ได้ยินมาว่า เม็ดเงินต่างชาติ 1 แสนล้าน ทำให้ตลาดหุ้นไทย
-
- Verified User
- โพสต์: 1301
- ผู้ติดตาม: 0
ได้ยินมาว่า เม็ดเงินต่างชาติ 1 แสนล้าน ทำให้ตลาดหุ้นไทย
โพสต์ที่ 92
รวมๆที่คุณเจ๋งพูดเกี่ยวกับโบรกนั้นดีมาก เรื่องรายได้ ยังมีเพิ่มเกี่ยวกับ การยืมหุ้นอีก อีกไม่นานก็จะมี option trading อีก แล้วตัว etf ซึ่งวันหน้าคงมี etf เพิ่มขึ้นล้อไปกับ option ใหม่ๆ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
ได้ยินมาว่า เม็ดเงินต่างชาติ 1 แสนล้าน ทำให้ตลาดหุ้นไทย
โพสต์ที่ 95
วันนี้ลบไปเล็กน้อย 2.41 จุด แต่ยังเทรด 31,672 ล้านบาท ยิ่งตลาดแกว่ง ไม่รู้ขึ้น หรือลง วอลลุ่มไม่ลดอีก ก็น่าจะไปต่อ
แค่ลบไป 2.41 จุด โห รายย่อย ขายกระจาย
Net Buy/Sell (As of 12 Jul 07)
Investor Type Buy (M) % Sell (M) % Net (M)
Local Institutions 3,693.16 11.48% 4,996.52 15.53% -1,303.36 M
Foreign Institutions 11,100.78 34.51% 8,438.32 26.24% 2,662.46 M
Retail Investors 17,369.55 54.00% 18,728.65 58.23% -1,359.11 M ล
ลองมาอ่านข่าว 06/07/07 จาก efinancthai.com
.................................................................................
ฮ็อทมันนี่ทะลักกว่าแสนล้าน ใครตกรถอย่าร้องไห้
* 6 เซียน ชี้ช่องทาง รอแดงก่อนค่อยซื้อ
ฟินันซ่า ชี้ ภาพรวมกองทุน Asia Emerging Fund ย้ายเงินลงทุนหนีตลาดหุ้นเกาหลี
ใต้ มาไทย ให้น้ำหนักลงทุนตลาดฯไทยดีสุด อีกทั้งระบุตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน เงินนอกท่วมตลาด
หุ้นไทย กว่า 1 แสนล้านบาท หลังต่างชาติซื้อสะสมต่อเนื่อง และยังหนุนค่าเงินบาทแข็งค่าไม่หยุด
ยั้งที่ 33.99 บาท/ดอลลาร์ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะผลตอบแทนดี-ราคาถูก ขณะที่ 5 โบรกฯ เปิด
กลยุทธ์แนะลงทุนช่วงเงินต่างชาติทะลัก ชี้ช่อง ใครยังไม่มีหุ้นใจเย็นอย่าเพิ่งซื้อ เพราะราคาขึ้นสูง
แล้ว รอหุ้นลงอีกรอบค่อยเข้าซื้อ แนะกลุ่มแบงก์-สื่อสาร-ชิ้นส่วนฯ -อสังหาฯ แต่ ขณะที่นักลงทุนที่
มีหุ้นอยู่ในพอร์ตแล้ว แนะนำให้ทำกำไรเล่นรอบได้
เม็ดเงินต่างประเทศยังไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง สำหรับตลาดหุ้นไทยในช่วงนี่ หรือจะ
บอกได้ว่านับตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม เป็นต้นมา เงินลงทุนจากต่างชาติยังคงเข้ามาลงทุนใน
ตลาดหลักทรัพย์อยู่ โดยเฉพาะนักลงทุนสัญชาติอเมริกา ยุโรป รวมไปถึงกองทุนญี่ปุ่น เนื่องจาก
นักลงทุนกลุ่มนี้มองเห็นว่าตลาดหุ้นไทยยังถูก มีค่าพี/อี เรโช ต่ำเพียงแค่ 10 เท่า เมื่อเทียบกบับ
ตลาดหุ้นในภูมิภาคเดียวกัน ในขณะที่อัตราผลตอบแทนการลงทุนในฝั่งอเมริกาและยุโรป รวมไป
ถึงเหตุการณ์ก่อการร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นในสก็อตแลนด์ เมื่อสัปดาห์ก่อนส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติ
เกิดความวิตกกังวล จึงทำให้โยกเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นแถบเอเซียแทน ซึ่งก็ทำให้ตลาดหุ้น
ไทยได้รับอานิสงส์ไปด้วย จนทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าถึง 33.99-34.03 บาทต่อดอลลาร์ ไป
พร้อมๆกับดัชนีฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้น และนอกเหนือจากนี้นักลงทุนต่างชาติเริ่มมีความมั่นใจในภาวะ
การเมือง และเศรษฐกิจของไทยมากขึ้น
โดยการเมืองนั้น ยังมีความเชื่อมั่นว่าจะเห็นการเลือกตั้งได้ในปลายปีนี้ หลังจากทั้ง
พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และ พลเอกสุรยุทธ์ จุลา
นนท์ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าจะผลักดันให้มีการเลือกตั้งให้ได้แน่นอน หลังจากการทำประชามติ
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เรียบร้อยในเดือนสิงหาคมนี้ ในขณะที่เรื่องของเศรษฐกิจนั้นก็เริ่มมี
สัญญาณจะฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน ภาครัฐ
น่าจะเพิ่มขึ้น โดยล่าสุดทางศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยก็เพิ่งจะปรับ
ประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ปีนี้เป็นขยายตัว 4-4.5% จากก่อนหน้าที่คาดว่าจะขยาย
ตัวเพียง 3.5-4% เท่านั้น ส่วนปีหน้านั้นมั่นใจว่าจีดีพีจะขยายตัวได้ถึง 5-6% เพราะได้โครงเมกะ
โปรเจ็กที่เริ่มก่อสร้างเข้ามาช่วยกระตุ้นอีกทางหนึ่ง รวมไปถึงการเร่งเบิกจ่ายเม็ดเงินงบประมาณ
ปี 2550 และการเริ่มต้นใชจ่ายงบประมาณปี 2551 ในเดือนตุลาคม ที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดใช้
จ่าย และมีเงินอัดฉีดเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้น สนับสนุนให้เศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีเติบโตขึ้นได้
เม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาตินับตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. จนถึงเมื่อวานนี้ (5 ก.ค.) ซื้อ
สุทธิ 19,580.21 ล้านบาท และหากนับตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน จนถึงปัจจุบัน ซื้อสุทธิไปแล้ว
49,920.32 ล้านบาท ในขณะที่ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ช่วง 5 วันทำการที่ผ่านมา (ตั้งแต่วันที่ 29
มิ.ย.-5 ก.ค.50) พบว่า SET Index วันที่ 29 มิ.ย.50 ปิดตลาดที่ระดับ 776.79 จุด เปรียบเทียบ
กับปิดตลาดวันนี้ 5 ก.ค.50 ที่ระดับ 823.93 จุด เพิ่มขึ้น 47.14 จุด หรือ +6.06% แม้ว่าเมื่อวาน
นี้ ดัชนีจะปรับตัวลดลงหลังจากขึ้นมาต่อเนื่อง 3 วันติดกัน โดยปิดที่ระดับ 823.93 จุด ลดลง
1.52 จุด หรือ 0.18% มูลค่าการซื้อขาย 34,899.20 ล้านบาท
ดังนั้นด้วยปัจจัยเหล่านี้ จึงทำให้เม็ดเงินต่างชาติยังไหลเข้าตลาดหุ้นไทย ต่อไป และ
เชื่อว่าในระยะสั้นถึงปานกลางจากนี้ เงินสกุลต่างชาติยังมีความต้องการลงทุนในหุ้นไทยต่อไป
