modern trade and household
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news01/12/07
โพสต์ที่ 91
ยื่นกมธ.แก้นิยามค้าปลีก
สมาคมศูนย์การค้าออกโรงขอยกเว้น32ธุรกิจ-และเพิ่มขนาดพื้นที่ขออนุญาตใหญ่ขึ้น
โพสต์ทูเดย์ สมาคมศูนย์การค้า ยื่น กมธ.แก้ร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีก ค้าส่งฯ ขอยกเว้น 32 ธุรกิจ หวั่นกระทบการขยายตัวธุรกิจค้าปลีกมูลค่าแสนล้าน
นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ นายกสมาคมศูนย์การค้าไทย กล่าวว่า สมาคมฯ ได้ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมา ธิการวิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง เพื่อแก้ไขคำนิยาม ในมาตรา 5 ซึ่งยกเว้น ธุรกิจการขายของที่ระลึกตามแหล่งท่องเที่ยว เป็นธุรกิจทุกประเภทที่อยู่ในแหล่งท่องเที่ยว และเสนอเพิ่มยกเว้นธุรกิจสินค้า ซึ่งมีลักษณะพิเศษจำนวน 32 รายการ เช่น ธุรกิจเสื้อผ้า รองเท้า แว่นตา เครื่องสำอาง เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และมือถือ อุปกรณ์ก่อสร้างเครื่องกีฬา ธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องนอน เป็นต้น
นอกจากนี้ ได้ขอแก้ไขข้อ กำหนดในมาตรา 20 เกี่ยวกับธุรกิจ ที่ต้องขออนุญาตจากเดิมวรรค 1 และ 2 ของมาตราดังกล่าว กำหนดให้ธุรกิจที่มีขนาด 1 พันตาราง เมตร และมีรายได้ 1 พันล้านบาท ต่อปี ต้องขออนุญาต เป็นพื้นที่ 4 พันตารางเมตร และมีรายได้ 1 หมื่นล้านบาทขึ้นไป ที่ต้องขอ อนุญาต เพราะผู้ประกอบการไฮเปอร์มาร์เก็ต ปัจจุบันรายเล็กที่สุดมีรายได้ต่อปีมากกว่า 2 หมื่นล้าน บาทแล้ว
ปัจจุบันร้านค้าย่อยเหล่านี้ มีการขยายร้านค้าในรูปแบบใหม่ๆ บางรายมีหลายแบรนด์ พื้นที่ที่ใช้ ก็เกือบ 1 พันตารางเมตรอยู่แล้ว หากรวมพื้นที่สต๊อก ที่จอดรถด้วยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดแน่นอน นายกอบชัย กล่าว
ทั้งนี้ เดิมร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีก ค้าส่งฯ มีเจตนารมณ์เพื่อต้องการ คุ้มครองร้านโชห่วย ไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการขยายสาขาของโมเดิร์นเทรด แต่มาถึงตอนนี้ รู้สึกว่าเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.เริ่มไม่ตรง กับที่ตั้งเป้าหมายไว้ และจากความไม่ชัดเจนในร่างกฎหมายจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อร้านค้ารายย่อย ที่ขายธุรกิจเฉพาะ เช่น เสื้อผ้า รองเท้า แว่นตา เป็นต้น รวมทั้งส่งผลโดยอ้อมต่อศูนย์การค้า ที่ต้องพึ่งพาร้านค้าเหล่านี้มากกว่า 50% ในการเช่าพื้นที่ขายสินค้า หาก กมธ. ไม่แก้ไข เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาธุรกิจค้าปลีกโดยรวม
ด้านนายนพพร วิฑูรชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ กล่าว ว่า จุดยืนของสมาคมฯ สนับสนุน ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ แต่หากกฎหมายกำหนดไว้กว้างเกินไป ไม่ชัดเจน จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการลงทุนของผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีก รวมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งประเมินว่าปัจจุบันนี้คิดเป็นการลงทุนมากกว่าแสนล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=206688
สมาคมศูนย์การค้าออกโรงขอยกเว้น32ธุรกิจ-และเพิ่มขนาดพื้นที่ขออนุญาตใหญ่ขึ้น
โพสต์ทูเดย์ สมาคมศูนย์การค้า ยื่น กมธ.แก้ร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีก ค้าส่งฯ ขอยกเว้น 32 ธุรกิจ หวั่นกระทบการขยายตัวธุรกิจค้าปลีกมูลค่าแสนล้าน
นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ นายกสมาคมศูนย์การค้าไทย กล่าวว่า สมาคมฯ ได้ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมา ธิการวิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง เพื่อแก้ไขคำนิยาม ในมาตรา 5 ซึ่งยกเว้น ธุรกิจการขายของที่ระลึกตามแหล่งท่องเที่ยว เป็นธุรกิจทุกประเภทที่อยู่ในแหล่งท่องเที่ยว และเสนอเพิ่มยกเว้นธุรกิจสินค้า ซึ่งมีลักษณะพิเศษจำนวน 32 รายการ เช่น ธุรกิจเสื้อผ้า รองเท้า แว่นตา เครื่องสำอาง เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และมือถือ อุปกรณ์ก่อสร้างเครื่องกีฬา ธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องนอน เป็นต้น
นอกจากนี้ ได้ขอแก้ไขข้อ กำหนดในมาตรา 20 เกี่ยวกับธุรกิจ ที่ต้องขออนุญาตจากเดิมวรรค 1 และ 2 ของมาตราดังกล่าว กำหนดให้ธุรกิจที่มีขนาด 1 พันตาราง เมตร และมีรายได้ 1 พันล้านบาท ต่อปี ต้องขออนุญาต เป็นพื้นที่ 4 พันตารางเมตร และมีรายได้ 1 หมื่นล้านบาทขึ้นไป ที่ต้องขอ อนุญาต เพราะผู้ประกอบการไฮเปอร์มาร์เก็ต ปัจจุบันรายเล็กที่สุดมีรายได้ต่อปีมากกว่า 2 หมื่นล้าน บาทแล้ว
ปัจจุบันร้านค้าย่อยเหล่านี้ มีการขยายร้านค้าในรูปแบบใหม่ๆ บางรายมีหลายแบรนด์ พื้นที่ที่ใช้ ก็เกือบ 1 พันตารางเมตรอยู่แล้ว หากรวมพื้นที่สต๊อก ที่จอดรถด้วยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดแน่นอน นายกอบชัย กล่าว
ทั้งนี้ เดิมร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีก ค้าส่งฯ มีเจตนารมณ์เพื่อต้องการ คุ้มครองร้านโชห่วย ไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการขยายสาขาของโมเดิร์นเทรด แต่มาถึงตอนนี้ รู้สึกว่าเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.เริ่มไม่ตรง กับที่ตั้งเป้าหมายไว้ และจากความไม่ชัดเจนในร่างกฎหมายจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อร้านค้ารายย่อย ที่ขายธุรกิจเฉพาะ เช่น เสื้อผ้า รองเท้า แว่นตา เป็นต้น รวมทั้งส่งผลโดยอ้อมต่อศูนย์การค้า ที่ต้องพึ่งพาร้านค้าเหล่านี้มากกว่า 50% ในการเช่าพื้นที่ขายสินค้า หาก กมธ. ไม่แก้ไข เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาธุรกิจค้าปลีกโดยรวม
ด้านนายนพพร วิฑูรชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ กล่าว ว่า จุดยืนของสมาคมฯ สนับสนุน ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ แต่หากกฎหมายกำหนดไว้กว้างเกินไป ไม่ชัดเจน จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการลงทุนของผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีก รวมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งประเมินว่าปัจจุบันนี้คิดเป็นการลงทุนมากกว่าแสนล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=206688
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news06/12/07
โพสต์ที่ 92
พาณิชย์เสนอแก้ กม.ค้าปลีกค้าส่งให้ยืดหยุ่นขึ้น
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 6 ธันวาคม 2550 16:47 น.
อธิบดีกรมการค้าภายในเสนอแก้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่งให้ยืดหยุ่นขึ้น พร้อมคาดว่าจะมีผลทันใช้ในรัฐบาลนี้
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง ที่มีนายวิษณุ เครืองาม เป็นประธาน กรมการค้าภายใน(คน.)ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการฯ ได้เสนอแก้ไขสาระสำคัญบางประเด็นเพื่อให้เกิดความชัดเจนและความยืดหยุ่นในการปฏิบัติตามให้มากขึ้น
ทั้งนี้หากคณะกรรมาธิการฯ เห็นด้วยตามที่กรมการค้าภายในเสนอและไม่มีผู้ขอแปรญัตติ คณะกรรมาธิการฯ จะส่งร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ได้ทันการประชุมวันที่ 19 ธ.ค.นี้ และอาจมีผลบังคับใช้ได้ทันภายในรัฐบาลชุดนี้
สำหรับประเด็นที่เสนอให้แก้ไข คือประเด็นที่ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ที่จะต้องขออนุญาตการประกอบกิจการนั้นเดิมกำหนดให้ต้องมีขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 1,000 ตารางเมตร(ตร.ม.) ขึ้นไป และมียอดรายได้ตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ได้เสนอแก้ไขใหม่เป็นมีพื้นที่ตั้งแต่ 2,000 ตร.ม.ขึ้นไป และมีรายได้ตั้งแต่ 2,000 ล้านบาทขึ้นไป เพราะจากการสำรวจของกรมการค้าภายในพบว่า ห้างค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ในแต่ละชุมชนโดยเฉลี่ยแล้วจะมีพื้นที่ตั้งแต่ 2,000 ตร.ม.ขึ้นไป และมีรายได้ตั้งแต่ 2,000 ล้านบาทขึ้นไป
ส่วนคำนิยามสินค้าที่จำหน่ายในธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง จากเดิมกำหนดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใช้ส่วนบุคคล และใช้ในครัวเรือนนั้น ได้เสนอเปลี่ยนแปลงเพื่อกำหนดนิยามสินค้าให้ชัดเจนขึ้น โดยไม่รวมอาหารสำเร็จรูป, สินค้าไฮเทค, ร้านขายเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น หรืออาจกำหนดรายการสินค้าเป็นบัญชีแนบท้ายในกฎหมาย เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้จำหน่ายสินค้าอื่นๆ ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายนี้ สำหรับการโอนใบอนญาต จากเดิมห้ามให้โอนนั้นได้เสนอให้โอนกิจการได้ ไม่เช่นนั้นจะจำกัดสิทธิของผู้ประกอบการมากเกินไป
ขณะเดียวกันในกฎกระทรวงที่ว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการประกอบธุรกิจนั้นได้เสนอระยะเวลาเปิด-ปิดที่ชัดเจนมากขึ้นสำหรับธุรกิจค้าปลีกค้าส่งแต่ละประเภท เช่น ประเภท Cash and Carry อย่างห้างแม็คโครที่ขายส่งจะกำหนดเวลาทำการให้นานกว่าประเภทดิสเคาน์สโตร์ (ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่) เพราะแม็คโครไม่ได้เกิดผลกระทบด้านลบต่อโชห่วย ขณะที่ดิสเคาน์สโตร์ทำให้เกิดผลกระทบด้านลบโดยตรง เช่น ห้างสะดวกซื้ออย่าง 7-11 หรือโลตัส Express ในบางพื้นที่จะกำหนดเวลาทำการให้น้อยลงกว่าปัจจุบันที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000144823
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 6 ธันวาคม 2550 16:47 น.
อธิบดีกรมการค้าภายในเสนอแก้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่งให้ยืดหยุ่นขึ้น พร้อมคาดว่าจะมีผลทันใช้ในรัฐบาลนี้
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง ที่มีนายวิษณุ เครืองาม เป็นประธาน กรมการค้าภายใน(คน.)ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการฯ ได้เสนอแก้ไขสาระสำคัญบางประเด็นเพื่อให้เกิดความชัดเจนและความยืดหยุ่นในการปฏิบัติตามให้มากขึ้น
ทั้งนี้หากคณะกรรมาธิการฯ เห็นด้วยตามที่กรมการค้าภายในเสนอและไม่มีผู้ขอแปรญัตติ คณะกรรมาธิการฯ จะส่งร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ได้ทันการประชุมวันที่ 19 ธ.ค.นี้ และอาจมีผลบังคับใช้ได้ทันภายในรัฐบาลชุดนี้
สำหรับประเด็นที่เสนอให้แก้ไข คือประเด็นที่ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ที่จะต้องขออนุญาตการประกอบกิจการนั้นเดิมกำหนดให้ต้องมีขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 1,000 ตารางเมตร(ตร.ม.) ขึ้นไป และมียอดรายได้ตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ได้เสนอแก้ไขใหม่เป็นมีพื้นที่ตั้งแต่ 2,000 ตร.ม.ขึ้นไป และมีรายได้ตั้งแต่ 2,000 ล้านบาทขึ้นไป เพราะจากการสำรวจของกรมการค้าภายในพบว่า ห้างค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ในแต่ละชุมชนโดยเฉลี่ยแล้วจะมีพื้นที่ตั้งแต่ 2,000 ตร.ม.ขึ้นไป และมีรายได้ตั้งแต่ 2,000 ล้านบาทขึ้นไป
ส่วนคำนิยามสินค้าที่จำหน่ายในธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง จากเดิมกำหนดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใช้ส่วนบุคคล และใช้ในครัวเรือนนั้น ได้เสนอเปลี่ยนแปลงเพื่อกำหนดนิยามสินค้าให้ชัดเจนขึ้น โดยไม่รวมอาหารสำเร็จรูป, สินค้าไฮเทค, ร้านขายเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น หรืออาจกำหนดรายการสินค้าเป็นบัญชีแนบท้ายในกฎหมาย เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้จำหน่ายสินค้าอื่นๆ ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายนี้ สำหรับการโอนใบอนญาต จากเดิมห้ามให้โอนนั้นได้เสนอให้โอนกิจการได้ ไม่เช่นนั้นจะจำกัดสิทธิของผู้ประกอบการมากเกินไป
ขณะเดียวกันในกฎกระทรวงที่ว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการประกอบธุรกิจนั้นได้เสนอระยะเวลาเปิด-ปิดที่ชัดเจนมากขึ้นสำหรับธุรกิจค้าปลีกค้าส่งแต่ละประเภท เช่น ประเภท Cash and Carry อย่างห้างแม็คโครที่ขายส่งจะกำหนดเวลาทำการให้นานกว่าประเภทดิสเคาน์สโตร์ (ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่) เพราะแม็คโครไม่ได้เกิดผลกระทบด้านลบต่อโชห่วย ขณะที่ดิสเคาน์สโตร์ทำให้เกิดผลกระทบด้านลบโดยตรง เช่น ห้างสะดวกซื้ออย่าง 7-11 หรือโลตัส Express ในบางพื้นที่จะกำหนดเวลาทำการให้น้อยลงกว่าปัจจุบันที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000144823
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news08/12/07
โพสต์ที่ 93
ยื่นเงื่อนไขลดรีดเงินข้าวถุง
โพสต์ทูเดย์ วางเงื่อนไขห้างค้าปลีก ยอมเซ็นข้อตกลง ช่วยลดราคาเรียกเก็บค่าธรรมเนียมทุกประเภท ช่วยผู้ผลิตข้าวถุง
นายสมฤกษ์ ตั้งพิรุฬห์ธรรม นายกสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย กล่าวว่า ผลการหารือร่วมกับสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เพื่อจัดทำข้อตกลงทางการค้า ทางสมาคมฯ ได้ขอผ่อนปรนใน 5 เรื่อง ได้แก่ การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแรกเข้า (เอน ทรานซ์ฟี) ให้ค้าปลีกขนาดใหญ่ (ไฮเปอร์มาร์เก็ต แคชแอนด์แครี) เก็บค่าเอนทรานซ์ฟีไม่เกิน 3 พัน บาท/1 สินค้า/สาขา
ซูเปอร์มาร์เก็ต เก็บค่าเอนทรานซ์ฟีไม่เกิน 500 บาท/1 สินค้า /สาขา ร้านสะดวกซื้อไม่เกิน 100 บาท/1 สินค้า/สาขา จากปัจจุบันเรียกเก็บในอัตราที่ไม่เท่าเทียมกันและเหมาตั้งแต่ 5 หมื่น-5 แสนบาท โดยให้เวลาทดลองขายไม่น้อยกว่า 1 ปี จากปัจจุบันให้ทดลองวางขายเพียง 3 เดือน
ส่วนเรื่องค่าส่วนลดที่ขายสินค้าได้ตามเป้า (รีเบต) เสนอให้เก็บไม่เกิน 1% จากยอดขายสุทธิ ซึ่งปัจจุบันมักเรียกเก็บตั้งแต่ยอดขายบาทแรกและเพิ่มเปอร์เซ็นต์ทุกปี อัตราเรียกเก็บตั้งแต่ 1-6% ขณะที่ระยะเวลาการชำระเงินสดต้องไม่เกิน 30 วันและตรงตามนัด
จากปัจจุบันเรียกเก็บเงินตั้งแต่ 30 วันขึ้นไป และมักจ่ายช้ากว่ากำหนด 7-10 วัน เพื่อให้ผู้ผลิตมีสภาพคล่องการเงินมากขึ้น และไม่กระทบต่อการจ่ายการซื้อข้าวจากเกษตรกร
เรื่องค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขาย เช่น ค่าใบปลิว หรือค่าตั้งกองสินค้าขอให้เก็บไม่เกิน 0.2% ต่อปี จากยอดขายสุทธิ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าเปิดสาขาใหม่ ค่าปรับปรุงห้าง ขอเสนอให้เก็บไม่เกิน 0.5% ต่อปี จากยอดขายสุทธิ โดยทุกเรื่องขอให้มีการจัดทำสูตรการคำนวณและแจ้งการเปลี่ยนแปลงเป็นหนังสือล่วงหน้า
นายสมฤกษ์ กล่าวต่อว่า ทั้งสองสมาคมกำหนดจะหารือข้อสรุปอีกครั้งในวันที่ 13 ธ.ค. และเสนอให้กระทรวงพาณิชย์รับทราบเพื่อให้ทันลงนามบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) และใช้เป็นหลักเกณฑ์ต่อสัญญารอบใหม่ ระหว่างผู้ประกอบการข้าวถุงและห้างค้าปลีกรอบปี 2551
สำหรับการจัดทำเงื่อนไขดังกล่าวเกิดจากผู้ผลิตข้าวถุงร้องเรียนกรมการค้าภายใน ถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้าแบบไม่เป็นธรรม
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=207864
โพสต์ทูเดย์ วางเงื่อนไขห้างค้าปลีก ยอมเซ็นข้อตกลง ช่วยลดราคาเรียกเก็บค่าธรรมเนียมทุกประเภท ช่วยผู้ผลิตข้าวถุง
นายสมฤกษ์ ตั้งพิรุฬห์ธรรม นายกสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย กล่าวว่า ผลการหารือร่วมกับสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เพื่อจัดทำข้อตกลงทางการค้า ทางสมาคมฯ ได้ขอผ่อนปรนใน 5 เรื่อง ได้แก่ การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแรกเข้า (เอน ทรานซ์ฟี) ให้ค้าปลีกขนาดใหญ่ (ไฮเปอร์มาร์เก็ต แคชแอนด์แครี) เก็บค่าเอนทรานซ์ฟีไม่เกิน 3 พัน บาท/1 สินค้า/สาขา
ซูเปอร์มาร์เก็ต เก็บค่าเอนทรานซ์ฟีไม่เกิน 500 บาท/1 สินค้า /สาขา ร้านสะดวกซื้อไม่เกิน 100 บาท/1 สินค้า/สาขา จากปัจจุบันเรียกเก็บในอัตราที่ไม่เท่าเทียมกันและเหมาตั้งแต่ 5 หมื่น-5 แสนบาท โดยให้เวลาทดลองขายไม่น้อยกว่า 1 ปี จากปัจจุบันให้ทดลองวางขายเพียง 3 เดือน
ส่วนเรื่องค่าส่วนลดที่ขายสินค้าได้ตามเป้า (รีเบต) เสนอให้เก็บไม่เกิน 1% จากยอดขายสุทธิ ซึ่งปัจจุบันมักเรียกเก็บตั้งแต่ยอดขายบาทแรกและเพิ่มเปอร์เซ็นต์ทุกปี อัตราเรียกเก็บตั้งแต่ 1-6% ขณะที่ระยะเวลาการชำระเงินสดต้องไม่เกิน 30 วันและตรงตามนัด
จากปัจจุบันเรียกเก็บเงินตั้งแต่ 30 วันขึ้นไป และมักจ่ายช้ากว่ากำหนด 7-10 วัน เพื่อให้ผู้ผลิตมีสภาพคล่องการเงินมากขึ้น และไม่กระทบต่อการจ่ายการซื้อข้าวจากเกษตรกร
เรื่องค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขาย เช่น ค่าใบปลิว หรือค่าตั้งกองสินค้าขอให้เก็บไม่เกิน 0.2% ต่อปี จากยอดขายสุทธิ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าเปิดสาขาใหม่ ค่าปรับปรุงห้าง ขอเสนอให้เก็บไม่เกิน 0.5% ต่อปี จากยอดขายสุทธิ โดยทุกเรื่องขอให้มีการจัดทำสูตรการคำนวณและแจ้งการเปลี่ยนแปลงเป็นหนังสือล่วงหน้า
นายสมฤกษ์ กล่าวต่อว่า ทั้งสองสมาคมกำหนดจะหารือข้อสรุปอีกครั้งในวันที่ 13 ธ.ค. และเสนอให้กระทรวงพาณิชย์รับทราบเพื่อให้ทันลงนามบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) และใช้เป็นหลักเกณฑ์ต่อสัญญารอบใหม่ ระหว่างผู้ประกอบการข้าวถุงและห้างค้าปลีกรอบปี 2551
สำหรับการจัดทำเงื่อนไขดังกล่าวเกิดจากผู้ผลิตข้าวถุงร้องเรียนกรมการค้าภายใน ถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้าแบบไม่เป็นธรรม
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=207864
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news10/12/07
โพสต์ที่ 94
ค้าปลีก"มือถือ"ขยับรับจุดเปลี่ยน โมเดิร์นเทรดผงาดช่องทางขาย
ค้าปลีก "มือถือ" ปรับตัวรับโครงสร้างการจัดจำหน่ายเปลี่ยนทิศ หลัง "ผู้ผลิต" แดนกิมจิ-ซัมซุง เปิดเกมใหม่มุ่งขายตรงถึงช่องทางขาย แยกเชน สโตร์-ดิสเคานต์สโตร์ และตัวแทนรายย่อย "ทีจีโฟน" จับมือ "ซัมซุง-โมโตโรล่า-ดีแทค" อัดฉีดกิจกรรมอุตลุดทั้งลดราคา-บันเดิลซิม-ผ่อน 0% และจัดแคมเปญชิงโชคหวังปลุกกำลังซื้อเต็มพิกัด ระบุสมรภูมิการแข่งขันยังเข็มข้น แต่กำลังซื้อหด เหตุสัดส่วนยอดขายเครื่องราคาต่ำกว่า 4,000 บาทครองมาร์เก็ตแชร์เฉียด 60%
นายไพโรจน์ ถาวรสภานันท์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทีจีโฟน จำกัด กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า โครงสร้างการจัดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือกำลังเดินมาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง ทั้งจากสภาพการ
แข่งขันและการปรับเปลี่ยนนโยบายของผู้ผลิตสินค้า เช่น กรณีของซัมซุงที่มีการปรับนโยบายการจัดจำหน่ายสินค้าใหม่ โดยบริหารจัดการสต๊อกและกระจายสินค้าไปยังช่องทางการจัดจำหน่ายด้วยตนเอง แบ่งตัวแทนทางการตลาดเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ เชนสโตร์, ดิสเคานต์สโตร์ และดีลเลอร์ รายย่อย พร้อมทั้งเข้ามาให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างจริงจัง เพื่อให้การทำตลาดมีประสิทธิภาพ และเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดได้มากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ตนยังมองว่าในปีหน้าโมเดิร์นเทรด (ห้างสรรพสินค้า) และดิสเคานต์สโตร์จะเข้ามามีบทบาทในการขายโทรศัพท์มือถือมากขึ้น จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 10% อาจเพิ่มเป็น 12-15% ได้ไม่ยากนัก หลังซัมซุงเริ่มขายสินค้าตรงให้กับโลตัสแล้วในรุ่น C160 เชื่อว่าแบรนด์อื่นอาจต้องขยับตามเร็วๆ นี้ เว้นแต่โนเกีย เพราะเป็นรายใหญ่ที่มีมาร์เก็ตแชร์สูงสุดยังคงกระจายสินค้าบางรุ่นไปยังโมเดิร์นเทรด อาทิ บิ๊กซีและคาร์ฟูร์ ผ่านตัวแทนจำหน่ายหลัก (ดิสทริบิวเตอร์)
อย่างไรก็ตาม ผู้ค้าโทรศัพท์มือถือต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในรูปแบบต่างๆ ด้วยเช่นกัน เช่น การหาพันธมิตร อย่างทีจีโฟนเอง ปัจจุบันมีเครือข่ายร้านค้าปลีกอยู่ประมาณ 80 แห่งทั่วประเทศ หลังซัมซุงปรับนโยบายใหม่ก็หันมาซื้อสินค้าโดย ตรงจากซัมซุงแล้ว โดยมีขายครบทุกรุ่น (ไม่รวม C160) พร้อมร่วมมือกับ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) จัดแคมเปญบันเดิลซิมการ์ดขายไปกับโทรศัพท์มือถือ
"โอเปอเรเตอร์มือถือในเมืองไทยมี 3 เจ้า ซึ่งเราก็มีสินค้าของทุกเจ้าขายในร้าน แต่ในแง่การทำตลาดจำเป็นต้องเลือกหรือโฟกัสกับรายหนึ่งรายใดในฐานะพันธมิตรที่ให้การสนับสนุนด้านการขายเต็มที่ ซึ่งทีจีโฟนร่วมกับดีแทค นอกจากเรื่องการบันเดิลซิมการ์ด และเป็นตัวแทนขายส่งบัตรเติมเงินแล้วก็ยังเข้าไปทำดีแทคช้อปด้วย โดยขยายเพิ่มจากเดิม 4 แห่งเป็น 7 แห่ง คาดว่าในปีหน้าจะเปิดเพิ่มอีก"
ล่าสุด ทีจีโฟนได้จัดแคมเปญใหญ่เพื่อกระตุ้นยอดขาย เนื่องในโอกาสครบรอบ 15 ปีด้วย โดยตั้งแต่ 15 ธ.ค.2550-ปลายเดือน ม.ค.2551 ลูกค้าที่ซื้อสินค้า 1,000 บาทขึ้นไปจะได้รับสิทธิประโยชน์หลากหลายรูปแบบ เช่น ซื้อมือถือผ่านบัตรเครดิตซิตี้แบงก์มีโปรแกรมเงินผ่อน 0% ทุกรุ่นทุกยี่ห้อ ถ้าเป็นซัมซุงซื้อผ่านบัตรเครดิตทุกยี่ห้อมีแคมเปญผ่อน 0% ให้ หรือซื้อเครื่องโนเกีย ราคา 12,000 บาท ลุ้นจับคูปองจ่ายเพียง 15 บาท นอกจากนี้ ยังได้สิทธิส่งคูปองลุ้นโชครถยนต์ฮอนด้า แจ๊ซ, ทองคำ, เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
นายไพโรจน์กล่าวถึงสภาพตลาดโทรศัพท์มือถือโดยรวมว่า ในแง่จำนวนเครื่องไม่ได้ลดลงจากปีที่ผ่านมา แต่สัดส่วนการขายเปลี่ยนไปจากเดิมมาก โดยปัจจุบันยอดขาย
55-57% มาจากเครื่องที่มีราคาต่ำกว่า 4,000 บาท ดังนั้นผู้ค้าจึงต้องพยายามผลักดันยอดขายให้ได้มากขึ้น หากไม่ต้องการให้ผลประกอบการในแง่รายได้ลดลงมากนัก สำหรับบริษัทเองถึงสิ้นปีนี้ น่าจะปิดยอดขายได้เกือบ 5 แสนเครื่อง จากปีที่แล้วทำได้เกือบ 6 แสนเครื่อง ขณะที่รายได้ลดลง 25-30% แต่ในแง่กำไรทำได้ดีขึ้น เนื่องจากมีการปรับปรุงการบริหารจัดการภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในแง่การขายและการ บริหารสต๊อกสินค้า
ขณะเดียวกัน บริษัทยังสั่งสินค้าตรงจากโมโตโรล่าด้วย เริ่มตั้งแต่เดือน ธ.ค.นี้เป็นต้นไป หลังจากเจรจากันมานานหลายเดือน เนื่องจากโมโตโรล่ามีการปรับเปลี่ยนนโยบายการจัดจำหน่าย สินค้าด้วยเช่นกัน
"เครื่องลูกข่ายโลว์เอนด์มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงมาก ที่มาแรงมากตอนนี้เป็นแบรนด์เอเชีย อย่างซัมซุงและแอลจี เพราะสินค้าราคาถูกของทั้งคู่เมื่อเทียบสเป็กกับแบรนด์เนมชื่อดังอย่างโนเกียแล้วถูกกว่า เช่น จอสี มีวิทยุ ราคาใกล้เคียงกับ โนเกียจอขาวดำ เป็นต้น ล่าสุดซัมซุงจับมือกับโลตัสเลือกรุ่น C160 ไปขายซื้อหนึ่งแถมหนึ่งในราคา 2,500 บาทเท่านั้น จึงเชื่อว่าในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปี มาร์เก็ตแชร์ของซัมซุงน่าจะกระเตื้องขึ้น"
นายไพโรจน์ยังกล่าวด้วยว่า ยอดขายโทรศัพท์มือถือในแง่จำนวนเครื่องไม่ได้ลดลง แต่พฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคในปัจจุบันหันไปเลือกซื้อเครื่องที่มีราคาต่ำกว่า 4,000 บาทมากขึ้นอย่างชัดเจน จึงอาจกล่าวได้ว่ากำลังซื้อในตลาดตกลง แต่ความต้องการการใช้โทรศัพท์มือถือไม่ได้ลดลง
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0209
ค้าปลีก "มือถือ" ปรับตัวรับโครงสร้างการจัดจำหน่ายเปลี่ยนทิศ หลัง "ผู้ผลิต" แดนกิมจิ-ซัมซุง เปิดเกมใหม่มุ่งขายตรงถึงช่องทางขาย แยกเชน สโตร์-ดิสเคานต์สโตร์ และตัวแทนรายย่อย "ทีจีโฟน" จับมือ "ซัมซุง-โมโตโรล่า-ดีแทค" อัดฉีดกิจกรรมอุตลุดทั้งลดราคา-บันเดิลซิม-ผ่อน 0% และจัดแคมเปญชิงโชคหวังปลุกกำลังซื้อเต็มพิกัด ระบุสมรภูมิการแข่งขันยังเข็มข้น แต่กำลังซื้อหด เหตุสัดส่วนยอดขายเครื่องราคาต่ำกว่า 4,000 บาทครองมาร์เก็ตแชร์เฉียด 60%
นายไพโรจน์ ถาวรสภานันท์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทีจีโฟน จำกัด กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า โครงสร้างการจัดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือกำลังเดินมาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง ทั้งจากสภาพการ
แข่งขันและการปรับเปลี่ยนนโยบายของผู้ผลิตสินค้า เช่น กรณีของซัมซุงที่มีการปรับนโยบายการจัดจำหน่ายสินค้าใหม่ โดยบริหารจัดการสต๊อกและกระจายสินค้าไปยังช่องทางการจัดจำหน่ายด้วยตนเอง แบ่งตัวแทนทางการตลาดเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ เชนสโตร์, ดิสเคานต์สโตร์ และดีลเลอร์ รายย่อย พร้อมทั้งเข้ามาให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างจริงจัง เพื่อให้การทำตลาดมีประสิทธิภาพ และเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดได้มากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ตนยังมองว่าในปีหน้าโมเดิร์นเทรด (ห้างสรรพสินค้า) และดิสเคานต์สโตร์จะเข้ามามีบทบาทในการขายโทรศัพท์มือถือมากขึ้น จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 10% อาจเพิ่มเป็น 12-15% ได้ไม่ยากนัก หลังซัมซุงเริ่มขายสินค้าตรงให้กับโลตัสแล้วในรุ่น C160 เชื่อว่าแบรนด์อื่นอาจต้องขยับตามเร็วๆ นี้ เว้นแต่โนเกีย เพราะเป็นรายใหญ่ที่มีมาร์เก็ตแชร์สูงสุดยังคงกระจายสินค้าบางรุ่นไปยังโมเดิร์นเทรด อาทิ บิ๊กซีและคาร์ฟูร์ ผ่านตัวแทนจำหน่ายหลัก (ดิสทริบิวเตอร์)
อย่างไรก็ตาม ผู้ค้าโทรศัพท์มือถือต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในรูปแบบต่างๆ ด้วยเช่นกัน เช่น การหาพันธมิตร อย่างทีจีโฟนเอง ปัจจุบันมีเครือข่ายร้านค้าปลีกอยู่ประมาณ 80 แห่งทั่วประเทศ หลังซัมซุงปรับนโยบายใหม่ก็หันมาซื้อสินค้าโดย ตรงจากซัมซุงแล้ว โดยมีขายครบทุกรุ่น (ไม่รวม C160) พร้อมร่วมมือกับ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) จัดแคมเปญบันเดิลซิมการ์ดขายไปกับโทรศัพท์มือถือ
"โอเปอเรเตอร์มือถือในเมืองไทยมี 3 เจ้า ซึ่งเราก็มีสินค้าของทุกเจ้าขายในร้าน แต่ในแง่การทำตลาดจำเป็นต้องเลือกหรือโฟกัสกับรายหนึ่งรายใดในฐานะพันธมิตรที่ให้การสนับสนุนด้านการขายเต็มที่ ซึ่งทีจีโฟนร่วมกับดีแทค นอกจากเรื่องการบันเดิลซิมการ์ด และเป็นตัวแทนขายส่งบัตรเติมเงินแล้วก็ยังเข้าไปทำดีแทคช้อปด้วย โดยขยายเพิ่มจากเดิม 4 แห่งเป็น 7 แห่ง คาดว่าในปีหน้าจะเปิดเพิ่มอีก"
ล่าสุด ทีจีโฟนได้จัดแคมเปญใหญ่เพื่อกระตุ้นยอดขาย เนื่องในโอกาสครบรอบ 15 ปีด้วย โดยตั้งแต่ 15 ธ.ค.2550-ปลายเดือน ม.ค.2551 ลูกค้าที่ซื้อสินค้า 1,000 บาทขึ้นไปจะได้รับสิทธิประโยชน์หลากหลายรูปแบบ เช่น ซื้อมือถือผ่านบัตรเครดิตซิตี้แบงก์มีโปรแกรมเงินผ่อน 0% ทุกรุ่นทุกยี่ห้อ ถ้าเป็นซัมซุงซื้อผ่านบัตรเครดิตทุกยี่ห้อมีแคมเปญผ่อน 0% ให้ หรือซื้อเครื่องโนเกีย ราคา 12,000 บาท ลุ้นจับคูปองจ่ายเพียง 15 บาท นอกจากนี้ ยังได้สิทธิส่งคูปองลุ้นโชครถยนต์ฮอนด้า แจ๊ซ, ทองคำ, เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
นายไพโรจน์กล่าวถึงสภาพตลาดโทรศัพท์มือถือโดยรวมว่า ในแง่จำนวนเครื่องไม่ได้ลดลงจากปีที่ผ่านมา แต่สัดส่วนการขายเปลี่ยนไปจากเดิมมาก โดยปัจจุบันยอดขาย
55-57% มาจากเครื่องที่มีราคาต่ำกว่า 4,000 บาท ดังนั้นผู้ค้าจึงต้องพยายามผลักดันยอดขายให้ได้มากขึ้น หากไม่ต้องการให้ผลประกอบการในแง่รายได้ลดลงมากนัก สำหรับบริษัทเองถึงสิ้นปีนี้ น่าจะปิดยอดขายได้เกือบ 5 แสนเครื่อง จากปีที่แล้วทำได้เกือบ 6 แสนเครื่อง ขณะที่รายได้ลดลง 25-30% แต่ในแง่กำไรทำได้ดีขึ้น เนื่องจากมีการปรับปรุงการบริหารจัดการภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในแง่การขายและการ บริหารสต๊อกสินค้า
ขณะเดียวกัน บริษัทยังสั่งสินค้าตรงจากโมโตโรล่าด้วย เริ่มตั้งแต่เดือน ธ.ค.นี้เป็นต้นไป หลังจากเจรจากันมานานหลายเดือน เนื่องจากโมโตโรล่ามีการปรับเปลี่ยนนโยบายการจัดจำหน่าย สินค้าด้วยเช่นกัน
"เครื่องลูกข่ายโลว์เอนด์มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงมาก ที่มาแรงมากตอนนี้เป็นแบรนด์เอเชีย อย่างซัมซุงและแอลจี เพราะสินค้าราคาถูกของทั้งคู่เมื่อเทียบสเป็กกับแบรนด์เนมชื่อดังอย่างโนเกียแล้วถูกกว่า เช่น จอสี มีวิทยุ ราคาใกล้เคียงกับ โนเกียจอขาวดำ เป็นต้น ล่าสุดซัมซุงจับมือกับโลตัสเลือกรุ่น C160 ไปขายซื้อหนึ่งแถมหนึ่งในราคา 2,500 บาทเท่านั้น จึงเชื่อว่าในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปี มาร์เก็ตแชร์ของซัมซุงน่าจะกระเตื้องขึ้น"
นายไพโรจน์ยังกล่าวด้วยว่า ยอดขายโทรศัพท์มือถือในแง่จำนวนเครื่องไม่ได้ลดลง แต่พฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคในปัจจุบันหันไปเลือกซื้อเครื่องที่มีราคาต่ำกว่า 4,000 บาทมากขึ้นอย่างชัดเจน จึงอาจกล่าวได้ว่ากำลังซื้อในตลาดตกลง แต่ความต้องการการใช้โทรศัพท์มือถือไม่ได้ลดลง
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0209
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news10/12/07
โพสต์ที่ 95
งัดสารพัดวิธีเปิดศึกชิงลูกค้า เครื่องใช้ไฟฟ้าลุ้นโค้งท้ายโต30%
ร้านค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้าเพิ่มดีกรีแข่งเดือด อัดแคมเปญหนักหวังดึงกำลังซื้อช่วงหน้าขายสำคัญ คนในวงการชี้ตลาดรวมโตกระฉูด 30% เทสโก้ โลตัส-คาร์ฟูร์-บิ๊กซี-แม็คโครใจตรงกัน เปิดเทศกาลเครื่องใช้ไฟฟ้า งัดสารพัดลูกเล่น ลด แลก แจก แถมกระหน่ำ ดึงซัพพลายเออร์ทำสินค้าพิเศษสร้างความต่าง พร้อมชูเงินผ่อน 0% นาน 48 เดือน กระทุ้งอีกรอบ ด้านเพาเวอร์บายเล็งหา แคมเปญใหม่เสริม
ภาพรวมของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งปีอาจจะดูหนักหนาสาหัสในการสร้างยอดขายและเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ ด้วยบางไลน์สินค้าอาจจะขายได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ แต่ก็มีสินค้าอีกหลายๆ อย่างที่ผู้ประกอบการไม่สามารถจะกระตุ้นดีมานด์ได้อย่างที่หวัง ดังนั้นในช่วงปลายปีที่เป็นหน้าขายหลักที่สำคัญทำให้ผู้ประกอบการแต่ละค่ายต่างตั้งความหวังไว้ค่อนข้างมาก
โดดลุยรับหน้าจับจ่าย
แหล่งข่าวจากวงการเครื่องใช้ไฟฟ้าเปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ปกติช่วงหน้าขายในเดือนธันวาคมคาบเกี่ยวไปถึงเดือนมกราคม ตลาดรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าจะสามารถขยายตัวได้มากกว่าช่วงปกติ 30% ดังนั้นผู้ประกอบการทั้งในส่วนของซัพพลายเออร์และร้านค้าปลีกต่างเริ่มทยอยเปิดตัวแคมเปญส่งเสริมการขายในหลากหลายรูปแบบออกมากระตุ้น หากสังเกตจะเห็นได้ว่ามีทั้งการลด แลก แจก แถม ที่มีออกมาเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่องทางขายดิสเคานต์สโตร์และไฮเปอร์มาร์เก็ต
แหล่งข่าวรายนี้ยังกล่าวด้วยว่า นอกจากแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าของบรรดาผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่จะมีแคมเปญใหญ่ที่มีของรางวัลที่มีมูลค่าสูงเป็นสิ่งจูงใจแล้ว กลยุทธ์อีกอย่างหนึ่งที่ค้าปลีกรายใหญ่นำมาใช้ก็คือ การพยายามปรับราคาขายเพื่อให้ถูกกว่าร้านคู่แข่งหรือการใช้กลยุทธ์ราคา
โดยร้านค้าปลีกเหล่านี้ต่างพยายามจับมือกับพันธมิตรซัพพลายเออร์เพื่อทำราคาและกิจกรรมส่งเสริมการขายที่จูงใจเพื่อกระตุ้นและดึงลูกค้าให้เดินเข้ามาในร้านมากขึ้น ยกตัวอย่างกรณีของเทสโก้ โลตัส ที่จับมือกับซัพพลายเออร์แบรนด์ใหญ่ อาทิ โทรศัพท์มือถือ ซัมซุง เครื่องละ 2,490 บาท จัดรายการ ซื้อ 1 เครื่อง แถม 1 เครื่อง และเครื่องเล่นเอ็มพี 3 ฟิลิปส์ เครื่องละ 1,990 บาท จัดรายการ ซื้อ 1 แถม 1 ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าอย่างมาก นอกจากนี้ก็ยังมีเตารีดไอน้ำของฟิลิปส์ ที่จัดรายการซื้อ 1 แถม 1 ด้วย
ค้าปลีกรายใหญ่ถล่มหนัก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากการจัดแคมเปญในลักษณะดังกล่าวของเทสโก้ โลตัสแล้ว ขณะนี้แผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าของค่ายอื่นๆ อาทิ คาร์ฟูร์ ก็ได้เปิดแคมเปญ "มหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า...สุดคุ้ม" ต้อนรับเทศกาลปีใหม่ช็อปง่ายได้ของแถม มูลค่าถึง 14,900 บาท ซื้อครบ 5,000 บาท รับเตารีด 249 บาท ครบ 20,000 บาท รับเครื่องดูดฝุ่นพานาโซนิค หรือ 90,000 บาท รับเครื่องซักผ้าฝาหน้า อีเลคโทรลักซ์ เป็นต้น
รายงานข่าวจากบริษัท ฟิลิปส์ อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวในเรื่องนี้ว่า แคมเปญส่งเสริมการขายฟิลิปส์ที่เห็นซื้อ 1 แถม 1 เป็นในส่วนที่ร้านค้าทำเอง ไม่เกี่ยวกับบริษัทแต่อย่างใด
ส่วนแม็คโครจัดแคมเปญ "ลุ้นปีใหม่รับโชคใหญ่กับแม็คโคร" เมื่อลูกค้าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าครบทุก 1,000 บาท รับคูปองลุ้นทองคำแท่งมูลค่า 1 ล้านบาท
ด้านความเคลื่อนไหวของบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ช่วงนี้ก็มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสำหรับสินค้าในหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า ด้วยการลดราคาทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องเสียง เครื่องเล่นดีวีดี เป็นต้น พร้อมกับนำกลยุทธ์เงินผ่อน 0% มาใช้ และเปิดโอกาสให้ผ่อนนานถึง 4 ปี
นอกจากนี้ค้าปลีกรายใหญ่ยังนำกลยุทธ์การลดราคาเข้ามาช่วยในการกระตุ้นยอดขายด้วย อาทิ โซนี่ 32 นิ้ว จากราคา 29,890 บาท เหลือ 26,990 บาท (เทสโก้ โลตัส) ทีวี 21 นิ้ว ซันโย จากราคา 3,990 บาท เหลือ 2,990 บาท (บิ๊กซี) พานาโซนิค 29 นิ้ว จาก 10,490 บาท เหลือ 7,990 บาท (คาร์ฟูร์)
เงิน 0% ยาว 48 เดือน ตัวช่วยหลัก
จากการสำรวจของผู้สื่อข่าวพบว่า ทั้งบิ๊กซี คาร์ฟูร์ เทสโก้ โลตัส และแม็คโคร มีกิจกรรมลุ้นชิงโชคและของแถมที่หลากหลายขึ้น พร้อมแคมเปญเงินผ่อนที่นานขึ้น โดยเฉพาะกับกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นใหญ่ที่มีมูลค่าสินค้าตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป ลูกค้าสามารถผ่อน 0% ได้ยาวนานถึง 48 เดือน ผ่านบัตรที่เข้าร่วมรายการหรือบัตรเครดิตจาก ร้านนั้นๆ
โดยเมื่อซื้อสินค้าหมวดทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ ที่บิ๊กซีสามารถผ่อน 0% นาน 4 ปี ผ่านบัตรบิ๊กซี ช็อปเปอร์ การ์ด หรือผ่อนบัตรอิออน 0.69% นาน 36 เดือนในกลุ่มโน้ตบุ๊ก พีซี และโทรศัพท์มือถือ ทุกรุ่นทุกยี่ห้อ และคาร์ฟูร์ส่งรายการเลือกสินค้ามารวมกันผ่อน โดยเลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชิ้นมารวมกันให้มูลค่าถึง 3,000 บาท ก็สามารถผ่อนจ่ายได้ 0.79% นาน 3 เดือน
เพาเวอร์บายเล็งเพิ่มแคมเปญ
นางสอางทิพย์ อมรฉัตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ช่วงปลายปีต้องเร่งทำยอดขายเพื่อให้สามารถปิดรายได้ตามเป้าที่วางไว้เพราะเป็นช่วงที่ดีมานด์ในตลาดโตที่สุด แต่ปีนี้ต้องมีกิจกรรมและแคมเปญส่งเสริมการขายออกมาเพิ่มมากขึ้นเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ หลายค่ายที่เป็นร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ค่อนข้างที่จะแข่งกันแรง มีแคมเปญต่างๆ ออกมามากขึ้น
สำหรับเพาเวอร์บายก็ต้องเพิ่มรูปแบบกิจกรรมที่หลากหลาย นอกจากกิจกรรมส่งเสริมการขายลุ้นรับทองคำหนัก 50 บาท และชิงโชครถมอเตอร์ไซค์ที่มีอยู่แล้ว ขณะนี้ได้พูดคุยกันว่าอาจจะต้องเพิ่มแคมเปญใหม่ขึ้นมาเสริมอีก นอกเหนือจากการให้ 0% เข้ามาเป็นแรงจูงใจเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งและสร้างสีสันให้กับตลาด
"ขณะนี้แม้ว่าแผนกเครี่องใช้ไฟฟ้าของค้าปลีกรายใหญ่จะหันมาทำตลาดแอลซีดีทีวีมากขึ้น แต่เพาเวอร์บายก็ไม่กังวลกับตรงนี้นัก เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะไว้ใจที่จะเข้ามาซื้อในเพาเวอร์บาย ส่วนทีวีจอแบนหรือว่ากลุ่มเครื่องครัวชิ้นเล็กราคาไม่แพง อาจมีความเป็นไปได้ที่ลูกค้าจะเลือกซื้อในช่องทางดิสเคานต์สโตร์ ซึ่งเพาเวอร์บายก็จะมี สินค้าเฮาส์แบรนด์ที่ราคาไม่สูงมากนักในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็ก ดิจิทัล และเอ็มพี 3 เข้ามาเป็นทางเลือก" นางสอางทิพย์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเพาเวอร์มอลล์ ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าในเครือเดอะมอลล์ นอกจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายที่มีมาอย่างต่อเนื่องแล้ว ในช่วงสัปดาห์ส่งท้ายปีคาบเกี่ยวไปจนถึงสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม เพาเวอร์มอลล์จะมีการจัดเทศกาลโชว์นวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นใหม่ "อิเลคโทรนิก้า" และจับมือกับพันธมิตรซัพพลายเออร์นำสินค้าราคาพิเศษออกมากระตุ้นตลาด
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0207
ร้านค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้าเพิ่มดีกรีแข่งเดือด อัดแคมเปญหนักหวังดึงกำลังซื้อช่วงหน้าขายสำคัญ คนในวงการชี้ตลาดรวมโตกระฉูด 30% เทสโก้ โลตัส-คาร์ฟูร์-บิ๊กซี-แม็คโครใจตรงกัน เปิดเทศกาลเครื่องใช้ไฟฟ้า งัดสารพัดลูกเล่น ลด แลก แจก แถมกระหน่ำ ดึงซัพพลายเออร์ทำสินค้าพิเศษสร้างความต่าง พร้อมชูเงินผ่อน 0% นาน 48 เดือน กระทุ้งอีกรอบ ด้านเพาเวอร์บายเล็งหา แคมเปญใหม่เสริม
ภาพรวมของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งปีอาจจะดูหนักหนาสาหัสในการสร้างยอดขายและเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ ด้วยบางไลน์สินค้าอาจจะขายได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ แต่ก็มีสินค้าอีกหลายๆ อย่างที่ผู้ประกอบการไม่สามารถจะกระตุ้นดีมานด์ได้อย่างที่หวัง ดังนั้นในช่วงปลายปีที่เป็นหน้าขายหลักที่สำคัญทำให้ผู้ประกอบการแต่ละค่ายต่างตั้งความหวังไว้ค่อนข้างมาก
โดดลุยรับหน้าจับจ่าย
แหล่งข่าวจากวงการเครื่องใช้ไฟฟ้าเปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ปกติช่วงหน้าขายในเดือนธันวาคมคาบเกี่ยวไปถึงเดือนมกราคม ตลาดรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าจะสามารถขยายตัวได้มากกว่าช่วงปกติ 30% ดังนั้นผู้ประกอบการทั้งในส่วนของซัพพลายเออร์และร้านค้าปลีกต่างเริ่มทยอยเปิดตัวแคมเปญส่งเสริมการขายในหลากหลายรูปแบบออกมากระตุ้น หากสังเกตจะเห็นได้ว่ามีทั้งการลด แลก แจก แถม ที่มีออกมาเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่องทางขายดิสเคานต์สโตร์และไฮเปอร์มาร์เก็ต
แหล่งข่าวรายนี้ยังกล่าวด้วยว่า นอกจากแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าของบรรดาผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่จะมีแคมเปญใหญ่ที่มีของรางวัลที่มีมูลค่าสูงเป็นสิ่งจูงใจแล้ว กลยุทธ์อีกอย่างหนึ่งที่ค้าปลีกรายใหญ่นำมาใช้ก็คือ การพยายามปรับราคาขายเพื่อให้ถูกกว่าร้านคู่แข่งหรือการใช้กลยุทธ์ราคา
โดยร้านค้าปลีกเหล่านี้ต่างพยายามจับมือกับพันธมิตรซัพพลายเออร์เพื่อทำราคาและกิจกรรมส่งเสริมการขายที่จูงใจเพื่อกระตุ้นและดึงลูกค้าให้เดินเข้ามาในร้านมากขึ้น ยกตัวอย่างกรณีของเทสโก้ โลตัส ที่จับมือกับซัพพลายเออร์แบรนด์ใหญ่ อาทิ โทรศัพท์มือถือ ซัมซุง เครื่องละ 2,490 บาท จัดรายการ ซื้อ 1 เครื่อง แถม 1 เครื่อง และเครื่องเล่นเอ็มพี 3 ฟิลิปส์ เครื่องละ 1,990 บาท จัดรายการ ซื้อ 1 แถม 1 ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าอย่างมาก นอกจากนี้ก็ยังมีเตารีดไอน้ำของฟิลิปส์ ที่จัดรายการซื้อ 1 แถม 1 ด้วย
ค้าปลีกรายใหญ่ถล่มหนัก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากการจัดแคมเปญในลักษณะดังกล่าวของเทสโก้ โลตัสแล้ว ขณะนี้แผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าของค่ายอื่นๆ อาทิ คาร์ฟูร์ ก็ได้เปิดแคมเปญ "มหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า...สุดคุ้ม" ต้อนรับเทศกาลปีใหม่ช็อปง่ายได้ของแถม มูลค่าถึง 14,900 บาท ซื้อครบ 5,000 บาท รับเตารีด 249 บาท ครบ 20,000 บาท รับเครื่องดูดฝุ่นพานาโซนิค หรือ 90,000 บาท รับเครื่องซักผ้าฝาหน้า อีเลคโทรลักซ์ เป็นต้น
รายงานข่าวจากบริษัท ฟิลิปส์ อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวในเรื่องนี้ว่า แคมเปญส่งเสริมการขายฟิลิปส์ที่เห็นซื้อ 1 แถม 1 เป็นในส่วนที่ร้านค้าทำเอง ไม่เกี่ยวกับบริษัทแต่อย่างใด
ส่วนแม็คโครจัดแคมเปญ "ลุ้นปีใหม่รับโชคใหญ่กับแม็คโคร" เมื่อลูกค้าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าครบทุก 1,000 บาท รับคูปองลุ้นทองคำแท่งมูลค่า 1 ล้านบาท
ด้านความเคลื่อนไหวของบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ช่วงนี้ก็มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสำหรับสินค้าในหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า ด้วยการลดราคาทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องเสียง เครื่องเล่นดีวีดี เป็นต้น พร้อมกับนำกลยุทธ์เงินผ่อน 0% มาใช้ และเปิดโอกาสให้ผ่อนนานถึง 4 ปี
นอกจากนี้ค้าปลีกรายใหญ่ยังนำกลยุทธ์การลดราคาเข้ามาช่วยในการกระตุ้นยอดขายด้วย อาทิ โซนี่ 32 นิ้ว จากราคา 29,890 บาท เหลือ 26,990 บาท (เทสโก้ โลตัส) ทีวี 21 นิ้ว ซันโย จากราคา 3,990 บาท เหลือ 2,990 บาท (บิ๊กซี) พานาโซนิค 29 นิ้ว จาก 10,490 บาท เหลือ 7,990 บาท (คาร์ฟูร์)
เงิน 0% ยาว 48 เดือน ตัวช่วยหลัก
จากการสำรวจของผู้สื่อข่าวพบว่า ทั้งบิ๊กซี คาร์ฟูร์ เทสโก้ โลตัส และแม็คโคร มีกิจกรรมลุ้นชิงโชคและของแถมที่หลากหลายขึ้น พร้อมแคมเปญเงินผ่อนที่นานขึ้น โดยเฉพาะกับกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นใหญ่ที่มีมูลค่าสินค้าตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป ลูกค้าสามารถผ่อน 0% ได้ยาวนานถึง 48 เดือน ผ่านบัตรที่เข้าร่วมรายการหรือบัตรเครดิตจาก ร้านนั้นๆ
โดยเมื่อซื้อสินค้าหมวดทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ ที่บิ๊กซีสามารถผ่อน 0% นาน 4 ปี ผ่านบัตรบิ๊กซี ช็อปเปอร์ การ์ด หรือผ่อนบัตรอิออน 0.69% นาน 36 เดือนในกลุ่มโน้ตบุ๊ก พีซี และโทรศัพท์มือถือ ทุกรุ่นทุกยี่ห้อ และคาร์ฟูร์ส่งรายการเลือกสินค้ามารวมกันผ่อน โดยเลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชิ้นมารวมกันให้มูลค่าถึง 3,000 บาท ก็สามารถผ่อนจ่ายได้ 0.79% นาน 3 เดือน
เพาเวอร์บายเล็งเพิ่มแคมเปญ
นางสอางทิพย์ อมรฉัตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ช่วงปลายปีต้องเร่งทำยอดขายเพื่อให้สามารถปิดรายได้ตามเป้าที่วางไว้เพราะเป็นช่วงที่ดีมานด์ในตลาดโตที่สุด แต่ปีนี้ต้องมีกิจกรรมและแคมเปญส่งเสริมการขายออกมาเพิ่มมากขึ้นเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ หลายค่ายที่เป็นร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ค่อนข้างที่จะแข่งกันแรง มีแคมเปญต่างๆ ออกมามากขึ้น
สำหรับเพาเวอร์บายก็ต้องเพิ่มรูปแบบกิจกรรมที่หลากหลาย นอกจากกิจกรรมส่งเสริมการขายลุ้นรับทองคำหนัก 50 บาท และชิงโชครถมอเตอร์ไซค์ที่มีอยู่แล้ว ขณะนี้ได้พูดคุยกันว่าอาจจะต้องเพิ่มแคมเปญใหม่ขึ้นมาเสริมอีก นอกเหนือจากการให้ 0% เข้ามาเป็นแรงจูงใจเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งและสร้างสีสันให้กับตลาด
"ขณะนี้แม้ว่าแผนกเครี่องใช้ไฟฟ้าของค้าปลีกรายใหญ่จะหันมาทำตลาดแอลซีดีทีวีมากขึ้น แต่เพาเวอร์บายก็ไม่กังวลกับตรงนี้นัก เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะไว้ใจที่จะเข้ามาซื้อในเพาเวอร์บาย ส่วนทีวีจอแบนหรือว่ากลุ่มเครื่องครัวชิ้นเล็กราคาไม่แพง อาจมีความเป็นไปได้ที่ลูกค้าจะเลือกซื้อในช่องทางดิสเคานต์สโตร์ ซึ่งเพาเวอร์บายก็จะมี สินค้าเฮาส์แบรนด์ที่ราคาไม่สูงมากนักในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็ก ดิจิทัล และเอ็มพี 3 เข้ามาเป็นทางเลือก" นางสอางทิพย์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเพาเวอร์มอลล์ ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าในเครือเดอะมอลล์ นอกจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายที่มีมาอย่างต่อเนื่องแล้ว ในช่วงสัปดาห์ส่งท้ายปีคาบเกี่ยวไปจนถึงสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม เพาเวอร์มอลล์จะมีการจัดเทศกาลโชว์นวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นใหม่ "อิเลคโทรนิก้า" และจับมือกับพันธมิตรซัพพลายเออร์นำสินค้าราคาพิเศษออกมากระตุ้นตลาด
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0207
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news12/12/07
โพสต์ที่ 96
คุมห้างค้าปลีกขนาดยักษ์...ทางเลือกหรือทางตัน
Posted on Wednesday, December 12, 2007
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า ร่าง พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งจัดทำขึ้น เพื่อให้ผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่งทั้งรายเล็กและรายใหญ่อยู่ในพื้นที่ที่เหมาะสม และดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ส่วนห้างสรรพสินค้า และร้านขายสินค้าเฉพาะอย่าง จะไม่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายฉบับนี้ เนื่องจากไม่ได้ทำธุรกิจแข่งกับร้านค้าปลีก
ทั้งนี้ กฎหมายได้กำหนดคุณลักษณะของร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ดังนี้
1. มีพื้นที่ตั้งแต่ 1 พันตร.ม. ขึ้นไป แต่ขณะนี้กำลังพิจารณาปรับเพิ่มเป็น 2 พันตร.ม.
