เท่าที่สังเกตุ ปีนี้เล่นหุ้นแบบ VI ได้น้อยกว่าแบบ"เสี่ย
-
- Verified User
- โพสต์: 10
- ผู้ติดตาม: 0
เท่าที่สังเกตุ ปีนี้เล่นหุ้นแบบ VI ได้น้อยกว่าแบบ"เสี่ย
โพสต์ที่ 1
ผมพยายาม ติดตามอ่านและ ศึกษาการเล่นแบบ VI มานานแล้ว
เท่าที่ดู ตลาดหุ้นในตอนนี้ ไม่เหมาะจะเล่นแบบ VI เพราะ หุ้นขึ้นแล้วไม่ขาย สุดท้าย ก็ไม่ได้อะไร มีแต่รอให้มันตกลงมาเท่านั้นเอง
และพอหุ้นลง ไม่รู้จัก Cut loss .....ก็รังแต่ จะขาดทุน ไม่จบสิ้น นี่หากภาวะหมี แย่กว่านี้(เช่น ลงไป 700 จุด) พวก VI อาจจะตายก่อน พวกอื่นนะครับ (เพราะไม่รู้จัก stop loss)
พี่ๆ ว่าไงกันบ้างครับ
เท่าที่ดู ตลาดหุ้นในตอนนี้ ไม่เหมาะจะเล่นแบบ VI เพราะ หุ้นขึ้นแล้วไม่ขาย สุดท้าย ก็ไม่ได้อะไร มีแต่รอให้มันตกลงมาเท่านั้นเอง
และพอหุ้นลง ไม่รู้จัก Cut loss .....ก็รังแต่ จะขาดทุน ไม่จบสิ้น นี่หากภาวะหมี แย่กว่านี้(เช่น ลงไป 700 จุด) พวก VI อาจจะตายก่อน พวกอื่นนะครับ (เพราะไม่รู้จัก stop loss)
พี่ๆ ว่าไงกันบ้างครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1558
- ผู้ติดตาม: 0
เท่าที่สังเกตุ ปีนี้เล่นหุ้นแบบ VI ได้น้อยกว่าแบบ"เสี่ย
โพสต์ที่ 3
เทียบหลายปีหน่อยซิครับ หลักการลงทุนแบบ VI เป็นการลงทุนระยะยาว ไม่ได้หวังแค่ปีสองปี ลองหาค่าเฉลี่ยนซัก 10-15 ปี แล้วก็การลงทุนแบบ VI สามารถลงทุนได้ทุกสถานการณ์ ทุกภาวะตลาด โดนเฉพาะอย่างงี้ช่วงตลาดหมีเป็นช่วงน่าลงทุนที่สุด อีกอย่างครับ เราลงทุน ไม่ใช่เล่น
เรื่อง cut loss ในความคิดผม ผมไม่มีคำว่า cut loss ปกติแล้วถ้าบริษัทและผู้บริหารยังดีอยู่ราคาลงแค่ไหนก็ไม่ขาย
เรื่อง cut loss ในความคิดผม ผมไม่มีคำว่า cut loss ปกติแล้วถ้าบริษัทและผู้บริหารยังดีอยู่ราคาลงแค่ไหนก็ไม่ขาย
- Eyore
- Verified User
- โพสต์: 606
- ผู้ติดตาม: 0
เท่าที่สังเกตุ ปีนี้เล่นหุ้นแบบ VI ได้น้อยกว่าแบบ"เสี่ย
โพสต์ที่ 4
3 ปีที่ผมเข้ามาที่เวบนี้
ผมไม่เคยเห็นใครที่ post แบบนี้
แล้วกลับมาเล่าให้ฟังเลยครับ
ว่าตอนนี้ประสบความสำเร็จขนาดไหนแล้ว
เพราะถ้าคิดอัตราเร่งดังที่ว่ามา
3 ปีก็น่าจะมีอิสระภาพทางการเงินได้แล้วครับ
ส่วนใหญ่มา post ไม่กี่ครั้งก็หายไปเลย
ไม่ทราบเป็นยังไงกันบ้าง
ผมว่าถ้าจขกท.อยากทราบคำตอบ
ให้ save กระทู้เอาไว้
แล้วอีก 3 ปีมาเปิดอ่าน
ก็จะได้คำตอบด้วยตัวเองครับ
ถ้าไม่อยากรอนานขนาดนั้น
ก็ลองกลับไปอ่านกระทู้ย้อนหลังตั้งแต่หน้าแรกมา
ก็จะเข้าใจเองครับ
ผมไม่เคยเห็นใครที่ post แบบนี้
แล้วกลับมาเล่าให้ฟังเลยครับ
ว่าตอนนี้ประสบความสำเร็จขนาดไหนแล้ว
เพราะถ้าคิดอัตราเร่งดังที่ว่ามา
3 ปีก็น่าจะมีอิสระภาพทางการเงินได้แล้วครับ
ส่วนใหญ่มา post ไม่กี่ครั้งก็หายไปเลย
ไม่ทราบเป็นยังไงกันบ้าง
ผมว่าถ้าจขกท.อยากทราบคำตอบ
ให้ save กระทู้เอาไว้
แล้วอีก 3 ปีมาเปิดอ่าน
ก็จะได้คำตอบด้วยตัวเองครับ
ถ้าไม่อยากรอนานขนาดนั้น
ก็ลองกลับไปอ่านกระทู้ย้อนหลังตั้งแต่หน้าแรกมา
ก็จะเข้าใจเองครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1250
- ผู้ติดตาม: 0
เท่าที่สังเกตุ ปีนี้เล่นหุ้นแบบ VI ได้น้อยกว่าแบบ"เสี่ย
โพสต์ที่ 6
ผมว่า การเก็งกำไร หรือการเล่นรอบไม่ใช่ไม่ดี นะครับ
แต่ว่ามันจำเป้นที่จะต้องมีความสามารถพิเศษ อะไรซักอย่าง ที่ผมคิดว่าทำไม่ได้ แน่เลย มันเป้นความสามารถเฉพาะตัว ครับ
อยากมีเหมือนกันครับแต่ยอมรับว่าไร้ความสามารถเก็งกำไร หรือเล่นรอบ
ส่วนใหญ่จะได้เงินเวลาหุ้นขาขึ้น
เอาเป็นว่าผมเล่นในพื้นที่ตัวเองดีกว่า รู้น้อยเอานิดหน่อยพอแล้ว
แต่ว่ามันจำเป้นที่จะต้องมีความสามารถพิเศษ อะไรซักอย่าง ที่ผมคิดว่าทำไม่ได้ แน่เลย มันเป้นความสามารถเฉพาะตัว ครับ
อยากมีเหมือนกันครับแต่ยอมรับว่าไร้ความสามารถเก็งกำไร หรือเล่นรอบ
ส่วนใหญ่จะได้เงินเวลาหุ้นขาขึ้น
เอาเป็นว่าผมเล่นในพื้นที่ตัวเองดีกว่า รู้น้อยเอานิดหน่อยพอแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 187
- ผู้ติดตาม: 0
เท่าที่สังเกตุ ปีนี้เล่นหุ้นแบบ VI ได้น้อยกว่าแบบ"เสี่ย
โพสต์ที่ 8
ผมคิดว่า ถ้า index ลงถึง 650 - 700 จุด หุ้นใหญ่ ๆ ไม่ค่อยลงแล้ว แกว่งไปแก่วงมาในกรอบ 50 จุด บรรยากาศการลงทุนเริ่มนิ่ง ไม่ panic
พวกหุ้น VI ที่ยังมีผลประกอบการที่ดี ปันผลสูง (เพราะราคาลงไปลึก) ก็จะเริ่มมีคนสนใจซื้อ ราคาก็จะขึ้นได้ ถ้าลงลึก ก็อาจขึ้นได้มาก เพราะตอนลงมาลึกพวกที่ซื้อก็มันคิดจะลงยาว แรงขายก็จะน้อยเวลาขึ้น ซึ่งก็อาจจะทำให้หุ้น vi นี้ให้ผลตอบแทนที่ชนะ index ได้ เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นหุ้นที่คนไทยถือ กองทุน หรือต่างชาติไม่ซื้ออยู่แล้ว มีแรงซื้อเป็นมูลค่าสัก 30 - 50 ล้านก็ไม่รู้วิ่งไปถึงไหนแล้ว
แต่ถ้าเป็นพวกพลังงาน แบงค์ ต้องใช้เงินเท่าไรเพื่อจะขึ้นสัก 10 % 100 หรือ 200 หรือ 300 ล้าน แล้วถ้าจะให้ขึ้นทั้งกลุ่มต้องใช้เงินเท่าไร
ถ้าการลงทุนแบบ VI ให้ผลตอบแทนระยะยาวแย่กว่าแบบ เสี่ย นะ ปีเตอร์ ลินซ์ บัฟเฟต์ ฟิชเชอร์ คงต้องไปถือกะลาขอทานที่หน้า wall stree แล้ว
และถ้าจะเป็นอย่างที่ จขกท ว่าก็จะได้พิสูจน์ว่า การลงทุนแบบ VI ตอนหุ้นลงหนัก ๆ กลายเป็นตลาดหมี จะใช้ได้ที่เมืองไทยหรือเปล่า หรือใช้ได้เฉพาะที่อเมริกาเท่านัน
พวกหุ้น VI ที่ยังมีผลประกอบการที่ดี ปันผลสูง (เพราะราคาลงไปลึก) ก็จะเริ่มมีคนสนใจซื้อ ราคาก็จะขึ้นได้ ถ้าลงลึก ก็อาจขึ้นได้มาก เพราะตอนลงมาลึกพวกที่ซื้อก็มันคิดจะลงยาว แรงขายก็จะน้อยเวลาขึ้น ซึ่งก็อาจจะทำให้หุ้น vi นี้ให้ผลตอบแทนที่ชนะ index ได้ เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นหุ้นที่คนไทยถือ กองทุน หรือต่างชาติไม่ซื้ออยู่แล้ว มีแรงซื้อเป็นมูลค่าสัก 30 - 50 ล้านก็ไม่รู้วิ่งไปถึงไหนแล้ว
