STA VS TRUBB
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
STA VS TRUBB
โพสต์ที่ 1
ขอประเด็นเฉพาะสองตัวนี้ดีกว่า
เพราะอยู่ในกิจการเดี๋ยวกัน แถมเป็นพวกน้ำยางพาราอีกต่างหาก มีสวนป่ายางพารา
สิ่งที่แตกต่าง ณ ตอนนี้คือ ผลประกอบการที่ออกมา
ณ วันนี้ STA ออกมาขาดทุนงบเดี่ยว 1.31 บาทต่อหุ้น งบรวม 1.19 บาทต่อหุ้น
แต่TRUBB แจ้งกำไรในงบเดียว 2.29 บาทต่อหุ้น และในงบรวม 6.89 บาทต่อหุ้น
กิจการประเภทเดียวกัน แต่ทำไมกำไร - ขาดทุนออกมาต่างกันอย่างมากมายขนาดนั้นได้ มันเกิดเพราะอะไรล่ะเนี่ย สงสัยจริงๆ คู่นี้
ปีที่แล้วอีกเหมือนกัน
TRUBB ทำกำไรมากกว่า STA
จุดนี้ผลประกอบการมันตามกันไป แต่รอบนี้ทำไมออกมาแตกต่างได้ เป็นเพราะใครบริหารราคายางได้ดีกว่ากันหรือเปล่า น่าสงสัยน่าครับ
อย่างนี้ต้องติดตาม ตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าด้วยแล้วกระมั้งนี้
o_O+
เพราะอยู่ในกิจการเดี๋ยวกัน แถมเป็นพวกน้ำยางพาราอีกต่างหาก มีสวนป่ายางพารา
สิ่งที่แตกต่าง ณ ตอนนี้คือ ผลประกอบการที่ออกมา
ณ วันนี้ STA ออกมาขาดทุนงบเดี่ยว 1.31 บาทต่อหุ้น งบรวม 1.19 บาทต่อหุ้น
แต่TRUBB แจ้งกำไรในงบเดียว 2.29 บาทต่อหุ้น และในงบรวม 6.89 บาทต่อหุ้น
กิจการประเภทเดียวกัน แต่ทำไมกำไร - ขาดทุนออกมาต่างกันอย่างมากมายขนาดนั้นได้ มันเกิดเพราะอะไรล่ะเนี่ย สงสัยจริงๆ คู่นี้
ปีที่แล้วอีกเหมือนกัน
TRUBB ทำกำไรมากกว่า STA
จุดนี้ผลประกอบการมันตามกันไป แต่รอบนี้ทำไมออกมาแตกต่างได้ เป็นเพราะใครบริหารราคายางได้ดีกว่ากันหรือเปล่า น่าสงสัยน่าครับ
อย่างนี้ต้องติดตาม ตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าด้วยแล้วกระมั้งนี้
o_O+
-
- Verified User
- โพสต์: 375
- ผู้ติดตาม: 0
STA VS TRUBB
โพสต์ที่ 2
ทาง trubb มีโบรคสินค้าเกษตรล่วงหน้าเป็นของตัวเองด้วยครับ แต่staผมไม่แน่ใจนะ
-
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
STA VS TRUBB
โพสต์ที่ 3
ผมก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่า เกิดอะไรขึ้น
เลยลองเอาข้อมูล 2 ตัวมาเปรียบเทียบกันดู
รายได้ ทั้ง 2 ตัวเพิ่มขึ้นทั้งคู่ แต่เข้าใจว่า STA เพิ่มขึ้นในจำนวนเปอร์เซ้นต์ Growth ที่มากกว่า ซึ่งมาจากปริมาณการขายที่สูง
แต่ที่แปลกใจคือ ต้นทุนขายของ STA กลับยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูง ในขณะที่ Trubb นั้นมีต้นทุนการขายที่ลดลงเนื่องจากได้รับอนิสงฆ์จาก การมีเก็บสต็อคเก่าตอนปลายปีที่แล้วที่ยังมีต้นทุนเก่าอยู่ ทำให้เอามาขายในปีนี้ในราคาที่สูง ทำให้มีกำไรที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ Trubb พยายามจะทำสินค้าจากที่เป็น Commodity มาเป็นสินค้าเฉพาะมากขึ้น
