ลองวิจารณ์หุ้น TOG หน่อยสิค้บ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
mr_chocolate
Verified User
โพสต์: 13
ผู้ติดตาม: 0

ลองวิจารณ์หุ้น TOG หน่อยสิค้บ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

TOG เห็นงบการเงินดีขึ้นไม่รู้ว่า มุมมองอื่นๆเป็นไงบ้าง
phobenius
Verified User
โพสต์: 1976
ผู้ติดตาม: 0

ลองวิจารณ์หุ้น TOG หน่อยสิค้บ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

โรงงานยังไม่ทันสมัยเท่าไหร่ เมือเทียบกับessilor
phobenius
Verified User
โพสต์: 1976
ผู้ติดตาม: 0

ลองวิจารณ์หุ้น TOG หน่อยสิค้บ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ไม่รู้ว่าเลนส์รุ่นใหม่ที่ผู้บริหารบอกนี้ จะทำให้ gpm สูงขึ้นเยอะจริงหรือปล่าวครับ ใครพอทราบบ้าง
sommul
Verified User
โพสต์: 103
ผู้ติดตาม: 0

ลองวิจารณ์หุ้น TOG หน่อยสิค้บ

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ธุรกิจในครอบครัวมากเกินไปครับ ไม่รู้จะบริหารแบบมืออาชีพหรือเปล่า
contrarian
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1485
ผู้ติดตาม: 0

ลองวิจารณ์หุ้น TOG หน่อยสิค้บ

โพสต์ที่ 5

โพสต์

รองบไตรมาส 2  - 3
เนื่องจากส่งออกเป็นสัดส่วนสูง อยากรู้ว่าเงินบาทแข็งจะส่งผลกระทบอย่างไร ซึ่งผละกระทบจะเต็มๆ ไตรมาส 2
แล้วคู่แข่งเขาก็เป็นจีน ซึ่งค่าเงินเปลี่ยนน้อยกว่าเรา

ย้อนไป ซักราวๆปี 48 มีไตรมาสนึงขาดทุนประมาณ 20-30 ล้าน
บริษัทชี้แจงว่าเป็นผลกระทบจาก การเปลี่ยนแปลงไปใช้ซอฟท์แวร์ SAP  ทำนองว่า ทำให้กระบวนการทางบัญชีผิดพลาดหรือยังไงเนี่ยละครับ  
ถ้าสนใจจริงๆลองค้นประเด็นนี้ดูนะครับ น่าจะสะท้อนมาตรฐานการบริหารงานได้ระดับหนึ่ง
Pythoon
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 136
ผู้ติดตาม: 0

ลองวิจารณ์หุ้น TOG หน่อยสิค้บ

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ปี 48 TOG ขาดทุน
เพราะ ปัญหาวัตถุดิบไม่ได้คุณภาพครับ ของเลยต้อง SCRAP ทิ้ง
และก็สามารถแก้ปัญหานี้ไปได้แล้ว

โรงงานจากจีนไม่ได้น่ากลัวมากครับพราะ ธุรกิจนี้ต้องลงทุนเครื่องจักร
ค่าแรงไม่เยอะเท่าที่ควร ที่นี่เครื่องจักรยังไม่ทันสมัยมาก แต่ ก็ดีกว่าที่จีนครับ (ผู้บริหารบอกในวัน company visit)

Key success คือ ถ้า Lens ตัวใหม่ขายได้ดี TOG ถึงน่าสนใจครับ

ส่วนตัวผมว่า ค่าเงินบาทไม่น่าจะเป็นปัญหาเพราะคู่แข่งทำเลนส์ส่วนใหญ่ก็อยู่ในไทยเหมือนกัน (HOYA,ESSILOR)
contrarian
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1485
ผู้ติดตาม: 0