แต่ถ้าเป็นพวกพลังงาน แบงค์ ต้องใช้เงินเท่าไรเพื่อจะขึ้นสัก 10 % 100 หรือ 200 หรือ 300 ล้าน แล้วถ้าจะให้ขึ้นทั้งกลุ่มต้องใช้เงินเท่าไร
ถ้าการลงทุนแบบ VI ให้ผลตอบแทนระยะยาวแย่กว่าแบบ เสี่ย นะ ปีเตอร์ ลินซ์ บัฟเฟต์ ฟิชเชอร์ คงต้องไปถือกะลาขอทานที่หน้า wall stree แล้ว
และถ้าจะเป็นอย่างที่ จขกท ว่าก็จะได้พิสูจน์ว่า การลงทุนแบบ VI ตอนหุ้นลงหนัก ๆ กลายเป็นตลาดหมี จะใช้ได้ที่เมืองไทยหรือเปล่า หรือใช้ได้เฉพาะที่อเมริกาเท่านัน
- ย้ำคิดย้ำฝัน
- Verified User
- โพสต์: 105
- ผู้ติดตาม: 0
เท่าที่สังเกตุ ปีนี้เล่นหุ้นแบบ VI ได้น้อยกว่าแบบ"เสี่ย
โพสต์ที่ 9
ลอกบทความจาก THE INTELLIGENT INVESTOR มาฝากครับ
ผลตอบแทนสูง ๆ ไม่อาจพิสูจน์อะไรได้ สมมติว่าสถานที่สองแห่งอยู่ห่างจากกันเป็นระยะทาง 130 ไมล์ หากผมขับรถด้วยความเร็ว 65 ไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุดที่กฎหมายกำหนด ผมจะใช้เวลาเดินทางสองชั่วโมง แต่ถ้าผมขับรถด้วยความเร็ว 130 ไมล์ต่อชั่วโมง ผมจะถึงที่หมายโดยใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น หากผมขับรถเร็วเช่นนี้และเอาชีวิตรอดมาได้ มันหมายความว่าผมถูกอย่างนั้นหรือ? เมื่อคุณได้ยินผมคุยโม้ว่ามันได้ผล คุณควรจะลองทำดูหรือเปล่า? กลเม็ดในการเอาชนะตลาดที่ได้ผลประเดี๋ยวก็มีลักษณะคล้าย ๆ กัน ในระยะสั้น ๆ มันจะใช้ได้ผลตราบใดที่คุณยังโชคดี แต่ในระยะยาวแล้วมันจะฆ่าคุณได้
ผลตอบแทนสูง ๆ ไม่อาจพิสูจน์อะไรได้ สมมติว่าสถานที่สองแห่งอยู่ห่างจากกันเป็นระยะทาง 130 ไมล์ หากผมขับรถด้วยความเร็ว 65 ไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุดที่กฎหมายกำหนด ผมจะใช้เวลาเดินทางสองชั่วโมง แต่ถ้าผมขับรถด้วยความเร็ว 130 ไมล์ต่อชั่วโมง ผมจะถึงที่หมายโดยใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น หากผมขับรถเร็วเช่นนี้และเอาชีวิตรอดมาได้ มันหมายความว่าผมถูกอย่างนั้นหรือ? เมื่อคุณได้ยินผมคุยโม้ว่ามันได้ผล คุณควรจะลองทำดูหรือเปล่า? กลเม็ดในการเอาชนะตลาดที่ได้ผลประเดี๋ยวก็มีลักษณะคล้าย ๆ กัน ในระยะสั้น ๆ มันจะใช้ได้ผลตราบใดที่คุณยังโชคดี แต่ในระยะยาวแล้วมันจะฆ่าคุณได้
- ย้ำคิดย้ำฝัน
- Verified User
- โพสต์: 105
- ผู้ติดตาม: 0
เท่าที่สังเกตุ ปีนี้เล่นหุ้นแบบ VI ได้น้อยกว่าแบบ"เสี่ย
โพสต์ที่ 11
เจ้าของกระทู้อย่าน้อยใจไปนะครับ
ก็อย่างที่หลายท่านให้คำแนะนำน่ะครับ ทุกท่านมีเจตนาดีนะครับ
ลองดูครับ ลองศึกษาเพิ่มเติมดู
ผมเองทีแรกก็ไม่ค่อยเชื่อแนว VI เหมือนกัน ดูมันขัดกับบุคลิกและวิธีทำงานของเรา เพื่อนฝูงก็คุยกันแต่ PTT อย่าวนู้นอย่างนี้
ศึกษามาก ๆ ก็จะเข้าใจมากขึ้นเอง
ตอนนี้มีเลือด VI ข้นขึ้นแล้วครับ
เชื่อ ไม่เชื่ออย่างไรต้องพิจารณาให้ดีนะครับ
ก็อย่างที่หลายท่านให้คำแนะนำน่ะครับ ทุกท่านมีเจตนาดีนะครับ
ลองดูครับ ลองศึกษาเพิ่มเติมดู
ผมเองทีแรกก็ไม่ค่อยเชื่อแนว VI เหมือนกัน ดูมันขัดกับบุคลิกและวิธีทำงานของเรา เพื่อนฝูงก็คุยกันแต่ PTT อย่าวนู้นอย่างนี้
ศึกษามาก ๆ ก็จะเข้าใจมากขึ้นเอง
ตอนนี้มีเลือด VI ข้นขึ้นแล้วครับ
เชื่อ ไม่เชื่ออย่างไรต้องพิจารณาให้ดีนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 76
- ผู้ติดตาม: 0
เท่าที่สังเกตุ ปีนี้เล่นหุ้นแบบ VI ได้น้อยกว่าแบบ"เสี่ย
โพสต์ที่ 12
ผมมีความเห็นว่า ต้องแยกประเภทหุ้นด้วยนะครับ
หุ้นที่ฮอตมาก จะเล่นรอบได้
แต่หุ้นบางตัวเป็นหุ้นที่ดีมาก แล้วเจ้าของไม่ขายออก
ทำให้หมุนเวียนน้อย เป็นไปได้ที่โอกาสซื้อขาย
ต้องรอจังหวะที่คนแห่ขาย ถึงได้ซื้อก็มีครับ
ไม่เหมือนหุ้นใหญ่ที่มีรอบซื้อของกองทุนต่างชาติ
หุ้นที่ฮอตมาก จะเล่นรอบได้
แต่หุ้นบางตัวเป็นหุ้นที่ดีมาก แล้วเจ้าของไม่ขายออก
ทำให้หมุนเวียนน้อย เป็นไปได้ที่โอกาสซื้อขาย
ต้องรอจังหวะที่คนแห่ขาย ถึงได้ซื้อก็มีครับ
ไม่เหมือนหุ้นใหญ่ที่มีรอบซื้อของกองทุนต่างชาติ
-
- Verified User
- โพสต์: 10
- ผู้ติดตาม: 0
เท่าที่สังเกตุ ปีนี้เล่นหุ้นแบบ VI ได้น้อยกว่าแบบ"เสี่ย
โพสต์ที่ 13
ผมก็เห็น ชาว VI ทฤษฎีแน่น กันทุกคน
และชอบ อ้าง บัฟเฟต ปีเตอร์ ลินช์ ฯลฯ
แต่ ช่วยบอกหน่อยซิครับ ว่า เมืองไทย ใครที่เล่นแบบ VI แล้วรวย จากการลงทุนหุ้นบ้าง
เสี่ยยักษ์ หมอฟัน เสี่ยปู่ ฯลฯ และคนอื่นๆ ในตลาดหุ้นไทย ที่รวยจากหุ้น ล้วนมาจาก การเล่นรอบ ทั้งนั้นครับ
ผมขอเลือก วิธีการ ที่ใช้ได้จริงครับ "ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน"
และชอบ อ้าง บัฟเฟต ปีเตอร์ ลินช์ ฯลฯ
แต่ ช่วยบอกหน่อยซิครับ ว่า เมืองไทย ใครที่เล่นแบบ VI แล้วรวย จากการลงทุนหุ้นบ้าง
เสี่ยยักษ์ หมอฟัน เสี่ยปู่ ฯลฯ และคนอื่นๆ ในตลาดหุ้นไทย ที่รวยจากหุ้น ล้วนมาจาก การเล่นรอบ ทั้งนั้นครับ
ผมขอเลือก วิธีการ ที่ใช้ได้จริงครับ "ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน"
-
- Verified User
- โพสต์: 1608
- ผู้ติดตาม: 0
เท่าที่สังเกตุ ปีนี้เล่นหุ้นแบบ VI ได้น้อยกว่าแบบ"เสี่ย
โพสต์ที่ 15
ผมว่าคนที่รวยจากการลงทุนแบบ VI ไม่ค่อยอยู่ในห้องค้าให้ใครรู้จัก
และสื่อก็ไม่ชอบลงข่าวเพราะมันไม่ใช่วิธีที่คนส่วนใหญ่เล่นกัน
รายชื่อที่ว่ามา เมื่อเทียบกับคนที่วายป่วงจากการเล่นรอบนั้นเป็นอัตราส่วนเท่าไร
คิดว่าคนที่ลงทุนแบบ VI โอกาสขาดทุนเทียบกับกำไรเป็นเท่าไร
และถ้าไม่สามารถระบุชื่อคนที่รวยจากการเล่นแบบ VI ในเมืองไทย
ที่บอกว่าศึกษาการลงทุนแบบ VI มานานคงเป็นเพียงคำพูดลอย ๆ
ใช้ได้จริง ?