ผมคิดว่าต้องดูไตรมาสถัดไปประกอบด้วย
สินค้า commodity ถ้ามองตลาดพลาดนี่กำไรหายไปเยอะเลยครับ ที่อยากให้ดูไตรมาสถัดไปเพราะ Trubb ขายต้นทุนยางในราคาต่ำออกไปในไตรมาสที่ 1 ปัญหาคือ จะมีต้นทุนที่ต่ำขายต่อไปในไตรมาส 2 หรือไม่
สำหรับ STA นั้น ก็ต้องดูว่าการบริหาร Stock จะทำได้ดีขึ้นในไตรมาส 2 หรือไม่
ผมเข้าใจว่าปี 49 STA เพิ่งมีประสบการณ์สด ๆ ร้อน ๆ เรื่องการเก็บ Stock ไว้มาก แล้วคาดว่าราคาจะปรับสูงขึ้นในไตรมาส 3 แต่ไม่เป็นไปตามนั้น ทำให้ต้องตั้งสำรองด้อยค่าในไตรมาส 3 ไปพอควร แล้วมาตีกลับในไตรมาส 4 ที่ราคายางปรับสุงข้นปลายปีเป็นต้น ซึ่งเป็นบทเรียนของ STA ที่เคยมีปัญหาปีที่แล้วที่เก็บ Stock ไว้มากแต่ระบายไม่ทัน
แต่ปีนี้เกมมันไม่เหมือนปีที่แล้ว ราคามันมี Trend ขาขึ้น เลยมี Stock ต้นทุนต่ำไว้น้อยไป แม้จะขายได้มากครับ
ดังนั้นตลาด commodity นั้น เกมมันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ลองกลับไปดู Trubb ดูนะครับ ปี 48 ก็ขาดทุนมากโขครับ แล้วกลับมามีกำไรปี 49 ที่เพิ่มขึ้นมากครับ
โดยสรุปก็คือ การมองผ่าน ไตรมาสเดียว อาจจะยังไม่สะท้อนผลงานทั้งปี เพราะสนามรบยังมีเวลารบอีก 3 ไตรมาสครับ และตลาด commodity นี่มันเล่นไม่ง่าย และมีความเสี่ยงสูงทีเดียวครับ พลาดนิดเดียวก็ขาดทุนมาก แต่ถ้ามองตลาดขาด ก็กำไรเพิ่มขึ้นมาก เหมือน 2 Case นี้ครับ
เลยลองเอาข้อมูล 2 ตัวมาเปรียบเทียบกันดู
รายได้ ทั้ง 2 ตัวเพิ่มขึ้นทั้งคู่ แต่เข้าใจว่า STA เพิ่มขึ้นในจำนวนเปอร์เซ้นต์ Growth ที่มากกว่า ซึ่งมาจากปริมาณการขายที่สูง
แต่ที่แปลกใจคือ ต้นทุนขายของ STA กลับยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูง ในขณะที่ Trubb นั้นมีต้นทุนการขายที่ลดลงเนื่องจากได้รับอนิสงฆ์จาก การมีเก็บสต็อคเก่าตอนปลายปีที่แล้วที่ยังมีต้นทุนเก่าอยู่ ทำให้เอามาขายในปีนี้ในราคาที่สูง ทำให้มีกำไรที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ Trubb พยายามจะทำสินค้าจากที่เป็น Commodity มาเป็นสินค้าเฉพาะมากขึ้น
ผมคิดว่าต้องดูไตรมาสถัดไปประกอบด้วย
สินค้า commodity ถ้ามองตลาดพลาดนี่กำไรหายไปเยอะเลยครับ ที่อยากให้ดูไตรมาสถัดไปเพราะ Trubb ขายต้นทุนยางในราคาต่ำออกไปในไตรมาสที่ 1 ปัญหาคือ จะมีต้นทุนที่ต่ำขายต่อไปในไตรมาส 2 หรือไม่
