ทำไมนักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนสูงขึ้น
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
ทำไมนักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนสูงขึ้น
โพสต์ที่ 1
อ่านบทความ สิบปีหลังวิกฤติของดร.นิเวศน์แล้วสงสัยครับ
ผมก็จำได้เช่นกันว่าประมาณ 10 ปีที่แล้วสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยแค่ 10-20% ตอนนั้นต่างชาติเป็นผู้เล่นรายเล็ก รายย่อยจะมีอิทธิพลต่อตลาดมากกว่า แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะกลับกัน คือนักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนถึง 35-40% จนเดี๋ยวนี้จะซื้อจะขายต้องดูเม็ดเงินของต่างชาติ โบรคเกอร์ถึงกับมีนักวิเคราะห์ fund flow เลยทีเดียว แถมยังมีการแต่งเป็นหนังสืออีกด้วย
ทำไมถึงกลายเป็นอย่างนี้ได้ครับ..
ที่จริงเป็นอย่างนี้ทั่วโลกซะด้วย
1. เป็นเพราะรายย่อยเล่นหุ้นแล้วเจ็งไปซะมาก ต้องออกจากตลาดหุ้น ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ-นักลงทุนสถาบัน ลงทุนแล้วได้กำไร นานวันเข้าสัดส่วนก็เลยเปลี่ยนไป
2.สภาพคล่องทั่วโลกล้น ก็เลยไหลบ่าไปทุกประเทศ ไทยก็เลยได้รับอานิสงค์ด้วย
ไม่ว่าจะเป็นแบบที่ 1 หรือ 2 หรืออื่นๆ
ระยะยาวผมว่าไม่น่าจะดี
เท่ากับว่าต่างชาติเป็นเจ้าของบริษัทดีๆในไทยไปหมด
นอกจากนั้นเงินยังไหลออกนอกประเทศ จากการจ่ายปันผลด้วย
ดูแล้วหมดหนทางจริงๆครับ
จะพึ่งพานักลงทุนสถาบันในประเทศ ก็กลัวหุ้น ลงทุนสัดส่วนนิดเดียว ส่วนรายย่อยที่เน้นซื้อๆขายๆไปวันๆ ก็คงพึ่งไม่ได้ หรือจะเหลือแต่นักลงทุนที่เน้นพื้นฐานที่พอจะต้านทานกระแสนี้ได้ครับ..
ผมก็จำได้เช่นกันว่าประมาณ 10 ปีที่แล้วสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยแค่ 10-20% ตอนนั้นต่างชาติเป็นผู้เล่นรายเล็ก รายย่อยจะมีอิทธิพลต่อตลาดมากกว่า แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะกลับกัน คือนักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนถึง 35-40% จนเดี๋ยวนี้จะซื้อจะขายต้องดูเม็ดเงินของต่างชาติ โบรคเกอร์ถึงกับมีนักวิเคราะห์ fund flow เลยทีเดียว แถมยังมีการแต่งเป็นหนังสืออีกด้วย
ทำไมถึงกลายเป็นอย่างนี้ได้ครับ..
ที่จริงเป็นอย่างนี้ทั่วโลกซะด้วย
1. เป็นเพราะรายย่อยเล่นหุ้นแล้วเจ็งไปซะมาก ต้องออกจากตลาดหุ้น ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ-นักลงทุนสถาบัน ลงทุนแล้วได้กำไร นานวันเข้าสัดส่วนก็เลยเปลี่ยนไป
2.สภาพคล่องทั่วโลกล้น ก็เลยไหลบ่าไปทุกประเทศ ไทยก็เลยได้รับอานิสงค์ด้วย
ไม่ว่าจะเป็นแบบที่ 1 หรือ 2 หรืออื่นๆ
ระยะยาวผมว่าไม่น่าจะดี
เท่ากับว่าต่างชาติเป็นเจ้าของบริษัทดีๆในไทยไปหมด
นอกจากนั้นเงินยังไหลออกนอกประเทศ จากการจ่ายปันผลด้วย
ดูแล้วหมดหนทางจริงๆครับ
จะพึ่งพานักลงทุนสถาบันในประเทศ ก็กลัวหุ้น ลงทุนสัดส่วนนิดเดียว ส่วนรายย่อยที่เน้นซื้อๆขายๆไปวันๆ ก็คงพึ่งไม่ได้ หรือจะเหลือแต่นักลงทุนที่เน้นพื้นฐานที่พอจะต้านทานกระแสนี้ได้ครับ..