กำไรสูงสุดต่อการเล่น 1 รอบคุณเป็นเท่าไร
ผลตอบแทนต่อปีเป็นเท่าไร
คุณเคยได้ 300% ใน 1 turn ไหม
คุณทำกำไรได้อย่างพี่ครรชิต พี่วิบูลย์ พี่มน คุณ chartchai ไหม
และคุณมาที่นี่ทำไม
ผมไม่เคยเข้าไปบลัฟ technicalist หรือนักเล่นรอบในเว็บเทคนิคอื่น ๆ
ไปไหนก็ไปเหอะ ไปที่ชอบ ๆ ที่ ๆ คนที่เล่นแบบคุณอยู่กัน
ถ้าไม่ไปก็เอาพอร์ตมาอวดหน่อยว่าฝีมือการเล่นรอบเป็นอย่างไร
และสื่อก็ไม่ชอบลงข่าวเพราะมันไม่ใช่วิธีที่คนส่วนใหญ่เล่นกัน
รายชื่อที่ว่ามา เมื่อเทียบกับคนที่วายป่วงจากการเล่นรอบนั้นเป็นอัตราส่วนเท่าไร
คิดว่าคนที่ลงทุนแบบ VI โอกาสขาดทุนเทียบกับกำไรเป็นเท่าไร
และถ้าไม่สามารถระบุชื่อคนที่รวยจากการเล่นแบบ VI ในเมืองไทย
ที่บอกว่าศึกษาการลงทุนแบบ VI มานานคงเป็นเพียงคำพูดลอย ๆ
ใช้ได้จริง ?
กำไรสูงสุดต่อการเล่น 1 รอบคุณเป็นเท่าไร
ผลตอบแทนต่อปีเป็นเท่าไร
คุณเคยได้ 300% ใน 1 turn ไหม
คุณทำกำไรได้อย่างพี่ครรชิต พี่วิบูลย์ พี่มน คุณ chartchai ไหม
และคุณมาที่นี่ทำไม
ผมไม่เคยเข้าไปบลัฟ technicalist หรือนักเล่นรอบในเว็บเทคนิคอื่น ๆ
ไปไหนก็ไปเหอะ ไปที่ชอบ ๆ ที่ ๆ คนที่เล่นแบบคุณอยู่กัน
ถ้าไม่ไปก็เอาพอร์ตมาอวดหน่อยว่าฝีมือการเล่นรอบเป็นอย่างไร
- trillionaire
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1090
- ผู้ติดตาม: 1
เท่าที่สังเกตุ ปีนี้เล่นหุ้นแบบ VI ได้น้อยกว่าแบบ"เสี่ย
โพสต์ที่ 16
...ต่างคน ต่างสไตล์ ใครคิดว่า ลงทุนแบบไหนแล้วกำไรดีกว่า...
... เหมาะกับตัวเองมากกว่า ก็ตามสบาย...
...อย่าไปอ้างอิงคนที่เค้าลอยลมบนไปแล้วเลย ...
...มันเถียงกันไม่จบ...
...เดิมผมก็เป็นแบบ จขกท เล่นรอบ เข้าๆออกๆจนโบรกรวย...
...รอบเนี่ยไม่ใช่เล่นเน็ท เล่นรายวัน รอบของผมเป็นรายสัปดาห์...
...แต่หลังจากมาพบTVI จึงได้ข้อคิดว่า ...
...ไม่ว่า ตลาดจะเป็นยังงัย ถ้าหุ้นมันดีจริง ราคาต้องสะท้อนพื้นฐานของมัน...
...ผมจึงตั้งใจทำการบ้าน หาหุ้นที่คิดว่า อดีต-ปัจจุบันดีและจะมีอนาคตที่ดี...
...และรู้สึกว่า คนที่นี่เค้ารู้ลึก รู้จริง ไม่มั่ว ไม่เดา เค้าถึงไม่ค่อยสนใจเทคนิค...
...คนเล่นรอบส่วนใหญ่ มักเชื่อตามเทคนิค ผมก็เชื่อและเรียนรู้มัน...
...แต่จะเอามาประยุกต์ใช้ เพื่อหาความสอดคล้องของเทคนิคกับพื้นฐานเท่านั้น...
...ซึ่งเท่าที่เห็น นักเทคนิคจะโคตรแม่น เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว...
...มีใครที่มันจะทายถูกทุกครั้งมั้ย เกินครึ่งก็ได้อ่ะ...
...สรุป ไม่มีอะไรสุดโต่ง ทุกอย่างต้องประกอบกัน จึงจะสำเร็จ...
...อย่างเสี่ยปู่ที่คุณว่า เล่นรอบ เดี๋ยวนี้ท่านกลายเป็นVIไปแล้ว...
...ไม่ได้ตามข่าวละซิ...แสดงว่า ขนาดท่านซึ่งเป็นidolของนักเก็งกำไร...
...ยังเชื่อในVI ในบัฟเฟต์ ...
...ผมว่า มีคนในนี้หรือVIอื่นๆที่ประสบความสำเร็จแต่เค้าไม่โม้...
...คุณเลย ไม่เคยรู้จักเค้าเหล่านั้น ...
...ลองออกมาจากกะลา(แบบผม) แล้วจะมองเห็นโลกกว้าง ที่นอกเหนือจากหน้าจอสี่เหลี่ยม...
... เหมาะกับตัวเองมากกว่า ก็ตามสบาย...
...อย่าไปอ้างอิงคนที่เค้าลอยลมบนไปแล้วเลย ...
...มันเถียงกันไม่จบ...
...เดิมผมก็เป็นแบบ จขกท เล่นรอบ เข้าๆออกๆจนโบรกรวย...
...รอบเนี่ยไม่ใช่เล่นเน็ท เล่นรายวัน รอบของผมเป็นรายสัปดาห์...
...แต่หลังจากมาพบTVI จึงได้ข้อคิดว่า ...
...ไม่ว่า ตลาดจะเป็นยังงัย ถ้าหุ้นมันดีจริง ราคาต้องสะท้อนพื้นฐานของมัน...
...ผมจึงตั้งใจทำการบ้าน หาหุ้นที่คิดว่า อดีต-ปัจจุบันดีและจะมีอนาคตที่ดี...