ลองวิจารณ์หุ้น TOG หน่อยสิค้บ

โพสต์ที่ 7

โพสต์

เป็นผู้ผลิต 1 ใน 3 รายในโลกที่ผลิตเลนส์นิรภัยทนต่อแรงกระแทกสูงจาก
Trivex
TOG เป็นผู้ผลิตเลนส์สายตาอิสระรายใหญ่ 1 ใน 4 ของโลก และรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย
นอกจากนี้ยังเป็นผู้ผลิต 1 ใน 3 ของโลกที่สามารถผลิตเลนส์นิรภัยทนต่อแรงกระแทกสูงจาก Trivex
โดยที่ TOG เป็นเพียงรายเดียวที่ผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูกค้า และเป็นเพียงรายเดียว
ที่สามารถผลิตเลนส์สำเร็จรูปได้ (Finished Lens) ขณะที่อีก 2 รายคือ Hoya Lens ของญี่ปุ่น
Younger Optics ของสหรัฐอเมริกา จะผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเองเท่านั้น และผลิต
ได้เฉพาะเลนส์กึ่งสำเร็จรูป (Semi Finished Product)
มุ่งเน้นผลิตเลนส์ระดับ Premium มีแนวโน้มเติบโตสูงและอัตรากำไรขั้นต้นสูง
TOG มีแผนที่จะขยายการผลิตเลนส์ประเภท Premium จากการที่ตลาดเลนส์พลาสติกประเภท
นิรภัยทนต่อแรงกระแทกสูงและเลนส์พลาสติกเปลี่ยนสี มีแนวโน้มที่จะขยายตัวโดดเด่นกว่าเลนส์
ประเภทอื่นๆ ซึ่งคาดว่าจะมีการขยายตัวที่สูง 16.3% และ 8.4% ตามลำดับ ประกอบกับมีอัตรา
กำไรขั้นต้นที่สูงถึง 30-33% และสูงกว่าเลนส์ธรรมดาที่เป็นเลนส์พลาสติก CR-39 และเลนส์กระจก
ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นเพียง 15% เราได้ประมาณการยอดขายของเลนส์ประเภท Premium ในปี
2549-2550 จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 48% และ 55% ตามลำดับ จากที่ในปี 2548 มีสัดส่วน 41%
กำไรสุทธิปี 49 โตโดดเด่น 112% มี Fair Value เท่ากับ 3.20 บาทปี 2549 ผลประกอบการคาดว่าจะฟื้นตัวขึ้น โดยประมาณการกำไรสุทธิปี 49 เท่ากับ 112 ล้านบาท
เติบโต 112% โดยถึงแม้ยอดขายจะเติบโตไม่โดดเด่นนัก โดยคาดเติบโต 7.8% แต่อัตรากำไรขั้นต้น
ที่คาดปรับตัวดีขึ้นเป็น 24.0% จาก 18.4% ในปี 2548 เนื่องจากปี 2549 มีการผลิตเลนส์ประเภท
Premium ในสัดส่วนที่เพิ่มสูงขึ้น มูลค่าที่เหมาะสมของ TOG ณ.สิ้นปี 2549-2550 เท่ากับ 3.20
และ 3.53 บาทตามลำดับ (โดยประเมินจาก 3 วิธีถัวเฉลี่ยกัน คือ P/E Ratio, P/BV และ DCF)
2003 2004 2005 2006F 2007F
Sales (Bt m) 654 1,012 1,022 1,102 1,229
EBITDA (Bt m) -19 91 207 196 318
Net Profit (Bt m) 7 63 52 112 147
EPS (Bt) 0.05 0.20 0.16 0.29 0.37
Growth % n.a. 292.00 -19.17 81.93 28.29
CF/share (Bt) 0.57 0.54 0.51 0.60 0.68
DPS (Bt) 0.13 0.08 - 0.11 0.15
Dividend yield (%) 4.17 2.67 - 3.73 4.93
P/E* ratio (x) 64.00 16.33 20.20 11.10 8.65
P/BV* (x) 1.28 1.12 1.09 1.01 0.93
EV/EBITDA* 12.49 6.22 6.88 3.82 3.12
* Calculated at Fair Value 3.20 baht