2. มียอดขายต่อปีมากกว่า 1 พันล้านบาท แต่กำลังจะพิจารณาปรับเพิ่มเป็น 2 3 พันล้านบาท
3. มีเครือข่ายหรือสาขา
นอกจากนี้กฎหมายค้าปลีกค้าส่งยังมีการควบคุมเรื่องเวลาการให้บริการของห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ เพื่อไม่ให้กระทบต่อกิจการค้าปลีกขนาดเล็ก รวมถึงยังกำหนดให้ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่จะต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ผู้ค้า เช่น ที่จอดรถ เพื่อไม่ให้กระทบต่อประชาชนที่อยู่ในบริเวณนั้นด้วยเช่นกัน
อธิบดีกรมการค้าภายในกล่าวถึงกฎหมายผังเมืองว่า เป็นกฎหมายที่ต้องการจัดระเบียบของอาคารให้เป็นหมวดหมู่ เช่น ที่อยู่อาศัย หรือย่านธุรกิจ แต่กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อดูแลเรื่องการค้า ดังนั้น การที่ไทยนำกฎหมายนี้ไปควบคุมธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง จึงมีช่องว่างให้ธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่นำไปใช้ประโยชน์ได้
กฎหมายค้าปลีกค้าส่งฉบับนี้ไม่ได้มีประเด็นเรื่องการแข่งขันด้านราคาเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ การขายสินค้าที่มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ว่ามีราคาถูกนั้น อธิบดีกรมการค้าภายในมองว่า ไม่ใช่การขายสินค้าในราคาต่ำกว่าทุนตามที่เข้าใจกัน เพราะภาวะปัจจุบันที่ผู้ผลิตต่างก็เรียกร้องขอปรับขึ้นราคาสินค้าตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมานั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่จะสามารถขายสินค้าได้ในราคาที่ถูก และถ้าสินค้าที่ขายนั้นมีราคาต่ำกว่าทุนจริง แสดงว่าอาจจะมีการบิดเบือนต้นทุนสินค้า ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อกิจการค้าปลีกขนาดเล็ก เพราะไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้ ส่วนผู้ผลิตก็จะถูกกดราคาสินค้า หรือถูกบังคับให้มีของแถมหรือส่วนลด เป็นต้น
สำหรับแนวทางช่วยเหลือค้าปลีกขนาดเล็ก คือ การให้รวมกลุ่มกัน เพื่อช่วยเหลือเรื่องต่าง ๆ เช่น ระบบการจัดซื้อ บัญชี ซอฟต์แวร์ และโลจิสติกส์ ซึ่งในขณะนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ก็ได้ริเริ่มให้กิจการค้าปลีกขนาดเล็กมารวมกลุ่มกัน เพื่อพัฒนาความรู้ในเรื่องต่าง ๆ แล้ว
ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯ และคาดว่าจะเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาในวาระที่ 3 ได้ในวันที่ 19 ธ.ค. นี้ อย่างไรก็ตามไม่มั่นใจว่า สนช.จะพิจารณากฎหมายเสร็จก่อนที่จะหมดวาระหรือไม่ เนื่องจาก สนช. มีกฎหมายที่จะต้องพิจารณาจำนวนมาก แต่เหลือเวลาในการพิจารณาอีกไม่นานนัก
นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมการค้าส่ง-ปลีกไทย กล่าวว่า ขณะนี้ค้าปลีกขนาดเล็กต่างก็หวังที่จะให้ พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง มาดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่งแทนกฎหมายผังเมือง เนื่องจากกฎหมายผังเมืองยังมีช่องว่างให้ค้าปลีกขนาดใหญ่สามารถขยายสาขาได้ด้วยการปรับขนาดร้านค้าให้ตรงกับที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งถือเป็นการทำลายค้าปลีกรายย่อยของไทย
ส่วนการที่ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่โฆษณาว่า จำหน่ายสินค้าในราคาถูกนั้น ก็เกิดจากการไปกดราคากับผู้ผลิต นอกจากนี้ยังเป็นวิธีจูงใจผู้บริโภคให้ไปซื้อสินค้าในร้านค้าปลีกนั้นด้วย ส่วนธุรกิจค้าปลีกใดที่อ้างว่า สามารถจำหน่ายสินค้าราคาถูกได้ เพราะมีการบริหารต้นทุนที่ดี ก็ควรที่จะลดราคาสินค้าทั้งปี ไม่ควรที่จะลดเพียง 2 3 วัน และมีการจำกัดจำนวนสินค้า
นายสมชายฝากถึงคณะกรรมาธิการฯ ด้วยว่า ในการพิจารณากฎหมาย อยากให้คำนึงถึงกิจการค้าปลีกขนาดเล็กด้วย เพราะถ้ากิจการค้าปลีกขนาดเล็กอยู่ไม่ได้ สังคมอยู่ไม่ได้ ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ก็จะไม่สามารถอยู่ได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังอยากให้ภาครัฐเป็นแกนนำในการรวมกลุ่มของค้าปลีกรายย่อย เพื่อร่วมกันวางแผนและพัฒนาในด้านต่าง ๆ ด้วย เนื่องจากหากให้ค้าปลีกแต่ละรายทำเพียงลำพัง ก็คงจะไม่สำเร็จ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
Posted on Wednesday, December 12, 2007
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า ร่าง พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งจัดทำขึ้น เพื่อให้ผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่งทั้งรายเล็กและรายใหญ่อยู่ในพื้นที่ที่เหมาะสม และดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ส่วนห้างสรรพสินค้า และร้านขายสินค้าเฉพาะอย่าง จะไม่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายฉบับนี้ เนื่องจากไม่ได้ทำธุรกิจแข่งกับร้านค้าปลีก
ทั้งนี้ กฎหมายได้กำหนดคุณลักษณะของร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ดังนี้
1. มีพื้นที่ตั้งแต่ 1 พันตร.ม. ขึ้นไป แต่ขณะนี้กำลังพิจารณาปรับเพิ่มเป็น 2 พันตร.ม.
2. มียอดขายต่อปีมากกว่า 1 พันล้านบาท แต่กำลังจะพิจารณาปรับเพิ่มเป็น 2 3 พันล้านบาท
3. มีเครือข่ายหรือสาขา
นอกจากนี้กฎหมายค้าปลีกค้าส่งยังมีการควบคุมเรื่องเวลาการให้บริการของห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ เพื่อไม่ให้กระทบต่อกิจการค้าปลีกขนาดเล็ก รวมถึงยังกำหนดให้ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่จะต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ผู้ค้า เช่น ที่จอดรถ เพื่อไม่ให้กระทบต่อประชาชนที่อยู่ในบริเวณนั้นด้วยเช่นกัน
อธิบดีกรมการค้าภายในกล่าวถึงกฎหมายผังเมืองว่า เป็นกฎหมายที่ต้องการจัดระเบียบของอาคารให้เป็นหมวดหมู่ เช่น ที่อยู่อาศัย หรือย่านธุรกิจ แต่กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อดูแลเรื่องการค้า ดังนั้น การที่ไทยนำกฎหมายนี้ไปควบคุมธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง จึงมีช่องว่างให้ธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่นำไปใช้ประโยชน์ได้
กฎหมายค้าปลีกค้าส่งฉบับนี้ไม่ได้มีประเด็นเรื่องการแข่งขันด้านราคาเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ การขายสินค้าที่มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ว่ามีราคาถูกนั้น อธิบดีกรมการค้าภายในมองว่า ไม่ใช่การขายสินค้าในราคาต่ำกว่าทุนตามที่เข้าใจกัน เพราะภาวะปัจจุบันที่ผู้ผลิตต่างก็เรียกร้องขอปรับขึ้นราคาสินค้าตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมานั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่จะสามารถขายสินค้าได้ในราคาที่ถูก และถ้าสินค้าที่ขายนั้นมีราคาต่ำกว่าทุนจริง แสดงว่าอาจจะมีการบิดเบือนต้นทุนสินค้า ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อกิจการค้าปลีกขนาดเล็ก เพราะไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้ ส่วนผู้ผลิตก็จะถูกกดราคาสินค้า หรือถูกบังคับให้มีของแถมหรือส่วนลด เป็นต้น
สำหรับแนวทางช่วยเหลือค้าปลีกขนาดเล็ก คือ การให้รวมกลุ่มกัน เพื่อช่วยเหลือเรื่องต่าง ๆ เช่น ระบบการจัดซื้อ บัญชี ซอฟต์แวร์ และโลจิสติกส์ ซึ่งในขณะนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ก็ได้ริเริ่มให้กิจการค้าปลีกขนาดเล็กมารวมกลุ่มกัน เพื่อพัฒนาความรู้ในเรื่องต่าง ๆ แล้ว
ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯ และคาดว่าจะเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาในวาระที่ 3 ได้ในวันที่ 19 ธ.ค. นี้ อย่างไรก็ตามไม่มั่นใจว่า สนช.จะพิจารณากฎหมายเสร็จก่อนที่จะหมดวาระหรือไม่ เนื่องจาก สนช. มีกฎหมายที่จะต้องพิจารณาจำนวนมาก แต่เหลือเวลาในการพิจารณาอีกไม่นานนัก
นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมการค้าส่ง-ปลีกไทย กล่าวว่า ขณะนี้ค้าปลีกขนาดเล็กต่างก็หวังที่จะให้ พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง มาดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่งแทนกฎหมายผังเมือง เนื่องจากกฎหมายผังเมืองยังมีช่องว่างให้ค้าปลีกขนาดใหญ่สามารถขยายสาขาได้ด้วยการปรับขนาดร้านค้าให้ตรงกับที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งถือเป็นการทำลายค้าปลีกรายย่อยของไทย
ส่วนการที่ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่โฆษณาว่า จำหน่ายสินค้าในราคาถูกนั้น ก็เกิดจากการไปกดราคากับผู้ผลิต นอกจากนี้ยังเป็นวิธีจูงใจผู้บริโภคให้ไปซื้อสินค้าในร้านค้าปลีกนั้นด้วย ส่วนธุรกิจค้าปลีกใดที่อ้างว่า สามารถจำหน่ายสินค้าราคาถูกได้ เพราะมีการบริหารต้นทุนที่ดี ก็ควรที่จะลดราคาสินค้าทั้งปี ไม่ควรที่จะลดเพียง 2 3 วัน และมีการจำกัดจำนวนสินค้า
นายสมชายฝากถึงคณะกรรมาธิการฯ ด้วยว่า ในการพิจารณากฎหมาย อยากให้คำนึงถึงกิจการค้าปลีกขนาดเล็กด้วย เพราะถ้ากิจการค้าปลีกขนาดเล็กอยู่ไม่ได้ สังคมอยู่ไม่ได้ ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ก็จะไม่สามารถอยู่ได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังอยากให้ภาครัฐเป็นแกนนำในการรวมกลุ่มของค้าปลีกรายย่อย เพื่อร่วมกันวางแผนและพัฒนาในด้านต่าง ๆ ด้วย เนื่องจากหากให้ค้าปลีกแต่ละรายทำเพียงลำพัง ก็คงจะไม่สำเร็จ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news13/12/07
โพสต์ที่ 97
หวั่นกม.ค้าปลีกทำแผนโตชะงัก
โพสต์ทูเดย์ วัตสัน ระทึก พ.ร.บ.ค้าปลีกฯ ทำแผนขยายสาขาชะงัก เร่งปรับแผนนำเข้าเครื่องสำอางแดนปลาดิบ-กิมจิ กระตุ้นยอด
นายโทบี้ แอนเดอร์สัน ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เซ็นทรัล วัตสัน ผู้ดำเนินธุรกิจร้านเพื่อสุขภาพ และความงาม ภายใต้แบรนด์ วัตสัน กล่าวว่า แผนการดำเนินงานในปี 2551 บริษัทยังขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยจำนวนสาขาได้ ต้องขึ้นอยู่กับทำเลที่เหมาะสม
ประกอบกับภาครัฐมีการนำ พ.ร.บ.ค้าปลีกค้าส่ง เข้ามาควบคุมการขยายสาขาของห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ซึ่งถือเป็นช่องทางหลักในการขยายสาขาของร้านวัตสัน จึงทำให้บริษัทต้องรอผลสรุปเรื่องดังกล่าว ก่อนที่จะมีการขยายสาขาเพิ่ม แต่ไม่ว่า พ.ร.บ.ควบคุมธุรกิจค้าปลีก จะออกมาในรูปแบบใด บริษัทก็ยินดีให้ความร่วมมือปฏิบัติตาม
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะนำสินค้าใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเวชสำอาง และกลุ่มสินค้าเพื่อความงาม เนื่องจากสินค้ากลุ่มนี้มีอัตราการเติบโตสูงถึง 80% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน ยังมีแผนที่จะนำสินค้ากลุ่มเอ็กซ์คลูซีฟ หรือแบรนด์เฉพาะเข้ามาทำตลาดเพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด เพราะปีนี้เป็นปีที่ธุรกิจร้านจำหน่ายสินค้าเพื่อสุขภาพ และความงามมีการแข่งขันที่รุนแรงมากกว่าทุกปี ทำให้บริษัทต้องออกมาทำกิจกรรมทางการตลาดมากขึ้น ด้วยการทำโปรโมชันทุกเดือน เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ
บริษัทยังมีแผนจะเพิ่มการนำเข้ากลุ่มสินค้าเพื่อความงาม จากประเทศเกาหลี และญี่ปุ่น ภายหลังได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค โดยเฉพาะครีมกระชับรูขุมขน รอบดวงตา
นายโทบี้ กล่าวว่า สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจของไทยในปีหน้ายังมีอัตราการเติบโตไม่มากนัก หรือมีอัตราการเติบโตตามจีดีพีของประเทศอยู่ที่ประมาณ 4.5% แม้จะมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ แต่กำลังซื้อของผู้บริโภค ยังไม่ฟื้นตัว จึงทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยในปีหน้ายังมีการปรับตัวไม่ดีขึ้นมากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคเอเชีย อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับ ปีนี้ ถือว่าภาพรวมเศรษฐกิจปีหน้า มีอัตราการเติบโตที่สูงกว่า
สำหรับผลประกอบการของบริษัทในปีนี้ มั่นใจว่าน่าจะมีรายได้รวมเติบโตเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208747
โพสต์ทูเดย์ วัตสัน ระทึก พ.ร.บ.ค้าปลีกฯ ทำแผนขยายสาขาชะงัก เร่งปรับแผนนำเข้าเครื่องสำอางแดนปลาดิบ-กิมจิ กระตุ้นยอด
นายโทบี้ แอนเดอร์สัน ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เซ็นทรัล วัตสัน ผู้ดำเนินธุรกิจร้านเพื่อสุขภาพ และความงาม ภายใต้แบรนด์ วัตสัน กล่าวว่า แผนการดำเนินงานในปี 2551 บริษัทยังขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยจำนวนสาขาได้ ต้องขึ้นอยู่กับทำเลที่เหมาะสม
ประกอบกับภาครัฐมีการนำ พ.ร.บ.ค้าปลีกค้าส่ง เข้ามาควบคุมการขยายสาขาของห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ซึ่งถือเป็นช่องทางหลักในการขยายสาขาของร้านวัตสัน จึงทำให้บริษัทต้องรอผลสรุปเรื่องดังกล่าว ก่อนที่จะมีการขยายสาขาเพิ่ม แต่ไม่ว่า พ.ร.บ.ควบคุมธุรกิจค้าปลีก จะออกมาในรูปแบบใด บริษัทก็ยินดีให้ความร่วมมือปฏิบัติตาม
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะนำสินค้าใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเวชสำอาง และกลุ่มสินค้าเพื่อความงาม เนื่องจากสินค้ากลุ่มนี้มีอัตราการเติบโตสูงถึง 80% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน ยังมีแผนที่จะนำสินค้ากลุ่มเอ็กซ์คลูซีฟ หรือแบรนด์เฉพาะเข้ามาทำตลาดเพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด เพราะปีนี้เป็นปีที่ธุรกิจร้านจำหน่ายสินค้าเพื่อสุขภาพ และความงามมีการแข่งขันที่รุนแรงมากกว่าทุกปี ทำให้บริษัทต้องออกมาทำกิจกรรมทางการตลาดมากขึ้น ด้วยการทำโปรโมชันทุกเดือน เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ
บริษัทยังมีแผนจะเพิ่มการนำเข้ากลุ่มสินค้าเพื่อความงาม จากประเทศเกาหลี และญี่ปุ่น ภายหลังได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค โดยเฉพาะครีมกระชับรูขุมขน รอบดวงตา
นายโทบี้ กล่าวว่า สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจของไทยในปีหน้ายังมีอัตราการเติบโตไม่มากนัก หรือมีอัตราการเติบโตตามจีดีพีของประเทศอยู่ที่ประมาณ 4.5% แม้จะมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ แต่กำลังซื้อของผู้บริโภค ยังไม่ฟื้นตัว จึงทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยในปีหน้ายังมีการปรับตัวไม่ดีขึ้นมากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคเอเชีย อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับ ปีนี้ ถือว่าภาพรวมเศรษฐกิจปีหน้า มีอัตราการเติบโตที่สูงกว่า
สำหรับผลประกอบการของบริษัทในปีนี้ มั่นใจว่าน่าจะมีรายได้รวมเติบโตเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=208747
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/12/07
โพสต์ที่ 98
บูมแฟชั่นหญิง โค้งท้ายสิ้นปี หวังโตถึง15%
โพสต์ทูเดย์ เดอะมอลล์ เท 300 ล้าน สร้างสีสันกลุ่มแฟชั่นผู้หญิงปลายปี หวังกระทุ้งยอดพุ่ง 15%
น.ส.มาลินี ทรัพย์บริบูรณ์ ผู้อำนวยการใหญ่สายบริหารสินค้า เอ2 บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป ผู้บริหารศูนย์การค้าเดอะมอลล์ สยาม พารากอน และดิ เอ็มโพเรียม กล่าว ว่า บริษัทจะใช้งบ 300 ล้านบาท จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและ ทำตลาดแผนกสินค้า เอ2 สำหรับ ผู้หญิง มากกว่าปีก่อน ใช้งบราว 250 ล้านบาท พร้อมใช้งบอีกราว 30 ล้านบาท เพื่อดำเนินการ ปรับโฉมพื้นที่จำหน่ายสินค้าดังกล่าวให้เป็นกลุ่มใหม่แผนกแฟชั่น ที่รวบรวมสินค้าแฟชั่นทุกประเภทสำหรับผู้หญิงตั้งแต่เด็ก วัยรุ่น และวัยทำงานหรือผู้ใหญ่ คาดเปิดตัวกลาง ปี 2551
แนวทางดังกล่าวเพื่อสร้างความชัดเจนให้กับแต่ละแผนกสินค้าในกลุ่ม เอ2 มากขึ้น หลังก่อนหน้าเปิดให้บริการเป็นแผนกแรกคือ บิวตี้ ฮอลล์ สินค้ากลุ่มความงามเครื่อง สำอางไปแล้ว กลุ่มที่ 2 แผนกเดอะ ลิฟวิง หรือของตกแต่งบ้าน และกลุ่ม 3 แฟชั่น เป็นลำดับถัดไป
ทั้งนี้ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของแต่ละแผนกสินค้าให้จูงใจกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคที่เข้ามาจับจ่ายซื้อสินค้ามากขึ้น และหนีไปจากการแข่งขันในกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกเดียวกัน
บริษัทคาดว่า สิ้นปีกลุ่ม เอ2 ยอดขายจะโต 15% แบ่งเป็น 25% จากยอดขายรวมสินค้ากลุ่มผู้หญิง มูลค่าราว 1.1 หมื่นล้านบาท และปีหน้าหลังปรับปรุงภาพรวมพร้อมเปิดให้บริการแผนกใหม่ คาดจะมีอัตราเติบโตรายได้ไม่ต่ำกว่า 10% ขณะยอดขายรวมของกลุ่มเดอะมอลล์ปีนี้อยู่ที่ 4.2 หมื่นล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=209140
โพสต์ทูเดย์ เดอะมอลล์ เท 300 ล้าน สร้างสีสันกลุ่มแฟชั่นผู้หญิงปลายปี หวังกระทุ้งยอดพุ่ง 15%
น.ส.มาลินี ทรัพย์บริบูรณ์ ผู้อำนวยการใหญ่สายบริหารสินค้า เอ2 บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป ผู้บริหารศูนย์การค้าเดอะมอลล์ สยาม พารากอน และดิ เอ็มโพเรียม กล่าว ว่า บริษัทจะใช้งบ 300 ล้านบาท จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและ ทำตลาดแผนกสินค้า เอ2 สำหรับ ผู้หญิง มากกว่าปีก่อน ใช้งบราว 250 ล้านบาท พร้อมใช้งบอีกราว 30 ล้านบาท เพื่อดำเนินการ ปรับโฉมพื้นที่จำหน่ายสินค้าดังกล่าวให้เป็นกลุ่มใหม่แผนกแฟชั่น ที่รวบรวมสินค้าแฟชั่นทุกประเภทสำหรับผู้หญิงตั้งแต่เด็ก วัยรุ่น และวัยทำงานหรือผู้ใหญ่ คาดเปิดตัวกลาง ปี 2551
แนวทางดังกล่าวเพื่อสร้างความชัดเจนให้กับแต่ละแผนกสินค้าในกลุ่ม เอ2 มากขึ้น หลังก่อนหน้าเปิดให้บริการเป็นแผนกแรกคือ บิวตี้ ฮอลล์ สินค้ากลุ่มความงามเครื่อง สำอางไปแล้ว กลุ่มที่ 2 แผนกเดอะ ลิฟวิง หรือของตกแต่งบ้าน และกลุ่ม 3 แฟชั่น เป็นลำดับถัดไป
ทั้งนี้ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของแต่ละแผนกสินค้าให้จูงใจกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคที่เข้ามาจับจ่ายซื้อสินค้ามากขึ้น และหนีไปจากการแข่งขันในกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกเดียวกัน
บริษัทคาดว่า สิ้นปีกลุ่ม เอ2 ยอดขายจะโต 15% แบ่งเป็น 25% จากยอดขายรวมสินค้ากลุ่มผู้หญิง มูลค่าราว 1.1 หมื่นล้านบาท และปีหน้าหลังปรับปรุงภาพรวมพร้อมเปิดให้บริการแผนกใหม่ คาดจะมีอัตราเติบโตรายได้ไม่ต่ำกว่า 10% ขณะยอดขายรวมของกลุ่มเดอะมอลล์ปีนี้อยู่ที่ 4.2 หมื่นล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=209140
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news17/12/07
โพสต์ที่ 99
ตัวแทนห้าง Modern Trade เปิดใจไม่ค้านกฎหมายค้าปลีกหากชัดเจนและเป็นธรรมพอ
Posted on Monday, December 17, 2007
ว่าที่ ร.อ.จิตร์ ศิรธรานนท์ โฆษกคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯ โดยได้พิจารณากฎหมายไปแล้ว 42 มาตรา ทั้งนี้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะทำหน้าที่เป็นทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาถึงวันที่ 21 ธ.ค. นี้เท่านั้น
สำหรับวันพรุ่งนี้ (18 ธ.ค.) จะมีการประชุมคณะกรรมาธิการฯ เกี่ยวกับคุณสมบัติของห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ (Modern Trade) ว่าด้วยการขยายพื้นที่จาก 1,000 ตารางเมตรเป็น 2,000 ตารางเมตร และยอดขายจาก 1,000 ล้านบาทต่อปี มาเป็น 2,000-3,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งถ้าหากภาครัฐยอมผ่อนปรนเรื่องนี้ ในขณะที่ตัวแทน Modern Trade ก็ให้การยอมรับกฎหมาย เชื่อว่าจะสามารถเสนอกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของ สนช. ได้ทันวันที่ 21 ธ.ค. นี้
ว่าที่ ร.อ.จิตร์บอกว่า การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ ก็เพื่อชะลอการขยายสาขาของ Modern Trade พร้อมกับมีเวลาให้ค้าปลีกขนาดเล็ก (โชห่วย) ได้ปรับตัว เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ แต่ถ้าหากโชห่วยยังไม่ยอมใช้ช่วงเวลานี้ในการปรับตัว ภาครัฐก็คงไม่สามารถทำอะไรได้
นายธนภณ ตังคณานันท์ นายกสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ยืนยันว่า ไม่ได้ต่อต้านการออกร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง โดยที่ผ่านมาก็ได้รวบรวมข้อมูลทุกด้านที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งต่อให้ภาครัฐ พร้อมกับหวังว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ทั้งผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย พ่อค้าคนกลาง ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค แต่เนื่องจากรายละเอียดของร่างกฎหมายฉบับนี้จะเน้นควบคุมการขยายสาขา Modern Trade เป็นหลัก จึงมองว่าไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ร่างกฎหมายฉบับนี้ก็ไม่ได้ระบุถึงการพัฒนาโชห่วย และประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับจากการบังคับใช้กฎหมายด้วย
นายธนภณมองว่า ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ยังมีความไม่ชัดเจนในหลายประเด็นด้วยกัน เช่น มาตรา 3 ที่เกี่ยวกับคำนิยามของธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง และมาตรา 5 ที่เกี่ยวกับประเภทของธุรกิจค้าปลีกที่ได้รับการยกเว้น ซึ่งการที่กฎหมายไม่ชัดเจน ทำให้ต้องมีการตีความข้อกฎหมาย และมีผลให้นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจ ดังนั้น จึงอยากให้ระบุให้ชัดเจนว่า กฎหมายฉบับนี้จะควบคุมธุรกิจใด หรือยกเว้นธุรกิจใด เพื่อจะได้ไม่ต้องตีความข้อกฎหมายอีก
นอกจากนี้ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ยังกำหนดให้มีการออกกฎกระทรวงด้วย ซึ่งอธิบดีกรมการค้าภายในก็ได้พยายามกำหนดความชัดเจนในเรื่องพื้นที่ ยอดขาย และประเภทของธุรกิจที่จะถูกบังคับ ซึ่งทำให้รู้สึกวางใจในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังจะต้องรอรายละเอียดฉบับสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง
นายกสมาคมผู้ค้าปลีกไทยบอกว่า ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ยังกำหนดให้ผู้ประกอบการจะต้องขอใบอนุญาต 2 ใบ คือ ใบอนุญาตก่อสร้างและใบอนุญาตประกอบการ จากเดิมที่ต้องขอใบอนุญาตก่อสร้างเพียงใบเดียว ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้เสนอภาครัฐให้อำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ ด้วยการเปิดให้ขอใบอนุญาตทั้ง 2 ประเภทได้ภายในจุดเดียว แต่ขณะนี้ก็ยังไม่มีการตอบรับในเรื่องนี้
นายธนภณยังโต้ถึงข้อกล่าวหาเรื่อง Modern Trade เป็นผู้ทำลายโชห่วยด้วยว่า ลูกค้าของ Modern Trade กับโชห่วยเป็นลูกค้าคนละกลุ่ม โดย 90% ของลูกค้า Modern Trade จะต้องเดินทางด้วยรถยนต์ ในขณะที่ลูกค้าของโชห่วยจะเป็นคนในพื้นที่ที่ใช้การเดินเท้ามาซื้อของ ส่วนยอดขายของ Modern Trade ก็อยู่ในระดับกว่า 4 แสนล้านบาท/ปี คิดเป็น 38% ของยอดขายทั้งระบบที่ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท/ปี ส่วนอัตราการเปิดของ Modern Trade ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 24% ขณะที่โชห่วยมีอัตราการเปิดกิจการใหม่เพิ่มขึ้น 18%
ส่วนประเด็นเรื่องการขยายสาขาของ Modern Trade นั้น เกิดจากประกาศกระทรวงของกรมโยธาธิการที่เกี่ยวกับการควบคุมอาคารได้หมดอายุลง และไม่มีการต่ออายุให้ทันเวลา ทำให้ Modern Trade ใช้ช่วงเวลานั้นในการเร่งขยายสาขา แต่ปัจจุบันประกาศกระทรวงของกรมโยธาธิการได้มีการบังคับใช้ครบทุกฉบับแล้ว
สำหรับข้อกล่าวหาเรื่องการกดราคาสินค้านั้น นายธนภณบอกว่า ร้านค้าปลีกแต่ละประเภทจะมีการกำหนดโครงสร้างราคาอยู่แล้ว ซึ่งจะเป็นที่ทราบกันดีว่า ร้านใดมีราคาเท่าใด ขณะที่การทำโปรโมชั่น ก็จะทำเฉพาะช่วงเวลาพิเศษ เช่น ครบรอบ 1 ปี แต่จะไม่สามารถทำโปรโมชั่นตลอดเวลาได้ ส่วนเรื่องการกำหนดจำนวนสินค้านั้น ก็เพื่อกระจายสินค้าให้ถึงมือผู้บริโภคมากที่สุด ถ้าไม่กำหนดจำนวน สินค้าก็จะตกอยู่ในมือคนกลุ่มน้อยเท่านั้น
นายกสมาคมผู้ค้าปลีกไทยเชื่อว่า หากร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง มีผลบังคับใช้ ผู้บริโภคจะได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากจะถูกจำกัดทางเลือกและไม่มีข้อเปรียบเทียบในการเลือกซื้อสินค้า รวมทั้งจะไม่ได้รับการบริการที่ดีจากผู้ประกอบการ นอกจากนี้ยังกระทบต่อภาคการผลิต เนื่องจากร้านค้าปลีกส่วนใหญ่จะทำการซื้อมาขายไป และสินค้ากว่า 95% เป็นการผลิตในประเทศ ถ้ามีการควบคุมก็จะกระทบต่อภาคการผลิต รวมถึงจะมีผลต่อเนื่องไปถึงอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ (GDP) เนื่องจากธุรกิจค้าปลีกค้าส่งคิดเป็น 15% ของ GDP ขณะเดียวกันก็จะกระทบต่อภาคแรงงาน เพราะการขยายสาขาแต่ละครั้งจะจ้างแรงงานท้องถิ่น ทำให้แรงงานได้อยู่ใกล้ครอบครัว และไม่ต้องย้ายมาทำงานที่กรุงเทพ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
Posted on Monday, December 17, 2007
ว่าที่ ร.อ.จิตร์ ศิรธรานนท์ โฆษกคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯ โดยได้พิจารณากฎหมายไปแล้ว 42 มาตรา ทั้งนี้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะทำหน้าที่เป็นทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาถึงวันที่ 21 ธ.ค. นี้เท่านั้น
สำหรับวันพรุ่งนี้ (18 ธ.ค.) จะมีการประชุมคณะกรรมาธิการฯ เกี่ยวกับคุณสมบัติของห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ (Modern Trade) ว่าด้วยการขยายพื้นที่จาก 1,000 ตารางเมตรเป็น 2,000 ตารางเมตร และยอดขายจาก 1,000 ล้านบาทต่อปี มาเป็น 2,000-3,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งถ้าหากภาครัฐยอมผ่อนปรนเรื่องนี้ ในขณะที่ตัวแทน Modern Trade ก็ให้การยอมรับกฎหมาย เชื่อว่าจะสามารถเสนอกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของ สนช. ได้ทันวันที่ 21 ธ.ค. นี้
ว่าที่ ร.อ.จิตร์บอกว่า การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ ก็เพื่อชะลอการขยายสาขาของ Modern Trade พร้อมกับมีเวลาให้ค้าปลีกขนาดเล็ก (โชห่วย) ได้ปรับตัว เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ แต่ถ้าหากโชห่วยยังไม่ยอมใช้ช่วงเวลานี้ในการปรับตัว ภาครัฐก็คงไม่สามารถทำอะไรได้
นายธนภณ ตังคณานันท์ นายกสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ยืนยันว่า ไม่ได้ต่อต้านการออกร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง โดยที่ผ่านมาก็ได้รวบรวมข้อมูลทุกด้านที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งต่อให้ภาครัฐ พร้อมกับหวังว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ทั้งผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย พ่อค้าคนกลาง ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค แต่เนื่องจากรายละเอียดของร่างกฎหมายฉบับนี้จะเน้นควบคุมการขยายสาขา Modern Trade เป็นหลัก จึงมองว่าไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ร่างกฎหมายฉบับนี้ก็ไม่ได้ระบุถึงการพัฒนาโชห่วย และประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับจากการบังคับใช้กฎหมายด้วย
นายธนภณมองว่า ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ยังมีความไม่ชัดเจนในหลายประเด็นด้วยกัน เช่น มาตรา 3 ที่เกี่ยวกับคำนิยามของธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง และมาตรา 5 ที่เกี่ยวกับประเภทของธุรกิจค้าปลีกที่ได้รับการยกเว้น ซึ่งการที่กฎหมายไม่ชัดเจน ทำให้ต้องมีการตีความข้อกฎหมาย และมีผลให้นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจ ดังนั้น จึงอยากให้ระบุให้ชัดเจนว่า กฎหมายฉบับนี้จะควบคุมธุรกิจใด หรือยกเว้นธุรกิจใด เพื่อจะได้ไม่ต้องตีความข้อกฎหมายอีก
นอกจากนี้ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ยังกำหนดให้มีการออกกฎกระทรวงด้วย ซึ่งอธิบดีกรมการค้าภายในก็ได้พยายามกำหนดความชัดเจนในเรื่องพื้นที่ ยอดขาย และประเภทของธุรกิจที่จะถูกบังคับ ซึ่งทำให้รู้สึกวางใจในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังจะต้องรอรายละเอียดฉบับสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง
นายกสมาคมผู้ค้าปลีกไทยบอกว่า ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ยังกำหนดให้ผู้ประกอบการจะต้องขอใบอนุญาต 2 ใบ คือ ใบอนุญาตก่อสร้างและใบอนุญาตประกอบการ จากเดิมที่ต้องขอใบอนุญาตก่อสร้างเพียงใบเดียว ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้เสนอภาครัฐให้อำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ ด้วยการเปิดให้ขอใบอนุญาตทั้ง 2 ประเภทได้ภายในจุดเดียว แต่ขณะนี้ก็ยังไม่มีการตอบรับในเรื่องนี้
นายธนภณยังโต้ถึงข้อกล่าวหาเรื่อง Modern Trade เป็นผู้ทำลายโชห่วยด้วยว่า ลูกค้าของ Modern Trade กับโชห่วยเป็นลูกค้าคนละกลุ่ม โดย 90% ของลูกค้า Modern Trade จะต้องเดินทางด้วยรถยนต์ ในขณะที่ลูกค้าของโชห่วยจะเป็นคนในพื้นที่ที่ใช้การเดินเท้ามาซื้อของ ส่วนยอดขายของ Modern Trade ก็อยู่ในระดับกว่า 4 แสนล้านบาท/ปี คิดเป็น 38% ของยอดขายทั้งระบบที่ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท/ปี ส่วนอัตราการเปิดของ Modern Trade ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 24% ขณะที่โชห่วยมีอัตราการเปิดกิจการใหม่เพิ่มขึ้น 18%
ส่วนประเด็นเรื่องการขยายสาขาของ Modern Trade นั้น เกิดจากประกาศกระทรวงของกรมโยธาธิการที่เกี่ยวกับการควบคุมอาคารได้หมดอายุลง และไม่มีการต่ออายุให้ทันเวลา ทำให้ Modern Trade ใช้ช่วงเวลานั้นในการเร่งขยายสาขา แต่ปัจจุบันประกาศกระทรวงของกรมโยธาธิการได้มีการบังคับใช้ครบทุกฉบับแล้ว
สำหรับข้อกล่าวหาเรื่องการกดราคาสินค้านั้น นายธนภณบอกว่า ร้านค้าปลีกแต่ละประเภทจะมีการกำหนดโครงสร้างราคาอยู่แล้ว ซึ่งจะเป็นที่ทราบกันดีว่า ร้านใดมีราคาเท่าใด ขณะที่การทำโปรโมชั่น ก็จะทำเฉพาะช่วงเวลาพิเศษ เช่น ครบรอบ 1 ปี แต่จะไม่สามารถทำโปรโมชั่นตลอดเวลาได้ ส่วนเรื่องการกำหนดจำนวนสินค้านั้น ก็เพื่อกระจายสินค้าให้ถึงมือผู้บริโภคมากที่สุด ถ้าไม่กำหนดจำนวน สินค้าก็จะตกอยู่ในมือคนกลุ่มน้อยเท่านั้น
นายกสมาคมผู้ค้าปลีกไทยเชื่อว่า หากร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง มีผลบังคับใช้ ผู้บริโภคจะได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากจะถูกจำกัดทางเลือกและไม่มีข้อเปรียบเทียบในการเลือกซื้อสินค้า รวมทั้งจะไม่ได้รับการบริการที่ดีจากผู้ประกอบการ นอกจากนี้ยังกระทบต่อภาคการผลิต เนื่องจากร้านค้าปลีกส่วนใหญ่จะทำการซื้อมาขายไป และสินค้ากว่า 95% เป็นการผลิตในประเทศ ถ้ามีการควบคุมก็จะกระทบต่อภาคการผลิต รวมถึงจะมีผลต่อเนื่องไปถึงอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ (GDP) เนื่องจากธุรกิจค้าปลีกค้าส่งคิดเป็น 15% ของ GDP ขณะเดียวกันก็จะกระทบต่อภาคแรงงาน เพราะการขยายสาขาแต่ละครั้งจะจ้างแรงงานท้องถิ่น ทำให้แรงงานได้อยู่ใกล้ครอบครัว และไม่ต้องย้ายมาทำงานที่กรุงเทพ
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 497
- ผู้ติดตาม: 0
modern trade and household
โพสต์ที่ 100
ห้างยักษ์ล็อบบี้ สนช.ยื้อ กม.ค้าปลีกจนแท้ง
โดย ผู้จัดการรายวัน 19 ธันวาคม 2550 07:21 น. สมใจยักษ์ใหญ่ค้าปลีก ยื้อกันจนกฎหมายค้าปลีกแท้ง อ้างมีชัย มีคำสั่งหยุดพิจารณากฎหมายทุกฉบับที่อยู่ในขั้นกรรมาธิการพาณิชย์ แฉมีไอ้โม่งดึงเกม หวั่นโชวห่วยไทยตายแน่ เหตุยักษ์ค้าปลีกเร่งขยายสาขาได้ตามใจชอบหลังไร้กฎหมายคุม ด้านศปท.หาช่องฟ้องประธานสนช. ข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนร่างกม.ต่างด้าวส่อแววแท้งตาม เหตุกรรมาธิการเกียร์ว่าง โดดร่มประชุม เกริกไกรเซ็ง ยอมรับดันไม่สำเร็จ ยรรยง เตรียมมาตรการสำรองรับมือ นัดยักษ์ค้าปลีก-โชวห่วยหารือสัปดาห์หน้า ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (18 ธ.ค.) คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง พ.ศ. ... ไม่ได้มีการประชุมกัน ทั้งๆ ที่กำหนดวาระการประชุมไว้แล้ว โดยนายวิษณุ เครืองาม ประธานคณะกรรมาธิการฯ ได้แจ้งว่าจะไม่มีการพิจารณากฎหมายฉบับนี้อีกต่อไป เพราะนายมีชัย ฤชุพันธ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ขอให้หยุดการประชุมพิจารณากฎหมายที่ค้างอยู่ในชั้นกรรมาธิการทุกฉบับ แต่ไม่ได้ให้เหตุผลที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม คุณหญิงสุชาดา กีระนันทน์ หนึ่งในคณะกรรมาธิการฯ ได้แย้งว่าขอให้มีการพิจารณากฎหมายฉบับนี้ต่อให้จบ เพราะเป็นกฎหมายสำคัญ กระทบกับคนหมู่มาก และให้เหตุผลอีกว่าสนช. ยังสามารถพิจารณากฎหมายได้ต่อไป จนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า เริ่มเห็นสัญญาณชัดเจนว่าจะมีการดึงกฎหมายฉบับนี้ ตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพราะหากมีการประชุมกัน 1-2 ครั้ง เชื่อว่าจะพิจารณากฎหมายเสร็จ แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนการประชุม 1 ชั่วโมง อยู่ดีๆ นายวิษณุในฐานะประธานคณะกรรมาธิการฯ ก็แจ้งว่าจะไม่ประชุม และให้เหตุผลว่ามีกฎหมายอื่นที่สำคัญกว่าที่จะต้องพิจารณา ทำให้ไม่มีการประชุมเกิดขึ้น และยังไม่มีความชัดเจนว่าสัปดาห์นี้จะประชุมหรือไม่ แต่เมื่อถูกกดดันหนัก นายวิษณุ ก็นัดประชุมกันวานนี้ (18 ธ.ค.) และอีกครั้งวันที่ 20 ธ.ค. พอถึงวันประชุม ก็มาบอกว่าจะไม่มีการพิจารณากฎหมายฉบับนี้แล้ว มาบอกเหตุผลว่าประธานสนช. ไม่ให้มีการพิจารณากฎหมายที่ค้างอยู่ในกรรมาธิการ ทั้งๆ ที่ยังพิจารณาได้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เหมือนอยากจะถ่วง อ้างเหตุผลโน่น เหตุผลนี่ อ้างไปเรื่อย เป็นความพยายามที่จะทำให้กฎหมายฉบับนี้ตกไป ทำกันเป็นขบวนการมาตั้งแต่ต้น และทำจนถึงที่สุด แหล่งข่าว กล่าวว่า จากนี้ไปจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ จะไม่มีกฎหมายค้าปลีกออกมาจัดระเบียบการค้าปลีกค้าส่งของไทย ทำให้ค้าปลีกรายใหญ่สามารถที่จะขยายสาขาได้โดยไม่มีข้อจำกัด เพราะกฎหมายที่มีอยู่ทั้งกฎหมายผังเมือง และกฎหมายควบคุมอาคาร ไม่ใช่สามารถนำมาใช้ควบคุมได้ และไม่รู้ว่ารัฐบาลใหม่จะให้ความสำคัญกับการมีกฎหมายค้าปลีกหรือไม่ หรือถ้าให้ความสำคัญ ก็อาจจะใช้ระยะเวลาอีกเป็นปีกว่าจะมีกฎหมายออกมา ตอนนั้นค้าปลีกรายใหญ่คงจะขยายสาขาได้เต็มบ้านเต็มเมืองแล้ว โดยเฉพาะเทสโก้ โลตัส ที่มีท่าทีคัดค้านกฎหมายฉบับนี้มาโดยตลอด ยิ่งไม่มีกฎหมายควบคุม จากนี้ไปโลตัสจะสามารถขยายสาขาได้ตามอำเภอใจ ทั้งสาขาขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก จะทำได้โดยสะดวก คงไม่ต้องนึกภาพว่าโชห่วยไทยจะเป็นอย่างไรแหล่งข่าว กล่าว นายคณิสสร นาวานุเคราะห์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า วานนี้ (18 ธ.ค.) คณะกรรมาธิการพิจารณาร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ... ได้นัดประชุม แต่ก็ไม่สามารถประชุมได้ เนื่องจากไม่ครบองค์ประชุม ทำให้โอกาสที่กฎหมายฉบับนี้ จะเข้าสู่การพิจารณาของสนช. ริบหรี่ เพราะคณะกรรมาธิการฯ ยังไม่ได้กำหนดวันประชุมนัดต่อไป ซึ่งตามกำหนดจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 23 ธ.ค. นี้ อย่างไรก็ตาม จะรายงานให้รมว.พาณิชย์ รับทราบต่อไป นายเกริกไกร จีระแพทย์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ยอมรับว่าเป็นไปได้สูงที่กฎหมายทั้ง 2 ฉบับ ทั้งกฎหมายค้าปลีก และกฎหมายต่างด้าว มีผลบังคับใช้ไม่ทันรัฐบาลชุดนี้ เพราะประธานสนช. ได้ยกเลิกการประชุมพิจารณากฎหมายทุกฉบับ ซึ่งกระทรวงฯ จะทำหนังสือถึงประธานสนช. เพื่อชี้แจงถึงสิ่งที่สาเหตุต่างๆ ที่กฎหมายทั้ง 2 ฉบับล่าช้า และติดขัดปัญหาตรงจุดไหน ทั้งๆ ที่กระทรวงฯ ได้ทำตามขั้นตอนและคำแนะนำทุกอย่าง นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า กรมฯ จะทำมาตรการสำรองเพื่อนำมาใช้ดูแลระบบค้าปลีก โดยสัปดาห์หน้าจะเชิญผู้ประกอบการค้าปลีก ตัวแทนโชวห่วย มาหารือแนวทางที่จะทำให้ทั้งรายใหญ่และรายเล็กอยู่ร่วมกันได้
ศปท.หาช่องฟ้องประธาน สนช.
