เรียนถามเรื่องการกู้เงินครับ
- crazyrisk
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4562
- ผู้ติดตาม: 0
เรียนถามเรื่องการกู้เงินครับ
โพสต์ที่ 1
ในหนังสือจิตวิทยาการลงทุนนั้นพูดถึงการกู้เงินว่า
ระหว่างการกู้ 3 ปี กับ 15 ปีนั้น
หากกู้ 3 ปี ดอกแพงกว่า เสียดอก 15 %
หากกู้ 15 ปี นั้นเสียดอกแค่ 11
เขาไปสำรวจพบว่า คนส่วนใหญ่เลือกกู้แค่ 3 ปี เพราะเอารมณ์มาจับว่าไ่ม่อยากเป็นหนี้ระยะยาว
และก็บอกว่า จริงๆแล้วคุ้มสุดคือกู้ระยะยาว แล้ว
หาเงินมาจ่าย ให้ได้ก้อนใหญ่ ๆ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องผ่อน ถึง 15 ปี
ดังนั้น ถ้า ทำสัญญา กู้ 15 ปี
แล้วผ่อนให้ได้ใน 3 ปี ก็จะประหยัดดอกเบี้ยไดุ้ึถึง
4 %
ผมอยากสอบถามว่า ผมเข้าใจผิดหรือป่าวคับ
เพราะถ้าเป็นอย่างงั้นจริงๆ
คนเขาก็ทำสัญญาแบบหลังกันทั่วบ้านทั่วเมืองสิคับ
ระหว่างการกู้ 3 ปี กับ 15 ปีนั้น
หากกู้ 3 ปี ดอกแพงกว่า เสียดอก 15 %
หากกู้ 15 ปี นั้นเสียดอกแค่ 11
เขาไปสำรวจพบว่า คนส่วนใหญ่เลือกกู้แค่ 3 ปี เพราะเอารมณ์มาจับว่าไ่ม่อยากเป็นหนี้ระยะยาว
และก็บอกว่า จริงๆแล้วคุ้มสุดคือกู้ระยะยาว แล้ว
หาเงินมาจ่าย ให้ได้ก้อนใหญ่ ๆ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องผ่อน ถึง 15 ปี
ดังนั้น ถ้า ทำสัญญา กู้ 15 ปี
แล้วผ่อนให้ได้ใน 3 ปี ก็จะประหยัดดอกเบี้ยไดุ้ึถึง
4 %
ผมอยากสอบถามว่า ผมเข้าใจผิดหรือป่าวคับ
เพราะถ้าเป็นอย่างงั้นจริงๆ
คนเขาก็ทำสัญญาแบบหลังกันทั่วบ้านทั่วเมืองสิคับ
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
-
- Verified User
- โพสต์: 1230
- ผู้ติดตาม: 0
เรียนถามเรื่องการกู้เงินครับ
โพสต์ที่ 2
ผมเดาว่า คุณ crazyrisk ไม่เคยกู้เงินมาก่อน
ปกติลักษณะเงินกู้ จะมีสัญญากู้เงินประกอบ ซึ่งจะมีรายละเอียดสำคัญ ที่ผู้กู้สมควรอ่านให้ละเอียด
ที่เคยเห็นมา
1. อัตราดอกเบี้ยที่คิดไม่เกี่ยวกับระยะเวลาของเงินกู้
2. ถ้าทำสัญญาเงินกู้ 15 ปี หากชำระก่อนกำหนด เช่น ใน 3 ปีแรก จะมีค่าปรับ 3 % ของยอดเงินกู้คงค้าง เป็นต้น
3. กรณีผิดนัดชำระ จะต้องเสียดอกเบี้ย ในอัตราผิดนัด ซึ่งจะสูงกว่าอัตราปกติในสัญญามาก
กรณีโจทย์ที่ยกมา กู้ 15 ปี น่าจะดีกว่า เพราะว่า ดอกเบี้ยถูกกว่า ผ่อนน้อยกว่า และสามารถโปะกลบยอดได้ด้วย
ปกติลักษณะเงินกู้ จะมีสัญญากู้เงินประกอบ ซึ่งจะมีรายละเอียดสำคัญ ที่ผู้กู้สมควรอ่านให้ละเอียด
ที่เคยเห็นมา
1. อัตราดอกเบี้ยที่คิดไม่เกี่ยวกับระยะเวลาของเงินกู้