อย่างไรก็ตามแม้เงินนอกจะท่วมตลาดหุ้นอยู่ในตอนนี้ และน่าจะเป็นเรื่องดีต่อการดันให้ดัชนีปรับ
ตัวเพิ่มขึ้น แต่ในส่วนของนักลงทุนในประเทศเองนั้น เมื่อภาวะตลาดดีก็อาจจะสบโอกาสให้ลงทุน
ด้วยเหมือนกัน ทั้งในส่วนของนักลงทุนที่อาจจะเกาะขบวนรถช้าไปหน่อย ยังไม่มีหุ้นในมือ และ
กลุ่มที่ถือลงทุนอยู่ในขณะนี้ ควรจะมีกลยุทธ์ในการลงทุนอย่างไรในภาวะตลาดฯ ปัจจุบัน
eFinanceThai.com จึงได้รวบรวมกลยุทธ์การลงทุนจากโบรกเกอร์หลายสำนัก ในช่วงที่เม็ด
เงินไหลเข้าตลาดหุ้น
* ฟินันซ่า ชี้ กองทุน Asia Emerging Funds ยังหอบเงิน-ให้น้ำหนักการลงทุนไทยดีสุด
บทวิเคราะห์ บล.ฟินันซ่า เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบกระแสเงินลงทุนช่วงสัปดาห์ที่
แล้ว เราพบว่านักลงทุนต่างประเทศเปลี่ยนเป็นการขายสุทธิ 6 ประเทศในเอเชีย 140 ล้าน
เหรียญ จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ซื้อสะสมไป 2.9 พันล้านเหรียญ ซึ่งไม่ผิดจากที่เราคาดไว้ เนื่องจาก
นักลงทุนส่วนใหญ่ชะลอการลงทุนก่อนการประชุม FOMC ในวันพฤหัสที่ผ่านมา อนึ่งเราพบว่า
เกาหลีเป็นประเทศที่ถูกขายสุทธิมากที่สุด 990 ล้านเหรียญ ตามมาด้วย อินเดีย, อินโดนีเซีย และ
ฟิลิปปินส์ที่ขายสุทธิ 67, 24 และ 28 ล้านเหรียญ ตามลำดับ สวนทางกับไต้หวัน และไทยที่ซื้อ
สุทธิ 883 ล้านเหรียญ และ 39 ล้านเหรียญ
ภาพโดยรวมกองทุน Asia Emerging Funds ยังคงลดการลงทุนในเกาหลีใต้อย่าง
ต่อเนื่อง ขณะที่ย้ายเงินลงมาที่ไต้หวัน และยังให้น้ำหนักการลงทุนไทยดีสุดในกลุ่ม TIP ในเวลานี้
กล่าวถึงตลาดไทยหลังจาก Underperform มานาน จนถึงวันที่ 3 ก.ค. ปรากฏว่านักลงทุนต่าง
ประเทศได้เข้าซื้อสะสมประมาณ 1.07 แสนล้านบาท ตั้งแต่ต้นปี หรือเพิ่มขึ้น 167% เมื่อเทียบ
กับช่วงเดียวกันในปีก่อน อย่างไรก็ดีการปรับตัวขึ้นมาของ SET วานนี้ส่งผลให้ตลาดไทยปรับตัว
ขึ้นมา 20.5%YtD และเริ่มจะเข้าใกล้กับ FTSE-ASEN ที่ปรับตัวขึ้นมา25.3%YtD
* ให้เป้าหมายดัชนีระยะสั้น855จุด - Best Case ที่ 944 จุด ในปีนี้
เพราะฉะนั้นหากพิจารณาเปรียบเทียบ SET กับ Performance ของ FTSE-
ASEAN และ MSCI Asia ExJapan จะได้เป้าหมายระยะสั้นที่ 855 จุด ขณะที่ เป้าหมาย
Best Case จะอยู่ที่ 944 จุด ในปีนี้
สำหรับเป้าหมายดัชนีปีหน้าบนสมมุติฐานการประเมินมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน EPS
Growth ที่ 5% จะได้ SET เป้าหมายที่ 873 จุด บนสมมุติฐาน PER12 เท่า และ 1092 จุด
บนสมมุติฐาน PER 15 เท่า
ดังนั้นสิ่งที่นักลงทุนต้องระวังต่อไปว่าดัชนีจะถึงเป้าหมายหรือไม่อยู่ที่ 1)ปัจจัยการ
เมืองจะกลับมากดดันอีกหรือไม่ 2) อัตราเงินเฟ้อที่อาจปรับสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลมายังอัตราดอกเบี้ย
FED และการปรับพอร์ตการลงทุนตามมา และ 3) เมื่อแรงซื้อหยุดนักลงทุนต้องหยุดการเก็ง
กำไร และเริ่มมองหาทางขายทำกำไรในระยะสั้น
*พัฒนสิน แนะ คนมีหุ้นรอขายตอนดัชนีขึ้นถึง 830-840 จุด
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวว่า นักลง
ทุนที่ยังไม่ได้เข้าไปซื้อหุ้นหรือยังไม่มีหุ้นในช่วงนี้ ควรที่จะรอดูผลประกอบการของบริษัทจด
ทะเบียน (บจ.) ก่อน เพราะจะได้พิจารณาถึงปัจจัยพื้นฐานรวมทั้งผลงานที่ผ่านมาว่าดีพอที่จะเข้า
ไปลงทุนได้หรือไม่ ส่วนนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่แล้วควรถือรอเพื่อขายทำกำไร เมื่อ SET Index ปรับ
เพิ่มขึ้นแตะแนวต้านสำคัญที่ 830 จุด และแนวต้านถัดไปที่ 840 จุด
' ดัชนีฯ ก็มีโอกาสที่จะปรับเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่แล้วก็ควรถือรอขายทำ
กำไร เมื่อดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้นถึง 830 จุด และ 840 จุด ส่วนเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติยังบอก
ไม่ได้ว่าจะไหลเข้ามานานไหมหรืออันตรายหรือยัง เพราะจะต้องรอข้อมูลจากทางการการก่อน ซึ่ง
ตอนนี้แบงก์ชาติกับตลาดฯ ก็กำลังตรวจสอบอยู่ ' นายชัย กล่าว
*เกียรตินาคิน เตือน นลท.ยังไม่หุ้นอย่าเพิ่งเข้า รอซื้อที่แนวรับ 815-810 จุด
นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรติ
นาคิน กล่าวว่า นักลงทุนที่ไม่มีหุ้นยังไม่เหมาะที่จะเข้าไปลงทุนในช่วงนี้ เพราะในรอบสัปดาห์ที่
ผ่านมา SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 50 จุด ซึ่งถือว่าสูงมากแล้ว ดังนั้นควรรอซื้อเมื่อ SET
Index ปรับลดลงมาที่แนวรับ 815 จุด และแนวรับถัดไปที่ 810 ดีกว่า
ส่วนนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่แล้ว โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ หลัก
ทรัพย์ และสื่อสาร แนะนำให้ถือเพื่อรอขายทำกำไร เมื่อดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้นทดสอบแนวต้านที่
830 จุด แต่ถ้าหากผ่านขึ้นไปได้จะมีแนวต้านถัดไปอยู่ที่ 840 จุด
' ไม่สามารถประเมินได้ว่าเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นระยะสั้นหรือ
ระยะยาว รวมทั้งเริ่มอันตรายหรือไม่ เนื่องจากคาดเดายากนอกจากนี้ยังต้องดูปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ
ประกอบด้วย' นางวิริยา กล่าว
* ดีบีเอส แนะรอซื้อหุ้นแบงก์-สื่อสาร-ชิ้นส่วนฯ-อสังหาฯ
นางสาวอาภากรณ์ แสวงพรรค รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิ
คเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวถึงกรณีเม็ดเงินต่างประเทศที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์
ไทยต่อเนื่อง ว่า เม็ดเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนดังกล่าวน่าจะมีทั้งการลงทุนระยะสั้น และระยะยาว
โดยที่ผ่านมา ดีบีเอสฯได้พูดคุยกับทางผู้จัดการกองทุนต่างประเทศ ก็พบว่านักลงทุนต่างประเทศ