นายนิรุทธิ์ วัชราภิชาติ เลขาธิการศูนย์ประสานงานผู้ค้าปลีกและผู้ประกอบการอาชีพอิสระของคนไทย (ศปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ร้านค้าปลีกรายย่อย (โชวห่วย) กำลังพิจารณากันว่าจะฟ้องร้องประธานสนช. ต่อศาลปกครอง กรณีที่สั่งไม่ให้มีการพิจารณากฎหมายต่างๆ ที่ค้างอยู่ในชั้นกรรมาธิการ ด้วยข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้หรือไม่ เพราะตามกฎหมายสนช. มีหน้าที่ในการพิจารณากฎหมาย แต่อยู่ดีๆ มาหยุดการพิจารณากฎหมาย ทั้งๆ ที่กฎหมายค้าปลีกมีความสำคัญมาก สนช. ซึ่งทำหน้าที่สภาผู้แทนราษฎร มีหน้าที่ที่จะต้องพิจารณากฎหมายต่างๆ ในสภาฯ อยู่ดีๆ มาบอกไม่ประชุม ไม่พิจารณากฎหมาย ไม่ได้ ตราบใดที่ยังรับเงินเดือน แล้วจะมาบอกไม่ทำหน้าที่ไม่ได้ ซึ่งโชวห่วยจะดำเนินการหาทางฟ้องร้องต่อไป เพราะไม่ทำหน้าที่ออกกฎหมายคุ้มครองประชาชนที่ได้รับผลกระทบ แต่ปล่อยให้ค้าปลีกรายใหญ่ขยายสาขาได้ตามอำเภอใจ ทำให้คนไทยได้รับความเดือดร้อนทุกพื้นที่ นายนิรุทธิ์ กล่าว ด้าน นายพันธุ์เทพ สุลีสถิร รองประธานศูนย์ประสานงานผู้ค้าปลีกและผู้ประกอบการอิสระของคนไทย (ศปท.) กล่าวว่า การที่นายวิษณุ เครืองาม ประธานคณะกรรมาธิการฯ ไม่พิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวอีกแล้ว เท่ากับว่าเป็นการปล่อยให้ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ขยายสาขาออกไปตามอำเภอใจโดยไม่มีกติกา ซึ่งน่าเป็นห่วง ไม่คิดว่าการผลักดันร่างกฎหมายนี้ซึ่งใกล้จะถึงปลายทางแล้วกลับต้องเผชิญกับอำนาจแฝงที่เข้ามาทุกรูปแบบจนทำให้ชะงักในที่สุด จากนี้ห้างยักษ์ใหญ่คงฉวยโอกาสเร่งขยายสาขาให้เร็วที่สุด และเมื่อถึงวันที่กฎหมายดังกล่าวสามารถออกมาบังคับใช้ก็ไม่มีความหมายแล้วเพราะห้างฯ ผุดสาขาเต็มไปหมดแล้ว ศปท.อยากจะบอกต่อสังคมว่า สนช. รัฐบาลชุดนี้สร้างความผิดหวังให้แก่ผู้ค้าปลีกผู้ค้าส่งรายย่อยอย่างมาก ที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพวกเราได้ คงต้องยกประเทศให้ทุนต่างชาติเป็นใหญ่ ขณะที่ค้าปลีกรายย่อยของไทยสูญสิ้นไปหมด ผู้มีอำนาจยืนดูความพ่ายแพ้ของผู้ประกอบการคนไทยที่ล้มตายต่อหน้าอย่างเลือดเย็นนายพันธุ์เทพ กล่าว
โดย ผู้จัดการรายวัน 19 ธันวาคม 2550 07:21 น. สมใจยักษ์ใหญ่ค้าปลีก ยื้อกันจนกฎหมายค้าปลีกแท้ง อ้างมีชัย มีคำสั่งหยุดพิจารณากฎหมายทุกฉบับที่อยู่ในขั้นกรรมาธิการพาณิชย์ แฉมีไอ้โม่งดึงเกม หวั่นโชวห่วยไทยตายแน่ เหตุยักษ์ค้าปลีกเร่งขยายสาขาได้ตามใจชอบหลังไร้กฎหมายคุม ด้านศปท.หาช่องฟ้องประธานสนช. ข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนร่างกม.ต่างด้าวส่อแววแท้งตาม เหตุกรรมาธิการเกียร์ว่าง โดดร่มประชุม เกริกไกรเซ็ง ยอมรับดันไม่สำเร็จ ยรรยง เตรียมมาตรการสำรองรับมือ นัดยักษ์ค้าปลีก-โชวห่วยหารือสัปดาห์หน้า ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (18 ธ.ค.) คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง พ.ศ. ... ไม่ได้มีการประชุมกัน ทั้งๆ ที่กำหนดวาระการประชุมไว้แล้ว โดยนายวิษณุ เครืองาม ประธานคณะกรรมาธิการฯ ได้แจ้งว่าจะไม่มีการพิจารณากฎหมายฉบับนี้อีกต่อไป เพราะนายมีชัย ฤชุพันธ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ขอให้หยุดการประชุมพิจารณากฎหมายที่ค้างอยู่ในชั้นกรรมาธิการทุกฉบับ แต่ไม่ได้ให้เหตุผลที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม คุณหญิงสุชาดา กีระนันทน์ หนึ่งในคณะกรรมาธิการฯ ได้แย้งว่าขอให้มีการพิจารณากฎหมายฉบับนี้ต่อให้จบ เพราะเป็นกฎหมายสำคัญ กระทบกับคนหมู่มาก และให้เหตุผลอีกว่าสนช. ยังสามารถพิจารณากฎหมายได้ต่อไป จนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า เริ่มเห็นสัญญาณชัดเจนว่าจะมีการดึงกฎหมายฉบับนี้ ตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพราะหากมีการประชุมกัน 1-2 ครั้ง เชื่อว่าจะพิจารณากฎหมายเสร็จ แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนการประชุม 1 ชั่วโมง อยู่ดีๆ นายวิษณุในฐานะประธานคณะกรรมาธิการฯ ก็แจ้งว่าจะไม่ประชุม และให้เหตุผลว่ามีกฎหมายอื่นที่สำคัญกว่าที่จะต้องพิจารณา ทำให้ไม่มีการประชุมเกิดขึ้น และยังไม่มีความชัดเจนว่าสัปดาห์นี้จะประชุมหรือไม่ แต่เมื่อถูกกดดันหนัก นายวิษณุ ก็นัดประชุมกันวานนี้ (18 ธ.ค.) และอีกครั้งวันที่ 20 ธ.ค. พอถึงวันประชุม ก็มาบอกว่าจะไม่มีการพิจารณากฎหมายฉบับนี้แล้ว มาบอกเหตุผลว่าประธานสนช. ไม่ให้มีการพิจารณากฎหมายที่ค้างอยู่ในกรรมาธิการ ทั้งๆ ที่ยังพิจารณาได้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เหมือนอยากจะถ่วง อ้างเหตุผลโน่น เหตุผลนี่ อ้างไปเรื่อย เป็นความพยายามที่จะทำให้กฎหมายฉบับนี้ตกไป ทำกันเป็นขบวนการมาตั้งแต่ต้น และทำจนถึงที่สุด แหล่งข่าว กล่าวว่า จากนี้ไปจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ จะไม่มีกฎหมายค้าปลีกออกมาจัดระเบียบการค้าปลีกค้าส่งของไทย ทำให้ค้าปลีกรายใหญ่สามารถที่จะขยายสาขาได้โดยไม่มีข้อจำกัด เพราะกฎหมายที่มีอยู่ทั้งกฎหมายผังเมือง และกฎหมายควบคุมอาคาร ไม่ใช่สามารถนำมาใช้ควบคุมได้ และไม่รู้ว่ารัฐบาลใหม่จะให้ความสำคัญกับการมีกฎหมายค้าปลีกหรือไม่ หรือถ้าให้ความสำคัญ ก็อาจจะใช้ระยะเวลาอีกเป็นปีกว่าจะมีกฎหมายออกมา ตอนนั้นค้าปลีกรายใหญ่คงจะขยายสาขาได้เต็มบ้านเต็มเมืองแล้ว โดยเฉพาะเทสโก้ โลตัส ที่มีท่าทีคัดค้านกฎหมายฉบับนี้มาโดยตลอด ยิ่งไม่มีกฎหมายควบคุม จากนี้ไปโลตัสจะสามารถขยายสาขาได้ตามอำเภอใจ ทั้งสาขาขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก จะทำได้โดยสะดวก คงไม่ต้องนึกภาพว่าโชห่วยไทยจะเป็นอย่างไรแหล่งข่าว กล่าว นายคณิสสร นาวานุเคราะห์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า วานนี้ (18 ธ.ค.) คณะกรรมาธิการพิจารณาร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ... ได้นัดประชุม แต่ก็ไม่สามารถประชุมได้ เนื่องจากไม่ครบองค์ประชุม ทำให้โอกาสที่กฎหมายฉบับนี้ จะเข้าสู่การพิจารณาของสนช. ริบหรี่ เพราะคณะกรรมาธิการฯ ยังไม่ได้กำหนดวันประชุมนัดต่อไป ซึ่งตามกำหนดจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 23 ธ.ค. นี้ อย่างไรก็ตาม จะรายงานให้รมว.พาณิชย์ รับทราบต่อไป นายเกริกไกร จีระแพทย์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ยอมรับว่าเป็นไปได้สูงที่กฎหมายทั้ง 2 ฉบับ ทั้งกฎหมายค้าปลีก และกฎหมายต่างด้าว มีผลบังคับใช้ไม่ทันรัฐบาลชุดนี้ เพราะประธานสนช. ได้ยกเลิกการประชุมพิจารณากฎหมายทุกฉบับ ซึ่งกระทรวงฯ จะทำหนังสือถึงประธานสนช. เพื่อชี้แจงถึงสิ่งที่สาเหตุต่างๆ ที่กฎหมายทั้ง 2 ฉบับล่าช้า และติดขัดปัญหาตรงจุดไหน ทั้งๆ ที่กระทรวงฯ ได้ทำตามขั้นตอนและคำแนะนำทุกอย่าง นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า กรมฯ จะทำมาตรการสำรองเพื่อนำมาใช้ดูแลระบบค้าปลีก โดยสัปดาห์หน้าจะเชิญผู้ประกอบการค้าปลีก ตัวแทนโชวห่วย มาหารือแนวทางที่จะทำให้ทั้งรายใหญ่และรายเล็กอยู่ร่วมกันได้
ศปท.หาช่องฟ้องประธาน สนช.
นายนิรุทธิ์ วัชราภิชาติ เลขาธิการศูนย์ประสานงานผู้ค้าปลีกและผู้ประกอบการอาชีพอิสระของคนไทย (ศปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ร้านค้าปลีกรายย่อย (โชวห่วย) กำลังพิจารณากันว่าจะฟ้องร้องประธานสนช. ต่อศาลปกครอง กรณีที่สั่งไม่ให้มีการพิจารณากฎหมายต่างๆ ที่ค้างอยู่ในชั้นกรรมาธิการ ด้วยข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้หรือไม่ เพราะตามกฎหมายสนช. มีหน้าที่ในการพิจารณากฎหมาย แต่อยู่ดีๆ มาหยุดการพิจารณากฎหมาย ทั้งๆ ที่กฎหมายค้าปลีกมีความสำคัญมาก สนช. ซึ่งทำหน้าที่สภาผู้แทนราษฎร มีหน้าที่ที่จะต้องพิจารณากฎหมายต่างๆ ในสภาฯ อยู่ดีๆ มาบอกไม่ประชุม ไม่พิจารณากฎหมาย ไม่ได้ ตราบใดที่ยังรับเงินเดือน แล้วจะมาบอกไม่ทำหน้าที่ไม่ได้ ซึ่งโชวห่วยจะดำเนินการหาทางฟ้องร้องต่อไป เพราะไม่ทำหน้าที่ออกกฎหมายคุ้มครองประชาชนที่ได้รับผลกระทบ แต่ปล่อยให้ค้าปลีกรายใหญ่ขยายสาขาได้ตามอำเภอใจ ทำให้คนไทยได้รับความเดือดร้อนทุกพื้นที่ นายนิรุทธิ์ กล่าว ด้าน นายพันธุ์เทพ สุลีสถิร รองประธานศูนย์ประสานงานผู้ค้าปลีกและผู้ประกอบการอิสระของคนไทย (ศปท.) กล่าวว่า การที่นายวิษณุ เครืองาม ประธานคณะกรรมาธิการฯ ไม่พิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวอีกแล้ว เท่ากับว่าเป็นการปล่อยให้ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ขยายสาขาออกไปตามอำเภอใจโดยไม่มีกติกา ซึ่งน่าเป็นห่วง ไม่คิดว่าการผลักดันร่างกฎหมายนี้ซึ่งใกล้จะถึงปลายทางแล้วกลับต้องเผชิญกับอำนาจแฝงที่เข้ามาทุกรูปแบบจนทำให้ชะงักในที่สุด จากนี้ห้างยักษ์ใหญ่คงฉวยโอกาสเร่งขยายสาขาให้เร็วที่สุด และเมื่อถึงวันที่กฎหมายดังกล่าวสามารถออกมาบังคับใช้ก็ไม่มีความหมายแล้วเพราะห้างฯ ผุดสาขาเต็มไปหมดแล้ว ศปท.อยากจะบอกต่อสังคมว่า สนช. รัฐบาลชุดนี้สร้างความผิดหวังให้แก่ผู้ค้าปลีกผู้ค้าส่งรายย่อยอย่างมาก ที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพวกเราได้ คงต้องยกประเทศให้ทุนต่างชาติเป็นใหญ่ ขณะที่ค้าปลีกรายย่อยของไทยสูญสิ้นไปหมด ผู้มีอำนาจยืนดูความพ่ายแพ้ของผู้ประกอบการคนไทยที่ล้มตายต่อหน้าอย่างเลือดเย็นนายพันธุ์เทพ กล่าว
-
- Verified User
- โพสต์: 497
- ผู้ติดตาม: 0
modern trade and household
โพสต์ที่ 101
ดับฝันโชห่วย ก.ม.ค้าปลีกแท้ง ธุรกิจต่างด้าวเจอด้วย-สนช.หยุดพิจารณากฎหมาย 18 ธันวาคม 2550 19:43 น.
สนช.ดับฝันโชห่วยหยุดพิจารณากฎหมาย ร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีกและธุรกิจคนต่างด้าวหมดสิทธิแจ้งเกิด ด้านโชห่วยพลิกตำราหาช่องเอาผิด สนช.ฐานละเว้นการทำหน้าที่ นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า หลังจากที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติให้รับร่างกฎหมายที่ยังติดอยู่ในขั้นพิจารณาของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ทั้งหมด เนื่องจากมีผู้ประท้วงการออกกฎหมายและใกล้เลือกตั้ง คงทำให้การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีกค้าส่ง และ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ไม่สามารถออกเป็นกฎหมายได้ทันในรัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะในส่วนกฎหมายค้าปลีกนั้นมีการเลื่อนการประชุม กมธ.ออกไป 2 สัปดาห์แล้ว จึงไม่สามารถส่งเข้า สนช.ได้ทัน ด้านนายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีก หรือค้าส่ง พ.ศ. ... ได้มีการยกเลิกการประชุมโดย นายวิษณุ เครืองาม ประธานคณะกรรมาธิการ แจ้งว่า จะไม่มีการพิจารณากฎหมายฉบับนี้อีกต่อไป โดยให้เหตุผลว่า นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน สนช. ขอให้หยุดการประชุมพิจารณากฎหมายที่ค้างอยู่ในชั้นกรรมาธิการทุกฉบับ เนื่องจากมีการคัดค้านการออกกฎหมายในช่วงนี้ "หากมีการประชุมตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วทุกอย่างก็จบ แต่ผลออกมาอย่างนี้คงต้องผลักดันต่อในรัฐบาลชุดหน้า ซึ่งคงต้องเสียจังหวะในการดูแลผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อโชห่วย หลังจากที่ห้างขนาดใหญ่เริ่มขยายตัวมากและส่งผลกระทบในวงกว้าง นายยรรยง กล่าว แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า สัญญาณดึงกฎหมายฉบับนี้เกิดขึ้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะหากมีการประชุมอีกเพียง 1-2 ครั้ง เชื่อว่าจะพิจารณากฎหมายเสร็จ แต่ก่อนประชุม 1 ชั่วโมง นายวิษณุแจ้งงดประชุม ก่อนนัด 18 ธันวาคม และในที่สุดก็แจ้งว่าจะไม่มีการพิจารณากฎหมายฉบับนี้แล้ว แหล่งข่าวจากศูนย์ประสานงานผู้ค้าปลีกและผู้ประกอบการอาชีพอิสระของคนไทย (ศปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ร้านค้าปลีกรายย่อย (โชห่วย) กำลังพิจารณากันว่าจะฟ้องร้อง สนช. กรณีที่สั่งไม่ให้มีการพิจารณากฎหมายต่างๆ ที่ค้างอยู่ในชั้นกรรมาธิการ ด้วยข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้หรือไม่ เพราะตามกฎหมาย สนช. มีหน้าที่ในการพิจารณากฎหมาย แต่กลับหยุดการพิจารณากฎหมายโดยอ้างว่ามีคำสั่งจากประธาน สนช.
http://www.komchadluek.net/
สนช.ดับฝันโชห่วยหยุดพิจารณากฎหมาย ร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีกและธุรกิจคนต่างด้าวหมดสิทธิแจ้งเกิด ด้านโชห่วยพลิกตำราหาช่องเอาผิด สนช.ฐานละเว้นการทำหน้าที่ นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า หลังจากที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติให้รับร่างกฎหมายที่ยังติดอยู่ในขั้นพิจารณาของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ทั้งหมด เนื่องจากมีผู้ประท้วงการออกกฎหมายและใกล้เลือกตั้ง คงทำให้การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีกค้าส่ง และ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ไม่สามารถออกเป็นกฎหมายได้ทันในรัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะในส่วนกฎหมายค้าปลีกนั้นมีการเลื่อนการประชุม กมธ.ออกไป 2 สัปดาห์แล้ว จึงไม่สามารถส่งเข้า สนช.ได้ทัน ด้านนายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีก หรือค้าส่ง พ.ศ. ... ได้มีการยกเลิกการประชุมโดย นายวิษณุ เครืองาม ประธานคณะกรรมาธิการ แจ้งว่า จะไม่มีการพิจารณากฎหมายฉบับนี้อีกต่อไป โดยให้เหตุผลว่า นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน สนช. ขอให้หยุดการประชุมพิจารณากฎหมายที่ค้างอยู่ในชั้นกรรมาธิการทุกฉบับ เนื่องจากมีการคัดค้านการออกกฎหมายในช่วงนี้ "หากมีการประชุมตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วทุกอย่างก็จบ แต่ผลออกมาอย่างนี้คงต้องผลักดันต่อในรัฐบาลชุดหน้า ซึ่งคงต้องเสียจังหวะในการดูแลผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อโชห่วย หลังจากที่ห้างขนาดใหญ่เริ่มขยายตัวมากและส่งผลกระทบในวงกว้าง นายยรรยง กล่าว แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า สัญญาณดึงกฎหมายฉบับนี้เกิดขึ้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะหากมีการประชุมอีกเพียง 1-2 ครั้ง เชื่อว่าจะพิจารณากฎหมายเสร็จ แต่ก่อนประชุม 1 ชั่วโมง นายวิษณุแจ้งงดประชุม ก่อนนัด 18 ธันวาคม และในที่สุดก็แจ้งว่าจะไม่มีการพิจารณากฎหมายฉบับนี้แล้ว แหล่งข่าวจากศูนย์ประสานงานผู้ค้าปลีกและผู้ประกอบการอาชีพอิสระของคนไทย (ศปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ร้านค้าปลีกรายย่อย (โชห่วย) กำลังพิจารณากันว่าจะฟ้องร้อง สนช. กรณีที่สั่งไม่ให้มีการพิจารณากฎหมายต่างๆ ที่ค้างอยู่ในชั้นกรรมาธิการ ด้วยข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้หรือไม่ เพราะตามกฎหมาย สนช. มีหน้าที่ในการพิจารณากฎหมาย แต่กลับหยุดการพิจารณากฎหมายโดยอ้างว่ามีคำสั่งจากประธาน สนช.
http://www.komchadluek.net/
-
- Verified User
- โพสต์: 497
- ผู้ติดตาม: 0
modern trade and household
โพสต์ที่ 102
ดับฝันโชห่วย ก.ม.ค้าปลีกแท้ง ธุรกิจต่างด้าวเจอด้วย-สนช.หยุดพิจารณากฎหมาย 18 ธันวาคม 2550 19:43 น.
สนช.ดับฝันโชห่วยหยุดพิจารณากฎหมาย ร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีกและธุรกิจคนต่างด้าวหมดสิทธิแจ้งเกิด ด้านโชห่วยพลิกตำราหาช่องเอาผิด สนช.ฐานละเว้นการทำหน้าที่ นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า หลังจากที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติให้รับร่างกฎหมายที่ยังติดอยู่ในขั้นพิจารณาของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ทั้งหมด เนื่องจากมีผู้ประท้วงการออกกฎหมายและใกล้เลือกตั้ง คงทำให้การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีกค้าส่ง และ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ไม่สามารถออกเป็นกฎหมายได้ทันในรัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะในส่วนกฎหมายค้าปลีกนั้นมีการเลื่อนการประชุม กมธ.ออกไป 2 สัปดาห์แล้ว จึงไม่สามารถส่งเข้า สนช.ได้ทัน ด้านนายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีก หรือค้าส่ง พ.ศ. ... ได้มีการยกเลิกการประชุมโดย นายวิษณุ เครืองาม ประธานคณะกรรมาธิการ แจ้งว่า จะไม่มีการพิจารณากฎหมายฉบับนี้อีกต่อไป โดยให้เหตุผลว่า นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน สนช. ขอให้หยุดการประชุมพิจารณากฎหมายที่ค้างอยู่ในชั้นกรรมาธิการทุกฉบับ เนื่องจากมีการคัดค้านการออกกฎหมายในช่วงนี้ "หากมีการประชุมตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วทุกอย่างก็จบ แต่ผลออกมาอย่างนี้คงต้องผลักดันต่อในรัฐบาลชุดหน้า ซึ่งคงต้องเสียจังหวะในการดูแลผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อโชห่วย หลังจากที่ห้างขนาดใหญ่เริ่มขยายตัวมากและส่งผลกระทบในวงกว้าง นายยรรยง กล่าว แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า สัญญาณดึงกฎหมายฉบับนี้เกิดขึ้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะหากมีการประชุมอีกเพียง 1-2 ครั้ง เชื่อว่าจะพิจารณากฎหมายเสร็จ แต่ก่อนประชุม 1 ชั่วโมง นายวิษณุแจ้งงดประชุม ก่อนนัด 18 ธันวาคม และในที่สุดก็แจ้งว่าจะไม่มีการพิจารณากฎหมายฉบับนี้แล้ว แหล่งข่าวจากศูนย์ประสานงานผู้ค้าปลีกและผู้ประกอบการอาชีพอิสระของคนไทย (ศปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ร้านค้าปลีกรายย่อย (โชห่วย) กำลังพิจารณากันว่าจะฟ้องร้อง สนช. กรณีที่สั่งไม่ให้มีการพิจารณากฎหมายต่างๆ ที่ค้างอยู่ในชั้นกรรมาธิการ ด้วยข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้หรือไม่ เพราะตามกฎหมาย สนช. มีหน้าที่ในการพิจารณากฎหมาย แต่กลับหยุดการพิจารณากฎหมายโดยอ้างว่ามีคำสั่งจากประธาน สนช.
http://www.komchadluek.net/
สนช.ดับฝันโชห่วยหยุดพิจารณากฎหมาย ร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีกและธุรกิจคนต่างด้าวหมดสิทธิแจ้งเกิด ด้านโชห่วยพลิกตำราหาช่องเอาผิด สนช.ฐานละเว้นการทำหน้าที่ นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า หลังจากที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติให้รับร่างกฎหมายที่ยังติดอยู่ในขั้นพิจารณาของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ทั้งหมด เนื่องจากมีผู้ประท้วงการออกกฎหมายและใกล้เลือกตั้ง คงทำให้การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีกค้าส่ง และ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ไม่สามารถออกเป็นกฎหมายได้ทันในรัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะในส่วนกฎหมายค้าปลีกนั้นมีการเลื่อนการประชุม กมธ.ออกไป 2 สัปดาห์แล้ว จึงไม่สามารถส่งเข้า สนช.ได้ทัน ด้านนายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีก หรือค้าส่ง พ.ศ. ... ได้มีการยกเลิกการประชุมโดย นายวิษณุ เครืองาม ประธานคณะกรรมาธิการ แจ้งว่า จะไม่มีการพิจารณากฎหมายฉบับนี้อีกต่อไป โดยให้เหตุผลว่า นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน สนช. ขอให้หยุดการประชุมพิจารณากฎหมายที่ค้างอยู่ในชั้นกรรมาธิการทุกฉบับ เนื่องจากมีการคัดค้านการออกกฎหมายในช่วงนี้ "หากมีการประชุมตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วทุกอย่างก็จบ แต่ผลออกมาอย่างนี้คงต้องผลักดันต่อในรัฐบาลชุดหน้า ซึ่งคงต้องเสียจังหวะในการดูแลผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อโชห่วย หลังจากที่ห้างขนาดใหญ่เริ่มขยายตัวมากและส่งผลกระทบในวงกว้าง นายยรรยง กล่าว แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า สัญญาณดึงกฎหมายฉบับนี้เกิดขึ้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะหากมีการประชุมอีกเพียง 1-2 ครั้ง เชื่อว่าจะพิจารณากฎหมายเสร็จ แต่ก่อนประชุม 1 ชั่วโมง นายวิษณุแจ้งงดประชุม ก่อนนัด 18 ธันวาคม และในที่สุดก็แจ้งว่าจะไม่มีการพิจารณากฎหมายฉบับนี้แล้ว แหล่งข่าวจากศูนย์ประสานงานผู้ค้าปลีกและผู้ประกอบการอาชีพอิสระของคนไทย (ศปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ร้านค้าปลีกรายย่อย (โชห่วย) กำลังพิจารณากันว่าจะฟ้องร้อง สนช. กรณีที่สั่งไม่ให้มีการพิจารณากฎหมายต่างๆ ที่ค้างอยู่ในชั้นกรรมาธิการ ด้วยข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้หรือไม่ เพราะตามกฎหมาย สนช. มีหน้าที่ในการพิจารณากฎหมาย แต่กลับหยุดการพิจารณากฎหมายโดยอ้างว่ามีคำสั่งจากประธาน สนช.
http://www.komchadluek.net/
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news20/12/07
โพสต์ที่ 103
"ยูนิลีเวอร์"ผนึกยี่ปั๊วปั้นมินิมาร์ต บาลานซ์ช่องทางโมเดิร์นเทรด
ยูนิลีเวอร์ เดินเกมบาลานซ์ช่องทางจำหน่ายทุกด้าน ผนึกค้าปลีกท้องถิ่นรายใหญ่ พัฒนาร้านค้าต้นแบบ พร้อมให้คำแนะนำการทำธุรกิจค้าปลีก ประเดิม "ตั้งงี่สุ่น" อุดรธานี เปนรายแรก หวังสร้างความสัมพันธ์คู่ค้า ทั้งเพิ่มศักยภาพยี่ปั๊ว โชห่วย ระบุเป็นรายแรกที่ทำโครงการเป็นรูปธรรม เผยยุทธศาสตร์ปีหน้าขยับตัวร่วมพัฒนากับค้าปลีกยักษ์ใหญ่ในภูมิภาคอีก 2-3 ราย ชี้ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของยูนิลีเวอร์ระยะยาว
ปัจจุบันการสร้างความสัมพันธ์กับช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งร้านค้าปลีกสมัยใหม่ หรือโมเดิร์นเทรด และร้านค้าแบบดั้งเดิม หรือเทรดดิชั่นนอลเทรด ถือเป็นสิ่งสำคัญของบรรดาผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์ที่จะละเลยไม่ได้ เพราะต้องยอมรับว่าประเทศไทยมีความซับซ้อนเชิงโครงสร้างในเรื่องช่องทางการจัดจำหน่าย ที่ซัพพลายเออร์จำเป็นต้องบริหารจัดการ และบาลานซ์ช่องทางทั้ง 2 แบบไม่ให้เหลื่อมล้ำกัน ซึ่งจะส่งผลถึงอำนาจการต่อรองของผู้ผลิตที่มีต่อช่องทางจำหน่ายต่างๆ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หากสังเกตจะเห็นได้ว่า ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาบรรดาซัพพลายเออร์มีการปรับตัวในเรื่องนี้มากขึ้น ทั้งการเดินหน้าจัดกิจกรรมในแต่ละช่องทางรวมถึงสร้างความสร้างสรรค์แคมเปญในแต่ละคู่ค้าที่เป็นโมเดิร์นเทรดด้วยกัน ให้เกิดความแตกต่าง โดยซัพพลายเออร์ที่เห็นแนวถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ยักษ์ใหญ่สินค้าอุปโภคบริโภค "ยูนิลีเวอร์" ที่ล่าสุดได้เข้าไปร่วมพัฒนาร้านค้าต้นแบบให้กับ "ตั้งงี่สุ่น ซูเปอร์สโตร์" ในชื่อของเป *ยกมารท ที่จังหวัดอุดรธานี
เปิดตัวร้านค้าต้นแบบครั้งแรก
นายชนินทร์ อรรจานันท์ รองประธานกรรมการฝ่ายพัฒนาลูกค้า บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จริงๆ ถือเป็นครั้งแรกของยูนิลีเวอร์ที่เข้าไปร่วมกับคู่ค้าพัฒนาร้านค้าในรูปแบบนี้ เรียกว่าเป็น Model Store หรือร้านค้าต้นแบบ ทั้งนี้ ถือเป็นแนวทางที่คิดมานาน แต่เพิ่งเกิดเป็นรูปธรรมในปีนี้ โดยเป็นการเชื้อเชิญจากตั้งงี่สุ่นฯ ซึ่งสอดคล้องกับความตั้งใจของบริษัท อีกทั้งมองว่าตั้งงี่สุ่นฯ เป็นคู่ค้าที่มีศักยภาพ รวมถึงผู้บริหารก็มีสัยทัศน์ ความเข้าใจ และต้องการพัฒนาโชห่วยไทยให้อยู่รอดเช่นกัน
สำหรับคอนเซ็ปต์ของร้านค้าต้นแบบนี้ เน้นเพิ่มความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจค้าปลีกของลูกค้า ทั้งผู้ค้าส่งและผู้ค้าปลีกของตั้งงี่สุ่นฯ โดย คำแนะนำในทุกแง่มุม โดยที่ตั้งงี่สุ่นฯ เองจะเน้นความรู้ในด้านการบริการจัดการธุรกิจค้าปลีกในแง่มุมต่างๆ ขณะที่ยูนิลีเวอร์จะให้คำแนะนำในด้านตัวสินค้า
อาทิ การจัดเรียงสินค้าตามหมวดหมู่อย่างมีระบบระเบียบ ซึ่งบริษัทมีประสบการณ์ และมีศักยภาพในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้ลูกค้าสามารถนำไปเป็นแนวทางในการจัดร้านค้าของตนได้
เน้นสร้างความสัมพันธ์คู่ค้า
นายชนินทร์กล่าวว่า สำหรับยูนิลีเวอร์ถือว่ามีความสัมพันธ์มาอย่างยาวนานกับตั้งงี่สุ่นฯ จุดประสงค์หลักของการจับมือกันครั้งนี้ เพื่อคืนกำไรให้กับสังคม ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของยูนิลีเวอร์ในภาพรวม ขณะเดียวกันก็เป็นบทบาทสำคัญในฐานะซัพพลายเออร์รายใหญ่ เพื่อเป็นผู้นำในการพัฒนาค้าปลีกไทย โดยไม่ได้มุ่งหวังเรื่องยอดขายหรือผลดำเนินงานทางธุรกิจ แต่มุ่งสร้างความสัมพันธ์กับคู่ค้ามากกว่า
"การร่วมมือดังกล่าวนี้เราไม่ได้สิทธิประโยชน์ หรือเอ็กซ์คลูซีฟอะไร สัดส่วนสินค้าที่วางก็ไม่ได้มากกว่าค่ายอื่นๆ เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็จะเป็นร้านค้าต้นแบบไม่ได้ เรียกว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง หรือซอฟต์แวร์ให้กับบรรดาร้านค้าให้เกิดการพัฒนา เพราะฉะนั้นในแง่ธุรกิจจึงไม่ใช่เรื่องของเวลานี้ แต่เป็นเรื่องของระยะยาวมากกว่า"
สานต่อร้านค้าต้นแบบปีหน้า
รองประธานกรรมการฝ่ายพัฒนาลูกค้า บริษัทยูนิลีเวอร์ฯ ระบุว่า ทั้งนี้ สำหรับซัพพลายเออร์ จำเป็นต้องบาลานซ์ช่องทางขายทุกช่องทางให้สมดุล ไม่ได้ให้ความสำคัญกับช่องทางใดช่องทางหนึ่งมากกว่า จุดยืนของยูนิลีเวอร์คือ การเป็นคู่ค้าที่ดีที่สุดกับทุกฝ่ายทั้งโมเดิร์นเทรด และเทรดดิชั่นนอลเทรด รวมถึงศูนย์กระจายสินค้า หรือคอนเซสชั่นแนร์ของบริษัทเอง ก็มีการจัดกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ต่อเนื่อง
"เรื่องนี้เป็นโปรเจ็กต์ที่คิดมานานแล้ว แต่เพิ่งมีการทำอย่างเป็นรูปธรรมเป็นปีแรก และถือเป็นค่ายแรกที่มีการดำเนินกิจกรรมในลักษณะนี้กับค้าปลีกท้องถิ่น สำหรับอนาคตเตรียมสานต่อโครงการนี้ กับร้านค้าท้องถิ่นในจังหวัดอื่นๆ ที่มีศักยภาพ และมีวิสัยทัศน์ ที่จะช่วยเหลือค้าปลีกรายย่อย คาดว่าจะเกิดขึ้นอีก 2-3 ราย ใน ปีหน้า"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบัน ยูนิลีเวอร์ แบ่งช่องทางจำหน่ายเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ โมเดิร์นเทรด อาทิ ไฮเปอร์ มาร์เก็ต, คอนวีเนี่ยนสโตร์ เทรดดิชั่นนอลเทรด หรือบรรดายี่ปั๊ว และศูนย์กระจายสินค้า หรือคอนเซสชั่นแนร์ ที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 50 แห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ ทำหน้าที่กระจายสินค้าสู่ร้านค้ารายย่อยต่างๆ โดยในส่วนของศูนย์กระจายสินค้านั้นจะมีในกรณีของซัพพลายเออร์รายใหญ่ที่มีศักยภาพ เพื่อสามารถคอนโทรลการจัดจำหน่ายได้ด้วยตนเอง
ชี้ยี่ปั๊วสู่ยุคปรับตัวขนานใหญ่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากการทยอยปรับตัวของซัพพลายเออร์รายใหญ่แล้ว ในส่วนของยี่ปั๊วเอง ปัจจุบันก็มีการปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์และพฤติกรรมของผู้บริโภคด้วย นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เดิมยี่ปั๊วจะเป็นเพียงธุรกิจซื้อมาขายไป หรือทำหน้าที่เป็นคลังสินค้ากระจายสินค้าตามร้านค้ารายย่อย ก็หันมาเปิดหน้าร้านให้บริการในรูปแบบซูเปอร์สโตร์ หรือซูเปอร์มาร์เก็ตมากขึ้น เป็นการปรับตัวท่ามกลางการเข้ารุกของโมเดิร์นเทรด รูปแบบนี้คล้ายคลึงกับห้างประเภท "แคชแอนด์แคร์รี่" ในกรณีของแม็คโคร โดยเป็นการเพิ่มสัดส่วนค้าปลีกเป็น 70-80% ขณะที่ค้าส่งจะเหลือเพียง 20-30% เท่านั้น
นายสมชายกล่าวอีกว่า ปัจจุบันยี่ปั๊วหันมาเปิดให้บริการรูปแบบนี้มากขึ้น กรณีของ "ตั้งงี่สุ่น ซูเปอร์สโตร์" ก็เช่นเดียวกัน หรือในกรณีโครงการ "เชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจค้าส่งค้าปลีก" ของกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้ดำเนินการมาในระยะหนึ่ง ก็มุ่งให้ร้านค้าส่งเข้มแข็งและสามารถพัฒนาตัวเอง รวมถึงเป็นพี่เลี้ยงให้ร้านค้าปลีก ทำให้เกิดการสร้างเครือข่ายและนำมาซึ่งการสร้างอำนาจต่อรองที่มากขึ้น โดยที่ผ่านมาได้เปิดให้บริการแล้วหลายราย อาทิ เล้งเส็ง สกลนคร ยงสงวน อุบลราชธานี เอกภาพ สระบุรี ฯลฯ ล่าสุดคือห้างบิ๊กเอ จันทบุรี
"กรณีของยูนิลีเวอร์ถือว่าชัดเจน ซึ่งคล้ายกับที่ทางกระทรวงพาณิชย์ทำ ซึ่งถือว่าดีมากที่มีภาคเอกชนเข้ามาช่วยอีกแรง ทำให้ค้าปลีกไทยมีการพัฒนาได้มากขึ้น ก่อนหน้านี้ซัพพลายเออร์รายอื่นๆ ก็มีการเข้ามาช่วยเหลือค้าปลีกท้องถิ่นมากขึ้น อาทิ โปรโมชั่นสินค้า การให้ความรู้ ฯลฯ" นายสมชายกล่าว
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0207
ยูนิลีเวอร์ เดินเกมบาลานซ์ช่องทางจำหน่ายทุกด้าน ผนึกค้าปลีกท้องถิ่นรายใหญ่ พัฒนาร้านค้าต้นแบบ พร้อมให้คำแนะนำการทำธุรกิจค้าปลีก ประเดิม "ตั้งงี่สุ่น" อุดรธานี เปนรายแรก หวังสร้างความสัมพันธ์คู่ค้า ทั้งเพิ่มศักยภาพยี่ปั๊ว โชห่วย ระบุเป็นรายแรกที่ทำโครงการเป็นรูปธรรม เผยยุทธศาสตร์ปีหน้าขยับตัวร่วมพัฒนากับค้าปลีกยักษ์ใหญ่ในภูมิภาคอีก 2-3 ราย ชี้ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของยูนิลีเวอร์ระยะยาว
ปัจจุบันการสร้างความสัมพันธ์กับช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งร้านค้าปลีกสมัยใหม่ หรือโมเดิร์นเทรด และร้านค้าแบบดั้งเดิม หรือเทรดดิชั่นนอลเทรด ถือเป็นสิ่งสำคัญของบรรดาผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์ที่จะละเลยไม่ได้ เพราะต้องยอมรับว่าประเทศไทยมีความซับซ้อนเชิงโครงสร้างในเรื่องช่องทางการจัดจำหน่าย ที่ซัพพลายเออร์จำเป็นต้องบริหารจัดการ และบาลานซ์ช่องทางทั้ง 2 แบบไม่ให้เหลื่อมล้ำกัน ซึ่งจะส่งผลถึงอำนาจการต่อรองของผู้ผลิตที่มีต่อช่องทางจำหน่ายต่างๆ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หากสังเกตจะเห็นได้ว่า ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาบรรดาซัพพลายเออร์มีการปรับตัวในเรื่องนี้มากขึ้น ทั้งการเดินหน้าจัดกิจกรรมในแต่ละช่องทางรวมถึงสร้างความสร้างสรรค์แคมเปญในแต่ละคู่ค้าที่เป็นโมเดิร์นเทรดด้วยกัน ให้เกิดความแตกต่าง โดยซัพพลายเออร์ที่เห็นแนวถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ยักษ์ใหญ่สินค้าอุปโภคบริโภค "ยูนิลีเวอร์" ที่ล่าสุดได้เข้าไปร่วมพัฒนาร้านค้าต้นแบบให้กับ "ตั้งงี่สุ่น ซูเปอร์สโตร์" ในชื่อของเป *ยกมารท ที่จังหวัดอุดรธานี
เปิดตัวร้านค้าต้นแบบครั้งแรก
นายชนินทร์ อรรจานันท์ รองประธานกรรมการฝ่ายพัฒนาลูกค้า บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จริงๆ ถือเป็นครั้งแรกของยูนิลีเวอร์ที่เข้าไปร่วมกับคู่ค้าพัฒนาร้านค้าในรูปแบบนี้ เรียกว่าเป็น Model Store หรือร้านค้าต้นแบบ ทั้งนี้ ถือเป็นแนวทางที่คิดมานาน แต่เพิ่งเกิดเป็นรูปธรรมในปีนี้ โดยเป็นการเชื้อเชิญจากตั้งงี่สุ่นฯ ซึ่งสอดคล้องกับความตั้งใจของบริษัท อีกทั้งมองว่าตั้งงี่สุ่นฯ เป็นคู่ค้าที่มีศักยภาพ รวมถึงผู้บริหารก็มีสัยทัศน์ ความเข้าใจ และต้องการพัฒนาโชห่วยไทยให้อยู่รอดเช่นกัน
สำหรับคอนเซ็ปต์ของร้านค้าต้นแบบนี้ เน้นเพิ่มความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจค้าปลีกของลูกค้า ทั้งผู้ค้าส่งและผู้ค้าปลีกของตั้งงี่สุ่นฯ โดย คำแนะนำในทุกแง่มุม โดยที่ตั้งงี่สุ่นฯ เองจะเน้นความรู้ในด้านการบริการจัดการธุรกิจค้าปลีกในแง่มุมต่างๆ ขณะที่ยูนิลีเวอร์จะให้คำแนะนำในด้านตัวสินค้า
อาทิ การจัดเรียงสินค้าตามหมวดหมู่อย่างมีระบบระเบียบ ซึ่งบริษัทมีประสบการณ์ และมีศักยภาพในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้ลูกค้าสามารถนำไปเป็นแนวทางในการจัดร้านค้าของตนได้
เน้นสร้างความสัมพันธ์คู่ค้า
นายชนินทร์กล่าวว่า สำหรับยูนิลีเวอร์ถือว่ามีความสัมพันธ์มาอย่างยาวนานกับตั้งงี่สุ่นฯ จุดประสงค์หลักของการจับมือกันครั้งนี้ เพื่อคืนกำไรให้กับสังคม ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของยูนิลีเวอร์ในภาพรวม ขณะเดียวกันก็เป็นบทบาทสำคัญในฐานะซัพพลายเออร์รายใหญ่ เพื่อเป็นผู้นำในการพัฒนาค้าปลีกไทย โดยไม่ได้มุ่งหวังเรื่องยอดขายหรือผลดำเนินงานทางธุรกิจ แต่มุ่งสร้างความสัมพันธ์กับคู่ค้ามากกว่า
"การร่วมมือดังกล่าวนี้เราไม่ได้สิทธิประโยชน์ หรือเอ็กซ์คลูซีฟอะไร สัดส่วนสินค้าที่วางก็ไม่ได้มากกว่าค่ายอื่นๆ เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็จะเป็นร้านค้าต้นแบบไม่ได้ เรียกว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง หรือซอฟต์แวร์ให้กับบรรดาร้านค้าให้เกิดการพัฒนา เพราะฉะนั้นในแง่ธุรกิจจึงไม่ใช่เรื่องของเวลานี้ แต่เป็นเรื่องของระยะยาวมากกว่า"
สานต่อร้านค้าต้นแบบปีหน้า
รองประธานกรรมการฝ่ายพัฒนาลูกค้า บริษัทยูนิลีเวอร์ฯ ระบุว่า ทั้งนี้ สำหรับซัพพลายเออร์ จำเป็นต้องบาลานซ์ช่องทางขายทุกช่องทางให้สมดุล ไม่ได้ให้ความสำคัญกับช่องทางใดช่องทางหนึ่งมากกว่า จุดยืนของยูนิลีเวอร์คือ การเป็นคู่ค้าที่ดีที่สุดกับทุกฝ่ายทั้งโมเดิร์นเทรด และเทรดดิชั่นนอลเทรด รวมถึงศูนย์กระจายสินค้า หรือคอนเซสชั่นแนร์ของบริษัทเอง ก็มีการจัดกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ต่อเนื่อง
"เรื่องนี้เป็นโปรเจ็กต์ที่คิดมานานแล้ว แต่เพิ่งมีการทำอย่างเป็นรูปธรรมเป็นปีแรก และถือเป็นค่ายแรกที่มีการดำเนินกิจกรรมในลักษณะนี้กับค้าปลีกท้องถิ่น สำหรับอนาคตเตรียมสานต่อโครงการนี้ กับร้านค้าท้องถิ่นในจังหวัดอื่นๆ ที่มีศักยภาพ และมีวิสัยทัศน์ ที่จะช่วยเหลือค้าปลีกรายย่อย คาดว่าจะเกิดขึ้นอีก 2-3 ราย ใน ปีหน้า"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบัน ยูนิลีเวอร์ แบ่งช่องทางจำหน่ายเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ โมเดิร์นเทรด อาทิ ไฮเปอร์ มาร์เก็ต, คอนวีเนี่ยนสโตร์ เทรดดิชั่นนอลเทรด หรือบรรดายี่ปั๊ว และศูนย์กระจายสินค้า หรือคอนเซสชั่นแนร์ ที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 50 แห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ ทำหน้าที่กระจายสินค้าสู่ร้านค้ารายย่อยต่างๆ โดยในส่วนของศูนย์กระจายสินค้านั้นจะมีในกรณีของซัพพลายเออร์รายใหญ่ที่มีศักยภาพ เพื่อสามารถคอนโทรลการจัดจำหน่ายได้ด้วยตนเอง
ชี้ยี่ปั๊วสู่ยุคปรับตัวขนานใหญ่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากการทยอยปรับตัวของซัพพลายเออร์รายใหญ่แล้ว ในส่วนของยี่ปั๊วเอง ปัจจุบันก็มีการปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์และพฤติกรรมของผู้บริโภคด้วย นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เดิมยี่ปั๊วจะเป็นเพียงธุรกิจซื้อมาขายไป หรือทำหน้าที่เป็นคลังสินค้ากระจายสินค้าตามร้านค้ารายย่อย ก็หันมาเปิดหน้าร้านให้บริการในรูปแบบซูเปอร์สโตร์ หรือซูเปอร์มาร์เก็ตมากขึ้น เป็นการปรับตัวท่ามกลางการเข้ารุกของโมเดิร์นเทรด รูปแบบนี้คล้ายคลึงกับห้างประเภท "แคชแอนด์แคร์รี่" ในกรณีของแม็คโคร โดยเป็นการเพิ่มสัดส่วนค้าปลีกเป็น 70-80% ขณะที่ค้าส่งจะเหลือเพียง 20-30% เท่านั้น
นายสมชายกล่าวอีกว่า ปัจจุบันยี่ปั๊วหันมาเปิดให้บริการรูปแบบนี้มากขึ้น กรณีของ "ตั้งงี่สุ่น ซูเปอร์สโตร์" ก็เช่นเดียวกัน หรือในกรณีโครงการ "เชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจค้าส่งค้าปลีก" ของกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้ดำเนินการมาในระยะหนึ่ง ก็มุ่งให้ร้านค้าส่งเข้มแข็งและสามารถพัฒนาตัวเอง รวมถึงเป็นพี่เลี้ยงให้ร้านค้าปลีก ทำให้เกิดการสร้างเครือข่ายและนำมาซึ่งการสร้างอำนาจต่อรองที่มากขึ้น โดยที่ผ่านมาได้เปิดให้บริการแล้วหลายราย อาทิ เล้งเส็ง สกลนคร ยงสงวน อุบลราชธานี เอกภาพ สระบุรี ฯลฯ ล่าสุดคือห้างบิ๊กเอ จันทบุรี
"กรณีของยูนิลีเวอร์ถือว่าชัดเจน ซึ่งคล้ายกับที่ทางกระทรวงพาณิชย์ทำ ซึ่งถือว่าดีมากที่มีภาคเอกชนเข้ามาช่วยอีกแรง ทำให้ค้าปลีกไทยมีการพัฒนาได้มากขึ้น ก่อนหน้านี้ซัพพลายเออร์รายอื่นๆ ก็มีการเข้ามาช่วยเหลือค้าปลีกท้องถิ่นมากขึ้น อาทิ โปรโมชั่นสินค้า การให้ความรู้ ฯลฯ" นายสมชายกล่าว
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0207
-
- Verified User
- โพสต์: 497
- ผู้ติดตาม: 0
modern trade and household
โพสต์ที่ 104
มองต่างมุม "ปตท.-เซเว่นฯ" ชี้อนาคต "ร้านสะดวกซื้อ" ในปั๊ม 21 ธันวาคม พ.ศ. 2550 07:24:00
เป็นความจริงที่ยอมรับกันหมดว่า...โลกการค้าน้ำมัน จะขายขาดทุนตลอด เราต้อง "โฟกัส" ค้าปลีกให้ได้ สัจธรรมนี้ จึงกลายเป็น "ทางรอด" ธุรกิจค้าน้ำมัน เป็นที่มาของการ "เทคโอเวอร์" ปั๊มเจ็ท เพื่อต่อยอด "จิฟฟี่"
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : คำถามในอนาคต ปตท.กับ เจ็ท ยังต้องตรึงราคาช่วยประชาชนไหม ? เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงจำเป็นต้องมีรายได้อื่นเข้ามาเสริม
สมการธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน เท่ากับ มาร์จินน้ำมัน + มาร์จินร้านสะดวกซื้อ + ค่าเช่า
