์ แทงสูง วัดใจกัน
มากกว่า) :lol: :lol:
ยังไงก็ขอให้ผู้ถือหุ้นทุ่งคาทุกคนร่ำรวยๆ :lol: :lol: นะครับ
" ชีวิตไม่เคยขาดความหวาน "
- น้ำครึ่งแก้ว
- Verified User
- โพสต์: 1098
- ผู้ติดตาม: 0
ข่าวร้ายและข่าวดีจากที่ประชุมของทุ่งคาเมื่อวานนี้
โพสต์ที่ 9
โห............... ดอกเบี้ยแค่ประมาณ 1.25% เนี้ย นับว่า ดอยซ์แบงค์นี่
กล้ามากจริงๆ ดูท่าเค้าคงหวังที่ส่วนต่างราคาทองมากกว่านะครับเนี้ย
แสดงว่า คงดูแนวโน้มทองในระยะ 4 ปีแล้วต้องไปอีกไกลแน่
ยินดีกับคุณคลายเครียดอีกทีนะครับ
กล้ามากจริงๆ ดูท่าเค้าคงหวังที่ส่วนต่างราคาทองมากกว่านะครับเนี้ย
แสดงว่า คงดูแนวโน้มทองในระยะ 4 ปีแล้วต้องไปอีกไกลแน่
ยินดีกับคุณคลายเครียดอีกทีนะครับ
" ชีวิตไม่เคยขาดความหวาน "
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
ข่าวร้ายและข่าวดีจากที่ประชุมของทุ่งคาเมื่อวานนี้
โพสต์ที่ 10
ต้องขอโทษคุณน้ำครึ่งแก้วด้วยครับ
ผมเล่นจับเอา ๗ คูณ ๑๒ คูณ ๔
เลยได้ตัวเลขออกมาแบบนั้น
ความจริงน่าจะเป็นว่า ตอนนี้จ่ายเดือนละ ๗ แสนเหรียญ
แล้วค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆครับ
เงินกู้ที่ถูกต้องคือ
๒๕ ล้านเหรียญครับ
:oops: :oops: :oops: :oops: :oops: :oops: :oops:
THL 151-001/01/2007
January 3, 2007
Managing Director
The Stock Exchange of Thailand
Dear Sir,
Subject: Loan for Gold Project
At the close of business day on Friday December 29, 2006, Tungkum Limited,
our subsidiary company, has signed the principals of an off-shore initial
facility agreement with Deutsche Bank for
US Dollar 25 million.
The loan will be for the second phase of gold plant expansion and further
proving up of reserves including refinancing of the existing loan from the
Export-Import Bank of Thailand and Bankthai Public Company Limited.
The facility has a four year term but details of the drawdown and final terms
& conditions have yet to be finalized.
We will have those information presented as and when they become available.
Sincerely yours,
Ronald Ng Wai Choi
Managing Director
ผมเล่นจับเอา ๗ คูณ ๑๒ คูณ ๔
เลยได้ตัวเลขออกมาแบบนั้น
ความจริงน่าจะเป็นว่า ตอนนี้จ่ายเดือนละ ๗ แสนเหรียญ
แล้วค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆครับ
เงินกู้ที่ถูกต้องคือ
๒๕ ล้านเหรียญครับ
:oops: :oops: :oops: :oops: :oops: :oops: :oops:
THL 151-001/01/2007
January 3, 2007
Managing Director
The Stock Exchange of Thailand
Dear Sir,
Subject: Loan for Gold Project
At the close of business day on Friday December 29, 2006, Tungkum Limited,
our subsidiary company, has signed the principals of an off-shore initial
facility agreement with Deutsche Bank for
US Dollar 25 million.
The loan will be for the second phase of gold plant expansion and further
proving up of reserves including refinancing of the existing loan from the
Export-Import Bank of Thailand and Bankthai Public Company Limited.
The facility has a four year term but details of the drawdown and final terms
& conditions have yet to be finalized.
We will have those information presented as and when they become available.
