world economic news

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news04/08/07

โพสต์ที่ 31

โพสต์

'ยูนิลีเวอร์'ปลดพนักงาน2หมื่นทั่วโลก

โดย ผู้จัดการออนไลน์
4 สิงหาคม 2550 03:06 น.
      เอเจนซี - ยูนิลีเวอร์ กลุ่มบริษัทอาหารและสินค้าผู้บริโภคใหญ่อันดับ 3 ของโลก เมื่อวันพฤหัสบดี(2)เปิดเผยแผนการตัดลดพนักงานทั่วโลก 20,000 ตำแหน่ง อีกทั้งจะขายทิ้งธุรกิจที่เติบโตช้าด้วย ในความพยายามที่จะเร่งการฟื้นฐานะของตนเอง และรับมือกับต้นทุนด้านอาหารซึ่งกำลังพุ่งสูงขึ้น
     
       หลังการแถลงของกลุ่มบริษัทสัญชาติอังกฤษ/ดัตช์แห่งนี้ ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ต่างๆ กว่า 400 แบรนด์ อาทิ สบู่โดฟ, ซุปคนอร์, ชาลิปตัน, และแชมพูซันซิลค์ ราคาหุ้นยูนิลีเวอร์ก็พุ่งพรวดไปถึง 8.4% เนื่องจากนักลงทุนหวังว่า ในที่สุดแล้วบริษัทก็กำลังจะกลับผงาดขึ้นมาได้ภายหลังมีผลประกอบการต่ำกว่าที่ควรจะเป็นอยู่หลายปี
     
       ยูนิลีเวอร์แจ้งว่า การปรับโครงสร้างคราวนี้จะกระทบพนักงานราว 1 ใน 10 ของลูกจ้างพนักงานทั่วโลก 180,000 คนของบริษัท การตัดลดจะกระทำในยุโรปเป็นส่วนใหญ่ และจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 4 ปี      
       ในวันเดียวกันนี้ บริษัทยังรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ซึ่งปรากฏว่ายอดขายเพิ่มขึ้น 5.8% ดีกว่าคำพยากรณ์ของพวกนักวิเคราะห์ที่ให้กันไว้ 4.2% ถึง 5.5% ยูนิลีเวอร์บอกด้วยว่า ยอดขายตลอดทั้งปีที่ได้ตั้งเป้าไว้ว่าจะขยายระหว่าง 3 - 5% นั้น ตอนนี้คิดว่าคงจะชิดไปทางข้างสูง
     
       ยูนิลีเวอร์กำลังฟื้นตัวดีขึ้นเรื่อยๆ จากจุดที่เคยออกประกาศเตือนเรื่องกำไรซึ่งสร้างความตื่นตระหนกแก่นักลงทุนในปี 2004 กระนั้นอัตราเติบโตในยอดขายของบริษัท โดยทั่วไปแล้วก็ยังคงล้าหลังคู่แข่งสำคัญๆ อย่างเช่น ยังถูกทิ้งห่างจากเนสต์เล่แห่งสวิตเซอร์แลนด์ในเรื่องสินค้าอาหาร และ สู้ พร็อกเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (พีแอนด์จี) แห่งสหรัฐฯไม่ได้ในเรื่องสินค้าผู้บริโภค
     
       ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (ซีเอฟโอ) รูดี มาร์กแฮม ของยูนิลีเวอร์ บอกว่า ผลประกอบการที่สวยหรูในครึ่งแรกปีนี้ ทำให้บริษัทสามารถใช้เป็นกระดานหก เพื่อลงมือสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น
     
       ยูนิลีเวอร์แจกแจงว่า การปรับโครงสร้างคราวนี้ จะมีการปิดหรือลดขนาดจุดโรงงานผลิตอุตสาหกรรมราว 50 จุดจากที่มีทั้งสิ้น 300 จุด, ลดศูนย์ภูมิภาคจากที่มีราว 100 แห่ง เหลือประมาณ 25 แห่ง และตัดลดลูกจ้างพนักงานลง 11% ทั้งนี้น่าจะทำให้ประหยัดเงินได้ 1,500 ล้านยูโร (2,100 ล้านดอลลาร์) ต่อปี ตั้งแต่ปี 2010
     
       นอกจากนั้น บริษัทยังให้คำมั่นที่จะนำเอาธุรกิจซึ่งเติบโตช้าออกมาขาย โดยคาดว่าจะทำเงินได้กว่า 2,000 ล้านยูโร ธุรกิจเหล่านี้มีอาทิ สินค้าเกี่ยวกับการซักล้างในตลาดอเมริกาเหนือ ขณะเดียวกัน บริษัทก็จะเพิ่มการขับดันเรื่องนวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผลิตภัณฑ์ที่เติบโตได้อย่างรวดเร็ว เช่น ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายและเสริมความงาม
     
       ยูนิลีเวอร์แสดงความมั่นใจว่า การปรับโครงสร้างเช่นนี้จะช่วยทำให้บริษัทบรรลุเป้าหมายในการทำมาร์จินจากการดำเนินงานได้เกิน 15% ภายในปี 2010
     
       อนึ่ง การเปิดเผยแผนปรับโครงสร้างครั้งใหญ่คราวนี้ บังเกิดขึ้น 1 วันหลังจากบริษัทประกาศแต่งตั้ง เจมส์ ลอว์เรนซ์ ซึ่งปัจจุบันเป็นซีเอฟโอของ เจเนอรัล มิลส์ กลุ่มกิจการอาหารสัญชาติอเมริกัน ให้เป็นซีเอฟโอของยูนิลีเวอร์ สืบต่อจากมาร์กแฮมในเดือนกันยายนนี้
     
       การแต่งตั้งลอว์เรนซ์ ช่วยเพิ่มความหวังของบรรดานักวิเคราะห์ ที่จะเห็นกลุ่มผู้นำรุ่นใหม่เข้ามากุมอำนาจในบริษัทซึ่งยังคงมีการจัดองค์กรที่สลับซับซ้อนมากแห่งนี้
     
       ลอว์เรนซ์จะเข้ามาร่วมทีมกับ ไมเคิล เทรสโชว์ ซึ่งเป็นบุคคลคนแรกนอกยูนิลีเวอร์ที่ได้ก้าวขึ้นเป็นประธานของบริษัท ทั้งนี้เมื่อต้นปีนี้เอง นอกจากนั้นยังมี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แพตริก เซสเคา ซึ่งเป็นผู้เริ่มดำเนินแผนงานฟื้นฟูกิจการบริษัทครั้งล่าสุดในปี 2005
http://www.manager.co.th/Around/ViewNew ... 0000090977
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news04/08/07

โพสต์ที่ 32

โพสต์

วิตกสินเชื่อฉุดดาวโจนส์ดิ่งเกือบ300จุด

4 สิงหาคม พ.ศ. 2550 16:55:00

นิวยอร์ค-ดัชนีดาวโจนส์ ปิดลบ 281.42 จุด เหตุนักลงทุนหวั่นตลาดสินเชื่ออยู่ในภาวะวิกฤติ ขณะดอลลาร์ อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเยน และร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี เมื่อเทียบฟรังก์สวิส

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ตลาดหุ้นสหรัฐ ปรับตัวร่วงลงรุนแรงเมื่อวันศุกร์(3ส.ค.) หลังจากแบร์ สเติร์นส์ระบุว่าตลาดสินเชื่ออยู่ในภาวะที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดตลาดดิ่งลง 281.42 จุด หรือ 2.09 % สู่ 13,181.91, ดัชนี เอสแอนด์พี 500 ปิดดิ่งลง 39.14 จุดหรือ 2.66 % สู่ 1,433.06 และดัชนีแนสแดก ปิดร่วงลง 64.73 จุด หรือ 2.51 % สู่ 2,511.25
ราคาหุ้นแบร์ สเติร์นส์ดิ่งลง 6 %

  หลังจากนายแซม โมลินาโร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน(ซีเอฟโอ)ของแบร์ สเติร์นส์ กล่าวว่า ความปั่นป่วนวุ่นวายในตลาดตราสารหนี้ ซึ่งทำให้นักลงทุนพากันระบายความเสี่ยงออกมา อาจจะเลวร้ายกว่าเหตุการณ์ที่ตลาดหุ้นทรุดตัวลงเมื่อปี 2530 และภาวะฟองสบู่ของ อินเทอร์เน็ทแตกในปี 2543

ด้านสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ได้ปรับลดแนวโน้มตราสารหนี้ของแบร์ สเติร์นส์ลงสู่ "เชิงลบ" โดยระบุว่า แบร์ สเติร์นส์อาจมีปัญหา ซึ่งรวมถึงกองทุนบริหารความเสี่ยง ที่อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทเป็นเวลานาน

ส่วนค่าเงินดอลลาร์ ร่วงลงเมื่อเทียบกับเยน และร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปีเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส โดยดอลลาร์อยู่ที่ 118.00 เยน เทียบกับระดับปิดตลาดวันพฤหัสบดีที่ 119.14 เยน ส่วนยูโรอยู่ที่ 1.3780 ดอลลาร์และ 162.62 เยน เทียบกับระดับปิดตลาดวันพฤหัสบดีที่ 1.3698 ดอลลาร์และ 163.26 เยน

"การดิ่งลงของดอลลาร์ มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยทั้งข้อมูลการจ้างงานที่ลดลงและความวิตกใหม่เกี่ยวกับตลาดสินเชื่อ ทั้งยังมีปัญหาอีกมากเกี่ยวกับตลาดซับไพรม์" นายไบรอัน โดลัน ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยสกุลเงินจากฟอเร็กซ์ ดอท คอม ให้ความเห็น
http://www.bangkokbiznews.com/2007/08/0 ... wsid=87743
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news04/08/07

โพสต์ที่ 33

โพสต์

คลังเอเปคชี้สกุลเงินยืดหยุ่น ช่วยลดปัญหาโลกไร้สมดุล

3 สิงหาคม พ.ศ. 2550 16:40:00

คูลัม - รัฐมนตรีคลังเอเปคระบุ ความยืดหยุ่นด้านสกุลเงินเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อลดภาวะเศรษฐกิจโลกไร้สมดุล ขณะรัฐมนตรีช่วยคลังสหรัฐเตือน ความผันผวนในตลาดสินเชื่อบ้านของสหรัฐยังมีอยู่

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 21 ประเทศในกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ซึ่งประชุมร่วมกันที่เมืองคูลัม ประเทศออสเตรเลีย ออกแถลงการณ์ว่า การลดภาวะโลกไร้สมดุลอย่างค่อยเป็นค่อยไปยังคงเป็นภารกิจอันดับแรก โดยสหรัฐจำเป็นต้องเพิ่มเงินออมแห่งชาติ ขณะที่จีนควรส่งเสริมการบริโภคให้แข็งแกร่งขึ้น และญี่ปุ่นควรดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
"ความยืดหยุ่นของอัตราแลกเปลี่ยนและราคาจะเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นต่อการลดภาวะโลกไร้สมดุล" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปคระบุในแถลงการณ์โดยไม่ได้เจาะจงสกุลเงินใดเป็นพิเศษ

นายควอน โอคิว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเกาหลีใต้ ออกมากดดันญี่ปุ่นเกี่ยวกับเงินเยนที่อ่อนค่า ซึ่งเขาชี้ว่าเป็นการถ่วงภาวะโลกไร้สมดุลมากขึ้น ขณะที่นายไมเคิล คัลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนิวซีแลนด์ กล่าวว่า การแข็งค่าของเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์กำลังบั่นทอนการส่งออก

ทั้งนี้ ภาวะโลกไร้สมดุล ซึ่งเป็นภาวะที่กระแสการค้าโลกไม่เท่าเทียมกัน สะท้อนให้เห็นในรูปการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐ และการได้เปรียบดุลบัญชีเดินสะพัดของจีน ญี่ปุ่น รวมทั้งประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน
นายควอนกล่าวในแถลงการณ์ที่เผยแพร่หลังการประชุมว่า แม้เศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มฟื้นตัวและได้เปรียบดุลบัญชีเดินสะพัดมหาศาล แต่เงินเยนยังอ่อนค่าเนื่องจากการทำแครี เทรด ซึ่งเป็นวิธีการที่นักลงทุนกู้เงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำอย่างเงินเยน ไปลงทุนในสินทรัพย์สกุลเงินอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า การทำเช่นนี้ทำให้ภาวะโลกไร้สมดุลยิ่งทรุดหนัก

ด้านนายคัลเลนกล่าวว่า เกาหลีใต้และนิวซีแลนด์ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการทำแครี เทรด เงินเยน ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ การแข็งค่าของเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อผู้ส่งออก

อย่างไรก็ตาม นายโคจิ โอมิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังญี่ปุ่น กล่าวว่า สกุลเงินต่างๆ ควรสะท้อนตามความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ

ในวันเดียวกัน นายปีเตอร์ คอสเทลโล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออสเตรเลีย แถลงว่า ออสเตรเลียและญี่ปุ่นตกลงในหลักการเกี่ยวกับสนธิสัญญาภาษีใหม่ ที่มีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุน โดยจะลดภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับเงินปันผล ดอกเบี้ย และค่าภาคหลวง ที่จ่ายระหว่างประเทศทั้งสอง

นายคอสเทลโลกล่าวว่า สนธิสัญญาฉบับใหม่จะช่วยสนับสนุนผลประโยชน์ทางธุรกิจ โดยลดต้นทุนของบริษัทออสเตรเลียและญี่ปุ่นในการเข้าถึงทรัพย์สินทางปัญญา หุ้น และเงินทุน เพื่อขยายกิจการ http://www.bangkokbiznews.com/2007/08/0 ... wsid=87629
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news04/08/07

โพสต์ที่ 34

โพสต์

อีเล็งขยายธุรกิจการเงิน ตั้งเป้าซื้อบ.ลิสซิ่งญี่ปุ่น

3 สิงหาคม พ.ศ. 2550 16:24:00
 
โตเกียว-จีอี เผยแผนขยายธุรกิจการเงินแดนปลาดิบ ผ่านการเข้าซื้อกิจการบริษัทลิสซิ่งมากขึ้น พร้อมเตรียมตั้งหน่วยงานใหม่ กำกับ-ดูแลธุรกิจในญี่ปุ่น เดือนหน้า

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : หนังสือพิมพ์นิกเคอิ ไฟแนนเชียล เดลี รายงาน ว่า เจนเนอรัล อิเล็คทริก โค (จีอี) เตรียมขยายธุรกิจให้บริการทางการเงินในญี่ปุ่น ด้วยการผนวกกิจการกับบริษัทเช่าซื้อมากขึ้น หลังจากเข้าซื้อกิจการซันโย อิเล็กทริก เครดิต โค บริษัทให้บริการด้านสินเชื่อในเครือซันโย เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทั้งยังมีแผนตั้งหน่วยงานใหม่ ขึ้นมาทำหน้าที่ดูแลการดำเนินงานในญี่ปุ่น ในเดือนหน้า