TOG เป็นผู้ผลิตเลนส์สายตาอิสระรายใหญ่ 1 ใน 4 ของโลก
บริษัท ไทยออพติคอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TOG) เป็นผู้ผลิตเลนส์สายตาอิสระรายใหญ่ 1 ใน 4 ของโลก และ
รายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ขณะที่ผู้ผลิตเลนส์สายตาในตลาดโลกมี 2 กลุ่มคือ ผู้ผลิตเลนส์ภายใต้เครื่องหมาย
การค้าของตนเอง ประกอบด้วย Essilor, Hoya, Rodenstock และ Sola ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดกว่าร้อยละ 80
และผู้ผลิตเลนส์อิสระ
ปัจจุบัน TOG มีกำลังการผลิตเลนส์สายตา 27 ล้านชิ้น/ปี ซึ่งมีกำลังการผลิตใหญ่เป็นอันดับ 3 เมื่อเทียบกับผู้ผลิต
เลนส์สายตาในประเทศไทย และมีกำลังการผลิตคิดเป็นสัดส่วน 3.18% ของความต้องการใช้เลนส์ของตลาดโลก
ขณะที่ถ้าดูความต้องการแยกตามประเภทของเลนส์แล้ว จะเห็นได้ว่าเลนส์กระจกมีแนวโน้มความต้องการที่ลดลง
ขณะที่เลนส์พลาสติกยังคงมีแนวโน้มการขยายตัวที่ดี โดยเฉพาะเลนส์พลาสติกประเภทนิรภัยทนต่อแรงกระแทกสูง
มีการขยายตัวที่สูง 16.3% และเลนส์พลาสติกเปลี่ยนสีคาดขยายตัว 8.4%
ผลกระทบจากวัตถุดิบและการใช้ระบบ SAP ทำให้ผลประกอบการปี 48 ไม่ค่อย
สดใส แต่ไตรมาส 4/48 กลับเข้าสู่ภาวะปกติ
ผลประกอบการปี 2547 ค่อนข้างโดดเด่น เป็นผลจากการที่บริษัทได้เตรียมการที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนใน
ตลาดหลักทรัพย์ ทำให้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจโดยที่ได้เข้าซื้อกิจการของบริษัทย่อยคือบริษัท อุตสาหกรรม
แว่นตาไทย จำกัด (TOC) ในสัดส่วน 99.99% ของทุนจดทะเบียน นอกจากนี้เป็นผลมาจากปี 46 ได้เริ่มมีการออก
ผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ เลนส์พลาสติกบางพิเศษ เลนส์นิรภัยทนต่อแรงกระแทกสูงที่ผลิตจากวัตถุดิบ Trivex และได้
มีการปรับปรุงกระบวนการผลิตในปี 47 ทำให้การผลิตเริ่มมีประสิทธิภาพและยอดขายของผลิตภัณฑ์เลนส์ทั้ง 2
ประเภทเริ่มมีอย่างมีนัยสำคัญ โดยที่ยอดขายปี 47 จำนวน 1,012 ล้านบาท เติบโต 54.6% และกำไรสุทธิเติบโต
802% เป็น 52 ล้านบาท ทั้งนี้ถ้าคิดงบปี 46 เสมือนได้รวมกิจการของ TOC แล้ว ยอดขายและกำไรสุทธิปี 47
เติบโต 16% และ 1253% ตามลำดับ (งบเสมือนปี 46 มียอดขาย 867 ล้านบาท และขาดทุน 4.6 ล้านบาท)
สำหรับผลประกอบการปี 2548 กำไรสุทธิลดลง 16.82% เป็น 52 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจาก 2 ประการ คือ
1) บริษัทได้รับผลกระทบในเรื่องวัตถุดิบที่มีคุณภาพไม่ได้ตามมาตรฐาน ทำให้การผลิตต้องหยุดชะงักลง 2) บริษัท