...และรู้สึกว่า คนที่นี่เค้ารู้ลึก รู้จริง ไม่มั่ว ไม่เดา เค้าถึงไม่ค่อยสนใจเทคนิค...
...คนเล่นรอบส่วนใหญ่ มักเชื่อตามเทคนิค ผมก็เชื่อและเรียนรู้มัน...
...แต่จะเอามาประยุกต์ใช้ เพื่อหาความสอดคล้องของเทคนิคกับพื้นฐานเท่านั้น...
...ซึ่งเท่าที่เห็น นักเทคนิคจะโคตรแม่น เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว...
...มีใครที่มันจะทายถูกทุกครั้งมั้ย เกินครึ่งก็ได้อ่ะ...
...สรุป ไม่มีอะไรสุดโต่ง ทุกอย่างต้องประกอบกัน จึงจะสำเร็จ...
...อย่างเสี่ยปู่ที่คุณว่า เล่นรอบ เดี๋ยวนี้ท่านกลายเป็นVIไปแล้ว...
...ไม่ได้ตามข่าวละซิ...แสดงว่า ขนาดท่านซึ่งเป็นidolของนักเก็งกำไร...
...ยังเชื่อในVI ในบัฟเฟต์ ...
...ผมว่า มีคนในนี้หรือVIอื่นๆที่ประสบความสำเร็จแต่เค้าไม่โม้...
...คุณเลย ไม่เคยรู้จักเค้าเหล่านั้น ...
...ลองออกมาจากกะลา(แบบผม) แล้วจะมองเห็นโลกกว้าง ที่นอกเหนือจากหน้าจอสี่เหลี่ยม...
- trillionaire
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1090
- ผู้ติดตาม: 1
เท่าที่สังเกตุ ปีนี้เล่นหุ้นแบบ VI ได้น้อยกว่าแบบ"เสี่ย
โพสต์ที่ 18
เสี่ยปู่" ผมไม่ใช่ขาใหญ่ ผมไม่มีก๊วน
ขาใหญ่ "สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล" เจ้าของฉายา "เสี่ยปู่" พอร์ตหุ้นไม่ต่ำกว่าหลักพันล้านบาท เวลาขยับตัวเล่นหุ้นตัวไหน มักดึงดูดความสนใจรายย่อยขอร่วมวงแจมตามลงทุนหวังกำไรติดไม้ติดมือกันไม่น้อย เสี่ยปู่ให้สัมภาษณ์ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงเส้นทางชีวิตที่วนเวียนอยู่ในตลาดหุ้นมาราว 20 ปี วันนี้กลายเป็นอาชีพหลัก ว่า
"ผมเข้าตลาดหุ้นปี 2530 ตอนนั้นทำงานอยู่สภาพัฒน์ เป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบาย อยู่ฝ่ายบัญชีประชาชาติ หลังจากเรียนจบเศรษฐ ศาสตร์ เราได้มาดูตลาดหุ้นก็รู้สึกชอบแน่ๆ ทำให้ตัดสินใจลาออกจากราชการ ใช้เวลาตัดสินใจไม่นาน แต่พอเข้ามาเล่นก็เจ๊งเลย ตอนนั้นพอร์ตประมาณ 1 ล้านบาท เจ๊งเหลือ 2 แสนบาท"
เสี่ยปู่เล่าว่า ตอนนั้นไปสมัครเป็นลูกค้า บล. เอ็มซีซี (ปิดกิจการแล้ว) แต่ไม่รับ ถ้าเป็นต้องใช้เงินขั้นต่ำ 5 แสนบาทเปิดบัญชีเล่นหุ้น (พอร์ต) จึงไปสมัครที่ บล.ธนสยาม ซึ่งตอนหลังๆ พอร์ตผมโตขึ้นเรื่อยๆ ทาง บล.เอ็มซีซี ก็มาเชิญไปเป็นลูกค้า แต่ผมปฏิเสธ ผมมาโตจริงๆ หลังช่วงเกิดเหตุซัดดัม ช่วงนั้นดัชนีผันผวนมากๆ เราได้เวลาตลาดลง
เริ่มเล่นหุ้นก็เก็งกำไรแล้ว
"การลงทุนในช่วงแรกๆ ก็เป็นนักเก็งกำไรแล้ว เพราะสมัยนั้นเล่นหุ้นตัวที่แข็งกว่าตลาด ตอนนั้นเล่นหุ้นไม่มีหลอกเลย ถ้าบอกวันรุ่งขึ้นก็ขึ้น ส่วนใหญ่เป็นหุ้นหลักทรัพย์ที่ขึ้นเยอะมาก แล้วก็มีวอร์แรนต์ ตอนนี้เราก็ดูตลาดเอาว่าเล่นตัวไหน ตัวไหนที่แข็งก็จะซื้อตัวนั้น ตอนนั้นนักเก็งกำไรจะเล่นทางเดียวกัน เก็งกำไรกันจริงๆ ไม่มีพื้นฐาน เศรษฐกิจไม่เกี่ยวเลย ตัวไหนแข็งก็ซื้อ เล่น 1-2 ตัวก็เต็มพอร์ต"
สมัยนั้นหุ้นดังๆ จะมีวอร์แรนต์ของ บล. เอกธำรง แล้วก็มีวอร์แรนต์ของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมฯ (IFCT) โดยเฉพาะในช่วงประกาศลอยค่าเงินบาท (ปี 2540) ตอนนั้นหุ้นแบงก์ขึ้นหมด ผมทำกำไรได้ถึง 53 ล้านบาท พอร์ตลงทุนตอนนั้นโตประมาณ 100 ล้านบาท
"ตอนนั้นเป็น pure speculate เลย เราซื้อทั้งๆ ที่รู้ว่า IFCT-W มีมูลค่าเหลือศูนย์แน่ๆ แต่บรรยากาศอารมณ์ตอนนั้นพาไปให้ต้องซื้อติดพอร์ตไว้ ผมก็เติบโตมาจากการเก็งกำไร แต่จุดที่ทำให้ผมเปลี่ยน คือ มาซื้อหุ้น KK (เกียรตินาคิน) ที่เริ่มซื้อที่ 90 สตางค์ เก็บเรื่อยมาจน 1 บาทกว่า ต้นทุนเฉลี่ยไม่เกิน 2 บาท ซื้อมา 60 ล้านหุ้น แต่หุ้นโดนบล็อกมากราคาไม่ค่อยขึ้น จนราคามาที่ 3-4 บาท ก็เริ่มขายออกไป ตรงกับขณะนั้นที่มีการออกหุ้นวอร์แรนต์ในราคา 2.30 บาท ให้สัดส่วน 1 หุ้นต่อ 1 วอร์แรนต์ หุ้น KK วิ่งรวดเดียวถึง 80 บาท วอร์แรนต์อยู่ที่ 60 บาท จากราคาสิทธิที่ถือว่าต่ำ ก็เลยได้คิดว่าถ้าถือหุ้นดีๆ น่าจะทำกำไรได้มากกว่านี้"
จุดเปลี่ยนความคิด "เล่นหุ้นพื้นฐาน"
เสี่ยปู่บอกว่า บทเรียนจากการเล่นเก็งกำไร ทำให้ขาดทุนมากกว่าได้กำไร เพราะเป็นคนที่เล่นขาลงไม่เก่ง ประกอบกับ "มนตรี ศรไพศาล" (กรรมการผู้จัดการ บล.กิมเอ็ง) เอาหนังสือของวอร์แรนต์บัฟเฟดมาให้ จึงอ่านแล้วอ่านอีก ทั้งๆ ที่เป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือมาก แต่หนังสือเล่มนี้อ่านแล้ววางไม่ลงเลย ก็เลยคิดตลอดเวลาว่า จะเป็นนักลงทุนหุ้นคุณค่า หรือ value stock ให้ได้ เพราะเชื่อในปรัชญาที่ว่า ราคาหุ้นที่สุดแล้วจะไปอยู่ในพื้นฐานของตัวหุ้นนั้นๆ ในระยะยาว ยิ่งในตลาดหุ้นสมัยนี้ การเล่นหุ้นเก็งกำไรที่ไม่มีพื้นฐานจะยากมาก ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เก็งกำไรกันได้ง่าย