Sincerely yours,
Ronald Ng Wai Choi
Managing Director
- น้ำครึ่งแก้ว
- Verified User
- โพสต์: 1098
- ผู้ติดตาม: 0
ข่าวร้ายและข่าวดีจากที่ประชุมของทุ่งคาเมื่อวานนี้
โพสต์ที่ 12
อืมม...........ครับ
ถึงว่าตัวเลขของดอกเบี้ยมันต่ำจนน่าเกลียดจริงๆครับ
ขอรบกวนถามในเรื่องของการยกเลิกสัญญากู้เงินของดอยซ์แบงค์ต่ออีก
ประเด็นนะครับ ถ้าในกรณีที่ราคาทองปรับตัวสูงขึ้นมาก(730up usd/oz )
แล้วทางทุ่งคาอยากหาเงินมาจ่ายให้ดอยซ์แบงค์แล้วยกสัญญากู้นี้ทิ้ง
เป็นไปได้มั้ยครับที่จะมีการ เพิ่มทุน จากผู้ถือหุ้นเพื่อมาจ่ายหนี้ดอยซ์แบงค์ครับ
ขอบคุณครับ
ถึงว่าตัวเลขของดอกเบี้ยมันต่ำจนน่าเกลียดจริงๆครับ
ขอรบกวนถามในเรื่องของการยกเลิกสัญญากู้เงินของดอยซ์แบงค์ต่ออีก
ประเด็นนะครับ ถ้าในกรณีที่ราคาทองปรับตัวสูงขึ้นมาก(730up usd/oz )
แล้วทางทุ่งคาอยากหาเงินมาจ่ายให้ดอยซ์แบงค์แล้วยกสัญญากู้นี้ทิ้ง
เป็นไปได้มั้ยครับที่จะมีการ เพิ่มทุน จากผู้ถือหุ้นเพื่อมาจ่ายหนี้ดอยซ์แบงค์ครับ
ขอบคุณครับ
" ชีวิตไม่เคยขาดความหวาน "
- คนรักน้ำมัน
- Verified User
- โพสต์: 266
- ผู้ติดตาม: 0
ข่าวร้ายและข่าวดีจากที่ประชุมของทุ่งคาเมื่อวานนี้
โพสต์ที่ 13
ผมเองก็เป็นส่วนหนึ่งของที่ประชุมเหมือนกันครับ และมีโอกาสถามไปหลายคำถามเช่นกันและเป็นอย่างที่เฮียคลายเครียดว่าไว้คือนักลงทุนหลายท่านถามคำถามได้ดีมากและจี้จุดอ่อนของได้ตรงจุดครับ เช่นเรื่องการกู้เงินจากดอยช์แบงค์เป็นต้น
แต่ความเป็นจริงเงื่อนไขเงินกู้ดังกล่าวหากไม่นับเรื่องราคาทองเกิน700เหรียญต่อออนซ์ ที่ต้องตกเป็นของดอยช์แบงค์แล้ว ก็โอเคครับ เพราะสามารถนเงินกู้มาปลดล๊อคเงื่อนไขที่ทำไว้กับEXIMได้ ทำให้หายใจคล่องขึ้น สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับความจริงก็คือบริษัทเองยังไม่มีเงินเพียงพอที่จะทำอะไรได้ถนัดนัก ดังนั้นในแง่บริหารแล้วผมค่อนข้างเข้าใจว่าการบริหารเงินเป็นเรื่องเหนื่อยครับ(ถ้าคนทำธุกิจตัวเองจะเข้าใจดี) บางครั้งต้องยอมเสียเปรียบเขาเพื่อให้ได้เงินมาหล่อเลี้ยงหมุนเวียนในบริษัทไม่ให้ขาดสภาพคล่อง บางครั้งต้องยอมกู้นอกระบบกันทีเดียว เพราะการนำเงินประมาณ 1000 ล้านมาค้ำประกันทองคำ 50,000 ออนซ์ในปีแรกมันเป็นไปไม่ได้แน่นอกจากจะผลิตได้ตามนั้นจริงๆแต่ในความเป็นจริงช่วงแรกของการเปิดเหมืองมันย่อมยากที่จะได้ตามคาดหวังทุกอย่าง ทว่า หาก ณ วันหน้าทุ่งคามีเงินสดพอแล้วยังมีดีลประเภทนี้ออกมาอีกคงต้องคุยกันยาวแน่ครับในฐานะนักลงทุน