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 384
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมนักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนสูงขึ้น
โพสต์ที่ 4
ผมคิดว่าการเกิดขึ้นของกองทุนต่างๆมากกว่าครับ คนนิยมให้กองทุนลงทุนให้
ทำให้กองทุนมีเยอะขึ้นแล้วแต่ละแห่งก็มีเม็ดเงินเยอะขึ้น แล้วกองทุนพวกนี้ก็สามารถลงทุนในต่างประเทศได้ด้วย
แต่ยังไงก็ตาม ผมจำได้ว่ายอดซื้อขายสุทธิแต่ละวันของต่างชาติมันเชื่อไม่ได้มากไม่ใช่เหรอครับ
ตอนวันที่มีดีล SHIN เจ็ดหมื่นกว่าล้าน ปรากฎว่าต่างชาติซื้อแค่นิดเดียวเอง
ทำให้กองทุนมีเยอะขึ้นแล้วแต่ละแห่งก็มีเม็ดเงินเยอะขึ้น แล้วกองทุนพวกนี้ก็สามารถลงทุนในต่างประเทศได้ด้วย
แต่ยังไงก็ตาม ผมจำได้ว่ายอดซื้อขายสุทธิแต่ละวันของต่างชาติมันเชื่อไม่ได้มากไม่ใช่เหรอครับ
ตอนวันที่มีดีล SHIN เจ็ดหมื่นกว่าล้าน ปรากฎว่าต่างชาติซื้อแค่นิดเดียวเอง
แมนยู โรม่า ลิสบอน เคี๊ยฟ
หมาป่าสู้สู้
หมาป่าสู้สู้
-
- Verified User
- โพสต์: 674
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมนักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนสูงขึ้น
โพสต์ที่ 5
ผมว่าเป็นเรื่องปกติของโลกยุคไร้พรมแดนนะครับ
สมัยก่อนการเคลื่อนย้ายเงินทุนทำได้จำกัดทำให้การลงทุนในต่างประเทศทำได้ยาก
แต่ตอนนี้การเคลื่อนย้ายเงินทุนทำได้ง่ายข้อมูลข่าวสารก็เข้าถึงได้ง่าย สัดส่วนของต่างชาติก็ต้องเพิ่มขึ้นเป็นธรรมดา
ในขณะเดียวกันสัดส่วนของนักลงทุนไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศก็คงเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
คล้าย ๆ กับการนำเข้าและส่งออกสินค้ามที่มีสัดส่วนสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับขนาดของเศรษฐกิจโลกมั้งครับ
ส่วนเรื่องรายย่อยแพ้ต่างชาติจนเงินหมดนี่ไม่ทราบว่าจริงหรือเปล่า
แต่เท่าที่ดูจากซื้อขายสุทธิ ผมว่าฝรั่งมันก็ไม่ได้เก่งไปกว่ารายย่อยเท่าไรนะครับ (แต่บางเชื่อเหลือเกินว่าฝรั่งก็กินรายย่อยตลอด)
สมัยก่อนการเคลื่อนย้ายเงินทุนทำได้จำกัดทำให้การลงทุนในต่างประเทศทำได้ยาก
แต่ตอนนี้การเคลื่อนย้ายเงินทุนทำได้ง่ายข้อมูลข่าวสารก็เข้าถึงได้ง่าย สัดส่วนของต่างชาติก็ต้องเพิ่มขึ้นเป็นธรรมดา
ในขณะเดียวกันสัดส่วนของนักลงทุนไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศก็คงเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
คล้าย ๆ กับการนำเข้าและส่งออกสินค้ามที่มีสัดส่วนสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับขนาดของเศรษฐกิจโลกมั้งครับ
ส่วนเรื่องรายย่อยแพ้ต่างชาติจนเงินหมดนี่ไม่ทราบว่าจริงหรือเปล่า