"แต่หุ้นที่ไม่มีพื้นฐาน เวลาราคาขึ้นไปเกินกว่าพื้นฐานค่อนข้างมาก มักจะเป็นราคาที่ไม่จริง พอร์ตที่ผ่านมาแม้จะมีการเก็งกำไร แต่ก็เป็นการได้ๆ เสียๆ ถึงพอร์ตจะโตแต่ก็โตแบบเก็งกำไรไม่ยั่งยืน ในช่วงหลังๆ จึงแบ่งพอร์ตลงทุนเป็นหุ้นพื้นฐาน 70% สำหรับลงทุนระยะยาว (long term) และหุ้นเก็งกำไร 30% แต่ก็ยอมรับว่าบางครั้งหุ้นเก็งกำไรทำกำไรได้เยอะกว่าหุ้นพื้นฐาน แต่บางครั้งการเก็งกำไรของผมก็จะดูปัจจัยพื้นฐานด้วยเหมือนกัน อย่างเช่นหุ้นเดินเรือ ชอบ TTA เราไม่ได้ฟังนักวิเคราะห์ แต่จะดูค่าระวางเรือ"
สำหรับเทคนิคการเลือกหุ้น เสี่ยปู่เล่าว่า เวลาซื้อหุ้นจะเป็นช่วงตลาดขาลง ซึ่งเป็นการรอรับซื้อจนได้กำไร โดยหุ้นที่ซื้อจะดูผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น (ROE) เป็นหลัก อย่างหุ้นอิออน ธนสินทรัพย์ (AEONTS) จะสังเกตมาตลอดตั้งแต่เข้าตลาดโตมากกว่า 30% ทุกปี สูงมาก ถือว่าเป็นหุ้นดีแม้ราคาจะนิ่ง จึงเป็นหุ้นตัวหนึ่งที่ถือมาตลอดไม่ขาย ชอบมากตัวนี้
เปิดพอร์ตหุ้นลงทุนยาว-เก็งกำไร
นอกจากนี้ในพอร์ตยังมีหุ้นมูลค่าอื่นๆ อีก ได้แก่ หุ้นกรุงศรีอยุธยา (BAY) และวอร์แรนต์ (BAY-W1), หุ้น ซี.พี.เซเว่นอีเลฟเว่น (C.P.7-11), หุ้นเอ็ม เอฟ อี ซี (MFEC), หุ้นไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) และวอร์แรนต์ (MINT-W3), หุ้นปริญสิริ (PRIN), หุ้นเอส แอนด์ พี ซินดิเคท (S&P) และหุ้น สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนต์ (SF) ส่วนพอร์ตหุ้นเก็งกำไร ช่วงนี้จะเน้นหุ้นพลังงานตามกระแสเงินต่างชาติที่ไหลเข้ามาช็อปหุ้นกลุ่มนี้ อย่างตัวเต็งๆ จะมีหุ้น ปตท.สผ. (PTTPT) และหุ้น ปตท.เคมิคอล (PTTCH) และยังมีหุ้นโทรีเซนไทย เอเยนซีส์ (TTA) หุ้นอะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) หรือ ATC ซึ่งพวกนี้จะปรับตัวตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งเก็งกำไรได้ง่าย
"หุ้นเก็งกำไร ถ้าซื้อแล้วขาดทุน ก็ถือว่าดูผิดก็จะขาย ถ้าเป็นหุ้นแวลูที่ยังดีอยู่ ก็จะถือต่อไป ผมจะดูถ้าช่วงไหนหุ้นขึ้นแรงๆ ในช่วงสั้นๆ ซัก 50% ผมก็จะพิจารณาขาย ถ้าเป็นวอร์แรนต์ ถ้ากำไรซัก 200% ผมอาจไม่ขาย ต้องดูหุ้นแม่เป็นตัวประกอบก่อน ซึ่งวอร์แรนต์หลายตัวที่ซื้อก็เพื่อ ใช้สิทธิแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ"
เสี่ยปู่เล่าว่า ช่วงที่ผ่านมาหุ้นขึ้นบูมมาก ไม่ได้ซื้อเพิ่ม เรียกว่าลดพอร์ตเลย เพราะราคาหุ้นแพงเกินไปจากการที่ปรับขึ้นเร็วและแรง แต่ตัวที่จะซื้อเก็บจะเลือกหุ้นที่คิดว่าดีและยังสะสมได้ โดยเฉพาะหุ้นเล็กๆ หรือถ้าเวลาที่ฝรั่งขาย ก็จะมานั่งดูหุ้นว่ายังแพงอยู่หรือว่าถูกลงแล้ว โดยไม่สนใจว่าในช่วงนั้นใครซื้อหรือขายอยู่
สำหรับกำไรจากพอร์ตลงทุน ถ้าเป็นหุ้นแวลู จะโตขึ้นเรื่อยๆ บางตัวก็โตเร็ว ส่วนหุ้นเก็งกำไรก็ขึ้นในทำนองเดียวกัน และเวลาที่ได้กำไรจากหุ้นเก็งกำไรจะเอามาซื้อหุ้นพื้นฐานเก็บไว้ โดยสถิติพอร์ตหุ้นมูลค่าเคยกำไรสูงสูดถึง 1,500 ล้านบาท !!! แต่ถ้านับรวมกับพอร์ตหุ้นเก็งกำไรแล้ว ตัวเลขกำไรที่ประมาณการแบบเปิดเผยก็เกิน 2,000 ล้านบาท !!!
ชื่อเสียงดังเลยถูกนำมาหากินในห้องค้า
ด้วยไซซ์พอร์ตใหญ่ขนาดนี้ เสี่ยปู่จึงยอมรับว่า บ่อยครั้งที่ชื่อเสี่ยปู่ถูกนำไปใช้อ้างในตลาดหุ้นว่า "เข้าเล่นหุ้นตัวนั่นตัวนี่" หวังเรียกแมลงเม่าเข้ามาร่วมวงปั่นหุ้น หรือถูกข้อหาว่า "เป็นนอมินีให้กลุ่มนักการเมือง" ซึ่งตนขอยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองเลย ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยถูกตลาดหลักทรัพย์ฯเข้ามาตรวจสอบ แต่ก็ไม่พบอะไร และไม่เว้นแม้กระทั่งข่าวว่า "เสี่ยปู่รับจ้างทำราคาให้กับหุ้นใหม่ที่จะเข้าตลาด" ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่ามีการติดต่อจริง แต่ก็บอกไปตรงๆ ว่าทำไม่ได้ เพราะหุ้นจองพอเข้าตลาดวันแรกก็ขายกันแล้ว
"ที่ผ่านมาก็มีถูกเพ่งเล็งจากทางการบ้างเหมือนกัน ตามที่หนังสือพิมพ์เอาไปลงกัน ว่าไปปั่นหุ้นตัวนั้นตัวนี้หลายๆ ตัวก็เป็นแค่ข่าวลือ เพื่อให้หุ้นวิ่งขึ้น ทั้งที่ไม่จริงเลยที่เข้าไปซื้อแล้วหุ้นมันจะขึ้น ขายแล้วลงก็ไม่ใช่ เคยซื้อหุ้นเยอะไม่ขึ้นก็มี และ ผมก็ไม่ใช่ขาใหญ่อะไรด้วย เพราะขาใหญ่ๆ จริงมีไม่เยอะ เป็นข่าวลืออุปโลกน์กันไปมากกว่า ขาใหญ่ตัวจริงต้องมีเครือข่าย มีก๊วน เล่นตัวเดียวกัน พากันดันราคาขึ้นไป พอหัวหน้าเป่านกหวีด ปรี๊ดก็ขายกันหมดอย่างนี้ สำหรับผมจะเล่นลงทุนคนเดียว ไม่ค่อยมีก๊วนแต่ก็จะคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันบ้าง ถ้าเห็นดีด้วยก็ซื้อบ้างถ้าไม่ก็ไม่ซื้อ"
เป้าหมายชีวิต "เล่นหุ้นไปเรื่อยๆ"
เสี่ยปู่บอกว่า แม้อายุ 55 ปี ก็ยังชอบการลงทุนในตลาดหุ้นอยู่ ซึ่งคิดว่าจะเล่นหุ้นไปเรื่อยๆ ชีวิตมีความสุขดี ทุกวันนี้กลางคืนก็จะมีเข้าไปดูข่าวในเว็บไซต์ต่างๆ เกี่ยวกับหุ้น ดูว่าเขาแชตหุ้นอะไรกันบ้าง มีหลายเว็บทั้งกระทิงเขียวในพันธุ์ทิพย์ฯ ทุกวันนี้ก็เล่นหุ้นเป็นอาชีพส่งลูกเรียนต่อเมืองนอก ขณะที่ภรรยาซึ่งเป็นแม่บ้านอยู่ ตอนนี้ก็มาเล่นหุ้นเหมือนกัน แต่คนละพอร์ตกัน เพราะลงทุนคนละสไตล์ พอกลับถึงบ้านจะคุยหุ้นกันนิดๆ หน่อย ซึ่งปรากฏว่าภรรยาได้กำไรมากกว่าในรอบหุ้นขึ้นที่ผ่านมา ส่วนลูกๆ 3 คนหากเรียนจบกลับมาในอนาคตก็อยากให้เข้ามาเล่นหุ้นเหมือนกัน