จีอี ได้วางตัว นายเซจิ ยาสุบูชิ อดีตนายธนาคารของยูบีเอส ซิเคียวริตี้ เจแปน ทำหน้าที่ประธานบริหารของบริษัทใหม่ ซึ่งนายยาสุบูชิแสดงความมั่นใจว่า บริษัทจะนำเสนอบริการทางการเงินที่หลากหลายแก่ลูกค้าชาวญี่ปุ่น

นอกจากนี้ จีอี ยังมีแผนขยายการดำเนินงานในตลาดอสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่น ผ่านแผนลงทุนในอาคารซีเอสเอ อาโอยามา อาคาร 12 ชั้นในย่านอาโอยามา กรุงโตเกียว, ร้านอิเคบูคูโร ของบริษัทโตคิว แอนด์ อิงค์ และอาคารอีกหลายแห่งในกรุงโตเกียว ซึ่งเมื่อปีที่แล้วเพียงปีเดียว จีอี ทุ่มเม็ดเงินกว่า 300,000 ล้านเยน เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์

ปัจจุบัน สำนักงานใหญ่ด้านการเงินประจำภูมิภาคเอเชียของจีอีในกรุงโตเกียว ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อน มีพนักงานทั้งสิ้น 531 คน เป็นจำนวนที่นายจอห์น แฟลนเนอร์รี หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหาร(ซีอีโอ) จีอี คอมเมอร์เชียล ไฟแนนซ์ เอเชีย ระบุว่า เป็นเพียง 1 ใน 3 ของจำนวนพนักงานที่บริษัทต้องการ โดยบริษัทเตรียมเพิ่มจำนวนพนักงานอีก 3 เท่าตลอดช่วง 3 ปีข้างหน้า และว่า จีอีจะเดินหน้าเข้าซื้อกิจการบริษัทเช่าซื้อในญี่ปุ่นต่อไป
http://www.bangkokbiznews.com/2007/08/0 ... wsid=87627
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news06/08/07

โพสต์ที่ 35

โพสต์

วิกฤติตลาดซับไพร์มสหรัฐฯ - 6/8/2550

หากยังจำกันได้ เมื่อไม่ถึง 2 สัปดาห์ก่อนนายเบน เบอร์นานเค ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)เพิ่งออกมาจุดชนวนให้เกิดความกลัวขึ้นมาใหม่ โดยเตือนเกี่ยวกับ สินเชื่อเพื่ออสังหาริมทรัพย์ประเภท "ซับไพร์ม" (sub-prime mortgage) ที่มีความเสี่ยงสูง ว่ากำลังจะพ่นพิษขัดขวางการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นมูลค่ากว่า 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (3.5 ล้านล้านบาท)

ประธานเฟดแถลงต่อกรรมาธิการการเงินสภาผู้แทนราษฏรว่า "ดูเหมือนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะขยายตัวในระดับปานกลางในช่วงครึ่งหลังของปี 2550 แต่ได้ลดประมาณการการเติบโตในปีนี้ทั้งปีลงมาอยู่ระหว่างร้อยละ 2.25-2." ตรงกันข้ามกับการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 2.5-3


ความเห็นของเบอร์นันเค ทำลายมุมมองในด้านบวกของตลาดหุ้นเมื่อเร็วๆนี้ลงโดยทันทีทำให้ตลาดหุ้นทั้งในสหรัฐและในยุโรปปรับตัวลงอย่างรุนแรง และในขณะเดียวกัน บริษัทที่มีการลงทุนในตลาดเงินกู้บ้าน ซึ่งมีความเสี่ยงสูง หรือแม้แต่ธุรกิจกองทุนประกันความเสี่ยง หรือเฮดจ์ฟันด์ใหญ่ๆ ก็กำลังประสบปัญหาใกล้ล้มละลายตามกันไป

รายล่าสุดบริษัทสินเชื่อรายใหญ่ของสหรัฐฯ "อเมริกัน โฮม มอร์ทเกจ อินเวสท์เม้นท์ คอร์เปอเรชั่น" ประกาศปลดพนักงานครั้งใหญ่ 7,000 คนจากทุกสาขาทั่วประเทศ เหลือไว้เพียง 750 คน หลังจากที่บริษัทประสบภาวะทางการเงินจนใกล้ล้มละลาย และเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ส่อแววพับกิจการอย่างรวดเร็วที่สุด ท่ามกลางภาวะวิกฤติของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ของสหรัฐ

พนักงานที่รู้ว่าตัวเองถูกปลดออกจากตำแหน่ง ได้ไปที่สำนักงานใหญ่ในเมืองเมลเวล ในนครนิวยอร์ก เพื่อเก็บข้าวของและรับเงินเดือนงวดสุดท้าย หลายคนแสดงความผิดหวังและตกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

นักวิเคราะห์มองว่า สถานการณ์แบบนี้เป็นสัญญาณนำไปสู่การล้มละลายในอีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยภายในต้นสัปดาห์นี้จะต้องมีการขอคุ้มครองภาวะล้มละลาย โดยเป็นการได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรมการปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูงในสหรัฐ ที่ปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้ที่มีประวัติทางการเงินไม่ดี

ในส่วนของสินเชื่อธุรกิจ (Corporate loan) ก็ประสบปัญหา จากข้อมูลของบริษัทจัดการการลงทุนแบร์ริง แอสเซท แมเนจเม้นท์ ระบุว่า มีสินเชื่อธุรกิจ 46 รายใหญ่คิดเป็นมูลค่ากว่า 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯถูกถอดออกจากตลาด นับตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา

ด้านบริษัทแบร์ สเติร์นส์ วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐ ที่กำลังขาดทุนมหาศาลจากเฮดจ์ฟันด์ 2 แห่งที่ลงทุนปล่อยกู้ตลาดซับไพร์มนั้นแทบไม่เหลือมูลค่าแล้ว และตอนนี้ แบร์ สเติร์นส์ กำลังพยายามกอบกู้ธุรกิจเฮดจ์ฟันด์ 2 แห่งนี้ และเมื่อเร็วๆนี้ หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล ยังรายงานว่า บริษัทเมอร์ริลล์ ลินช์ ได้เข้าควบคุมสินทรัพย์เงินกู้มูลค่า 400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ของหนึ่งในเฮดจ์ฟันด์ที่กำลังวิดกฤติของ แบร์ สเติร์นส์
อย่างไรก็ตาม นายเฮนรี พอลสัน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ แสดงทัศนะว่า การชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์และวิกฤติซับ ไพร์ม ไม่น่าจะขยายวงส่งผลกระทบมากนักต่อภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐ เพราะเชื่อว่า ตลาดซับไพร์มเป็นเพียงส่วนหนึ่งของตลาดอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น

แต่ถึงกระนั้น การเทขายสินทรัพย์จำนองซับไพร์ม เป็นเหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ภาวะสินเชื่อในตลาดการเงินตึงตัว และทำให้นักลงทุนทั่วโลกหลีกเลี่ยงความเสี่ยงมากขึ้น โบรกเกอร์อสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลายแห่งทั่วสหรัฐฯก็กำลังประสบภาวะยากลำบากเพราะแทบไม่มีลูกค้าตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในช่วงนี้ ส่วนมากได้แต่รอดูสถานการณ์ไปก่อน ในขณะที่กลุ่มลูกหนี้ผู้มีความน่าเชื่อถือต่ำ มีการผิดนัดชำระหนี้ในอัตราสูงมาก

นักวิเคราะห์หลายคนคาดว่า การผิดนัดชำระหนี้ดังกล่าวจะกระตุ้นให้เกิดการบังคับยึดหลักทรัพย์ค้ำประกัน วุฒิสมาชิกโรเบิร์ท เมเนนเดซ เปิดเผยว่ามีชาวอเมริกันกว่า 1 ล้านคนถูกยึดบ้านไปแล้วในปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ราคาบ้านร่วงลงไปอย่างมาก หลังจากร่วงลงไปแล้ว 8 ครั้งติดต่อกัน

เขากล่าวว่า สำหรับเฟด ไม่ใช่แค่ออกมาเตือน แต่มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องหาวิธีแก้ปัญหา ก่อนที่ปัญหาซับไพรม์จะทำลายเศรษฐกิจสหรัฐฯทั้งระบบ
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=179013
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news06/08/07

โพสต์ที่ 36

โพสต์

Global Business News ประจำวันที่ 6 สิงหาคม 2550  

บริจาควัคซีน

กรุงเทพฯ-บริษัทแกล็กโซสมิทไคล์น บริจาควัคซีน H5N1 จำนวน 50 ล้านโด๊สให้กับองค์การอนามัยโลก เพื่อใช้ฉีดในมนุษย์เพื่อเตรียมสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ H5N1 ก่อนที่จะเกิดการระบาดใหญ่ของโรคไข้หวัด ใหญ่ โดยวัคซีนที่บริจาคในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มปริมาณวัคซีนสำรอง เพื่อใช้ก่อนการเกิดระบาดใหญ่ ซึ่งจะ ช่วยให้องค์การอนามัยโลกสามารถแจกจ่ายวัคซีนให้แก่ประเทศที่ยากจนได้ทันเวลา แกล็กโซสมิทไคล์น วางแผนที่จะจัดส่งวัคซีนแก่องค์การอนามัยโลกภายในเวลา 3 ปี และจะมากพอสำหรับประชากร 25 ล้านคน

ห้ามนำเข้าอาหารทะเล

ปักกิ่ง - จีนห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจากอินโดนีเซีย หลังตรวจพบสารพิษ สารเคมีอันตราย และเชื้อ โรค คณะกรรมการดูแลคุณภาพ ตรวจสอบ และกักกันของจีนประกาศในเว็บไซต์ว่า ผลิตภัณฑ์อาหารของ อินโดนีเซียทุกชนิดจะต้องถูกตรวจสอบอย่างระมัดระวัง โดยสินค้าที่ผ่านการตรวจสอบว่าปลอดภัยจะนำมา วางขายในจีน ทางการจีนอ้างว่า พบสินค้าจากอินโดนีเซียมีสารปรอท และแคดเมียม ซึ่งเป็นโลหะที่สามารถ สะสมในน้ำและดิน อันเป็นผลมาจากการเผาขยะ การทำเหมืองแร่ และกระบวนการทางอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยสารทั้งสองมีผลทำลายระบบประสาท ทำให้เกิดโรคมะเร็ง และปัญหาสุขภาพอื่นๆ ของมนุษย์

จีนขึ้นบัญชีดำผู้ส่งออก

ปักกิ่ง กระทรวงพาณิชย์จีนแถลงว่า จีนได้ขึ้นบัญชีดำผู้ส่งออกสินค้ากว่า 400 ราย ฐานละเมิดกฎ ระเบียบด้านการค้า ภายหลังเกิดกรณีอื้อฉาวเกี่ยวกับสินค้าไม่ปลอดภัย ผู้ส่งออกที่ถูกขึ้นบัญชีดำ รวมถึงผู้ ผลิตอาหารสัตว์ 2 ราย ที่ส่งออกอาหารไปยังสหรัฐ ซึ่งขณะนี้ได้เพิ่มการตรวจสอบสินค้านำเข้าจากจีนอย่าง เข้มงวดหลังพบสารเคมีปนเปื้อนในอาหารสัตว์เลี้ยงทำให้สัตว์เลี้ยงตายไปหลายตัวเมื่อต้นปีนี้ นอกจากนี้ ยัง พบสารพิษในของเล่น ยาสีฟัน และปลาที่ส่งออกมาจากจีนด้วย

บอสเวิลด์แบงก์เยือนเขมร

พนมเปญ นายโรเบิร์ต เซลลิค ประธานธนาคารโลกเดินทางถึงกัมพูชาเพื่อหารือปัญหาการทุจริต คอร์รัปชั่นในกัมพูชาและโครงการต่าง ๆ ที่ได้รับการช่วยเหลือจากธนาคารโลก ในระหว่างการเยือนกัมพูชา ครั้งแรกนี้ นายเซลลิค ได้พบปะกับนายกรัฐมนตรีฮุน เซ็น และคาดว่าจะเดินทางไปเยือนพื้นที่ชนบทเพื่อ ตรวจสอบโครงการพัฒนาต่าง ๆ ของธนาคารโลก รวมทั้งคุกโตลสเล็ง สมัยเขมรแดงด้วย การเยือนของนาย เซลลิค ยังมีขึ้นขณะที่กัมพูชายังคงต้องจ่ายเงินคืนหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ กรณีมีการทุจริตครั้งใหญ่ ซึ่งส่ง ผลให้ธนาคารโลกต้องระงับโครงการความช่วยเหลือขนาดใหญ่ 3 โครงการเมื่อปีที่แล้ว
http://www.naewna.com/news.asp?ID=70299
noooon010
Verified User
โพสต์: 2712
ผู้ติดตาม: 0

world economic news

โพสต์ที่ 37

โพสต์

มาขอบคุณพี่ chartchai madman นะครับ นำสิ่งดีๆมา post ทุกวันเลย :D
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ

มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม


นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news07/08/07

โพสต์ที่ 38

โพสต์

ข่าวสั้นเศรษฐกิจต่างประทศ - 7/8/2550

ข่าวสั้นเศรษฐกิจต่างประทศ
เวิลด์แบงค์จี้เขมรปราบคอร์รัปชัน


พนมเปญ นายโรเบิร์ต โซลลิก ประธานธนาคารโลกหรือเวิลด์แบงค์ เรียกร้องให้ทางการกัมพูชา เร่งแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ของกัมพูชาโดยด่วน หากรัฐบาลพนมเปญ ยังคงต้องการให้บรรดาประเทศผู้บริจาคเดินหน้าสนับสนุนให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง โดยการออกมาเรียกร้องของประธานธนาคารโลกครั้งนี้ มีขึ้นในระหว่างการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ พร้อมกันนี้ นายโซลลิก ยังกล่าวด้วยว่า จากการจัดอันดับดัชนีการปรากฏของทุจริตคอร์รัปชันระหว่างประเทศ ประจำปี 2549 ระบุว่า กัมพูชาถูกจัดให้อยู่กลุ่มประเทศที่มีปัญหาการทุจริตฉ้อราษฏร์บังหลวงสูง โดยอยู่ในอันดับที่ 151 ของประเทศที่มีความโปร่งใส จากจำนวนประเทศที่ถูกสำรวจทั้งหมด 163 ประเทศด้วยกัน ทั้งนี้ ปัจจุบันกัมพูชาได้รับเงินช่วยเหลือจากบรรดาประเทศผู้บริจาคให้ปีละ 690 ดอลลาร์สหรัฐฯ