แต่เท่าที่ดูจากซื้อขายสุทธิ ผมว่าฝรั่งมันก็ไม่ได้เก่งไปกว่ารายย่อยเท่าไรนะครับ (แต่บางเชื่อเหลือเกินว่าฝรั่งก็กินรายย่อยตลอด)
-
- Verified User
- โพสต์: 3763
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมนักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนสูงขึ้น
โพสต์ที่ 6
ผมว่าเงินทุนเดี๋ยวนี้มันเริ่มไม่มีสัญชาติกันแล้วครับ ... ที่ไหนที่จะให้ผลตอบแทนสูงกว่ามันก็จะไปที่จุดนั้น...จากหนังสือ The world is flat ... เค้าแบ่งโลกเราไว้เป็น 3 ยุค นั่นคือ Globalization 1.0 เป็นยุคที่เริ่มมีการติดต่อกันระหว่างประเทศต่างๆ Scale การเข้าสู้กันจะเป็นระดับประเทศ Globalization 2.0 จะเริ่มเป็นระดับบริษัทดังนั้นเราจะเห็นได้จากการเติบโตของ MNCs มากมาย ส่วนต่อไปนี้จะเป็นยุค Globalization 3.0 นั่นหมายถึงพลังจะอยู่ที่ระดับ Individual แล้วครับ...เราคงไม่สามารถหวังให้ใครมาคุ้มครองหรือตระเตรียม safety net ได้อีกต่อไป ... ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนครับ
Impossible is Nothing
-
- Verified User
- โพสต์: 2938
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมนักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนสูงขึ้น
โพสต์ที่ 8
เงินไหลออกไม่น่ากลัวหรอกครับ
ทุกอย่างจะกลับมาที่สมดุลเอง
พอเงินไหลออก บาทก็อ่อน ส่งออกก็ดีเงินก็ไหลเข้ามาอีก
การลงทุนก็มากขึ้น
ที่กลัวนะ เงินจะไม่ไหลออกนะซิครับ
น่าจะมีนโยบาย ให้สาวไทยจับต่างชาติแต่งงานแล้วอยู่ประเทศไทยไปเลย อิอิ
ทุกอย่างจะกลับมาที่สมดุลเอง
พอเงินไหลออก บาทก็อ่อน ส่งออกก็ดีเงินก็ไหลเข้ามาอีก
การลงทุนก็มากขึ้น
ที่กลัวนะ เงินจะไม่ไหลออกนะซิครับ
น่าจะมีนโยบาย ให้สาวไทยจับต่างชาติแต่งงานแล้วอยู่ประเทศไทยไปเลย อิอิ
เฝ้าดูไป โดยใจที่เป็นกลาง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 219
- ผู้ติดตาม: 1
..
โพสต์ที่ 9
จริงๆ แล้ว การกระทำลักษณะนี้มันก็เหมื่อนหลายร้อยปีก่อนครับ
แต่วิวัฒนาการไปในอีกรูปแบบนึงเท่านั้น
ที่ประเทศยุโรป/อเมริกา ซึ่งถือ(คิดว่า)ว่าตนเองมีความฉลาดด้านความคิด, วิทยาศาสตร์ มาก จึงใช้วิธี แสวงหาอาณานิคม โดยการไปยึด เพื่อเข้าไปใช้แรงงานถูกๆ, แร่ธาตุถูกๆ (ของที่ประเทศตัวเองใช้ที่หลังสุด)
แต่ก่อนการครอบครองสู้ด้วยอาวุธครับ พอชนะแล้วก็เอาผลประโยชน์ถ่ายออกไป (ทาส แรงงาน สมัย หลายร้อยปีก่อน/ ต่อมาการเดินทางสะดวกก็ไม่ต้องขนทาสลงเรือแล้ว แถมเป็นยุคเลิกทาส ก็ให้คนอยู่ที่ประเทศนั้นแหล่ะ)
พอมาปัจจุบัน สงครามสู้กันด้วยทุนและปัญญาครับ ตอนนี้เราก็เหมือนเป็นอาณานิคมนึง ซึ่งธนาคารก็เป็นของต่างชาติ .. โรงงานเป็นเงินตปท.