ได้มีการติดตั้งใช้ระบบบัญชีใหม่ SAP ในช่วงเดือนก.ค. ทำให้มีปัญหาที่ไม่สามารถ Invoice ได้ 1 เดือน ส่งผล
กระทบให้ผลประกอบการในไตรมาส 3/48 มียอดขายลดลง 32.5% q-o-q และขาดทุน 8.3 ล้านบาท จากที่ในไตร
มาส 2/48 มีกำไรสุทธิ 16 ล้านบาท อย่างไรก็ดีผลประกอบการไตรมาส 4/48 เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
โดยที่มี
ยอดขาย 255 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% q-o-q และมีกำไรสุทธิ 23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 377% q-o-q
TOG มุ่งเน้นผลิตเลนส์ระดับ Premium มีแนวโน้มเติบโตสูงและอัตรากำไรขั้นต้น
ที่สูง
จากการที่ตลาดเลนส์พลาสติกประเภทนิรภัยทนต่อแรงกระแทกสูงและเลนส์พลาสติกเปลี่ยนสี มีแนวโน้มที่จะ
ขยายตัวโดดเด่นกว่าเลนส์ประเภทอื่นๆ ซึ่งคาดว่าจะมีการขยายตัวที่สูง 16.3% และ 8.4% ตามลำดับ ประกอบกับ
ปัจจุบันมีผู้ผลิตเลนส์นิรภัยทนต่อแรงกระแทกสูงจาก Trivex ประมาณ 3 บริษัท คือ Hoya Lens ของญี่ปุ่น
Younger Optics ของสหรัฐอเมริกา จะผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเองเท่านั้น และผลิตได้เฉพาะเลนส์กึ่ง
สำเร็จรูป (Semi Finished Product) โดยที่ TOG เป็นเพียงรายเดียวที่ผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูกค้า
และเป็นเพียงรายเดียวที่สามารถผลิตเลนส์สำเร็จรูปได้ (Finished Lens) ทำให้ TOG ยังคงมีโอกาสขยายตลาด
เลนส์นิรภัยทนต่อแรงกระแทกสูง
TOG มีแผนที่จะขยายการผลิตเลนส์ประเภท Premium ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงถึง 30-33% และสูงกว่าเลนส์
ธรรมดาที่เป็นเลนส์พลาสติก CR-39 และเลนส์กระจกที่มีอัตรากำไรขั้นต้นเพียง 15% โดยทางบริษัทได้ตั้งเป้าเพิ่ม
ยอดขายของเลนส์ประเภท Premium : เลนส์ธรรมดา เป็น 60 : 40 จากเดิมอยู่ที่ระดับประมาณ 44 : 56 เราได้
ประมาณการยอดขายของเลนส์ประเภท Premium ในปี 49-50 จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 48% และ 55% ตามลำดับ
ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้มีการขยายกำลังการผลิตเลนส์นิรภัยทนต่อแรงกระแทกสูงในเดือนเม.ย. 48 เพิ่มขึ้นอีก 1
สายการผลิตหรือ 2,500 แผ่น/วัน ทำให้มีกำลังการผลิตของเลนส์นิรภัยทนต่อแรงกระแทกสูงเพิ่มขึ้นเป็น 7,500
แผ่น/วันในปี 2548 และมีแผนเพิ่มอีก 1 สายการผลิต เป็น 2,500 แผ่น/วันในปี 2549 เป็น 10,000 แผ่น/วัน
การประเมินมูลค่าหุ้น
กรณีประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของ TOG โดยใช้วิธี P/E Ratio ของกลุ่มของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ที่ระดับ 9 เท่า
จะได้ Fair Value ณ.สิ้นปี 2549-2550 เท่ากับ 2.59 บาทและ 3.33 บาทตามลำดับ มี PEG ปี 2549-2550 เท่ากับ
0.13 เท่าและ 0.29 เท่าตามลำดับ
กรณีประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของ TOG โดยใช้วิธี P/BV ที่ระดับ 1 เท่า จะได้ Fair Value ณ.สิ้นปี 2549-2550
เท่ากับ 3.20 บาทและ 3.46 บาทตามลำดับ
กรณีประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของ TOG โดยใช้วิธี DCF ใช้ WACC เท่ากับ 13% จะได้ Fair Value เท่ากับ 3.82
บาท
มูลค่าของหุ้น TOG ในกรณีที่ใช้ทั้ง 3 วิธีถัวเฉลี่ยจะได้ Fair Value ณ.สิ้นปี 2549-2550 เท่ากับ 3.20 บาท
และ 3.53 บาทตามลำดับ
มูลค่าที่เหมาะสมของ TOG (บาท)
วิธี Fair Value (Baht)
YE 2006 YE 2007
P/E Ratio
8x 2.31 2.96
9x 2.59 3.33
10x 2.88 3.70
P/BV
1x 3.20 3.46
DCF (WACC 13%) 3.82 3.82
Average 3.20 3.53
ความเสี่ยง
􀂃 ความเสี่ยงจากวัตถุดิบ บริษัทต้องมีการซื้อวัตถุดิบหลัก โดยเฉพาะ Monomer พลาสติก ซึ่งมีสัดส่วน
คิดเป็น 70% ของต้นทุนวัตถุดิบและประมาณ 30% ของต้นทุนการผลิตรวม ซึ่ง Monomer พลาสติกที่ใช้
ในการผลิตเลนส์พลาสติกจะต้องซื้อจากผู้ผลิต Monomer พลาสติกที่มีลิขสิทธิ์เพียงรายเดียว ทำให้
บริษัทมีความเสี่ยงจากการการขาดแคลนวัตถุดิบ และมีความเสี่ยงจากการผันแปรของราคาวัตถุดิบที่
ผู้ผลิตจะเป็นผู้กำหนด
􀂃 ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน วัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตต้องมีการนำเข้าจากต่างประเทศ โดย
ชำระค่าสินค้าส่วนใหญ่เป็นเงินดอลล่าร์สหรัฐ และเงินยูโร ขณะที่มีการส่งออกประมาณ 93% ของ
ยอดขายทั้งหมด โดยขายสินค้าเป็นเงินดอลล่าร์สหรัฐ และเงินยูโรเช่นเดียวกัน ทำให้มีการป้องกันความ
เสี่ยงตามธรรมชาติ (Natural Hedge)
􀂃 ความเสี่ยงจากการแข่งขัน อุตสาหกรรมการผลิตเลนส์สายตาซึ่งเป็นอุตสาหกรรมการส่งออก ต้อง
เผขิญกับการแข่งขันกับต่างประเทศ โดยเฉพาะคู่แข่งขันจากประเทศจีนที่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ เข้มา
แข่งขันทางด้านราคาสำหรับผลิตภัณฑ์เลนส์สายตาพลาสติกธรรมดา (CR39) อย่างไรก็ดีผู้ผลิตจาก
ประเทศจีนส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดเล็ก ที่มีข้อจำกัดเรื่องคุณภาพสินค้าและคุณภาพการบริการ
รวมทั้งผลิตได้เฉพาะเลนส์สายตาพลาสติกธรรมดา (CR39) ขณะที่บริษัทพยายามหันไปผลิตผลิตภัณฑ์
เลนส์สายตาประเภท Premium