ส่วนใหญ่ยังสนใจเข้าลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยอยู่มาก
ทั้งนี้ ประเมินว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยจากนี้น่าจะปรับขึ้นต่อ ซึ่งจากดัชนีฯที่ยืน
เหนือ 800 จุดได้ ก็เป็นสัญญาณสะท้อนให้เห็นว่าดัชนีฯยังเป็นขาขึ้น โดยเฉพาะหากสถานการณ์
การเมืองชัดเจน และมีการเลือกตั้งแล้วเสร็จก็น่าทำให้ภาพของเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมดี
ขึ้น และหนุนให้ความมั่นใจนักลงทุนเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดย บล.ดีบีเอสฯ คาดการณ์อัตราการเติบโต
เศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีหน้าโต 5.1% จาก 4.4% ปีนี้
สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นในพอร์ต แนะนำให้รอซื้อเมื่อราคาหุ้นปรับลดลง ในหุ้นกลุ่ม
ธนาคารพาณิชย์ สื่อสาร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และอสังหาริมทรัพย์ แนะนำ BBL,
KBANK,KTB,MAJOR,CCET,DELTA,QH และ PS ขณะที่นักลงทุนที่มีหุ้นอยู่ในพอร์ตแล้ว
แนะนำให้ทำกำไรเล่นรอบได้
*ฟาร์อีสท์ แนะ นลท.ที่มีหุ้นในมือ ควรปรับพอร์ตลงทุนบ้าง หากมีกำไร
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า
เม็ดเงินจากต่างชาติที่เข้ามาไหลเข้ามาในช่วงนี้ ไม่ใช่การเข้ามาระยะสั้น เพื่อเก็งกำไรอย่างแน่
นอน เนื่องจากเมื่อพิจารณาจากการซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติที่มีเข้ามาในขณะนี้ กับช่วงเดียว
กันของปีที่แล้ว ก็ถือว่าอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ประกอบกับการที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคประเทศอื่น
ดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมากเกินไป จนมีความเสี่ยงมากขึ้น จึงทำให้เงินทุนจากต่างชาตินั้นไหล
เข้ามาในตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงตลาดหุ้นไทยก็ได้รับอานิสงส์ด้วย
' จำนวนเงินที่เข้ามานั้น ยังไม่ถือว่ามากเกินไป เพราะค่า P/E ของตลาดหุ้นไทยยังค่อน
ข้างต่อเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นที่อื่น และการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยมีการปรับขึ้เพียง 26%
ขณะที่ประเทศอื่นมีการปรับขึ้นกันกว่า 100% แล้ว ' นายวีระชัย กล่าว
กลยุทธ์การลงทุน สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้น โดยนักลงทุนระยะสั้น ให้ซื้อ หุ้นกลุ่ม
หลักทรัพย์ กลุ่มที่อยู่อาศัย รวมถึงหุ้นกลุ่มที่น่าจะได้รับประโยชน์จากการลงทุนของรัฐบาล และ
การกระตุ้นภาคเอกชน อาทิ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มธนาคารพาณิชย์
ส่วนนักลงทุนระยะยาว แนะนำให้รอจังหวะ ซื้อลงทุน ในหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่ม
ธนาคาพาณิชย์ และนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่ในมือ แนะนำให้ปรับพอร์ตการลงทุนบ้าง เมื่อมีกำไรอยู่ใน
ระดับที่น่าพอใจแล้ว โดยประเมินเป้าหมายของดัชนีฯในปีนี้น่าจะอยู่ที่ 944 จุด และให้เป้าหมาย
ระยะสั้นไว้ที่ที่ 855 จุด
*SCIBS ใช้จังหวะหุ้นลงเก็บหุ้นบิ๊กแคป
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย กล่าว
ว่า เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติที่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ ไม่ใช่เม็ดเงินที่เข้ามาระยะสั้น
อย่างแน่นอน เนื่องจากเมื่อพิจารณาถึงกลุ่มหลักทรัพย์ที่เข้ามาลงทุนแล้ว จะเห็นได้ว่าไม่ใช่เป็น
การเข้ามาเก็งกำไร ประกอบกับเม็ดเงินที่เข้ามายังคงมีแนวโน้มไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และได้
ส่งผลกระทบไปถึงค่าเงินบาท ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นด้วย ดังนั้นจึงเชื่อว่าเม็ดเงินที่เข้ามาใน
ครั้งนี้เป็นเม็ดเงินจริง
ส่วนการที่ดัชนีฯปรับตัวลดลงวานนี้ เป็นเพียงการพักฐานเพื่อขึ้นต่อ และยังขาดตลาด
หุ้นต่างประเทศที่ใช้อ้างอิง จึงทำให้แผ่วแรงลงบ้าง ดังนั้นจึงแนะนำให้ใช้จังหวะนี้เข้าลงทุน ซื้อหุ้น
มาร์เก็ตแคปใหญ่ ซึ่งปรับตัวลดลงมาในวันนี้ อาทิ RRC-BBL-LH-ADVANC ส่วนนักลงทุนที่มี
หุ้นอยู่ก็ให้ ถือต่อ
' ดัชนีลงแค่พักฐาน ไม่ต้องตกใจดัชนียังสามารถไปได้ต่อ เพราะเม็ดเงินต่างชาติก็ยัง
คงไหลเข้ามาอยู่ และค่า P/E ของตลาดหุ้นไทยต่ำกว่าที่อื่น ดังนั้นจึงเชื่อว่ายังคงเป็นตลาดหุ้นที่ได้
รับความสนใจมากกว่าที่อื่น' นางสาวมยุรี กล่าว
ทั้งนี้ได้ตั้งเป้าหมายการปรับขึ้นของดัชนี น่าจะอยุ่ที่ระดับ 936 จุด ซึ่งได้มีการปรับเพิ่ม
ขึ้นจากเดิมที่คาดว่าสิ้นปีนี้ SET Index น่าจะอยู่ที่ระดับ 830 จุด
แค่ลบไป 2.41 จุด โห รายย่อย ขายกระจาย
Net Buy/Sell (As of 12 Jul 07)
Investor Type Buy (M) % Sell (M) % Net (M)
Local Institutions 3,693.16 11.48% 4,996.52 15.53% -1,303.36 M
Foreign Institutions 11,100.78 34.51% 8,438.32 26.24% 2,662.46 M
Retail Investors 17,369.55 54.00% 18,728.65 58.23% -1,359.11 M ล
ลองมาอ่านข่าว 06/07/07 จาก efinancthai.com
.................................................................................
ฮ็อทมันนี่ทะลักกว่าแสนล้าน ใครตกรถอย่าร้องไห้
* 6 เซียน ชี้ช่องทาง รอแดงก่อนค่อยซื้อ
ฟินันซ่า ชี้ ภาพรวมกองทุน Asia Emerging Fund ย้ายเงินลงทุนหนีตลาดหุ้นเกาหลี
ใต้ มาไทย ให้น้ำหนักลงทุนตลาดฯไทยดีสุด อีกทั้งระบุตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน เงินนอกท่วมตลาด
หุ้นไทย กว่า 1 แสนล้านบาท หลังต่างชาติซื้อสะสมต่อเนื่อง และยังหนุนค่าเงินบาทแข็งค่าไม่หยุด
ยั้งที่ 33.99 บาท/ดอลลาร์ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะผลตอบแทนดี-ราคาถูก ขณะที่ 5 โบรกฯ เปิด
กลยุทธ์แนะลงทุนช่วงเงินต่างชาติทะลัก ชี้ช่อง ใครยังไม่มีหุ้นใจเย็นอย่าเพิ่งซื้อ เพราะราคาขึ้นสูง