แล้วก็มาจ้างแรงงานเราถูกๆ-คล้ายๆเศษเงินของเค้า (สมัยก่อนก็คือทาสที่ไม่ได้เงิน แต่เดี่ยวนี้เปลี่ยนเป็นการจ้างถูกๆ) ตลาดหุ้นก็มีไว้เพื่อโกยผลประโยชน์จากรายย่อยที่ไม่ได้มีความรู้ อะไรไป
แล้วก็เอาความเชื่อเรื่องสิทธิบัตร,ลิขสิทธิ์มาคล้ายๆกับขายเราในราคาแพงๆ มามอมเมาชาติที่ยอมรับอะไรง่ายๆ อย่างชาติเอเชีย รวมถึงไทย
ยกตัวอย่าง พวกเราคงเห็นสินค้ายี่ห้อดีๆ ที่ยี่ห้อชาวตะวันตก แต่มาทำประเทศเอเชียเช่น จีน ไทย เขมร เวียดนาม... โดยให้ค่าจ้างถูกๆ
อาทิ กางเกงต้นทุนไม่ถึง 100 บาท โดยทำเป็นว่ามีการรับรองคุณภาพใช้ด้ายกันน้ำ บางเบา .. (ซึ่งก็ถูกบางส่วน แต่มันก็ไม่จำเป็นอะไรสำหรับเรา)
รวมถึงมีตราประกันว่าเป็น cotton 100% รับรองโดย USA fiber institution บรา บรา บรา โดยประเทศเหล่านี้ก็ได้ค่าตรีตราเหล่านี้ เอาไปเป็นเงินเดือนคนที่นู้นอีก
พอตีตราเสร็จ ก็ใช้ marketting ครับ โฆษณา เอาดารา ไฮโซมาใส่หน่อย ของจาก 100 บาท ก็กลายเป็น 4000-10000 บาทแล้ว
แล้วก็เอามาหลอกขายคนรวยในประเทศนั้นๆ เช่นไทย ... (ซึ่งบางทีผมก็เคยซื้อ) แล้วคนรวยในประเทศนั้นๆ ที่เป็นเจ้าของกิจการ ก็ต้องไปกดขี่ค่าแรงจากคนในประเทศตัวเองอีก
ดังนั้นประเทศที่ไม่มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง, ไม่มีทุน, ไม่รักชาติ(ไม่สนับสนุนของคนไทยด้วยกันเอง) ย่อมเสียเปรียบไปตลอดกาลครับ เพราะทั้งหลายทั้งปวงนี้ มันเป็นค่านิยม ที่คนตะวันตกหลอกให้เราเสพเรื่องยี่ห้อไปหมดแล้วครับ
ญี่ปุ่นซึ่งรักชาติ คนอุดหนุนกันเอง นักการเมืองโกงน้อยหน่อย/และมีความละอาย จึงเจริญขึ้นมากๆ ไงหล่ะครับ
ดังนั้นแนวเศรษฐกิจพอเพียง เทคโนโลยีพอเพียงของในหลวงของเรานี่คือ
สุดยอดครับ ลองคิดดูว่าถ้าเราสามารถพัฒนาเครื่องจักรการผลิตเอง (ไม่ต้องไปซื้อของยุโรป จีน ซึ่งยังไงก็ต้องมีค่าตราสินค้าอยู่ในนั้นบ้าง แม้แต่จีนก็เหอะ สินค้าไทยที่ทำโดยเครื่องจักรจีน แล้วไม่มี knowhow เฉพาะ จึงแพ้จริงครับ เพราะต้องหักค่าเสื่อมเพื่อรวมไว้ในราคาสินค้า ในขณะที่โรงงานในจีนเองใช้เครื่องของเค้าเอง ราคาก็ต้องถูกกว่าครับ (เพราะเป็นสินค้าทุนส่งออก ต้องส่งออกไปในราคาแพงกว่าขายในประเทศ)
ทั้งหมดนี้ ก็คือคำหรูๆ ที่เรียกว่า "เศรษฐกิจยุค โลกาภิวัฒน์"
ชักโม้ไปไกลล่ะ แต่การที่เห็นภาพเช่นนี้ ก็ทำให้เกิดโอกาสต่างๆมากมายครับ
แต่วิวัฒนาการไปในอีกรูปแบบนึงเท่านั้น