เป็นบทวิเคราะห์ตอน IPO
copy จาก PDF FILE เลยขาดๆ ดูยาก  ฉบับจริงดูใน Analysys concensus ใน webhoon.com
contrarian
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1485
ผู้ติดตาม: 0

ลองวิจารณ์หุ้น TOG หน่อยสิค้บ

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ลองดู แง่มุมดีๆ
จับตา "สว่าง" แก้เกม "ไทยออพติคอล"

"สว่าง ประจักษ์ธรรม" งง! ไทยออพติคอล กรุ๊ป กำไรโตกว่า 126% แต่ราคาหุ้นปรับลดลง เผยกำลังเตรียมมาตรการเข็นหุ้น โดยอาจควบรวมธุรกิจในเครือ เพื่อเพิ่มจำนวนหุ้น และรายได้
นับตั้งแต่ บมจ.ไทยออพติคอล กรุ๊ป (TOG) ของ "ตระกูลประจักษ์ธรรม" เข้าตลาดหลักทรัพย์ เมื่อ "16 พฤษภาคม 2549" ที่ราคาจอง 2.80 บาท มาถึงวันนี้ ราคาหุ้นยังไม่สามารถขึ้นไปปิดเหนือจองได้สักครั้ง
ทั้งที่ช่วงเข้าตลาด หลายคนมองว่าหุ้นตัวนี้มีโอกาสที่ราคาจะขึ้นไปแตะที่ 3.40 บาท ซึ่งเป็นราคาที่พันธมิตร คือ MR. RUDOL SUTER ได้ซื้อหุ้นบิ๊กล็อต (นอกกระดาน) จาก "สว่าง ประจักษ์ธรรม" และ "สาโรจน์ ประจักษ์ธรรม" รวม 15.37 ล้านหุ้น (คนละ 7.68 ล้านหุ้น)
หลังจากขายหุ้นไปแล้ว ผู้บริหารทั้ง 2 คน ก็ซื้อหุ้นคืนทันควันในกระดาน โดย "สว่าง ประจักษ์ธรรม" ซื้อคืนรวดเดียว 7.8 ล้านหุ้น ที่ราคา 2.84 บาท ส่วน "สาโรจน์ ประจักษ์ธรรม" ทยอยซื้อคืนใน เดือนพฤษภาคม จำนวน 3.42 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ย 2.76 บาท ก่อนความน่าสนใจจะปิดฉากลงอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางผลประกอบการงวด 9 เดือนที่ออกมาอย่างสวยงาม มีกำไรสุทธิ 66.95 ล้านบาท สูงกว่าปีที่ผ่านมา 126% แต่ราคาหุ้นกลับปรับลดลง
"ผมก็ไม่เข้าใจว่าผลประกอบการของเราก็ดี แต่ทำไมราคาหุ้นเราถึงตกลงทุกวัน" สว่าง ประจักษ์ธรรม ประธานกรรมการ บมจ.ไทยออพติคอล กรุ๊ป กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ BizWeek"
เขายืนยันว่า ทิศทางของบริษัทยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกำไรสุทธิ 9 เดือน ก็ทะลุกำไรทั้งปี ของปี 2548 ที่ 52.59 ล้านบาท แล้ว ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4 และไตรมาส 1 ปี 2550 คาดว่ายังปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซัน ซึ่งผู้ประกอบการแถบยุโรป และสหรัฐอเมริกา จะสั่งสินค้าเข้ามารองรับกับฤดูใบไม้ผลิ
"ปกติไตรมาส 3 ของเราจะเป็นช่วงโลว์ซีซัน กำไรมันจะลดลงจากไตรมาส 2 ก็เป็นเรื่องปกติ แต่เป้าทั้งปีของเรา ที่ 1,200 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 1,092 ล้านบาท คิดว่าทำได้ไม่ยาก เพราะช่วง 9 เดือนทำได้แล้ว 928 ล้านบาท"
ส่วนปีหน้าคาดว่ายังคงมีอัตราการเติบโต 10-15% โดยจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เลนส์นิรภัย และเลนส์บางพิเศษเปลี่ยนสี ซึ่งมีมาร์จินค่อนข้างสูงกว่าผลิตภัณฑ์ปัจจุบันมาก ดังนั้นเชื่อว่า กำไรขั้นต้นของบริษัทจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับ 25% จากปัจจุบันที่กำไรขั้นต้น ลดลงมาเหลือ 21.6%
อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่า บริษัทมีผลกระทบบ้างจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาอยู่ ที่ 36 บาท เนื่องจากบริษัทมีสัดส่วนการส่งออก ถึง 95%
สว่าง บอกว่า ขณะนี้กำลังหารือกับที่ปรึกษาทางการเงิน ถึงแนวทางการทำให้นักลงทุนหันมาสนใจหุ้น TOG มากขึ้น พบว่าปัญหาขณะนี้ คือ มีหุ้นหมุนเวียนน้อยเกินไป อาจจะต้องแก้ไขเพิ่มสภาพคล่องของหุ้น ให้มากขึ้น
อย่างไรก็ตามเขายืนยันว่า ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มหุ้นด้วยวิธีใด ผู้ถือหุ้นจะไม่ได้รับผลกระทบในแง่ลบแน่นอน
"ที่คิดไว้ตอนนี้ เราก็กำลังให้ผู้เชี่ยวชาญดูว่า อาจจะมีการควบรวม หรือเทคโอเวอร์กลุ่มบริษัทที่เกี่ยวข้องในไทย เพื่อจะเพิ่มจำนวนหุ้น และมันก็จะเพิ่มรายได้ของเราให้เพิ่มขึ้นมาด้วย"
พร้อมกันนี้ก็อยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนของบริษัทใหม่ เป็นโครงการที่ใหญ่พอสมควร แต่รายละเอียดยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทค่อนข้างต่ำ เพียง 0.2 เท่า คิดว่าหนี้สินที่อยู่ในระดับเหมาะสมควรจะอยู่ที่ประมาณ 0.5-1.0 เท่าของทุน
สว่าง บอกว่า การลงทุนในหุ้น TOG นี้ จะจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนักลงทุนสามารถลงทุนระยะยาวได้
วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549  ถนนนักลงทุน