แล้ว รอหุ้นลงอีกรอบค่อยเข้าซื้อ แนะกลุ่มแบงก์-สื่อสาร-ชิ้นส่วนฯ -อสังหาฯ แต่ ขณะที่นักลงทุนที่
มีหุ้นอยู่ในพอร์ตแล้ว แนะนำให้ทำกำไรเล่นรอบได้
เม็ดเงินต่างประเทศยังไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง สำหรับตลาดหุ้นไทยในช่วงนี่ หรือจะ
บอกได้ว่านับตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม เป็นต้นมา เงินลงทุนจากต่างชาติยังคงเข้ามาลงทุนใน
ตลาดหลักทรัพย์อยู่ โดยเฉพาะนักลงทุนสัญชาติอเมริกา ยุโรป รวมไปถึงกองทุนญี่ปุ่น เนื่องจาก
นักลงทุนกลุ่มนี้มองเห็นว่าตลาดหุ้นไทยยังถูก มีค่าพี/อี เรโช ต่ำเพียงแค่ 10 เท่า เมื่อเทียบกบับ
ตลาดหุ้นในภูมิภาคเดียวกัน ในขณะที่อัตราผลตอบแทนการลงทุนในฝั่งอเมริกาและยุโรป รวมไป
ถึงเหตุการณ์ก่อการร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นในสก็อตแลนด์ เมื่อสัปดาห์ก่อนส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติ
เกิดความวิตกกังวล จึงทำให้โยกเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นแถบเอเซียแทน ซึ่งก็ทำให้ตลาดหุ้น
ไทยได้รับอานิสงส์ไปด้วย จนทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าถึง 33.99-34.03 บาทต่อดอลลาร์ ไป
พร้อมๆกับดัชนีฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้น และนอกเหนือจากนี้นักลงทุนต่างชาติเริ่มมีความมั่นใจในภาวะ
การเมือง และเศรษฐกิจของไทยมากขึ้น
โดยการเมืองนั้น ยังมีความเชื่อมั่นว่าจะเห็นการเลือกตั้งได้ในปลายปีนี้ หลังจากทั้ง
พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และ พลเอกสุรยุทธ์ จุลา
นนท์ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าจะผลักดันให้มีการเลือกตั้งให้ได้แน่นอน หลังจากการทำประชามติ
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เรียบร้อยในเดือนสิงหาคมนี้ ในขณะที่เรื่องของเศรษฐกิจนั้นก็เริ่มมี
สัญญาณจะฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน ภาครัฐ
น่าจะเพิ่มขึ้น โดยล่าสุดทางศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยก็เพิ่งจะปรับ
ประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ปีนี้เป็นขยายตัว 4-4.5% จากก่อนหน้าที่คาดว่าจะขยาย
ตัวเพียง 3.5-4% เท่านั้น ส่วนปีหน้านั้นมั่นใจว่าจีดีพีจะขยายตัวได้ถึง 5-6% เพราะได้โครงเมกะ
โปรเจ็กที่เริ่มก่อสร้างเข้ามาช่วยกระตุ้นอีกทางหนึ่ง รวมไปถึงการเร่งเบิกจ่ายเม็ดเงินงบประมาณ
ปี 2550 และการเริ่มต้นใชจ่ายงบประมาณปี 2551 ในเดือนตุลาคม ที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดใช้
จ่าย และมีเงินอัดฉีดเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้น สนับสนุนให้เศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีเติบโตขึ้นได้
เม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาตินับตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. จนถึงเมื่อวานนี้ (5 ก.ค.) ซื้อ
สุทธิ 19,580.21 ล้านบาท และหากนับตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน จนถึงปัจจุบัน ซื้อสุทธิไปแล้ว
49,920.32 ล้านบาท ในขณะที่ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ช่วง 5 วันทำการที่ผ่านมา (ตั้งแต่วันที่ 29
มิ.ย.-5 ก.ค.50) พบว่า SET Index วันที่ 29 มิ.ย.50 ปิดตลาดที่ระดับ 776.79 จุด เปรียบเทียบ
กับปิดตลาดวันนี้ 5 ก.ค.50 ที่ระดับ 823.93 จุด เพิ่มขึ้น 47.14 จุด หรือ +6.06% แม้ว่าเมื่อวาน
นี้ ดัชนีจะปรับตัวลดลงหลังจากขึ้นมาต่อเนื่อง 3 วันติดกัน โดยปิดที่ระดับ 823.93 จุด ลดลง
1.52 จุด หรือ 0.18% มูลค่าการซื้อขาย 34,899.20 ล้านบาท
ดังนั้นด้วยปัจจัยเหล่านี้ จึงทำให้เม็ดเงินต่างชาติยังไหลเข้าตลาดหุ้นไทย ต่อไป และ
เชื่อว่าในระยะสั้นถึงปานกลางจากนี้ เงินสกุลต่างชาติยังมีความต้องการลงทุนในหุ้นไทยต่อไป
อย่างไรก็ตามแม้เงินนอกจะท่วมตลาดหุ้นอยู่ในตอนนี้ และน่าจะเป็นเรื่องดีต่อการดันให้ดัชนีปรับ
ตัวเพิ่มขึ้น แต่ในส่วนของนักลงทุนในประเทศเองนั้น เมื่อภาวะตลาดดีก็อาจจะสบโอกาสให้ลงทุน
ด้วยเหมือนกัน ทั้งในส่วนของนักลงทุนที่อาจจะเกาะขบวนรถช้าไปหน่อย ยังไม่มีหุ้นในมือ และ
กลุ่มที่ถือลงทุนอยู่ในขณะนี้ ควรจะมีกลยุทธ์ในการลงทุนอย่างไรในภาวะตลาดฯ ปัจจุบัน
eFinanceThai.com จึงได้รวบรวมกลยุทธ์การลงทุนจากโบรกเกอร์หลายสำนัก ในช่วงที่เม็ด
เงินไหลเข้าตลาดหุ้น
* ฟินันซ่า ชี้ กองทุน Asia Emerging Funds ยังหอบเงิน-ให้น้ำหนักการลงทุนไทยดีสุด
บทวิเคราะห์ บล.ฟินันซ่า เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบกระแสเงินลงทุนช่วงสัปดาห์ที่
แล้ว เราพบว่านักลงทุนต่างประเทศเปลี่ยนเป็นการขายสุทธิ 6 ประเทศในเอเชีย 140 ล้าน
เหรียญ จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ซื้อสะสมไป 2.9 พันล้านเหรียญ ซึ่งไม่ผิดจากที่เราคาดไว้ เนื่องจาก
นักลงทุนส่วนใหญ่ชะลอการลงทุนก่อนการประชุม FOMC ในวันพฤหัสที่ผ่านมา อนึ่งเราพบว่า
เกาหลีเป็นประเทศที่ถูกขายสุทธิมากที่สุด 990 ล้านเหรียญ ตามมาด้วย อินเดีย, อินโดนีเซีย และ
ฟิลิปปินส์ที่ขายสุทธิ 67, 24 และ 28 ล้านเหรียญ ตามลำดับ สวนทางกับไต้หวัน และไทยที่ซื้อ
สุทธิ 883 ล้านเหรียญ และ 39 ล้านเหรียญ
ภาพโดยรวมกองทุน Asia Emerging Funds ยังคงลดการลงทุนในเกาหลีใต้อย่าง
ต่อเนื่อง ขณะที่ย้ายเงินลงมาที่ไต้หวัน และยังให้น้ำหนักการลงทุนไทยดีสุดในกลุ่ม TIP ในเวลานี้
กล่าวถึงตลาดไทยหลังจาก Underperform มานาน จนถึงวันที่ 3 ก.ค. ปรากฏว่านักลงทุนต่าง
ประเทศได้เข้าซื้อสะสมประมาณ 1.07 แสนล้านบาท ตั้งแต่ต้นปี หรือเพิ่มขึ้น 167% เมื่อเทียบ
กับช่วงเดียวกันในปีก่อน อย่างไรก็ดีการปรับตัวขึ้นมาของ SET วานนี้ส่งผลให้ตลาดไทยปรับตัว