มะกันผ่านร่างกม.พลังงานทดแทน

วอชิงตัน สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ มีมติผ่านกฎหมายว่าด้วย การใช้พลังงานสะอาด จากการอภิปรายลงคะแนนเสียเมื่อต้นสัปดาห์นี้ ตามวันเวลาท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวไม่ได้ระบุว่า จำนวน ส.ส.ที่ลงคะแนนเสียงผ่านมติรับรองดังกล่าวมีจำนวนเท่าใด โดยผลของการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ จะกำหนดให้ทางการสหรัฐฯ สนับสนุนด้านพลังงานทดแทนหรือพลังงานทางเลือก ที่สร้างปัญหามลภาวะน้อยกว่า พลังงานที่ได้จากน้ำมันดิบ หรือถ่านหิน เช่น พลังงานที่ได้จากชีวภาพ อาทิ น้ำมันไบโอดีเซล เป็นต้น พร้อมกันนี้ ยังกำหนดให้ ทางการสหรัฐฯ ถอนการให้เงินช่วยเหลือเพื่ออุดหนุนปีละ 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากอุตสาหกรรมน้ำมันต่างๆ ภายในสหรัฐฯ เช่น เอ็กซอน โมบิล และโคโนโค รวมทั้ง
เชฟรอน ด้วย

บาร์เคลย์เสนอ8.9หมื่นล้านดอลล์ซื้อเอบีเอ็น

อัมสเตอร์ดัม ธนาคารบาร์เคลย์ ยื่นข้อเสนออย่างเป็นทางการ ด้วยจำนวนเงินสูงถึง 8.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 6.5 หมื่นล้านยูโร เพื่อขอซื้อกิจการของเอบีเอ็นอัมโร พร้อมกันนี้ ทางธนาคารบาร์เคลย์ ยังระบุด้วยว่า การดำเนินการเจรจาเพื่อขอซื้อกิจการครั้งนี้ จะเริ่มมีขึ้นในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ และจะไปสิ้นสุดในวันที่ 4 ตุลาคม โดยบรรดาผู้ถือหุ้นของเอบีเอ็นจะได้รับเงินสดคิดเป็นหุ้นละ 13.15 ยูโร และจะได้เป็นหุ้นของบาร์เคลย์ในจำนวนคนละ 2.13 หุ้น ทั้งนี้ ปัจจุบันหุ้นของเอบีเอ็นอัมโรมีราคาซื้อชายในตลาดหลักทรัพย์หุ้นละ 34.54 ยูโร ข่าวแจ้งว่า การขอซื้อกิจการของบาร์เคลย์ครั้งนี้ เพื่อแข่งขันกับทางรอยัล แบงค์ ออฟ สก็อตแลนด์ ที่จับมือกับเบลเยียม-ดัทช์ ฟอร์ทิส และซานทานเดอร์ของสเปน ที่ขอเสนอซื้อเอบีเอ็นอัมโรเป็นจำนวนเงินสูงถึง 7.1 หมื่นล้านยูโร

ประธานแบร์สเทิร์นส์ไขก๊อกเซ่นซับไพรม์
นิวยอร์ก นายวอร์เรน สเปคเตอร์ ประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานบริหารของธนาคารแบร์ สเทิร์นส์ ซึ่งเป็นธนาคารเพื่อการลงทุนชั้นนำของสหรัฐฯ แล้ว ภายหลังจากเกิดปัญหาวิกฤติการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์แบบขาดความน่าเชื่อถือหร์ซับไพรม์ของทางธนาคาร พร้อมกันนี้ การประกาศลาออกดังกล่าว ส่งผลไปถึงการลาออกจากตำแหน่งอื่นๆ ในธนาคารเพื่อการลงทุนแห่งนี้ด้วย ได้แก่ ประธานร่วมด้านปฏิบัติการคณะกรรมาธิการด้านการบริหาร และผู้อำนวยการของคณะกรรมการบริหาร รายงานข่าวแจ้งว่า เหตุที่ทำให้นายสเปคเตอร์ประกาศก้าวลงจากตำแหน่งผู้บริหารของแบร์ สเทิร์นส์ สืบเนื่องมาจากวิกฤติปัญหาซับไพรม์ในสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลทำให้ ธนาคารเพื่อการลงทุนแห่งนี้ ขาดทุนเป็นจำนวนเงินถึง 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=179058
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news08/08/07

โพสต์ที่ 39

โพสต์

ทั่วโลกจับตาประชุมเฟด - 8/8/2550
ทั่วโลกจับตาประชุมเฟด
*คาดตรึงดอกเบี้ยสู้ซับไพรม์


สหรัฐฯ - นักเศรษฐศาสตร์พากันตั้งข้อสังเกตว่า ที่ประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะตัดสินใจตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้เท่าเดิมที่ร้อยละ 5.25 ซึ่งเป็นอัตราที่ใช้มา 13 เดือน ท่ามกลางกระแสวิตกมากขึ้นเกี่ยวกับตลาดซื้อขายบ้านและสินเชื่อความเสี่ยงสูงในตลาดอสังหาริมทรัพย์

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สมาชิกคณะกรรมการกำหนดนโยบายทางการเงินของเฟด ที่รวมไปถึงนายเบน เบอร์นานเค ประธานธนาคารกลางสหรัฐ เข้าประชุม ร่วมกันเป็นเวลา 2 วัน ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงของประเทศ คาดว่าจะมีการตอบสนองความวุ่นวายในตลาดการเงินครั้งล่าสุด แบบเดียวกับที่เคยรับมือความปั่นป่วนเมื่อ 4 เดือนก่อน

โดยนายเบน เบอร์นันเค จะขานรับความยุ่งยากในตลาดการเงินสหรัฐฯ ด้วยการ เปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่ใช้ แต่ไม่เปลี่ยนนโยบายอัตราดอกเบี้ย คาดว่าเขาจะกล่าวภายหลังการประชุม ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจมีความเสี่ยงสืบเนื่องจากความยุ่งยากในตลาดหุ้นและสินเชื่อ แต่เฟดยังให้ความสำคัญกับอัตราเงินเฟ้อมากกว่า

ขณะที่ นายลอเรนซ์ เมเยอร์ อดีตผู้ว่าการเฟด ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัทที่ปรึกษาเศรษฐกิจมหภาค ในเซนต์หลุยส์ กล่าวว่า ความวุ่นวายครั้งล่าสุดยังไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงนโยบายของเฟด

พร้อมกันนี้ นายเมเยอร์ ยังระบุด้วยว่า โดยส่วนตัวแล้วมองว่าเฟดจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับร้อยละ 5.25 ไปจนถึงสิ้นปีหน้า

ทั้งนี้ การคงอัตราดอกเบี้ยหลังการประชุมครั้งนี้จะแสดงให้เห็นว่า เฟดไม่ได้ละเลยราคาหุ้นที่ร่วงลง 7% นับจากวันที่ 19 กรกฎาคม ที่ผ่านมา และความเป็นไปได้ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางสหรัฐฯก็จะไม่ถูกมองว่าขาดความกระตือรือร้นในการป้องกันภาวะเงินเฟ้อ ที่จะทำให้เกิดความพร้อมในการช่วยเหลือนักลงทุน

สำหรับที่ผ่านมาธนาคารกลางสหรัฐฯมักจะใช้กลวิธีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น เพื่อแก้ปัญหาซบเซาในตลาดอสังหาริมทรัพย์ และเป็นการกระตุ้นผู้บริโภค แต่ขณะนี้เป็นช่วงเดียวกับที่มีการวิตกเรื่องภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมัน ทำให้เฟดชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยในระยะหลังมานี้
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=179152
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news08/08/07

โพสต์ที่ 40

โพสต์

อาเซียนฟ้องดับเบิลยูทีโอ - 8/8/2550
อาเซียนฟ้องดับเบิลยูทีโอ
ออสเตรเลียสกัดนำเข้ากุ้ง


ออสเตรเลีย อาเซียนเตรียมฟ้องดับเบิลยูทีโอ หลังออสเตรเลียตั้งกำแพงการค้า หวังสกัดนำเข้ากุ้งแบบไม่เป็นธรรม

หนังสือพิมพ์ดิ ออสเตรเลียน และไฟแนนเชียล รีวิว ของออสเตรเลียรายงานข่าวว่า สมาชิกประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เตรียมยื่นฟ้องต่อองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) กรณีที่ออสเตรเลียออกมาตรการห้ามนำเข้ากุ้งจากสมาชิกอาเซียน ซึ่งถือเป็นการตั้งกำแพงทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม

รายงานอ้างแหล่งข่าวไม่เปิดเผย ที่เป็นสมาชิกคณะผู้แทนการค้าไทย ที่ได้เข้าพบกับเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจสอบอาหารออสเตรเลีย วานนี้ (6 ส.ค.) โดยระบุว่าการยื่นคำร้องต่อดับเบิลยูทีโอที่นครเจนีวา จะมีขึ้นไม่เกินเดือนตุลาคมนี้ และหากออสเตรเลียยังคงดำเนินมาตรการห้ามนำเข้ากุ้งจากสมาชิกอาเซียนและทางดับเบิลยูทีโอเห็นว่าละเมิดทางการค้าจริง ออสเตรเลียจะถูกปรับเป็นเงินกว่า 430 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 15,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ เมื่อเดือนที่แล้วออสเตรเลีย สั่งห้ามนำเข้ากุ้งจากหลายประเทศในกลุ่มอาเซียน ที่มีเชื้อโรคระบาด รวมไปถึงผลิตภัณฑ์กุ้งแปรรูปด้วย โดยออสเตรเลียอ้างว่า ต้องประกาศห้ามนำเข้าเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคเข้าสู่ออสเตรเลีย ขณะที่รัฐบาลออสเตรเลียถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ปกป้องอุตสาหกรรมเลี้ยงกุ้งในประเทศที่มีราคาถูกสู้กุ้งจากเอเชียไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ทางการแคนาดาเคยชนะคดีฟ้องร้องทางการค้ากับออสเตรเลียมาแล้ว เมื่อปี 2543 แต่เป็นกรณีที่เกิดกับปลาแซลมอน
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=179153
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news09/08/07

โพสต์ที่ 41

โพสต์

บริษัทเวชภัณฑ์เผชิญช่วงขาลงปลดพนักงานแก้ปัญหาเฉพาะหน้า  
โดย ฐานเศรษฐกิจ
วัน พฤหัสบดี ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2550 04:49 น.

จากปัญหารุมเร้านานาประการ บริษัทยาแดนมะกันเร่งปลดพนักงานตั้งแต่ระดับล่างถึงระดับสูงลดเพื่อต้นทุนการบริหาร ไฟเซอร์ทำสถิติผู้นำลดอัตราจ้าง ตามมาด้วยแอสตร้าเซเนก้า และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (เจแอนด์เจ) ทั้งยังต้องเร่งผลิตยารุ่นใหม่เพื่อฟื้นธุรกิจ
เว็บไซต์เอ็มเอสเอ็นบีซี ดอทคอม รายงานว่า บริษัทเวชภัณฑ์ในประเทศสหรัฐอเมริกา ประกาศแผนการปรับลดพนักงานทุกระดับนับหมื่นตำแหน่ง โดย บริษัท ไฟเซอร์ จำกัด (Pfizer) ผู้ผลิตเวชภัณฑ์อันดับหนึ่งของโลก ได้ประกาศลดจำนวนพนักงานสูงสุดถึง 10,000 ตำแหน่ง คิดเป็น 10 % ของพนักงานทั้งหมดของบริษัท ภายในปีพ.ศ. 2550 นี้


รองลงมาได้แก่บริษัท แอสตร้าเซเนก้า (มหาชน) จำกัด เตรียมปลดพนักงาน 7,600 ตำแหน่ง บริษัท เมิร์ค แอนด์ โค จำกัด 7,000 ตำแหน่ง บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน จำกัด 4,800 ตำแหน่ง บริษัท เชริง พลักช์ จำกัด ประกาศลดพนักงานในโรงงานผลิตเวชภัณฑ์ประมาณ 1,100 ตำแหน่ง ส่วน บริษัท บริสทอล "ไมเยอร์ส สควิบบ์ จำกัด ไม่เปิดเผยจำนวนคนงานที่จะถูกลอยแพในปีนี้
ผลจากการลอยแพพนักงานของบริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ภายในปีนี้ ทำให้บริษัทวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพ และ ผู้ผลิตยารายย่อยที่อาศัยเงินทุนจากการร่วมวิจัยเวชภัณฑ์กับบริษัทใหญ่ต้องประสบภาวะเดียวกัน มีการปลดพนักงานกันถ้วนหน้า บางรายประกาศลอยแพพนักงานเกือบครึ่งบริษัท

นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่าการปรับลดต้นทุนเป็นทางเลือกเดียวของบริษัทเวชภัณฑ์ในการฟื้นฟูธุรกิจจากจุดต่ำสุด ซึ่งยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะแก้ปัญหาที่รุมเร้าธุรกิจอยู่ในเวลานี้ทั้งจากปัญหาการแข่งขันแย่งชิงตลาดยาสามัญที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน การขาดช่วงพัฒนาเวชภัณฑ์ใหม่ๆ การสิ้นสุดช่วงสงวนสิทธิ์การผลิตยาสำคัญหลายชนิด รวมทั้งการที่หน่วยงานของรัฐบาลกลางประเทศสหรัฐอเมริกา เพิ่มความเข้มงวดในการอนุมัติเวชภัณฑ์ใหม่ๆ โดยการเพิ่มมาตรการด้านความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

นายสตีฟ โบรแซก นักวิเคราะห์ของบริษัท ดับบลิวบีบี ซีเคียวริตี้ส์ จำกัด ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า นักลงทุนในตลาดหุ้นก็เป็นหนึ่งในสาเหตุของความล้มเหลวในธุรกิจเวชภัณฑ์ โดยชี้ให้เห็นว่านักลงทุนรายใหญ่ ที่แห่เข้าซื้อหุ้นของบริษัทเวชภัณฑ์ในช่วงที่ธุรกิจผลิตยามีอัตราการเติบโตสูงในทศวรรษที่แล้ว ได้เข้ามากำกับบริษัทยาลดต้นทุนด้วยการยกเลิกการร่วมวิจัยผลิตภัณฑ์กับบริษัทอื่น ลดจำนวนพนักงาน และ ต้นทุนอื่นๆ

ในหลายบริษัทมีการปลดผู้บริหารระดับรองประธานกรรมการอาวุโส และให้ผู้บริหารหน้าใหม่ที่กินเงินเดือนต่ำกว่ากันครึ่งหนึ่งเข้ามาแทนที่ นายโบรแซกล่าว

ขณะที่นางบาบารา ไรอัน นักวิเคราะห์ของธนาคาร ดอยชท์ แบงค์ ให้ความเห็นว่า ในเวลานี้ธุรกิจของบริษัทยาอยู่ในช่วงขาลงต่ำกว่าวัฏจักรการเฟื่องฟู-ถดถอยของธุรกิจเวชภัณฑ์ปกติ ระบุว่าเป็นผลจากการที่ผู้จัดการผลประโยชน์ของบริษัทประกันส่วนใหญ่ เปลี่ยนเวชภัณฑ์สำหรับผู้เอาประกันจากยาแบรนด์เนม ที่สิทธิบัตรจำกัดการผลิตหมดอายุลงทำให้มีการผลิตออกมาในรูปแบบยาสามัญทันทีที่มีการผลิตออกสู่ตลาด