พอถามถึงงานอดิเรก เสี่ยปู่จะบอกว่า จะมีทั้งการสะสมรูป ศิลปะ งานตัดแต่งต้นไม้ ปลูกต้นไม้ที่บ้าน ที่สำคัญ เงินส่วนใหญ่จะไม่ค่อยใช้ฟุ่มเฟือย ยกเว้นเครื่องแต่งกายที่จะทุ่มสุดๆ เน้นแบรนด์ดังๆ เท่อย่างเวอร์ซาเช่ ที่ใส่มาให้สัมภาษณ์ด้วยมาดเนี้ยบ บุคลิกนิ่มๆ แบบนักวิชาการใส่แว่น แต่นี่เป็นขาใหญ่เล่นหุ้น "เสี่ยปู่"
http://www.matichon.co.th/prachachat/ne ... 36&catid=2
ขาใหญ่ "สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล" เจ้าของฉายา "เสี่ยปู่" พอร์ตหุ้นไม่ต่ำกว่าหลักพันล้านบาท เวลาขยับตัวเล่นหุ้นตัวไหน มักดึงดูดความสนใจรายย่อยขอร่วมวงแจมตามลงทุนหวังกำไรติดไม้ติดมือกันไม่น้อย เสี่ยปู่ให้สัมภาษณ์ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงเส้นทางชีวิตที่วนเวียนอยู่ในตลาดหุ้นมาราว 20 ปี วันนี้กลายเป็นอาชีพหลัก ว่า
"ผมเข้าตลาดหุ้นปี 2530 ตอนนั้นทำงานอยู่สภาพัฒน์ เป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบาย อยู่ฝ่ายบัญชีประชาชาติ หลังจากเรียนจบเศรษฐ ศาสตร์ เราได้มาดูตลาดหุ้นก็รู้สึกชอบแน่ๆ ทำให้ตัดสินใจลาออกจากราชการ ใช้เวลาตัดสินใจไม่นาน แต่พอเข้ามาเล่นก็เจ๊งเลย ตอนนั้นพอร์ตประมาณ 1 ล้านบาท เจ๊งเหลือ 2 แสนบาท"
เสี่ยปู่เล่าว่า ตอนนั้นไปสมัครเป็นลูกค้า บล. เอ็มซีซี (ปิดกิจการแล้ว) แต่ไม่รับ ถ้าเป็นต้องใช้เงินขั้นต่ำ 5 แสนบาทเปิดบัญชีเล่นหุ้น (พอร์ต) จึงไปสมัครที่ บล.ธนสยาม ซึ่งตอนหลังๆ พอร์ตผมโตขึ้นเรื่อยๆ ทาง บล.เอ็มซีซี ก็มาเชิญไปเป็นลูกค้า แต่ผมปฏิเสธ ผมมาโตจริงๆ หลังช่วงเกิดเหตุซัดดัม ช่วงนั้นดัชนีผันผวนมากๆ เราได้เวลาตลาดลง
เริ่มเล่นหุ้นก็เก็งกำไรแล้ว
"การลงทุนในช่วงแรกๆ ก็เป็นนักเก็งกำไรแล้ว เพราะสมัยนั้นเล่นหุ้นตัวที่แข็งกว่าตลาด ตอนนั้นเล่นหุ้นไม่มีหลอกเลย ถ้าบอกวันรุ่งขึ้นก็ขึ้น ส่วนใหญ่เป็นหุ้นหลักทรัพย์ที่ขึ้นเยอะมาก แล้วก็มีวอร์แรนต์ ตอนนี้เราก็ดูตลาดเอาว่าเล่นตัวไหน ตัวไหนที่แข็งก็จะซื้อตัวนั้น ตอนนั้นนักเก็งกำไรจะเล่นทางเดียวกัน เก็งกำไรกันจริงๆ ไม่มีพื้นฐาน เศรษฐกิจไม่เกี่ยวเลย ตัวไหนแข็งก็ซื้อ เล่น 1-2 ตัวก็เต็มพอร์ต"
สมัยนั้นหุ้นดังๆ จะมีวอร์แรนต์ของ บล. เอกธำรง แล้วก็มีวอร์แรนต์ของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมฯ (IFCT) โดยเฉพาะในช่วงประกาศลอยค่าเงินบาท (ปี 2540) ตอนนั้นหุ้นแบงก์ขึ้นหมด ผมทำกำไรได้ถึง 53 ล้านบาท พอร์ตลงทุนตอนนั้นโตประมาณ 100 ล้านบาท
"ตอนนั้นเป็น pure speculate เลย เราซื้อทั้งๆ ที่รู้ว่า IFCT-W มีมูลค่าเหลือศูนย์แน่ๆ แต่บรรยากาศอารมณ์ตอนนั้นพาไปให้ต้องซื้อติดพอร์ตไว้ ผมก็เติบโตมาจากการเก็งกำไร แต่จุดที่ทำให้ผมเปลี่ยน คือ มาซื้อหุ้น KK (เกียรตินาคิน) ที่เริ่มซื้อที่ 90 สตางค์ เก็บเรื่อยมาจน 1 บาทกว่า ต้นทุนเฉลี่ยไม่เกิน 2 บาท ซื้อมา 60 ล้านหุ้น แต่หุ้นโดนบล็อกมากราคาไม่ค่อยขึ้น จนราคามาที่ 3-4 บาท ก็เริ่มขายออกไป ตรงกับขณะนั้นที่มีการออกหุ้นวอร์แรนต์ในราคา 2.30 บาท ให้สัดส่วน 1 หุ้นต่อ 1 วอร์แรนต์ หุ้น KK วิ่งรวดเดียวถึง 80 บาท วอร์แรนต์อยู่ที่ 60 บาท จากราคาสิทธิที่ถือว่าต่ำ ก็เลยได้คิดว่าถ้าถือหุ้นดีๆ น่าจะทำกำไรได้มากกว่านี้"
จุดเปลี่ยนความคิด "เล่นหุ้นพื้นฐาน"
เสี่ยปู่บอกว่า บทเรียนจากการเล่นเก็งกำไร ทำให้ขาดทุนมากกว่าได้กำไร เพราะเป็นคนที่เล่นขาลงไม่เก่ง ประกอบกับ "มนตรี ศรไพศาล" (กรรมการผู้จัดการ บล.กิมเอ็ง) เอาหนังสือของวอร์แรนต์บัฟเฟดมาให้ จึงอ่านแล้วอ่านอีก ทั้งๆ ที่เป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือมาก แต่หนังสือเล่มนี้อ่านแล้ววางไม่ลงเลย ก็เลยคิดตลอดเวลาว่า จะเป็นนักลงทุนหุ้นคุณค่า หรือ value stock ให้ได้ เพราะเชื่อในปรัชญาที่ว่า ราคาหุ้นที่สุดแล้วจะไปอยู่ในพื้นฐานของตัวหุ้นนั้นๆ ในระยะยาว ยิ่งในตลาดหุ้นสมัยนี้ การเล่นหุ้นเก็งกำไรที่ไม่มีพื้นฐานจะยากมาก ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เก็งกำไรกันได้ง่าย
"แต่หุ้นที่ไม่มีพื้นฐาน เวลาราคาขึ้นไปเกินกว่าพื้นฐานค่อนข้างมาก มักจะเป็นราคาที่ไม่จริง พอร์ตที่ผ่านมาแม้จะมีการเก็งกำไร แต่ก็เป็นการได้ๆ เสียๆ ถึงพอร์ตจะโตแต่ก็โตแบบเก็งกำไรไม่ยั่งยืน ในช่วงหลังๆ จึงแบ่งพอร์ตลงทุนเป็นหุ้นพื้นฐาน 70% สำหรับลงทุนระยะยาว (long term) และหุ้นเก็งกำไร 30% แต่ก็ยอมรับว่าบางครั้งหุ้นเก็งกำไรทำกำไรได้เยอะกว่าหุ้นพื้นฐาน แต่บางครั้งการเก็งกำไรของผมก็จะดูปัจจัยพื้นฐานด้วยเหมือนกัน อย่างเช่นหุ้นเดินเรือ ชอบ TTA เราไม่ได้ฟังนักวิเคราะห์ แต่จะดูค่าระวางเรือ"
สำหรับเทคนิคการเลือกหุ้น เสี่ยปู่เล่าว่า เวลาซื้อหุ้นจะเป็นช่วงตลาดขาลง ซึ่งเป็นการรอรับซื้อจนได้กำไร โดยหุ้นที่ซื้อจะดูผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น (ROE) เป็นหลัก อย่างหุ้นอิออน ธนสินทรัพย์ (AEONTS) จะสังเกตมาตลอดตั้งแต่เข้าตลาดโตมากกว่า 30% ทุกปี สูงมาก ถือว่าเป็นหุ้นดีแม้ราคาจะนิ่ง จึงเป็นหุ้นตัวหนึ่งที่ถือมาตลอดไม่ขาย ชอบมากตัวนี้