ขึ้นมา 20.5%YtD และเริ่มจะเข้าใกล้กับ FTSE-ASEN ที่ปรับตัวขึ้นมา25.3%YtD
* ให้เป้าหมายดัชนีระยะสั้น855จุด - Best Case ที่ 944 จุด ในปีนี้
เพราะฉะนั้นหากพิจารณาเปรียบเทียบ SET กับ Performance ของ FTSE-
ASEAN และ MSCI Asia ExJapan จะได้เป้าหมายระยะสั้นที่ 855 จุด ขณะที่ เป้าหมาย
Best Case จะอยู่ที่ 944 จุด ในปีนี้
สำหรับเป้าหมายดัชนีปีหน้าบนสมมุติฐานการประเมินมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน EPS
Growth ที่ 5% จะได้ SET เป้าหมายที่ 873 จุด บนสมมุติฐาน PER12 เท่า และ 1092 จุด
บนสมมุติฐาน PER 15 เท่า
ดังนั้นสิ่งที่นักลงทุนต้องระวังต่อไปว่าดัชนีจะถึงเป้าหมายหรือไม่อยู่ที่ 1)ปัจจัยการ
เมืองจะกลับมากดดันอีกหรือไม่ 2) อัตราเงินเฟ้อที่อาจปรับสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลมายังอัตราดอกเบี้ย
FED และการปรับพอร์ตการลงทุนตามมา และ 3) เมื่อแรงซื้อหยุดนักลงทุนต้องหยุดการเก็ง
กำไร และเริ่มมองหาทางขายทำกำไรในระยะสั้น
*พัฒนสิน แนะ คนมีหุ้นรอขายตอนดัชนีขึ้นถึง 830-840 จุด
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวว่า นักลง
ทุนที่ยังไม่ได้เข้าไปซื้อหุ้นหรือยังไม่มีหุ้นในช่วงนี้ ควรที่จะรอดูผลประกอบการของบริษัทจด
ทะเบียน (บจ.) ก่อน เพราะจะได้พิจารณาถึงปัจจัยพื้นฐานรวมทั้งผลงานที่ผ่านมาว่าดีพอที่จะเข้า
ไปลงทุนได้หรือไม่ ส่วนนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่แล้วควรถือรอเพื่อขายทำกำไร เมื่อ SET Index ปรับ
เพิ่มขึ้นแตะแนวต้านสำคัญที่ 830 จุด และแนวต้านถัดไปที่ 840 จุด
' ดัชนีฯ ก็มีโอกาสที่จะปรับเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่แล้วก็ควรถือรอขายทำ
กำไร เมื่อดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้นถึง 830 จุด และ 840 จุด ส่วนเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติยังบอก
ไม่ได้ว่าจะไหลเข้ามานานไหมหรืออันตรายหรือยัง เพราะจะต้องรอข้อมูลจากทางการการก่อน ซึ่ง
ตอนนี้แบงก์ชาติกับตลาดฯ ก็กำลังตรวจสอบอยู่ ' นายชัย กล่าว
*เกียรตินาคิน เตือน นลท.ยังไม่หุ้นอย่าเพิ่งเข้า รอซื้อที่แนวรับ 815-810 จุด
นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรติ
นาคิน กล่าวว่า นักลงทุนที่ไม่มีหุ้นยังไม่เหมาะที่จะเข้าไปลงทุนในช่วงนี้ เพราะในรอบสัปดาห์ที่
ผ่านมา SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 50 จุด ซึ่งถือว่าสูงมากแล้ว ดังนั้นควรรอซื้อเมื่อ SET
Index ปรับลดลงมาที่แนวรับ 815 จุด และแนวรับถัดไปที่ 810 ดีกว่า
ส่วนนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่แล้ว โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ หลัก
ทรัพย์ และสื่อสาร แนะนำให้ถือเพื่อรอขายทำกำไร เมื่อดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้นทดสอบแนวต้านที่
830 จุด แต่ถ้าหากผ่านขึ้นไปได้จะมีแนวต้านถัดไปอยู่ที่ 840 จุด
' ไม่สามารถประเมินได้ว่าเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นระยะสั้นหรือ
ระยะยาว รวมทั้งเริ่มอันตรายหรือไม่ เนื่องจากคาดเดายากนอกจากนี้ยังต้องดูปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ
ประกอบด้วย' นางวิริยา กล่าว
* ดีบีเอส แนะรอซื้อหุ้นแบงก์-สื่อสาร-ชิ้นส่วนฯ-อสังหาฯ
นางสาวอาภากรณ์ แสวงพรรค รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิ
คเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวถึงกรณีเม็ดเงินต่างประเทศที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์
ไทยต่อเนื่อง ว่า เม็ดเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนดังกล่าวน่าจะมีทั้งการลงทุนระยะสั้น และระยะยาว
โดยที่ผ่านมา ดีบีเอสฯได้พูดคุยกับทางผู้จัดการกองทุนต่างประเทศ ก็พบว่านักลงทุนต่างประเทศ
ส่วนใหญ่ยังสนใจเข้าลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยอยู่มาก
ทั้งนี้ ประเมินว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยจากนี้น่าจะปรับขึ้นต่อ ซึ่งจากดัชนีฯที่ยืน
เหนือ 800 จุดได้ ก็เป็นสัญญาณสะท้อนให้เห็นว่าดัชนีฯยังเป็นขาขึ้น โดยเฉพาะหากสถานการณ์
การเมืองชัดเจน และมีการเลือกตั้งแล้วเสร็จก็น่าทำให้ภาพของเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมดี
ขึ้น และหนุนให้ความมั่นใจนักลงทุนเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดย บล.ดีบีเอสฯ คาดการณ์อัตราการเติบโต
เศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีหน้าโต 5.1% จาก 4.4% ปีนี้
สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นในพอร์ต แนะนำให้รอซื้อเมื่อราคาหุ้นปรับลดลง ในหุ้นกลุ่ม
ธนาคารพาณิชย์ สื่อสาร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และอสังหาริมทรัพย์ แนะนำ BBL,
KBANK,KTB,MAJOR,CCET,DELTA,QH และ PS ขณะที่นักลงทุนที่มีหุ้นอยู่ในพอร์ตแล้ว
แนะนำให้ทำกำไรเล่นรอบได้
*ฟาร์อีสท์ แนะ นลท.ที่มีหุ้นในมือ ควรปรับพอร์ตลงทุนบ้าง หากมีกำไร
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า
เม็ดเงินจากต่างชาติที่เข้ามาไหลเข้ามาในช่วงนี้ ไม่ใช่การเข้ามาระยะสั้น เพื่อเก็งกำไรอย่างแน่
นอน เนื่องจากเมื่อพิจารณาจากการซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติที่มีเข้ามาในขณะนี้ กับช่วงเดียว
กันของปีที่แล้ว ก็ถือว่าอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ประกอบกับการที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคประเทศอื่น
ดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมากเกินไป จนมีความเสี่ยงมากขึ้น จึงทำให้เงินทุนจากต่างชาตินั้นไหล
เข้ามาในตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงตลาดหุ้นไทยก็ได้รับอานิสงส์ด้วย