สำหรับ STA นั้น ก็ต้องดูว่าการบริหาร Stock จะทำได้ดีขึ้นในไตรมาส 2 หรือไม่
ผมเข้าใจว่าปี 49 STA เพิ่งมีประสบการณ์สด ๆ ร้อน ๆ เรื่องการเก็บ Stock ไว้มาก แล้วคาดว่าราคาจะปรับสูงขึ้นในไตรมาส 3 แต่ไม่เป็นไปตามนั้น ทำให้ต้องตั้งสำรองด้อยค่าในไตรมาส 3 ไปพอควร แล้วมาตีกลับในไตรมาส 4 ที่ราคายางปรับสุงข้นปลายปีเป็นต้น ซึ่งเป็นบทเรียนของ STA ที่เคยมีปัญหาปีที่แล้วที่เก็บ Stock ไว้มากแต่ระบายไม่ทัน
แต่ปีนี้เกมมันไม่เหมือนปีที่แล้ว ราคามันมี Trend ขาขึ้น เลยมี Stock ต้นทุนต่ำไว้น้อยไป แม้จะขายได้มากครับ
ดังนั้นตลาด commodity นั้น เกมมันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ลองกลับไปดู Trubb ดูนะครับ ปี 48 ก็ขาดทุนมากโขครับ แล้วกลับมามีกำไรปี 49 ที่เพิ่มขึ้นมากครับ
โดยสรุปก็คือ การมองผ่าน ไตรมาสเดียว อาจจะยังไม่สะท้อนผลงานทั้งปี เพราะสนามรบยังมีเวลารบอีก 3 ไตรมาสครับ และตลาด commodity นี่มันเล่นไม่ง่าย และมีความเสี่ยงสูงทีเดียวครับ พลาดนิดเดียวก็ขาดทุนมาก แต่ถ้ามองตลาดขาด ก็กำไรเพิ่มขึ้นมาก เหมือน 2 Case นี้ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
STA VS TRUBB
โพสต์ที่ 4
และที่สำคัญก็คือ
ราคายางในไตรมาส 1 ที่เป็นวัตถุดิบ เทียบกับ ราคายางในไตรมาส 2 มีแนวโน้มเป็นอย่างไร
และราคารขายยางในตลาดโลกเป็นเช่นไร
อัตราแลกเปลี่ยนมันสวิงมากน้อยเพียงใดครับ
อัตราดอกเบี้ยของตลาดเป็นเช่นไร
เพราะแน่นอน STA เอาต้นทุนสูงขายออกไนไตรมาส 1 ค่อนข้างมากแล้ว ก็ต้องตุนวัตถุดิบของไตรมาส 1 เก็บไว้แทน ดังนั้น ต้นทุนวัตถุดิบในไตรมาส 1 ซึ่งเป็นสินค้าคงเหลือก็จะมาทะยอยขายในไตรมาส 2 ซึ่งเป็น ฤดูกาลที่ต้องบอกว่า ผลผลิตน้ำยางในไตรมาส 2 นี่ออกมาค่อนข้างน้อยนะครับ ทำให้แนวโน้มต้นทุนวัตถุดิบในไตรมาส 2 นั้นสูงขึ้นมากทีเดียว
เดี๋ยวจะเอา Web site ราคาต้นทุนวัตถุดิบมาให้ดูครับ
สำหรับราคาขาย ตามที่ STA แจ้งนะครับ ก็มีแนวโน้มสูงขึ้นเช่นกันเนื่องจากผลผลิตน้ำยางในไตรมาส 2 นั้นลดลงค่อนข้างมากครับ
อัตราแลกเปลี่ยนก็เริ่มสวิงใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศที่ส่งออกเช่นเดียวกับประเทศไทยครับ
สำหรับเรื่องอัตราดอกเบี้ย ก็อยู่ที่ความสามารถในการระดมต้นทุนเงิน Working Cap ใครทำได้ดีกว่ากัน ผมอ่านข้อมูลในงบการเงินเห็นว่า STA กำลังศึกษาเรื่องตรงนี้อยู่เหมือนกัน เพราะถ้าลดได้นี่ กลายเป็นจุดหนึ่งที่อาจ Improve ผลงานได้มากทีเดียว เพราะปัจจุบันธุรกิจประเภทนี้ต้องอาศัย Leverage จากเงินกู้ค่อนข้างมากตามสภาพตลาด และราคาวัตถดิบที่ต้องสั่งซื้อครับ ถ้าแนวโน้มสามารถกู้ยืมได้ดอกเบี้ยลดลง ก็จะทำให้ Financial risk ลดลงไปได้ค่อนข้างมาก