เปิดพอร์ตหุ้นลงทุนยาว-เก็งกำไร
นอกจากนี้ในพอร์ตยังมีหุ้นมูลค่าอื่นๆ อีก ได้แก่ หุ้นกรุงศรีอยุธยา (BAY) และวอร์แรนต์ (BAY-W1), หุ้น ซี.พี.เซเว่นอีเลฟเว่น (C.P.7-11), หุ้นเอ็ม เอฟ อี ซี (MFEC), หุ้นไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) และวอร์แรนต์ (MINT-W3), หุ้นปริญสิริ (PRIN), หุ้นเอส แอนด์ พี ซินดิเคท (S&P) และหุ้น สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนต์ (SF) ส่วนพอร์ตหุ้นเก็งกำไร ช่วงนี้จะเน้นหุ้นพลังงานตามกระแสเงินต่างชาติที่ไหลเข้ามาช็อปหุ้นกลุ่มนี้ อย่างตัวเต็งๆ จะมีหุ้น ปตท.สผ. (PTTPT) และหุ้น ปตท.เคมิคอล (PTTCH) และยังมีหุ้นโทรีเซนไทย เอเยนซีส์ (TTA) หุ้นอะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) หรือ ATC ซึ่งพวกนี้จะปรับตัวตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งเก็งกำไรได้ง่าย
"หุ้นเก็งกำไร ถ้าซื้อแล้วขาดทุน ก็ถือว่าดูผิดก็จะขาย ถ้าเป็นหุ้นแวลูที่ยังดีอยู่ ก็จะถือต่อไป ผมจะดูถ้าช่วงไหนหุ้นขึ้นแรงๆ ในช่วงสั้นๆ ซัก 50% ผมก็จะพิจารณาขาย ถ้าเป็นวอร์แรนต์ ถ้ากำไรซัก 200% ผมอาจไม่ขาย ต้องดูหุ้นแม่เป็นตัวประกอบก่อน ซึ่งวอร์แรนต์หลายตัวที่ซื้อก็เพื่อ ใช้สิทธิแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ"
เสี่ยปู่เล่าว่า ช่วงที่ผ่านมาหุ้นขึ้นบูมมาก ไม่ได้ซื้อเพิ่ม เรียกว่าลดพอร์ตเลย เพราะราคาหุ้นแพงเกินไปจากการที่ปรับขึ้นเร็วและแรง แต่ตัวที่จะซื้อเก็บจะเลือกหุ้นที่คิดว่าดีและยังสะสมได้ โดยเฉพาะหุ้นเล็กๆ หรือถ้าเวลาที่ฝรั่งขาย ก็จะมานั่งดูหุ้นว่ายังแพงอยู่หรือว่าถูกลงแล้ว โดยไม่สนใจว่าในช่วงนั้นใครซื้อหรือขายอยู่
สำหรับกำไรจากพอร์ตลงทุน ถ้าเป็นหุ้นแวลู จะโตขึ้นเรื่อยๆ บางตัวก็โตเร็ว ส่วนหุ้นเก็งกำไรก็ขึ้นในทำนองเดียวกัน และเวลาที่ได้กำไรจากหุ้นเก็งกำไรจะเอามาซื้อหุ้นพื้นฐานเก็บไว้ โดยสถิติพอร์ตหุ้นมูลค่าเคยกำไรสูงสูดถึง 1,500 ล้านบาท !!! แต่ถ้านับรวมกับพอร์ตหุ้นเก็งกำไรแล้ว ตัวเลขกำไรที่ประมาณการแบบเปิดเผยก็เกิน 2,000 ล้านบาท !!!
ชื่อเสียงดังเลยถูกนำมาหากินในห้องค้า
ด้วยไซซ์พอร์ตใหญ่ขนาดนี้ เสี่ยปู่จึงยอมรับว่า บ่อยครั้งที่ชื่อเสี่ยปู่ถูกนำไปใช้อ้างในตลาดหุ้นว่า "เข้าเล่นหุ้นตัวนั่นตัวนี่" หวังเรียกแมลงเม่าเข้ามาร่วมวงปั่นหุ้น หรือถูกข้อหาว่า "เป็นนอมินีให้กลุ่มนักการเมือง" ซึ่งตนขอยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองเลย ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยถูกตลาดหลักทรัพย์ฯเข้ามาตรวจสอบ แต่ก็ไม่พบอะไร และไม่เว้นแม้กระทั่งข่าวว่า "เสี่ยปู่รับจ้างทำราคาให้กับหุ้นใหม่ที่จะเข้าตลาด" ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่ามีการติดต่อจริง แต่ก็บอกไปตรงๆ ว่าทำไม่ได้ เพราะหุ้นจองพอเข้าตลาดวันแรกก็ขายกันแล้ว
"ที่ผ่านมาก็มีถูกเพ่งเล็งจากทางการบ้างเหมือนกัน ตามที่หนังสือพิมพ์เอาไปลงกัน ว่าไปปั่นหุ้นตัวนั้นตัวนี้หลายๆ ตัวก็เป็นแค่ข่าวลือ เพื่อให้หุ้นวิ่งขึ้น ทั้งที่ไม่จริงเลยที่เข้าไปซื้อแล้วหุ้นมันจะขึ้น ขายแล้วลงก็ไม่ใช่ เคยซื้อหุ้นเยอะไม่ขึ้นก็มี และ ผมก็ไม่ใช่ขาใหญ่อะไรด้วย เพราะขาใหญ่ๆ จริงมีไม่เยอะ เป็นข่าวลืออุปโลกน์กันไปมากกว่า ขาใหญ่ตัวจริงต้องมีเครือข่าย มีก๊วน เล่นตัวเดียวกัน พากันดันราคาขึ้นไป พอหัวหน้าเป่านกหวีด ปรี๊ดก็ขายกันหมดอย่างนี้ สำหรับผมจะเล่นลงทุนคนเดียว ไม่ค่อยมีก๊วนแต่ก็จะคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันบ้าง ถ้าเห็นดีด้วยก็ซื้อบ้างถ้าไม่ก็ไม่ซื้อ"
เป้าหมายชีวิต "เล่นหุ้นไปเรื่อยๆ"
เสี่ยปู่บอกว่า แม้อายุ 55 ปี ก็ยังชอบการลงทุนในตลาดหุ้นอยู่ ซึ่งคิดว่าจะเล่นหุ้นไปเรื่อยๆ ชีวิตมีความสุขดี ทุกวันนี้กลางคืนก็จะมีเข้าไปดูข่าวในเว็บไซต์ต่างๆ เกี่ยวกับหุ้น ดูว่าเขาแชตหุ้นอะไรกันบ้าง มีหลายเว็บทั้งกระทิงเขียวในพันธุ์ทิพย์ฯ ทุกวันนี้ก็เล่นหุ้นเป็นอาชีพส่งลูกเรียนต่อเมืองนอก ขณะที่ภรรยาซึ่งเป็นแม่บ้านอยู่ ตอนนี้ก็มาเล่นหุ้นเหมือนกัน แต่คนละพอร์ตกัน เพราะลงทุนคนละสไตล์ พอกลับถึงบ้านจะคุยหุ้นกันนิดๆ หน่อย ซึ่งปรากฏว่าภรรยาได้กำไรมากกว่าในรอบหุ้นขึ้นที่ผ่านมา ส่วนลูกๆ 3 คนหากเรียนจบกลับมาในอนาคตก็อยากให้เข้ามาเล่นหุ้นเหมือนกัน
พอถามถึงงานอดิเรก เสี่ยปู่จะบอกว่า จะมีทั้งการสะสมรูป ศิลปะ งานตัดแต่งต้นไม้ ปลูกต้นไม้ที่บ้าน ที่สำคัญ เงินส่วนใหญ่จะไม่ค่อยใช้ฟุ่มเฟือย ยกเว้นเครื่องแต่งกายที่จะทุ่มสุดๆ เน้นแบรนด์ดังๆ เท่อย่างเวอร์ซาเช่ ที่ใส่มาให้สัมภาษณ์ด้วยมาดเนี้ยบ บุคลิกนิ่มๆ แบบนักวิชาการใส่แว่น แต่นี่เป็นขาใหญ่เล่นหุ้น "เสี่ยปู่"
http://www.matichon.co.th/prachachat/ne ... 36&catid=2
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