' จำนวนเงินที่เข้ามานั้น ยังไม่ถือว่ามากเกินไป เพราะค่า P/E ของตลาดหุ้นไทยยังค่อน
ข้างต่อเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นที่อื่น และการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยมีการปรับขึ้เพียง 26%
ขณะที่ประเทศอื่นมีการปรับขึ้นกันกว่า 100% แล้ว ' นายวีระชัย กล่าว
กลยุทธ์การลงทุน สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้น โดยนักลงทุนระยะสั้น ให้ซื้อ หุ้นกลุ่ม
หลักทรัพย์ กลุ่มที่อยู่อาศัย รวมถึงหุ้นกลุ่มที่น่าจะได้รับประโยชน์จากการลงทุนของรัฐบาล และ
การกระตุ้นภาคเอกชน อาทิ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มธนาคารพาณิชย์
ส่วนนักลงทุนระยะยาว แนะนำให้รอจังหวะ ซื้อลงทุน ในหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่ม
ธนาคาพาณิชย์ และนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่ในมือ แนะนำให้ปรับพอร์ตการลงทุนบ้าง เมื่อมีกำไรอยู่ใน
ระดับที่น่าพอใจแล้ว โดยประเมินเป้าหมายของดัชนีฯในปีนี้น่าจะอยู่ที่ 944 จุด และให้เป้าหมาย
ระยะสั้นไว้ที่ที่ 855 จุด
*SCIBS ใช้จังหวะหุ้นลงเก็บหุ้นบิ๊กแคป
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย กล่าว
ว่า เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติที่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ ไม่ใช่เม็ดเงินที่เข้ามาระยะสั้น
อย่างแน่นอน เนื่องจากเมื่อพิจารณาถึงกลุ่มหลักทรัพย์ที่เข้ามาลงทุนแล้ว จะเห็นได้ว่าไม่ใช่เป็น
การเข้ามาเก็งกำไร ประกอบกับเม็ดเงินที่เข้ามายังคงมีแนวโน้มไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และได้
ส่งผลกระทบไปถึงค่าเงินบาท ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นด้วย ดังนั้นจึงเชื่อว่าเม็ดเงินที่เข้ามาใน
ครั้งนี้เป็นเม็ดเงินจริง
ส่วนการที่ดัชนีฯปรับตัวลดลงวานนี้ เป็นเพียงการพักฐานเพื่อขึ้นต่อ และยังขาดตลาด
หุ้นต่างประเทศที่ใช้อ้างอิง จึงทำให้แผ่วแรงลงบ้าง ดังนั้นจึงแนะนำให้ใช้จังหวะนี้เข้าลงทุน ซื้อหุ้น
มาร์เก็ตแคปใหญ่ ซึ่งปรับตัวลดลงมาในวันนี้ อาทิ RRC-BBL-LH-ADVANC ส่วนนักลงทุนที่มี
หุ้นอยู่ก็ให้ ถือต่อ
' ดัชนีลงแค่พักฐาน ไม่ต้องตกใจดัชนียังสามารถไปได้ต่อ เพราะเม็ดเงินต่างชาติก็ยัง
คงไหลเข้ามาอยู่ และค่า P/E ของตลาดหุ้นไทยต่ำกว่าที่อื่น ดังนั้นจึงเชื่อว่ายังคงเป็นตลาดหุ้นที่ได้
รับความสนใจมากกว่าที่อื่น' นางสาวมยุรี กล่าว
ทั้งนี้ได้ตั้งเป้าหมายการปรับขึ้นของดัชนี น่าจะอยุ่ที่ระดับ 936 จุด ซึ่งได้มีการปรับเพิ่ม
ขึ้นจากเดิมที่คาดว่าสิ้นปีนี้ SET Index น่าจะอยู่ที่ระดับ 830 จุด
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
ได้ยินมาว่า เม็ดเงินต่างชาติ 1 แสนล้าน ทำให้ตลาดหุ้นไทย
โพสต์ที่ 96
จริงๆแล้ว ถ้าหุ้นขึ้นไป 950 จริง ก็เป็นช่วงที่น่ากลัว กว่าตอนนี้อีก สำหรับคนเล่นหุ้นพื้นฐาน ไ่ม่สนใจดัชนี ก็ไม่ว่ากัน
อย่างไรก็ตาม ตอนดัชนีลงสัก 150-200 จุด ผมก็เห็นหุ้นพื้นฐานดี ลงตามกันเป็นแถบเหมือนกัน
อืม ก็แล้วแต่วิธีลงทุนของแต่ละคน
อย่างไรก็ตาม ตอนดัชนีลงสัก 150-200 จุด ผมก็เห็นหุ้นพื้นฐานดี ลงตามกันเป็นแถบเหมือนกัน
อืม ก็แล้วแต่วิธีลงทุนของแต่ละคน
-
- Verified User
- โพสต์: 1301
- ผู้ติดตาม: 0
ได้ยินมาว่า เม็ดเงินต่างชาติ 1 แสนล้าน ทำให้ตลาดหุ้นไทย
โพสต์ที่ 100
เมื่อแท็กซี่พูดเรื่องหุ้น
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
ได้ยินมาว่า เม็ดเงินต่างชาติ 1 แสนล้าน ทำให้ตลาดหุ้นไทย
โพสต์ที่ 105
ดูๆไป ปัญหาค่าเงินบาท เกิดจาก บ้านเราไม่มีตลาดเงิน
ทำให้ เวลาหุ้นถูก ฝรั่งขายดอลล่า ซื้อ บาท ทั้งใน และต่างประเทศ
ในต่างประเทศ ค่าเงินบาทจะแข็งกว่าบ้านเรา เพราะหลีกเลี่ยงมาตระการสำรอง 30 % และในต่างประเทศ เงินบาทมีน้อยกว่าด้วย ทำให้ ความต้องการเงินบาท สูง เกิดการชี้นำว่าเงินบาทจะแข็งขึ้นอีก
เท่าที่อ่านๆ ต่อนนี้ ต่างประเทศ 32-33 ในประเทศ 34-35
กลายเป็นเงินสองระบบ เหมือน สมัยก่อนไปจีน มีเงิน รัฐบาล กับเงินท้องถิ่น
ชาวจีน อยากได้ เงินดอลล่า เงินบาท เงินอะไรก็ได้ แต่ถ้าจะให้ดี เอาเงินรัฐบาล ส่วนเงินท้องถิ่นไม่ค่อยมีค่าเท่าไร แปลกดี
มา ณ เวลา นี้ รัฐบาลเริ่มผ่อนคลาย คือ การเอาเงินไปลงทุนเมืองนอก แต่ก่อนมีการจำกัด อะไรก็จำกัด สร้างกฎระเบียบขึ้นมา
พอเงินบาทแข็ง เริ่มเห็นปัญหา ว่า หากมีแต่เงินเข้าไม่มีเงินออก รัฐลบาลก็ต้องมานั่งแทรกแทรงค่าเงิน เป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เพราะแทรกแทราง ค่าเงินที่กำลังแข็ง โดยการ ซื้อดอลล่าให้บาทอ่อน
ในขณะที่ บาทกำลังแข็ง ยิ่งซื้อดอลล่า แล้วทำสัญญา ขายคืน ก็เท่ากับซื้อดอลล่า ตอนนี้ ไปขายคืน ตอนดอลล่าอ่อน อืม ซื้อแพง ขายถูก ขาดทุนประจำ
แล้วค่าเงินบาทก็แข็งเหมือนเดิม
รัฐบาลก็เลยเปิดให้เอกชนขนเงินไปลงทุนต่างประเทศ โดยไม่จำกัดวงเงิน
ลองเดาซิ ถ้าคุณมีเงินตอนนี้ 100 ล้าน 1000 ล้าน คุณอยากขนเงินออกไปหรือไม่
คนมี 1000 ล้าน สัก 1000 คน ก็ 1 ล้านๆนะ ยิ่งกว่าแสนล้านอีก ยิ่งกว่าสี่แสนล้านบาที่ฝรั่งขนมาลงทุนในช่วง 3-4ปี
ลองคิดดู ว่าคนเหล่านี้จะคิดอะไร ตอนนี้เงินบาทมีแนวโน้มแข็ง ก็มาชวนไปลงทุนต่างประเทศ ตอนนี้หุ้นขึ้น ก็มาชวนไปลงทุนต่างประเทศ ใครจะไป
เผลอๆ ผสมโรงกับต่างประเทศ กู้เงินนอกเป็นดอลล่า แล้วซื้อบาท แล้วเอามาซื้อหุ้นอีกต่างหาก เดานะ
พอค่าเงินแข็งจาก 35 ไป 28
อะไรจะเกิดขึ้น รัฐบาลก็นั่งไม่ติดแล้ว ธุรกิจส่งออกเจ๊งเป็นแถว ตอนนั้น ptt ที่นำเข้าน้ำมัน ก็รวย
หุ้นสูงขึ้นมาก กิจการที่ได้ประโยชน์จากบาทแข็ง ประกาศผลประกอบการ Q2 Q3 Q4 ออกมาดีอย่างต่อเนื่อง
ดัชนีไป 1000 จุด
แล้วฝรั่งก็ขาย แต่กองทุนกลับซื้อ รายย่อยซื้อตาม เพราะมองว่า ฝรั่งขายดี แล้ว บาทจะได้ไม่แข็ง