ที่ประเทศยุโรป/อเมริกา ซึ่งถือ(คิดว่า)ว่าตนเองมีความฉลาดด้านความคิด, วิทยาศาสตร์ มาก จึงใช้วิธี แสวงหาอาณานิคม โดยการไปยึด เพื่อเข้าไปใช้แรงงานถูกๆ, แร่ธาตุถูกๆ (ของที่ประเทศตัวเองใช้ที่หลังสุด)
แต่ก่อนการครอบครองสู้ด้วยอาวุธครับ พอชนะแล้วก็เอาผลประโยชน์ถ่ายออกไป (ทาส แรงงาน สมัย หลายร้อยปีก่อน/ ต่อมาการเดินทางสะดวกก็ไม่ต้องขนทาสลงเรือแล้ว แถมเป็นยุคเลิกทาส ก็ให้คนอยู่ที่ประเทศนั้นแหล่ะ)
พอมาปัจจุบัน สงครามสู้กันด้วยทุนและปัญญาครับ ตอนนี้เราก็เหมือนเป็นอาณานิคมนึง ซึ่งธนาคารก็เป็นของต่างชาติ .. โรงงานเป็นเงินตปท.
แล้วก็มาจ้างแรงงานเราถูกๆ-คล้ายๆเศษเงินของเค้า (สมัยก่อนก็คือทาสที่ไม่ได้เงิน แต่เดี่ยวนี้เปลี่ยนเป็นการจ้างถูกๆ) ตลาดหุ้นก็มีไว้เพื่อโกยผลประโยชน์จากรายย่อยที่ไม่ได้มีความรู้ อะไรไป
แล้วก็เอาความเชื่อเรื่องสิทธิบัตร,ลิขสิทธิ์มาคล้ายๆกับขายเราในราคาแพงๆ มามอมเมาชาติที่ยอมรับอะไรง่ายๆ อย่างชาติเอเชีย รวมถึงไทย
ยกตัวอย่าง พวกเราคงเห็นสินค้ายี่ห้อดีๆ ที่ยี่ห้อชาวตะวันตก แต่มาทำประเทศเอเชียเช่น จีน ไทย เขมร เวียดนาม... โดยให้ค่าจ้างถูกๆ
อาทิ กางเกงต้นทุนไม่ถึง 100 บาท โดยทำเป็นว่ามีการรับรองคุณภาพใช้ด้ายกันน้ำ บางเบา .. (ซึ่งก็ถูกบางส่วน แต่มันก็ไม่จำเป็นอะไรสำหรับเรา)
รวมถึงมีตราประกันว่าเป็น cotton 100% รับรองโดย USA fiber institution บรา บรา บรา โดยประเทศเหล่านี้ก็ได้ค่าตรีตราเหล่านี้ เอาไปเป็นเงินเดือนคนที่นู้นอีก
พอตีตราเสร็จ ก็ใช้ marketting ครับ โฆษณา เอาดารา ไฮโซมาใส่หน่อย ของจาก 100 บาท ก็กลายเป็น 4000-10000 บาทแล้ว
แล้วก็เอามาหลอกขายคนรวยในประเทศนั้นๆ เช่นไทย ... (ซึ่งบางทีผมก็เคยซื้อ) แล้วคนรวยในประเทศนั้นๆ ที่เป็นเจ้าของกิจการ ก็ต้องไปกดขี่ค่าแรงจากคนในประเทศตัวเองอีก
ดังนั้นประเทศที่ไม่มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง, ไม่มีทุน, ไม่รักชาติ(ไม่สนับสนุนของคนไทยด้วยกันเอง) ย่อมเสียเปรียบไปตลอดกาลครับ เพราะทั้งหลายทั้งปวงนี้ มันเป็นค่านิยม ที่คนตะวันตกหลอกให้เราเสพเรื่องยี่ห้อไปหมดแล้วครับ
ญี่ปุ่นซึ่งรักชาติ คนอุดหนุนกันเอง นักการเมืองโกงน้อยหน่อย/และมีความละอาย จึงเจริญขึ้นมากๆ ไงหล่ะครับ
ดังนั้นแนวเศรษฐกิจพอเพียง เทคโนโลยีพอเพียงของในหลวงของเรานี่คือ