โลกาภิวัตน์ : เชิดชูนักเทคโนโลยีดีเด่นของไทย
พฤหัสนี้ขอเชิดชูนักเทคโนโลยีดีเด่นของไทยบ้าง เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับนักคิด นักประดิษฐ์ และนักเทคโนโลยีของไทยได้มีโอกาสสร้างสรรค์ สิ่งอันมีคุณประโยชน์ต่อประเทศไทยและมวลมนุษย์โลก
ผมได้มีโอกาสร่วมงานโครงการรางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่นประจำปี 2547 โดยเป็นตัวแทนท่าน ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งงานนี้จัดโดยมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ ปีนี้โครงการนี้มีวิธีการคัดเลือกนักเทคโนโลยีดีเด่นค่อนข้างจะมีข้อเด่นชัดเจน คือ ผลงานของนักเทคโนโลยีที่ได้รับรางวัลนั้นมีผลต่อการเสริมสร้างเศรษฐกิจของไทยในเชิงพาณิชย์ด้วย ไม่ใช่นักวิจัยที่คิดประดิษฐ์ผลงานเพื่อการตีพิมพ์ต่อยอดทางทฤษฎีในระดับนานาชาติเท่านั้น จึงนับว่าท่านประธานกรรมการรางวัลคือ ดร.วิโรจน์ ตันตราภรณ์ มีวิสัยทัศน์ด้านการเสริมสร้างเศรษฐกิจและความอยู่ดีกินดีของประเทศด้วย
สำหรับกลุ่มแรกที่ได้รับรางวัลนักเทคโนโลยีดีเด่นประจำปี 2547 คือ บริษัทไทยออพติคอลกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) โดยคณะวิจัยนั้น สามารถผลิตเลนส์สายตาที่ทำจากวัสดุพลาสติกชนิดธรรมดา และในระยะต่อมาก็สามารถทำการวิจัยและ พัฒนาผลิตเลนส์สำเร็จรูปประเภท Finished Uncut Single Vision Lens โดยใช้วัสดุ Trivex  เป็นบริษัทแรกของโลก ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษคือเป็นเลนส์นิรภัยที่สามารถทนต่อแรงกระแทกสูงโดยไม่แตกหัก และสามารถพัฒนาระบบการผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้สำเร็จโดยสามารถที่จะผลิตได้เกือบล้านชิ้นต่อปีและสามารถผลิตเพื่อส่งออกเชิงพาณิชย์นำรายได้เข้าประเทศด้วยสมองของนักประดิษฐ์ไทยซึ่งจดลิขสิทธิ์เป็นของไทยและเป็นบริษัทของคนไทย 100% สำหรับนักวิจัยทั้งหมดก็  เป็นทีมงานนักวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์ไทยดังนี้คือ  นายสาโรจน์ ประจักษ์ธรรม, นายธรณ์ ประจักษ์ธรรม และ นายธีรชัย สุรวัฒนสกุล ซึ่งทั้งทีมก็จบปริญญาโทจากสหรัฐอเมริกาและไทย เท่าที่ได้เห็นอายุสัก 30 กว่ากระมังก็ยังถือว่ายังมีอนาคตอีกไกล ก็ขอเชิดชูทั้ง 3 ท่านไว้ด้วยครับ
อีกท่านหนึ่งก็คือ คุณปิยะ จงวัฒนา แห่งบริษัทพัฒน์กล จำกัด (มหาชน) คุณปิยะนั้นเป็นวิศวกรสาขาเครื่องกล สามารถวิจัยและพัฒนากระบวนการผลิตเครื่องทำน้ำแข็งหลอดและอุตสาหกรรมนมที่สะอาดและปลอดภัย และสามารถส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเป็นผู้ผลิตน้ำแข็งหลอดรายใหญ่เป็นอันดับ 1 หรือ 2 ของโลก ซึ่งคู่แข่งที่ชัดเจนนั้นอยู่สหรัฐอเมริกา บริษัทของคุณปิยะนั้นทุ่มเท  ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีมากโดยมีหน่วยงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีวิศวกรถึง 27 คน นับว่าเป็นตัวอย่างบริษัทที่มีนวัตกรรมดีมาก จึงได้รับรางวัลในปีนี้
นอกจากนี้ยังมีรางวัลนักเทคโนโลยีรุ่นใหม่คือ ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ แห่งศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ได้พัฒนาบุกเบิกงานด้านระบบเครื่องกลไฟฟ้าจุลภาคและอุปกรณ์นาโนอิเล็กทรอนิกส์ประเภทเซนเซอร์ขนาดจิ๋ว อีกท่านหนึ่งคือ ผศ.ดร.สักกมน เทพหัสดิน ณ อยุธยา แห่งมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี โดยสามารถสร้างเครื่องอบแห้งด้วยไอน้ำร้อนยิ่งยวดที่ภาวะความดันต่ำ เครื่องอบแห้งกุ้งแบบเจตสเปาท์เตด เบท และเครื่องผสมอาหารแบบกระแสชนในเส้นการไหล ทั้ง 2 ท่านยังเป็นนักเทคโนโลยีหนุ่มมีอนาคต
ขอปรบมือดัง ๆ ให้นักเทคโนโลยีไทยเหล่านี้ ทุกท่านจะเป็นเฟืองจักรใหญ่ที่ริเริ่มการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศไทยและสร้างความอยู่ดีกินดีของมวลมนุษย์อีกระดับหนึ่งครับ...ขอชมเชย.ผศ.ดร.บุญมาก ศิริเนาวกุล