ฝรั่งขายๆ หุ้นก็อาจจะไปต่อ ฝรั่งก็พอใจแล้ว ขายแล้วไปแลกดอลล่า ตอนเข้า 1 ดอลล่าแลกได้ 35 ตอนออก ใช้เงินแค่ 28 แลกกลับได้กำไร 1 ดอลล่า โห กำไรส่วนต่าง 7 บาท
ผมก็เลยคิดว่า สถานการณ์บาทแข็ง น่าจะแข็งไปอีกนาน และแข็งไปเรื่อยๆ เพราะ ยิ่งแข็ง ยิ่งมีโอกาสได้กำไรมาก เนื่องจากผู้เล่น มีแค่ ฝรั่ง กับ รัฐบาล
หากรัฐบาลเปิดตลาด เงิน ก็มีหลายคนที่เห็นว่า เงินดอลล่า เทียบเงินยูโร กำลังอ่อนตัว
ก็อยากจะขายบาท ซื้อ เงินยูโร หรือไม่ก็ซื้อเงิน แคนาดา เป็นต้น
อย่างน้อย ทั้งประเทศ ก็ยังเอาเงินบาท ที่มีอยู่ออกไปหากำไรระยะสั้น จากการเก็งกำไร ซึ่งก็ทำให้ รัฐบาล สบายเพราะมีพวกมาช่วย รักษาเสถียรภาพเงินบาท โดยไม่ต้องเรียกร้องให้รักชาติ เสียสละ
ทำให้ เวลาหุ้นถูก ฝรั่งขายดอลล่า ซื้อ บาท ทั้งใน และต่างประเทศ
ในต่างประเทศ ค่าเงินบาทจะแข็งกว่าบ้านเรา เพราะหลีกเลี่ยงมาตระการสำรอง 30 % และในต่างประเทศ เงินบาทมีน้อยกว่าด้วย ทำให้ ความต้องการเงินบาท สูง เกิดการชี้นำว่าเงินบาทจะแข็งขึ้นอีก
เท่าที่อ่านๆ ต่อนนี้ ต่างประเทศ 32-33 ในประเทศ 34-35
กลายเป็นเงินสองระบบ เหมือน สมัยก่อนไปจีน มีเงิน รัฐบาล กับเงินท้องถิ่น
ชาวจีน อยากได้ เงินดอลล่า เงินบาท เงินอะไรก็ได้ แต่ถ้าจะให้ดี เอาเงินรัฐบาล ส่วนเงินท้องถิ่นไม่ค่อยมีค่าเท่าไร แปลกดี
มา ณ เวลา นี้ รัฐบาลเริ่มผ่อนคลาย คือ การเอาเงินไปลงทุนเมืองนอก แต่ก่อนมีการจำกัด อะไรก็จำกัด สร้างกฎระเบียบขึ้นมา
พอเงินบาทแข็ง เริ่มเห็นปัญหา ว่า หากมีแต่เงินเข้าไม่มีเงินออก รัฐลบาลก็ต้องมานั่งแทรกแทรงค่าเงิน เป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เพราะแทรกแทราง ค่าเงินที่กำลังแข็ง โดยการ ซื้อดอลล่าให้บาทอ่อน
ในขณะที่ บาทกำลังแข็ง ยิ่งซื้อดอลล่า แล้วทำสัญญา ขายคืน ก็เท่ากับซื้อดอลล่า ตอนนี้ ไปขายคืน ตอนดอลล่าอ่อน อืม ซื้อแพง ขายถูก ขาดทุนประจำ
แล้วค่าเงินบาทก็แข็งเหมือนเดิม
รัฐบาลก็เลยเปิดให้เอกชนขนเงินไปลงทุนต่างประเทศ โดยไม่จำกัดวงเงิน
ลองเดาซิ ถ้าคุณมีเงินตอนนี้ 100 ล้าน 1000 ล้าน คุณอยากขนเงินออกไปหรือไม่
คนมี 1000 ล้าน สัก 1000 คน ก็ 1 ล้านๆนะ ยิ่งกว่าแสนล้านอีก ยิ่งกว่าสี่แสนล้านบาที่ฝรั่งขนมาลงทุนในช่วง 3-4ปี
ลองคิดดู ว่าคนเหล่านี้จะคิดอะไร ตอนนี้เงินบาทมีแนวโน้มแข็ง ก็มาชวนไปลงทุนต่างประเทศ ตอนนี้หุ้นขึ้น ก็มาชวนไปลงทุนต่างประเทศ ใครจะไป
เผลอๆ ผสมโรงกับต่างประเทศ กู้เงินนอกเป็นดอลล่า แล้วซื้อบาท แล้วเอามาซื้อหุ้นอีกต่างหาก เดานะ
พอค่าเงินแข็งจาก 35 ไป 28
อะไรจะเกิดขึ้น รัฐบาลก็นั่งไม่ติดแล้ว ธุรกิจส่งออกเจ๊งเป็นแถว ตอนนั้น ptt ที่นำเข้าน้ำมัน ก็รวย
หุ้นสูงขึ้นมาก กิจการที่ได้ประโยชน์จากบาทแข็ง ประกาศผลประกอบการ Q2 Q3 Q4 ออกมาดีอย่างต่อเนื่อง
ดัชนีไป 1000 จุด
แล้วฝรั่งก็ขาย แต่กองทุนกลับซื้อ รายย่อยซื้อตาม เพราะมองว่า ฝรั่งขายดี แล้ว บาทจะได้ไม่แข็ง
ฝรั่งขายๆ หุ้นก็อาจจะไปต่อ ฝรั่งก็พอใจแล้ว ขายแล้วไปแลกดอลล่า ตอนเข้า 1 ดอลล่าแลกได้ 35 ตอนออก ใช้เงินแค่ 28 แลกกลับได้กำไร 1 ดอลล่า โห กำไรส่วนต่าง 7 บาท
ผมก็เลยคิดว่า สถานการณ์บาทแข็ง น่าจะแข็งไปอีกนาน และแข็งไปเรื่อยๆ เพราะ ยิ่งแข็ง ยิ่งมีโอกาสได้กำไรมาก เนื่องจากผู้เล่น มีแค่ ฝรั่ง กับ รัฐบาล
หากรัฐบาลเปิดตลาด เงิน ก็มีหลายคนที่เห็นว่า เงินดอลล่า เทียบเงินยูโร กำลังอ่อนตัว
ก็อยากจะขายบาท ซื้อ เงินยูโร หรือไม่ก็ซื้อเงิน แคนาดา เป็นต้น
อย่างน้อย ทั้งประเทศ ก็ยังเอาเงินบาท ที่มีอยู่ออกไปหากำไรระยะสั้น จากการเก็งกำไร ซึ่งก็ทำให้ รัฐบาล สบายเพราะมีพวกมาช่วย รักษาเสถียรภาพเงินบาท โดยไม่ต้องเรียกร้องให้รักชาติ เสียสละ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
ได้ยินมาว่า เม็ดเงินต่างชาติ 1 แสนล้าน ทำให้ตลาดหุ้นไทย
โพสต์ที่ 106
การไม่เปิดตลาดเงิน การเอาเงินไปลงทุนเมืองนอกเป็นเรื่องยุ่งยาก ใครจะอยากทำในขณะที่บาทกำลังแข็งขึ้นทุกวัน และตลาดหุ้นขึ้น
หากเปิดตลาดเงิน อะไรจะเกิดขึ้น ตลาดเงินก็เหมือนตลาดหุ้น เราเทรดออนไลน์ นั่งซื้อขาย มีโบรกเกอร์ มีมาร์เก็ตติ้ง ทุกอย่างเหมือนตลาดหุ้น
เพียงแต่เราติดตามข่าว แล้วเราจะขายเงินสกุลอะไร แล้วซื้อเงินสกุลอะไร แค่นั้นเอง
แต่แนะนำว่าอย่าไปเล่นเลย เห็นสมัยก่อนเพื่อนๆเจ๊งมาเยอะแล้ว
การไม่เปิดตลาดเงิน ทำให้ การแก้ปัญหาทุกอย่าง กลายเป็นส่งเสริมให้เกิดการเก็งกำไรค่าเงิน
เช่น การเปิดให้เอกชนไปลงทุนต่างประเทศ ณ เวลานี้
เป็นดาบสองคม เนื่องจาก เอกชน จะไม่ไปลง ณ เวลานี้ เนื่องจากบาทกำลังแข็ง
แต่กฎข้อนี้ยังคงอยู่
พอบาทแข็งมากๆ เช่น 28 ต่างชาติขายหุ้น ซื้อดอลล่า บาทก็จะอ่อน
ผลคือ ก่อนที่ต่างชาติจะขายหุ้น คนไทย บางคนขายก่อน แล้วก็เอาเงินออกไปฝาก ต่างประเทศ เพราะคิดว่า ค่าเงินบาทจะต้องอ่อน
เป็นการผสมโรงทำให้บาทอ่อนเกินจริง
ถ้าค่าเงินควรอยู่ที่ 33 แล้ว เราน้ำเข้าส่งออกแล้วสมดุล
ถ้าค่าเงิน 28 แล้วควรอ่อนไป ที่ 33 หากมีการผสมโรงนำเงินออกไปมากๆ เพื่อเก็งกำไรค่าเงิน บาทก็จะอ่อนเกินไปอีก อาจจะอ่อนไปที่ 37
แล้วหุ้นจะเป็นอย่างไร
ผมอ่านๆ แล้ว รู้สึกว่า รัฐบาลไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุเลย ในเรื่องค่าเงินบาท
จริงๆแล้ว ไม่ต้องไปตั้งกฎ ตั้งกำแพงอะไรมากมาย แค่ทำให้เสรีจริงๆ เพราะเราเริ่มเสรีมาแล้ว ปล่อยให้เงินนอกเข้าออกอิสระ
แต่ก่อนหน้านี้ เงินไทย จะไปนอก เรากั้นไว้ จะไปต้องมีการกำหนด เท่านั้นเท่านี้
ผลก็เป็นแบบนี้แหละ
ใครรู้จริงก็ช่วยอธิบายด้วย ผมคิดไปเรื่อยๆ ตามข่าว
หากเปิดตลาดเงิน อะไรจะเกิดขึ้น ตลาดเงินก็เหมือนตลาดหุ้น เราเทรดออนไลน์ นั่งซื้อขาย มีโบรกเกอร์ มีมาร์เก็ตติ้ง ทุกอย่างเหมือนตลาดหุ้น
เพียงแต่เราติดตามข่าว แล้วเราจะขายเงินสกุลอะไร แล้วซื้อเงินสกุลอะไร แค่นั้นเอง
แต่แนะนำว่าอย่าไปเล่นเลย เห็นสมัยก่อนเพื่อนๆเจ๊งมาเยอะแล้ว