สุดยอดครับ ลองคิดดูว่าถ้าเราสามารถพัฒนาเครื่องจักรการผลิตเอง (ไม่ต้องไปซื้อของยุโรป จีน ซึ่งยังไงก็ต้องมีค่าตราสินค้าอยู่ในนั้นบ้าง แม้แต่จีนก็เหอะ สินค้าไทยที่ทำโดยเครื่องจักรจีน แล้วไม่มี knowhow เฉพาะ จึงแพ้จริงครับ เพราะต้องหักค่าเสื่อมเพื่อรวมไว้ในราคาสินค้า ในขณะที่โรงงานในจีนเองใช้เครื่องของเค้าเอง ราคาก็ต้องถูกกว่าครับ (เพราะเป็นสินค้าทุนส่งออก ต้องส่งออกไปในราคาแพงกว่าขายในประเทศ)
ทั้งหมดนี้ ก็คือคำหรูๆ ที่เรียกว่า "เศรษฐกิจยุค โลกาภิวัฒน์"
ชักโม้ไปไกลล่ะ แต่การที่เห็นภาพเช่นนี้ ก็ทำให้เกิดโอกาสต่างๆมากมายครับ
- Alastor
- Verified User
- โพสต์: 2590
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมนักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนสูงขึ้น
โพสต์ที่ 11
สมบัติผลัดกันชมครับ อย่าคิดเลยว่า อะไรเป็นของประเทศเรา อะไรเป็นของต่างชาติ คนเราเกิดมาไม่มีอะไรติดตัว ตอนตายก็เอาอะไรไปไม่ได้ Enjoy moment of life ดีกว่าระยะยาวผมว่าไม่น่าจะดี
เท่ากับว่าต่างชาติเป็นเจ้าของบริษัทดีๆในไทยไปหมด
Wir sind das Rar, der Stolz und der Wert
-
- Verified User
- โพสต์: 1301
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมนักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนสูงขึ้น
โพสต์ที่ 13
สมัยก่อนไม่มี nvdr ด้วย สมัยนี้เงินนอกซื้อง่ายขึ้น ไม่ต้องซื้อแต่หุ้นเอฟ
- Qคุง
- Verified User
- โพสต์: 1328
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมนักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนสูงขึ้น
โพสต์ที่ 15
เมื่อวานเพิ่งได้ฟัง ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ท่านพูดประมาณว่า
"ในยุคโลกาภิวัฒน์เราห้ามไม่ให้เงินทุนต่างชาติมาลงทุนในบ้านเราไม่ได้เนื่องจากประเทศไทยมีเสน่แต่ที่รัฐบาลหรือ ก.ล.ต ควรจะทำก็คือการดูแลไม่ให้เงินทุนของประเทศใดประเทศหนึ่งมีสัดส่วนการลงทุนมากเกินไปเพราะไม่งั้นเมื่อมีการลงทุนมากก็จะมีอำนาจต่อรองกับรัฐบาลมากไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง"
ปัจจุบันรู้สึกว่าสัดส่วนการลงทุนจากประเทศสิงคโปร์จะมากที่สุดสังเกตได้จากหุ้นขนาดใหญ่ๆในตลาด
"ในยุคโลกาภิวัฒน์เราห้ามไม่ให้เงินทุนต่างชาติมาลงทุนในบ้านเราไม่ได้เนื่องจากประเทศไทยมีเสน่แต่ที่รัฐบาลหรือ ก.ล.ต ควรจะทำก็คือการดูแลไม่ให้เงินทุนของประเทศใดประเทศหนึ่งมีสัดส่วนการลงทุนมากเกินไปเพราะไม่งั้นเมื่อมีการลงทุนมากก็จะมีอำนาจต่อรองกับรัฐบาลมากไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง"