ในแง่ที่มีผู้ถือห้นที่ท่านเสนอการเพิ่มทุนแทนการกู้นั้นโดยส่วนตัวแล้วถึงแม้ว่าผมไม่เห็นด้วย(เพราะการเพิ่มทุนนั้นเป็นข่าวร้ายซึ่งจะส่งผลต่อราคาห้นให้ร่วงลงและคงไม่มีนักลงทุนคนไหนอยากเห็นหุ้นที่ตัวเองถือมีมูลค่าลดลงเป็นแน่ ซึ่งถ้าเลือกได้ก็ขอให้เป็นทางเลือกสุดท้าย) แต่ผมก็เข้าใจความรู้สึกของนักลงทุนด้วยกันเพราะหากดูจากดีลนี้แล้วการเพิ่มทุนเสียยังเป็นทางเลือกที่ดีกว่าจริงๆครับหากทองคำมีแนวโน้มที่จะขึ้นไปเรื่อยๆ
อย่างไรก็ดี ในแง่ตัวชี้วัดความสามารถในการทำกำไรที่มีนัยสำคัญจริงๆต่อผลประกอบการน่าจะเป็นปริมาณทองคำและประสิทธิภาพในการดึงทองคำออกมามากกว่า นั่นคือขึ้นกับว่าในชั้นซัลไฟต์จะสามารถดึงปริมาณทองคำมาได้อย่างที่คาดกันไว้หรือเปล่า (ซึ่งผมคิดว่าทางทุ่งคาเองทราบข้อมูลนี้ดีแต่เหมือนกับจะพยายามบอกข้อมูลในเชิงconservativeให้กับนักลงทุนได้รับรู้เท่านั้น ซึ่งตอนนี้ยังสรุปยากจริงๆครับว่าทองมีมากกว่าหรือน้อยกว่าที่ประเมินไว้อย่างไร) หากปริมาณทองคำมีมากพอหรือเกินคาดน่าจะส่งผลดีต่อผลประกอบการอย่างแน่นอน ส่วนประสิทธิภาพก็ขึ้นกับอัตราการผลิตที่จะขยายจาก 1,400 เป็น 2,000-2,500 ตันต่อวันได้หรือไม่อย่างไร รวมทั้ง Recovery ที่จะเพิ่มเป็น 90 % ได้เมื่อไหร่
โดยรวมก็โอเคครับ ถ้าเทียบกับ 2 ปีที่ผ่านมาที่ผมมีโอกาสเข้าร่วมประชุม บรรยากาศไม่อึมครึมเหมือนครั้งก่อน อาจเป็นเพราะเพื่อนนักลงทุนทำการบ้านมาดีและเริ่มเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจที่ดีขึ้น ชัดเจนขึ้น รวมทั้งโครงการใหม่ของดีบุกที่คุณสมศักดิ์ได้เอาไสล์มานำเสนอให้ชมกันผ่านบริษัททรัพยากรสมุทรที่ทุ่งคาได้ซื้อหุ้นมาจนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ในอนาคตซึ่งอาจจะเพิ่มศักยภาพให้กับบริษัทอีกมาก นอกเหนือไปจาก ทุ่งคำ และคงเป็นสตอรี่ต่อไปที่จะเล่นได้อีก ทั้งนี้ต้องขึ้นกับเงื่อนไขการเจรจาเรื่องค่าภาคหลวงกับรัฐบาลให้เรียบร้อยเสียก่อน(ถ้าเจรจาสำเร็จราคาหุ้นคงวิ่งกระฉูดแน่ในอนาคต)
แต่ความเป็นจริงเงื่อนไขเงินกู้ดังกล่าวหากไม่นับเรื่องราคาทองเกิน700เหรียญต่อออนซ์ ที่ต้องตกเป็นของดอยช์แบงค์แล้ว ก็โอเคครับ เพราะสามารถนเงินกู้มาปลดล๊อคเงื่อนไขที่ทำไว้กับEXIMได้ ทำให้หายใจคล่องขึ้น สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับความจริงก็คือบริษัทเองยังไม่มีเงินเพียงพอที่จะทำอะไรได้ถนัดนัก ดังนั้นในแง่บริหารแล้วผมค่อนข้างเข้าใจว่าการบริหารเงินเป็นเรื่องเหนื่อยครับ(ถ้าคนทำธุกิจตัวเองจะเข้าใจดี) บางครั้งต้องยอมเสียเปรียบเขาเพื่อให้ได้เงินมาหล่อเลี้ยงหมุนเวียนในบริษัทไม่ให้ขาดสภาพคล่อง บางครั้งต้องยอมกู้นอกระบบกันทีเดียว เพราะการนำเงินประมาณ 1000 ล้านมาค้ำประกันทองคำ 50,000 ออนซ์ในปีแรกมันเป็นไปไม่ได้แน่นอกจากจะผลิตได้ตามนั้นจริงๆแต่ในความเป็นจริงช่วงแรกของการเปิดเหมืองมันย่อมยากที่จะได้ตามคาดหวังทุกอย่าง ทว่า หาก ณ วันหน้าทุ่งคามีเงินสดพอแล้วยังมีดีลประเภทนี้ออกมาอีกคงต้องคุยกันยาวแน่ครับในฐานะนักลงทุน