อีกจุดหนึ่งก็คือ ทั้ง 2 บริษัทพยายามจะขยายไปยัง Upstream เพิ่มขึ้น คือทำเป็นโรงงานผลิตสินค้าสำเร็จรูป เช่น ถุงยาง เป็นต้น ถ้าทำได้มาก ตรงนี้ก็ทำให้สามารถเพิ่มมูลค่าเพิ่มสินค้าอีกทางหนึ่งครับ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี
และ STA ยังลงไปถึง Downstream คือ ไปขยายการผลิตที่ต่างประเทศด้วย เช่นประเทศอินโดนีเซีย ทำให้มีการกระจายการซื้อวัตถุดิบไปยังต่างประเทศอีกทางหนึ่งครับ
ราคายางในไตรมาส 1 ที่เป็นวัตถุดิบ เทียบกับ ราคายางในไตรมาส 2 มีแนวโน้มเป็นอย่างไร
และราคารขายยางในตลาดโลกเป็นเช่นไร
อัตราแลกเปลี่ยนมันสวิงมากน้อยเพียงใดครับ
อัตราดอกเบี้ยของตลาดเป็นเช่นไร
เพราะแน่นอน STA เอาต้นทุนสูงขายออกไนไตรมาส 1 ค่อนข้างมากแล้ว ก็ต้องตุนวัตถุดิบของไตรมาส 1 เก็บไว้แทน ดังนั้น ต้นทุนวัตถุดิบในไตรมาส 1 ซึ่งเป็นสินค้าคงเหลือก็จะมาทะยอยขายในไตรมาส 2 ซึ่งเป็น ฤดูกาลที่ต้องบอกว่า ผลผลิตน้ำยางในไตรมาส 2 นี่ออกมาค่อนข้างน้อยนะครับ ทำให้แนวโน้มต้นทุนวัตถุดิบในไตรมาส 2 นั้นสูงขึ้นมากทีเดียว
เดี๋ยวจะเอา Web site ราคาต้นทุนวัตถุดิบมาให้ดูครับ
สำหรับราคาขาย ตามที่ STA แจ้งนะครับ ก็มีแนวโน้มสูงขึ้นเช่นกันเนื่องจากผลผลิตน้ำยางในไตรมาส 2 นั้นลดลงค่อนข้างมากครับ
อัตราแลกเปลี่ยนก็เริ่มสวิงใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศที่ส่งออกเช่นเดียวกับประเทศไทยครับ
สำหรับเรื่องอัตราดอกเบี้ย ก็อยู่ที่ความสามารถในการระดมต้นทุนเงิน Working Cap ใครทำได้ดีกว่ากัน ผมอ่านข้อมูลในงบการเงินเห็นว่า STA กำลังศึกษาเรื่องตรงนี้อยู่เหมือนกัน เพราะถ้าลดได้นี่ กลายเป็นจุดหนึ่งที่อาจ Improve ผลงานได้มากทีเดียว เพราะปัจจุบันธุรกิจประเภทนี้ต้องอาศัย Leverage จากเงินกู้ค่อนข้างมากตามสภาพตลาด และราคาวัตถดิบที่ต้องสั่งซื้อครับ ถ้าแนวโน้มสามารถกู้ยืมได้ดอกเบี้ยลดลง ก็จะทำให้ Financial risk ลดลงไปได้ค่อนข้างมาก
อีกจุดหนึ่งก็คือ ทั้ง 2 บริษัทพยายามจะขยายไปยัง Upstream เพิ่มขึ้น คือทำเป็นโรงงานผลิตสินค้าสำเร็จรูป เช่น ถุงยาง เป็นต้น ถ้าทำได้มาก ตรงนี้ก็ทำให้สามารถเพิ่มมูลค่าเพิ่มสินค้าอีกทางหนึ่งครับ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี
และ STA ยังลงไปถึง Downstream คือ ไปขยายการผลิตที่ต่างประเทศด้วย เช่นประเทศอินโดนีเซีย ทำให้มีการกระจายการซื้อวัตถุดิบไปยังต่างประเทศอีกทางหนึ่งครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