รายได้ (ของบริษัทยา) ลดลงอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่สัปดาห์นางไรอันกล่าว ทั้งยังคาดการณ์ด้วยว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะยังคงเกิดขึ้นต่อไปอีกหลายปี

สถิติจากบริษัท ไอเอ็มเอช เฮลท์ จำกัด ผู้รวบรวมข้อมูลด้านสุขภาพ ระบุว่าระหว่างปีพ.ศ. 2549-2550 มูลค่ายอดขายผลิตภัณฑ์ยาแบรนด์เนมที่สิทธิบัตรจำกัดการผลิตหมดอายุสูงถึง 39,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.3 ล้านล้านบาท) นางไรอันชี้ว่าบริษัทยาจะต้องเผชิญปัญหาหนักในช่วงปี พ.ศ. 2553-2554

สิทธิบัตรจำกัดการผลิต ลิปิเตอร์ (Lipitor) ยาลดคอเรสเตอรอลในเส้นเลือด ของไฟเซอร์ พลาวิกซ์ (Plavix) ยาละลายเลือด ของบริสทอล ไมเยอร์ส-สควิบบ์ และซาโนฟี-อเวนทิส เอสเอ กำลังจะหมดอายุในช่วงเวลาดังกล่าว เฉพาะลิปิเตอร์ ซึ่งเป็นยาที่มียอดขายสูงสุดอันดับหนึ่งของโลก ทำรายได้ให้กับไฟเซอร์ถึง 12.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (431 ล้านบาท) ในปีพ.ศ. 2549

ผู้ผลิตยายังต้องเผชิญปัญหาต่อเนื่องจากการยกเลิกการวิจัยเวชภัณฑ์ร่วม ทำให้ยาที่อยู่ระหว่างการทดลอง อาจไม่สามารถนำออกจำหน่ายในตลาดได้ เนื่องจาก มีคุณภาพที่ไม่ดีไปกว่าผลิตภัณฑ์ยาที่มีอยู่
http://news.sanook.com/economic/economic_166766.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news09/08/07

โพสต์ที่ 42

โพสต์

ยักษ์ค้าปลีกข้ามชาติบุกป่วน "อินเดีย" โชห่วย-สหภาพฯ-ฝ่ายซ้าย เดินขบวนต้าน
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 9 สิงหาคม 2550 15:17 น.

      ยักษ์ค้าปลีกข้ามชาติ บุกป่วนตลาดการค้าระดับชุมชนของอินเดีย กลุ่มพันธมิตร "โชห่วย-สหภาพฯ-ฝ่ายซ้าย" เตรีมเดินขบวนต้าน
     
      วันนี้(9 ส.ค.) กลุ่มพันธมิตรประกอบด้วยเจ้าของร้านค้าปลีกขนาดเล็ก สหภาพแรงงาน และนักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายอินเดียเตรียมจัดการเดินขบวนแสดงเจตนารมณ์ต่อต้านการเข้าสู่ตลาดอินเดียของบรรดาบริษัทค้าปลีกข้ามชาติ
     
      รายงานระบุว่า กลุ่มพันธมิตรเตรียมจัดการเดินขบวนครั้งใหญ่ในเดือนสิงหาคมนี้ ในเมืองใหญ่ทั้งกรุงนิวเดลี มุมไบ กัลกัตตา และเมืองสำคัญอื่น ๆ ทั่วประเทศ ภายใต้คำขวัญ ควิต รีเทล เลียนแบบคำขวัญ ควิต อินเดีย ที่มหาตมะคานธีใช้ในการเรียกร้องเอกราชของอินเดียจากสหราชอาณาจักรเมื่อ 60 ปีก่อน
     
      ทั้งนี้ ตลาดค้าปลีกอินเดียปัจจุบันยังได้รับการปกป้องจากระเบียบห้ามไม่ให้ร้านค้าปลีกยักษ์ใหญ่ต่างชาติเข้าดำเนินกิจการหากขายสินค้าหลากหลายตราสินค้าในร้านเดียว อนุญาตเฉพาะร้านค้าปลีกข้ามชาติที่มีตราสินค้าเดียวจำหน่ายเท่านั้น โดยวอล-มาร์ต ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกจากสหรัฐเพิ่งเซ็นสัญญาร่วมทุนกับบริษัทบาตี เอนเตอร์ไพรซ์ ตั้งกิจการรับซื้อพืชผลเกษตรจากเกษตรกรและโรงงานเพื่อไปจำหน่ายในร้านสาขาทั่วประเทศเร็วๆ นี้ กลุ่มพันธมิตรต้องการให้รัฐบาลอินเดียออกมาตรการปิดช่องว่างการเข้าสู่ตลาดค้าปลีกของอินเดียให้รัดกุมกว่าในปัจจุบัน
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000093434
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news09/08/07

โพสต์ที่ 43

โพสต์

ลาวท่าจะรวย..สำรวจน้ำมันอีก 4 แขวง  

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 9 สิงหาคม 2550 14:35 น.
     
ผู้จัดการรายวัน-- บริษัทด้านพลังงานจากมาเลเซียกล่าวว่า กำลังจะยื่นขออนุญาตจากรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเข้าลงทุนสำรวจหาก๊าซและน้ำมันดิบในลาว หลังจากการศึกษาพบว่ามีศักยภาพสูงมาก ผู้บริหารของบริษัทดังกล่าวแถลงเรื่องนี้ในนครหลวงเวียงจันทน์เมื่อวันอังคาร (7 ส.ค.)      
      ถ้าหากได้รับอนุญาตจากทางการลาว กลุ่มร๊อกซ์เวลล์ (Roxwell) ของมาเลเซียก็จะเป็นบริษัทพลังงานแห่งที่ 2 ที่เข้าไปสำรวจหาน้ำมันดิบและก๊าซในประเทศนี้ และ อาณาบริเวณดังกล่าวก็จะเป็นแหล่งน้ำมันแห่งที่ 3 ในลาวเท่าที่มีการเปิดเผย
     
      หลังจากเมื่อต้นปีนี้กลุ่มซาลาแมนเดอร์เอ็นเนอร์ยี (Salamander Energy) จากอังกฤษได้เซ็นสัญญากับทางการลาวเพื่อเข้าสำรวจหาน้ำมันดิบและก๊าซ ในแขวงสะหวันนะเขต
     
      ร๊อกซ์เวลล์ได้จัดสัมมนาและแถลงเรื่องนี้ที่โรงแรมลาวพลาซ่า มี ดร.สมบูน ลาซะสมบัด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพลังงานและเหมืองแร่เข้าร่วมด้วย ทั้งนี้เป็นรายงานของหนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ใหม่ของทางการนครหลวงเวียงจันทน์

สองบริษัทต่างชาติกำลังจะเข้าสำรวจหาน้ำมันใน 5 แขวงภาคใต้ของลาว ซึ่งมีศักยภาพสูงมาก ถ้าหากพบเข้าจริงๆ ก็จะเปลี่ยนโฉมหน้าของลาวทั้งประเทศ  
 
      บริษัทจากมาเลเซียกำลังจะเสนอตัวเข้าสำรวจในเขต 4 แขวงภาคใต้ คือจำปาสัก สาละวัน เซกองและอัตตะปือ "หลังจากร๊อกซ์เวลล์แห่งมาเลเซียได้ศึกษาข้อมูลข้อเท็จจริงเห็นว่าเขตดังกล่าว มีความเป็นไปได้ที่จะมีบ่อน้ำมันและก๊าซ" สื่อของทางการลาวกล่าว
     
      ร๊อกซ์เวลล์กล่าวว่า จะยื่นคำร้องขอเข้าลงทุนสำรวจแหล่งพลังงานของลาว โดยจะใช้เวลาประมาณ 7 ปี หากพบว่ามีศักยภาพเพียงพอก็จะขออนุญาตเข้าลงทุนเพื่อขุดเจาะต่อไป
     
      อย่างไรก็ตามสื่อของทางการลาวไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับพื้นที่ของแปลงสำรวจใน 4 แขวงของลาวและ ไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดอื่นใดเกี่ยวกับบริษัทร๊อกซ์เวลล์ แผนการลงทุน รวมทั้งตัวเลขต่างๆ
     
      "ผู้จัดการรายวัน" ได้พยายามติดต่อขอความเห็นและข้อมูลเพิ่มเติมจากกระทรวงพลังงานฯ ในนครหลวงเวียงจันทน์ แต่ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ผู้รับสายปลายทางว่า ผู้ที่รับผิดชอบไม่อยู่และไม่มีเจ้าหน้าที่รายใดสามารถให้ข้อมูลได้
      ในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ทางการลาวกับบริษัทน้ำมันจากอังกฤษและบริษัทท้องถิ่นของลาวอีกแห่งหนึ่งได้เซ็นความตกลงแบ่งผลประโยชน์ โครงการสำรวจขุดเจาะในสะหวันนะเขต ซึ่งจะมีการลงทุนราว 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐในระยะ 3 ปีข้างหน้านี้
     
      สัญญาการสำรวจนี้สามารถต่ออายุได้ 2 ครั้ง คราวละ 2 ปี รวมเป็นเวลา 7 ปี สื่อของทางการลาวกล่าว
     
      การเซ็นสัญญาสำรวจขุดเจาะน้ำมันดิบและก๊าซดังกล่าวนับเป็นฉบับที่ 2 ในรอบกว่า 10 ปี ตั้งแต่รัฐบาลอนุญาตให้บริษัทจากอังกฤษอีกแห่งหนึ่งเข้าสำรวจหาน้ำมันดิบและก๊าซในแขวงเวียงจันทน์ แต่เกิดวิกฤตการการเงินในเอเชีย ทำให้โครงการต้องล้มเลิกไป
     
      ซาลาแมนเดอร์ เอ็นเนอร์ยี เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.2549 และ ได้เริ่มเจรจากับรัฐบาลลาวมาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยได้เสนอสัญญาแบบ PSC (Product Sharing Contract) หรือ แบ่งปันผลผลิตกันระหว่างบริษัทผู้ลงทุนกับฝ่ายลาว
     
      ตามรายงานบนเว็บไซต์ Worldwide Energy News ในเดือน ธ.ค.ซาลาแมนเดอร์ เอ็นเนอร์ยี ได้เจรจากับรัฐบาลลาวขอเข้าสำรวจในพื้นที่ 31,000 ตารางกิโลเมตร ในแปลงสำรวจแขวงภาคใต้ของลาว
     
      ถ้าหากได้รับอนุญาต การสำรวจทางธรณีศาสตร์จะเริ่มได้ในปี 2550 และการเจาะสำรวจจะมีขึ้นในปี 2551
     
      ซาลาแมนเดอร์ เอ็นเนอร์ยี ยังได้เจรจา เพื่อขอเข้าสำรวจอีกแปลงในแขวงเวียงจันทน์ ซึ่งทางการลาวเคยให้สัมปทานแก่ บริษัท Monument Oil & Gas จากอังกฤษเมื่อปี 2541 ในช่วงที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังอยู่ในวิกฤติทางเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุด
     
      บริษัท Monument Oil & Gas ได้รับอนุญาตให้เข้าสำรวจในพื้นที่ 37,250 ตร.กม. ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของแปลงสำรวจในแขวงเวียงจันทน์ และ ได้เจาะสำรวจในบ่อเพียงแห่งเดียวที่มีชื่อว่า นาทราย 1ST (Naxay 1ST) แต่เจาะลงไปได้เพียง 650 เมตร บริษัทดังกล่าวก็ได้ล้มเลิกไป
     
      อย่างไรก็ตามยังไม่มีการเปิดเผยผลการตัดสินใจของทางการลาว เกี่ยวกับข้อเสนอของซาลาแมนเดอร์ เอ็นเนอร์ยี ที่ขอเข้าดำเนินการ E&P ที่แปลงสำรวจแขวงเวียงจันทน์
     
      ช่วงไม่กี่ปีมานี้นักลงทุนจากมาเลเซียได้เข้าไปมีบทบาทอย่างสูงในธุรกิจ-อุตสาหกรรมแขนงต่างๆ ในลาว รวมทั้งเป็นเจ้าของศูนย์การค้าแห่งหนึ่งในนครหลวงเวียงจันทน์ด้วย
     
      ในเดือน มี.ค.2549 บริษัท Mega First Corporation Berhad จากมาเลเซีย ได้เป็นแห่งแรกที่เสนอเข้าลงทุนด้านพลังงานในลาว ในโครงการเขื่อนไฟฟ้ากั้นลำน้ำโขงที่ดอนสะหง ขนาด 240 เมกะวัตต์ ในแขวงจำปาสักทางภาคใต้
     
      โครงการดังกล่าวได้รับการต่อต้านจากกลุ่มอนุรักษ์สภาพแวดล้อมในมาเลเซีย
     
      ในเดือน มิ.ย.ปีเดียวกัน บริษัท โรฮาส-ยูโค อินดัสตรี เบอร์ฮาด (Rohas-Euco Industries Berhad) ซึ่งเป็นบริษัทวิศวกรรม อีกแห่งหนึ่งจากมาเลเซีย ได้ทำบันทึกช่วยความจำเพื่อความเข้าใจ (MoU) กับรัฐบาลลาวเพื่อลงทุนในโครงการเขื่อนผลิตไฟฟ้าน้ำสาน 3 (Nam Sane 3) แขวงเชียงขวาง
     
      เขื่อนแห่งนี้จะมีกำลังผลิตราว 60 เมกะวัตต์ ด้วยเงินลงทุน 60-70 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายใต้ระยะเวลาสัมปทานนาน 30 ปี ไฟฟ้าที่ผลิตได้ทั้งหมดจะส่งจำหน่ายให้แก่ประเทศเพื่อนบ้านของลาว
     
      ในเดือน เม.ย.ปีนี้ บริษัทเอเชีย-แปซิฟิก บิซิเนส ลิงค์ (AP BIZLINK Group) จากมาเลเซียได้เซ็น MoU กับฝ่ายลาวเพื่อสำรวจและศึกษาความเป็นไปได้โครงการเขื่อนน้ำฟ้าขนาด 70 เมกะวัตต์ ในแขวงหลวงน้ำทากับแขวงบ่อแก้ว ซึ่งจะเป็นเขื่อนแห่งที่ 3 หรือแห่งที่ 4 โดยทุนจากมาเลเซีย.
http://www.manager.co.th/IndoChina/View ... 0000093403
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news09/08/07

โพสต์ที่ 44

โพสต์

ยาคุมภาคอสังหาฯมังกรเสื่อมฤทธิ์ ราคาบ้าน-ที่ดินทั่วประเทศพุ่งกระฉูด

โดย ผู้จัดการออนไลน์
9 สิงหาคม 2550 16:32 น.