ในแง่ที่มีผู้ถือห้นที่ท่านเสนอการเพิ่มทุนแทนการกู้นั้นโดยส่วนตัวแล้วถึงแม้ว่าผมไม่เห็นด้วย(เพราะการเพิ่มทุนนั้นเป็นข่าวร้ายซึ่งจะส่งผลต่อราคาห้นให้ร่วงลงและคงไม่มีนักลงทุนคนไหนอยากเห็นหุ้นที่ตัวเองถือมีมูลค่าลดลงเป็นแน่ ซึ่งถ้าเลือกได้ก็ขอให้เป็นทางเลือกสุดท้าย) แต่ผมก็เข้าใจความรู้สึกของนักลงทุนด้วยกันเพราะหากดูจากดีลนี้แล้วการเพิ่มทุนเสียยังเป็นทางเลือกที่ดีกว่าจริงๆครับหากทองคำมีแนวโน้มที่จะขึ้นไปเรื่อยๆ
อย่างไรก็ดี ในแง่ตัวชี้วัดความสามารถในการทำกำไรที่มีนัยสำคัญจริงๆต่อผลประกอบการน่าจะเป็นปริมาณทองคำและประสิทธิภาพในการดึงทองคำออกมามากกว่า นั่นคือขึ้นกับว่าในชั้นซัลไฟต์จะสามารถดึงปริมาณทองคำมาได้อย่างที่คาดกันไว้หรือเปล่า (ซึ่งผมคิดว่าทางทุ่งคาเองทราบข้อมูลนี้ดีแต่เหมือนกับจะพยายามบอกข้อมูลในเชิงconservativeให้กับนักลงทุนได้รับรู้เท่านั้น ซึ่งตอนนี้ยังสรุปยากจริงๆครับว่าทองมีมากกว่าหรือน้อยกว่าที่ประเมินไว้อย่างไร) หากปริมาณทองคำมีมากพอหรือเกินคาดน่าจะส่งผลดีต่อผลประกอบการอย่างแน่นอน ส่วนประสิทธิภาพก็ขึ้นกับอัตราการผลิตที่จะขยายจาก 1,400 เป็น 2,000-2,500 ตันต่อวันได้หรือไม่อย่างไร รวมทั้ง Recovery ที่จะเพิ่มเป็น 90 % ได้เมื่อไหร่
โดยรวมก็โอเคครับ ถ้าเทียบกับ 2 ปีที่ผ่านมาที่ผมมีโอกาสเข้าร่วมประชุม บรรยากาศไม่อึมครึมเหมือนครั้งก่อน อาจเป็นเพราะเพื่อนนักลงทุนทำการบ้านมาดีและเริ่มเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจที่ดีขึ้น ชัดเจนขึ้น รวมทั้งโครงการใหม่ของดีบุกที่คุณสมศักดิ์ได้เอาไสล์มานำเสนอให้ชมกันผ่านบริษัททรัพยากรสมุทรที่ทุ่งคาได้ซื้อหุ้นมาจนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ในอนาคตซึ่งอาจจะเพิ่มศักยภาพให้กับบริษัทอีกมาก นอกเหนือไปจาก ทุ่งคำ และคงเป็นสตอรี่ต่อไปที่จะเล่นได้อีก ทั้งนี้ต้องขึ้นกับเงื่อนไขการเจรจาเรื่องค่าภาคหลวงกับรัฐบาลให้เรียบร้อยเสียก่อน(ถ้าเจรจาสำเร็จราคาหุ้นคงวิ่งกระฉูดแน่ในอนาคต)
หุ้นไม่ใช่เพียงแค่กระดาษแผ่นหนึ่ง มันเป็นเอกสารที่แสดงถึงความมีส่วนเป็นเจ้าของในกิจการนั้นด้วย เมือคิดจะลงทุน จงใช้มุมมองอย่างเจ้าของกิจการ เน้นลงไปในกิจการและข้อมูลเบี้องหลัง ไม่ใช่แค่มองว่ามันเป็นแค่หุ้น ต้องรู้ใช้ชัดว่ากิจการนี้ทำอะไร และทำได้ดีแค่ไหน?