การไม่เปิดตลาดเงิน ทำให้ การแก้ปัญหาทุกอย่าง กลายเป็นส่งเสริมให้เกิดการเก็งกำไรค่าเงิน
เช่น การเปิดให้เอกชนไปลงทุนต่างประเทศ ณ เวลานี้
เป็นดาบสองคม เนื่องจาก เอกชน จะไม่ไปลง ณ เวลานี้ เนื่องจากบาทกำลังแข็ง
แต่กฎข้อนี้ยังคงอยู่
พอบาทแข็งมากๆ เช่น 28 ต่างชาติขายหุ้น ซื้อดอลล่า บาทก็จะอ่อน
ผลคือ ก่อนที่ต่างชาติจะขายหุ้น คนไทย บางคนขายก่อน แล้วก็เอาเงินออกไปฝาก ต่างประเทศ เพราะคิดว่า ค่าเงินบาทจะต้องอ่อน
เป็นการผสมโรงทำให้บาทอ่อนเกินจริง
ถ้าค่าเงินควรอยู่ที่ 33 แล้ว เราน้ำเข้าส่งออกแล้วสมดุล
ถ้าค่าเงิน 28 แล้วควรอ่อนไป ที่ 33 หากมีการผสมโรงนำเงินออกไปมากๆ เพื่อเก็งกำไรค่าเงิน บาทก็จะอ่อนเกินไปอีก อาจจะอ่อนไปที่ 37
แล้วหุ้นจะเป็นอย่างไร
ผมอ่านๆ แล้ว รู้สึกว่า รัฐบาลไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุเลย ในเรื่องค่าเงินบาท
จริงๆแล้ว ไม่ต้องไปตั้งกฎ ตั้งกำแพงอะไรมากมาย แค่ทำให้เสรีจริงๆ เพราะเราเริ่มเสรีมาแล้ว ปล่อยให้เงินนอกเข้าออกอิสระ
แต่ก่อนหน้านี้ เงินไทย จะไปนอก เรากั้นไว้ จะไปต้องมีการกำหนด เท่านั้นเท่านี้
ผลก็เป็นแบบนี้แหละ
ใครรู้จริงก็ช่วยอธิบายด้วย ผมคิดไปเรื่อยๆ ตามข่าว
- Akajon
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 532
- ผู้ติดตาม: 0
ได้ยินมาว่า เม็ดเงินต่างชาติ 1 แสนล้าน ทำให้ตลาดหุ้นไทย
โพสต์ที่ 107
ธุรกิจใหญ่ๆ ตอนนี้เร่งลงทุนในต่างประเทศ ขยายกำลังการผลิตในต่างประเทศส่วนหนึ่ง ก็ช่วยประคองค่าเงินบาทได้ดีระดับหนึ่ง
เราต้องเร่งใช้จ่าย แม้จะขาดทุนเงินบาท เพราะค่าเงินต่ำกว่าที่ควรจะเป็นเยอะพอสมควร แต่ก็ควรทำ เพราะถือเป็นการช่วยบรรเทาปัญหาค่าเงินทางอ้อม
เราต้องเร่งใช้จ่าย แม้จะขาดทุนเงินบาท เพราะค่าเงินต่ำกว่าที่ควรจะเป็นเยอะพอสมควร แต่ก็ควรทำ เพราะถือเป็นการช่วยบรรเทาปัญหาค่าเงินทางอ้อม
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
ได้ยินมาว่า เม็ดเงินต่างชาติ 1 แสนล้าน ทำให้ตลาดหุ้นไทย
โพสต์ที่ 110
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ธุรกิจใหญ่ๆ ตอนนี้เร่งลงทุนในต่างประเทศ ขยายกำลังการผลิตในต่างประเทศส่วนหนึ่ง ก็ช่วยประคองค่าเงินบาทได้ดีระดับหนึ่ง
เราต้องเร่งใช้จ่าย แม้จะขาดทุนเงินบาท เพราะค่าเงินต่ำกว่าที่ควรจะเป็นเยอะพอสมควร แต่ก็ควรทำ เพราะถือเป็นการช่วยบรรเทาปัญหาค่าเงินทางอ้อม
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
ได้ยินมาว่า เม็ดเงินต่างชาติ 1 แสนล้าน ทำให้ตลาดหุ้นไทย
โพสต์ที่ 111
คุณ lek ครับ ผมคิดว่าจริงๆปัญหาอยู่ที่ระบบ
ทำไมเมืองไทยมีตลาดหุ้น และมีการต่อยอด จนกระทั่งมีตลาดอนุพันธ์ ตลาดตราสารหนี้
แต่เราไม่มีตลาดเงิน
แล้วทำไมเราต้องมีตลาดเงิน
เป็นเรื่องที่ เมืองไทยต้องคิด ณ เวลานี้ ครับ ไม่งั้นก็แย่
โดนทุบอยู่เรื่อย ไม่เข็ดซักที
ทำไมเมืองไทยมีตลาดหุ้น และมีการต่อยอด จนกระทั่งมีตลาดอนุพันธ์ ตลาดตราสารหนี้
แต่เราไม่มีตลาดเงิน
แล้วทำไมเราต้องมีตลาดเงิน
เป็นเรื่องที่ เมืองไทยต้องคิด ณ เวลานี้ ครับ ไม่งั้นก็แย่
โดนทุบอยู่เรื่อย ไม่เข็ดซักที
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
ได้ยินมาว่า เม็ดเงินต่างชาติ 1 แสนล้าน ทำให้ตลาดหุ้นไทย
โพสต์ที่ 114
ขอบคุณ เว็บไซด์ tvi มากครับ
ผมสรุปได้แล้ว ว่านับจากนี้ ไป ผมเล่นหุ้น หรือลงทุนหุ้นเป็นแล้ว
อืม กว่าจะรู้รอบ รอบรู้ นี่นานจริงๆ
บายทุกคน
อืม จะลบ ชื่อ Jeng ทิ้งไปก็ได้ นะ อนุญาติ
( ว่าแล้วเราพิมพ์ผิดประจำ แต่ก่อนก็ผิดครับ แต่มีรหัส mod แต่เดี่ยวนี้ คืนเขาไป ก็เลยต้องแก้เอง คริๆ บาย )
ผมสรุปได้แล้ว ว่านับจากนี้ ไป ผมเล่นหุ้น หรือลงทุนหุ้นเป็นแล้ว
อืม กว่าจะรู้รอบ รอบรู้ นี่นานจริงๆ
บายทุกคน
อืม จะลบ ชื่อ Jeng ทิ้งไปก็ได้ นะ อนุญาติ
( ว่าแล้วเราพิมพ์ผิดประจำ แต่ก่อนก็ผิดครับ แต่มีรหัส mod แต่เดี่ยวนี้ คืนเขาไป ก็เลยต้องแก้เอง คริๆ บาย )
- ครรชิต ไพศาล
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4637
- ผู้ติดตาม: 1
ได้ยินมาว่า เม็ดเงินต่างชาติ 1 แสนล้าน ทำให้ตลาดหุ้นไทย
โพสต์ที่ 115
อ้าว ทะเลาะกับใครเหรอ ถึง จะ บายทุกคน
ความสุขอื่น ยิ่งกว่าความสงบใจไม่มี นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ
หัดเล่น Facebook กะเขาบ้างแล้วนะครับ ใช้ชื่อ Kanchit Paisan ครับ
Facebook เพจ Eps16year Settrade Set ตลาดหลักทรัพย์ งบดุล ปันผล อัตราส่วนการเงิน กราฟ
Google เพจ kanchitpaisan
Google+ KANCHIT PAISAN
หัดเล่น Facebook กะเขาบ้างแล้วนะครับ ใช้ชื่อ Kanchit Paisan ครับ
Facebook เพจ Eps16year Settrade Set ตลาดหลักทรัพย์ งบดุล ปันผล อัตราส่วนการเงิน กราฟ
Google เพจ kanchitpaisan
Google+ KANCHIT PAISAN
- Golden Stock
- Verified User
- โพสต์: 615
- ผู้ติดตาม: 0
ได้ยินมาว่า เม็ดเงินต่างชาติ 1 แสนล้าน ทำให้ตลาดหุ้นไทย
โพสต์ที่ 118
ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนในทางตรงกันข้าม
หากต่างชาติเอาเงินออกจากตลาดหุ้นไปหนึ่งแสนล้าน
จะทำให้มูลค่าตลาดหุ้นไทยลดลงเท่าไหร่ดีครับ
นึกถึงข้อนี้แล้วเริ่มกลัวขึ้นมาแล้วซิครับ
ตั้งแต่ลงทุนมาไม่เคยหวั่นไหวแบบนี้มาก่อนเลยครับ
อยากรู้จักว่าในสถานการณ์แบบนี้ รุ่นเดอะอย่างคุณลุงขวด คุณปรัชญา
คุณมนตรี คุณครรชิต และคนอื่นๆ มองสถานการณ์ตอนนี้อย่างไร
และตัดสินใจกับหุ้นที่ตัวเองถือย่างไร
หากต่างชาติเอาเงินออกจากตลาดหุ้นไปหนึ่งแสนล้าน
จะทำให้มูลค่าตลาดหุ้นไทยลดลงเท่าไหร่ดีครับ
นึกถึงข้อนี้แล้วเริ่มกลัวขึ้นมาแล้วซิครับ
ตั้งแต่ลงทุนมาไม่เคยหวั่นไหวแบบนี้มาก่อนเลยครับ
อยากรู้จักว่าในสถานการณ์แบบนี้ รุ่นเดอะอย่างคุณลุงขวด คุณปรัชญา
คุณมนตรี คุณครรชิต และคนอื่นๆ มองสถานการณ์ตอนนี้อย่างไร
และตัดสินใจกับหุ้นที่ตัวเองถือย่างไร