      หนังสือพิมพ์สากล / ไชน่านิวส์ ราคาบ้านและที่ดินของจีนยังพุ่งติดจรวด โดยไม่แยแสต่อมาตรการต่างๆของรัฐที่ออกมาควบคุม จนเกิดการกว้านซื้อที่ดิน การปั่นราคาแพร่ระบาดไปทั่ว ด้านธนาคารเพื่อการก่อสร้างชี้ หากไม่มีนโยบายที่เป็นรูปธรรมใหม่ๆ ครึ่งปีหลังราคายังจะพุ่งสูงสาหัสกว่าเดิม พร้อมลามไปยังเมืองชั้น 2 และชั้น 3
     
     นโยบายควบคุมระดับมหภาคของทางการจีนเริ่มเสื่อม ครึ่งปีแรกของปี 2007 ราคาอสังหาริมทรัพย์ในที่ต่างๆทั่วประเทศพร้อมใจถีบตัวสูงลิบ กระนั้นเมื่อไม่นานมานี้ ในเซี่ยงไฮ้ ก็ยังคงมีคนต่อคิวยาวเยียดเพื่อแย่งกันซื้อบ้านอย่างดุเดือด จนกระทั่งประตูกระจกของศูนย์จำหน่ายอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งถูกเบียดแตก จนมีคนกระเด็นออกมา หรืออย่างคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในฉงชิ่งที่มีจำนวน 160 ห้องถูกซื้อหมดเกลี้ยงในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง
     
      ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ประเทศจีนได้พยายามออกกฎต่างๆเพื่อควบคุมความร้อนแรงในตลาดอสังหาริมทรัพย์มาตลอด ทว่าก็ยังไม่สามารถจะหยุดราคาที่พุ่งขึ้นไม่หยุดนี้ได้ จากผลการสำรวจล่าสุดกว่า 70 เมืองสำคัญในจีน พบว่าเพียงเดือนเดียวก็พุ่งขึ้นไปถึง 7.1% ทำลายสถิติสูงสุดในรอบ 2 ปี
     
      จากรายงานอสังหาริมทรัพย์ในกว่างตง(กวางตุ้ง) สำนักงานสถิติกวางตุ้งได้ระบุว่า ในครึ่งปีที่ผ่านมา ราคาของบ้านสูงขึ้น 25.8% ถ้าเป็นในเซินเจิ้น สูงขึ้นถึง 42.1% พร้อมระบุว่าผู้ประกอบการทั้งหลายมีการแห่ซื้อหาที่ดินเพิ่มมากขึ้น
     
      ด้านผลการสำรวจราคาที่อยู่อาศัยในเซี่ยงไฮ้ที่สร้างใหม่ทั้งสิ้น 498 โครงการ มี 54%ที่ราคาสูงขึ้น 22% ราคาคงที่ และ24% ราคาตกลง และยังมีอุปสงค์ในการซื้ออย่างไม่ขาดสาย
     
      ความต้องการที่มหาศาลและราคาที่ถีบตัวขึ้นอย่างไม่หยุด ได้สร้างความยินดีแก่บรรดาผู้ประกอบการอย่างถ้วนหน้า โดยผู้ประกอบธุรกิจอสังหาฯรายหนึ่งได้กล่าวว่า ถ้าเป็นเมื่อก่อน เปิดตัววันแรกขายได้ 40% ก็นับว่าดีมากแล้ว แต่นี่บางทีแค่ชั่วโมงเดียวก็ขายหมด ปรากฏการณ์เหล่านี้ ได้ทำให้บริษัทนายหน้าอสังหาฯในฉงชิ่งต่างมีงานล้นมือ ถึงขนาดขาดแคลนบุคลากรจนต้องจ้างคนด้วยราคาที่สูงลิบ
     
      ขณะนี้มีการกว้านซื้อ กักตุนที่ดิน มีการขายแบบหลอกๆ การปั่นราคาแพร่สะพัดออกไปอย่างหนัก รายงานระบุ
     
      ด้านตัวเลขจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีนก็ได้ระบุว่า ในครึ่งปีแรกนี้ มูลค่าสิ่งก่อสร้างในจีนคิดเป็น 1.8213 ล้านล้านหยวน หรือเพิ่มขึ้น 22% อีกทั้งสามารถทำกำไรได้มากขึ้น 47.4%
     
      นอกจากนั้น ผลการวิจัยจากธนาคารการก่อสร้างจีน (CCB) ที่ออกมาเมื่อไม่นานนี้ก็ได้ชี้ว่า ถ้าหากทางการยังไม่มีมาตรการอะไรใหม่ๆที่เป็นรูปธรรม และสามารถเจาะจงไปที่ปัญหาได้ ครึ่งปีให้หลังราคาของอสังหาริมทรัพย์ยังจะพุ่งขึ้นสูงกว่านี้ และราคาสูงลิบเหล่านี้จะแผ่ขยายจากบ้านในเมืองสำคัญ ออกมายังชั้น 2 ชั้น 3 ด้วย
http://www.manager.co.th/china/ViewNews ... 0000089719
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news09/08/07

โพสต์ที่ 45

โพสต์

โมโตโรล่ายกระดับจีนขึ้นเป็นศูนย์ภูมิภาค

โดย ผู้จัดการออนไลน์
9 สิงหาคม 2550 17:41 น.

      ไชน่านิวส์ โมโตโรล่า ยักษ์ใหญ่มือถือโลก เตรียมยกจีนขึ้นเป็นเขตบริหารระดับภูมิภาค ไม่ต้องขึ้นตรงกับศูนย์เอเชีย-แปซิฟิกเหมือนที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานการตลาดให้ดีและเร็วขึ้น ด้านคนวงในชี้ นี่เป็นหนึ่งในแผนปรับโครงสร้างหลังยอดขายตก
     
      ท่ามกลางกระแสการแข่งขันในตลาดมือถืออันดุเดือดของจีน แหล่งข่าวภายในจากบริษัท โมโตโรล่า ประเทศจีน ในออกมายืนยันว่าโมโตโรล่าเตรียมที่จะประกาศที่จะยกระดับโซนประเทศจีน ให้ขึ้นมาเป็นภูมิภาคหนึ่งโดยเฉพาะ ตามอย่างที่โนเกีย และอินเทลเคยทำมาก่อนหน้า      
      โดยตามแผนงานของโมโตโรล่านั้น ก่อนหน้านี้ ประเทศจีน อินเดีย และเอเชียใต้ทั้งหมด จะอยู่ในโซนการดูแลของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก นั่นก็หมายความว่า บริษัทจากจีนมีอะไรก็จำเป็นต้องคอยรายงานต่อสำนักงานที่ดูแลในเขตเอเชีย-แปซิฟิก ทำให้ประสิทธิภาพในการผลักดันการตลาดเกิดเป็นปัญหาขึ้น
     
      ด้านเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์โมโตโรล่า คุณอู๋หัวได้ระบุว่า จากการพัฒนาการตลาดในประเทศจีน จึงจำเป็นต้องแยกออกมาเป็นภูมิภาคเฉพาะ เพื่อที่จะมีอำนาจตัดสินใจทางการตลาด และสามารถสั่งการได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น      
      อย่างไรก็ตาม ผู้ที่อยู่ในวงการได้ระบุว่า ในปีที่ผ่านมา สาเหตุที่ยอดขายของโมโตโรล่าในประเทศจีนและอินเดียตกลงอย่างต่อเนื่อง มาจากปัญหาการปรับโครงสร้าง โดยผลวิจัยตลาดของบริษัท IDC เมื่อต้นเดือนได้ระบุว่า ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ยอดการส่งสินค้ามือถือของโมโตโรล่าถูกมือถือของซัมซุงแซงหน้าไปแล้ว ดังนั้น ภายใต้สถาการณ์เช่นนี้ การที่ให้อำนาจตัดสินใจทางการตลาดกับประเทศจีนหรืออินเดียที่มีผู้ใช้อยู่หลายล้านคน จึงเป็นหนึ่งในยุทธวิธีการปรับปรุงโมโตโรล่าทั่วโลก
     
      เราให้ความสำคัญกับตลาดในประเทศจีนเป็นอย่างมาก หลังจากที่เป็นเอกเทศขึ้นมาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องคอยส่งเรื่องผ่านภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ทำให้มีประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่เร็วและสูงขึ้น อีกทั้งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานใหญ่มากขึ้น ประชาสัมพันธ์จากโมโตโรล่าระบุ
http://www.manager.co.th/china/ViewNews ... 0000092808
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news10/08/07

โพสต์ที่ 46

โพสต์

ลุ้น6เดือนชี้ชะตาฟองสบู่สหรัฐ ไม่จบโลกป่วนหุ้นไทยรอส้มหล่น

ปัญหาสินเชื่อเกรดต่ำมะกันป่วนไม่เลิก ลามถึงธนาคารญี่ปุ่น-สิงคโปร์-ไต้หวัน ต้องเร่งกันสำรองหนี้สูญ ทุบหุ้นแบงก์เอเชียรูดระนาว ส่งผลให้เกิดแรงเทขายตัดความเสี่ยงทั่วโลก นักลงทุนเร่งถอนเม็ดเงินหนีเจ็บตัวจากกองทุนทุกประเภทในสหรัฐ-ตลาดเสี่ยงทั่วโลก แค่พฤษภาคมถึงกรกฎาคม เงินไหลออกกองทุนมะกันเฉียด 3 หมื่นล้านดอลลาร์ ด้าน "เจ.พี. มอร์แกน" ประชุมด่วนเทเลคอนเฟอเรนซ์ทั่วเอเชีย รอประเมินสถานการณ์ ชี้ 6 เดือนไม่จบ วิกฤตซับไพรมมีสิทธิยืดเยื้อ-ขยายวง ตลาดหุ้นไทยรอส้มหล่นเงินไหลกลับ
prachachat
http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0201
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news10/08/07

โพสต์ที่ 47

โพสต์

สินเชื่อ Subprime พ่นพิษสั่งปิด 3 กองทุนฝรั่งเศส ดาวโจนส์ร่วงเฉียด 400 จุด

Posted on Friday, August 10, 2007
บีเอ็นพี พาริบาร์ สั่งปิด 3 กองทุน เหตุสับไพรม์

ธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศส บีเอ็นพี พาริบาร์ ตัดสินใจหยุดดำเนินการ และสั่งปิดกองทุนจำนวน 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนพาร์เวสท์ ไดนามิค เอบีเอส กองทุนบีเอ็นพี พาริบาร์ เอบีเอส ยูไรบอร์ และกองทุนบีเอ็นพี พาริบาร์ เอบีเอส ออนเนีย สาเหตุจาก ผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนดังกล่าว ซึ่งไปลงทุนในตราสารหนี้ระดมทุนสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์สับไพรม์ในสหรัฐอเมริกา ไม่สร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าให้กับธนาคารบีเอ็นพี พาริบาร์

สำหรับมูลค่ากองทุนของธนาคารบีเอ็นพี พาริบาร์ เอบีเอส สิ้นสุดเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีทั้งสิ้น 2,800 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 95,200 ล้านบาท ในมูลค่ากองทุนดังกล่าว มีมากถึง 700 ล้านเหรียญยูโร หรือประมาณ 32,900 ล้านบาท ที่ไปลงทุนในตราสารหนี้ระดมทุนสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ประเภทสับไพรม์ในสหรัฐ ซึ่งได้รับการจัดอันดับที่ AA หรือ สูงกว่านั้น และล่าสุด มูลค่าของทั้ง 3 กองทุนดังกล่าวสิ้นสุดเมื่อวันที่ 7 ส.ค. ทรุดลงมากถึง 20% ในช่วงเพียง 2 สัปดาห์ที่แล้ว

ทั้งนี้หลังการประกาศปิด 3 กองทุนดังกล่าวในช่วงผ่านการซื้อขายไม่นานนัก ราคาหุ้นของธนาคารบีเอ็นพี พาริบาร์ ร่วงลงทันที 3.4% ฉุดดัชนีหุ้นสำคัญในตลาดหุ้นยุโรปทรุดลงเกือบ 2% กระทั่งปิดตลาด ราคาหุ้นของธนาคารดังกล่าว ทรุดลงมากถึง 6.4% หรือหายไปหุ้นละ 136 บาท เหลือเพียงหุ้นละ 3 พัน 8 ร้อย 8 สิบบาท ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นสำคัญในตลาดหุ้นยุโรปทรุดลงหนัก เฉลี่ยทุกตลาดสำคัญประมาณ 2.27% ลงไป ในแง่เปอร์เซ็นต์ปรับลดลงหนักมากที่สุดในยุโรป คือ ดัชนีหุ้นไอเอสอี ตลาดหุ้นตุรกี ที่ร่วงลงมากถึง 3.10%

ควันหลงบีเอ็นพีพาริบาร์ปิด 3 กองทุน กดดัชนีหุ้นทั้ง 3 ในสหรัฐ ทรุดหนักในรอบปี

นักลงทุนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก กระหน่ำเทขายหุ้นตลอดทั้งวัน ส่งดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่งในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กเมื่อคืนที่ผ่านมา ทรุดลงอย่างหนักครั้งใหม่ โดยเฉพาะดัชนีหุ้นดาวโจนส์ไม่เพียงร่วงลงต่ำสุดในรอบ 5 ปี แต่ยังทรุดหนักลงมากที่สุดเป็นครั้งที่ 2 ในรอบปีนี้ ร่วงลงถึง 387 จุด หรือทรุดหนักถึง 2.83% นับเป็นการทรุดหนักของดัชนีหุ้นดาวโจนส์ในรอบเกือบ 6 เดือน หรือนับตั้งแต่ 27 กุมภาพันธ์ของปีนี้ นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ยังทำสถิติทรุดหนักถึง 2.96% ร่วงลง 44 จุด นับเป็นสถิติที่ร่วงลงมากที่สุดในรอบปีนี้

สาเหตุสำคัญ ที่สร้างแรงกระหน่ำเทขายอย่างหนักเมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งหยุดสถิติการปรับขึ้นของดัชนีหุ้นดาวโจนส์ในช่วง 3 วันทำการติดต่อกันที่ผ่านมา คือ ผลพวงของวิกฤติตราสารหนี้ระดมทุนเพื่อสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ประเภทสับไพรม์ในสหรัฐ ที่สร้างผลขาดทุนให้กับ 3 กองทุน ซึ่งธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศส บีเอ็นพี พาริบาร์ เข้าไปลงทุน ทำให้ธนาคารดังกล่าว สั่งยุติการลงทุน และถอดถอนเงินทั้งหมดออกจากทั้ง 3 กองทุนด้วยกัน

นอกจากนี้ บริษัทประกันภัยที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ และในโลก เอไอจี เปิดเผยว่า วิกฤติสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์สับไพรม์ อาจขยายวงกว้างไปกระทบสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ประเภทปกติ หรือประเภท ไพรม์ เนื่องจาก มีความเป็นไปได้สูง ที่อัตราหนี้สูญของสินเชื่อสับไพรม์ดังกล่าว จะพุ่งสูงขึ้นกว่าในปัจจุบัน จาก 2 ปัจจัยดังกล่าว ทำให้มีจำนวนหุ้น ที่ทำการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์ก สหรัฐ ทั้งสิ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา มีมากถึง 2,800 ล้านหุ้น กลายเป็นสถิติใหม่ ที่มีจำนวนหุ้นซื้อขายต่อวันมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ดาวโจนส์ทรุดหนักกว่า 100 จุด ถึง 10 ครั้งในรอบปีนี้ จากภาวะวิกฤติอสังหาฯสหรัฐ