มาร์จินน้ำมัน "วินาที" นี้ไม่ต้องพูดถึง คำว่า กำไร ส่วนค่าเช่า จากร้านค้าที่เข้ามาตั้งในปั๊ม ก็ไม่ใช่รายได้หลัก แม้ปตท.จะมี "เซเว่น อีเลฟเว่น" 600 แห่งอยู่ในอ้อมกอด แต่เมื่อทำร้อยไม่ได้ร้อย เพราะปตท.ไม่ใช่เจ้าของเซเว่นฯ จึงต้องลงเอยอย่างที่เห็น ยังมีข่าวความสัมพันธ์ "ร้าว" ระหว่าง ปตท.กับเซเว่นฯ จากผลประโยชน์ตอบแทนที่ไม่ลงตัว ไม่แน่เหมือนกันว่า...ปตท.จะยึดเซเว่นฯ เป็นหัวหอกธุรกิจร้านสะดวกซื้อต่อไปหรือไม่ ในเมื่อมี "จิฟฟี่" อยู่ในมือ นำมาสู่การตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่าง ปตท.กับเซเว่นฯ ที่มี "กฤษณะพล" คนเดิม เป็นประธาน ...ผ่านการประชุมร่วมกันใน "รอบแรก" ไปแล้ว "ผมให้สมการไปแล้ว ผมไม่ได้พูดพาดพิงใคร ถ้าอยากอยู่ในธุรกิจ ไปอาศัยคนอื่นหายใจมันก็ได้อย่างนี้แหละ ถามว่าจะเลือกยังไง ผมไม่ได้มีสิทธิเลือก แต่สมการมันเป็นความจริง ในธุรกิจค้าปลีกถ้าคุณไม่เป็นเจ้าของธุรกิจ ก็อยู่ยาก มันตลกผมไปเล่าให้ฝรั่งฟัง รถเข้ามาในปั๊มไม่อยากให้เติมน้ำมัน เพราะเติมแล้วขาดทุน แต่อยากให้กินจิฟฟี่ ฝรั่งยังงง" กฤษณะพล ยังยอมรับว่า การประชุมรอบแรก เป็นการคุยในรายละเอียดผลประโยชน์ตอบแทน ซึ่งมีมุมมองที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งต้องพูดกันใน "หลักการ" จริงๆ "เราก็เคารพในสัญญาหลัก สัญญารอง ที่ปตท.ทำกับเซเว่นฯ แต่การแบ่งผลประโยชน์ที่ผ่านมา 5 ปีเราอาจจะมีมุมมองแบบหนึ่ง หลักการเจรจาเราต้องการให้เปรียบเทียบกับสิ่งที่ธุรกิจส่วนใหญ่เขาทำกัน (อินดัสเตรียล แพ็คทีส) คิดว่าควรจะเป็นแบบนี้ แต่ทำไมเป็นอย่างนั้น ส่วนรายละเอียดจะมีคนทำงานชุดเล็กคุยต่อ ฝั่งเขา (เซเว่นฯ) ก็อาจจะมีมุมมองที่ต่างจากเรา (ปตท.) ก็ไม่เป็นไร แต่เราต้องการความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มาวางกันว่า ที่ฝั่งคุณเข้าใจไม่ถูกต้อง ก็จบไม่มีปัญหา" เขาระบุ และว่า การเจรจาระหว่าง ปตท.กับเซเว่นฯ น่าจะจบได้ไม่เกินไตรมาสสองของปี 2551 "ผมไม่อยากให้ลงเรื่องนี้เป็นข่าวพาดพิง กลายเป็นว่าผมไปต่อว่าเขา วันหนึ่งเขา (เซเว่นฯ) เป็นคู่ค้ากับ ปตท. จะบอกว่าเขาไม่ดีไม่ได้ เขาจั๊มพ์อินเข้ามา ตอนปตท.ทำกับเอเอ็ม พีเอ็ม เขาเข้ามาปั๊บยอดขายเราขึ้น 10-15% เพราะคุณต้องยอมรับเซเว่นฯ คือ นัมเบอร์วัน อินเดอร์เวิลด์" เขากล่าวอย่างสงวนท่าที ขณะที่ปตท.ค้าปลีกน้ำมัน ก็อยากเป็น "นัมเบอร์วัน ฟอร์เอเวอร์" เช่นกัน
เป็นความจริงที่ยอมรับกันหมดว่า...โลกการค้าน้ำมัน จะขายขาดทุนตลอด เราต้อง "โฟกัส" ค้าปลีกให้ได้ สัจธรรมนี้ จึงกลายเป็น "ทางรอด" ธุรกิจค้าน้ำมัน เป็นที่มาของการ "เทคโอเวอร์" ปั๊มเจ็ท เพื่อต่อยอด "จิฟฟี่"
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : คำถามในอนาคต ปตท.กับ เจ็ท ยังต้องตรึงราคาช่วยประชาชนไหม ? เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงจำเป็นต้องมีรายได้อื่นเข้ามาเสริม
สมการธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน เท่ากับ มาร์จินน้ำมัน + มาร์จินร้านสะดวกซื้อ + ค่าเช่า
มาร์จินน้ำมัน "วินาที" นี้ไม่ต้องพูดถึง คำว่า กำไร ส่วนค่าเช่า จากร้านค้าที่เข้ามาตั้งในปั๊ม ก็ไม่ใช่รายได้หลัก แม้ปตท.จะมี "เซเว่น อีเลฟเว่น" 600 แห่งอยู่ในอ้อมกอด แต่เมื่อทำร้อยไม่ได้ร้อย เพราะปตท.ไม่ใช่เจ้าของเซเว่นฯ จึงต้องลงเอยอย่างที่เห็น ยังมีข่าวความสัมพันธ์ "ร้าว" ระหว่าง ปตท.กับเซเว่นฯ จากผลประโยชน์ตอบแทนที่ไม่ลงตัว ไม่แน่เหมือนกันว่า...ปตท.จะยึดเซเว่นฯ เป็นหัวหอกธุรกิจร้านสะดวกซื้อต่อไปหรือไม่ ในเมื่อมี "จิฟฟี่" อยู่ในมือ นำมาสู่การตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่าง ปตท.กับเซเว่นฯ ที่มี "กฤษณะพล" คนเดิม เป็นประธาน ...ผ่านการประชุมร่วมกันใน "รอบแรก" ไปแล้ว "ผมให้สมการไปแล้ว ผมไม่ได้พูดพาดพิงใคร ถ้าอยากอยู่ในธุรกิจ ไปอาศัยคนอื่นหายใจมันก็ได้อย่างนี้แหละ ถามว่าจะเลือกยังไง ผมไม่ได้มีสิทธิเลือก แต่สมการมันเป็นความจริง ในธุรกิจค้าปลีกถ้าคุณไม่เป็นเจ้าของธุรกิจ ก็อยู่ยาก มันตลกผมไปเล่าให้ฝรั่งฟัง รถเข้ามาในปั๊มไม่อยากให้เติมน้ำมัน เพราะเติมแล้วขาดทุน แต่อยากให้กินจิฟฟี่ ฝรั่งยังงง" กฤษณะพล ยังยอมรับว่า การประชุมรอบแรก เป็นการคุยในรายละเอียดผลประโยชน์ตอบแทน ซึ่งมีมุมมองที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งต้องพูดกันใน "หลักการ" จริงๆ "เราก็เคารพในสัญญาหลัก สัญญารอง ที่ปตท.ทำกับเซเว่นฯ แต่การแบ่งผลประโยชน์ที่ผ่านมา 5 ปีเราอาจจะมีมุมมองแบบหนึ่ง หลักการเจรจาเราต้องการให้เปรียบเทียบกับสิ่งที่ธุรกิจส่วนใหญ่เขาทำกัน (อินดัสเตรียล แพ็คทีส) คิดว่าควรจะเป็นแบบนี้ แต่ทำไมเป็นอย่างนั้น ส่วนรายละเอียดจะมีคนทำงานชุดเล็กคุยต่อ ฝั่งเขา (เซเว่นฯ) ก็อาจจะมีมุมมองที่ต่างจากเรา (ปตท.) ก็ไม่เป็นไร แต่เราต้องการความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มาวางกันว่า ที่ฝั่งคุณเข้าใจไม่ถูกต้อง ก็จบไม่มีปัญหา" เขาระบุ และว่า การเจรจาระหว่าง ปตท.กับเซเว่นฯ น่าจะจบได้ไม่เกินไตรมาสสองของปี 2551 "ผมไม่อยากให้ลงเรื่องนี้เป็นข่าวพาดพิง กลายเป็นว่าผมไปต่อว่าเขา วันหนึ่งเขา (เซเว่นฯ) เป็นคู่ค้ากับ ปตท. จะบอกว่าเขาไม่ดีไม่ได้ เขาจั๊มพ์อินเข้ามา ตอนปตท.ทำกับเอเอ็ม พีเอ็ม เขาเข้ามาปั๊บยอดขายเราขึ้น 10-15% เพราะคุณต้องยอมรับเซเว่นฯ คือ นัมเบอร์วัน อินเดอร์เวิลด์" เขากล่าวอย่างสงวนท่าที ขณะที่ปตท.ค้าปลีกน้ำมัน ก็อยากเป็น "นัมเบอร์วัน ฟอร์เอเวอร์" เช่นกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news24/12/07
โพสต์ที่ 105
จับค้าปลีกเซ็นเอ็มโอยู
โพสต์ทูเดย์ กระทรวงพาณิชย์ จับ ห้างค้าปลีก-ซัพพลายเออร์-โชห่วย เซ็นเอ็มโอยูสงบศึก หลังไม่มีกฎหมายค้าปลีกบังคับใช้
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ในวันที่ 26 ธ.ค. นี้ กรมจะเชิญผู้ประกอบการห้างค้าปลีกทุกราย โชห่วย ผู้ผลิต (ซัพพลายเออร์) รวมถึงผู้ประกอบการตลาดสด มาหารือเพื่อลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) แนวทางปฏิบัติของทุกฝ่ายในระหว่างที่ไม่มี พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งออกมาบังคับใช้ เพื่อให้ผู้ประกอบการทุกรายทำธุรกิจร่วมกันได้ จากปัจจุบันที่โชห่วยได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักจากการขยายสาขาอย่างไม่หยุดยั้งของห้างค้าปลีกขนาดใหญ่
ทั้งนี้ เอ็มโอยูดังกล่าวต้องการให้ผู้ประกอบการค้าปลีกขนาดใหญ่ให้ความร่วมมือในการขยายสาขาตามสภาพของธุรกิจ โดยไม่มุ่งขยายสาขามากเกินไป จนกระทบกับโชห่วยในพื้นที่ แต่หากต้องการขยายสาขาก็ต้องทำตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด โดยไฮเปอร์มาร์เก็ต ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ดิสเคาต์สโตร์ และแคช แอนด์ แคร์รี สถานที่ตั้งต้องมีระยะห่างจากตัวเมืองไม่น้อยกว่า 12 กิโลเมตร ความหนาแน่นประชากรไม่เกิน 1 แสนคน
สำหรับซูเปอร์มาร์เก็ต ต้องห่างจากตัวเมืองไม่เกิน 5 กิโลเมตร ความหนาแน่นของประชากรไม่เกิน 5 หมื่นคน ขณะที่ดิสเคาต์ คอนวีเนียน สโตร์ หรือเอ็กซ์เพรส ต้องห่างจากตลาดสดไม่น้อยกว่า 500 เมตร ความหนาแน่นของประชากร 1 พันคน และสำหรับร้านสะดวกซื้อ ไม่กำหนดระยะห่างจากตัวเมือง แต่กำหนดความหนาแน่นของประชากรไม่น้อยกว่า 3 พันคน สำหรับโชห่วย หากห้างค้าปลีกรายใหญ่ขยายสาขาตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดก็ต้องหยุดการต่อต้าน
นอกจากนี้ ยังจะให้ซัพพลาย เออร์ลดความแตกต่างในการปฏิบัติระหว่างห้างค้าปลีกรายใหญ่และโชห่วย เช่น หากให้ส่วนลดห้างค้าปลีกรายใหญ่ก็ต้องให้ส่วนลดโชห่วยด้วยเช่นกัน แต่หากโชห่วยต้องการส่วนลดมากๆ ก็ต้องรวมตัวกันสั่งซื้อสินค้าจากซัพพลายเออร์
จะชี้แจงให้ผู้ประกอบการฟังถึงหลักศีลธรรมในการทำธุรกิจ โดยต้องทำแบบเศรษฐกิจพอเพียง คือ ไม่ขยายสาขามากจนคนอื่นเดือดร้อน และต้องค้าเสรีอย่างเป็นธรรม ไม่เอาเปรียบกัน โดยทุกรายต้องลงนามในเอ็มโอยู ใครไม่ทำตามก็ได้ แต่จะให้สังคมเป็นผู้ตัดสิน เชื่อว่าได้รับความร่วมมือ และจะเพิ่มความชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายมากขึ้น ตามแนวทางการปฏิบัติระหว่างห้างค้าปลีกและซัพพลายเออร์ (ไกด์ไลน์ค้าปลีก) โดยเฉพาะการขายต่ำกว่าทุน นายยรรยง กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=210725
โพสต์ทูเดย์ กระทรวงพาณิชย์ จับ ห้างค้าปลีก-ซัพพลายเออร์-โชห่วย เซ็นเอ็มโอยูสงบศึก หลังไม่มีกฎหมายค้าปลีกบังคับใช้
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ในวันที่ 26 ธ.ค. นี้ กรมจะเชิญผู้ประกอบการห้างค้าปลีกทุกราย โชห่วย ผู้ผลิต (ซัพพลายเออร์) รวมถึงผู้ประกอบการตลาดสด มาหารือเพื่อลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) แนวทางปฏิบัติของทุกฝ่ายในระหว่างที่ไม่มี พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งออกมาบังคับใช้ เพื่อให้ผู้ประกอบการทุกรายทำธุรกิจร่วมกันได้ จากปัจจุบันที่โชห่วยได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักจากการขยายสาขาอย่างไม่หยุดยั้งของห้างค้าปลีกขนาดใหญ่
ทั้งนี้ เอ็มโอยูดังกล่าวต้องการให้ผู้ประกอบการค้าปลีกขนาดใหญ่ให้ความร่วมมือในการขยายสาขาตามสภาพของธุรกิจ โดยไม่มุ่งขยายสาขามากเกินไป จนกระทบกับโชห่วยในพื้นที่ แต่หากต้องการขยายสาขาก็ต้องทำตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด โดยไฮเปอร์มาร์เก็ต ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ดิสเคาต์สโตร์ และแคช แอนด์ แคร์รี สถานที่ตั้งต้องมีระยะห่างจากตัวเมืองไม่น้อยกว่า 12 กิโลเมตร ความหนาแน่นประชากรไม่เกิน 1 แสนคน
สำหรับซูเปอร์มาร์เก็ต ต้องห่างจากตัวเมืองไม่เกิน 5 กิโลเมตร ความหนาแน่นของประชากรไม่เกิน 5 หมื่นคน ขณะที่ดิสเคาต์ คอนวีเนียน สโตร์ หรือเอ็กซ์เพรส ต้องห่างจากตลาดสดไม่น้อยกว่า 500 เมตร ความหนาแน่นของประชากร 1 พันคน และสำหรับร้านสะดวกซื้อ ไม่กำหนดระยะห่างจากตัวเมือง แต่กำหนดความหนาแน่นของประชากรไม่น้อยกว่า 3 พันคน สำหรับโชห่วย หากห้างค้าปลีกรายใหญ่ขยายสาขาตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดก็ต้องหยุดการต่อต้าน
นอกจากนี้ ยังจะให้ซัพพลาย เออร์ลดความแตกต่างในการปฏิบัติระหว่างห้างค้าปลีกรายใหญ่และโชห่วย เช่น หากให้ส่วนลดห้างค้าปลีกรายใหญ่ก็ต้องให้ส่วนลดโชห่วยด้วยเช่นกัน แต่หากโชห่วยต้องการส่วนลดมากๆ ก็ต้องรวมตัวกันสั่งซื้อสินค้าจากซัพพลายเออร์
จะชี้แจงให้ผู้ประกอบการฟังถึงหลักศีลธรรมในการทำธุรกิจ โดยต้องทำแบบเศรษฐกิจพอเพียง คือ ไม่ขยายสาขามากจนคนอื่นเดือดร้อน และต้องค้าเสรีอย่างเป็นธรรม ไม่เอาเปรียบกัน โดยทุกรายต้องลงนามในเอ็มโอยู ใครไม่ทำตามก็ได้ แต่จะให้สังคมเป็นผู้ตัดสิน เชื่อว่าได้รับความร่วมมือ และจะเพิ่มความชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายมากขึ้น ตามแนวทางการปฏิบัติระหว่างห้างค้าปลีกและซัพพลายเออร์ (ไกด์ไลน์ค้าปลีก) โดยเฉพาะการขายต่ำกว่าทุน นายยรรยง กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=210725
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news25/12/07
โพสต์ที่ 106
* ค้าปลีก : อธิบดีกรมการค้าภายในจะเชิญผู้ประกอบการห้างค้าปลีกทุกรายมาเซ็น MOU
> หลังจากที่ร่าง พรบ. ค้าปลีกค้าส่งต้องแท้งไป ล่าสุดนายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน จะเชิญผู้ประกอบการห้างค้าปลีกทุกราย โชห่วย ผู้ผลิต (Supplier) รวมถึงผู้ประกอบการตลาดสด มาเซ็น MOU ในวันที่ 26 ธ.ค. นี้ ถึงแนวทางปฏิบัติของทุกฝ่ายเพื่อให้ผู้ประกอบการทุกรายทำธุรกิจร่วมกันได้ โดย MOU ดังกล่าวต้องการให้ผู้ค้าปลีกขนาดใหญ่ขยายสาขาตามสภาพของธุรกิจ ไม่ใช่มุ่งขยายสาขามากเกินไปจนกระทบโชห่วยในพื้นที่ (ที่มา : โพสต์ทูเดย์ 25 ธ.ค.) ความเห็น: การที่ร่าง พรบ. ค้าปลีกมีผลบังคับใช้ไม่ทันในรัฐบาลชุดนี้ ถือเป็นข่าวดีกับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดฯ การเซ็น MOU ไม่ได้ทำให้สาระสำคัญเปลี่ยนไป เราเชื่อว่าผู้ประกอบการจะเดินหน้าขยายสาขาตามเป้าที่วางไว้ หากจะลดลงบ้างจากผลของ MOU ดังกล่าวแต่ก็ไม่ถือเป็นนัยสำคัญ เรายังคงแนะนำ CPALL (เป้าหมาย 13 บาท) และ HMPRO (เป้าหมาย 6.50 บาท) เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มนี้
โดยบริษัทหลักทรัพย์ ไซรัส จำกัด ประจำวันที่ 25 ธันวาคม 2550
> หลังจากที่ร่าง พรบ. ค้าปลีกค้าส่งต้องแท้งไป ล่าสุดนายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน จะเชิญผู้ประกอบการห้างค้าปลีกทุกราย โชห่วย ผู้ผลิต (Supplier) รวมถึงผู้ประกอบการตลาดสด มาเซ็น MOU ในวันที่ 26 ธ.ค. นี้ ถึงแนวทางปฏิบัติของทุกฝ่ายเพื่อให้ผู้ประกอบการทุกรายทำธุรกิจร่วมกันได้ โดย MOU ดังกล่าวต้องการให้ผู้ค้าปลีกขนาดใหญ่ขยายสาขาตามสภาพของธุรกิจ ไม่ใช่มุ่งขยายสาขามากเกินไปจนกระทบโชห่วยในพื้นที่ (ที่มา : โพสต์ทูเดย์ 25 ธ.ค.) ความเห็น: การที่ร่าง พรบ. ค้าปลีกมีผลบังคับใช้ไม่ทันในรัฐบาลชุดนี้ ถือเป็นข่าวดีกับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดฯ การเซ็น MOU ไม่ได้ทำให้สาระสำคัญเปลี่ยนไป เราเชื่อว่าผู้ประกอบการจะเดินหน้าขยายสาขาตามเป้าที่วางไว้ หากจะลดลงบ้างจากผลของ MOU ดังกล่าวแต่ก็ไม่ถือเป็นนัยสำคัญ เรายังคงแนะนำ CPALL (เป้าหมาย 13 บาท) และ HMPRO (เป้าหมาย 6.50 บาท) เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มนี้
โดยบริษัทหลักทรัพย์ ไซรัส จำกัด ประจำวันที่ 25 ธันวาคม 2550
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news25/12/07
โพสต์ที่ 107
เทสโก้กลายพันธุ์ช็อปปิ้งมอลล์
ทุ่มงบ1.5พันล.ปั้น รับไลฟ์สไตล์ลูกค้า ผุดคอมมูนิตีปีหน้า
โพสต์ทูเดย์ เทสโก้ โลตัส ทุ่ม 1.5 พันล้าน ปั้นคอนเซปต์ใหม่ ไลฟ์สไตล์ ช็อปปิ้ง มอลล์ พร้อมเตรียมผุดคอมมูนิตีมอลล์ต้นปีหน้า
นายกวิน สันฑกุล กรรมการและประธานบริหารฝ่ายการตลาด บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีก เทสโก้ โลตัส กล่าวว่า บริษัทใช้งบประมาณ 1.5 พันล้านบาท เปิด เทสโก้ โลตัส ไลฟ์สไตล์ ช็อปปิ้ง มอลล์ ที่ใหญ่ที่สุดของ เทสโก้ โลตัส ที่ปิ่นเกล้า (อาคารห้างสรรพสินค้าเมอร์รี่คิงส์เดิม) ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมรูปแบบใหม่ของ เทสโก้ โลตัส ภายใต้แนวคิด Life Stage คือ การสร้างและพัฒนาพื้นที่ค้าปลีกที่มุ่งตอบโจทย์ลูกค้าทุกช่วงอายุ
สำหรับเทสโก้ โลตัส สาขา ปิ่นเกล้า มีพื้นที่ขายรวม 6 หมื่น ตร.ม. ประกอบด้วย เทสโก้ โลตัส ไฮเปอร์มาร์เก็ต ขนาด 8 พัน ตร.ม. และส่วนของพลาซา หรือพื้นที่เช่ากว่า 1.6 หมื่น ตร.ม. มีทั้งโซนฟู้ดคอร์ต พื้นที่เล่นสำหรับเด็ก คาราโอเกะ ร้านอาหาร โซนเอ็ดดูเทนเมนต์และ ไอทีมอลล์
เทสโก้ โลตัส จะมีรูปแบบใหม่ๆ เกิดขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่ในแต่ละโครงการที่เข้าไป โดยการพัฒนาศูนย์ที่สามารถแพ็กไปกับทุกรูปแบบของเทสโก้ โลตัส การขยายธุรกิจโมเดลใหม่ๆ ไม่ได้เป็นการหนีกฎหมาย ถ้าหนีกฎหมายแล้วไม่มีลูกค้า หนีก็ไม่มีประโยชน์ เป้าหมายหลัก คือ การสร้างและพัฒนารูปแบบที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากที่สุด นายกวิน กล่าว
ในเดือน ม.ค. 2551 บริษัทยังจะเปิดสาขาเทสโก้ โลตัสในรูปแบบคอมมูนิตีมอลล์ ที่นิชดาธานี ย่านถนนสามัคคี รวมทั้งเปิดสาขาในรูปแบบกรีน สโตร์ แห่งที่ 2 ที่ศาลายา ในวันที่ 25 ม.ค. โดยจะเป็นโมเดลเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างสมบูรณ์ เช่น มีกังหันลม, ใช้ไบโอดีเซล, น้ำรีไซเคิล เป็นต้น ภายใต้แนวคิดสิ่งมหัศจรรย์แห่งเอเชีย
สำหรับผลการเลือกตั้งที่ออกมา ยังบอกไม่ได้ว่าทิศทางของประเทศจะเป็นอย่างไร เพราะอยู่ในภาวะ ก้ำกึ่งระหว่าง 2 พรรคในการจัดตั้งรัฐบาล แต่เชื่อว่าแนวโน้มจะดีขึ้น โดยดูจากประชาชนที่ออกมาลงคะแนน เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปภายใต้ระบอบประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม ในส่วนของธุรกิจค้าปลีก โดยเฉพาะเทสโก้ โลตัส ยังเติบโตต่อเนื่อง
ขณะที่ ร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีกค่าส่งนั้น ต้องดูนโยบายของรัฐบาลชุดหน้า ซึ่งเทสโก้ โลตัส พร้อมจะปฏิบัติตามกฎหมายอยู่แล้ว อย่ามองว่าการที่มีตัวแทนเข้าไปเป็นคณะกรรมา ธิการ จะเข้าไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ แต่เข้าไปเพราะบริษัทมีข้อมูลมากที่สุด จากฐานลูกค้าจำนวนมาก จึงน่าจะเป็นประโยชน์ในการจัดทำกฎหมาย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=210893
ทุ่มงบ1.5พันล.ปั้น รับไลฟ์สไตล์ลูกค้า ผุดคอมมูนิตีปีหน้า
โพสต์ทูเดย์ เทสโก้ โลตัส ทุ่ม 1.5 พันล้าน ปั้นคอนเซปต์ใหม่ ไลฟ์สไตล์ ช็อปปิ้ง มอลล์ พร้อมเตรียมผุดคอมมูนิตีมอลล์ต้นปีหน้า
นายกวิน สันฑกุล กรรมการและประธานบริหารฝ่ายการตลาด บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีก เทสโก้ โลตัส กล่าวว่า บริษัทใช้งบประมาณ 1.5 พันล้านบาท เปิด เทสโก้ โลตัส ไลฟ์สไตล์ ช็อปปิ้ง มอลล์ ที่ใหญ่ที่สุดของ เทสโก้ โลตัส ที่ปิ่นเกล้า (อาคารห้างสรรพสินค้าเมอร์รี่คิงส์เดิม) ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมรูปแบบใหม่ของ เทสโก้ โลตัส ภายใต้แนวคิด Life Stage คือ การสร้างและพัฒนาพื้นที่ค้าปลีกที่มุ่งตอบโจทย์ลูกค้าทุกช่วงอายุ
สำหรับเทสโก้ โลตัส สาขา ปิ่นเกล้า มีพื้นที่ขายรวม 6 หมื่น ตร.ม. ประกอบด้วย เทสโก้ โลตัส ไฮเปอร์มาร์เก็ต ขนาด 8 พัน ตร.ม. และส่วนของพลาซา หรือพื้นที่เช่ากว่า 1.6 หมื่น ตร.ม. มีทั้งโซนฟู้ดคอร์ต พื้นที่เล่นสำหรับเด็ก คาราโอเกะ ร้านอาหาร โซนเอ็ดดูเทนเมนต์และ ไอทีมอลล์
เทสโก้ โลตัส จะมีรูปแบบใหม่ๆ เกิดขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่ในแต่ละโครงการที่เข้าไป โดยการพัฒนาศูนย์ที่สามารถแพ็กไปกับทุกรูปแบบของเทสโก้ โลตัส การขยายธุรกิจโมเดลใหม่ๆ ไม่ได้เป็นการหนีกฎหมาย ถ้าหนีกฎหมายแล้วไม่มีลูกค้า หนีก็ไม่มีประโยชน์ เป้าหมายหลัก คือ การสร้างและพัฒนารูปแบบที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากที่สุด นายกวิน กล่าว
ในเดือน ม.ค. 2551 บริษัทยังจะเปิดสาขาเทสโก้ โลตัสในรูปแบบคอมมูนิตีมอลล์ ที่นิชดาธานี ย่านถนนสามัคคี รวมทั้งเปิดสาขาในรูปแบบกรีน สโตร์ แห่งที่ 2 ที่ศาลายา ในวันที่ 25 ม.ค. โดยจะเป็นโมเดลเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างสมบูรณ์ เช่น มีกังหันลม, ใช้ไบโอดีเซล, น้ำรีไซเคิล เป็นต้น ภายใต้แนวคิดสิ่งมหัศจรรย์แห่งเอเชีย
สำหรับผลการเลือกตั้งที่ออกมา ยังบอกไม่ได้ว่าทิศทางของประเทศจะเป็นอย่างไร เพราะอยู่ในภาวะ ก้ำกึ่งระหว่าง 2 พรรคในการจัดตั้งรัฐบาล แต่เชื่อว่าแนวโน้มจะดีขึ้น โดยดูจากประชาชนที่ออกมาลงคะแนน เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปภายใต้ระบอบประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม ในส่วนของธุรกิจค้าปลีก โดยเฉพาะเทสโก้ โลตัส ยังเติบโตต่อเนื่อง
ขณะที่ ร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีกค่าส่งนั้น ต้องดูนโยบายของรัฐบาลชุดหน้า ซึ่งเทสโก้ โลตัส พร้อมจะปฏิบัติตามกฎหมายอยู่แล้ว อย่ามองว่าการที่มีตัวแทนเข้าไปเป็นคณะกรรมา ธิการ จะเข้าไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ แต่เข้าไปเพราะบริษัทมีข้อมูลมากที่สุด จากฐานลูกค้าจำนวนมาก จึงน่าจะเป็นประโยชน์ในการจัดทำกฎหมาย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=210893
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news27/12/07
โพสต์ที่ 108
"โลตัส" ปั้นไลฟ์สไตล์มอลล์บุก ! สมรภูมิค้าปลีก "ปิ่นเกล้า" ระอุ
คอลัมน์ จับกระแสตลาด
แม้ตลอดปี 2550 ทั้งปี เทสโก้ โลตัส จะเจอสารพัดปัจจัยลบรอบด้าน ทั้งศึกกับผู้ค้าปลีกดั้งเดิม หรือกับคู่แข่งตลอดกาลอย่าง เซเว่นอีเลฟเว่น ที่จนถึงวันนี้ยังไล่บี้กันชนิดสาขาต่อสาขา ที่สำคัญการถูกจับตามองอย่างหนักจากกระทรวงพาณิชย์ในเรื่องของการขายสินค้าต่ำกว่าทุน หรือการเร่งขยายสาขาของรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ตที่ยังเป็นปัญหามาไม่รู้จบ
แต่ทว่าปัจจัยเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ผู้นำค้าปลีกยักษ์ใหญ่ค่ายนี้สะเทือนแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เทสโก้ โลตัส กลับมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าด้วยการทดลองโมเดลแปลกใหม่เพื่อให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของคนไทยมาอย่างต่อเนื่อง
ก่อนหน้านี้ เทสโก้ โลตัส ก็อยู่ระหว่างศึกษาโมเดล "คอมมิวนิตี้มอลล์" จนได้ข่าวแว่วมาว่าไปซุ่มเช่าที่ดินแถวรังสิต คลอง 2 เพื่อพัฒนาเป็นสาขาแรก ก่อนจะย้ายโมเดลใหม่ดังกล่าวมาที่ถนนสามัคคี
ที่ผ่านมา เมื่อเร็วๆ นี้ เทสโก้ โลตัส ก็ตัดสินใจลงทุนใหญ่อีกครั้งเป็นการส่งท้ายปลายปี 2550 แบบสมน้ำสมเนื้อกับความเป็นผู้นำค้าปลีกสมัยใหม่
ด้วยการใช้เม็ดเงินสูงกว่า 1,000 ล้านบาท สำหรับการซื้อห้างสรรพสินค้า เมอร์รี่คิงส์ ปิ่นเกล้า มาพัฒนาเป็นเทสโก้ โลตัส สาขาที่ 68 แทน ที่สำคัญอยู่ห่างเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ชนิดใกล้แค่เอื้อม
และเพิ่งตัดริบบิ้นให้บริการอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมา
สำหรับสาขานี้ นับเป็นสาขาที่ไม่เหมือนใคร เพราะความที่อาคารนี้เดิมถูกพัฒนาเป็นห้าง สรรพสินค้า เทสโก้ โลตัส จึงถือโอกาสใช้อาคารขนาด 5 ชั้น ซึ่งมีพื้นที่อยู่ทั้งหมดร่วม 60,000 ตารางเมตร พัฒนาเป็นพื้นที่เช่าให้กับร้านค้าและบริการมากถึง 4 ชั้น
เป็นการพัฒนาเทสโก้ โลตัส ให้อยู่ภายใต้คอนเซ็ปต์ "ไลฟ์สไตล์มอลล์" เต็มรูปแบบเป็นครั้งแรก
ชั้นแรกของสาขานี้ ถูกเนรมิตเป็นไฮเปอร์ มาร์เก็ต ขนาดกว่า 8,000 ตางรางเมตร ชั้น 2 เป็นส่วนของฟู้ดคอร์ต และร้านค้าประเภทเฮลท์ แอนด์ บิวตี้ ขณะที่พื้นที่ในส่วนของชั้น 3 ประกอบไปด้วย แบรนด์ร้านอาหารชั้นนำ อาทิ สุกี้เอ็มเค, ร้านไอศกรีมสเวนเซ่นส์, เชสเตอร์ คอฟฟี่ และชั้น 4 เป็นพื้นที่สำหรับ ไฟแนนเชียล แอนด์ เซอร์วิส ที่มีทั้งธนาคารต่างๆ โรงเรียนกวดวิชาชื่อดัง และชั้นสุดท้ายคือชั้นที่ 5 จะพัฒนาเป็นไอที ซิตี้ ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ราวอาทิตย์หน้า
ว่ากันว่า "เทสโก้ โลตัส" สาขาที่ 68 นี้ ถูกหมายมั่นปั้นมือให้เป็นสาขาที่สมบูรณ์แบบสำหรับคนชุมชนบางกอกน้อยกันเลยทีเดียว
แหล่งข่าวระดับสูงจากวงการค้าปลีกรายหนึ่ง ให้ความเห็นกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า แม้เทสโก้ โลตัส จะไม่ใช่คู่แข่งกับเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ที่อยู่ห่างกันไปไม่ถึง 1 กิโลเมตร โดยตรงก็ตามที แต่ก็น่าจับตามองอยู่ไม่น้อย เพราะโดยตำแหน่งที่ตั้งของ "เทสโก้ โลตัส" แล้ว ไม่ว่าจะมาจากทางไหนก็จะต้องถึงเทสโก้ โลตัส ก่อนเซ็นทรัลอยู่ดี
หากเทียบกับเซ็นทรัลในส่วนของซูเปอร์ มาร์เก็ตแล้ว แหล่งข่าวชี้ว่า ในเซ็นทรัลมีท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต แต่ขนาดก็เพียง 1,000 กว่า ตร.ม.เท่านั้น ขณะที่เทสโก้ โลตัส มีพื้นที่มากกว่าเป็นเท่าตัว ที่สำคัญสินค้าไม่ต่างกัน ส่วนราคาสินค้าแทบไม่ต้องพูดถึง เพราะเทสโก้ โลตัส มีจุดยืนเรื่องราคาถูก ซึ่งเป็นที่รู้กันดีในกลุ่มผู้บริโภค
"แม้คอนเซ็ปต์จะแตกต่างกัน แต่เชื่อว่าเทสโก้ โลตัส จะสามารถดึงลูกค้าจากเซ็นทรัลมาได้บ้างไม่มากก็น้อย เพราะหากดูกันดีๆ เทสโก้ โลตัส จะเน้นขายสินค้าที่เป็นสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันมากกว่าอยู่แล้ว"
ผู้คร่ำหวอดแห่งวงการค้าปลีก ยังวิเคราะห์ถึงการรุกเข้ามายังย่านปิ่นเกล้าที่ถือเป็นทำเลทองอีกย่านหนึ่งว่า นอกจากจะเป็นศูนย์การค้ารองรับความต้องการของชุมชนที่อยู่อาศัยในย่านปิ่นเกล้าและพื้นที่ใกล้เคียงแล้ว ยังสามารถที่จะรองรับกลุ่มลูกค้าจากถนนพุทธมณฑล ที่มีบ้านจัดสรรเกิดขึ้นย่างมากมาย และยังเลยออกไปถึงนครชัยศรี จังหวัดนครปฐมได้ด้วย
สำหรับในแง่ของการแข่งขันนั้น หากเมื่อพิจารณาถึงโพซิชั่นและกลุ่มลูกค้าเป้าหมายแล้ว คาดว่าผู้ที่จะได้รับผลกระทบมากกว่าใครเพื่อนก็เห็นจะเป็น ห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง และห้างสรรพสินค้าพาต้า ปิ่นเกล้า ซึ่งช่วงๆ หลังมานี้ทั้ง 2 ห้างฯ นี้ก็ได้มีการปรับตัวมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของการปรับเลย์เอาท์ กลยุทธ์ทางการตลาด และด้วยแม่เหล็กของเทสโก้ โลตัส ที่มีความครบครันมากกว่า และมีจุดขายในเรื่องราคาที่ถูกและเป็นจุดแข็งสำหรับในส่วนไฮเปอร์มาร์เก็ตก็จะยิ่งเป็นตัวที่ช่วยลูกค้าในย่านนี้หันมาหา เทสโก้ โลตัส ได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ ในส่วนของพื้นที่เช่าของ เทสโก้ โลตัส ที่ชั้นล่างของพาต้า ปิ่นเกล้า นั้นเชื่อว่า เทสโก้ โลตัส ก็จะยังคงไว้ เนื่องจากอยู่คนละฝั่งถนนกัน และที่ผ่านมาก็มีตัวเลขยอดขายที่น่าพอใจ ส่วนที่ว่าเมื่อลูกค้าเข้ามาใช้บริการที่ เทสโก้ โลตัส ที่เปิดอยู่ที่ พาต้า หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่า พาต้า ปิ่นเกล้า จะมีแม่เหล็กที่แข็งแรงพอที่จูงใจลูกค้าได้หรือไม่
ส่วนกรณีของ เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า นั้น แหล่งข่าวรายนี้ระบุว่า น่าจะได้รับผลประทบจากการสยายปีกเข้ามาในย่านนี้ของ เทสโก้ โลตัส น้อยมาก ไม่เพียงเฉพาะความครบเครื่องของเซ็นทรัล ที่มีทั้งในส่วนของพลาซ่าที่มีร้านค้าต่างๆ เปิดเต็มพื้นที่แล้วก็ยังมีห้างสรรพสินค้า โรงหนัง และ ซูเปอร์มาร์เก็ต ที่เป็นแม็กเน็ตที่แข็งแกร่งและจะตรึงลูกค้าให้ลูกค้ามาใช้บริการได้เช่นเดิม
"ด้วยกำลังซื้อในย่านนี้ที่มีค่อนข้างมาก ตอนนี้ร้านค้าบางส่วนที่เปิดให้บริการอยู่ที่เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ก็ได้ขยับขยายไปเปิดที่เทสโก้ โลตัส ด้วยเช่นกัน" แหล่งข่าวรายนี้ กล่าว
ขณะที่ผู้บริหารระดับสูงของเทสโก้ โลตัส บอกกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า สำหรับสาขานี้จะมีรายได้จากการเช่าพื้นที่ 50% และอีก 50% จะมาจากยอดขายในส่วนของไฮเปอร์มาร์เก็ต แตกต่างจากไฮเปอร์มาร์เก็ตสาขาอื่นของเทสโก้ โลตัส ที่รายได้จากการเช่าพื้นที่จะมีแค่ 40% เท่านั้น
ผู้บริหารรายนี้ยังเล่าให้ฟังด้วยว่า ก่อนหน้าที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ได้ซอฟต์ลอนช์มาตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคมที่ผ่านมา ผลปรากฏว่ามียอดขายเป็นที่น่าพอใจ เฉพาะยอดขายในไฮเปอร์มาร์เก็ตอย่างเดียวเฉลี่ยวันละ 4 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขยอดขายที่บรรดาผู้บริหารของเทสโก้ โลตัส ภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
นี่อาจจะเป็นผลงานชิ้นโบแดงของเทสโก้ โลตัส สำหรับช่วงเทศกาลส่งท้ายปลายปี
ที่สำคัญ ธุรกิจโมเดลนี้ของเทสโก้ โลตัส คงจะไม่ได้มีเพียงสาขานี้สาขาเดียวอย่างแน่นอน
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0207
คอลัมน์ จับกระแสตลาด
แม้ตลอดปี 2550 ทั้งปี เทสโก้ โลตัส จะเจอสารพัดปัจจัยลบรอบด้าน ทั้งศึกกับผู้ค้าปลีกดั้งเดิม หรือกับคู่แข่งตลอดกาลอย่าง เซเว่นอีเลฟเว่น ที่จนถึงวันนี้ยังไล่บี้กันชนิดสาขาต่อสาขา ที่สำคัญการถูกจับตามองอย่างหนักจากกระทรวงพาณิชย์ในเรื่องของการขายสินค้าต่ำกว่าทุน หรือการเร่งขยายสาขาของรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ตที่ยังเป็นปัญหามาไม่รู้จบ
แต่ทว่าปัจจัยเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ผู้นำค้าปลีกยักษ์ใหญ่ค่ายนี้สะเทือนแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เทสโก้ โลตัส กลับมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าด้วยการทดลองโมเดลแปลกใหม่เพื่อให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของคนไทยมาอย่างต่อเนื่อง
ก่อนหน้านี้ เทสโก้ โลตัส ก็อยู่ระหว่างศึกษาโมเดล "คอมมิวนิตี้มอลล์" จนได้ข่าวแว่วมาว่าไปซุ่มเช่าที่ดินแถวรังสิต คลอง 2 เพื่อพัฒนาเป็นสาขาแรก ก่อนจะย้ายโมเดลใหม่ดังกล่าวมาที่ถนนสามัคคี
ที่ผ่านมา เมื่อเร็วๆ นี้ เทสโก้ โลตัส ก็ตัดสินใจลงทุนใหญ่อีกครั้งเป็นการส่งท้ายปลายปี 2550 แบบสมน้ำสมเนื้อกับความเป็นผู้นำค้าปลีกสมัยใหม่
ด้วยการใช้เม็ดเงินสูงกว่า 1,000 ล้านบาท สำหรับการซื้อห้างสรรพสินค้า เมอร์รี่คิงส์ ปิ่นเกล้า มาพัฒนาเป็นเทสโก้ โลตัส สาขาที่ 68 แทน ที่สำคัญอยู่ห่างเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ชนิดใกล้แค่เอื้อม
และเพิ่งตัดริบบิ้นให้บริการอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมา
สำหรับสาขานี้ นับเป็นสาขาที่ไม่เหมือนใคร เพราะความที่อาคารนี้เดิมถูกพัฒนาเป็นห้าง สรรพสินค้า เทสโก้ โลตัส จึงถือโอกาสใช้อาคารขนาด 5 ชั้น ซึ่งมีพื้นที่อยู่ทั้งหมดร่วม 60,000 ตารางเมตร พัฒนาเป็นพื้นที่เช่าให้กับร้านค้าและบริการมากถึง 4 ชั้น
เป็นการพัฒนาเทสโก้ โลตัส ให้อยู่ภายใต้คอนเซ็ปต์ "ไลฟ์สไตล์มอลล์" เต็มรูปแบบเป็นครั้งแรก
ชั้นแรกของสาขานี้ ถูกเนรมิตเป็นไฮเปอร์ มาร์เก็ต ขนาดกว่า 8,000 ตางรางเมตร ชั้น 2 เป็นส่วนของฟู้ดคอร์ต และร้านค้าประเภทเฮลท์ แอนด์ บิวตี้ ขณะที่พื้นที่ในส่วนของชั้น 3 ประกอบไปด้วย แบรนด์ร้านอาหารชั้นนำ อาทิ สุกี้เอ็มเค, ร้านไอศกรีมสเวนเซ่นส์, เชสเตอร์ คอฟฟี่ และชั้น 4 เป็นพื้นที่สำหรับ ไฟแนนเชียล แอนด์ เซอร์วิส ที่มีทั้งธนาคารต่างๆ โรงเรียนกวดวิชาชื่อดัง และชั้นสุดท้ายคือชั้นที่ 5 จะพัฒนาเป็นไอที ซิตี้ ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ราวอาทิตย์หน้า
ว่ากันว่า "เทสโก้ โลตัส" สาขาที่ 68 นี้ ถูกหมายมั่นปั้นมือให้เป็นสาขาที่สมบูรณ์แบบสำหรับคนชุมชนบางกอกน้อยกันเลยทีเดียว
แหล่งข่าวระดับสูงจากวงการค้าปลีกรายหนึ่ง ให้ความเห็นกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า แม้เทสโก้ โลตัส จะไม่ใช่คู่แข่งกับเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ที่อยู่ห่างกันไปไม่ถึง 1 กิโลเมตร โดยตรงก็ตามที แต่ก็น่าจับตามองอยู่ไม่น้อย เพราะโดยตำแหน่งที่ตั้งของ "เทสโก้ โลตัส" แล้ว ไม่ว่าจะมาจากทางไหนก็จะต้องถึงเทสโก้ โลตัส ก่อนเซ็นทรัลอยู่ดี
หากเทียบกับเซ็นทรัลในส่วนของซูเปอร์ มาร์เก็ตแล้ว แหล่งข่าวชี้ว่า ในเซ็นทรัลมีท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต แต่ขนาดก็เพียง 1,000 กว่า ตร.ม.เท่านั้น ขณะที่เทสโก้ โลตัส มีพื้นที่มากกว่าเป็นเท่าตัว ที่สำคัญสินค้าไม่ต่างกัน ส่วนราคาสินค้าแทบไม่ต้องพูดถึง เพราะเทสโก้ โลตัส มีจุดยืนเรื่องราคาถูก ซึ่งเป็นที่รู้กันดีในกลุ่มผู้บริโภค
"แม้คอนเซ็ปต์จะแตกต่างกัน แต่เชื่อว่าเทสโก้ โลตัส จะสามารถดึงลูกค้าจากเซ็นทรัลมาได้บ้างไม่มากก็น้อย เพราะหากดูกันดีๆ เทสโก้ โลตัส จะเน้นขายสินค้าที่เป็นสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันมากกว่าอยู่แล้ว"
ผู้คร่ำหวอดแห่งวงการค้าปลีก ยังวิเคราะห์ถึงการรุกเข้ามายังย่านปิ่นเกล้าที่ถือเป็นทำเลทองอีกย่านหนึ่งว่า นอกจากจะเป็นศูนย์การค้ารองรับความต้องการของชุมชนที่อยู่อาศัยในย่านปิ่นเกล้าและพื้นที่ใกล้เคียงแล้ว ยังสามารถที่จะรองรับกลุ่มลูกค้าจากถนนพุทธมณฑล ที่มีบ้านจัดสรรเกิดขึ้นย่างมากมาย และยังเลยออกไปถึงนครชัยศรี จังหวัดนครปฐมได้ด้วย
สำหรับในแง่ของการแข่งขันนั้น หากเมื่อพิจารณาถึงโพซิชั่นและกลุ่มลูกค้าเป้าหมายแล้ว คาดว่าผู้ที่จะได้รับผลกระทบมากกว่าใครเพื่อนก็เห็นจะเป็น ห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง และห้างสรรพสินค้าพาต้า ปิ่นเกล้า ซึ่งช่วงๆ หลังมานี้ทั้ง 2 ห้างฯ นี้ก็ได้มีการปรับตัวมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของการปรับเลย์เอาท์ กลยุทธ์ทางการตลาด และด้วยแม่เหล็กของเทสโก้ โลตัส ที่มีความครบครันมากกว่า และมีจุดขายในเรื่องราคาที่ถูกและเป็นจุดแข็งสำหรับในส่วนไฮเปอร์มาร์เก็ตก็จะยิ่งเป็นตัวที่ช่วยลูกค้าในย่านนี้หันมาหา เทสโก้ โลตัส ได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ ในส่วนของพื้นที่เช่าของ เทสโก้ โลตัส ที่ชั้นล่างของพาต้า ปิ่นเกล้า นั้นเชื่อว่า เทสโก้ โลตัส ก็จะยังคงไว้ เนื่องจากอยู่คนละฝั่งถนนกัน และที่ผ่านมาก็มีตัวเลขยอดขายที่น่าพอใจ ส่วนที่ว่าเมื่อลูกค้าเข้ามาใช้บริการที่ เทสโก้ โลตัส ที่เปิดอยู่ที่ พาต้า หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่า พาต้า ปิ่นเกล้า จะมีแม่เหล็กที่แข็งแรงพอที่จูงใจลูกค้าได้หรือไม่
ส่วนกรณีของ เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า นั้น แหล่งข่าวรายนี้ระบุว่า น่าจะได้รับผลประทบจากการสยายปีกเข้ามาในย่านนี้ของ เทสโก้ โลตัส น้อยมาก ไม่เพียงเฉพาะความครบเครื่องของเซ็นทรัล ที่มีทั้งในส่วนของพลาซ่าที่มีร้านค้าต่างๆ เปิดเต็มพื้นที่แล้วก็ยังมีห้างสรรพสินค้า โรงหนัง และ ซูเปอร์มาร์เก็ต ที่เป็นแม็กเน็ตที่แข็งแกร่งและจะตรึงลูกค้าให้ลูกค้ามาใช้บริการได้เช่นเดิม
"ด้วยกำลังซื้อในย่านนี้ที่มีค่อนข้างมาก ตอนนี้ร้านค้าบางส่วนที่เปิดให้บริการอยู่ที่เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ก็ได้ขยับขยายไปเปิดที่เทสโก้ โลตัส ด้วยเช่นกัน" แหล่งข่าวรายนี้ กล่าว
ขณะที่ผู้บริหารระดับสูงของเทสโก้ โลตัส บอกกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า สำหรับสาขานี้จะมีรายได้จากการเช่าพื้นที่ 50% และอีก 50% จะมาจากยอดขายในส่วนของไฮเปอร์มาร์เก็ต แตกต่างจากไฮเปอร์มาร์เก็ตสาขาอื่นของเทสโก้ โลตัส ที่รายได้จากการเช่าพื้นที่จะมีแค่ 40% เท่านั้น
ผู้บริหารรายนี้ยังเล่าให้ฟังด้วยว่า ก่อนหน้าที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ได้ซอฟต์ลอนช์มาตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคมที่ผ่านมา ผลปรากฏว่ามียอดขายเป็นที่น่าพอใจ เฉพาะยอดขายในไฮเปอร์มาร์เก็ตอย่างเดียวเฉลี่ยวันละ 4 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขยอดขายที่บรรดาผู้บริหารของเทสโก้ โลตัส ภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
นี่อาจจะเป็นผลงานชิ้นโบแดงของเทสโก้ โลตัส สำหรับช่วงเทศกาลส่งท้ายปลายปี
ที่สำคัญ ธุรกิจโมเดลนี้ของเทสโก้ โลตัส คงจะไม่ได้มีเพียงสาขานี้สาขาเดียวอย่างแน่นอน
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0207
-
- Verified User
- โพสต์: 497
- ผู้ติดตาม: 0
modern trade and household
โพสต์ที่ 109
ได้ประโยชน์จากแนวโน้มฟื้นตัวของการจับจ่ายใช้สอยและ พ.ร.บ. ค้าปลีกค้าส่งที่ถูกเลื่อน
พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ถูกเลื่อนไปไม่มีกำหนด
พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดหลังจากที่พิจารณาไม่ทันในรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลเป็นบวกต่อกลุ่มพาณิชย์ โดยร้านค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ยังสามารถขยายสาขาและเปิด-ปิดได้ตามปกติโดยไม่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของ พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจฯ ซึ่งให้ผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ต้องขออนุญาตประกอบธุรกิจจากกระทรวงพาณิชย์ ได้แก่ 1) ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 1,000 ตารางเมตรขึ้นไป (อาจมีการแก้ไขเป็น 2,000 ตารางเมตรขึ้นไป) 2) ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่มียอดขายตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป (อาจแก้ไขเป็น 2,000 ล้านบาทขึ้นไป) และ 3) ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่ซื้อสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาหรือสิทธิอย่างอื่น โดยจะมีการกำหนดนิยามสินค้าที่จำหน่ายในธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง รวมไปถึงกำหนดที่ตั้งและระยะเวลาเปิด-ปิดที่ชัดเจนสำหรับธุรกิจแต่ละประเภท เช่น ดีสเคาท์สโตร์ แคชแอนด์แครี่ ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ เป็นต้น โดยจะมีคณะกรรมการกลางกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง (กกค.) ทำหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์การกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง เช่น กำหนดสถานที่ตั้ง ระยะห่างจากตัวเมือง และวันเวลาเปิด-ปิด
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและการอุปโภคบริโภคมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น
ในปี 2550 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence Index : CCI) ปรับตัวลดลงมาโดยตลอดจนอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 6 ปีซึ่งเป็นผลมาจากภาวะความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง อย่างไรก็ดีเราเชื่อว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและการอุปโภคบริโภคในประเทศจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นตามเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้นรวมทั้งการเลือกตั้งและมีรัฐบาลใหม่ในปี 2551
มีมุมมองเป็นบวกต่อกลุ่มค้าปลีก
เรามีความเห็นเป็นบวกต่อกลุ่มค้าปลีกเนื่องจากแนวโน้มการฟื้นตัวของการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในปี 2251 และการที่ พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง ถูกเลื่อนออกไป โดยหุ้นที่เราแนะนำ ได้แก่ CPALL ซึ่งยังมีแนวโน้มเติบโตจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายสาขาเดิมของร้านเซเว่นอิเลฟเว่นที่มีครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศถึง 4,199 สาขา ณ สิ้นเดือนกันยายน 2550 และการเปิดสาขาใหม่ 400-450 สาขา/ปี ประกอบกับการขายธุรกิจค้าปลีกคือโลตัสที่ประเทศจีนซึ่งมีผลขาดทุนออกไปซึ่งจะส่งผลให้ CPALL มีกำไรเติบโตก้าวกระโดดในปี 2551 สำหรับ HMPRO ก็เป็นหุ้นที่เราแนะนำเนื่องจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น การเปิดสาขาใหม่ 4-5 สาขาในปี 2551 มีรายได้เพิ่มเติมจากการจัดงาน Home Pro Expo และรายได้ค่าเช่า ส่วน BIGC ก็จะได้ประโยชน์จากการเปิดสาขาใหม่ไม่ต่ำกว่า 4 สาขาในปี 2551 รวมทั้งการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมซึ่งจะได้รับการผลักดันจากเศรษฐกิจและการจับจ่ายใช้สอยที่คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้น
พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ถูกเลื่อนไปไม่มีกำหนด
พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดหลังจากที่พิจารณาไม่ทันในรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลเป็นบวกต่อกลุ่มพาณิชย์ โดยร้านค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ยังสามารถขยายสาขาและเปิด-ปิดได้ตามปกติโดยไม่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของ พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจฯ ซึ่งให้ผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ต้องขออนุญาตประกอบธุรกิจจากกระทรวงพาณิชย์ ได้แก่ 1) ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 1,000 ตารางเมตรขึ้นไป (อาจมีการแก้ไขเป็น 2,000 ตารางเมตรขึ้นไป) 2) ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่มียอดขายตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป (อาจแก้ไขเป็น 2,000 ล้านบาทขึ้นไป) และ 3) ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่ซื้อสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาหรือสิทธิอย่างอื่น โดยจะมีการกำหนดนิยามสินค้าที่จำหน่ายในธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง รวมไปถึงกำหนดที่ตั้งและระยะเวลาเปิด-ปิดที่ชัดเจนสำหรับธุรกิจแต่ละประเภท เช่น ดีสเคาท์สโตร์ แคชแอนด์แครี่ ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ เป็นต้น โดยจะมีคณะกรรมการกลางกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง (กกค.) ทำหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์การกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง เช่น กำหนดสถานที่ตั้ง ระยะห่างจากตัวเมือง และวันเวลาเปิด-ปิด
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและการอุปโภคบริโภคมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น
ในปี 2550 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence Index : CCI) ปรับตัวลดลงมาโดยตลอดจนอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 6 ปีซึ่งเป็นผลมาจากภาวะความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง อย่างไรก็ดีเราเชื่อว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและการอุปโภคบริโภคในประเทศจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นตามเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้นรวมทั้งการเลือกตั้งและมีรัฐบาลใหม่ในปี 2551
มีมุมมองเป็นบวกต่อกลุ่มค้าปลีก
เรามีความเห็นเป็นบวกต่อกลุ่มค้าปลีกเนื่องจากแนวโน้มการฟื้นตัวของการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในปี 2251 และการที่ พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง ถูกเลื่อนออกไป โดยหุ้นที่เราแนะนำ ได้แก่ CPALL ซึ่งยังมีแนวโน้มเติบโตจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายสาขาเดิมของร้านเซเว่นอิเลฟเว่นที่มีครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศถึง 4,199 สาขา ณ สิ้นเดือนกันยายน 2550 และการเปิดสาขาใหม่ 400-450 สาขา/ปี ประกอบกับการขายธุรกิจค้าปลีกคือโลตัสที่ประเทศจีนซึ่งมีผลขาดทุนออกไปซึ่งจะส่งผลให้ CPALL มีกำไรเติบโตก้าวกระโดดในปี 2551 สำหรับ HMPRO ก็เป็นหุ้นที่เราแนะนำเนื่องจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น การเปิดสาขาใหม่ 4-5 สาขาในปี 2551 มีรายได้เพิ่มเติมจากการจัดงาน Home Pro Expo และรายได้ค่าเช่า ส่วน BIGC ก็จะได้ประโยชน์จากการเปิดสาขาใหม่ไม่ต่ำกว่า 4 สาขาในปี 2551 รวมทั้งการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมซึ่งจะได้รับการผลักดันจากเศรษฐกิจและการจับจ่ายใช้สอยที่คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 497
- ผู้ติดตาม: 0
modern trade and household
โพสต์ที่ 110
ห้างยักษ์โหมเคาต์ดาวน์ปั่นยอดขาย [31 ธ.ค. 50 - 00:17]
เทศกาลแห่งความสุข บรรยากาศยังคงคึกคัก ครึกครื้นต่อเนื่อง จากบรรดาห้างสรรพสินค้าน้อยใหญ่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ในย่านช็อปปิ้งสตรีท ใจกลางกรุงเทพฯ ตั้งแต่สี่แยกปทุมวัน ลากยาวตลอดถนนพระราม 1 ถึงสี่แยกราชประสงค์ จนถึงห้างดิ เอ็มโพเรียม จัดงานเคาต์ดาวน์ นับถอยหลังสู่ปีหนูทอง พร้อมรายการลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลส์ กระตุ้นกำลังซื้อทั้งคนไทยและชาวต่างชาติกันเต็มสตรีม จุดใหญ่ของการเคาต์ดาวน์ปีนี้ ที่มีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลก เห็นจะเป็นที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ที่บรรดาผู้ประกอบการค้าปลีกในย่านดังกล่าว อาทิ ศูนย์การค้าเกษร เซ็นทรัลเวิลด์ เซน อัมรินทร์เอราวัณแบงค็อก สยามพารากอน สยามดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์ และสยามเซ็นเตอร์ จัดงานเคาต์ดาวน์ต้อนรับปี 2008 กันอย่างคึกคัก พร้อมสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวและนักช็อปปิ้ง ด้วยการร่วมกันทุ่มงบกว่า 20 ล้านบาท ติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิด รวม 65 กล้องในที่สาธารณะจุดต่างๆ ทั่วย่านราชประสงค์ และเตรียมทีมรักษาความปลอดภัยจำนวนกว่า 1,000 คน ให้อยู่ตามจุดต่างๆ หลังสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ พัฒนาปรับปรุงย่านดังกล่าว ที่มีพื้นที่รวมกว่า 1,000,000 ตารางเมตร และพื้นที่สำหรับช็อปปิ้งกว่า 600,000 ตารางเมตร รวมกว่า 900 ร้านค้าต่อเนื่อง เพื่อยกระดับย่านราชประสงค์ให้เทียบเท่ามาตรฐานโลก เป็นศูนย์กลางการค้าและไลฟ์สไตล์แห่งใหม่ของภูมิภาค
เพื่อหวังดึงนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เข้ามาเที่ยวและช็อปปิ้งซื้อสินค้าไทยและสินค้าแบรนด์เนมระดับโลกในประเทศไทย หลังเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย ช็อปปิ้งซื้อสินค้าไทยและสินค้าแบรนด์เนมในย่านดังกล่าว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวในกลุ่มยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี จีน ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ และอาหรับ หลังจากที่ชะลอและหยุดเดินทางเข้ามาเที่ยวตั้งแต่ต้นปี 50 ที่เกิดเหตุการณ์วางระเบิดกลางกรุงหลายแห่ง โดยหันไปเที่ยวประเทศอื่นแทนปัจจุบันจำนวนนักท่อง เที่ยวในย่านราชประสงค์มีประมาณ 1.5 ล้านคนต่อปี ปี 50 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 15% จากปี 49 เนื่องจากมีการคมนาคมสะดวก มีรถไฟฟ้าบีทีเอส มีศูนย์การค้าขนาดใหญ่หลายแห่ง อาทิ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และมีแหล่งช็อปปิ้งหลากหลาย
นายณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เคาต์ดาวน์ส่งท้ายปี 50 ต้อนรับปี 51 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ได้ร่วมกับซีเอ็ม อีเว้นท์ ของบริษัท ซีเอ็ม ออร์กาไนเซอร์, ททท.และ กทม. ทุ่มงบกว่า 50 ล้านบาท จัดเคาต์ดาวน์รูปแบบใหม่ Hands Bangkok Countdown 2008 @ Central World ที่สะท้อนถึงการหลอมรวมพลังใจ ความสามัคคี และการรวมพลังใจของชาวไทย ถวายพระพรในหลวง เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่ลานเซ็นทรัลเวิลด์สแควร์
โดยปีนี้จัดในรูปแบบเฟสติวัล มีเป้าหมายว่าจะจัดให้เป็นงานเคาต์ดาวน์ดีที่สุดในอาเซียน หรือเดอะเบสต์เคาต์ดาวน์ปาร์ตี้ในอาเซียน คาดว่าวันที่ 31 ธ.ค. จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจากทั่วโลกเดินทางเข้ามาร่วมงานเคาต์ดาวน์ไม่ต่ำกว่า 200,000 คน และมียอดการใช้จ่ายซื้อสินค้าภายในศูนย์เพิ่มขึ้นต่อคนไม่ต่ำกว่า 5,000 บาท จาก 2,000-3,000 บาท
อีกจุดคือ ที่บริเวณลานพาร์คพารากอน ด้านหน้าศูนย์การค้าสยามพารากอน ศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ นายเกรียงศักดิ์ ตันติพิภพ ผู้บริหารอาวุโสสายการตลาด บริษัท สยามพารากอน ดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวว่า ใช้งบกว่า 30 ล้านบาท จัดงานเคาต์ดาวน์ภายใต้ชื่อ สิงค์ พาร์คไลฟ์! 08 บางกอก ฟรีซเคาต์ดาวน์ ในวันที่ 31 ธ.ค. 50 ภายใต้คอนเซปต์ที่ต้องการกระตุ้นจิตสำนึกให้คนไทยตระหนักถึงความสำคัญ ของภาวะโลกร้อน และรับรู้ว่าภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบต่อทุกคนในโลก สิ่งที่ทางบริษัทให้ความสำคัญมากที่สุด สำหรับการจัดงานในปีนี้คือความปลอดภัย จึงได้ใช้งบกว่า 10 ล้านบาท เพิ่มการติดตั้งกล้องซีซีทีวี ซึ่งปัจจุบันมีกล้องทั้งสิ้นกว่า 100 ตัว เพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์ได้รอบด้านมากขึ้น
แต่ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่ของรางวัล คือ The River คอนโดมิเนียมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา, รถยนต์ Alphard Hybrid, ตั๋วเครื่องบินของสายการบินสิงคโปร์ แอร์ไลน์, เพชร และโทรศัพท์มือถือโฟนวัน จากรายการส่งเสริมการขาย 55 Million Thanks ที่จัดเตรียมไว้ให้สำหรับลูกค้าที่เข้าร่วมงานได้ร่วมลุ้นจนถึงวันที่ 23 ม.ค. 51นางชฎาทิพ จูตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม-พิวรรธน์ ผู้บริหารศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์ กล่าวว่า ปีนี้ศูนย์การค้าทั้ง 2 แห่งได้ร่วมเฉลิมฉลองด้วยการทุ่มงบกว่า 20 ล้านบาท ตกแต่งศูนย์การค้าทั้งภายในและภายนอก โดยสยามดิสคัฟเวอรี่ เน้นกระแสลดภาวะโลกร้อน ใช้วัสดุรีไซเคิล อาทิ กระป๋องพลาสติก และกระดาษรีไซเคิลมาทำเป็นต้นคริสต์มาส ขณะที่สยามเซ็นเตอร์ปีนี้ใช้คอนเซปต์ พิงค์ คริสต์มาสพร้อมทำรายการโปรโมชั่น แจกของรางวัลใหญ่ อาทิ ตั๋วเครื่องบินไป-กลับฮ่องกงพร้อมที่พักฟรี คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือ เครื่องเล่นไอพอด ไอทัช และรางวัลจากผู้เช่าในศูนย์ เป็นต้น ให้กับลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าภายในศูนย์การค้าทั้ง 2 แห่งทุกวัน วันละ 10 รางวัล ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 50-6 ม.ค. 51 ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวถือว่าประสบความสำเร็จเกินคาด ยอดการซื้อสินค้าของร้านค้าเช่าเติบโตมากกว่า 30% ต่อวัน มีลูกค้าหมุนเวียนเข้า-ออกศูนย์การค้าทั้ง 2 แห่งไม่ต่ำกว่า 100,00 คนต่อวัน มีการใช้จ่ายต่อคนต่อครั้งมากกว่า 6,000-7,000 บาท จาก 4,000 บาทเทศกาลต้อนรับปีใหม่กับสีสัน บรรยากาศ ที่บรรดาห้างสรรพสินค้าขนาดยักษ์ได้ทุ่มทุนสร้างความยิ่งใหญ่ตระการตา อย่างน้อยก็ทำให้สภาพความหดหู่ ไร้ความหวังของคนไทยกับการแก่งแย่งช่วงชิงการจัดตั้งรัฐบาล ที่น่าเบื่อหน่ายให้มีความคึกคักได้บ้าง.
เทศกาลแห่งความสุข บรรยากาศยังคงคึกคัก ครึกครื้นต่อเนื่อง จากบรรดาห้างสรรพสินค้าน้อยใหญ่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ในย่านช็อปปิ้งสตรีท ใจกลางกรุงเทพฯ ตั้งแต่สี่แยกปทุมวัน ลากยาวตลอดถนนพระราม 1 ถึงสี่แยกราชประสงค์ จนถึงห้างดิ เอ็มโพเรียม จัดงานเคาต์ดาวน์ นับถอยหลังสู่ปีหนูทอง พร้อมรายการลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลส์ กระตุ้นกำลังซื้อทั้งคนไทยและชาวต่างชาติกันเต็มสตรีม จุดใหญ่ของการเคาต์ดาวน์ปีนี้ ที่มีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลก เห็นจะเป็นที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ที่บรรดาผู้ประกอบการค้าปลีกในย่านดังกล่าว อาทิ ศูนย์การค้าเกษร เซ็นทรัลเวิลด์ เซน อัมรินทร์เอราวัณแบงค็อก สยามพารากอน สยามดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์ และสยามเซ็นเตอร์ จัดงานเคาต์ดาวน์ต้อนรับปี 2008 กันอย่างคึกคัก พร้อมสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวและนักช็อปปิ้ง ด้วยการร่วมกันทุ่มงบกว่า 20 ล้านบาท ติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิด รวม 65 กล้องในที่สาธารณะจุดต่างๆ ทั่วย่านราชประสงค์ และเตรียมทีมรักษาความปลอดภัยจำนวนกว่า 1,000 คน ให้อยู่ตามจุดต่างๆ หลังสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ พัฒนาปรับปรุงย่านดังกล่าว ที่มีพื้นที่รวมกว่า 1,000,000 ตารางเมตร และพื้นที่สำหรับช็อปปิ้งกว่า 600,000 ตารางเมตร รวมกว่า 900 ร้านค้าต่อเนื่อง เพื่อยกระดับย่านราชประสงค์ให้เทียบเท่ามาตรฐานโลก เป็นศูนย์กลางการค้าและไลฟ์สไตล์แห่งใหม่ของภูมิภาค
เพื่อหวังดึงนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เข้ามาเที่ยวและช็อปปิ้งซื้อสินค้าไทยและสินค้าแบรนด์เนมระดับโลกในประเทศไทย หลังเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย ช็อปปิ้งซื้อสินค้าไทยและสินค้าแบรนด์เนมในย่านดังกล่าว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวในกลุ่มยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี จีน ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ และอาหรับ หลังจากที่ชะลอและหยุดเดินทางเข้ามาเที่ยวตั้งแต่ต้นปี 50 ที่เกิดเหตุการณ์วางระเบิดกลางกรุงหลายแห่ง โดยหันไปเที่ยวประเทศอื่นแทนปัจจุบันจำนวนนักท่อง เที่ยวในย่านราชประสงค์มีประมาณ 1.5 ล้านคนต่อปี ปี 50 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 15% จากปี 49 เนื่องจากมีการคมนาคมสะดวก มีรถไฟฟ้าบีทีเอส มีศูนย์การค้าขนาดใหญ่หลายแห่ง อาทิ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และมีแหล่งช็อปปิ้งหลากหลาย
นายณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เคาต์ดาวน์ส่งท้ายปี 50 ต้อนรับปี 51 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ได้ร่วมกับซีเอ็ม อีเว้นท์ ของบริษัท ซีเอ็ม ออร์กาไนเซอร์, ททท.และ กทม. ทุ่มงบกว่า 50 ล้านบาท จัดเคาต์ดาวน์รูปแบบใหม่ Hands Bangkok Countdown 2008 @ Central World ที่สะท้อนถึงการหลอมรวมพลังใจ ความสามัคคี และการรวมพลังใจของชาวไทย ถวายพระพรในหลวง เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่ลานเซ็นทรัลเวิลด์สแควร์
โดยปีนี้จัดในรูปแบบเฟสติวัล มีเป้าหมายว่าจะจัดให้เป็นงานเคาต์ดาวน์ดีที่สุดในอาเซียน หรือเดอะเบสต์เคาต์ดาวน์ปาร์ตี้ในอาเซียน คาดว่าวันที่ 31 ธ.ค. จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจากทั่วโลกเดินทางเข้ามาร่วมงานเคาต์ดาวน์ไม่ต่ำกว่า 200,000 คน และมียอดการใช้จ่ายซื้อสินค้าภายในศูนย์เพิ่มขึ้นต่อคนไม่ต่ำกว่า 5,000 บาท จาก 2,000-3,000 บาท
อีกจุดคือ ที่บริเวณลานพาร์คพารากอน ด้านหน้าศูนย์การค้าสยามพารากอน ศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ นายเกรียงศักดิ์ ตันติพิภพ ผู้บริหารอาวุโสสายการตลาด บริษัท สยามพารากอน ดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวว่า ใช้งบกว่า 30 ล้านบาท จัดงานเคาต์ดาวน์ภายใต้ชื่อ สิงค์ พาร์คไลฟ์! 08 บางกอก ฟรีซเคาต์ดาวน์ ในวันที่ 31 ธ.ค. 50 ภายใต้คอนเซปต์ที่ต้องการกระตุ้นจิตสำนึกให้คนไทยตระหนักถึงความสำคัญ ของภาวะโลกร้อน และรับรู้ว่าภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบต่อทุกคนในโลก สิ่งที่ทางบริษัทให้ความสำคัญมากที่สุด สำหรับการจัดงานในปีนี้คือความปลอดภัย จึงได้ใช้งบกว่า 10 ล้านบาท เพิ่มการติดตั้งกล้องซีซีทีวี ซึ่งปัจจุบันมีกล้องทั้งสิ้นกว่า 100 ตัว เพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์ได้รอบด้านมากขึ้น
แต่ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่ของรางวัล คือ The River คอนโดมิเนียมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา, รถยนต์ Alphard Hybrid, ตั๋วเครื่องบินของสายการบินสิงคโปร์ แอร์ไลน์, เพชร และโทรศัพท์มือถือโฟนวัน จากรายการส่งเสริมการขาย 55 Million Thanks ที่จัดเตรียมไว้ให้สำหรับลูกค้าที่เข้าร่วมงานได้ร่วมลุ้นจนถึงวันที่ 23 ม.ค. 51นางชฎาทิพ จูตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม-พิวรรธน์ ผู้บริหารศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์ กล่าวว่า ปีนี้ศูนย์การค้าทั้ง 2 แห่งได้ร่วมเฉลิมฉลองด้วยการทุ่มงบกว่า 20 ล้านบาท ตกแต่งศูนย์การค้าทั้งภายในและภายนอก โดยสยามดิสคัฟเวอรี่ เน้นกระแสลดภาวะโลกร้อน ใช้วัสดุรีไซเคิล อาทิ กระป๋องพลาสติก และกระดาษรีไซเคิลมาทำเป็นต้นคริสต์มาส ขณะที่สยามเซ็นเตอร์ปีนี้ใช้คอนเซปต์ พิงค์ คริสต์มาสพร้อมทำรายการโปรโมชั่น แจกของรางวัลใหญ่ อาทิ ตั๋วเครื่องบินไป-กลับฮ่องกงพร้อมที่พักฟรี คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือ เครื่องเล่นไอพอด ไอทัช และรางวัลจากผู้เช่าในศูนย์ เป็นต้น ให้กับลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าภายในศูนย์การค้าทั้ง 2 แห่งทุกวัน วันละ 10 รางวัล ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 50-6 ม.ค. 51 ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวถือว่าประสบความสำเร็จเกินคาด ยอดการซื้อสินค้าของร้านค้าเช่าเติบโตมากกว่า 30% ต่อวัน มีลูกค้าหมุนเวียนเข้า-ออกศูนย์การค้าทั้ง 2 แห่งไม่ต่ำกว่า 100,00 คนต่อวัน มีการใช้จ่ายต่อคนต่อครั้งมากกว่า 6,000-7,000 บาท จาก 4,000 บาทเทศกาลต้อนรับปีใหม่กับสีสัน บรรยากาศ ที่บรรดาห้างสรรพสินค้าขนาดยักษ์ได้ทุ่มทุนสร้างความยิ่งใหญ่ตระการตา อย่างน้อยก็ทำให้สภาพความหดหู่ ไร้ความหวังของคนไทยกับการแก่งแย่งช่วงชิงการจัดตั้งรัฐบาล ที่น่าเบื่อหน่ายให้มีความคึกคักได้บ้าง.
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news02/01/07
โพสต์ที่ 111
ยักษ์ค้าปลีกกำไรเพิ่ม 8% เร่งแผนขยายสาขา
2 มกราคม พ.ศ. 2551 11:43:00
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ภาพรวมธุรกิจค้าปลีกปี 2550 เผชิญปัจจัยลบเกือบตลอดทั้งปี ทำให้ยอดขายของผู้ประกอบการหลายแห่งอยู่ในภาวการณ์ถดถอยไม่เว้นแม้แต่รายใหญ่อย่างกลุ่มเซ็นทรัลรีเทล ที่ยอมรับว่าอัตราการเติบโตของยอดขายพลาดเป้า เติบโตต่ำสุดในรอบหลาย 10 ปี เหลือตัวเลขหลักเดียว แต่ร้านค้าปลีกที่เน้นจำหน่ายสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีพ อย่างกลุ่มซูเปอร์เซ็นเตอร์ ไฮเปอร์มาร์เก็ต ยังสามารถสร้างยอดขายและผลกำไรได้ดี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเครือข่ายสาขาใหม่ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งเครื่องมือทางการตลาดต่างๆ โปรโมชั่นลดแลกแจกแถมที่เข้มข้นกว่าเดิมเพื่อกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยในระบบ
จากข้อมูลงบการเงินเปรียบเทียบ 9 เดือน ปี 2550-2549 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ พบว่า บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านค้าปลีก "บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์" มีรายได้รวม 52,022 ล้านบาท เติบโต 7.49% จากช่วงเดียวกันของปี 2549 ที่มีรายได้รวม 48,399 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,695 ล้านบาท เติบโต 8.40% จากช่วงเดียวกันของปี 2549 มีกำไรสุทธิ 1,564 ล้านบาท
นายอีฟ เบรบ็อง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ กล่าวว่า ยอดขายที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายของสาขาเดิมและสาขาใหม่ที่เปิดขึ้นในปี 2550 จำนวน 4 สาขา คือ ลำพูน สมุย ชลบุรี และบุรีรัมย์ รวมทั้งแผนการตลาดเชิงรุก โดยเฉพาะการจัดโปรโมชั่น "ช้อปบิ๊กซี...ลุ้นรวยทองคำ หนัก 150 บาท" ในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา กระตุ้นตลาดได้มาก
บิ๊กซี ยังมีรายได้ค่าเช่าและค่าบริการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาส 3 ปีที่ผ่านมา มีรายได้จากค่าเช่าและค่าบริการรวม 673 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน 9.8% เป็นเพราะจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
แนวโน้มการเติบโตของยอดขายและกำไรของบิ๊กซีในปี 2550 ยังคงอยู่ในทิศทางที่ดีตามแผนการเปิดสาขาใหม่ที่เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปีนี้ นางสาวจริยา จิราธิวัฒน์ รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ กล่าวว่า บริษัทเตรียมขยายสาขาเพิ่ม 8 แห่งในปีหน้า โดย 6 แห่งจะเป็นสาขาขนาดกลางพื้นที่ขาย 4,500-6,000 ตร.ม.ส่วนอีก 2 แห่งเป็นสาขาขนาดมาตรฐาน หรือประมาณ 10,000 ตร.ม.
แม็คโครยอดขายเพิ่ม 8.50%
ศูนย์ค้าส่งแม็คโคร เป็นอีกหนึ่งบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มบริการพาณิชย์ ซึ่งเน้นจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในลักษณะขายส่งชำระเงินสดที่มียอดขายเติบโตสูงสวนกระแสเศรษฐกิจชะลอตัว จากข้อมูลงบการเงินเปรียบเทียบ 9 เดือน ปี 2550-2549 พบว่า บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารศูนย์ค้าส่ง "แม็คโคร" มีรายได้รวม 45,540 ล้านบาท เติบโต 8.50% จากช่วงเดียวกันของปี 2549 ที่มีรายได้รวม 41,973 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 899 ล้านบาท เติบโต 6.94% จากช่วงเดียวกันของปี 2549 มีกำไรสุทธิ 841 ล้านบาท
การเติบโตของยอดขายมาจากการเปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้น 2 แห่ง คือ สระแก้ว และสมุย รวมถึงการปรับแผนกต่างๆ ในสาขาเก่าทำให้ยอดขายจากสาขาเดิมเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน จากก่อนหน้านี้แม็คโครหยุดขยายสาขาใหม่นานถึง 2 ปีเต็ม (2548-2549) และอาศัยจังหวะนั้นในการปรับตัว สร้างจุดยืนทางธุรกิจให้แข็งแกร่ง เลี่ยงที่จะชนกับยักษ์ใหญ่ค้าปลีกข้ามชาติอย่างเทสโก้ โลตัส บิ๊กซี คาร์ฟูร์ โดยหันมาให้ความสำคัญในความเป็น "ค้าส่ง" พร้อมสร้างจุดขายกลุ่มสินค้าอาหารสด อาหารแห้ง อาหารแช่แข็ง รองรับนโยบาย "แหล่งรวมสินค้าและบริการด้านอาหารครบวงจร" จับกลุ่มลูกค้าโรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร ซึ่งมีอัตราขยายตัวสูง รวมถึงการวางกลยุทธ์ใหม่สวมบทพี่เลี้ยงโชห่วย ผ่านโครงการ "แม็คโคร มิตรแท้โชห่วย" พร้อมแผนการขยายสาขาใหม่ที่มองว่าระหว่างปี 2550-2551 จะลงทุนเพิ่มอีก 10 แห่ง มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท
นางสุชาดา อิทธิจารุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเติบโตของยอดขายอย่างต่อเนื่องของแม็คโครเป็นเพราะการเน้นชัดในความเป็นศูนย์ค้าส่งระบบสมาชิกแบบ "ชำระเงินสด และบริการตนเอง" ลูกค้าของแม็คโคร คือ โชห่วย และผู้ประกอบการธุรกิจ ไม่ใช่ผู้บริโภคที่อยู่ปลายทาง ทำให้แม็คโครโดนกระแสต่อต้านค้าปลีกข้ามชาติไม่มาก
"ในภาวะแบบนี้ต้องถือว่าเราอยู่ในสถานการณ์ที่ดี และค่อนข้างแฮปปี้กับผลงานที่โชว์ฟอร์มได้ดีเกินกว่าเป้าหมาย ซึ่งแม็คโครมีนโยบายที่ค่อนข้างชัดเจนว่าตัวเลขการเติบโตต้องมาจากการโตที่สาขาเดิมด้วย ไม่ใช่มาจากสาขาเปิดใหม่อย่างเดียว" ผู้บริหารแม็คโคร กล่าว
กลุ่มอาหารสดและอาหารแห้ง สร้างยอดขายเป็นสัดส่วน 80% ซึ่งช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาสร้างยอดขายเติบโตถึง 30% นอกจากนี้แม็คโครมีฐานลูกค้าหลักเป็นร้านโชห่วย 60% และกลุ่มโรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร 15% ซึ่งกลุ่มหลังนี้มีการเติบโตสูง เช่นเดียวกับปริมาณการซื้อต่อครั้งสูงมาก ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญผลักดันให้แม็คโครสามารถรักษาการเติบโตใน "แนวดิ่ง" หรือการเพิ่มยอดขายสาขาเดิมไว้ได้อย่างโดดเด่น
http://www.bangkokbiznews.com/2008/01/0 ... sid=216770
2 มกราคม พ.ศ. 2551 11:43:00
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ภาพรวมธุรกิจค้าปลีกปี 2550 เผชิญปัจจัยลบเกือบตลอดทั้งปี ทำให้ยอดขายของผู้ประกอบการหลายแห่งอยู่ในภาวการณ์ถดถอยไม่เว้นแม้แต่รายใหญ่อย่างกลุ่มเซ็นทรัลรีเทล ที่ยอมรับว่าอัตราการเติบโตของยอดขายพลาดเป้า เติบโตต่ำสุดในรอบหลาย 10 ปี เหลือตัวเลขหลักเดียว แต่ร้านค้าปลีกที่เน้นจำหน่ายสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีพ อย่างกลุ่มซูเปอร์เซ็นเตอร์ ไฮเปอร์มาร์เก็ต ยังสามารถสร้างยอดขายและผลกำไรได้ดี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเครือข่ายสาขาใหม่ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งเครื่องมือทางการตลาดต่างๆ โปรโมชั่นลดแลกแจกแถมที่เข้มข้นกว่าเดิมเพื่อกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยในระบบ
จากข้อมูลงบการเงินเปรียบเทียบ 9 เดือน ปี 2550-2549 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ พบว่า บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านค้าปลีก "บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์" มีรายได้รวม 52,022 ล้านบาท เติบโต 7.49% จากช่วงเดียวกันของปี 2549 ที่มีรายได้รวม 48,399 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,695 ล้านบาท เติบโต 8.40% จากช่วงเดียวกันของปี 2549 มีกำไรสุทธิ 1,564 ล้านบาท
นายอีฟ เบรบ็อง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ กล่าวว่า ยอดขายที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายของสาขาเดิมและสาขาใหม่ที่เปิดขึ้นในปี 2550 จำนวน 4 สาขา คือ ลำพูน สมุย ชลบุรี และบุรีรัมย์ รวมทั้งแผนการตลาดเชิงรุก โดยเฉพาะการจัดโปรโมชั่น "ช้อปบิ๊กซี...ลุ้นรวยทองคำ หนัก 150 บาท" ในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา กระตุ้นตลาดได้มาก
บิ๊กซี ยังมีรายได้ค่าเช่าและค่าบริการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาส 3 ปีที่ผ่านมา มีรายได้จากค่าเช่าและค่าบริการรวม 673 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน 9.8% เป็นเพราะจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
แนวโน้มการเติบโตของยอดขายและกำไรของบิ๊กซีในปี 2550 ยังคงอยู่ในทิศทางที่ดีตามแผนการเปิดสาขาใหม่ที่เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปีนี้ นางสาวจริยา จิราธิวัฒน์ รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ กล่าวว่า บริษัทเตรียมขยายสาขาเพิ่ม 8 แห่งในปีหน้า โดย 6 แห่งจะเป็นสาขาขนาดกลางพื้นที่ขาย 4,500-6,000 ตร.ม.ส่วนอีก 2 แห่งเป็นสาขาขนาดมาตรฐาน หรือประมาณ 10,000 ตร.ม.
แม็คโครยอดขายเพิ่ม 8.50%
ศูนย์ค้าส่งแม็คโคร เป็นอีกหนึ่งบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มบริการพาณิชย์ ซึ่งเน้นจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในลักษณะขายส่งชำระเงินสดที่มียอดขายเติบโตสูงสวนกระแสเศรษฐกิจชะลอตัว จากข้อมูลงบการเงินเปรียบเทียบ 9 เดือน ปี 2550-2549 พบว่า บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารศูนย์ค้าส่ง "แม็คโคร" มีรายได้รวม 45,540 ล้านบาท เติบโต 8.50% จากช่วงเดียวกันของปี 2549 ที่มีรายได้รวม 41,973 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 899 ล้านบาท เติบโต 6.94% จากช่วงเดียวกันของปี 2549 มีกำไรสุทธิ 841 ล้านบาท
การเติบโตของยอดขายมาจากการเปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้น 2 แห่ง คือ สระแก้ว และสมุย รวมถึงการปรับแผนกต่างๆ ในสาขาเก่าทำให้ยอดขายจากสาขาเดิมเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน จากก่อนหน้านี้แม็คโครหยุดขยายสาขาใหม่นานถึง 2 ปีเต็ม (2548-2549) และอาศัยจังหวะนั้นในการปรับตัว สร้างจุดยืนทางธุรกิจให้แข็งแกร่ง เลี่ยงที่จะชนกับยักษ์ใหญ่ค้าปลีกข้ามชาติอย่างเทสโก้ โลตัส บิ๊กซี คาร์ฟูร์ โดยหันมาให้ความสำคัญในความเป็น "ค้าส่ง" พร้อมสร้างจุดขายกลุ่มสินค้าอาหารสด อาหารแห้ง อาหารแช่แข็ง รองรับนโยบาย "แหล่งรวมสินค้าและบริการด้านอาหารครบวงจร" จับกลุ่มลูกค้าโรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร ซึ่งมีอัตราขยายตัวสูง รวมถึงการวางกลยุทธ์ใหม่สวมบทพี่เลี้ยงโชห่วย ผ่านโครงการ "แม็คโคร มิตรแท้โชห่วย" พร้อมแผนการขยายสาขาใหม่ที่มองว่าระหว่างปี 2550-2551 จะลงทุนเพิ่มอีก 10 แห่ง มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท
นางสุชาดา อิทธิจารุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเติบโตของยอดขายอย่างต่อเนื่องของแม็คโครเป็นเพราะการเน้นชัดในความเป็นศูนย์ค้าส่งระบบสมาชิกแบบ "ชำระเงินสด และบริการตนเอง" ลูกค้าของแม็คโคร คือ โชห่วย และผู้ประกอบการธุรกิจ ไม่ใช่ผู้บริโภคที่อยู่ปลายทาง ทำให้แม็คโครโดนกระแสต่อต้านค้าปลีกข้ามชาติไม่มาก
"ในภาวะแบบนี้ต้องถือว่าเราอยู่ในสถานการณ์ที่ดี และค่อนข้างแฮปปี้กับผลงานที่โชว์ฟอร์มได้ดีเกินกว่าเป้าหมาย ซึ่งแม็คโครมีนโยบายที่ค่อนข้างชัดเจนว่าตัวเลขการเติบโตต้องมาจากการโตที่สาขาเดิมด้วย ไม่ใช่มาจากสาขาเปิดใหม่อย่างเดียว" ผู้บริหารแม็คโคร กล่าว
กลุ่มอาหารสดและอาหารแห้ง สร้างยอดขายเป็นสัดส่วน 80% ซึ่งช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาสร้างยอดขายเติบโตถึง 30% นอกจากนี้แม็คโครมีฐานลูกค้าหลักเป็นร้านโชห่วย 60% และกลุ่มโรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร 15% ซึ่งกลุ่มหลังนี้มีการเติบโตสูง เช่นเดียวกับปริมาณการซื้อต่อครั้งสูงมาก ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญผลักดันให้แม็คโครสามารถรักษาการเติบโตใน "แนวดิ่ง" หรือการเพิ่มยอดขายสาขาเดิมไว้ได้อย่างโดดเด่น
http://www.bangkokbiznews.com/2008/01/0 ... sid=216770
-
- Verified User
- โพสต์: 497
- ผู้ติดตาม: 0
modern trade and household
โพสต์ที่ 112
จับตาค้าปลีก เปิดเกมรุกปีหนู-ผุดโมเดลใหม่สู้
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 1 มกราคม 2551 18:38 น.
จับตาธุรกิจค้าปลีกปีหนู ค่ายยักษ์เร่งระดมเปิดตัวโมเดลใหม่ชัดเจน หลังชิมลางปีที่แล้วหลายค่าย หลายรูปแบบ ทั้ง ไลฟ์สไตล์มอลล์ คอมมูนิตี้มอลล์ ของเทสโก้โลตัส ขณะที่เซ็นทรัลลงสนามคอมมูนิตี้มอลล์เต็มตัว ด้านบิ๊กซีก็โหมโรงหยั่งขาสู่สเปเชียลตี้สโตร์ ปั้นร้านเพรียว เต็มตัวปีนื้เหมือนกัน ส่วนเซเว่นฯเตรียมรุกหนักร้านขายยาเอ็กซ์ตร้า ธุรกิจค้าปลีกในปี 2551 จะเป็นอีกปีหนึ่งที่น่าจับตามองถึง ความเคลื่อนไหวของผู้ประกอบการรายใหญ่ๆ ทั้งของไทยและต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นโมเดิร์นเทรดหรือห้างสรรพสินค้าหรือแม้แต่ คอนวีเนียนสโตร์ ที่แต่ละเซ็กเม้นท์ถือว่ามีรายใหญ่ยึดตลาดอยู่แล้วทั้งสิ้น
ประเด็นที่น่าสนใจคือ ร่างพ.ร.บ.ค้าปลีกฯ..... ที่ยังไม่สามารถคลอดออกมาใช้ได้ ทั้งๆที่มีการคาดการณ์กันว่าจะสำเร็จตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ก็ล้มเหลว เนื่องจากมีแรงต่อต้านจากรายใหญ่ในวงการที่หวั่นว่าจะได้รับผลกระทบจากพ.ร.บ.ฯนี้ จึงมีการชะลอกันมาตลอด อีกทั้ง ยังมีเสียงแตกกันเองในคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ของ สนช. ชุดก่อนด้วย อย่างไรก็ตาม ภาพการแข่งขันในเชิงธุรกิจของผู้ประกอบการภาคเอกชน ก็ยังจำเป็นต้องงัดกลยุทธ์ห้ำหั่นต่อสู้กันไม่หยุด ซึ่งกลยุทธ์หนึ่งที่น่าสนใจคือ การขยายตัวของโมเดลใหม่ๆของยักษ์ใหญ่ที่จะเริ่มเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นในปีนี้ เหตุผลหนึ่งเนื่องจากว่า ยักษ์ใหญ่ต่างๆเหล่านี้ก็หวั่นเกรงการคุมเข้มจากพ.ร.บ.ค้าปลีกฯ จึงทำให้ต้องเร่งรีบผุดโมเดลใหม่ๆมาขยายฐานไว้ก่อน และการผุดโมเดลใหม่ๆก็ล้วนแต่เป็นขนาดเล็กๆที่หวังจะเข้าสู่ชุมชนมากขึ้นหากไม่กล่าวถึงรายใหญ่อย่างเทสโก้โลตัสก่อน ก็คงจะดูกระไรอยู่ เพราะค่ายนี้ขยับเขยื้อนทีไร ค้าปลีกพวกหญ้าแพรกก็แหลกลาญทุกครั้งไป ปีนี้ จะเป็นปีที่ค่ายเทสโก้โลตัสจะเคลื่อนทัพเปิดตัวรูปแบบค้าปลีกโมเดลใหม่ๆมากขึ้นแน่นอน ทั้งรูปแบบใหญ่และแบบเล็ก เพื่อหวังที่จะขยายฐานตลาดและรักษาความเป็นผู้นำตลาดให้ได้เทสโก้โลตัสประเดิมเปิดศึกนำร่องเมื่อปลายปีที่แล้ว ก่อนที่จะเปิดศักราชใหม่ปี 2551 มี่ก่กี่วันเท่านั้นเอง โดยเปิดตัวโมเดลใหม่ที่เรียกว่า เทสโก้โลตัส ไลฟ์สไตล์ ชอปปิ้งมอลล์ ที่ถนนปิ่นเกล้า ด้วยการซื้อตึกเก่าเมอร์รี่คิงส์ ปิ่นเกล้า และทำการปรับปรุง(รีโนเวต)ให้ใหม่ด้วยงบประมาณไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท และเปิดบริการแล้วเมื่อเดือนธันวาคมปี 2550
โมเดลใหม่นี้ของเทสโกโลตัสครั้งนี้ แม้ว่าจะไม่ได้ใหม่ดสดซิงๆในตลาดค้าปลีกเมืองไทยเราก็ตาม แต่ก็ถือว่าใหม่สำหรับเทสโก้โลตัสในไทย ที่จะสร้างความน่าสะพรึงกลัวไม่น้อยสาขาใหม่ที่ปิ่นเกล้านี้ เป็นอาคารสูง 5 ชั้น ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกๆของเทสโก้ก็ได้ที่ใช้อาคารเก่าเป็นตึกสูงเกินกว่า 2 ชั้น จากปรกติที่เป็นอาคาร 2 ชั้นเป็นหลักและอยู่ในแนวราบ บนพื้นที่รวมกว่า 60,000 ตารงเมตร(ตร.ม.) แบ่งเป็นพื้นที่ขายของเทสโก้โลตัสเองรวมกับพื้นที่พลาซ่า กว่า 8,000 ตร.ม. ซึ่งเป็นไซส์ขนาดพอประมาณ ส่วนพื้นที่ร้านค้าเช่าประมาณ 16,000 ตร.ม. (รวมพวก ฟู้ดคอร์ท ร้านอาหารแบรนด์เนม คาราโอเกะ ร้านไอทีและสถาบันการเงิน) ทั้งนี้เทสโก้เองก็เล็งที่จะเปิดไลฟ์สไตล์ชอปปิ้งมอลล์อีกหลายแห่งเหมือนกัน หมากต่อไป เทสโก้โลตัสเตรียมเปิดตัว โมเดล คอมมูนิตี้มอลล์ ซึ่งเป็นโมเดลที่มาแรงอย่างมากตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งคอมมูนิตี้มอลล์แห่งแรกของเทสโก้เตรียมเปิดที่ และในไตรมาสแรกปีนี้ก็เตรียมเปิด เทสโก้โลตัสซึ่งเป็นแบบกรีนสโตร์สาขาที่ 2 นครปฐม ซึ่งจะเป็นสาขาประหยัดพลังงานสมบูรณ์แบบอย่างไรก็ตาม นายกวิณ สัณฑกุล กรรมการและประธานบริหารฝ่ายการตลาด บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารเทสโก้โลตัส ย้ำว่า รูปแบบใหม่ๆของเทสโก้โลตัส จะเกิดขึ้นแบบไหนนั้น ขึ้นอยู่กับทำเลและความเหมาะสมของพื้นที่ที่ได้มา และทำเล รวมทั้งพฤติกรรมของผู้บริโภคด้วยว่าต้องการอะไร สังเกตได้ว่า เทสโก้โลตัสพยายามที่จะฉีกหนีตัวเองจากการเป็นเพียงแค่ โมเดิร์นเทรด เพื่อหวังรุกเข้าสู่การเป็นผู้พัฒนาที่ดินอย่างเต็มตัว ในรูปแบบคล้ายๆกับศูนย์การค้ามากขึ้น ในรูปแบบชอปปิ้งมอล์หรือคอมมูนิตี้มอลล์
เช่นเดียวกับค่ายเซ็นทรัลกรุ๊ป ที่เริ่มหันมาเอาดีทางด้านการพัฒนา คอมมูนิตี้มอลล์บ้างแล้ว และปีนี้ก็จะเริ่มบุกหนักหลังจากที่เริ่มปูทางเมื่อปีที่แล้ว
ก่อนหน้านี้ นายลิขิต ฟ้าปโยชนม์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือซีอาร์ซีในเครือเซ็นทรัล ได้กล่าวเอาไว้ถึงทิศทางการลงทุนเปิดค้าปลีกแบบใหม่ว่า มีแผนที่จะพัฒนาค้าปลีก 2 โมเดลใหม่ คือ คอมมูนิตี้มอลล์ กับรีเทลเทนเม้นต์
ทั้งนี้ กลุ่มเซ็นทรัลเปิดตัวคอมูนิตี้มอลล์แห่งแรกที่อุดมสุข ซึ่งถือว่าเป็นย่านที่มีประชากรหนาแน่นและมีกำลังซื้อสูงพอสมควร มีหมู่บ้านอยู่รายล้อมจำนวนมาก เซ็นทรัลวางแผนที่จะเปิดคอมมูนิตี้มอลล์แบบนี้อย่างน้อยๆ ปีละ 3 แห่ง ซึ่งถือว่าเป็นเกมรุกที่น่ากลัวไม่น้อยเหมือนกัน ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าโมเดลคอมมูนิตี้มลอล์นี้เป็นที่ตอบรับของตลาดค้าปลีกในไทยอย่างมาก ไม่เพียงแต่สองค่ายใหญ่ทางด้านโมเดิร์นเทรดอย่างเทสโก้โลตัสกับห้างสรรพสินค้าอย่างเซ็นทรัลเท่านั้น แต่พี่เอื้อยแห่งวงการคอนวีเนียนสโตร์อย่าง
เซเว่นอีเลฟเว่นก็ใช่ย่อย เพราะหันมาเอาดีทางด้านธุรกิจเฉพาะอย่างมากขึ้น นอกเหนือจากร้านหนังสือบุ๊คสไมล์ ร้านคัดสรร เป็นต้น ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมากขึ้นส่วนร้านเดิมนั้นอย่างร้านคัดสรรที่เป็นร้านจำหน่ายอาหารเป็นหลักก็มีแผนที่จะขยายต่ออีกเช่นเดียวกับร้านบุ๊คสไมล์ที่จำหน่ายหนังสือ โดยเซเว่นอีเลฟเว่นได้ทดลองเข้าสู่ธุรกิจร้านขายยาในชื่อร้านว่า เอ็กซ์ตร้า ซึ่งประเดิมสาขาแรกเปิดบริการที่ย่านถนนจรัลสนิทวงศ์ไปแล้ว เป็นร้านที่ขายยาโดยเฉพาะ ซึ่งหากเซเว่นฯเอาจริงแล้ว ก็น่ากลัวว่า ร้านเอ็กซ์ตร้า จะสยายปีกอย่างรวดเร็วและกระแทกธุกริจเชนร้านขายยาและร้านหมอตี๋อย่างแน่นอน
สำหรับค่ายบิ๊กซี ก็ฉีกแนวออกมาสู่ธุรกิจสเปเชียลตี้สโตร์ เป็นครั้งแรกด้วยการปั้นร้าน เพรียว เพื่อรุกธุรกิจเฮลท์แอนด์บิวตี้ ซึ่งประเดิมเปิดสาขาแรกที่ บิ๊กซีสาขาหางดงจังหวัดเชียงใหม่เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว โดยสินค้าที่จำหน่ายในร้านมีทั้ง ยา ผลิตภัณฑ์ความงาม อาหารเสริม เพื่อจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่รักสุขภาพ สเปเชียลตี้แบบนี้มีคู่แข่งโดยตรงไม่กี่รายเช่น ร้านบู๊ทส์ ร้านวัตสัน ที่เป็นเชนใหญ่ๆระดับอินเตอร์ การที่บิ๊กซีขยายตัวเข้มาในสนามนี้ หากเทียบในแง่ของตัวแบรนด์แล้วยังห่างชั้นกันมาก แต่หากมองไปที่ความพร้อมด้านเงินทุน ประสบการณ์ค้าปลีกแล้ว ยังด่วนที่จะสรุปว่า เพรียว ของบิ๊กซี จะสู้ได้หรือไม่ ถือเป็นการเปิดเกมรุกที่น่าสนใจกว่าครั้งที่ผ่านๆมาของบิ๊กซีที่พยายามเปิดตัวโมเดลใหม่ๆ ก่อนหน้านี้โมเดลใหม่อย่าง ร้านลีดเดอร์ไพร้ซ์ ก็เกิดขึ้น แต่เป็นร้านที่ขายของเฉพาะเฮาส์แบรนด์ของบิ๊กซีเอง แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร กระทั่งมีการปรับตัวหลายครั้ง แต่ในที่สุดบิ๊กซีก็เตรียมที่จะปิดฉากร้านลีดเดอร์ไพร้ซ์ลง และปรับเป็นร้าน มินิบิ๊กซีแทน ซึ่งก็เป็นพัฒนาการอีกขั้นหนึ่ง ในการลดขนาดของบิ๊กซีแบบใหญ่ลงมา เน้นการขายสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน แต่มินิบิ๊กซีสาขาแรกที่เปิดที่อุดมสุข ก็ยังเป็นการทดลอง ส่วนสาขาใหม่ก็ยังไม่ได้เกิดขึ้นตามมาอีก ภาพการแข่งขันในตลาดรวมค้าปลีกปี 2551 นี้ ยังคงแข่งขันกันรุนแรงไม่แพ้ปี 2550 ที่ผ่านมา การขยายตัวโมเดลใหม่ถือเป็นอีกสีสันหนึ่งในการเพิ่มดีกรีการแข่งขัน ขณะที่โมเดลเดิมของแต่ละค่ายก็ยังคงมีการขยายตัวต่อไปแบบไม่หยุดหย่อน
http://www.norsorpor.com/go2.php?t=mg&u ... 0000155705
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 1 มกราคม 2551 18:38 น.