หนังสือพิมพ์เดลินิวส์  ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม 2547  หน้า 16




อ้อ เลนส์พรีเมียม เนี่ย คิดว่าน่าจะเป็นอันที่ ผบ.ทบ.ผมใช้อยู่ น่ะครับ
เลนส์บางกว่าเดิมมาก ใสแหน่ว ยิ่งกว่าตาตั๊กแตน ทนรอยขูดขีดได้ดี เทียบกับเลนส์กระจกหรือเลนส์พลาสติกแล้วดีกว่ามากๆ

แต่คู่ละ 5,500 (เฉพาะเลนส์ ไม่รวมกรอบ) ผมไม่รู้ว่ามีprice list หรือไม่ แต่หมอที่ตัดด้วยก็สนิทกัน  

แต่อาจจะถูกสำหรับตลาด ยุโรปก็ได้
phobenius
Verified User
โพสต์: 1976
ผู้ติดตาม: 0

ลองวิจารณ์หุ้น TOG หน่อยสิค้บ

โพสต์ที่ 9

โพสต์

โอ้ ขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูล
ภาพประจำตัวสมาชิก
dr_norr
Verified User
โพสต์: 315
ผู้ติดตาม: 0

ลองวิจารณ์หุ้น TOG หน่อยสิค้บ

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ถือมา 5-6 เดือน ทุน 2.18 เพิ่งขายวันนี้ครับ 2.36 บาท :D
แมงเม่าวันนี้ จะตัวใหญ่ขึ้นในวันหน้า
ภาพประจำตัวสมาชิก
thipong
Verified User
โพสต์: 178
ผู้ติดตาม: 0

ลองวิจารณ์หุ้น TOG หน่อยสิค้บ

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ของผมก็เพิ่งขายวันนี้ครับทุน2.18เหมือนกันขายที่2.40
ภาพประจำตัวสมาชิก
Alastor
Verified User
โพสต์: 2590
ผู้ติดตาม: 0

ลองวิจารณ์หุ้น TOG หน่อยสิค้บ

โพสต์ที่ 12

โพสต์

อ้าวทิ้งกันแล้วเหรอ ผมยังไม่ทันซื้อเลย 5555
Wir sind das Rar, der Stolz und der Wert
sunrise
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2273
ผู้ติดตาม: 0

ลองวิจารณ์หุ้น TOG หน่อยสิค้บ

โพสต์ที่ 13

โพสต์

Alastor เขียน:อ้าวทิ้งกันแล้วเหรอ ผมยังไม่ทันซื้อเลย 5555
เหอะๆ รอผมด้วย
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
ต.หยวนเปียว
Verified User
โพสต์: 1688
ผู้ติดตาม: 0

ลองวิจารณ์หุ้น TOG หน่อยสิค้บ

โพสต์ที่ 14

โพสต์

ใกล้ปั่นแล้วเหรอ
ผมซื้อไว้ก่อนปันผลนิดหน่อย
ไร้ธรรมาภิบาลเจ้าของดีไหม  :lol:
==หากบริษัทไม่ได้อยู่ในตลาดฯ หุ้นยังน่าซื้อหรือไม่ ==
phobenius
Verified User
โพสต์: 1976
ผู้ติดตาม: 0

ลองวิจารณ์หุ้น TOG หน่อยสิค้บ

โพสต์ที่ 15

โพสต์

ผมก็ว่าจะซื้อ เหมือนกันอะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

ลองวิจารณ์หุ้น TOG หน่อยสิค้บ

โพสต์ที่ 16

โพสต์

วันนั้นผมเกือบกลับมาไม่ทันดูกบนอกกะลา กัมปะนีวิสิท TOG แน่ะ ออกไปหน่อยนึงแล้วด้วย เซ็งรถติดจริงๆ :evil:
โพสต์โพสต์