ตลาดทุนสหรัฐ โดยเฉพาะตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ได้รับผลพวงจากเศรษฐกิจสหรัฐในภาพรวมที่ชะลอตัวลง ซึ่งเริ่มจาก วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่ตกต่ำอย่างหนักจากกลางปีที่แล้วจนถึงขณะนี้ รวมถึงวิกฤตสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์สับไพรม์ ที่ลุกลามไปถึงสินเชื่อสำหรับการปล่อยกู้เพื่อนำไปซื้อขายควบรวมกิจการบริษัทชั้นนำต่างๆ ที่สร้างความคึกคักให้กับตลาดหุ้นทั่วโลก จาก 2 ปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้นักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ เกิดความกลัวอย่างไม่สิ้นสุด และกระหน่ำเทขายหลายครั้งในช่วงตั้งแต่ต้นปีนี้ จนถึงเมื่อคืนผ่านมา

นับตั้งแต่ต้นปี 2550 จนถึงเมื่อคืนนี้ตามเวลาในสหรัฐ ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นสำคัญ และใช้อ้างอิงเป็นหลัก ได้สร้างสถิติใหม่เกิดขึ้น โดยมีสถิติดัชนีหุ้นดาวโจนส์ทรุดตัวลงมากกว่า 100 จุดลงไป เกิดขึ้นถึง 10 ครั้งในปีนี้ โดยเรียงจากมากไปหาน้อยที่สุด เริ่มจาก
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mor ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news10/08/07

โพสต์ที่ 48

โพสต์

Subprime Loan วิกฤติสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯที่กระทบตลาดหุ้นทั่วโลก

Posted on Friday, August 10, 2007
นส.อุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีสาเหตุหลักมาจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ประเภทด้อยมาตรฐาน (Subprime Loan) ของสหรัฐอเมริกา

Subprime Loan เป็นสินเชื่อประเภทหนึ่งของสหรัฐฯ ที่ให้เงินกู้กับผู้ขอสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์มากกว่าหรือเท่ากับมูลค่าของหลักทรัพย์ จากปกติจะให้สินเชื่อประมาณ 80% ของมูลค่าหลักทรัพย์เท่านั้น นอกจากนี้ถ้าราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น ผู้ขอสินเชื่อก็สามารถขอวงเงินกู้เพิ่มเติมตามราคาหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นมาได้ ซึ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สินเชื่อ Subprime ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากราคาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯ ได้เพิ่มสูงขึ้นมาก แต่ขณะนี้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯ ได้ลดลง ทำให้ธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐฯ ต้องการเงินกู้คืน เพื่อป้องกันความเสี่ยง เมื่อผู้ขอสินเชื่อไม่มีเงินมาชำระ จึงกลายเป็นสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)

สาเหตุที่ทำให้ปัญหาสินเชื่อ Supprime ส่งผลกระทบไปทั่วโลก เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐฯ มีการออกตราสารหนี้ที่เรียกว่า Collatteral Debt Obligation (CDO) โดยนำสินเชื่อ Subprime เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน เมื่อราคาอสังหาริมทรัพย์ลดลง ก็มีผลให้มูลค่าของ CDO ลดลงตามไปด้วย และมีผลกระทบต่อเนื่องไปถึงผู้ที่ลงทุนใน CDO ซึ่งมีอยู่ทั่วโลก

ส่วนสาเหตุที่นักลงทุนนิยมเข้าไปลงทุนใน CDO เนื่องจากเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง โดย CDO ที่มีอันดับเครดิตต่ำบางประเภท ให้ผลตอบแทนสูงถึง 10% ส่วน CDO ที่มีอันดับเครดิตที่ดี อัตราผลตอบแทนก็จะลดลงมา แต่ปัญหาของการลงทุนใน CDO คือ มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง มีสภาพคล่องน้อย และไม่มีตลาดมารองรับในช่วงที่ผู้ถือหน่วยลงทุนต้องการขาย ทำให้ธนาคารพาณิชย์และกองทุนที่ลงทุนใน CDO ต้องนำเงินทุนมารับซื้อหน่วยลงทุนคืน

นส.อุสราเป็นห่วงว่า เมื่อธนาคารพาณิชย์และกองทุนที่ลงทุนใน CDO มีสภาพคล่องไม่มากพอ อาจจะมีความจำเป็นต้องขายสินทรัพย์ที่ไปลงทุนไว้ทั่วโลก ซึ่งตลาดหุ้นก็เป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง และให้ผลตอบแทนที่ดี จึงอาจจะทำให้เกิดการถอนการลงทุนจากตลาดหุ้นทั่วโลกได้

นส.อุสราบอกว่า ปัญหาสินเชื่อ Subprime สามารถแก้ไขได้ ถ้าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ลดอัตราดอกเบี้ยลง เพราะจะทำให้ประชาชนรู้สึกว่าปัญหาได้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว และกล้าที่จะลงทุนอีกครั้ง ส่วนการที่ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ได้อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบไปแล้วนั้น ก็จะช่วยได้เฉพาะธนาคารของแต่ละประเทศเท่านั้น

นส.อุสราบอกว่า ถ้าตลาดการเงินโลกยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบัน ก็มีโอกาสที่ค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงอีก ดังนั้น จึงอยากให้ผู้ส่งออกชะลอการขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ไว้ก่อน ส่วนผู้นำเข้าก็ควรจะซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เก็บไว้บางส่วน นอกจากนี้ยังแนะนำให้ผู้ประกอบการจับตามองค่าเงินบาทที่ 34.15 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะถ้าค่าเงินบาทอ่อนค่าหลุด 34.15 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อใด จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงไปแตะที่ระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างรวดเร็ว

นายเกษม พันธ์รัตนมาลา กรรมการ บล.ซีไอเอ็มบี-จีเค (ประเทศไทย) บอกว่า ปัญหาสินเชื่อ Subprime ของสหรัฐฯ อาจจะทำให้กองทุนที่ลงทุนในสินเชื่อ Subprime ถอนการลงทุนจากตลาดหุ้นไทย เพราะมีความจำเป็นต้องถือเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ไว้ให้นักลงทุนที่ต้องขายหน่วยลงทุนออกไป

ทั้งนี้ เชื่อว่ากองทุนเหล่านี้จะขายหุ้นในตลาดหุ้นทั่วโลกต่อไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากยังไม่สามารถประเมินขนาดของปัญหาได้ นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ด้วย ส่วนวิธีแก้ปัญหาการขาดสภาพคล่องนั้น ธนาคารกลางของแต่ละประเทศก็สามารถทำได้ โดยการเพิ่มสภาพคล่องให้กับสถาบันการเงินภายในประเทศ

ส่วนกรณีที่มีธนาคารพาณิชย์ของไทยจำนวน 4 แห่ง ที่เข้าไปลงทุนในตราสาร CDO นั้น เชื่อว่าปัญหาสินเชื่อ Subprime จะไม่ค่อยมีกระทบต่อธนาคารทั้ง 4 แห่ง เพราะมีสัดส่วนการลงทุนในสินเชื่อ Subprime ไม่มากนัก
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news10/08/07

โพสต์ที่ 49

โพสต์

ธ.กลางทั่วโลกทุ่มเงินรับมือปัญหา Subprime ข่าว 18.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, August 10, 2007
ธนาคารกลางออสเตรเลีย ซึ่งเป็นสถาบันล่าสุด ที่ตัดสินในอัดฉีดเงินมูลค่า 4,950,000 ล้านเหรียญออสเตรเลีย หรือประมาณ 142,800 ล้านบาท เข้าสู่ระบบตลาดเงิน เพื่อป้องกันวิกฤติตราสารหนี้ ที่ระดมทุนเพื่อสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ประเภทสับไพรม์ ลุกลามเข้าไปสู่ตลาดเงิน ตลาดทุน สถาบันการเงิน และธนาคารพาณิชย์ต่างๆในออสเตรเลีย โดยความผันผวนได้เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นออสเตรเลียตลอดทั้งวัน กระทบดัชนีหุ้น ออลออร์ดินารี่ย์ ร่วงลงมากถึง 169 จุด หรือลบ 2.74%

นอกจากนี้ ในช่วงเช้าที่ผ่านมา ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้ประกาศอัดฉีดเงินมูลค่ามากถึง 1 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 8,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 289,000 ล้านบาท เพื่อเพื่อสภาพคล่องในระบบตลาดเงิน และตลาดทุนของญี่ปุ่น หลังวิกฤตตราสารหนี้ดังกล่าว ส่งผลกดดันให้ตลาดสินเชื่อเกิดการตึงตัวมากขึ้น สำหรับการตัดสินใจทุ่มเงินของบีโอเจในช่วงเช้าที่ผ่านมา นับเป็นมูลค่าที่สูงสุดภายใน 1 วันทำการนับตั้งแต่เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ที่ผ่านมา

ด้านกระทรวงการคลังและเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ ระบุว่า ในวันที่ 13 สิงหาคมนี้ จะเรียกประชุมหน่วยงานทางการเงินฉุกเฉิน เพื่อประเมินสภาพตลาดการเงินโลก หลังเกิดวิกฤติตลาดสินเชื่อในสหรัฐฯ รวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงมาตรการป้องกันความเสี่ยงในอนาคต

ขณะที่นายบูดิโอโน่ รัฐมนตรีด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย บอกว่า ทั่วโลกแสดงความกังวลเกี่ยวกับตลาดซับไพร์มในสหรัฐฯ มากเกินไป ทั้งที่เศรษฐกิจโลกยังคงมีความแข็งแกร่งพอที่จะเผชิญปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ได้ ซึ่งเชื่อว่าปัญหาดังกล่าวจะเกิดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น

ทั้งนี้ ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีเม็ดเงินที่อัดฉีดเข้าระบบตลาดเงินทั่วโลกจาก ธนาคารกลางกลุ่มสหภาพยุโรป ธนาคารกลางสหรัฐ ธนาคารกลางญี่ปุ่น และธนาคารกลางออสเตรเลีย รวมกันทั้งสิ้น 116,690 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 5.7 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ ยังพร้อมประกาศที่จะอัดฉีดเงินสดเพิ่มเติมอย่างไม่จำกัด หากเกิดวิกฤตเต็มรูปแบบ  
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
ภาพประจำตัวสมาชิก
numyak
Verified User
โพสต์: 639
ผู้ติดตาม: 0

world economic news

โพสต์ที่ 50

โพสต์

ขอบคุณครับ คุณchartchai madman
      แสดงว่า ธ.กลางแต่ละประเทศ ไม่ได้นิ่งเฉยได้ระดมเงินทุนเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบของแต่ละเทศ เพื่อป้องกันวิกฤติลุกลามที่จะเกิดขึ้น ที่เกิดจาก Sub prime ของอเมริกา
      แล้วประเทศไทย ธ.กลางของเราได้เตรียมป้องกันไว้หรือยังครับ :? ใคร
รู้บ้างครับ(หรือว่าผมตกข่าว?)
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news11/08/07

โพสต์ที่ 51

โพสต์

บ่วง "ซับไพรม" เขย่า "แบร์ สเติรนส์" ผ่าตัดทีมบริหาร / ระวังโดมิโนระบบการเงินโลก

ข่าวคราวล่าสุดใน "แบร์ สเติรนส์" วาณิชธนกิจชั้นนำ ที่ประกาศปรับโครงสร้างฝ่ายบริหารอย่างกะทันหัน หลัง นายวอร์เรน เจ. สเปกเตอร์ ตัดสินใจ ลาออกจากตำแหน่งประธานบริหาร ประธาน เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการร่วม กรรมการบริหารของบริษัท ซึ่งนำไปสู่การแต่งตั้ง อลัน ดี. สควอรตซ์ เป็นประธานบริหาร และ ซามูเอล แอล. โมลินาโร จูเนียร์ เป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการขึ้นมาแทน และมีผลโดยทันที

เหตุผลสำคัญที่นำไปสู่การลาออกของผู้บริหารระดับสูง มาจากปัญหาสินเชื่อด้อยมาตรฐาน หรือ subprime loan ในตลาดอสังหาริมทรัพย์สหรัฐ ซึ่งพ่นพิษใส่กองทุนบริหารความเสี่ยง หรือเฮดจ์ฟันด์ของบริษัท 2 กองทุนของบริษัท จนขาดทุนยับเยิน ทำให้นักลงทุนขาดทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ และส่งผลให้บริษัทต้องสั่งระงับการไถ่ถอนหน่วยลงทุน 1 ใน 3 ของ กองทุน

นับจากนั้น สถานการณ์ของวาณิชธนกิจรายนี้ เริ่มเลวร้ายลงเรื่อยๆ หุ้นดิ่งลงอย่างฮวบฮาบ 33% มาอยู่ที่ 108 ดอลลาร์ต่อหุ้น ส่งผลให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามถึงความอยู่รอดทางธุรกิจในระยะยาว และฟางเส้นสุดท้ายที่นำไปสู่การบีบ สเปกเตอร์พ้นจากตำแหน่ง คือ การที่สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงิน จาก "มีเสถียรภาพ" (stable) สู่ "มีความเป็นไปได้ที่จะปรับลดอันดับในอนาคต" (negative) โดยให้เหตุผลว่า การปิดกองทุน ทั้งสองกระทบต่อชื่อเสียง และผลการปฏิบัติงานของแบร์ สเติรนส์ อย่างน้อยไปอีกระยะหนึ่ง

บอร์ดของแบร์ สเติรนส์ ประเมินว่า ปัญหา ที่บริษัทเผชิญนั้น รุนแรงที่สุดในรอบมากกว่า 20 ปี โดยเฉพาะหากพิจารณาจากสัญญาณเตือนล่าสุดของสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ เมื่อวันศุกร์ ที่แล้ว (3 ส.ค.)