STA VS TRUBB
โพสต์ที่ 5
อันนี้คือต้นทุนน้ำยางและปริมาณต่าง ๆ และ ราคา Future ของตลาดยางโลก ซึ่งมีทั้งนำยางดิบ ยางแผ่นรมควัน ยางแผ่นดิบ ครับ ลองไปค้นหาและศึกษากันดูครับ เพื่อดูแนวโน้มของต้นทุน และราคาขายในตลาดโลกครับ ที่ดีคือ สามารถประเมินปริมาณการซื้อขายได้ด้วยครับ
http://www.rubberthai.com/price/price_index.htm
http://www.rubberthai.com/price/price_index.htm
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
STA VS TRUBB
โพสต์ที่ 6
ท่านธวัชครับ ธุรกิจอย่างนี้คนที่รู้ข้อมูลดีไม่มีใครเกินผู้บริหารครับ เค้าได้เปรียบเราทุกประตู แม้เรารู้หรือคาดว่าราคายางขึ้น บริษัทก็อาจจะขาดทุนเพราะไปทำการขายล่วงหน้าราคาต่ำ สรุปว่าตัวแปรที่ควบคุมไม่ได้เยอะเหลือเกิน แถมดูหนี้ซิครับ :roll:
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 13
- ผู้ติดตาม: 0
STA VS TRUBB
โพสต์ที่ 11
เห็นด้วยครับธรรมาภิบาลสำคัญสุด หนึ่งในสองตัวนี้ลองไปสังเกตุดูจะมีบริษัทหนึ่งก่อนงบออก(ช่วง1-2ปี)จะมีการขึ้นลงของราคาในช่วง 5-7 วันก่อนงบออกทุกครั้ง มีข้อสงสัยต่อSta เรื่องการขาดทุนในอัตราแลกเปลี่ยนและการตั้งราคา ทางบริษัทมีการเปิดบริษัทในต่างประเทศเช่นในอเมริกา(และสิงค์โปรอันนี้ไม่มั่นใจ) วัตถุประสงค์เพื่อทำการติดตามเรื่องราคาร่วมทั้งการแข่งขันในประเทศนั้นและเป็นที่ติดต่อทางการค้า แต่ผลที่ออกมาไม่ได้ทำให้กำไรมีเสถียรภาพ เรื่องการขึ้นลงของค่าเงินบาทและราคายางก็ไม่ได้ทำการแก้ปัญหาอย่างจริงจังทั้งๆที่เครื่องมือต่างๆทางการเงินมากมาย ถ้ายอดขายโตอย่างนี้ทุกปีมีการจัดการค่าเงินบาทและราคายางทั้งหมดของการซื้อขายกำไรก็จะโตตามยอดขาย(มีต้นทุนมากขึ้นคงไม่เท่ากลับการขาดทุนในทุกปีของบริษัท) อย่างไรก็ตามสองบริษัทนี้คงไม่ผ่านตะแกงล่อนต่างห่างๆอย่างชาว VI ไปได้
-
- Verified User
- โพสต์: 1667
- ผู้ติดตาม: 0
STA VS TRUBB
โพสต์ที่ 13
ไม่ว่า ราคายาง จะขึ้น จะลง
เงินบาท จะอ่อน จะแข็ง
ก็เกิดการขาดทุนได้
เงินบาท จะอ่อน จะแข็ง
ก็เกิดการขาดทุนได้
คงไม่มีใคร หาเงินมากมาย ไว้ยัดใส่โลงศพตัวเอง
.........
เชิญรับแจก เมล็ดพันธุ์พืชนานาชนิดได้ที่
http://www.kasetporpeang.com/forums/ind ... board=22.0
เชิญฟังธรรมฟรี ที่ http://www.fungdham.com
.........
เชิญรับแจก เมล็ดพันธุ์พืชนานาชนิดได้ที่
http://www.kasetporpeang.com/forums/ind ... board=22.0
เชิญฟังธรรมฟรี ที่ http://www.fungdham.com