-
- Verified User
- โพสต์: 6
- ผู้ติดตาม: 0
http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=95000
โพสต์ที่ 15
เอกชนแห่ขออนุญาตทำเหมืองแร่ทองคำเพิ่มขึ้น
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 20 เมษายน 2550 15:17 น.
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ระบุเอกชนสนใจขออนุญาตทำเหมืองแร่ทองคำในไทยมากขึ้น หลังจากราคาทองได้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนแร่ดีบุกก็มีศักยภาพสามารถเติบโตได้อีกมาก
นายอนุสรณ์ เนื่องผลมาก อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กล่าวหลังเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมสามัญประจำปี 2550 ของสภาการเหมืองแร่ ว่า จากการสำรวจเบื้องต้นพบว่าประเทศไทยมีสินแร่ทองคำมูลค่าประมาณ 400,000 ล้านบาท ที่จะสามารถสำรวจและขุดเจาะขึ้นมาได้ โดยจังหวัดที่มีทองคำมากได้แก่ พิจิตร เพชรบูรณ์ เลย พิษณุโลก ปราจีนบุรี จันทบุรี สตูล และนราธิวาส ทั้งนี้ ทองคำเป็นแร่ที่มีศักยภาพในการพัฒนา และจากสถานการณ์ราคาทองคำที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากที่มีราคา 240 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ในปี 2544 เพิ่มขึ้นเป็น 680 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในปัจจุบัน ทำให้เกิดความสนใจจากผู้ประกอบการเหมืองแร่ทองคำมาที่ประเทศไทยเป็นจำนวนมาก
โดยในขณะนี้กรมฯ ได้อนุญาตอาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ไปแล้ว 60 แปลง และมีเอกชนสนใจยื่นคำขออนุญาตอาชญาบัตรพิเศษ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการอีก 54 แปลง รวมทั้งมีคำขอประทานบัตรอีกหลายแปลง นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ศักยภาพอีกหลายแห่ง เช่น พื้นที่เปิดประมูลเป็นโครงการใหญ่ของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เป็นพื้นที่ตามมาตรา 6 ทวิ และโครงการเร่งรัดการสำรวจและประเมินศักยภาพแหล่งแร่ของกรมทรัพยากรธรณี ที่กรมจะต้องพิจารณาเพื่อส่งเสริมการพัฒนาแหล่งแร่ทองคำต่อไป
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า นอกจากทองคำ แร่ดีบุกก็มีศักยภาพเพราะราคาสูงขึ้น จาก 8,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในปี 2549 เพิ่มเป็น 15,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในขณะนี้ และเพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนพัฒนาแหล่งแร่นำขึ้นมาใช้ ทาง กพร.กำลังแก้ไขกฎกระทรวงเพื่อปรับลดอัตราค่าภาคหลวงแร่ให้มีความเหมาะสม สามารถทำเหมืองได้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ สำหรับแหล่งแร่ดีบุกที่มีศักยภาพในการทำเหมืองอยู่ในทะเลอันดามัน บริเวณ จ.พังงา ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวน้อยกว่า จ.ภูเก็ต
นายอนุสรณ์ กล่าวถึงสถานการณ์อุตสาหกรรมเหมืองแร่โดยรวมว่า ด้านมูลค่าการผลิตแร่ของไทยในปีที่ผ่านมา มีมูลค่า 39,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2548 ร้อยละ 12 อย่างไรก็ตาม สาเหตุหลักที่เป็นการส่งเสริมด้านมูลค่าคือ ราคาโลหะในตลาดโลกที่สูงขึ้นมาก จึงทำให้แร่มีราคาสูงขึ้น สำหรับแร่ที่มีมูลค่าการผลิตสูงสุด 5 อันดับแรกได้แก่ หินปูน ลิกไนต์ ยิปซัม ทองคำ และสังกะสี ส่วนมูลค่าการส่งออกแร่สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ โลหะดีบุก ยิปซัม ทองคำ แทนทาลัม และโลหะสังกะสี ส่วนแร่ที่มีการส่งออกเพิ่มขึ้นมาก ได้แก่ แร่เหล็ก จาก 36,000 ตันในปี 2548 เป็น 234,000 ตัน ในปี 2549