ระหว่างชี้แจงถึงการเปลี่ยนตัวผู้บริหาร ระดับสูงครั้งนี้ เจมส์ ซี เคน ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแบร์ สเติรนส์ ยอมรับตรงๆ ว่า การตัดสินใจมีขึ้นหลังจากเกิดปัญหาขึ้นกับกองทุนเฮดจ์ฟันด์ 2 กองทุนของบริษัท ได้แก่ ไฮ เกรด และ เอ็นฮานซ์ เลเวอเรจ ฟันด์ ซึ่งเน้นการลงทุน ในตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะ

ริชาร์ด โบฟ นักวิเคราะห์ธนาคารจากพังค์ ซีเกล แอนด์โค ให้ความเห็นต่อการเปลี่ยนแปลงฝ่ายบริหารของแบร์ สเติรนส์ว่า เป็นเพราะ สเปกเตอร์ เป็นผู้บริหารที่รับผิดชอบโดยตรงที่สุด ต่อความล้มเหลวของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับตลาด ซับไพรม

จุดเริ่มของปัญหามาจากตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยประเภทนี้ มาจากนโยบายผ่อนคลายการ คุมเข้มตลาดสินเชื่อเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จนทำให้ตลาดสินเชื่อขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว ประมาณ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์

คำว่า subprime mortgage หรือ subprime loan หมายถึงสินเชื่อที่สถาบันสินเชื่อ สถาบัน การเงินอื่นๆ และธนาคาร ปล่อยให้ผู้กู้ที่มี ประวัติสินเชื่อไม่ดี หรือมีคุณสมบัติต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่จะได้รับสินเชื่อที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ดี ผู้ที่ขอสินเชื่อประเภทนี้ มีทั้งกลุ่มที่มีประวัติติด แบล็กลิสต์ และไม่เคยมีประวัติในเรื่องสินเชื่อ มาก่อน อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านๆ มา เวลาเศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัว และตลาดอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำ ผู้กู้สินเชื่อประเภทนี้มักจะผิดนัดชำระหนี้

คล้ายๆ กับสถานการณ์ในปัจจุบัน ที่ราคา บ้านลดลงอย่างรวดเร็ว และผู้กู้ก็ผิดนัดชำระหนี้บ่อยครั้ง เนื่องจากดอกเบี้ยปรับขึ้นไปอย่าง ต่อเนื่อง ตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันตรึงอยู่ที่ระดับ 5.25% ส่งผลให้อุตสาหกรรมโดยรวมอยู่ในภาวะปั่นป่วนอย่างมากในปีนี้ เนื่องจากผลกระทบ ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในส่วนของสินเชื่อ แต่ยังครอบคลุมเลยไปถึงตราสารหนี้ที่ใช้สินเชื่อประเภทซับไพรม เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน หรือที่เรียกว่า collateralized debt obligations (CDOs)

เมื่อสถานการณ์พลิกผันเกิดขึ้น กองทุนเฮดจ์ฟันด์ของแบร์ สเติรนส์ ซึ่งถือเป็นผู้เล่น รายหลักในตราสารหนี้ "ซีดีโอ" จึงได้รับ ผลกระทบรุนแรง ประกอบกับกองทุนเฮดจ์ฟันด์ทั้งสองกู้ยืมเงิน 9 พันล้านดอลลาร์จากธนาคารพาณิชย์และวาณิชธนกิจ ซึ่งในจำนวนนั้นรวมถึงเมอร์ริล ลินช์ เจ.พี. มอร์แกน เชส ซิตี้กรุ๊ป ดอยช์แบงก์ และเลห์แมน บราเธอร์ส มาลงทุน ในตลาดตราสารหนี้ซีดีโอ ในธุรกรรมที่รวมๆ กันแล้ว เป็นมูลค่ากว่า 2.97 หมื่นล้านดอลลาร์ ผลกระทบต่อแบร์ สเติรนส์ จึงแรงปะทะสูงอย่างเลี่ยงไม่ได้

แต่ที่สนใจคือ ปัญหาที่แบร์ สเติรนส์ แบกอยู่จากการล้มละลายของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ทั้งสอง กำลังเปิดประเด็นคำถามขึ้นดังๆ ว่า ใครจะเป็นรายต่อไป เพราะเป็นที่ทราบกันดีในอุตสาหกรรมการเงินสหรัฐว่า แบร์ สเติรนส์ ไม่ใช่รายเดียวที่กระโจนเข้าสู่ตลาดซับไพรมและตราสารหนี้ซีดีโอที่อิงกับสินเชื่อซับไพรม ในช่วงเวลาที่ตลาดกำลังบูม ตามภาวะฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ

รายชื่อเหยื่อซับไพรมที่ทยอยเปิดในช่วงที่ผ่านมา อาทิ โซวูด แคปิตอล แมเนจเมนต์ ซึ่งบริหารเงินให้กับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กองทุนเอสเอซี แคปิตอล และแคกซ์ตัน แอสโซซิเอตส์ จนถึงเบซิส แคปิตอล ฟันด์ แมเนจเมนต์ แอบโซลูต แคปิตอล และกองทุนเฮดจ์ฟันด์อีก 2 แห่งในเครือธนาคารแมคควอรี แบงก์ของออสเตรเลีย ล้วนเป็นประจักษ์พยานถึงระดับความรุนแรง ของตลาดนี้เป็นอย่างดีที่สุด

แม้แต่ธนาคารใหญ่ๆ ในสิงคโปร์ก็รายงาน เช่นกันว่า ถือธุรกรรมประเภทซีดีโอที่อิงกับ ซับไพรมไว้เป็นมูลค่าที่มากพอดู อาทิ ดีบีเอส ที่ถือธุรกรรมซีดีโอในสหรัฐ 850 ล้านดอลลาร์ ธนาคารยูไนเต็ด โอเวอร์ซีส์ แบงก์ 500 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ และโอเวอร์ซี ไชนีส แบงกิ้ง คอร์ป อีก 600 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครรู้ตัวเลขที่แน่ชัดของตลาดตราสารหนี้ ซีดีโอที่อิงกับสินเชื่อซับไพรม ซึ่งตามรายงานข่าวของสื่อต่างประเทศใช้ตัวเลขอ้างอิงประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่นักเศรษฐศาสตร์บางรายคำนวณว่า น่าจะมากถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์

ยิ่งกว่านั้น แม้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ ประเมินไว้ในรายงานปี 2549 ว่า กองทุนเฮดจ์ฟันด์ ที่เน้นการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ทุกประเภท มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นมากกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2548 เพิ่มขึ้นเป็น 6 เท่า ภายในระยะเวลาเพียง 5 ปี แต่สิ่งที่น่ากลัว คือ ความเสี่ยงของธุรกรรมที่เฮดจ์ฟันด์ถืออยู่ มักจะเดิมพันสูงกว่ามูลค่าถึง 5-6 เท่าตัว ดังนั้น ทำให้มูลค่าความเสี่ยงที่แท้จริง จึงอาจเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ ประมาณ 1.5-1.8 ล้านล้านดอลลาร์

ที่สำคัญ ไม่มีใครรู้ว่า จากปี 2549 ถึงปัจจุบัน ความเสี่ยงจริงๆ ของเฮดจ์ฟันด์ สถาบันการเงิน และธนาคารที่เกี่ยวข้องกับวงจรสินเชื่อซับไพรม และตลาดซีดีโออ้างอิงซับไพรม มีมูลค่าจริงเท่าใดกันแน่
http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0205
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news13/08/07

โพสต์ที่ 52

โพสต์

ตลาดเกาหลีใต้ทะยานขึ้น
โซล - ตลาดหลักทรัพย์เกาหลีใต้ ปิดตลาดไต่ระดับขึ้นมา 20.77 จุด หรือ 1.1% ที่ 1,849.26 จุด จากการเข้าช้อนซื้อเก็งกำไร ในหุ้นที่ร่วงลงหนักเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งยังคลายความวิตกลง หลังกระทรวงการคลังออกมายืนยันว่าเตรียมพร้อมอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบธนาคารถ้าจำเป็น

เกาหลีใต้พร้อมอัดฉีดสภาพคล่องให้ธนาคาร

โซล - นายคิม เซียก ดอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และพาณิชย์ ของเกาหลีใต้ ระบุว่า เมื่อถึงเวลาจำเป็น รัฐบาลพร้อมที่จะอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบธนาคาร เพื่อหลีกเลี่ยงการขาดสภาพคล่อง หลังตลาดการเงินโลกตกอยู่ในภาวะผันผวนอย่างหนัก

เอฟดีไอจีนเดือน ก.ค. ปรับตัวขึ้น

ปักกิ่ง - กระทรวงพาณิชย์จีนเผยว่า การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) เมื่อเดือน ก.ค. ทะยานขึ้นถึง 5,040 ล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้านี้ 17.8% ส่งผลให้ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ เอฟดีไอทะยานขึ้นมา 12.9% มาอยู่ที่ 36,930 ล้านดอลลาร์

นิกเคอิทรงตัว

โตเกียว - ดัชนีนิกเคอิ ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ปิดตลาดแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง ปรับตัวขึ้นเพียง 35.96 จุด หรือ 0.21% ที่ 16,800.05 จุด หลังธนาคารกลางเดินหน้าอัดฉีดเงินเพิ่มเติม เพื่อช่วยคลายความวิตกเกี่ยวกับปัญหาซับไพร์มสหรัฐ แต่นักลงทุนยังเต็มไปด้วยความระมัดระวัง รอดูการเคลื่อนไหวช่วงเปิดสัปดาห์ของวอลล์สตรีท
http://www.bangkokbiznews.com/2007/08/1 ... _index.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news13/08/07

โพสต์ที่ 53

โพสต์

ญี่ปุ่นอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบธนาคารเพิ่มอีก 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ  

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 13 สิงหาคม 2550 18:09 น.
 
      วันนี้(13 ส.ค.) นางนาโอมิ มาริโกะ โฆษกธนาคารกลางแห่งญี่ปุ่น หรือ บีโอเจ แถลงวันนี้ระบุว่าญี่ปุ่นจะอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบธนาคาร เพื่อเสริมสภาพคล่องอีก 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 170,000 ล้านบาทวันนี้
     
      การอัดฉีดเงินจำนวนดังกล่าว เป็นวันที่ 2 ติดต่อกันที่บีโอเจอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบธนาคาร หลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางทั้งสหรัฐ ออสเตรเลีย ยุโรปและญี่ปุ่น อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบธนาคาร เพื่อลดผลกระทบความแตกตื่นจากปัญหาเงินกู้ที่อยู่อาศัยในสหรัฐ
     
      ความแตกตื่นที่เกิดขึ้นดังกล่าวส่งผลกระทบให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ตกต่ำพร้อม ๆ กันทั่วโลก เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนเกรงว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบเงินกู้ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังระบบการเงินอื่น ตลอดจนส่งผลร้ายต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก และจะทำให้เกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000094922
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news13/08/07

โพสต์ที่ 54

โพสต์

"อีร์รี" ชี้สถานการณ์ข้าวโลก กำลังส่งสัญญาณน่าวิตก  

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 10 สิงหาคม 2550 11:11 น.

      วันนี้(10 ส.ค.) โรเบิร์ต ซิกเลอร์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยข้าวระหว่างประเทศ (อีร์รี) เตือนสถานการณ์ข้าวโลกส่งสัญญาณน่าวิตก เช่น ราคาข้าวสูงขึ้น ปุ๋ย และสตอกข้าวอยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบ 30 ปี
     
      ซิกเลอร์ เสนอให้นำเทคโนโลยีใหม่ทางการเกษตรมาใช้เพื่อรับมือกับความท้าทาย ซึ่งส่งสัญญาณที่น่าเป็นห่วงต่อผลผลิตข้าวโลก โดยในปัจจุบันปริมาณการผลิตข้าวลดลง อันเนื่องมาจากการลดลงของพื้นที่เพาะปลูก และในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาราคาข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้น 2 เท่า ส่วนราคาปุ๋ยก็เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และว่าในปัจจุบันสตอกข้าวอยู่ในระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษหลังปี 2513
     
      ซิกเลอร์ กล่าวด้วยว่า ความต้องการเชื้อเพลิงชีวภาพที่เพิ่มขึ้น การขยายตัวของเมือง และภาคอุตสาหกรรมที่ต้องใช้น้ำและที่ดินเป็นจำนวนมาก อีกทั้งผลกระทบในระยะยาวจากภาวะโลกร้อน ทำให้การปลูกข้าวจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีใหม่เพื่อเพิ่มผลผลิตและรักษาระดับราคาให้ต่ำและมีเสถียรภาพ
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000093771
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news13/08/07

โพสต์ที่ 55

โพสต์

CPIจีนสูงสุดในรอบ 10 ปี แตะ 5.6%! คาดจีนขึ้นดบ.อีกอย่างน้อย1-2หนในปีนี้

โดย ผู้จัดการออนไลน์
13 สิงหาคม 2550 16:00 น.
 
ราคาเนื้อหมูในจีนพุ่งสูงอย่างไม่มีวี่แววลดลงมา เป็นตัวการในการดันซีพีไอมาตรวัดเงินเฟ้อสูงทะลุเพดานที่จีนกำหนด เกือบ 2 เท่าตัว
      เอเจนซีดัชนีราคาผู้บริโภค หรือซีพีไอจีน ซึ่งเป็นมาตรวัดภาวะเงินเฟ้อ พุ่งพรวดแตะระดับสูงที่สุดในรอบ 10 ปี ที่ร้อยละ 5.6 ขณะที่แนวโน้มราคาอาหารยังไม่มีวี่แววตกลงมา สภาพดังกล่าวยิ่งหนุนความเป็นไปได้ในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยหนที่ 4 ภายในปีนี้
     
      เมื่อจันทร์ (12 ส.ค.) สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนแถลงผ่านเว็บไซต์ ระบุซีพีไอประจำเดือนกรกฎาคม ขยายตัวถึงร้อยละ 5.6 เกินเพดานร้อยละ 3 ที่ทางการกำหนดไว้สำหรับปี 2007 นี้ ถึงเกือบ 2 เท่า สำหรับซีพีไอเมื่อเดือนก่อนหน้า(มิ.ย.) อยู่ที่ร้อยละ 4.4 ส่วนซีพีไอ 6 เดือนแรกของปีนี้ เท่ากับร้อยละ 3.2      
      ดัชนีเศรษฐกิจตัวอื่นๆต่างบ่ายหน้าขึ้นสู่เส้นเตือนภัย ขณะนี้ จะต้องทำทุกอย่างเพื่อสกัดการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วเข้าสู่ภาวะร้อนเกิน ไชน่า ซีเคียวริตี้ เจอร์นัล รายงานโดยอ้างคำกล่าวของ
      จางเท่ารองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการระหว่างประเทศของธนาคารกลาง
     
      ด้านดัชนีราคาผู้ผลิต หรือพีพีไอ ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อในระดับขายส่ง กลับชะลอตัวลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.4 ในเดือนกรกฎาคม จากระดับร้อยละ 2.5 ของเดือนมิถุนายน จากการเปิดเผยของสำนักงานสถิติเมื่อวันศุกร์(10 ส.ค.)
     