จับตาธุรกิจค้าปลีกปีหนู ค่ายยักษ์เร่งระดมเปิดตัวโมเดลใหม่ชัดเจน หลังชิมลางปีที่แล้วหลายค่าย หลายรูปแบบ ทั้ง ไลฟ์สไตล์มอลล์ คอมมูนิตี้มอลล์ ของเทสโก้โลตัส ขณะที่เซ็นทรัลลงสนามคอมมูนิตี้มอลล์เต็มตัว ด้านบิ๊กซีก็โหมโรงหยั่งขาสู่สเปเชียลตี้สโตร์ ปั้นร้านเพรียว เต็มตัวปีนื้เหมือนกัน ส่วนเซเว่นฯเตรียมรุกหนักร้านขายยาเอ็กซ์ตร้า ธุรกิจค้าปลีกในปี 2551 จะเป็นอีกปีหนึ่งที่น่าจับตามองถึง ความเคลื่อนไหวของผู้ประกอบการรายใหญ่ๆ ทั้งของไทยและต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นโมเดิร์นเทรดหรือห้างสรรพสินค้าหรือแม้แต่ คอนวีเนียนสโตร์ ที่แต่ละเซ็กเม้นท์ถือว่ามีรายใหญ่ยึดตลาดอยู่แล้วทั้งสิ้น
ประเด็นที่น่าสนใจคือ ร่างพ.ร.บ.ค้าปลีกฯ..... ที่ยังไม่สามารถคลอดออกมาใช้ได้ ทั้งๆที่มีการคาดการณ์กันว่าจะสำเร็จตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ก็ล้มเหลว เนื่องจากมีแรงต่อต้านจากรายใหญ่ในวงการที่หวั่นว่าจะได้รับผลกระทบจากพ.ร.บ.ฯนี้ จึงมีการชะลอกันมาตลอด อีกทั้ง ยังมีเสียงแตกกันเองในคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ของ สนช. ชุดก่อนด้วย อย่างไรก็ตาม ภาพการแข่งขันในเชิงธุรกิจของผู้ประกอบการภาคเอกชน ก็ยังจำเป็นต้องงัดกลยุทธ์ห้ำหั่นต่อสู้กันไม่หยุด ซึ่งกลยุทธ์หนึ่งที่น่าสนใจคือ การขยายตัวของโมเดลใหม่ๆของยักษ์ใหญ่ที่จะเริ่มเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นในปีนี้ เหตุผลหนึ่งเนื่องจากว่า ยักษ์ใหญ่ต่างๆเหล่านี้ก็หวั่นเกรงการคุมเข้มจากพ.ร.บ.ค้าปลีกฯ จึงทำให้ต้องเร่งรีบผุดโมเดลใหม่ๆมาขยายฐานไว้ก่อน และการผุดโมเดลใหม่ๆก็ล้วนแต่เป็นขนาดเล็กๆที่หวังจะเข้าสู่ชุมชนมากขึ้นหากไม่กล่าวถึงรายใหญ่อย่างเทสโก้โลตัสก่อน ก็คงจะดูกระไรอยู่ เพราะค่ายนี้ขยับเขยื้อนทีไร ค้าปลีกพวกหญ้าแพรกก็แหลกลาญทุกครั้งไป ปีนี้ จะเป็นปีที่ค่ายเทสโก้โลตัสจะเคลื่อนทัพเปิดตัวรูปแบบค้าปลีกโมเดลใหม่ๆมากขึ้นแน่นอน ทั้งรูปแบบใหญ่และแบบเล็ก เพื่อหวังที่จะขยายฐานตลาดและรักษาความเป็นผู้นำตลาดให้ได้เทสโก้โลตัสประเดิมเปิดศึกนำร่องเมื่อปลายปีที่แล้ว ก่อนที่จะเปิดศักราชใหม่ปี 2551 มี่ก่กี่วันเท่านั้นเอง โดยเปิดตัวโมเดลใหม่ที่เรียกว่า เทสโก้โลตัส ไลฟ์สไตล์ ชอปปิ้งมอลล์ ที่ถนนปิ่นเกล้า ด้วยการซื้อตึกเก่าเมอร์รี่คิงส์ ปิ่นเกล้า และทำการปรับปรุง(รีโนเวต)ให้ใหม่ด้วยงบประมาณไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท และเปิดบริการแล้วเมื่อเดือนธันวาคมปี 2550
โมเดลใหม่นี้ของเทสโกโลตัสครั้งนี้ แม้ว่าจะไม่ได้ใหม่ดสดซิงๆในตลาดค้าปลีกเมืองไทยเราก็ตาม แต่ก็ถือว่าใหม่สำหรับเทสโก้โลตัสในไทย ที่จะสร้างความน่าสะพรึงกลัวไม่น้อยสาขาใหม่ที่ปิ่นเกล้านี้ เป็นอาคารสูง 5 ชั้น ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกๆของเทสโก้ก็ได้ที่ใช้อาคารเก่าเป็นตึกสูงเกินกว่า 2 ชั้น จากปรกติที่เป็นอาคาร 2 ชั้นเป็นหลักและอยู่ในแนวราบ บนพื้นที่รวมกว่า 60,000 ตารงเมตร(ตร.ม.) แบ่งเป็นพื้นที่ขายของเทสโก้โลตัสเองรวมกับพื้นที่พลาซ่า กว่า 8,000 ตร.ม. ซึ่งเป็นไซส์ขนาดพอประมาณ ส่วนพื้นที่ร้านค้าเช่าประมาณ 16,000 ตร.ม. (รวมพวก ฟู้ดคอร์ท ร้านอาหารแบรนด์เนม คาราโอเกะ ร้านไอทีและสถาบันการเงิน) ทั้งนี้เทสโก้เองก็เล็งที่จะเปิดไลฟ์สไตล์ชอปปิ้งมอลล์อีกหลายแห่งเหมือนกัน หมากต่อไป เทสโก้โลตัสเตรียมเปิดตัว โมเดล คอมมูนิตี้มอลล์ ซึ่งเป็นโมเดลที่มาแรงอย่างมากตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งคอมมูนิตี้มอลล์แห่งแรกของเทสโก้เตรียมเปิดที่ และในไตรมาสแรกปีนี้ก็เตรียมเปิด เทสโก้โลตัสซึ่งเป็นแบบกรีนสโตร์สาขาที่ 2 นครปฐม ซึ่งจะเป็นสาขาประหยัดพลังงานสมบูรณ์แบบอย่างไรก็ตาม นายกวิณ สัณฑกุล กรรมการและประธานบริหารฝ่ายการตลาด บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารเทสโก้โลตัส ย้ำว่า รูปแบบใหม่ๆของเทสโก้โลตัส จะเกิดขึ้นแบบไหนนั้น ขึ้นอยู่กับทำเลและความเหมาะสมของพื้นที่ที่ได้มา และทำเล รวมทั้งพฤติกรรมของผู้บริโภคด้วยว่าต้องการอะไร สังเกตได้ว่า เทสโก้โลตัสพยายามที่จะฉีกหนีตัวเองจากการเป็นเพียงแค่ โมเดิร์นเทรด เพื่อหวังรุกเข้าสู่การเป็นผู้พัฒนาที่ดินอย่างเต็มตัว ในรูปแบบคล้ายๆกับศูนย์การค้ามากขึ้น ในรูปแบบชอปปิ้งมอล์หรือคอมมูนิตี้มอลล์
เช่นเดียวกับค่ายเซ็นทรัลกรุ๊ป ที่เริ่มหันมาเอาดีทางด้านการพัฒนา คอมมูนิตี้มอลล์บ้างแล้ว และปีนี้ก็จะเริ่มบุกหนักหลังจากที่เริ่มปูทางเมื่อปีที่แล้ว
ก่อนหน้านี้ นายลิขิต ฟ้าปโยชนม์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือซีอาร์ซีในเครือเซ็นทรัล ได้กล่าวเอาไว้ถึงทิศทางการลงทุนเปิดค้าปลีกแบบใหม่ว่า มีแผนที่จะพัฒนาค้าปลีก 2 โมเดลใหม่ คือ คอมมูนิตี้มอลล์ กับรีเทลเทนเม้นต์
ทั้งนี้ กลุ่มเซ็นทรัลเปิดตัวคอมูนิตี้มอลล์แห่งแรกที่อุดมสุข ซึ่งถือว่าเป็นย่านที่มีประชากรหนาแน่นและมีกำลังซื้อสูงพอสมควร มีหมู่บ้านอยู่รายล้อมจำนวนมาก เซ็นทรัลวางแผนที่จะเปิดคอมมูนิตี้มอลล์แบบนี้อย่างน้อยๆ ปีละ 3 แห่ง ซึ่งถือว่าเป็นเกมรุกที่น่ากลัวไม่น้อยเหมือนกัน ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าโมเดลคอมมูนิตี้มลอล์นี้เป็นที่ตอบรับของตลาดค้าปลีกในไทยอย่างมาก ไม่เพียงแต่สองค่ายใหญ่ทางด้านโมเดิร์นเทรดอย่างเทสโก้โลตัสกับห้างสรรพสินค้าอย่างเซ็นทรัลเท่านั้น แต่พี่เอื้อยแห่งวงการคอนวีเนียนสโตร์อย่าง
เซเว่นอีเลฟเว่นก็ใช่ย่อย เพราะหันมาเอาดีทางด้านธุรกิจเฉพาะอย่างมากขึ้น นอกเหนือจากร้านหนังสือบุ๊คสไมล์ ร้านคัดสรร เป็นต้น ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมากขึ้นส่วนร้านเดิมนั้นอย่างร้านคัดสรรที่เป็นร้านจำหน่ายอาหารเป็นหลักก็มีแผนที่จะขยายต่ออีกเช่นเดียวกับร้านบุ๊คสไมล์ที่จำหน่ายหนังสือ โดยเซเว่นอีเลฟเว่นได้ทดลองเข้าสู่ธุรกิจร้านขายยาในชื่อร้านว่า เอ็กซ์ตร้า ซึ่งประเดิมสาขาแรกเปิดบริการที่ย่านถนนจรัลสนิทวงศ์ไปแล้ว เป็นร้านที่ขายยาโดยเฉพาะ ซึ่งหากเซเว่นฯเอาจริงแล้ว ก็น่ากลัวว่า ร้านเอ็กซ์ตร้า จะสยายปีกอย่างรวดเร็วและกระแทกธุกริจเชนร้านขายยาและร้านหมอตี๋อย่างแน่นอน
สำหรับค่ายบิ๊กซี ก็ฉีกแนวออกมาสู่ธุรกิจสเปเชียลตี้สโตร์ เป็นครั้งแรกด้วยการปั้นร้าน เพรียว เพื่อรุกธุรกิจเฮลท์แอนด์บิวตี้ ซึ่งประเดิมเปิดสาขาแรกที่ บิ๊กซีสาขาหางดงจังหวัดเชียงใหม่เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว โดยสินค้าที่จำหน่ายในร้านมีทั้ง ยา ผลิตภัณฑ์ความงาม อาหารเสริม เพื่อจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่รักสุขภาพ สเปเชียลตี้แบบนี้มีคู่แข่งโดยตรงไม่กี่รายเช่น ร้านบู๊ทส์ ร้านวัตสัน ที่เป็นเชนใหญ่ๆระดับอินเตอร์ การที่บิ๊กซีขยายตัวเข้มาในสนามนี้ หากเทียบในแง่ของตัวแบรนด์แล้วยังห่างชั้นกันมาก แต่หากมองไปที่ความพร้อมด้านเงินทุน ประสบการณ์ค้าปลีกแล้ว ยังด่วนที่จะสรุปว่า เพรียว ของบิ๊กซี จะสู้ได้หรือไม่ ถือเป็นการเปิดเกมรุกที่น่าสนใจกว่าครั้งที่ผ่านๆมาของบิ๊กซีที่พยายามเปิดตัวโมเดลใหม่ๆ ก่อนหน้านี้โมเดลใหม่อย่าง ร้านลีดเดอร์ไพร้ซ์ ก็เกิดขึ้น แต่เป็นร้านที่ขายของเฉพาะเฮาส์แบรนด์ของบิ๊กซีเอง แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร กระทั่งมีการปรับตัวหลายครั้ง แต่ในที่สุดบิ๊กซีก็เตรียมที่จะปิดฉากร้านลีดเดอร์ไพร้ซ์ลง และปรับเป็นร้าน มินิบิ๊กซีแทน ซึ่งก็เป็นพัฒนาการอีกขั้นหนึ่ง ในการลดขนาดของบิ๊กซีแบบใหญ่ลงมา เน้นการขายสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน แต่มินิบิ๊กซีสาขาแรกที่เปิดที่อุดมสุข ก็ยังเป็นการทดลอง ส่วนสาขาใหม่ก็ยังไม่ได้เกิดขึ้นตามมาอีก ภาพการแข่งขันในตลาดรวมค้าปลีกปี 2551 นี้ ยังคงแข่งขันกันรุนแรงไม่แพ้ปี 2550 ที่ผ่านมา การขยายตัวโมเดลใหม่ถือเป็นอีกสีสันหนึ่งในการเพิ่มดีกรีการแข่งขัน ขณะที่โมเดลเดิมของแต่ละค่ายก็ยังคงมีการขยายตัวต่อไปแบบไม่หยุดหย่อน
http://www.norsorpor.com/go2.php?t=mg&u ... 0000155705
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news04/01/08
โพสต์ที่ 113
หุ้นกลุ่มค้าปลีกวิ่งแรงข้ามปี
โบรกการันตีหุ้นกลุ่มค้าปลีกวิ่งแรงข้ามปีหลังดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ย. ล่าสุดกระเตื้องขึ้นชัดเจน คาดกำไรทั้งกลุ่มปี 51 เติบโตสูงถึง 46.4% อานิสงส์รัฐบาลใหม่เกิด เศรษฐกิจฟื้นตัว ส่วนหุ้นเด่นผลงานเข้าตายังหนีไม่พ้น CPALL และ HMPRO จากค่าพีอีเรโชที่ต่ำติดดินอัพไซด์เหลือเพียบแนะ ซื้อ รับผลกำไรโตก้าวกระโดด
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ไซรัส จำกัด (มหาชน) เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มพาณิชย์ หลังการบริโภคภาคเอกชนเดือน พ.ย. ดีขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (Consumer Confidence Index - CCI) ในเดือน ต.ค. จะปรับตัวลงจากเดือนก่อนหน้าแต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขณะที่ตัวเลขดัชนีการบริโภค ภาคเอกชน (Private Consumption Index PCI) ล่าสุดเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน (+3.3% m-m) และต่อเนื่อง
นอกจากนี้ดัชนีชี้วัดการบริโภคอื่นๆ เช่น ยอดขายรถยนต์ ยอดขายซีเมนต์ การใช้จ่ายด้านโฆษณา และภาษี VAT เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นเช่นกัน เชื่อว่าดัชนีทั้งสองจะมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่องชัดเจนหลังการเลือกตั้งที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจค้าปลีกเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับประโยชน์จากทิศทางที่ดีขึ้นดังกล่าว โดยเฉพาะหลังจาก พรบ.ค้าปลีกค้าส่งไม่ สามารถบังคับใช้เป็นกฎหมายได้ทันในรัฐบาลชุดนี้ เชื่อว่าราคาหุ้นในกลุ่มค้าปลีก (BIGC, CP7-11, HMPRO, และ MAKRO) จะปรับตัวดีขึ้นจากนี้เป็นต้นไป หลังจากที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตลาดมากนับในปี 2550 (SET +26.2% ขณะที่ SET Commerce +16.2%)
อย่างไรก็ดีการที่ร่างพรบ. ค้าปลีกค้าส่งตกไปจะเป็นผลดีกับ CPALL มากที่สุดเพราะหากร่าง พรบ. ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ จะกระทบกับผู้ประกอบการที่มีแผนขยายสาขามากที่สุด ซึ่งในบรรดาผู้ประกอบการทั้งหมด CPALL มีการขยายสาขาต่อ ปีมากที่สุด และหลังจากที่ ครม. มีมติอนุมัติร่าดังกล่าวไปตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค. 2550 ราคาหุ้น CPALL ตกลงมากที่สุด ถึง 21.5% จากจุดสูงสุด 11.40 บาทเป็น 8.95 บาท ขณะที่หุ้นตัวอื่นในกลุ่มปรับตัวลงประมาณ 12% - 15%
สำหรับช่วงระยะ 2 ปีนี้ (ปี 2550 - 2551) หลายบริษัทยังคงมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง หากเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงแล้ว พบว่าในระยะ 2 ปีนี้ HMPRO ขยายสาขาเพิ่มมากที่สุด ขณะที่ CP7-11 ขยายสาขาปีละ 10% - 11% คงที่ ส่วน BIGC และ MAKRO ขยายสาขาน้อยกว่า
ขณะที่แนวโน้มรายได้และกำไรของกลุ่มจะดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/2550 โดยเชื่อว่ารายได้และกำไรของกลุ่มธุรกิจค้าปลีกจะ เริ่มพลิกฟื้นดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/2550 เป็นต้นไป ทั้งเนื่องจากไตรมาส 4 เป็น Peak season ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ดีขึ้น รวมทั้งดัชนีการบริโภคภาคเอกชนที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดีคาดว่ากำไรของทั้งกลุ่มในปี 2551 โต 46.4% โดย CPALL โตก้าวกระโดดที่สุดปี 2550 ถือว่าเป็นปีที่ยากลำบาก สำหรับหลายๆ ธุรกิจ โดยคาดว่ารายได้และกำไรในปี 2550 ของทั้งอุตสาหกรรมจะเติบโตเพียง 8.5% และ 11.0% โดยคาดว่า CPALL จะมีกำไรขยายตัวมากที่สุดในกลุ่มคือเติบโตถึง 24.4% ทั้งๆ ที่ธุรกิจ Lotus SuperCenter ในจีนขาดทุนเพิ่มขึ้น รองลงมาคือ HMPRO ที่คาดว่ากำไรจะเติบโต 10.3%
สำหรับปี 2551 คาดว่ากลุ่มธุรกิจค้าปลีกจะมีกำไรที่เติบโตสูงถึง 46.4% ซึ่งหลักๆ มาจากการขยายตัวของ CPALL หลังจากขายธุรกิจในจีนเสร็จสิ้นในเดือน พ.ค. 2551 หากไม่รวม CPALL กำไรของทั้งกลุ่มก็ยังเติบโต 14.6% สูงกว่าปีก่อนที่เติบโต 6.4%
ดังนั้นจึงประเมินว่า CPALL และ HMPRO เป็นหุ้น Top Picks ที่ให้น้ำหนักกลุ่มค้าปลีกมากกว่าตลาด เพราะการขยายตัวของกำไรที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น และการเติบโตดังกล่าวก็มาจากการใช้จ่ายในประเทศที่มีแนวโน้มดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา โดยไม่มีความเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจนอกประเทศเลย และหากพิจารณาจาก PE ในปี 2551 จะพบว่าหุ้นที่มี PE ถูก มากได้แก่ HMPRO และ CPALL คือประมาณ 12 เท่า และต่ำกว่า PE เฉลี่ยของกลุ่มที่ 14.0 เท่า
ขณะเดียวกันการ เติบโตของกำไรของ CPALL และ HMPRO ก็สูงกว่า BIGC และ MAKRO นอกจากนี้ หุ้นที่มี Upside มากที่สุดคือ HMPRO รองลงมาคือ CPALL ดังนั้นจึงเลือก CPALL และ HMPRO เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มนี้
http://www.thunhoon.com/home/
โบรกการันตีหุ้นกลุ่มค้าปลีกวิ่งแรงข้ามปีหลังดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ย. ล่าสุดกระเตื้องขึ้นชัดเจน คาดกำไรทั้งกลุ่มปี 51 เติบโตสูงถึง 46.4% อานิสงส์รัฐบาลใหม่เกิด เศรษฐกิจฟื้นตัว ส่วนหุ้นเด่นผลงานเข้าตายังหนีไม่พ้น CPALL และ HMPRO จากค่าพีอีเรโชที่ต่ำติดดินอัพไซด์เหลือเพียบแนะ ซื้อ รับผลกำไรโตก้าวกระโดด
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ไซรัส จำกัด (มหาชน) เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มพาณิชย์ หลังการบริโภคภาคเอกชนเดือน พ.ย. ดีขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (Consumer Confidence Index - CCI) ในเดือน ต.ค. จะปรับตัวลงจากเดือนก่อนหน้าแต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขณะที่ตัวเลขดัชนีการบริโภค ภาคเอกชน (Private Consumption Index PCI) ล่าสุดเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน (+3.3% m-m) และต่อเนื่อง
นอกจากนี้ดัชนีชี้วัดการบริโภคอื่นๆ เช่น ยอดขายรถยนต์ ยอดขายซีเมนต์ การใช้จ่ายด้านโฆษณา และภาษี VAT เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นเช่นกัน เชื่อว่าดัชนีทั้งสองจะมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่องชัดเจนหลังการเลือกตั้งที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจค้าปลีกเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับประโยชน์จากทิศทางที่ดีขึ้นดังกล่าว โดยเฉพาะหลังจาก พรบ.ค้าปลีกค้าส่งไม่ สามารถบังคับใช้เป็นกฎหมายได้ทันในรัฐบาลชุดนี้ เชื่อว่าราคาหุ้นในกลุ่มค้าปลีก (BIGC, CP7-11, HMPRO, และ MAKRO) จะปรับตัวดีขึ้นจากนี้เป็นต้นไป หลังจากที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตลาดมากนับในปี 2550 (SET +26.2% ขณะที่ SET Commerce +16.2%)
อย่างไรก็ดีการที่ร่างพรบ. ค้าปลีกค้าส่งตกไปจะเป็นผลดีกับ CPALL มากที่สุดเพราะหากร่าง พรบ. ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ จะกระทบกับผู้ประกอบการที่มีแผนขยายสาขามากที่สุด ซึ่งในบรรดาผู้ประกอบการทั้งหมด CPALL มีการขยายสาขาต่อ ปีมากที่สุด และหลังจากที่ ครม. มีมติอนุมัติร่าดังกล่าวไปตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค. 2550 ราคาหุ้น CPALL ตกลงมากที่สุด ถึง 21.5% จากจุดสูงสุด 11.40 บาทเป็น 8.95 บาท ขณะที่หุ้นตัวอื่นในกลุ่มปรับตัวลงประมาณ 12% - 15%
สำหรับช่วงระยะ 2 ปีนี้ (ปี 2550 - 2551) หลายบริษัทยังคงมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง หากเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงแล้ว พบว่าในระยะ 2 ปีนี้ HMPRO ขยายสาขาเพิ่มมากที่สุด ขณะที่ CP7-11 ขยายสาขาปีละ 10% - 11% คงที่ ส่วน BIGC และ MAKRO ขยายสาขาน้อยกว่า
ขณะที่แนวโน้มรายได้และกำไรของกลุ่มจะดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/2550 โดยเชื่อว่ารายได้และกำไรของกลุ่มธุรกิจค้าปลีกจะ เริ่มพลิกฟื้นดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/2550 เป็นต้นไป ทั้งเนื่องจากไตรมาส 4 เป็น Peak season ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ดีขึ้น รวมทั้งดัชนีการบริโภคภาคเอกชนที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดีคาดว่ากำไรของทั้งกลุ่มในปี 2551 โต 46.4% โดย CPALL โตก้าวกระโดดที่สุดปี 2550 ถือว่าเป็นปีที่ยากลำบาก สำหรับหลายๆ ธุรกิจ โดยคาดว่ารายได้และกำไรในปี 2550 ของทั้งอุตสาหกรรมจะเติบโตเพียง 8.5% และ 11.0% โดยคาดว่า CPALL จะมีกำไรขยายตัวมากที่สุดในกลุ่มคือเติบโตถึง 24.4% ทั้งๆ ที่ธุรกิจ Lotus SuperCenter ในจีนขาดทุนเพิ่มขึ้น รองลงมาคือ HMPRO ที่คาดว่ากำไรจะเติบโต 10.3%
สำหรับปี 2551 คาดว่ากลุ่มธุรกิจค้าปลีกจะมีกำไรที่เติบโตสูงถึง 46.4% ซึ่งหลักๆ มาจากการขยายตัวของ CPALL หลังจากขายธุรกิจในจีนเสร็จสิ้นในเดือน พ.ค. 2551 หากไม่รวม CPALL กำไรของทั้งกลุ่มก็ยังเติบโต 14.6% สูงกว่าปีก่อนที่เติบโต 6.4%
ดังนั้นจึงประเมินว่า CPALL และ HMPRO เป็นหุ้น Top Picks ที่ให้น้ำหนักกลุ่มค้าปลีกมากกว่าตลาด เพราะการขยายตัวของกำไรที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น และการเติบโตดังกล่าวก็มาจากการใช้จ่ายในประเทศที่มีแนวโน้มดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา โดยไม่มีความเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจนอกประเทศเลย และหากพิจารณาจาก PE ในปี 2551 จะพบว่าหุ้นที่มี PE ถูก มากได้แก่ HMPRO และ CPALL คือประมาณ 12 เท่า และต่ำกว่า PE เฉลี่ยของกลุ่มที่ 14.0 เท่า
ขณะเดียวกันการ เติบโตของกำไรของ CPALL และ HMPRO ก็สูงกว่า BIGC และ MAKRO นอกจากนี้ หุ้นที่มี Upside มากที่สุดคือ HMPRO รองลงมาคือ CPALL ดังนั้นจึงเลือก CPALL และ HMPRO เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มนี้
http://www.thunhoon.com/home/
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/01/08
โพสต์ที่ 114
ส่ง"เอ็กซ์เพรส"ในปั๊มบุกตจว. เทสโก้โลตัสทาบ"ซีเอ็ด"ชน7-11
ยักษ์ค้าปลีกลุยไม่ยั้ง "เทสโก้ โลตัส" กางแผนที่ขยายสาขาเพิ่ม ควงแขนปั๊มน้ำมันเอสโซ่เร่งปูพรม "โลตัส เอ็กซ์เพรส" ประกาศลุยต่อ มุงตางจังหวัด ลั่นครบ 350 แห่ง ภายในกุมภาพันธ์ 2551 แต่ยังอุบไต๋ตัวเลขสเต็ปถัดไป ทาบ "ซีเอ็ดฯ" ช่วยบริหารพื้นที่ขายหนังสือ พรอมชะลอการขยายสาขา ไฮเปอร์มาร์เก็ต เตรียมตัดริบบิ้นคอมมิวนิตี้มอลล์แห่งแรกปลายกุมภาพันธ์นี้ แม็กเนตครบเครื่อง สมิติเวชยึดพื้นที่เปิดคลินิกโมเดลใหม่
แม้ปี 2550 ที่ผ่านมา ยักษ์ใหญ่ด้านค้าปลีกอย่างเทสโก้ โลตัส จะถูกมรสุมหลายด้านโดยเฉพาะกับเรื่องของการต่อต้านการขยายสาขาเข้าไปยังหลายพื้นที่ เนื่องจากถูกมองว่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำลายธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมหรือโชห่วย แต่เทสโก้ โลตัส ก็ได้พยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบการขยายธุรกิจผ่านโมเดลต่างๆ อย่างหลากหลาย และโมเดลที่สร้างความฮือฮาและถูกกล่าวขานมากก็คือ โลตัส เอ็กซ์เพรส ที่นอกจากจะเปิดพ่วงไปกับปั๊มน้ำมัมเอสโซ่แล้ว ค้าปลีกยักษ์ใหญ่จากอังกฤษรายนี้ยังนำโมเดลนี้ขยายไปตามตรอก ซอก ซอย ในชุมชนต่างๆ และเปิดประกบเจ้าตลาดคอนวีเนี่ยนสโตร์ เซเว่นอีเลฟเว่น ชนิดไม่เกรงศักดิ์ศรี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ผ่านมาการแข่งขันระหว่างโลตัส เอ็กซ์เพรส และเซเว่นอีเลฟเว่น ในหลายๆ พื้นที่มีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งในส่วนของโลตัส เอ็กซ์เพรส จะมีการปรับตัวด้วยการนำบริการที่สอดรับกับความต้องการของลูกค้าเข้ามาเปิด อาทิ บริการของธนาคารพาณิชย์ เพิ่มมุมหนังสือ ฯลฯ ทำให้เซเว่นอีเลฟเว่นต้องหันมาใช้กลยุทธ์ในการเปิดสาขาเพิ่มในบริเวณใกล้เคียงเพื่อประกบ 2-3 สาขา
เปิดแผนขยายสาขา
แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเตม จำกัด กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงแผนขยายสาขาของเทสโก้ โลตัส ในปี 2551 นี้ว่า จะยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่องในทุก รูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสาขารูปแบบโลตัส เอ็กซ์เพรส ที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 325 สาขา บริษัทก็ยังมีแผนจะขยายสาขาออกไปอย่างต่อเนื่อง
ยกเว้นเพียงการขยายสาขาในรูปแบบไฮเปอร์ มาร์เก็ตที่ต้องใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ ที่อาจจะชะลอลงบ้าง ส่วนหนึ่งเนื่องจากที่ผ่านมาถูกต่อต้านมาโดยตลอดในหลายๆ พื้นที่ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะหยุดการก่อสร้างไปเลย เพราะกับสาขาที่ขออนุญาตไปแล้วก็จะยังคงเดินหน้าก่อสร้างไปตามปกติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สาขาล่าสุดที่เทสโก้ โลตัส เพิ่งเปิดให้บริการไปเมื่อวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมา คือ เทสโก้ โลตัส สาขาปิ่นเกล้า ภายใต้รูปแบบไลฟ์สไตล์มอลล์แห่งแรก และนับเป็นสาขาที่ 68 ของเทสโก้ โลตัส ภายใต้รูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ต และในเร็วๆ นี้ก็มีแผนจะเปิดเทสโก้ โลตัส สาขาศาลายา ซึ่งสาขาดังกล่าวนี้จะเป็นสาขาต้นแบบในการอนุรักษ์พลังงาน หรือกรีนสโตร์ และเป็นสาขาที่ 2 ของสาขากรีนสโตร์ ที่มีสาขาแรกอยู่ที่ถนนพระรามที่ 1
ด้านแหล่งข่าวจากวงการค้าปลีก แสดงความเห็นในเรื่องนี้กับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ผลจากการที่ร่างพระราชบัญญัติค้าปลีกค้าส่ง ไม่ได้มีการพิจารณาของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในรัฐบาลที่ผ่านมา เชื่อว่าจะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะยังทำให้ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ค่ายต่างๆ จะยังสามารถเดินหน้าขยายสาขาเพิ่มได้อย่างต่อเนื่องอีกระยะหนึ่ง และคากว่าผู้ประกอบการแต่ละค่ายก็จะมีโมเดลในการขยายสาขาเพื่อให้บริการในหลากหลายรูปแบบ
แหล่งข่าวรายนี้ กล่าวด้วยว่า หากย้อนกลับไปจะเห็นว่า ไม่เพียงเฉพาะการลงทุนเพื่อเปิดสาขาเพิ่มแล้ว ค้าปลีกรายใหญ่ยังมีรูปแบบของการร่วมมือกับผู้พัฒนาพื้นที่ในการเข้าไปเปิดให้บริการ หรือบางกรณีก็จะเป็นการไปเช่าพื้นที่จากผู้ประกอบการค้าปลีกในท้องถิ่นที่มีใบอนุญาตอยู่แล้วในการดำเนินการ
เดินหน้าปูพรมโลตัส เอ็กซ์เพรส
แหล่งข่าวรายเดิมยังกล่าวอีกว่า สำหรับสาขาโลตัส เอ็กซ์เพรส นั้น คาดว่าภายในปีปฏิทิน 2550 (1 มีนาคม 2550-29 กุมภาพันธ์ 2551) จะมีการขยายเพิ่มเติมอีกเพียง 25 สาขาเท่านั้น ก็จะครบตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือประมาณ 350 สาขาทั่วประเทศ โดยจะเน้นขยายสาขาให้ครอบคลุมบริเวณรอบนอกเมือง รวมทั้งขยายออกไปยังต่างจังหวัดให้มากขึ้นด้วย
แหล่งข่าวรายนี้ระบุด้วยว่า สำหรับพื้นที่ที่จะขยายไปมีความเป็นไปได้ที่จะเน้นการขยายตัวออกไปทางพื้นที่ภาคใต้ และภาคตะวันออก รวมถึงพื้นที่ภาคกลางบางส่วน ที่ยังมีโลตัส เอ็กซ์เพรส ไม่มากนัก ประกอบกับที่ผ่านมาการขยายสาขาของโลตัส เอ็กซ์เพรส จะมุ่งไปทางภาคเหนือ ค่อนข้างมาก และที่ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจโดยเฉพาะที่จังหวัดเชียงใหม่
อย่างไรก็ตาม สำหรับปีปฏิทิน 2551 (1 มีนาคม 2551-28 กุมภาพันธ์ 2552) โลตัส เอ็กซ์เพรส จะมีการขยายสาขาด้วยการเน้นเกาะไปกับปั๊มน้ำมันเอสโซ่ ที่มีสาขาไปทั่วประเทศ และจะเอื้อต่อการขยายสาขาของโลตัส เอ็กซ์เพรส ได้เป็นอย่างดี
"ในปีปฏิทิน 2551 ยังไม่มีการตั้งเป้าหมาย หรือกำหนดตัวเลขการขยายสาขาของโลตัส เอ็กซ์เพรส เอาไว้อย่างแน่ชัด และคงจะต้องรอ นโยบายที่ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง"
ทาบ "ซีเอ็ดฯ" บริหารมุมหนังสือ
ขณะที่แหล่งข่าวใกล้ชิดกับเทสโก้ โลตัส อีกราย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากการ แข่งขันกันอย่างรุนแรงระหว่างโลตัส เอ็กซ์เพรส และเซเว่นอีเลฟเว่น ซึ่งล่าสุดเกมการแข่งขันเปลี่ยนไปให้ฝ่ายโลตัส เอ็กซ์เพรส เป็นฝ่ายตั้งรับเนื่องจากถูกเซเว่นอีเลฟเว่นไล่เปิดสาขาประกบทั้งด้านหน้า ด้านข้างๆ นอกจากนี้ เซเว่นอีเลฟเว่นยังนำร้านหนังสือแบรนด์บุ๊กสไมล์เข้าไปเปิดตัว และล่าสุดก็ยังมีเคาน์เตอร์กาแฟสดแบรนด์คัดสรรเข้าไปเปิดให้บริการในบางสาขาด้วย
ขณะที่โลตัส เอ็กซ์เพรส มีการเตรียมปรับพื้นที่ให้บริการภายในของบางสาขาด้วยเช่นกัน โดยในพื้นที่ที่เป็นมุมหนังสือนั้นอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้บริหารร้านหนังสือซีเอ็ดฯ เพื่อให้เข้ามาบริหารจัดการให้ส่วนมุมที่ขายหนังสือ ส่วนพื้นที่ในส่วนของซีดีเพลง-หนัง ก็มีมืออาชีพเข้ามาบริหารให้ด้วยเช่นกัน
ตัดริบบิ้นคอมมิวนิตี้มอลล์กุมภาฯนี้
จากการสำรวจของผู้สื่อข่าว กรณีการเปิดตัวเทสโก้ โลตัส ในรูปแบบคอมมิวนิตี้มอลล์ ซึ่ง "ประชาชาติธุรกิจ" ได้ติดตามข่าวนี้มาอย่างต่อเนื่องนั้น พบว่ารูปแบบของโลตัสคอมมิวนิตี้มอลล์ สาขาแรกจะอยู่ที่ถนนสามัคคี ใกล้กับหมู่บ้าน นิชดาธานี ห่างจากเซเว่นอีเลฟเว่นเพียงไม่ถึง 500 เมตร โดยโครงการดังกล่าวนี้อยู่ระหว่างการ ก่อสร้างที่มีความคืบหน้าไปมาก และขณะนี้อยู่ระหว่างขึ้นโครงสร้างชั้นที่สอง
ขณะที่ผู้บริหารระดับสูงจากเทสโก้ โลตัส คาดว่า โลตัสคอมมิวนิตี้มอลล์แห่งนี้จะเปิดให้บริการได้ในปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับโลตัส คอมมิวนิตี้มอลล์สาขาดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 3 ไร่ สัญญาเช่าระยะยาว ประมาณ 25-30 ปี พื้นที่ส่วนหนึ่งจะเป็นโลตัส เอ็กซ์เพรส ประมาณ 300 ตารางเมตร ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 2,000 ตารางเมตร จะเป็นพื้นที่เช่าให้กับร้านแบรนด์ดังต่างๆ ทั้งร้านอาหาร การบริการ อาทิ ธนาคาร ร้านโทรศัพท์มือถือ โรงเรียนกวดวิชา ร้านบู๊ทส์ และที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ การเปิดตัว "เฮลท์ ชอยซ์ บาย สมิติเวช" คลินิกโมเดลใหม่ของโรงพยาบาลสมิติเวชซึ่งจะเปิดเป็นแห่งแรกอีกด้วย
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0207
ยักษ์ค้าปลีกลุยไม่ยั้ง "เทสโก้ โลตัส" กางแผนที่ขยายสาขาเพิ่ม ควงแขนปั๊มน้ำมันเอสโซ่เร่งปูพรม "โลตัส เอ็กซ์เพรส" ประกาศลุยต่อ มุงตางจังหวัด ลั่นครบ 350 แห่ง ภายในกุมภาพันธ์ 2551 แต่ยังอุบไต๋ตัวเลขสเต็ปถัดไป ทาบ "ซีเอ็ดฯ" ช่วยบริหารพื้นที่ขายหนังสือ พรอมชะลอการขยายสาขา ไฮเปอร์มาร์เก็ต เตรียมตัดริบบิ้นคอมมิวนิตี้มอลล์แห่งแรกปลายกุมภาพันธ์นี้ แม็กเนตครบเครื่อง สมิติเวชยึดพื้นที่เปิดคลินิกโมเดลใหม่
แม้ปี 2550 ที่ผ่านมา ยักษ์ใหญ่ด้านค้าปลีกอย่างเทสโก้ โลตัส จะถูกมรสุมหลายด้านโดยเฉพาะกับเรื่องของการต่อต้านการขยายสาขาเข้าไปยังหลายพื้นที่ เนื่องจากถูกมองว่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำลายธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมหรือโชห่วย แต่เทสโก้ โลตัส ก็ได้พยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบการขยายธุรกิจผ่านโมเดลต่างๆ อย่างหลากหลาย และโมเดลที่สร้างความฮือฮาและถูกกล่าวขานมากก็คือ โลตัส เอ็กซ์เพรส ที่นอกจากจะเปิดพ่วงไปกับปั๊มน้ำมัมเอสโซ่แล้ว ค้าปลีกยักษ์ใหญ่จากอังกฤษรายนี้ยังนำโมเดลนี้ขยายไปตามตรอก ซอก ซอย ในชุมชนต่างๆ และเปิดประกบเจ้าตลาดคอนวีเนี่ยนสโตร์ เซเว่นอีเลฟเว่น ชนิดไม่เกรงศักดิ์ศรี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ผ่านมาการแข่งขันระหว่างโลตัส เอ็กซ์เพรส และเซเว่นอีเลฟเว่น ในหลายๆ พื้นที่มีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งในส่วนของโลตัส เอ็กซ์เพรส จะมีการปรับตัวด้วยการนำบริการที่สอดรับกับความต้องการของลูกค้าเข้ามาเปิด อาทิ บริการของธนาคารพาณิชย์ เพิ่มมุมหนังสือ ฯลฯ ทำให้เซเว่นอีเลฟเว่นต้องหันมาใช้กลยุทธ์ในการเปิดสาขาเพิ่มในบริเวณใกล้เคียงเพื่อประกบ 2-3 สาขา
เปิดแผนขยายสาขา
แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเตม จำกัด กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงแผนขยายสาขาของเทสโก้ โลตัส ในปี 2551 นี้ว่า จะยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่องในทุก รูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสาขารูปแบบโลตัส เอ็กซ์เพรส ที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 325 สาขา บริษัทก็ยังมีแผนจะขยายสาขาออกไปอย่างต่อเนื่อง
ยกเว้นเพียงการขยายสาขาในรูปแบบไฮเปอร์ มาร์เก็ตที่ต้องใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ ที่อาจจะชะลอลงบ้าง ส่วนหนึ่งเนื่องจากที่ผ่านมาถูกต่อต้านมาโดยตลอดในหลายๆ พื้นที่ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะหยุดการก่อสร้างไปเลย เพราะกับสาขาที่ขออนุญาตไปแล้วก็จะยังคงเดินหน้าก่อสร้างไปตามปกติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สาขาล่าสุดที่เทสโก้ โลตัส เพิ่งเปิดให้บริการไปเมื่อวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมา คือ เทสโก้ โลตัส สาขาปิ่นเกล้า ภายใต้รูปแบบไลฟ์สไตล์มอลล์แห่งแรก และนับเป็นสาขาที่ 68 ของเทสโก้ โลตัส ภายใต้รูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ต และในเร็วๆ นี้ก็มีแผนจะเปิดเทสโก้ โลตัส สาขาศาลายา ซึ่งสาขาดังกล่าวนี้จะเป็นสาขาต้นแบบในการอนุรักษ์พลังงาน หรือกรีนสโตร์ และเป็นสาขาที่ 2 ของสาขากรีนสโตร์ ที่มีสาขาแรกอยู่ที่ถนนพระรามที่ 1
ด้านแหล่งข่าวจากวงการค้าปลีก แสดงความเห็นในเรื่องนี้กับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ผลจากการที่ร่างพระราชบัญญัติค้าปลีกค้าส่ง ไม่ได้มีการพิจารณาของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในรัฐบาลที่ผ่านมา เชื่อว่าจะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะยังทำให้ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ค่ายต่างๆ จะยังสามารถเดินหน้าขยายสาขาเพิ่มได้อย่างต่อเนื่องอีกระยะหนึ่ง และคากว่าผู้ประกอบการแต่ละค่ายก็จะมีโมเดลในการขยายสาขาเพื่อให้บริการในหลากหลายรูปแบบ
แหล่งข่าวรายนี้ กล่าวด้วยว่า หากย้อนกลับไปจะเห็นว่า ไม่เพียงเฉพาะการลงทุนเพื่อเปิดสาขาเพิ่มแล้ว ค้าปลีกรายใหญ่ยังมีรูปแบบของการร่วมมือกับผู้พัฒนาพื้นที่ในการเข้าไปเปิดให้บริการ หรือบางกรณีก็จะเป็นการไปเช่าพื้นที่จากผู้ประกอบการค้าปลีกในท้องถิ่นที่มีใบอนุญาตอยู่แล้วในการดำเนินการ
เดินหน้าปูพรมโลตัส เอ็กซ์เพรส
แหล่งข่าวรายเดิมยังกล่าวอีกว่า สำหรับสาขาโลตัส เอ็กซ์เพรส นั้น คาดว่าภายในปีปฏิทิน 2550 (1 มีนาคม 2550-29 กุมภาพันธ์ 2551) จะมีการขยายเพิ่มเติมอีกเพียง 25 สาขาเท่านั้น ก็จะครบตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือประมาณ 350 สาขาทั่วประเทศ โดยจะเน้นขยายสาขาให้ครอบคลุมบริเวณรอบนอกเมือง รวมทั้งขยายออกไปยังต่างจังหวัดให้มากขึ้นด้วย
แหล่งข่าวรายนี้ระบุด้วยว่า สำหรับพื้นที่ที่จะขยายไปมีความเป็นไปได้ที่จะเน้นการขยายตัวออกไปทางพื้นที่ภาคใต้ และภาคตะวันออก รวมถึงพื้นที่ภาคกลางบางส่วน ที่ยังมีโลตัส เอ็กซ์เพรส ไม่มากนัก ประกอบกับที่ผ่านมาการขยายสาขาของโลตัส เอ็กซ์เพรส จะมุ่งไปทางภาคเหนือ ค่อนข้างมาก และที่ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจโดยเฉพาะที่จังหวัดเชียงใหม่
อย่างไรก็ตาม สำหรับปีปฏิทิน 2551 (1 มีนาคม 2551-28 กุมภาพันธ์ 2552) โลตัส เอ็กซ์เพรส จะมีการขยายสาขาด้วยการเน้นเกาะไปกับปั๊มน้ำมันเอสโซ่ ที่มีสาขาไปทั่วประเทศ และจะเอื้อต่อการขยายสาขาของโลตัส เอ็กซ์เพรส ได้เป็นอย่างดี
"ในปีปฏิทิน 2551 ยังไม่มีการตั้งเป้าหมาย หรือกำหนดตัวเลขการขยายสาขาของโลตัส เอ็กซ์เพรส เอาไว้อย่างแน่ชัด และคงจะต้องรอ นโยบายที่ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง"
ทาบ "ซีเอ็ดฯ" บริหารมุมหนังสือ
ขณะที่แหล่งข่าวใกล้ชิดกับเทสโก้ โลตัส อีกราย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากการ แข่งขันกันอย่างรุนแรงระหว่างโลตัส เอ็กซ์เพรส และเซเว่นอีเลฟเว่น ซึ่งล่าสุดเกมการแข่งขันเปลี่ยนไปให้ฝ่ายโลตัส เอ็กซ์เพรส เป็นฝ่ายตั้งรับเนื่องจากถูกเซเว่นอีเลฟเว่นไล่เปิดสาขาประกบทั้งด้านหน้า ด้านข้างๆ นอกจากนี้ เซเว่นอีเลฟเว่นยังนำร้านหนังสือแบรนด์บุ๊กสไมล์เข้าไปเปิดตัว และล่าสุดก็ยังมีเคาน์เตอร์กาแฟสดแบรนด์คัดสรรเข้าไปเปิดให้บริการในบางสาขาด้วย
ขณะที่โลตัส เอ็กซ์เพรส มีการเตรียมปรับพื้นที่ให้บริการภายในของบางสาขาด้วยเช่นกัน โดยในพื้นที่ที่เป็นมุมหนังสือนั้นอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้บริหารร้านหนังสือซีเอ็ดฯ เพื่อให้เข้ามาบริหารจัดการให้ส่วนมุมที่ขายหนังสือ ส่วนพื้นที่ในส่วนของซีดีเพลง-หนัง ก็มีมืออาชีพเข้ามาบริหารให้ด้วยเช่นกัน
ตัดริบบิ้นคอมมิวนิตี้มอลล์กุมภาฯนี้
จากการสำรวจของผู้สื่อข่าว กรณีการเปิดตัวเทสโก้ โลตัส ในรูปแบบคอมมิวนิตี้มอลล์ ซึ่ง "ประชาชาติธุรกิจ" ได้ติดตามข่าวนี้มาอย่างต่อเนื่องนั้น พบว่ารูปแบบของโลตัสคอมมิวนิตี้มอลล์ สาขาแรกจะอยู่ที่ถนนสามัคคี ใกล้กับหมู่บ้าน นิชดาธานี ห่างจากเซเว่นอีเลฟเว่นเพียงไม่ถึง 500 เมตร โดยโครงการดังกล่าวนี้อยู่ระหว่างการ ก่อสร้างที่มีความคืบหน้าไปมาก และขณะนี้อยู่ระหว่างขึ้นโครงสร้างชั้นที่สอง
ขณะที่ผู้บริหารระดับสูงจากเทสโก้ โลตัส คาดว่า โลตัสคอมมิวนิตี้มอลล์แห่งนี้จะเปิดให้บริการได้ในปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับโลตัส คอมมิวนิตี้มอลล์สาขาดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 3 ไร่ สัญญาเช่าระยะยาว ประมาณ 25-30 ปี พื้นที่ส่วนหนึ่งจะเป็นโลตัส เอ็กซ์เพรส ประมาณ 300 ตารางเมตร ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 2,000 ตารางเมตร จะเป็นพื้นที่เช่าให้กับร้านแบรนด์ดังต่างๆ ทั้งร้านอาหาร การบริการ อาทิ ธนาคาร ร้านโทรศัพท์มือถือ โรงเรียนกวดวิชา ร้านบู๊ทส์ และที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ การเปิดตัว "เฮลท์ ชอยซ์ บาย สมิติเวช" คลินิกโมเดลใหม่ของโรงพยาบาลสมิติเวชซึ่งจะเปิดเป็นแห่งแรกอีกด้วย
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0207
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news17/01/08
โพสต์ที่ 115
เครื่องครัวญี่ปุ่นพาเหรดบุกไทย
โพสต์ทูเดย์ แฮงเคิลส์ ขนทัพสินค้าเครื่องครัวหรู และมีดไฮโซแบรนด์ใหม่จากแดนปลาดิบบุกไทย