ด้านนายยงยุทธ เพ็ชร์สุวรรณ ประธานสภาการเหมืองแร่ กล่าวว่า การทำเหมืองแร่ในปัจจุบันทางสภาการเหมืองแร่ได้ย้ำให้สมาชิกดำเนินการตามกรอบกติกาและกฎระเบียบของทางการอย่างเคร่งครัด พร้อมกับดูแลสิ่งแวดล้อมให้กับชุมชน ประชาชนที่เกี่ยวข้องด้วย ทั้งนี้ หลังการทำเหมืองแร่ปัจจุบันได้มีการพัฒนาพื้นที่ให้สามารถใช้ปลูกพืชเช่น มังคุด เงาะ ยางพารา เช่นในภาคใต้ได้ นับเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มภายหลังการทำเหมืองแร่และนำธรรมชาติกลับคืนสู่ชุมชนและสิ่งแวดล้อมด้วย
ด้านนางอรนุช รามโกมุท เลขาธิการสภาการเหมืองแร่ กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะค่อนข้างชะลอตัว แต่อุตสาหกรรมเหมืองแร่ก็ได้พยายามร่วมมือกับภาครัฐที่จะแก้ไขข้อขัดข้องหลายประการและช่วยลดต้นทุน เช่น การประกาศลดขั้นตอนต่าง ๆ ตลอดจนการปรับลดค่าภาคหลวง ซึ่งขณะนี้ได้ประสานงานกับภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ภาคอุตสาหกรรมเหมืองแร่พยายามทำให้อุตสาหกรรมดีขึ้น
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 20 เมษายน 2550 15:17 น.
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ระบุเอกชนสนใจขออนุญาตทำเหมืองแร่ทองคำในไทยมากขึ้น หลังจากราคาทองได้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนแร่ดีบุกก็มีศักยภาพสามารถเติบโตได้อีกมาก
นายอนุสรณ์ เนื่องผลมาก อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กล่าวหลังเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมสามัญประจำปี 2550 ของสภาการเหมืองแร่ ว่า จากการสำรวจเบื้องต้นพบว่าประเทศไทยมีสินแร่ทองคำมูลค่าประมาณ 400,000 ล้านบาท ที่จะสามารถสำรวจและขุดเจาะขึ้นมาได้ โดยจังหวัดที่มีทองคำมากได้แก่ พิจิตร เพชรบูรณ์ เลย พิษณุโลก ปราจีนบุรี จันทบุรี สตูล และนราธิวาส ทั้งนี้ ทองคำเป็นแร่ที่มีศักยภาพในการพัฒนา และจากสถานการณ์ราคาทองคำที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากที่มีราคา 240 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ในปี 2544 เพิ่มขึ้นเป็น 680 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในปัจจุบัน ทำให้เกิดความสนใจจากผู้ประกอบการเหมืองแร่ทองคำมาที่ประเทศไทยเป็นจำนวนมาก
โดยในขณะนี้กรมฯ ได้อนุญาตอาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ไปแล้ว 60 แปลง และมีเอกชนสนใจยื่นคำขออนุญาตอาชญาบัตรพิเศษ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการอีก 54 แปลง รวมทั้งมีคำขอประทานบัตรอีกหลายแปลง นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ศักยภาพอีกหลายแห่ง เช่น พื้นที่เปิดประมูลเป็นโครงการใหญ่ของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เป็นพื้นที่ตามมาตรา 6 ทวิ และโครงการเร่งรัดการสำรวจและประเมินศักยภาพแหล่งแร่ของกรมทรัพยากรธรณี ที่กรมจะต้องพิจารณาเพื่อส่งเสริมการพัฒนาแหล่งแร่ทองคำต่อไป