เท่าที่สังเกตุ ปีนี้เล่นหุ้นแบบ VI ได้น้อยกว่าแบบ"เสี่ย
โพสต์ที่ 20
โค้ด: เลือกทั้งหมด
Hoonlover wrote:
ผมก็เห็น ชาว VI ทฤษฎีแน่น กันทุกคน
และชอบ อ้าง บัฟเฟต ปีเตอร์ ลินช์ ฯลฯ
แต่ ช่วยบอกหน่อยซิครับ ว่า เมืองไทย ใครที่เล่นแบบ VI แล้วรวย จากการลงทุนหุ้นบ้าง
เสี่ยยักษ์ หมอฟัน เสี่ยปู่ ฯลฯ และคนอื่นๆ ในตลาดหุ้นไทย ที่รวยจากหุ้น ล้วนมาจาก การเล่นรอบ ทั้งนั้นครับ
ผมขอเลือก วิธีการ ที่ใช้ได้จริงครับ "ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน"
ผมเองเคยคุยกับเสี่ยปู่ แกก็ถือ aeonts มาตั้งนาน นานมาก
อ่านบทความ แกก็บอกว่า แกเป็น value investor
สำหรับผมไม่ขอถกประเด็นนี้ ว่า ใคร เป็น vi vs แนวทางไหนใช่ vi หรือไม่ใช่
ถกกันแล้วได้อะไรครับ
ชื่อก็บอกอยู่แล้ว ลงทุนเน้นคุณค่า ซื้อ ถูก ขายแพง ถือนานหน่อยก็เรียกว่า vi ถือสั้นหน่อยก็เรียกว่า vs
แล้วไงเหรอ vi ขาดทุนก็มี vs ขาดทุนก็มี
vi กำไรก็มี vs กำไรก็มี
ผมคิดว่าเอาสมอง ไปมองหาหุ้น ดีๆ ราคายังต่ำ พร้อมจะขึ้นดีกว่าครับ
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 1
เท่าที่สังเกตุ ปีนี้เล่นหุ้นแบบ VI ได้น้อยกว่าแบบ"เสี่ย
โพสต์ที่ 21
8) อย่าเปรียบเทียบ อย่าล่วงเกินบุคคลอื่น ทางความคิด
แต่ละช่วงจังหว่ะเวลา ก็เกิดวีรชน
ไม่มีวิธีการลงทุนถูกต้องตลอด
ไม่มีวิธีการลงทุนใดผิดตลอด
เพราะโต้แย้งทางความคิดเป็นบ่อเกิดแห่งความแตกแยกครับ
ร่วมกันสร้างสรรแบ่งปันดีก่า
แต่ละช่วงจังหว่ะเวลา ก็เกิดวีรชน
ไม่มีวิธีการลงทุนถูกต้องตลอด
ไม่มีวิธีการลงทุนใดผิดตลอด
เพราะโต้แย้งทางความคิดเป็นบ่อเกิดแห่งความแตกแยกครับ
ร่วมกันสร้างสรรแบ่งปันดีก่า
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2273
- ผู้ติดตาม: 0
เท่าที่สังเกตุ ปีนี้เล่นหุ้นแบบ VI ได้น้อยกว่าแบบ"เสี่ย
โพสต์ที่ 22
แมวสีอะไรก็ได้ ขอให้จับหนูได้ก็พอ
ผมพบแล้วว่า VI เหมาะกับผมมากกว่า เลยเลือกทางนี้ครับ
ถ้าhoonlover พอว่าการเล่นรอบได้กำไรเยอะ ผมก็ยินดีด้วย
แต่ให้ไปเล่นรอบ แฮ่ะๆ ไม่มีความสามารถจริงๆ :oops:
ผมพบแล้วว่า VI เหมาะกับผมมากกว่า เลยเลือกทางนี้ครับ
ถ้าhoonlover พอว่าการเล่นรอบได้กำไรเยอะ ผมก็ยินดีด้วย
แต่ให้ไปเล่นรอบ แฮ่ะๆ ไม่มีความสามารถจริงๆ :oops:
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
- ก้อนหิน
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2344
- ผู้ติดตาม: 0
เท่าที่สังเกตุ ปีนี้เล่นหุ้นแบบ VI ได้น้อยกว่าแบบ"เสี่ย
โพสต์ที่ 23
จริงๆผมพอรู้นะครับว่าพี่มีความสามารถด้านไหนเป็นพิเศษครับsunrise เขียน:แมวสีอะไรก็ได้ ขอให้จับหนูได้ก็พอ
ผมพบแล้วว่า VI เหมาะกับผมมากกว่า เลยเลือกทางนี้ครับ
ถ้าhoonlover พอว่าการเล่นรอบได้กำไรเยอะ ผมก็ยินดีด้วย
แต่ให้ไปเล่นรอบ แฮ่ะๆ ไม่มีความสามารถจริงๆ :oops:
ตัวไหนตัวนั้นจริงๆ แหะแหะ 8)
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2273
- ผู้ติดตาม: 0
เท่าที่สังเกตุ ปีนี้เล่นหุ้นแบบ VI ได้น้อยกว่าแบบ"เสี่ย
โพสต์ที่ 24
[quote="ก้อนหิน"][quote="sunrise"]แมวสีอะไรก็ได้ ขอให้จับหนูได้ก็พอ
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1339
- ผู้ติดตาม: 0
เท่าที่สังเกตุ ปีนี้เล่นหุ้นแบบ VI ได้น้อยกว่าแบบ"เสี่ย
โพสต์ที่ 25
ผมคิดว่าชาว VI ส่วนใหญ่เคยเป็น VS มาก่อนแล้วพบว่า
ตัวเองเหมาะกับวิธี VI มากกว่า และผมยังเชื่ออีกว่าชาว
VI ที่เริ่มจากเงินไม่มาก ลงทุนแล้วกลายเป็น Millionair
(มีทรัพย์สมบัติ มากกว่า 1 ล้าน Dollar) คิดเป็นอัตราส่วน
แล้วมีมากกว่า ชาว VS (เล่นรอบ) หลายเท่าตัว และยัง
อยู่ในตลาดนานกว่าชาว VS (เพราะชาว VS จะสาปส่ง
ตลาดว่าเป็นบ่อนการพนัน ไม่ขอเข้าอีกแล้วเพราะหมดตัว)
ตัวเองเหมาะกับวิธี VI มากกว่า และผมยังเชื่ออีกว่าชาว
VI ที่เริ่มจากเงินไม่มาก ลงทุนแล้วกลายเป็น Millionair
(มีทรัพย์สมบัติ มากกว่า 1 ล้าน Dollar) คิดเป็นอัตราส่วน
แล้วมีมากกว่า ชาว VS (เล่นรอบ) หลายเท่าตัว และยัง
อยู่ในตลาดนานกว่าชาว VS (เพราะชาว VS จะสาปส่ง
ตลาดว่าเป็นบ่อนการพนัน ไม่ขอเข้าอีกแล้วเพราะหมดตัว)
- cryptonian_man
- Verified User
- โพสต์: 585
- ผู้ติดตาม: 0
เท่าที่สังเกตุ ปีนี้เล่นหุ้นแบบ VI ได้น้อยกว่าแบบ"เสี่ย
โพสต์ที่ 27
ผมว่าแล้วแต่ความเชี่ยวของแต่ละคนนะครับ
บางคนเชี่ยวด้านการเก็ง ก้อต้องเล่นตามที่ถนัด
ส่วนผมไม่ถนัดการเก็ง เพราะแทงบอลผิดทุกคู่ทั้งสัปดาห์ ทั้งคู่เช้าคู่เย็น คู่ดึก ก้อเคยมาแล้ว
เลยคิดว่าค่อยเป็นค่อยไปละกัน จะดีกว่าครับ
บางคนเชี่ยวด้านการเก็ง ก้อต้องเล่นตามที่ถนัด
ส่วนผมไม่ถนัดการเก็ง เพราะแทงบอลผิดทุกคู่ทั้งสัปดาห์ ทั้งคู่เช้าคู่เย็น คู่ดึก ก้อเคยมาแล้ว
เลยคิดว่าค่อยเป็นค่อยไปละกัน จะดีกว่าครับ
เขาว่า "หลังจากปากพองจากการดื่มนมร้อน เราจะเป่าโยเกิร์ตให้เย็นก่อนตักเข้าปาก"
แต่ทำไมตรูไม่เข็ด เคาะขวาไวตลอดเนี่ย
แต่ทำไมตรูไม่เข็ด เคาะขวาไวตลอดเนี่ย