นายภีม ว่องไพฑูรย์ ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ สวิลลิง เจ.เอ. แฮงเคิลส์ บริษัท อาร์มิน ซีสเท็มส์ ในเครือบริษัท เดอะ ไมเนอร์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทเตรียมนำเข้าสินค้ากลุ่มมีดยี่ห้อใหม่ มิยาบรี บาย สลิววิง (Miyabre By Zwilling) จากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมาย และรักษาส่วนแบ่งตลาดผลิตภัณฑ์มีดทำครัวระดับบนเอาไว้ ตั้งราคาเริ่มต้นที่ 7 พันบาท คาดว่าจะวางจำหน่ายในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้
ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว จะมุ่งจับ กลุ่มเป้าหมายลูกค้าทั่วไป และ ผู้ประกอบอาชีพทำอาหาร หรือเชฟ ระดับมืออาชีพ ในภัตตาคารร้านอาหารญี่ปุ่น ที่ต้องใช้ผลิตภัณฑ์มีดพิเศษโดยเฉพาะ
ปัจจุบันบริษัททำตลาดกลุ่มสินค้าเครื่องครัว และมีดยี่ห้อ เอชไอ (HI) ZWILLING JAHENCKELS และล่าสุด MIYABRE ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าระดับบนทั้งหมด โดยมีระดับราคาตั้งแต่ 300 บาท-3 หมื่นบาท
พร้อมกันนี้ยังเตรียมแผนเปิดตัวสินค้าใหม่กว่า 200 รายการ ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจะเลือกเข้ามาทำตลาดในไทยด้วย ขณะเดียวกันยังทำตลาดสินค้ากลุ่มที่เก็บมีด หรือบล็อกมีดได้มากขึ้นด้วย โดยปัจจุบันบริษัทมีผลิตภัณฑ์ทำตลาด อาทิ มีด กรรไกรตัดเล็บ หม้อ กรรไกร และเครื่องครัว เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดตัวจุดจำหน่ายแบรนด์ สวิลลิง อีก 1 แห่ง ซึ่งอยู่ระหว่างคัดเลือกทำเลพื้นที่ในศูนย์การค้าใจกลางเมือง โดยปีนี้ตั้งเป้ารายได้เติบโต 15% เท่ากับปีที่ผ่านมา
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=215138
โพสต์ทูเดย์ แฮงเคิลส์ ขนทัพสินค้าเครื่องครัวหรู และมีดไฮโซแบรนด์ใหม่จากแดนปลาดิบบุกไทย
นายภีม ว่องไพฑูรย์ ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ สวิลลิง เจ.เอ. แฮงเคิลส์ บริษัท อาร์มิน ซีสเท็มส์ ในเครือบริษัท เดอะ ไมเนอร์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทเตรียมนำเข้าสินค้ากลุ่มมีดยี่ห้อใหม่ มิยาบรี บาย สลิววิง (Miyabre By Zwilling) จากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมาย และรักษาส่วนแบ่งตลาดผลิตภัณฑ์มีดทำครัวระดับบนเอาไว้ ตั้งราคาเริ่มต้นที่ 7 พันบาท คาดว่าจะวางจำหน่ายในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้
ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว จะมุ่งจับ กลุ่มเป้าหมายลูกค้าทั่วไป และ ผู้ประกอบอาชีพทำอาหาร หรือเชฟ ระดับมืออาชีพ ในภัตตาคารร้านอาหารญี่ปุ่น ที่ต้องใช้ผลิตภัณฑ์มีดพิเศษโดยเฉพาะ
ปัจจุบันบริษัททำตลาดกลุ่มสินค้าเครื่องครัว และมีดยี่ห้อ เอชไอ (HI) ZWILLING JAHENCKELS และล่าสุด MIYABRE ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าระดับบนทั้งหมด โดยมีระดับราคาตั้งแต่ 300 บาท-3 หมื่นบาท
พร้อมกันนี้ยังเตรียมแผนเปิดตัวสินค้าใหม่กว่า 200 รายการ ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจะเลือกเข้ามาทำตลาดในไทยด้วย ขณะเดียวกันยังทำตลาดสินค้ากลุ่มที่เก็บมีด หรือบล็อกมีดได้มากขึ้นด้วย โดยปัจจุบันบริษัทมีผลิตภัณฑ์ทำตลาด อาทิ มีด กรรไกรตัดเล็บ หม้อ กรรไกร และเครื่องครัว เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดตัวจุดจำหน่ายแบรนด์ สวิลลิง อีก 1 แห่ง ซึ่งอยู่ระหว่างคัดเลือกทำเลพื้นที่ในศูนย์การค้าใจกลางเมือง โดยปีนี้ตั้งเป้ารายได้เติบโต 15% เท่ากับปีที่ผ่านมา
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=215138
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news18/01/08
โพสต์ที่ 116
ขยายรับศก.ครึ่งปีหลังโต
โพสต์ทูเดย์ เพาเวอร์บาย- โฮมเวิร์ค รุกหนักตั้งแต่ต้นปี ไม่รอรัฐบาลใหม่ทำงาน พร้อมขยายสาขารองรับเศรษฐกิจครึ่งปีหลังมีแววสดใส
นายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท เพาเวอร์บาย เครือเซ็นทรัล ตัวแทนจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าและสินค้าไอที กล่าวว่า ยอดขายของเพาเวอร์บายในปีที่ผ่านมาเติบโตพลาดเป้าที่ตั้งไว้ 15-20% เหลือเพียง 10% หรือ 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากยอดขายไตรมาสสุดท้ายไม่เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะในช่วงเดือน ธ.ค. กำลังซื้อจากผู้บริโภคทั่วไปชะลอตัวลงมากจากปัญหาการเมือง ผิดจากสภาวะปกติที่ช่วงสุดท้ายของปีสินค้าส่วนใหญ่จะขายดี
ปีนี้บริษัทจึงตั้งเป้าโตเพียง 10% เพราะแม้การเลือกตั้งจะเสร็จเรียบร้อย แต่รัฐบาลยังต้องใช้เวลาในช่วงครึ่งปีแรกวางแผนงาน และในครึ่งปีหลังเมื่อรัฐบาลเริ่มอนุมัติงบประมาณในการก่อสร้างและลงทุน จากนั้น นักลงทุนและผู้บริโภคทั่วไปจะกลับมาลงทุนและใช้จ่ายเหมือนเดิม ส่ง ผลให้เศรษฐกิจกลับมาดี
สิ่งแรกที่รัฐบาลควรจะทำคือ การออกนโยบายส่งเสริมธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ เพราะเป็นธุรกิจ ที่เป็นต้นกำเนิดของการใช้จ่ายและการลงทุนในสินค้าอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน หากมีการเติบโตทุกๆ อย่างก็ จะดีขึ้น สินค้าต่างๆ ก็จะขายดี โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้ภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือเฟอร์นิเจอร์ นายสุทธิสาร กล่าว
จากแนวโน้มดังกล่าว เพาเวอร์บายจะใช้งบทำกิจกรรมตลาด 120 ล้านบาท มากกว่าปีก่อนที่ใช้ 100 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมการขาย โดยจะเน้นกิจกรรมที่ขยายฐานลูกค้าเป็นหลัก ด้วยการโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ และการจัดงานโฮมเวิร์คเอ็กซ์โป หรืองานเพาเวอร์บายเอ็กซ์โป พร้อมเพิ่มบริการทั้งก่อนและหลังการขาย จัดทีมดูแลลูกค้าไว้ 200 ทีม เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้า บริการติดตั้ง และดูแลหลังการขาย
สำหรับสินค้าที่คาดว่าจะเป็นหมวดหลักสร้างยอดขายคือ ทีวี จอแอลซีดี และสินค้าในหมวดไอทีต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ นอกจากนี้เพาเวอร์บายจะขยายเพิ่ม 10 สาขา งบสาขาละ 20 ล้านบาท ปัจจุบันเพาเวอร์บายมี 80 สาขา เปิดใหม่ในปีที่ผ่านมา 7 สาขา
ทางด้านแผนร้านโฮมเวิร์ค นายพงศ์ ศกุนตนาค ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท ซีอาร์ซี เพาเวอร์ รีเทล กล่าวว่า ในปีนี้ โฮมเวิร์คมีแผนที่จะขยายสาขาเพิ่ม 2 สาขา ด้วยงบลงทุน 1.5 พันล้าน บาท โดยสาขาแรกจะเปิดไตรมาส 3 ของปีนี้คือ โฮมเวิร์ค สาขาภูเก็ต บนพื้นที่ 2.6 หมื่นตารางเมตร ซึ่งจะเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดของโฮมเวิร์ค ด้วยงบการลงทุน 1 พันล้านบาท และยังเป็นโฮมเวิร์คคอนเซปต์ใหม่ที่แบ่งพื้นที่ 50% สร้างเป็นช็อปปิ้งมอลล์ รวมสินค้าเกี่ยวกับบ้านทั้งหมดทั้งแบรนด์เล็กและใหญ่ รวมถึงสินค้าระดับพรีเมียม เพราะตลาดภูเก็ตเป็นไฮเอนด์ ส่วนพื้นที่ที่เหลือจะเป็นพื้นที่สำหรับโฮมเวิร์คและเพาเวอร์บายเหมือนเดิม
สำหรับงานโฮมเวิร์ค เอ็กซ์โป ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 25 ม.ค.-3 ก.พ. นี้ คาดว่าจะทำยอดขายโตขึ้นจาก ปีก่อน 510% มีผู้ชมงานกว่า 3 แสนคน ปีที่ผ่านมามียอดขายกว่า 400 ล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=215376
โพสต์ทูเดย์ เพาเวอร์บาย- โฮมเวิร์ค รุกหนักตั้งแต่ต้นปี ไม่รอรัฐบาลใหม่ทำงาน พร้อมขยายสาขารองรับเศรษฐกิจครึ่งปีหลังมีแววสดใส
นายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท เพาเวอร์บาย เครือเซ็นทรัล ตัวแทนจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าและสินค้าไอที กล่าวว่า ยอดขายของเพาเวอร์บายในปีที่ผ่านมาเติบโตพลาดเป้าที่ตั้งไว้ 15-20% เหลือเพียง 10% หรือ 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากยอดขายไตรมาสสุดท้ายไม่เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะในช่วงเดือน ธ.ค. กำลังซื้อจากผู้บริโภคทั่วไปชะลอตัวลงมากจากปัญหาการเมือง ผิดจากสภาวะปกติที่ช่วงสุดท้ายของปีสินค้าส่วนใหญ่จะขายดี
ปีนี้บริษัทจึงตั้งเป้าโตเพียง 10% เพราะแม้การเลือกตั้งจะเสร็จเรียบร้อย แต่รัฐบาลยังต้องใช้เวลาในช่วงครึ่งปีแรกวางแผนงาน และในครึ่งปีหลังเมื่อรัฐบาลเริ่มอนุมัติงบประมาณในการก่อสร้างและลงทุน จากนั้น นักลงทุนและผู้บริโภคทั่วไปจะกลับมาลงทุนและใช้จ่ายเหมือนเดิม ส่ง ผลให้เศรษฐกิจกลับมาดี
สิ่งแรกที่รัฐบาลควรจะทำคือ การออกนโยบายส่งเสริมธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ เพราะเป็นธุรกิจ ที่เป็นต้นกำเนิดของการใช้จ่ายและการลงทุนในสินค้าอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน หากมีการเติบโตทุกๆ อย่างก็ จะดีขึ้น สินค้าต่างๆ ก็จะขายดี โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้ภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือเฟอร์นิเจอร์ นายสุทธิสาร กล่าว
จากแนวโน้มดังกล่าว เพาเวอร์บายจะใช้งบทำกิจกรรมตลาด 120 ล้านบาท มากกว่าปีก่อนที่ใช้ 100 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมการขาย โดยจะเน้นกิจกรรมที่ขยายฐานลูกค้าเป็นหลัก ด้วยการโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ และการจัดงานโฮมเวิร์คเอ็กซ์โป หรืองานเพาเวอร์บายเอ็กซ์โป พร้อมเพิ่มบริการทั้งก่อนและหลังการขาย จัดทีมดูแลลูกค้าไว้ 200 ทีม เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้า บริการติดตั้ง และดูแลหลังการขาย
สำหรับสินค้าที่คาดว่าจะเป็นหมวดหลักสร้างยอดขายคือ ทีวี จอแอลซีดี และสินค้าในหมวดไอทีต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ นอกจากนี้เพาเวอร์บายจะขยายเพิ่ม 10 สาขา งบสาขาละ 20 ล้านบาท ปัจจุบันเพาเวอร์บายมี 80 สาขา เปิดใหม่ในปีที่ผ่านมา 7 สาขา
ทางด้านแผนร้านโฮมเวิร์ค นายพงศ์ ศกุนตนาค ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท ซีอาร์ซี เพาเวอร์ รีเทล กล่าวว่า ในปีนี้ โฮมเวิร์คมีแผนที่จะขยายสาขาเพิ่ม 2 สาขา ด้วยงบลงทุน 1.5 พันล้าน บาท โดยสาขาแรกจะเปิดไตรมาส 3 ของปีนี้คือ โฮมเวิร์ค สาขาภูเก็ต บนพื้นที่ 2.6 หมื่นตารางเมตร ซึ่งจะเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดของโฮมเวิร์ค ด้วยงบการลงทุน 1 พันล้านบาท และยังเป็นโฮมเวิร์คคอนเซปต์ใหม่ที่แบ่งพื้นที่ 50% สร้างเป็นช็อปปิ้งมอลล์ รวมสินค้าเกี่ยวกับบ้านทั้งหมดทั้งแบรนด์เล็กและใหญ่ รวมถึงสินค้าระดับพรีเมียม เพราะตลาดภูเก็ตเป็นไฮเอนด์ ส่วนพื้นที่ที่เหลือจะเป็นพื้นที่สำหรับโฮมเวิร์คและเพาเวอร์บายเหมือนเดิม
สำหรับงานโฮมเวิร์ค เอ็กซ์โป ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 25 ม.ค.-3 ก.พ. นี้ คาดว่าจะทำยอดขายโตขึ้นจาก ปีก่อน 510% มีผู้ชมงานกว่า 3 แสนคน ปีที่ผ่านมามียอดขายกว่า 400 ล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=215376
-
- Verified User
- โพสต์: 497
- ผู้ติดตาม: 0
modern trade and household
โพสต์ที่ 117
ชี้สงครามค้าปลีกปีนี้ยังแข่งรุนแรง [22 ม.ค. 51 - 04:42]
นายชำนาญ เมธปรีชากุล ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส สายการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ผู้บริหารห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์, ดิ เอ็มโพเรียม และสยามพารากอน เปิดเผยว่า การแข่งขันของธุรกิจค้าปลีกจะยังคงแข่งขันรุนแรงต่อเนื่อง ผู้ประกอบการต้องพยายามงัดกลยุทธ์ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน ในส่วนของแนวทางการทำตลาดของเดอะมอลล์ กรุ๊ป ในปี 2551 จะใช้การตลาดแบบผสมผสานไม่เน้นการสงครามราคา เนื่องจากเชื่อว่าลูกค้ายังคงมีกำลังซื้อ แต่ต้องกระตุ้นตลาดให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ล่าสุดเดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้ใช้งบประมาณกว่า 80 ล้านบาท จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต้อนรับเทศกาลตรุษจีนภายใต้ชื่อ เดอะมอลล์ แฮปปี้ ไชนิส นิวเยียร์ ระหว่างวันที่ 24 ม.ค.-17 ก.พ. 2551 โดยลูกค้าที่ซื้อสินค้าตั้งแต่ 1,000 บาท ลุ้นรับอั่งเปาส่วนลดสูงสุด 50% โดยตั้งเป้ายอดขายช่วงตรุษจีน 3,000 ล้านบาท สำหรับกรณีที่เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาชะลอตัวลงในขณะนี้ มองว่าจะส่งผลกระทบ ต่อห้างสรรพสินค้าเพียงเล็กน้อย เป็นผลจากกลุ่มลูกค้าระดับกลาง หรือกลุ่มผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ในภาพรวมปี 2551 ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 45,000 ล้านบาท นายดามพ์ สุคนธทรัพย์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส เทสโก้ โลตัส เปิดเผยถึงกระแสข่าวว่าเทสโก้ โลตัส เพียงเจ้าเดียวที่ยังไม่ให้ความร่วมมือเรื่องธงฟ้าว่า ในฐานะผู้ประกอบการ เราพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับทางราชการในทุกๆเรื่อง แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะต้องเป็นผู้แบกรับภาระเองทั้งหมด กรณีโครงการมุมธงฟ้าก็เช่นกัน นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา ทางโลตัสได้ให้ความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ในการจัดหาพื้นที่ให้กับรถเข็นธงฟ้า โดยปัจจุบันมีสาขาต่างๆ 13 สาขาทั่วประเทศที่มีรถเข็นธงฟ้า นอกจากนี้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ศูนย์อาหารในสาขาต่างๆของเทสโก้ โลตัสกว่า 50 สาขาก็ได้รับความร่วมมือจากร้านค้าต่างๆ ในการจัดทำรายการอาหารจานหลักราคา 20-25 บาท เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพของลูกค้าเพียงแต่ไม่ได้ประดับธงฟ้าเท่านั้น ซึ่งหากกระทรวงพาณิชย์ต้องการให้ประดับธงฟ้าก็พร้อมดำเนินการให้.
นายชำนาญ เมธปรีชากุล ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส สายการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ผู้บริหารห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์, ดิ เอ็มโพเรียม และสยามพารากอน เปิดเผยว่า การแข่งขันของธุรกิจค้าปลีกจะยังคงแข่งขันรุนแรงต่อเนื่อง ผู้ประกอบการต้องพยายามงัดกลยุทธ์ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน ในส่วนของแนวทางการทำตลาดของเดอะมอลล์ กรุ๊ป ในปี 2551 จะใช้การตลาดแบบผสมผสานไม่เน้นการสงครามราคา เนื่องจากเชื่อว่าลูกค้ายังคงมีกำลังซื้อ แต่ต้องกระตุ้นตลาดให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ล่าสุดเดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้ใช้งบประมาณกว่า 80 ล้านบาท จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต้อนรับเทศกาลตรุษจีนภายใต้ชื่อ เดอะมอลล์ แฮปปี้ ไชนิส นิวเยียร์ ระหว่างวันที่ 24 ม.ค.-17 ก.พ. 2551 โดยลูกค้าที่ซื้อสินค้าตั้งแต่ 1,000 บาท ลุ้นรับอั่งเปาส่วนลดสูงสุด 50% โดยตั้งเป้ายอดขายช่วงตรุษจีน 3,000 ล้านบาท สำหรับกรณีที่เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาชะลอตัวลงในขณะนี้ มองว่าจะส่งผลกระทบ ต่อห้างสรรพสินค้าเพียงเล็กน้อย เป็นผลจากกลุ่มลูกค้าระดับกลาง หรือกลุ่มผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ในภาพรวมปี 2551 ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 45,000 ล้านบาท นายดามพ์ สุคนธทรัพย์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส เทสโก้ โลตัส เปิดเผยถึงกระแสข่าวว่าเทสโก้ โลตัส เพียงเจ้าเดียวที่ยังไม่ให้ความร่วมมือเรื่องธงฟ้าว่า ในฐานะผู้ประกอบการ เราพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับทางราชการในทุกๆเรื่อง แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะต้องเป็นผู้แบกรับภาระเองทั้งหมด กรณีโครงการมุมธงฟ้าก็เช่นกัน นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา ทางโลตัสได้ให้ความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ในการจัดหาพื้นที่ให้กับรถเข็นธงฟ้า โดยปัจจุบันมีสาขาต่างๆ 13 สาขาทั่วประเทศที่มีรถเข็นธงฟ้า นอกจากนี้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ศูนย์อาหารในสาขาต่างๆของเทสโก้ โลตัสกว่า 50 สาขาก็ได้รับความร่วมมือจากร้านค้าต่างๆ ในการจัดทำรายการอาหารจานหลักราคา 20-25 บาท เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพของลูกค้าเพียงแต่ไม่ได้ประดับธงฟ้าเท่านั้น ซึ่งหากกระทรวงพาณิชย์ต้องการให้ประดับธงฟ้าก็พร้อมดำเนินการให้.
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news29/01/0/8
โพสต์ที่ 118
ยุทธศาสตร์ล่าสุด เทสโก้ โลตัส เน้นภาพลักษณ์ใหม่ "ใส่ใจลูกค้า"
ในโอกาสที่ เทสโก้ โลตัส เดินสายเพื่อ โปรโมตสินค้าและเครื่องไหว้ในเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึง "ประชาชาติธุรกิจ" ได้มีโอกาสสนทนากับคีย์แมนคนสำคัญของเทสโก้ โลตัส "กวิน สัณฑกุล" กรรมการ ประธานบริหารฝ่ายการตลาด บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด
จากนี้ไปเป็นเนื้อหาเพียงส่วนหนึ่งของการสนทนาที่ล้วนแต่เป็นประเด็นที่น่าสนใจยิ่ง
- วางแนวทางการดำเนินธุรกิจไว้อย่างไรบ้างสำหรับปีนี้
เทสโก้ โลตัส จะเปลี่ยนแนวทางการบริหารเป็นคอนเซ็ปต์ที่เรียกว่า "เราใส่ใจคุณ" ตรงนี้ อาจจะเคยได้ยินมาบ้าง
ทุกอย่างจะเป็น "เราใส่ใจคุณ" คำว่า "เราใส่ใจคุณ" มาจากไหน มาจากว่าผู้บริหารใส่ใจพนักงาน พนักงานใส่ใจลูกค้า และเทสโก้ โลตัสใส่ใจสังคม นี่คือภาพใหญ่ ที่เป็นเรื่องนอกเหนือจากการนำเสนอสินค้าราคาถูกซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ
- จากนี้ไปเทสโก้ โลตัส จะไม่เน้นการสื่อเรื่องสินค้าราคาถูกกับลูกค้ามากนัก
เราต้องการจะทำไปมากกว่านั้น อย่างเช่น กะปิ น้ำปลา ฯลฯ ก็มีขายทั่วไป ทำไมต้องมาซื้อที่เทสโก้ โลตัส หรือปลาสด ทำไมต้องมาซื้อที่เทสโก้ โลตัส เพราะเทสโก้ โลตัส มีบริการทอดให้ด้วย
ถามว่าทำไม ก็เพราะลูกค้าเขาบอกเราอย่างนั้น ยกตัวอย่าง 1.ตอนนี้น้ำมันก็แพง 2.เรื่องของเวลา ตอนนี้ 75% ของผู้หญิงที่แต่งงานแล้วยังต้องทำงานด้วย จากเมื่อก่อนอาจจะอยู่บ้านเป็นแม่บ้าน เท่ากับว่าทำงานหลายอย่าง และส่งผลให้ไม่มีเวลาดูแลครอบครัว ตรงนี้จึงเป็นที่มาเราพยายามจะทำอะไรให้สะดวก อย่างกรณีของเครื่องไหว้เจ้าสำหรับเทศกาลตรุษจีนนี้ก็จะมีเป็นเซต และมีรายละเอียดบอกวิธีการจัดชุดไหว้ รวมถึงคำอธิบายต่างๆ เพื่อให้มีความเข้าใจ
ปีนี้เราจึงทำอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเพื่อให้ถูกต้องตามประเพณี และเป็นการแนะนำโดยคนที่มีความรู้จริง คือ คุณจิตรา ก่อนันทเกียรติ
หากพูดถึงเรื่องแบรนดิ้งก็จะกลายเป็น differentiate กลายเป็นเรื่อง emotional ไป เป็น shopping experience ไป แทนที่จะเป็นการซื้อสินค้าทั่วไป
- ทำไมต้องเลือกใช้คำว่า "เราใส่ใจคุณ"
ที่เทสโก้ โลตัส เลือกจะใช้คำว่า เราใส่ใจคุณ ก็เพราะว่าหากเป็นแบบไทยๆ เมื่อก่อน ก็อาจจะเป็นคำว่า สยามเมืองยิ้ม ใครมาถึงเรือนชานก็ต้องต้อนรับ ตรงนี้ทุกคนจะรู้เหมือนๆ กันหมด แต่วันนี้สิ่งต่างๆ เหล่านี้อาจจะดูเลือนรางไป การดูแลใส่ใจซึ่งกันและกันมีน้อยลง ดังนั้นหากเราจะหันมาดูแลใส่ใจกันมากขึ้น สังคมก็จะดูดี สังคมจะดีขึ้น
การที่เราจะพัฒนาประเทศ พัฒนาตลาด สิ่งที่จะเป็นจุดเริ่มต้นก็คือ การพัฒนาคน และการพัฒนาคนก็จะต้องเริ่มต้นจากครอบครัว
- ถือเป็นอีกสเต็ปหนึ่งที่เทสโก้ โลตัส มองลึกลงไปว่า ลูกค้าต้องการในเรื่องของบริการ การเอาใจใส่มากขึ้น
เทสโก้ โลตัส มีเป้าหมายที่จะมีการพัฒนาบริการให้ดีขึ้นเรื่อยๆ อะไรที่เราทำได้ เพิ่มเข้ามาได้ เราก็จะทำไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อย เหมือนกับค่อยๆ เจริญเติบโตทั้งในเรื่องความคิด การเติบโตในทางปฏิบัติ เราค่อยๆ เรียนรู้มากขึ้น
ทุกวันนี้ เทสโก้ โลตัส ก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พอใหญ่ก็จะมีมิติทางด้านสังคมเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเมื่อก่อนมิติทางสังคมเทสโก้ โลตัสก็ทำอยู่ เพียงแต่ยังไม่เป็นรูปธรรมเท่าที่ควร
พอมีปัญหาขึ้นมา จากมิติทางเศรษฐศาสตร์ก็กลายเป็นมิติทางการเมือง และปั่นมาเป็นมิติทางสังคมก็เลยทำให้มีปัญหา
ตอนนี้ เทสโก้ โลตัส จึงมีนโยบายที่จะต้องหันมาดูแลสังคมด้วย
- จากนี้ไปเทสโก้ โลตัส จะเข้าไปมีส่วนร่วมในสังคมมากขึ้น
ขอยกตัวอย่าง การเข้าไปช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนเงาะ ปีที่แล้วเราเข้าไปให้คำแนะนำการเก็บเงาะกับชาวสวนที่จันทบุรี เดิมปกติการเก็บเงาะชาวสวนเขาจะบิดขั้วแล้วก็ปล่อยให้ตกลงบนพื้น เงาะตกลงพื้นก็จะช้ำและเก็บไว้ได้ไม่นาน ซึ่งเราแนะนำให้ใช้ตะกร้อเก็บหรือใช้กรรไกรตัดที่เหนือขั้วไปซัก 1 ซ.ม. และปล่อยให้ตกลงบนตาข่าย เวลาเก็บก็จะรวบตาข่ายเพียงครั้งเดียว ซึ่งก็จะทำให้เร็วขึ้น เป็นการเพิ่ม productivity
การที่เงาะมีขั้วเหลืออยู่ประมาณ 1 ซ.ม. ทำให้เงาะเก็บได้นานขึ้น เงาะสวยขึ้น ขายได้ราคา ขนไปขายได้ไกลๆ สุดท้ายแปลว่าชาวสวนก็มีรายได้เพิ่มขึ้น
สิ่งนี้ผมเรียกว่า "เราใส่ใจคุณ" นั้นเป็นสิ่งที่เทสโก้ โลตัส พยายามจะขยายในหลายๆ มิติ ด้วยการพยายามจะเซตโมเดลต่างๆ กับองค์ความรู้ที่เป็นโนว์เลจ เบส ออร์แกไนเซชั่น อย่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ซึ่งเราได้ร่วมกับ เคยู เฟิร์สท (สถาบันอาหาร)
ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้เวนเดอร์ทั้งผู้ค้า ผู้ผลิต เข้ามามีส่วนร่วม
- ทราบว่า เทสโก้ โลตัส มีการส่งออกสินค้าทางการเกษตรไปจำหน่ายในสาขาในต่างประเทศ
ปีที่ผ่านมา เทสโก้ โสตัส มียอดการส่งออก 7,500 ล้านบาท เป็นการส่งสินค้าพืชผลทางการเกษตรไปจำหน่ายตามสาขาต่างๆ ของเราในต่างประเทศ
นอกจากนี้ในส่วนของ ready meal ที่พัฒนาขึ้นมา ตอนนี้ในต่างประเทศเขาจะนิยมรับประทานประเภท chill มากกว่า frozen เพราะว่าการแช่เย็นนั้นจะให้คุณค่าทางอาหารมากกว่าการแช่แข็ง และ texture ของอาหารจะไม่สูญเสีย อร่อยกว่า ได้คุณภาพมากกว่า เพียงแต่ว่าเทคโนโลยีนี้จะต้องรักษา shelf life ได้ยาวขึ้น หากเราทำให้อาหารสามารถเก็บได้นานวันขึ้น เราก็สามารถที่จะนำอาหารไทยไปขายในต่างประเทศได้อีกมาก แทนที่จะส่งเป็นข้าวสารไปขายก็ทำเป็นข้าวห่อใบบัว เป็นการเพิ่มมูลค่าอีกทางหนึ่ง
ปีที่แล้วก็มีโครงการภายในหลายโครงการ เช่น การจัดแวร์เฮาส์อย่างไรถึงจะป้องกันพวกนก หนู แมลงสาบ ฯลฯ ได้ เมื่อต่างประเทศเขามาออดิต เราก็จะส่งสินค้าออกไปขายในต่างประเทศได้ง่ายขึ้น
- ที่ผ่านมายังมีกระแสการต่อต้านการเปิดสาขาในต่างจังหวัด
สำหรับเทสโก้ โลตัสเอง แม้ว่าจะโดนกระแสการต่อต้านมาก แต่จริงๆ เรามีคำอธิบายได้ แต่การอธิบายอาจจะลำบาก หรือเมื่ออธิบายไปแล้วถูกตัดแต่งพันธุกรรมก็ชี้แจงยาก เราอยู่ที่นี่ เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน และค่อยๆ ทำไป
เราเชื่อว่าเราทำในสิ่งที่ถูกต้องและเราลงทุนในระยะยาว เราทำเพื่อสังคม ไม่ได้ทำแบบฉาบฉวย เราไม่เคยเอาเปรียบใคร ทุกอย่างที่เราทำสามารถอธิบายได้
- บริษัทแม่มองปัญหาที่เกิดขึ้นกับโลตัสในเมืองไทยอย่างไร รวมถึงมุมมองกับปัญหาเศรษฐกิจ
ลักษณะการบริหารของเราเป็นในแง่ที่ว่า think global act local บริษัทแม่ให้อิสระของทีมบริหารในแต่ละประเทศอย่างเต็มที่
ธุรกิจที่เราทำอยู่หลักๆ ก็จะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เราจึงไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ หรือถ้ามีก็มีน้อยกว่าคนอื่น ยกตัวอย่าง หากอาหารแพง น้ำมันแพง คนก็จะยิ่งเข้ามาหาเรามากขึ้น หรือพวกเสื้อผ้าที่ผ่านมาอาจจะซื้อที่ห้างสรรพสินค้า เดี๋ยวนี้ก็อาจจะหันมาซื้อที่เรามากขึ้น จากเดิมที่สินค้ากลุ่มเสื้อผ้าของเราอาจจะดูว่าเชย ไม่ทันสมัย ซึ่งตรงนี้เราก็มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนมีแคมเปญ hot of the catwalk เรามีเสื้อผ้าดีไซน์ใหม่ๆ ไม่ซ้ำแบบใคร
ตอนนี้แบบหรือดีไซน์ก็ได้รับการยอมรับมากขึ้น เพียงแต่ว่าคนยังไม่เคยชินกับการซื้อเสื้อผ้ากับร้านขายน้ำปลาอย่างเรา ซึ่งตรงนี้ก็ต้องค่อยๆ ปรับไป ตอนนี้ลูกค้าเริ่มตอบสนองกับเสื้อผ้าเฮาส์แบรนด์ของเรามากขึ้น
- ตอนนี้สินค้าเฮาส์แบรนด์ของเทสโก้ โลตัส เป็นอย่างไรบ้าง
เป็นอะไรที่มีโอกาสที่จะทำได้ ตอนนี้เรามี สินค้าเฮาส์แบรนด์อยู่เกือบ 3,000 ชนิด ทั้งหมดใช้เวนดอร์ในประเทศไทยเกือบๆ 300 เวนเดอร์ ตรงนี้ในต่างประเทศโมเดลของเฮาส์แบรนด์จะถือเป็นอีก 1 ทางเลือกของลูกค้า แต่ในบ้านเราเฮาส์ แบรนด์เหมือนอยู่ในขั้นเริ่มต้น
- จากภาวะเศรษฐกิจ-กำลังซื้อที่ไม่ค่อยจะดีนัก เทสโก้ โลตัสจะให้น้ำหนักกับสินค้าเฮาส์แบรนด์มากขึ้นหรือไม่
ผมยังมองต่างมุมว่ากำลังซื้อไม่แย่ (หัวเราะ) วันนี้ลูกค้าเขามีความละเอียดในการซื้อมากขึ้น อะไรที่เป็นของจำเป็น เขาก็จะยังซื้ออยู่
หากเราทำสินค้าให้ดีขึ้น แต่ถูกลง ลูกค้าก็สามารถซื้อได้ แม้ว่ารายได้ของลูกค้าอาจจะมีจำกัด มันขึ้นอยู่กับว่า เรา response กับสภาวะเศรษฐกิจได้ช้า เร็วอย่างไร
- ทุกวันนี้ค่าครองชีพสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
ผลกระทบจากค่าน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ตอนนี้ลูกค้าจะมาจับจ่ายใช้สอยเดือนละ 1 ครั้ง จากเดิมอาจจะมาอาทิตย์ละครั้ง หรือ 2 อาทิตย์ครั้ง
แต่การมาเดือนละครั้งนี้ก็พบว่า เขาซื้อมากขึ้น และการที่นานๆ มาทีหนึ่งวอลุ่มก็จะน้อยลง ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย ยอดขายก็จะมีอัตราการเติบโตที่น้อยลง
สิ่งที่เทสโก้ โลตัสทำ ก็คือว่าเมื่อลูกค้าไม่อยากเสียเวลาเดินทางมาบ่อยๆ เราก็เข้าไปหาลูกค้าเอง และจะต้องวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าว่า เวลาเขาซื้อทุกวัน ลักษณะการซื้อเป็นเหมือนกันทุกวันใช่หรือไม่ คำตอบก็คือไม่ใช่ การซื้อประจำเดือนเขาก็จะมีพฤติกรรมอย่างหนึ่ง และส่วนใหญ่ก็จะเป็นการวางแผนไว้ล่วงหน้า แม้ว่าจะวางแผนก็อาจจะต้องมีตกๆ หล่นๆ อยู่บ้าง ตรงนี้หลักๆ จะเป็นการซื้อที่ไฮเปอร์มาร์เก็ต
อีกส่วนหนึ่งก็จะเป็นในลักษณะ weekly shopping คล้ายๆ กับการเก็บสินค้าเข้าสต๊อก ก็จะเป็นตลาดซูเปอร์มาร์เก็ต
ส่วนอะไรที่ไม่ได้มีการวางแผนมาก่อน ตรงนี้ก็จะเป็นโมเดล express ที่ลูกค้าสามารถที่จะเข้ามาได้บ่อยๆ ตามความจำเป็น
การที่เทสโก้ โลตัส มีโมเดลใหม่ๆ ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีอัตราการเติบโตที่มากขึ้น
- ดูเหมือนเทสโก้ โลตัสจะไม่ค่อยกังวลกับปัจจัยลบต่างๆ
เป็นห่วงก็เป็นห่วง แต่เราก็ต้องทำอะไรมากขึ้น สิ่งที่ดูอีกอย่างหนึ่งในตอนนี้ก็คือ อัตราการว่างงาน ซึ่งไม่ได้มากนักและยังอยู่ในเกณฑ์ไม่น่าเป็นห่วง คือมีประมาณ 1% แต่สิ่งที่หลายๆ คนกังวลก็คือ ความไม่มั่นคงในอนาคตว่าจะไม่มีงานทำ หรือกังวลว่าค่าครองชีพจะสูงขึ้น ดังนั้นเทสโก้ โลตัสก็จะต้องปรับตัวให้สอดรับกับพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า
เช่น คนอาจจะเลิกทำกับข้าวทานที่บ้านเพราะราคาสูง และหันมาซื้อทานมากขึ้น เทสโก้ โลตัสก็ต้องปรับปรุงในส่วนของฟู้ดคอร์ด หรือ ready meal มารับตรงนี้
นี่คือแนวทางที่ยักษ์ค้าปลีก เทสโก้ โลตัส กำลังจะดำเนินต่อไป
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0207
ในโอกาสที่ เทสโก้ โลตัส เดินสายเพื่อ โปรโมตสินค้าและเครื่องไหว้ในเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึง "ประชาชาติธุรกิจ" ได้มีโอกาสสนทนากับคีย์แมนคนสำคัญของเทสโก้ โลตัส "กวิน สัณฑกุล" กรรมการ ประธานบริหารฝ่ายการตลาด บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด
จากนี้ไปเป็นเนื้อหาเพียงส่วนหนึ่งของการสนทนาที่ล้วนแต่เป็นประเด็นที่น่าสนใจยิ่ง
- วางแนวทางการดำเนินธุรกิจไว้อย่างไรบ้างสำหรับปีนี้
เทสโก้ โลตัส จะเปลี่ยนแนวทางการบริหารเป็นคอนเซ็ปต์ที่เรียกว่า "เราใส่ใจคุณ" ตรงนี้ อาจจะเคยได้ยินมาบ้าง
ทุกอย่างจะเป็น "เราใส่ใจคุณ" คำว่า "เราใส่ใจคุณ" มาจากไหน มาจากว่าผู้บริหารใส่ใจพนักงาน พนักงานใส่ใจลูกค้า และเทสโก้ โลตัสใส่ใจสังคม นี่คือภาพใหญ่ ที่เป็นเรื่องนอกเหนือจากการนำเสนอสินค้าราคาถูกซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ
- จากนี้ไปเทสโก้ โลตัส จะไม่เน้นการสื่อเรื่องสินค้าราคาถูกกับลูกค้ามากนัก
เราต้องการจะทำไปมากกว่านั้น อย่างเช่น กะปิ น้ำปลา ฯลฯ ก็มีขายทั่วไป ทำไมต้องมาซื้อที่เทสโก้ โลตัส หรือปลาสด ทำไมต้องมาซื้อที่เทสโก้ โลตัส เพราะเทสโก้ โลตัส มีบริการทอดให้ด้วย
ถามว่าทำไม ก็เพราะลูกค้าเขาบอกเราอย่างนั้น ยกตัวอย่าง 1.ตอนนี้น้ำมันก็แพง 2.เรื่องของเวลา ตอนนี้ 75% ของผู้หญิงที่แต่งงานแล้วยังต้องทำงานด้วย จากเมื่อก่อนอาจจะอยู่บ้านเป็นแม่บ้าน เท่ากับว่าทำงานหลายอย่าง และส่งผลให้ไม่มีเวลาดูแลครอบครัว ตรงนี้จึงเป็นที่มาเราพยายามจะทำอะไรให้สะดวก อย่างกรณีของเครื่องไหว้เจ้าสำหรับเทศกาลตรุษจีนนี้ก็จะมีเป็นเซต และมีรายละเอียดบอกวิธีการจัดชุดไหว้ รวมถึงคำอธิบายต่างๆ เพื่อให้มีความเข้าใจ
ปีนี้เราจึงทำอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเพื่อให้ถูกต้องตามประเพณี และเป็นการแนะนำโดยคนที่มีความรู้จริง คือ คุณจิตรา ก่อนันทเกียรติ
หากพูดถึงเรื่องแบรนดิ้งก็จะกลายเป็น differentiate กลายเป็นเรื่อง emotional ไป เป็น shopping experience ไป แทนที่จะเป็นการซื้อสินค้าทั่วไป
- ทำไมต้องเลือกใช้คำว่า "เราใส่ใจคุณ"
ที่เทสโก้ โลตัส เลือกจะใช้คำว่า เราใส่ใจคุณ ก็เพราะว่าหากเป็นแบบไทยๆ เมื่อก่อน ก็อาจจะเป็นคำว่า สยามเมืองยิ้ม ใครมาถึงเรือนชานก็ต้องต้อนรับ ตรงนี้ทุกคนจะรู้เหมือนๆ กันหมด แต่วันนี้สิ่งต่างๆ เหล่านี้อาจจะดูเลือนรางไป การดูแลใส่ใจซึ่งกันและกันมีน้อยลง ดังนั้นหากเราจะหันมาดูแลใส่ใจกันมากขึ้น สังคมก็จะดูดี สังคมจะดีขึ้น
การที่เราจะพัฒนาประเทศ พัฒนาตลาด สิ่งที่จะเป็นจุดเริ่มต้นก็คือ การพัฒนาคน และการพัฒนาคนก็จะต้องเริ่มต้นจากครอบครัว
- ถือเป็นอีกสเต็ปหนึ่งที่เทสโก้ โลตัส มองลึกลงไปว่า ลูกค้าต้องการในเรื่องของบริการ การเอาใจใส่มากขึ้น
เทสโก้ โลตัส มีเป้าหมายที่จะมีการพัฒนาบริการให้ดีขึ้นเรื่อยๆ อะไรที่เราทำได้ เพิ่มเข้ามาได้ เราก็จะทำไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อย เหมือนกับค่อยๆ เจริญเติบโตทั้งในเรื่องความคิด การเติบโตในทางปฏิบัติ เราค่อยๆ เรียนรู้มากขึ้น
ทุกวันนี้ เทสโก้ โลตัส ก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พอใหญ่ก็จะมีมิติทางด้านสังคมเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเมื่อก่อนมิติทางสังคมเทสโก้ โลตัสก็ทำอยู่ เพียงแต่ยังไม่เป็นรูปธรรมเท่าที่ควร
พอมีปัญหาขึ้นมา จากมิติทางเศรษฐศาสตร์ก็กลายเป็นมิติทางการเมือง และปั่นมาเป็นมิติทางสังคมก็เลยทำให้มีปัญหา
ตอนนี้ เทสโก้ โลตัส จึงมีนโยบายที่จะต้องหันมาดูแลสังคมด้วย
- จากนี้ไปเทสโก้ โลตัส จะเข้าไปมีส่วนร่วมในสังคมมากขึ้น
ขอยกตัวอย่าง การเข้าไปช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนเงาะ ปีที่แล้วเราเข้าไปให้คำแนะนำการเก็บเงาะกับชาวสวนที่จันทบุรี เดิมปกติการเก็บเงาะชาวสวนเขาจะบิดขั้วแล้วก็ปล่อยให้ตกลงบนพื้น เงาะตกลงพื้นก็จะช้ำและเก็บไว้ได้ไม่นาน ซึ่งเราแนะนำให้ใช้ตะกร้อเก็บหรือใช้กรรไกรตัดที่เหนือขั้วไปซัก 1 ซ.ม. และปล่อยให้ตกลงบนตาข่าย เวลาเก็บก็จะรวบตาข่ายเพียงครั้งเดียว ซึ่งก็จะทำให้เร็วขึ้น เป็นการเพิ่ม productivity
การที่เงาะมีขั้วเหลืออยู่ประมาณ 1 ซ.ม. ทำให้เงาะเก็บได้นานขึ้น เงาะสวยขึ้น ขายได้ราคา ขนไปขายได้ไกลๆ สุดท้ายแปลว่าชาวสวนก็มีรายได้เพิ่มขึ้น
สิ่งนี้ผมเรียกว่า "เราใส่ใจคุณ" นั้นเป็นสิ่งที่เทสโก้ โลตัส พยายามจะขยายในหลายๆ มิติ ด้วยการพยายามจะเซตโมเดลต่างๆ กับองค์ความรู้ที่เป็นโนว์เลจ เบส ออร์แกไนเซชั่น อย่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ซึ่งเราได้ร่วมกับ เคยู เฟิร์สท (สถาบันอาหาร)
ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้เวนเดอร์ทั้งผู้ค้า ผู้ผลิต เข้ามามีส่วนร่วม
- ทราบว่า เทสโก้ โลตัส มีการส่งออกสินค้าทางการเกษตรไปจำหน่ายในสาขาในต่างประเทศ
ปีที่ผ่านมา เทสโก้ โสตัส มียอดการส่งออก 7,500 ล้านบาท เป็นการส่งสินค้าพืชผลทางการเกษตรไปจำหน่ายตามสาขาต่างๆ ของเราในต่างประเทศ
นอกจากนี้ในส่วนของ ready meal ที่พัฒนาขึ้นมา ตอนนี้ในต่างประเทศเขาจะนิยมรับประทานประเภท chill มากกว่า frozen เพราะว่าการแช่เย็นนั้นจะให้คุณค่าทางอาหารมากกว่าการแช่แข็ง และ texture ของอาหารจะไม่สูญเสีย อร่อยกว่า ได้คุณภาพมากกว่า เพียงแต่ว่าเทคโนโลยีนี้จะต้องรักษา shelf life ได้ยาวขึ้น หากเราทำให้อาหารสามารถเก็บได้นานวันขึ้น เราก็สามารถที่จะนำอาหารไทยไปขายในต่างประเทศได้อีกมาก แทนที่จะส่งเป็นข้าวสารไปขายก็ทำเป็นข้าวห่อใบบัว เป็นการเพิ่มมูลค่าอีกทางหนึ่ง
ปีที่แล้วก็มีโครงการภายในหลายโครงการ เช่น การจัดแวร์เฮาส์อย่างไรถึงจะป้องกันพวกนก หนู แมลงสาบ ฯลฯ ได้ เมื่อต่างประเทศเขามาออดิต เราก็จะส่งสินค้าออกไปขายในต่างประเทศได้ง่ายขึ้น
- ที่ผ่านมายังมีกระแสการต่อต้านการเปิดสาขาในต่างจังหวัด
สำหรับเทสโก้ โลตัสเอง แม้ว่าจะโดนกระแสการต่อต้านมาก แต่จริงๆ เรามีคำอธิบายได้ แต่การอธิบายอาจจะลำบาก หรือเมื่ออธิบายไปแล้วถูกตัดแต่งพันธุกรรมก็ชี้แจงยาก เราอยู่ที่นี่ เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน และค่อยๆ ทำไป
เราเชื่อว่าเราทำในสิ่งที่ถูกต้องและเราลงทุนในระยะยาว เราทำเพื่อสังคม ไม่ได้ทำแบบฉาบฉวย เราไม่เคยเอาเปรียบใคร ทุกอย่างที่เราทำสามารถอธิบายได้
- บริษัทแม่มองปัญหาที่เกิดขึ้นกับโลตัสในเมืองไทยอย่างไร รวมถึงมุมมองกับปัญหาเศรษฐกิจ
ลักษณะการบริหารของเราเป็นในแง่ที่ว่า think global act local บริษัทแม่ให้อิสระของทีมบริหารในแต่ละประเทศอย่างเต็มที่
ธุรกิจที่เราทำอยู่หลักๆ ก็จะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เราจึงไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ หรือถ้ามีก็มีน้อยกว่าคนอื่น ยกตัวอย่าง หากอาหารแพง น้ำมันแพง คนก็จะยิ่งเข้ามาหาเรามากขึ้น หรือพวกเสื้อผ้าที่ผ่านมาอาจจะซื้อที่ห้างสรรพสินค้า เดี๋ยวนี้ก็อาจจะหันมาซื้อที่เรามากขึ้น จากเดิมที่สินค้ากลุ่มเสื้อผ้าของเราอาจจะดูว่าเชย ไม่ทันสมัย ซึ่งตรงนี้เราก็มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนมีแคมเปญ hot of the catwalk เรามีเสื้อผ้าดีไซน์ใหม่ๆ ไม่ซ้ำแบบใคร
ตอนนี้แบบหรือดีไซน์ก็ได้รับการยอมรับมากขึ้น เพียงแต่ว่าคนยังไม่เคยชินกับการซื้อเสื้อผ้ากับร้านขายน้ำปลาอย่างเรา ซึ่งตรงนี้ก็ต้องค่อยๆ ปรับไป ตอนนี้ลูกค้าเริ่มตอบสนองกับเสื้อผ้าเฮาส์แบรนด์ของเรามากขึ้น
- ตอนนี้สินค้าเฮาส์แบรนด์ของเทสโก้ โลตัส เป็นอย่างไรบ้าง