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า นอกจากทองคำ แร่ดีบุกก็มีศักยภาพเพราะราคาสูงขึ้น จาก 8,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในปี 2549 เพิ่มเป็น 15,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในขณะนี้ และเพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนพัฒนาแหล่งแร่นำขึ้นมาใช้ ทาง กพร.กำลังแก้ไขกฎกระทรวงเพื่อปรับลดอัตราค่าภาคหลวงแร่ให้มีความเหมาะสม สามารถทำเหมืองได้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ สำหรับแหล่งแร่ดีบุกที่มีศักยภาพในการทำเหมืองอยู่ในทะเลอันดามัน บริเวณ จ.พังงา ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวน้อยกว่า จ.ภูเก็ต
นายอนุสรณ์ กล่าวถึงสถานการณ์อุตสาหกรรมเหมืองแร่โดยรวมว่า ด้านมูลค่าการผลิตแร่ของไทยในปีที่ผ่านมา มีมูลค่า 39,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2548 ร้อยละ 12 อย่างไรก็ตาม สาเหตุหลักที่เป็นการส่งเสริมด้านมูลค่าคือ ราคาโลหะในตลาดโลกที่สูงขึ้นมาก จึงทำให้แร่มีราคาสูงขึ้น สำหรับแร่ที่มีมูลค่าการผลิตสูงสุด 5 อันดับแรกได้แก่ หินปูน ลิกไนต์ ยิปซัม ทองคำ และสังกะสี ส่วนมูลค่าการส่งออกแร่สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ โลหะดีบุก ยิปซัม ทองคำ แทนทาลัม และโลหะสังกะสี ส่วนแร่ที่มีการส่งออกเพิ่มขึ้นมาก ได้แก่ แร่เหล็ก จาก 36,000 ตันในปี 2548 เป็น 234,000 ตัน ในปี 2549
ด้านนายยงยุทธ เพ็ชร์สุวรรณ ประธานสภาการเหมืองแร่ กล่าวว่า การทำเหมืองแร่ในปัจจุบันทางสภาการเหมืองแร่ได้ย้ำให้สมาชิกดำเนินการตามกรอบกติกาและกฎระเบียบของทางการอย่างเคร่งครัด พร้อมกับดูแลสิ่งแวดล้อมให้กับชุมชน ประชาชนที่เกี่ยวข้องด้วย ทั้งนี้ หลังการทำเหมืองแร่ปัจจุบันได้มีการพัฒนาพื้นที่ให้สามารถใช้ปลูกพืชเช่น มังคุด เงาะ ยางพารา เช่นในภาคใต้ได้ นับเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มภายหลังการทำเหมืองแร่และนำธรรมชาติกลับคืนสู่ชุมชนและสิ่งแวดล้อมด้วย
ด้านนางอรนุช รามโกมุท เลขาธิการสภาการเหมืองแร่ กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะค่อนข้างชะลอตัว แต่อุตสาหกรรมเหมืองแร่ก็ได้พยายามร่วมมือกับภาครัฐที่จะแก้ไขข้อขัดข้องหลายประการและช่วยลดต้นทุน เช่น การประกาศลดขั้นตอนต่าง ๆ ตลอดจนการปรับลดค่าภาคหลวง ซึ่งขณะนี้ได้ประสานงานกับภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ภาคอุตสาหกรรมเหมืองแร่พยายามทำให้อุตสาหกรรมดีขึ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 1667
- ผู้ติดตาม: 0
ข่าวร้ายและข่าวดีจากที่ประชุมของทุ่งคาเมื่อวานนี้
โพสต์ที่ 16
หุ้นเหมืองทองคำ ที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน
คงไม่มีใคร หาเงินมากมาย ไว้ยัดใส่โลงศพตัวเอง
.........
เชิญรับแจก เมล็ดพันธุ์พืชนานาชนิดได้ที่
http://www.kasetporpeang.com/forums/ind ... board=22.0
เชิญฟังธรรมฟรี ที่ http://www.fungdham.com
.........
เชิญรับแจก เมล็ดพันธุ์พืชนานาชนิดได้ที่
http://www.kasetporpeang.com/forums/ind ... board=22.0
เชิญฟังธรรมฟรี ที่ http://www.fungdham.com