ปัจจุบันรู้สึกว่าสัดส่วนการลงทุนจากประเทศสิงคโปร์จะมากที่สุดสังเกตได้จากหุ้นขนาดใหญ่ๆในตลาด
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
ทำไมนักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนสูงขึ้น
โพสต์ที่ 16
ตอนตายเรามีกรรมติดตัวไปครับ ถ้ายังไม่นิพพานAlastor เขียน:สมบัติผลัดกันชมครับ อย่าคิดเลยว่า อะไรเป็นของประเทศเรา อะไรเป็นของต่างชาติ คนเราเกิดมาไม่มีอะไรติดตัว ตอนตายก็เอาอะไรไปไม่ได้ Enjoy moment of life ดีกว่า
ผมเองไม่เห็นด้วยที่ว่า เกิดมาตัวเปล่า ตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้ ให้สนุกกับชีวิต
แต่ก็คงไม่ผิดนัก ถ้าการสนุกนั้นไม่ผิดศีล
เราคงต้องคิดว่าตัวเราเองนั้นเกิดมาเป็นคน มีโอกาสที่ดีมากแค่ไหน ยากแค่ไหน แล้วเราควรทำอะไรครับ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 697
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมนักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนสูงขึ้น
โพสต์ที่ 17
ผมเห็นน้ำมันดิบตอนอยู่ 40$ ดีดมาเกือบ 70-80$ แรงและเร็ว แล้วก็อยู่ได้ซักพัก ก็ร่วงมาอยู่ 50-55$ , ทองคำไป 720$ ก็ร่วงกลับมา 500-550$ หุ้นก็เหมือนกัน
ทุกตลาดผมว่าเหมือนกันหมดอย่างหนึ่ง คือ ราคามีขึ้น ก็ต้องมีลง ดีดแรงและเร็วก็ลงแรงและเร็ว
ทุกตลาดผมว่าเหมือนกันหมดอย่างหนึ่ง คือ ราคามีขึ้น ก็ต้องมีลง ดีดแรงและเร็วก็ลงแรงและเร็ว
-
- Verified User
- โพสต์: 96
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมนักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนสูงขึ้น
โพสต์ที่ 18
คลื่นลูกที่ 1 อเมริกา ทำให้เกิดธุรกิจอาบ อบ นวด
คลื่นลูกที่ 2 ญี่ปุ่น ทำให้เกิดธุรกิจคาราโอเกะ และ สนามกล์อฟ
คลื่นลูกที่ 3 ซึ่งเป็นคลื่นที่ใหญ่มาก (วัดจากจำนวนประชากร) กำลังจะมาเร็วๆนี้ จากการที่ค่าเงินเริ่มแข็งค่าขึ้น เอ๊ ธุระกิจอะไรดีนะน่าจะรองรับคลื่นลูกนี้
คลื่นลูกที่ 2 ญี่ปุ่น ทำให้เกิดธุรกิจคาราโอเกะ และ สนามกล์อฟ
คลื่นลูกที่ 3 ซึ่งเป็นคลื่นที่ใหญ่มาก (วัดจากจำนวนประชากร) กำลังจะมาเร็วๆนี้ จากการที่ค่าเงินเริ่มแข็งค่าขึ้น เอ๊ ธุระกิจอะไรดีนะน่าจะรองรับคลื่นลูกนี้
Yes, I can