เป็นอะไรที่มีโอกาสที่จะทำได้ ตอนนี้เรามี สินค้าเฮาส์แบรนด์อยู่เกือบ 3,000 ชนิด ทั้งหมดใช้เวนดอร์ในประเทศไทยเกือบๆ 300 เวนเดอร์ ตรงนี้ในต่างประเทศโมเดลของเฮาส์แบรนด์จะถือเป็นอีก 1 ทางเลือกของลูกค้า แต่ในบ้านเราเฮาส์ แบรนด์เหมือนอยู่ในขั้นเริ่มต้น
- จากภาวะเศรษฐกิจ-กำลังซื้อที่ไม่ค่อยจะดีนัก เทสโก้ โลตัสจะให้น้ำหนักกับสินค้าเฮาส์แบรนด์มากขึ้นหรือไม่
ผมยังมองต่างมุมว่ากำลังซื้อไม่แย่ (หัวเราะ) วันนี้ลูกค้าเขามีความละเอียดในการซื้อมากขึ้น อะไรที่เป็นของจำเป็น เขาก็จะยังซื้ออยู่
หากเราทำสินค้าให้ดีขึ้น แต่ถูกลง ลูกค้าก็สามารถซื้อได้ แม้ว่ารายได้ของลูกค้าอาจจะมีจำกัด มันขึ้นอยู่กับว่า เรา response กับสภาวะเศรษฐกิจได้ช้า เร็วอย่างไร
- ทุกวันนี้ค่าครองชีพสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
ผลกระทบจากค่าน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ตอนนี้ลูกค้าจะมาจับจ่ายใช้สอยเดือนละ 1 ครั้ง จากเดิมอาจจะมาอาทิตย์ละครั้ง หรือ 2 อาทิตย์ครั้ง
แต่การมาเดือนละครั้งนี้ก็พบว่า เขาซื้อมากขึ้น และการที่นานๆ มาทีหนึ่งวอลุ่มก็จะน้อยลง ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย ยอดขายก็จะมีอัตราการเติบโตที่น้อยลง
สิ่งที่เทสโก้ โลตัสทำ ก็คือว่าเมื่อลูกค้าไม่อยากเสียเวลาเดินทางมาบ่อยๆ เราก็เข้าไปหาลูกค้าเอง และจะต้องวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าว่า เวลาเขาซื้อทุกวัน ลักษณะการซื้อเป็นเหมือนกันทุกวันใช่หรือไม่ คำตอบก็คือไม่ใช่ การซื้อประจำเดือนเขาก็จะมีพฤติกรรมอย่างหนึ่ง และส่วนใหญ่ก็จะเป็นการวางแผนไว้ล่วงหน้า แม้ว่าจะวางแผนก็อาจจะต้องมีตกๆ หล่นๆ อยู่บ้าง ตรงนี้หลักๆ จะเป็นการซื้อที่ไฮเปอร์มาร์เก็ต
อีกส่วนหนึ่งก็จะเป็นในลักษณะ weekly shopping คล้ายๆ กับการเก็บสินค้าเข้าสต๊อก ก็จะเป็นตลาดซูเปอร์มาร์เก็ต
ส่วนอะไรที่ไม่ได้มีการวางแผนมาก่อน ตรงนี้ก็จะเป็นโมเดล express ที่ลูกค้าสามารถที่จะเข้ามาได้บ่อยๆ ตามความจำเป็น
การที่เทสโก้ โลตัส มีโมเดลใหม่ๆ ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีอัตราการเติบโตที่มากขึ้น
- ดูเหมือนเทสโก้ โลตัสจะไม่ค่อยกังวลกับปัจจัยลบต่างๆ
เป็นห่วงก็เป็นห่วง แต่เราก็ต้องทำอะไรมากขึ้น สิ่งที่ดูอีกอย่างหนึ่งในตอนนี้ก็คือ อัตราการว่างงาน ซึ่งไม่ได้มากนักและยังอยู่ในเกณฑ์ไม่น่าเป็นห่วง คือมีประมาณ 1% แต่สิ่งที่หลายๆ คนกังวลก็คือ ความไม่มั่นคงในอนาคตว่าจะไม่มีงานทำ หรือกังวลว่าค่าครองชีพจะสูงขึ้น ดังนั้นเทสโก้ โลตัสก็จะต้องปรับตัวให้สอดรับกับพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า
เช่น คนอาจจะเลิกทำกับข้าวทานที่บ้านเพราะราคาสูง และหันมาซื้อทานมากขึ้น เทสโก้ โลตัสก็ต้องปรับปรุงในส่วนของฟู้ดคอร์ด หรือ ready meal มารับตรงนี้
นี่คือแนวทางที่ยักษ์ค้าปลีก เทสโก้ โลตัส กำลังจะดำเนินต่อไป
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0207
-
- Verified User
- โพสต์: 497
- ผู้ติดตาม: 0
modern trade and household
โพสต์ที่ 119
ช้าไปแล้ว "พ.ร.บ.ค้าปลีกค้าส่ง" หลังโมเดิร์นเทรด 1,086 สาขารุกทั่วประเทศ
ในช่วง 1 ปีของรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อาจเรียกได้ว่า เป็นช่วงระยะเวลาแห่งการเสียเปล่า เมื่อกระทรวงพาณิชย์ไม่สามารถผลักดันร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง พ.ศ. ... ให้มีผลบังคับใช้ได้สำเร็จ ในขณะที่ผู้ประกอบการห้าง ค้าปลีกสมัยใหม่ (modern trade) เองกลับรีบเร่งรุกขยายสาขาออกไปทั่วประเทศ จนไม่แน่ใจว่า หากรัฐบาลชุดปัจจุบันของ นายสมัคร สุนทรเวช คิดที่จะ "ปัดฝุ่น" ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ให้มีผลบังคับใช้แล้ว จะทันต่อสถานการณ์ช่วยรักษาชีวิตของร้านค้าปลีกรายเล็กภายในประเทศหรือไม่ ในเมื่อ "สาขา" ของโมเดิร์นเทรดในปัจจุบันได้รุกครอบคลุมการขายทั่วประเทศไปเรียบร้อยแล้วผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" ได้สำรวจความเคลื่อนไหวของห้างค้าปลีกสมัยใหม่ (modern trade) หลังจากผ่านพ้นการทำงานของรัฐบาลชุดของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา โดยที่ยังไม่สามารถยกร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง พ.ศ. ...ออกมามีผลบังคับใช้ได้สำเร็จ ปรากฏจากการรวบรวมสถิติการขยายสาขา พบว่ามีห้างค้าปลีกสมัยใหม่ทุกประเภทขยายสาขาเพิ่มขึ้นถึง 1,113 สาขา หรือ จาก 5,078 สาขา ในปี 2549 มาเป็น 6,191 สาขา ในปี 2550 โดยประเภท convenience store พบว่า เซเว่นอีเลฟเว่นมีการขยายสาขามากที่สุด 658 แห่ง รองลงมาได้แก่โมเดิร์นเทรดที่ขายสินค้าเฉพาะ (วัตสัน-เพาเวอร์บาย) ขยายสาขาเพิ่มขึ้นจาก 381 สาขา เป็น 751 สาขาขณะที่ modern trade ประเภท hypermarket/supercenter พบว่าเทสโก้ โลตัส มีการขยายสาขามากที่สุด รวมทั้งหมด 112 สาขา โดยเป็นการขยายสาขาของ โลตัส เอ็กซ์เพรส ถึง 98 สาขา, ตลาดโลตัส 8 สาขา, โลตัสแวลู่ 4 สาขา และ ไฮเปอร์มาร์เก็ต 2 สาขา ด้านห้างแม็คโครมีการขยายสาขาเพียง 11 สาขา, คาร์ฟูร์ขยายสาขาเพียง 3 สาขา ส่วนบิ๊กซีไม่มีการขยายสาขาเพิ่มขึ้นเลย ล่าสุดมีรายงานข่าวเข้ามาว่า ในปี 2551 ห้างโมเดิร์นเทรดกลุ่ม hypermarket/supermarket ได้แจ้งแผนการขยายสาขาต่อกระทรวงพาณิชย์มาแล้วประมาณ 98 แห่ง โดยในจำนวนนี้มีเทสโก้ โลตัส คาดว่าจะขยายสาขาเพิ่มขึ้นอีก 72 แห่ง แบ่งเป็นไฮเปอร์มาร์เก็ต 6 แห่ง, ตลาด 8 แห่ง, เอ็กซ์เพรส 52 แห่ง และเทสโก้ แวลู่ 6 แห่ง ขณะที่บิ๊กซีแจ้งแผนการขยาย 13 แห่ง ส่วนคาร์ฟูร์-แม็คโครยังไม่ได้แจ้งแผนการขยายสาขา นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมจะเสนอความคืบหน้าของการดำเนินการดูแลระบบค้าปลีกค้าส่งต่อ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในเร็วๆ นี้ เพื่อให้ระดับนโยบายพิจารณาว่า จะดำเนินการอย่างไร และประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงคมนาคม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการดูแลกลุ่มผู้ประกอบการ รายย่อยในระหว่างที่ยังไม่มีกฎหมายค้าปลีกขณะที่กรมการค้าภายในเองก็ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อหารือถึงมาตรการในการดูแลการขยายสาขา โดยเบื้องต้นกรมการค้าภายในเสนอให้ใช้มาตรการตาม พ.ร.บ.ผังเมืองเข้ามาดูแลการขยายสาขา แต่ขอให้แต่ละจังหวัดกำหนดรายละเอียดที่ชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกัน ว่าจะให้ขยายสาขาห่างจากพื้นที่ชุมชนมากน้อยเพียงใด เพราะขณะนี้ในบางจังหวัดไม่มีการกำหนดระยะห่างไว้แล้วอย่างไรก็ตามมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้เกี่ยวข้องในกระทรวงพาณิชย์ถึงการแก้ไขปัญหาระบบค้าปลีกค้าส่ง ซึ่งเป็นปัญหาต่อเนื่องจากรัฐบาลที่ผ่านมา โดยเฉพาะการยกร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง พ.ศ. ...นั้นเชื่อว่า จะไม่ได้รับการพิจารณาในรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งคงเป็นเหมือนรัฐบาลชุดก่อนหน้านี้ที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะกฎหมายฉบับนี้มีความสัมพันธ์กับหลายฝ่าย โดยเฉพาะนักลงทุนจากต่างประเทศ และหากไม่มีการกำหนดกติกาดูแลระบบค้าปลีกค้าส่งที่ชัดเจนย่อมจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยอย่างแน่นอนสำหรับความคืบหน้าของการยกร่าง พ.ร.บ. ค้าปลีกค้าส่ง พ.ศ. ...ได้ยุติถึงขั้นตอนการ พิจารณาของ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ซึ่งมีนายวิษณุ เครืองาม สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นประธานไปแล้ว นั่นหมาย ความว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่สามารถส่งร่างเข้าสู่การพิจารณาของ สนช. วาระ 2 และวาระ 3 ได้ทัน เนื่องจากสิ้นสุดการทำงานของ สนช. หลังจากมีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ทั้งนี้สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง เดิมได้กำหนดให้ผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่ง 3 ประเภทต้องขอ "อนุญาต" ประกอบธุรกิจค้าปลีก ค้าส่งจากกระทรวงพาณิชย์ ประกอบด้วย 1) ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 1,000 ตารางเมตรขึ้นไป 2) ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่มียอดขายตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป และ 3) ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่ซื้อสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาหรือสิทธิอย่างอื่น กล่าวคือ ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ ได้แก่ เทสโก้ โลตัส, บิ๊กซี, คาร์ฟูร์, แม็คโคร หรือห้างสรรพสินค้าทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นเซ็นทรัล, โรบินสัน, เดอะมอลล์, ตั้งฮั่วเส็ง จะต้องมาขออนุญาตในการประกอบธุรกิจ ไม่เว้นแม้แต่ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่มีขนาดเล็ก ซึ่งเป็นสาขาย่อยของค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ เช่น โลตัส เอ็กซ์เพรส ก็ต้องมาขออนุญาต รวมไปถึงร้านสะดวกซื้อต่างๆ ที่มียอดขายรวมกันเกิน 1,000 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา เช่น เซเว่นอีเลฟเว่น, แฟมิลี่มาร์ท, เฟรชมาร์ท เป็นต้น ที่จะต้องมาขออนุญาต โดยรวมไปถึงผู้ที่ซื้อแฟรนไชส์ไปประกอบธุรกิจด้วย ส่วนธุรกิจค้าปลีกค้าส่งอื่นๆ กฎหมายได้ "ยกเว้น" ให้ธุรกิจดังต่อไปนี้ไม่ต้องขออนุญาต คือการขายยา, การค้าน้ำมัน, การขายหนังสือหรือหนังสือพิมพ์, การขายของที่ระลึกตามแหล่งท่องเที่ยว, การขายอัญมณีหรือเครื่องประดับ, การขายอาหารสำเร็จรูป, การขายสินค้าชุมชน ส่วนธุรกิจค้าปลีกค้าส่งอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือจากนี้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง ที่จะเป็นผู้กำหนดออกมาว่า จะให้ขออนุญาตหรือไม่ โดยออกเป็นกฎกระทรวงในภายหลังนอกจากนี้กฎหมายฉบับนี้ยังได้ตัดคณะ กรรมการควบคุมระดับจังหวัดออกไป โดยให้มีเพียงคณะกรรมการส่วนกลางเพียงชุดเดียว เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบาย ออกระเบียบ การพิจารณาใบอนุญาต การจัดทำกฎกระทรวง เพื่อให้มีมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ และยังให้คณะกรรมการฯมีอำนาจในการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจ เช่น กำหนดสถานที่ตั้ง ระยะห่างจากตัวเมือง วันเวลาเปิดปิด การจัดสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภค และหลักเกณฑ์อื่นๆ ที่เห็นว่าจำเป็น โดยในมาตรา 33 ระบุไว้ชัดเจนว่า ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่ดำเนินธุรกิจอยู่ก่อนที่กฎกระทรวงจะมีผลบังคับใช้ ให้ยื่นขออนุญาตภายใน 60 วัน และยังประกอบธุรกิจต่อไปได้ ส่วนที่กำลังอยู่ระหว่างการขออนุญาตก่อสร้างหรือขยายสาขาต้องมาแจ้ง และอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ แต่ที่ได้รับอนุญาตไปแล้วก็สามารถดำเนินการได้ต่อไป
ในช่วง 1 ปีของรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อาจเรียกได้ว่า เป็นช่วงระยะเวลาแห่งการเสียเปล่า เมื่อกระทรวงพาณิชย์ไม่สามารถผลักดันร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง พ.ศ. ... ให้มีผลบังคับใช้ได้สำเร็จ ในขณะที่ผู้ประกอบการห้าง ค้าปลีกสมัยใหม่ (modern trade) เองกลับรีบเร่งรุกขยายสาขาออกไปทั่วประเทศ จนไม่แน่ใจว่า หากรัฐบาลชุดปัจจุบันของ นายสมัคร สุนทรเวช คิดที่จะ "ปัดฝุ่น" ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ให้มีผลบังคับใช้แล้ว จะทันต่อสถานการณ์ช่วยรักษาชีวิตของร้านค้าปลีกรายเล็กภายในประเทศหรือไม่ ในเมื่อ "สาขา" ของโมเดิร์นเทรดในปัจจุบันได้รุกครอบคลุมการขายทั่วประเทศไปเรียบร้อยแล้วผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" ได้สำรวจความเคลื่อนไหวของห้างค้าปลีกสมัยใหม่ (modern trade) หลังจากผ่านพ้นการทำงานของรัฐบาลชุดของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา โดยที่ยังไม่สามารถยกร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง พ.ศ. ...ออกมามีผลบังคับใช้ได้สำเร็จ ปรากฏจากการรวบรวมสถิติการขยายสาขา พบว่ามีห้างค้าปลีกสมัยใหม่ทุกประเภทขยายสาขาเพิ่มขึ้นถึง 1,113 สาขา หรือ จาก 5,078 สาขา ในปี 2549 มาเป็น 6,191 สาขา ในปี 2550 โดยประเภท convenience store พบว่า เซเว่นอีเลฟเว่นมีการขยายสาขามากที่สุด 658 แห่ง รองลงมาได้แก่โมเดิร์นเทรดที่ขายสินค้าเฉพาะ (วัตสัน-เพาเวอร์บาย) ขยายสาขาเพิ่มขึ้นจาก 381 สาขา เป็น 751 สาขาขณะที่ modern trade ประเภท hypermarket/supercenter พบว่าเทสโก้ โลตัส มีการขยายสาขามากที่สุด รวมทั้งหมด 112 สาขา โดยเป็นการขยายสาขาของ โลตัส เอ็กซ์เพรส ถึง 98 สาขา, ตลาดโลตัส 8 สาขา, โลตัสแวลู่ 4 สาขา และ ไฮเปอร์มาร์เก็ต 2 สาขา ด้านห้างแม็คโครมีการขยายสาขาเพียง 11 สาขา, คาร์ฟูร์ขยายสาขาเพียง 3 สาขา ส่วนบิ๊กซีไม่มีการขยายสาขาเพิ่มขึ้นเลย ล่าสุดมีรายงานข่าวเข้ามาว่า ในปี 2551 ห้างโมเดิร์นเทรดกลุ่ม hypermarket/supermarket ได้แจ้งแผนการขยายสาขาต่อกระทรวงพาณิชย์มาแล้วประมาณ 98 แห่ง โดยในจำนวนนี้มีเทสโก้ โลตัส คาดว่าจะขยายสาขาเพิ่มขึ้นอีก 72 แห่ง แบ่งเป็นไฮเปอร์มาร์เก็ต 6 แห่ง, ตลาด 8 แห่ง, เอ็กซ์เพรส 52 แห่ง และเทสโก้ แวลู่ 6 แห่ง ขณะที่บิ๊กซีแจ้งแผนการขยาย 13 แห่ง ส่วนคาร์ฟูร์-แม็คโครยังไม่ได้แจ้งแผนการขยายสาขา นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมจะเสนอความคืบหน้าของการดำเนินการดูแลระบบค้าปลีกค้าส่งต่อ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในเร็วๆ นี้ เพื่อให้ระดับนโยบายพิจารณาว่า จะดำเนินการอย่างไร และประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงคมนาคม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการดูแลกลุ่มผู้ประกอบการ รายย่อยในระหว่างที่ยังไม่มีกฎหมายค้าปลีกขณะที่กรมการค้าภายในเองก็ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อหารือถึงมาตรการในการดูแลการขยายสาขา โดยเบื้องต้นกรมการค้าภายในเสนอให้ใช้มาตรการตาม พ.ร.บ.ผังเมืองเข้ามาดูแลการขยายสาขา แต่ขอให้แต่ละจังหวัดกำหนดรายละเอียดที่ชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกัน ว่าจะให้ขยายสาขาห่างจากพื้นที่ชุมชนมากน้อยเพียงใด เพราะขณะนี้ในบางจังหวัดไม่มีการกำหนดระยะห่างไว้แล้วอย่างไรก็ตามมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้เกี่ยวข้องในกระทรวงพาณิชย์ถึงการแก้ไขปัญหาระบบค้าปลีกค้าส่ง ซึ่งเป็นปัญหาต่อเนื่องจากรัฐบาลที่ผ่านมา โดยเฉพาะการยกร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง พ.ศ. ...นั้นเชื่อว่า จะไม่ได้รับการพิจารณาในรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งคงเป็นเหมือนรัฐบาลชุดก่อนหน้านี้ที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะกฎหมายฉบับนี้มีความสัมพันธ์กับหลายฝ่าย โดยเฉพาะนักลงทุนจากต่างประเทศ และหากไม่มีการกำหนดกติกาดูแลระบบค้าปลีกค้าส่งที่ชัดเจนย่อมจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยอย่างแน่นอนสำหรับความคืบหน้าของการยกร่าง พ.ร.บ. ค้าปลีกค้าส่ง พ.ศ. ...ได้ยุติถึงขั้นตอนการ พิจารณาของ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ซึ่งมีนายวิษณุ เครืองาม สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นประธานไปแล้ว นั่นหมาย ความว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่สามารถส่งร่างเข้าสู่การพิจารณาของ สนช. วาระ 2 และวาระ 3 ได้ทัน เนื่องจากสิ้นสุดการทำงานของ สนช. หลังจากมีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ทั้งนี้สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง เดิมได้กำหนดให้ผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่ง 3 ประเภทต้องขอ "อนุญาต" ประกอบธุรกิจค้าปลีก ค้าส่งจากกระทรวงพาณิชย์ ประกอบด้วย 1) ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ตั้งแต่ 1,000 ตารางเมตรขึ้นไป 2) ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่มียอดขายตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป และ 3) ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่ซื้อสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาหรือสิทธิอย่างอื่น กล่าวคือ ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ ได้แก่ เทสโก้ โลตัส, บิ๊กซี, คาร์ฟูร์, แม็คโคร หรือห้างสรรพสินค้าทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นเซ็นทรัล, โรบินสัน, เดอะมอลล์, ตั้งฮั่วเส็ง จะต้องมาขออนุญาตในการประกอบธุรกิจ ไม่เว้นแม้แต่ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่มีขนาดเล็ก ซึ่งเป็นสาขาย่อยของค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ เช่น โลตัส เอ็กซ์เพรส ก็ต้องมาขออนุญาต รวมไปถึงร้านสะดวกซื้อต่างๆ ที่มียอดขายรวมกันเกิน 1,000 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา เช่น เซเว่นอีเลฟเว่น, แฟมิลี่มาร์ท, เฟรชมาร์ท เป็นต้น ที่จะต้องมาขออนุญาต โดยรวมไปถึงผู้ที่ซื้อแฟรนไชส์ไปประกอบธุรกิจด้วย ส่วนธุรกิจค้าปลีกค้าส่งอื่นๆ กฎหมายได้ "ยกเว้น" ให้ธุรกิจดังต่อไปนี้ไม่ต้องขออนุญาต คือการขายยา, การค้าน้ำมัน, การขายหนังสือหรือหนังสือพิมพ์, การขายของที่ระลึกตามแหล่งท่องเที่ยว, การขายอัญมณีหรือเครื่องประดับ, การขายอาหารสำเร็จรูป, การขายสินค้าชุมชน ส่วนธุรกิจค้าปลีกค้าส่งอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือจากนี้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง ที่จะเป็นผู้กำหนดออกมาว่า จะให้ขออนุญาตหรือไม่ โดยออกเป็นกฎกระทรวงในภายหลังนอกจากนี้กฎหมายฉบับนี้ยังได้ตัดคณะ กรรมการควบคุมระดับจังหวัดออกไป โดยให้มีเพียงคณะกรรมการส่วนกลางเพียงชุดเดียว เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบาย ออกระเบียบ การพิจารณาใบอนุญาต การจัดทำกฎกระทรวง เพื่อให้มีมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ และยังให้คณะกรรมการฯมีอำนาจในการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจ เช่น กำหนดสถานที่ตั้ง ระยะห่างจากตัวเมือง วันเวลาเปิดปิด การจัดสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภค และหลักเกณฑ์อื่นๆ ที่เห็นว่าจำเป็น โดยในมาตรา 33 ระบุไว้ชัดเจนว่า ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่ดำเนินธุรกิจอยู่ก่อนที่กฎกระทรวงจะมีผลบังคับใช้ ให้ยื่นขออนุญาตภายใน 60 วัน และยังประกอบธุรกิจต่อไปได้ ส่วนที่กำลังอยู่ระหว่างการขออนุญาตก่อสร้างหรือขยายสาขาต้องมาแจ้ง และอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ แต่ที่ได้รับอนุญาตไปแล้วก็สามารถดำเนินการได้ต่อไป
-
- Verified User
- โพสต์: 497
- ผู้ติดตาม: 0
modern trade and household
โพสต์ที่ 120
กระหน่ำ"คูปองส่วนลด"กระตุ้น ค้าปลีกเพิ่มความแรงมิดไนท์เซล
ค้าปลีกรับซัมเมอร์กระหน่ำโปรโมชั่นรับอารมณ์การจับจ่ายดีดกลับ ค่าย"เซ็นทรัล" ชิงธงเพิ่มดีกรีความแรงฉลอง 20 ปี มิดไนท์เซล ย้ำต้นตำรับ พร้อมงัดทีเด็ดแจกคูปองเงินสดกระตุ้น ขณะที่พารากอน-เอ็มโพเรียม ไม่น้อยหน้า ชู "อัลติเมทเซล" ชนหวังตรึงขาช้อปปันใจ ก่อนจัดแคมเปญใหญ่รับปิดเทอม-จับกลุ่มครอบครัวปลายมีนาฯต้นเมษาฯ คาร์ฟูร์-โลตัสไม่ยอมตกขบวนโดดร่วมแจมแม้ว่าแคมเปญส่งเสริมการขายสำหรับช่วงหน้าร้อนของบรรดาศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า จะถือเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปกติในทุกๆ ปี แต่สำหรับหน้าขายทีกำลังจะมาถึงนี้ ประกอบกับในแง่ของอารมย์การจับจ่ายที่เริ่มดีขึ้น ทำให้หลายๆ ค่ายต้องเพิ่มความแรงของแคมเปญและลูกเล่นทางการตลาดทีต้องการจะกระตุ้นตัดสินใจและยอมควักกระเป๋าจับจ่ายมากกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา
เซ็นทรัลย้ำจุดแข็งมิดไนท์เซล
นางสาวปิยวรรณ ลีละสมภพ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการตลาด บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มลงตัวมากขึ้น ส่งผลต่ออารมณ์การจับจ่ายของผู้บริโภคซึ่งบริษัทมองว่ามีแนวโน้มเป็นบวก ห้างเซ็นทรัลทั้ง 12 สาขาจึงร่วมกับ ห้างเซน จัดกิจกรรมทางการตลาดครั้งใหญ่ ด้วยแคมเปญ 20 ปี เซ็นทรัล มิดไนท์เซล ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์-2 มีนาคมนี้ รวม 5 วัน ซึ่งเป็นการจัดที่ใหญ่กว่าทุกปีที่ผ่านมา เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในการจัดรายการมิดไนท์เซล ครั้งนี้ได้ทุ่มงบฯการตลาดกว่า 50 ล้านบาท จากงบฯการตลาดสำหรับไตรมาสแรก 180 ล้านบาท และเป็นครั้งแรกที่ได้ทำหนังโฆษณาสำหรับแคมเปญนี้ด้วยโดยเฉพาะ และเป็นการจับมือกับบัตรเครดิตถึง 7 ค่ายใหญ่นางสาวปิยวรรณย้ำว่า แคมเปญ 20 ปี เซ็นทรัล มิดไนท์เซล ปีนี้มีความยิ่งใหญ่มากกว่าทุกๆ ปี และถือเป็นการคืนกำไรครั้งใหญ่มากถึง 3 ต่อ คือ นอกจาก การลดราคาสินค้า 30-70% แล้วยังมีคูปองชิงโชคเซ็นทรัล กิฟท์ การ์ด มูลค่า 2 ล้านบาท และคะแนนสะสมเดอะวันการ์ด รวม 20 ล้านคะแนน ซึ่งถือว่าสูงมากอย่างไม่เคยทำมาก่อน รวมทั้ง เมื่อลูกค้าที่ซื้อสินค้าครบตามเงื่อนไข สามารถรับคูปองแทนเงินสด 200-2,500 บาท"มั่นใจว่าแคมเปญนี้จะสร้างยอดขายได้ถึง 600 ล้านบาท หรือเติบโต 12% จากช่วงเดียวกันของ ปีก่อน และยอดขายในช่วงไตรมาสแรกนี้คาดว่าจะมีประมาณ 6,000 ล้านบาท"
งัดซีอาร์เอ็มเจาะคอร์ทาร์เก็ต
นางสาวปิยวรรณกล่าวว่า ตลอดทั้งปีบริษัทจะใช้งบฯสำหรับซีอาร์เอ็ม เพื่อเข้าถึงลูกค้าที่มีผลต่อการซื้อโดยตรง โดยเฉพาะลูกค้าที่ถือบัตรเซ็นทรัลการ์ด, เซ็นทรัล มาสเตอร์การ์ด กว่า 7 แสนราย และลูกค้าที่ถือบัตรเดอะวันการ์ดอีก 1.7 ล้านราย ซึ่งลูกค้าทั้งหมดนี้เป็นกลุ่มที่มีแบรนด์ลอยัลตี้กับเซ็นทรัล และคาดหวังว่าจากลูกค้ากลุ่มนี้เมื่อมีแคมเปญเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ ก็จะทำให้เกิดการใช้จ่ายอย่างสม่ำเสมอผู้สื่อข่าวรายงานว่า หากสังเกตจะเห็นได้ว่า เซ็นทรัล จะเน้นกับลูกค้าที่ซื้อสินค้าผ่านบัตรเครดิตเซ็นทรัลการ์ด ครบ 5,000 บาท รับบัตรของขวัญ 300 บาท (28 กุมภาฯ-2 มีนาฯ) และ 400 บาท (preview day) และรับเพิ่มคูปองเงินสด เมื่อซื้อทุก 4,000 บาท รับคูปองเงินสด 200 บาท ไปจนถึงซื้อครบ 25,000 บาท รับคูปองเงินสด 2,500 บาท หรือลูกค้าซื้อสินค้าด้วยบัตรเครดิต ไทยพาณิชย์ ก็จะได้สิทธิพิเศษ เช่น คูปองแทนเงินสดสูงสุด 18% บวกกับส่วนลดเพิ่มสูงสุดกว่า 7%
ขณะที่นักการตลาดรายหนึ่งแสดงความเป็นว่า การใช้ลูกเงินในลักษณะคูปองส่วนลดนี้ถือเป็นกลยุทธ์ที่ได้ผลมาก เนื่องจากลูกค้าสามารถใช้แทนเป็นเงินสดได้ และทำใหลูกค้าสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น"นอกจากนี้ การจัดกิจกรรมในลักษณะของ แอนนิแวร์ซอรี่ อีเวนต์ ซึ่งปีที่ผ่านมา เซ็นทรัล ได้จัดกิจกรรมฉลองครบรอบ 60 ปี ก็ประสบความสำเร็จอย่างสูง และคาดว่าการจัดแอนนิแวอร์ซารี่ อีเวนต์ กับมิดไนท์เซล ที่เซ็นทรัล เป็นค่ายแรกที่จัดก็น่าจะได้รับการตอบรับดีเช่นกัน"
เดอะมอลล์งัด "อัลติเมท เซล" ชน
แหล่งข่าวจากบริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ทั้งในส่วนของศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าอยู่ระหว่างการเตรียมจะจัดแคมเปญสำหรับรับหน้าร้อน รวมทั้งมิดไนท์เซล ซึ่งตามกำหนดการจะเริ่มจัดในช่วงปลายเดือนมีนาคม และจะคาบเกี่ยวกันไปถึงช่วงเดือนเมษายน โดยหลักๆ จะเป็นกิจกรรมที่รับกับช่วงปิดเทอม และนอกเหนือจากโปรโมชั่นราคาที่จะเป็นการลดราคาทุกชั้นทุกแผนกแล้ว เดอะมอลล์จะเน้นกิจกรรมที่เน้นกลุ่มครอบครัว-การศึกษาเป็นหลักผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้ว่าค่ายเดอะมอลล์จะยังอยู่ระหว่างการเตรียมจัดแคมเปญใหญ่ ดังกล่าว แต่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ในส่วนของ ห้างเดอะมอลล์ทุกสาขาก็ได้จัดแคมเปญเดอะมอลล์ลดกระหน่ำ ในช่วงวันที่ 28 กุมภาพันธ์-9 มีนาคม ทุกชั้นทุกแผนกลดราคาพิเศษ 30-50% และช็อปครบ 500 บาท รับสิทธิแลกซื้อสินค้า Super Shock ในราคาพิเศษ อาทิ บัตรกำนัลห้องพัก บลูทูท เป็นต้นขณะที่พารากอน ดีพาร์ทเมนต์สโตร์ และดิ เอ็มโพเรียม ได้จัดแคมเปญอัลติเมทเซล ในรายการอัลติเมท แบรนด์เนม โดยลดราคา 30-50% (เฉพาะแบรนด์ที่เข้าร่วมรายการ) ในช่วงวันที่ 28 กุมภาพันธ์-9 มีนาคม นอกจากนี้ หากซื้อครบ 1,000 บาท ลุ้นแพ็กเกจห้องพัก เดอะ วิลเลจ รีสอร์ต & สปา 3 วัน 2 คืน จำนวน 22 รางวัล มูลค่ากว่า 8 แสนบาท ขณะที่นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพารากอน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้ภาพรวมของตลาดรีเทลมีทิศทางดีขึ้น สำหรับพารากอน ในส่วนของศูนย์การค้าที่ตนดูแลอยู่มีแผนจะจัดกิจกรรมและอีเวนต์ 150 ครั้ง ด้วยงบฯ 500 ล้านบาท ล่าสุดได้จับมือกับกล้องแคนนอนและแบรนด์ซุปไก่สกัด จัดงาน "เนเชอรัล วันเดอร์ ยัง เอ็กซ์พลอเรอร์ แอท สยามพารากอน" ในช่วง 1-9 มีนาคมนี้ ด้วยการจัดพื้นที่ 1.5 หมื่น บนชั้น 4 สำหรับกิจกรรมต่างๆ ซึ่งจะเป็น 1 ในแคมเปญใหญ่เพื่อดึงดูดให้คนเข้ามาในพารากอนมากขึ้น โดยเฉพาะเด็กๆ คาดว่าภายในงานจะสามารถดึงคนเข้ามา 5-8 แสนคน จากปกติ 1-1.5 แสนคนต่อวันรายงานข่าวจากห้างสรรพสินค้าโรบินสัน กล่าวว่า ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงกล่างเดือนมีนาคม โรบินสันก็ได้จัดแคมเปญส่งเสริมการขายในรายการ มาย บิวตี้ เอเชียน บิวตี้ ชิก ด้วยการนำเครื่องสำอางแบรนด์ดัง น้ำหอม มาลดราคาพิเศษ พร้อมกับกิจกรรมสะสมสแตมป์ เพื่อแลกของพรีเมียมต่างๆ
โลตัส-คาร์ฟูร์ โดดร่วมแจม
ดร.ดามพ์ สุคนธทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์และกฎหมาย บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้โดยภาพรวม หลังจากที่มีการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อย และได้แถลงนโยบายไปแล้วในแง่ของอารมณ์การจับจ่ายโดยทั่วๆ ไปก็ดีขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าดีมาก และสำหรับแนวทางการทำการตลาดของเทสโก้ โลตัสก็คงไม่มีกิจกรรมอะไรขึ้นมารองรับเป็นพิเศษ จะมีบ้างก็เฉพาะกิจกรรมหรือโปรโมชั่นที่ทำอยู่เป็นปกติ อย่างกรณีของหน้าร้อนที่กำลังจะมาถึง นอกจากในเรื่องของเสื้อผ้าเฮาส์แบรนด์ที่จะมี คอลเล็กชั่นใหม่ๆ แล้ว ก็จะมีสินค้าในส่วนของอุปกรณ์ท่องเที่ยวหรือแคมปิ้งช่วงหน้าร้อนออกมารายงานข่าวจากบริษัท เซ็นคาร์ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 29 กุมภาพันธ์-27 มีนาคม คาร์ฟูร์ได้จัดแคมเปญฉลองครบรอบ 12 ปี คาร์ฟูร์ ประเทศไทย ด้วยการมอบส่วนลด โดยเมื่อซื้อสินค้าครบ 1,000 บาท ลุ้นรับคูปองส่วนลด 3%, 5%, 10%, 20% และ 50%
ค้าปลีกรับซัมเมอร์กระหน่ำโปรโมชั่นรับอารมณ์การจับจ่ายดีดกลับ ค่าย"เซ็นทรัล" ชิงธงเพิ่มดีกรีความแรงฉลอง 20 ปี มิดไนท์เซล ย้ำต้นตำรับ พร้อมงัดทีเด็ดแจกคูปองเงินสดกระตุ้น ขณะที่พารากอน-เอ็มโพเรียม ไม่น้อยหน้า ชู "อัลติเมทเซล" ชนหวังตรึงขาช้อปปันใจ ก่อนจัดแคมเปญใหญ่รับปิดเทอม-จับกลุ่มครอบครัวปลายมีนาฯต้นเมษาฯ คาร์ฟูร์-โลตัสไม่ยอมตกขบวนโดดร่วมแจมแม้ว่าแคมเปญส่งเสริมการขายสำหรับช่วงหน้าร้อนของบรรดาศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า จะถือเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปกติในทุกๆ ปี แต่สำหรับหน้าขายทีกำลังจะมาถึงนี้ ประกอบกับในแง่ของอารมย์การจับจ่ายที่เริ่มดีขึ้น ทำให้หลายๆ ค่ายต้องเพิ่มความแรงของแคมเปญและลูกเล่นทางการตลาดทีต้องการจะกระตุ้นตัดสินใจและยอมควักกระเป๋าจับจ่ายมากกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา
เซ็นทรัลย้ำจุดแข็งมิดไนท์เซล
นางสาวปิยวรรณ ลีละสมภพ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการตลาด บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มลงตัวมากขึ้น ส่งผลต่ออารมณ์การจับจ่ายของผู้บริโภคซึ่งบริษัทมองว่ามีแนวโน้มเป็นบวก ห้างเซ็นทรัลทั้ง 12 สาขาจึงร่วมกับ ห้างเซน จัดกิจกรรมทางการตลาดครั้งใหญ่ ด้วยแคมเปญ 20 ปี เซ็นทรัล มิดไนท์เซล ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์-2 มีนาคมนี้ รวม 5 วัน ซึ่งเป็นการจัดที่ใหญ่กว่าทุกปีที่ผ่านมา เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในการจัดรายการมิดไนท์เซล ครั้งนี้ได้ทุ่มงบฯการตลาดกว่า 50 ล้านบาท จากงบฯการตลาดสำหรับไตรมาสแรก 180 ล้านบาท และเป็นครั้งแรกที่ได้ทำหนังโฆษณาสำหรับแคมเปญนี้ด้วยโดยเฉพาะ และเป็นการจับมือกับบัตรเครดิตถึง 7 ค่ายใหญ่นางสาวปิยวรรณย้ำว่า แคมเปญ 20 ปี เซ็นทรัล มิดไนท์เซล ปีนี้มีความยิ่งใหญ่มากกว่าทุกๆ ปี และถือเป็นการคืนกำไรครั้งใหญ่มากถึง 3 ต่อ คือ นอกจาก การลดราคาสินค้า 30-70% แล้วยังมีคูปองชิงโชคเซ็นทรัล กิฟท์ การ์ด มูลค่า 2 ล้านบาท และคะแนนสะสมเดอะวันการ์ด รวม 20 ล้านคะแนน ซึ่งถือว่าสูงมากอย่างไม่เคยทำมาก่อน รวมทั้ง เมื่อลูกค้าที่ซื้อสินค้าครบตามเงื่อนไข สามารถรับคูปองแทนเงินสด 200-2,500 บาท"มั่นใจว่าแคมเปญนี้จะสร้างยอดขายได้ถึง 600 ล้านบาท หรือเติบโต 12% จากช่วงเดียวกันของ ปีก่อน และยอดขายในช่วงไตรมาสแรกนี้คาดว่าจะมีประมาณ 6,000 ล้านบาท"
งัดซีอาร์เอ็มเจาะคอร์ทาร์เก็ต
นางสาวปิยวรรณกล่าวว่า ตลอดทั้งปีบริษัทจะใช้งบฯสำหรับซีอาร์เอ็ม เพื่อเข้าถึงลูกค้าที่มีผลต่อการซื้อโดยตรง โดยเฉพาะลูกค้าที่ถือบัตรเซ็นทรัลการ์ด, เซ็นทรัล มาสเตอร์การ์ด กว่า 7 แสนราย และลูกค้าที่ถือบัตรเดอะวันการ์ดอีก 1.7 ล้านราย ซึ่งลูกค้าทั้งหมดนี้เป็นกลุ่มที่มีแบรนด์ลอยัลตี้กับเซ็นทรัล และคาดหวังว่าจากลูกค้ากลุ่มนี้เมื่อมีแคมเปญเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ ก็จะทำให้เกิดการใช้จ่ายอย่างสม่ำเสมอผู้สื่อข่าวรายงานว่า หากสังเกตจะเห็นได้ว่า เซ็นทรัล จะเน้นกับลูกค้าที่ซื้อสินค้าผ่านบัตรเครดิตเซ็นทรัลการ์ด ครบ 5,000 บาท รับบัตรของขวัญ 300 บาท (28 กุมภาฯ-2 มีนาฯ) และ 400 บาท (preview day) และรับเพิ่มคูปองเงินสด เมื่อซื้อทุก 4,000 บาท รับคูปองเงินสด 200 บาท ไปจนถึงซื้อครบ 25,000 บาท รับคูปองเงินสด 2,500 บาท หรือลูกค้าซื้อสินค้าด้วยบัตรเครดิต ไทยพาณิชย์ ก็จะได้สิทธิพิเศษ เช่น คูปองแทนเงินสดสูงสุด 18% บวกกับส่วนลดเพิ่มสูงสุดกว่า 7%
ขณะที่นักการตลาดรายหนึ่งแสดงความเป็นว่า การใช้ลูกเงินในลักษณะคูปองส่วนลดนี้ถือเป็นกลยุทธ์ที่ได้ผลมาก เนื่องจากลูกค้าสามารถใช้แทนเป็นเงินสดได้ และทำใหลูกค้าสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น"นอกจากนี้ การจัดกิจกรรมในลักษณะของ แอนนิแวร์ซอรี่ อีเวนต์ ซึ่งปีที่ผ่านมา เซ็นทรัล ได้จัดกิจกรรมฉลองครบรอบ 60 ปี ก็ประสบความสำเร็จอย่างสูง และคาดว่าการจัดแอนนิแวอร์ซารี่ อีเวนต์ กับมิดไนท์เซล ที่เซ็นทรัล เป็นค่ายแรกที่จัดก็น่าจะได้รับการตอบรับดีเช่นกัน"
เดอะมอลล์งัด "อัลติเมท เซล" ชน
แหล่งข่าวจากบริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ทั้งในส่วนของศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าอยู่ระหว่างการเตรียมจะจัดแคมเปญสำหรับรับหน้าร้อน รวมทั้งมิดไนท์เซล ซึ่งตามกำหนดการจะเริ่มจัดในช่วงปลายเดือนมีนาคม และจะคาบเกี่ยวกันไปถึงช่วงเดือนเมษายน โดยหลักๆ จะเป็นกิจกรรมที่รับกับช่วงปิดเทอม และนอกเหนือจากโปรโมชั่นราคาที่จะเป็นการลดราคาทุกชั้นทุกแผนกแล้ว เดอะมอลล์จะเน้นกิจกรรมที่เน้นกลุ่มครอบครัว-การศึกษาเป็นหลักผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้ว่าค่ายเดอะมอลล์จะยังอยู่ระหว่างการเตรียมจัดแคมเปญใหญ่ ดังกล่าว แต่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ในส่วนของ ห้างเดอะมอลล์ทุกสาขาก็ได้จัดแคมเปญเดอะมอลล์ลดกระหน่ำ ในช่วงวันที่ 28 กุมภาพันธ์-9 มีนาคม ทุกชั้นทุกแผนกลดราคาพิเศษ 30-50% และช็อปครบ 500 บาท รับสิทธิแลกซื้อสินค้า Super Shock ในราคาพิเศษ อาทิ บัตรกำนัลห้องพัก บลูทูท เป็นต้นขณะที่พารากอน ดีพาร์ทเมนต์สโตร์ และดิ เอ็มโพเรียม ได้จัดแคมเปญอัลติเมทเซล ในรายการอัลติเมท แบรนด์เนม โดยลดราคา 30-50% (เฉพาะแบรนด์ที่เข้าร่วมรายการ) ในช่วงวันที่ 28 กุมภาพันธ์-9 มีนาคม นอกจากนี้ หากซื้อครบ 1,000 บาท ลุ้นแพ็กเกจห้องพัก เดอะ วิลเลจ รีสอร์ต & สปา 3 วัน 2 คืน จำนวน 22 รางวัล มูลค่ากว่า 8 แสนบาท ขณะที่นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพารากอน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้ภาพรวมของตลาดรีเทลมีทิศทางดีขึ้น สำหรับพารากอน ในส่วนของศูนย์การค้าที่ตนดูแลอยู่มีแผนจะจัดกิจกรรมและอีเวนต์ 150 ครั้ง ด้วยงบฯ 500 ล้านบาท ล่าสุดได้จับมือกับกล้องแคนนอนและแบรนด์ซุปไก่สกัด จัดงาน "เนเชอรัล วันเดอร์ ยัง เอ็กซ์พลอเรอร์ แอท สยามพารากอน" ในช่วง 1-9 มีนาคมนี้ ด้วยการจัดพื้นที่ 1.5 หมื่น บนชั้น 4 สำหรับกิจกรรมต่างๆ ซึ่งจะเป็น 1 ในแคมเปญใหญ่เพื่อดึงดูดให้คนเข้ามาในพารากอนมากขึ้น โดยเฉพาะเด็กๆ คาดว่าภายในงานจะสามารถดึงคนเข้ามา 5-8 แสนคน จากปกติ 1-1.5 แสนคนต่อวันรายงานข่าวจากห้างสรรพสินค้าโรบินสัน กล่าวว่า ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงกล่างเดือนมีนาคม โรบินสันก็ได้จัดแคมเปญส่งเสริมการขายในรายการ มาย บิวตี้ เอเชียน บิวตี้ ชิก ด้วยการนำเครื่องสำอางแบรนด์ดัง น้ำหอม มาลดราคาพิเศษ พร้อมกับกิจกรรมสะสมสแตมป์ เพื่อแลกของพรีเมียมต่างๆ
โลตัส-คาร์ฟูร์ โดดร่วมแจม
ดร.ดามพ์ สุคนธทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์และกฎหมาย บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้โดยภาพรวม หลังจากที่มีการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อย และได้แถลงนโยบายไปแล้วในแง่ของอารมณ์การจับจ่ายโดยทั่วๆ ไปก็ดีขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าดีมาก และสำหรับแนวทางการทำการตลาดของเทสโก้ โลตัสก็คงไม่มีกิจกรรมอะไรขึ้นมารองรับเป็นพิเศษ จะมีบ้างก็เฉพาะกิจกรรมหรือโปรโมชั่นที่ทำอยู่เป็นปกติ อย่างกรณีของหน้าร้อนที่กำลังจะมาถึง นอกจากในเรื่องของเสื้อผ้าเฮาส์แบรนด์ที่จะมี คอลเล็กชั่นใหม่ๆ แล้ว ก็จะมีสินค้าในส่วนของอุปกรณ์ท่องเที่ยวหรือแคมปิ้งช่วงหน้าร้อนออกมารายงานข่าวจากบริษัท เซ็นคาร์ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 29 กุมภาพันธ์-27 มีนาคม คาร์ฟูร์ได้จัดแคมเปญฉลองครบรอบ 12 ปี คาร์ฟูร์ ประเทศไทย ด้วยการมอบส่วนลด โดยเมื่อซื้อสินค้าครบ 1,000 บาท ลุ้นรับคูปองส่วนลด 3%, 5%, 10%, 20% และ 50%