      สำหรับตัวการที่ดันซีพีไอทะลุเพดานเป้าหมายอย่างดุเดือดในเดือนกรกฎาคม คือราคาอาหารที่พุ่งสูงร้อยละ 15.4 แต่สินค้าที่ไม่ใช่อาหาร ขยับขึ้นมาเพียงร้อยละ 0.9 เท่านั้น ในกลุ่มสินค้าอาหารนั้น เนื้อสัตว์มีราคาพุ่งแรงสุด ถึงร้อยละ 45.2 ตามด้วยการขึ้นราคาไข่ร้อยละ 30.6, น้ำมันปรุงอาหารก็ขึ้นราคาร้อยละ 30.1, ราคาธัชพืช ก็แพงขึ้นอีก ร้อยละ 6.0
     
      ในเดือนกรกฎาคม ราคาสินค้าในเขตชนบทสูงขึ้นร้อยละ 6.3 มากกว่าเขตเมือง ซึ่ง สูงขึ้นร้อยละ 5.3
     
      ความเสี่ยงเงินเฟ้อฉายชัดมากขึ้น จนกระทั่งธนาคารประชาชนหรือธนาคารกลางจีนยอมรับความเสี่ยงเงินเฟ้อในรายงานการเงินประจำไตรมาสสอง พร้อมทั้งกล่าวว่าจะใช้มาตรการใดๆที่จำเป็นในการสร้างเสถียรภาพพื้นฐานแก่ราคา
     
      นับจากต้นปีมา จีนได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว 3 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดในวันที่ 20 กรกฎาคม ธนาคารกลางประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะ 1 ปี เป็นร้อยละ 33.3 หลังจากเศรษฐกิจไตรมาสสองพองโตเกินคาดถึงร้อยละ 11.9 พร้อมกันนี้ ก็ได้ลดอัตราภาษีดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร เหลือร้อยละ 5 จากระดับร้อยละ 20
     
      อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนของเงินฝาก ก็ยังต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งหมายถึงการสูญเสียอำนาจซื้อของกลุ่มประชาชนที่เอาเงินไปฝากธนาคาร ดังนั้น ประชาชนจึงเมินการฝากเงินกับธนาคาร และแห่เทเงินเข้าตลาดหุ้น ซึ่งก็ตกอยู่ในสภาพร้อนระอุอยู่แล้ว โดยราคาในตลาดหุ้นจีนพุ่งสูงถึงร้อยละ 77.53 ในปีนี้ หลังจากที่ขยายตัวอย่างดุเดือดร้อยละ 130 ในปี 2006 สร้างความวิตกฟองสบู่ในตลาด
     
      กลุ่มนักวิเคราะห์คาดกันว่า ธนาคารกลางจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่สี่ของปีในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ เพื่อปรับอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงให้เข้ามาอยู่ในแดนบวก และช่วยผ่อนเพลาผลกระทบจากราคาที่พุ่งสูงเอาๆ พร้อมทั้งสกัดกระแสเงินทะลักเข้าตลาดหุ้น
     
      ระหว่างปีที่เหลือนี้ ธนาคารกลางอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อยหนึ่งถึงสองครั้ง หรืออาจมากกว่านั้น หากสถานการณ์แย่ลง จัวเสี่ยวเหลยนักวิเคราะห์ปรำกาแล็กซี่ ซีเคียวริตี้สในปักกิ่ง คาดการณ์
     
      สำหรับมาตรการอื่นๆที่จีนจะงัดออกมาระบายสภาพคล่องในตลาดคือ แผนการออกพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งตั้งเป้าระดมเงิน 1.55 ล้านล้านหยวน หรือ 205,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ ดอกผลที่ได้จากการขายพันธบัตรฯนี้ จะจัดสรรไปให้แก่สำนักงานลงทุนทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ ที่จัดตั้งขึ้นใหม่ เพื่อสร้างช่องทางที่หลากหลายในการลง และเพิ่มพูนดอกผลสูงสุดจากทุนสำรองเงินต่างประเทศ ซึ่งมีขนาดใหญ่สุดในโลก 1.33 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
     
      ทั้งนี้ การขึ้นราคา โดยเฉพาะสินค้าอาหาร เป็นสิ่งที่น่ากลัวมากในจีน เนื่องจากประชาชนยังมีรายได้สุทธิต่ำมาก และค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่หมดไปกับอาหาร ในปี 2006 รายได้สุทธิประจำปีของกลุ่มผู้อาศัยในเมือง เท่ากับ 11,759 หยวน และสำหรับคนชนบท เท่ากับ 3,587 หยวน
     
      ก่อนหน้า คณะกรรมการการปฏิรูปและการพัฒนา หรือเอ็นดีอาร์ซี ได้สั่งการปราบพวกปั่นราคาอาหาร สืบเนื่องจากมีกระแสภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้องหลายประเภท ประกาศแผนการขึ้นราคาสินค้า อาทิ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และเชนฟาสต์ฟู้ด.
http://www.manager.co.th/china/ViewNews ... 0000094859
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news16/08/07

โพสต์ที่ 56

โพสต์

อียู ชี้ แมตเทล เรียกคืนของเล่นทั่วโลก เป็นเรื่องบกพร่องอย่างแรง

โดย ผู้จัดการออนไลน์
16 สิงหาคม 2550 19:04 น.
       เอเอฟพี - คณะกรรมาธิการยุโรป หรืออียู เรียกร้องการเพิ่มความระมัดระวังจากผู้ประกอบสินค้า และเจ้าหน้าที่ หลังจากที่ แมตเทล บริษัทผู้ผลิตของเล่นยักษ์ใหญ่แห่งสหรัฐฯ ประกาศเรียกคืนของเล่นที่ผลิตในจีนกว่า 18 ล้านชิ้นทั่วโลก ทั้งยังชี้ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นความบกพร่องขั้นร้ายแรง
     
      สหภาพยุโรปออกมาเรียกร้องความระมัดระวังจากผู้เกี่ยวข้อง หลังจากที่ทางบริษัท แมตเทล เรียกคืนของเล่นทั่วโลก โดยอ้างความกังวลเรื่องความปลอดภัยของเด็กๆ เนื่องจากผลิตภัณฑ์บางส่วนใช้สีที่มีส่วนผสมของตะกั่ว ขณะที่ของเล่นอื่นมีแม่เหล็กเป็นส่วนประกอบก็หลุดออกง่าย
     
      เมกเลนา คูเนวา คณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภคแห่งอียู แสดงความพอใจที่ความเสี่ยงจากภัยของเล่นได้รับการตรวจสอบจากแมตเทลเอง และบริษัทผู้จัดจำหน่ายก็แสดงความรับผิดชอบอย่างเต็มที่
      คูเนวา กล่าวเสริมย้ำว่า ความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่จะเป็นกุญแจสำคัญในเรื่องนี้ และการเพิ่มความระมัดระวังจากทั้งสองฝ่ายก็เป็นสิ่งจำเป็น
     
      อย่างไรก็ตาม ในคำแถลงยังกล่าวอีกว่า อียูยังคงต้องทำงานเพื่อให้แน่ใจว่าข้อเรียกร้องในครั้งนี้จะถูกส่งไปยังประเทศสมาชิก ซึ่งต้องมีความรับผิดชอบในการบังคับใช้มาตรการที่ถูกต้อง หากขั้นตอนการความสมัครใจไม่ได้ผล
http://www.manager.co.th/Around/ViewNew ... 0000096446
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news16/08/07

โพสต์ที่ 57

โพสต์

รมว.คลังสหรัฐ ยอมรับตลาดหุ้นโลกปั่นป่วน กระทบการเติบโต ศก.สหรัฐ  

โดย ผู้จัดการออนไลน์
16 สิงหาคม 2550 16:00 น.
 
      วันนี้(16 ส.ค.) นายเฮนรี่ พอลสัน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์วอล สทรีต เจอร์นัลวันนี้ ระบุว่า การตกต่ำของตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกจากปัญหาตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐ
     
      อย่างไรก็ตาม นายพอลสัน ยืนยันว่า สภาพปั่นป่วนที่เกิดขึ้นจนกระทั่งดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทั่วทั้งโลกตกต่ำนั้นจะไม่นำไปสู่สภาวะวิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐ เนื่องจากในปัจจุบัน ระบบเศรษฐกิจของทุกภูมิภาคมีพื้นฐานแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับปัญหาที่เกิดขึ้นได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเนื่อง
     
      นายพอลสัน ระบุว่า จากสภาพความปั่นป่วนที่เกิดขึ้น มีขึ้นท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจโลกที่แข็งแกร่งที่สุด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2541 จะเห็นความแตกต่างชัดเจน และเขามั่นใจว่า ตลาดหลักทรัพย์ในแต่ละประเทศจะค่อย ๆ ปรับตัวจนเข้าสู่สภาวะปกติ ขณะที่ระบบเศรษฐกิจสหรัฐจะยังคงอัตราการเติบโตต่อไป อย่างไรก็ตาม นายพอลสัน ยอมรับว่ารัฐบาลสหรัฐไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ในการแทรกแซงตลาด หรือแก้ไขสถานการณ์ได้มากกว่าการอัดฉีดเม็ดเงินเสริมสภาพคล่องในระบบธนาคารตามที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด พยายามแก้ไขปัญหาในปัจจุบัน
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000096321
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news17/08/07

โพสต์ที่ 58

โพสต์

จีนยันไม่ขายดอลลาร์ในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ ข่าว 16.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, August 17, 2007
นายโจว เหวินจง เอกอัคราชทูตจีนประจำสหรัฐฯ ยืนยันว่า จีนไม่มีแผนที่จะเทขายสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ เพื่อตอบโต้สหรัฐฯ ที่กดดันจีนให้ปรับค่าเงินหยวนแข็งขึ้น และหากจีนจะดำเนินการใด ๆ จะคำนึงถึงความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศ

ขณะเดียวกันธนาคารจีนได้ออกแถลงการณ์ผ่าน Website ย้ำว่า สกุลเงินดอลลาร์มีความสำคัญต่อระบบการเงินระหว่างประเทศ และเป็นองค์ประกอบสำคัญในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีน

ก่อนหน้านี้ วุฒิสภาสหรัฐได้อนุมัติผ่านร่างกฎหมาย 2 ฉบับ เพื่อเปิดทางให้สหรัฐใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีขาเข้าสินค้าจากจีน หากจีนไม่ปรับขึ้นค่าเงินหยวนอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์ ซึ่งต่อมารัฐบาลจีนก็แสดงท่าทีตอบโต้ว่า จะขายเงินดอลลาร์ที่อยู่ในทุนสำรองเงินตราฯ ออกมา
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news17/08/07

โพสต์ที่ 59

โพสต์

จีนลดภาษีสินค้าโภคภัณฑ์หวังกระตุ้นยอดการค้า - ข่าว 18.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, August 17, 2007
นายหวัง ซินเปีย โฆษกกระทรวงพาณิชย์ของจีน บอกว่า จีนได้ปรับลดภาษีสินค้าโภคภัณฑ์จากกลุ่มประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) จำนวน 5,375 รายการ เพื่อกระตุ้นการค้าระหว่างสองประเทศ โดยก่อนหน้านี้อัตราภาษีสินค้าโภคภัณฑ์โดยเฉลี่ยได้ถูกปรับลดลงจาก 9.9% มาอยู่ที่ 5.8% ตั้งแต่ที่ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามข้อตกลงการขายสินค้าในเขตการค้าเสรีระหว่างจีนและอาเซียน และภาษีของสินค้าทุกประเภทจะปรับลดลงเหลือ 0% ภายในปี 2553

สำหรับในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ การค้าระหว่างจีนและอาเซียนปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 27.5% คิดเป็นมูลค่า 1.09 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมียอดนำเข้าเพิ่มขึ้น 22.4% คิดเป็นมูลค่า 5.87 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และการส่งออกปรับตัวเพิ่มขึ้น 34% คิดเป็นมูลค่า 5.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าส่งออกของจีนที่ไปยังประเทศในกลุ่มอาเซียน ได้แก่ เรือ เสื้อผ้าถักไหมพรม เครื่องถ้วยชาม และผัก ขณะที่จีนนำเข้าทองแดง ยาง และผลิตภัณฑ์จากโกโก้
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news17/08/07

โพสต์ที่ 60

โพสต์

เฟดส่งสัญญาณไม่หั่นดบ.ฉุกเฉิน

เซนต์หลุยส์ (สำนักข่าวตปท.) ขุนพลเฟดส่งสัญญาณไม่ลดดอกเบี้ยฉุกเฉินเพื่อสยบตลาดหุ้นระส่ำระสาย พอลสันเชื่อตลาดแค่ปรับฐาน ไม่ฉุดเศรษฐกิจมะกันถดถอย

วิลเลียม พูล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาเซนต์หลุยส์ กล่าวต่อสำนักข่าวบลูมเบิร์กเมื่อวันที่ 15 ส.ค. ว่า ความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นทั่วโลกอันเป็นผลจากปัญหาหนี้เสียซับไพรม์จะไม่ฉุดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐ และเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลงก็ต่อเมื่อเกิดความเสียหายที่รุนแรงเท่านั้น

รายงานระบุว่า ความเห็นของดังกล่าวของพูล บ่งชี้ว่า เฟดไม่น่าจะลดดอกเบี้ยก่อนการประชุมในวันที่ 18 ก.ย. ตามที่ตลาดซื้อขายล่วงหน้าคาดการณ์ไว้

คงไม่เหมาะสมที่จะพูดว่า ความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดในขณะนี้จะกระทบต่อพื้นฐานเศรษฐกิจในทุกๆ ด้าน พูล กล่าวและว่า เฟดจะถูกตำหนิจากตลาด หากตัดสินใจลดดอกเบี้ยทั้งๆ ที่สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ได้กระทบเศรษฐกิจอย่างแท้จริง

พูล ถือเป็นเจ้าหน้าที่เฟดคนแรกที่แสดงความเห็นนับจากเฟดอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบธนาคารเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ก่อนเพื่อเสริมสภาพคล่อง

ขณะที่ ไลล์ แกรมลีย์ อดีตผู้ว่าการเฟด ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจอาวุโสแห่ง สแตนฟอร์ด กรุ๊ป โค ในกรุงวอชิงตัน กล่าวว่า เฟดจะไม่ลดดอกเบี้ยลงก่อนการประชุมในเดือนหน้าอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม เอเอฟพีรายงาน ถ้อยแถลงของ เฮนรี พอลสัน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ระบุ ความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นทั่วโลกจะกระทบต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐ แต่จะไม่ส่งผลร้ายแรงเข้าขั้นเศรษฐกิจถดถอย

พอลสัน ชี้ว่า ภาวะตลาดผันผวนจะส่งผลให้นักลงทุนบางส่วนต้องออกจากตลาด และการปรับฐานของตลาดจะดำเนินต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง แต่ก็เชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวต่อไปได้

ความเห็นของพอลสันสอดคล้องกับความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์แห่งแคปิตอล อีโคโนมิกส์ ที่ระบุเช่นกันว่า ภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนจะเกิดขึ้นต่อไปอีกระยะซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปรับฐาน โดยตลาดหุ้นน่าจะฟื้นตัวได้ภายในปีนี้ และภาวะหุ้นปรับตัวลดลงรุนแรงนี้จะไม่กระทบต่อผู้บริโภคและกองทุนบำเหน็จบำนาญ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=185553