2. ถ้าทำสัญญาเงินกู้ 15 ปี หากชำระก่อนกำหนด เช่น ใน 3 ปีแรก จะมีค่าปรับ 3 % ของยอดเงินกู้คงค้าง เป็นต้น
3. กรณีผิดนัดชำระ จะต้องเสียดอกเบี้ย ในอัตราผิดนัด ซึ่งจะสูงกว่าอัตราปกติในสัญญามาก
กรณีโจทย์ที่ยกมา กู้ 15 ปี น่าจะดีกว่า เพราะว่า ดอกเบี้ยถูกกว่า ผ่อนน้อยกว่า และสามารถโปะกลบยอดได้ด้วย
- crazyrisk
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 4562
- ผู้ติดตาม: 0
เรียนถามเรื่องการกู้เงินครับ
โพสต์ที่ 3
คุณ กาละมังคับ
ถูกต้องคับ
ผมกลัวเกินไปทีี่จะเป็นหนี้ชาวบ้านเขา
บางทีเห็นตัวเลขแดงๆ มากๆ เกือบเป็นลมก็มีคับ 8)
ทีนี้กลับมาสู่โจทย์ดีกว่าครับ
งี้เกิด ผม เลือก 15 ปี แล้ว จ่ายใน 3 ปี
ดังนั้น ผมก็จะ ได้เรท 11 % แต่ต้องเสียค่าปรับ 3 %
รวมแล้วเป็น 14 %
ซึ่งจะประหยัดกว่า กู้ 3 ปี (15%)
อยู่ 1% ใช่หรือป่าวคับ
ถูกต้องคับ
ผมกลัวเกินไปทีี่จะเป็นหนี้ชาวบ้านเขา
บางทีเห็นตัวเลขแดงๆ มากๆ เกือบเป็นลมก็มีคับ 8)
ทีนี้กลับมาสู่โจทย์ดีกว่าครับ
งี้เกิด ผม เลือก 15 ปี แล้ว จ่ายใน 3 ปี
ดังนั้น ผมก็จะ ได้เรท 11 % แต่ต้องเสียค่าปรับ 3 %
รวมแล้วเป็น 14 %
ซึ่งจะประหยัดกว่า กู้ 3 ปี (15%)
อยู่ 1% ใช่หรือป่าวคับ
"Champions aren't made in gyms. Champions are made from something they have deep inside them: A desire, a dream, a vision.
- MO101
- Verified User
- โพสต์: 3226
- ผู้ติดตาม: 1
เรียนถามเรื่องการกู้เงินครับ
โพสต์ที่ 4
คำตอบคือไม่ใช่ครับ
เลือก 15 ปี จ่าย 3 ปี ในช่วงนี้ เสียดอก 11% แต่ว่าเงินต้นก็ลดน้อยด้วย ดอกเลยเสียมาก
หมด3ปี เสียค่าปรับ คิดจากยอดเงินทั้งหมดนะ
อีกสูตร
เลือก 3 ปีจ่าย 15 ต้นลดเร็วมากเสียดอกน้อย
จริงๆ อยากคำนวนเป็น excel ให้ดู แต่อยากเห็นหมดเค ลมจับมากกว่า
เลือก 15 ปี จ่าย 3 ปี ในช่วงนี้ เสียดอก 11% แต่ว่าเงินต้นก็ลดน้อยด้วย ดอกเลยเสียมาก
หมด3ปี เสียค่าปรับ คิดจากยอดเงินทั้งหมดนะ
อีกสูตร
เลือก 3 ปีจ่าย 15 ต้นลดเร็วมากเสียดอกน้อย
จริงๆ อยากคำนวนเป็น excel ให้ดู แต่อยากเห็นหมดเค ลมจับมากกว่า
- cryptonian_man
- Verified User
- โพสต์: 585
- ผู้ติดตาม: 0
เรียนถามเรื่องการกู้เงินครับ
โพสต์ที่ 5
อย่างนี้เรียกว่าเป็นหลุมพรางทางจิตวิทยาหรือเปล่าครับ ทำให้เราคิดว่าเสียน้อยแล้วแต่จริงๆเราเสียมากขึ้น
ยังงี้ธนาคารยังไงก้อได้เปรียบจริงๆ แต่ก้อเสี่ยงกะการปล่อยกู้ก้อพอหยวนๆกันไป
ยังงี้ธนาคารยังไงก้อได้เปรียบจริงๆ แต่ก้อเสี่ยงกะการปล่อยกู้ก้อพอหยวนๆกันไป
เขาว่า "หลังจากปากพองจากการดื่มนมร้อน เราจะเป่าโยเกิร์ตให้เย็นก่อนตักเข้าปาก"
แต่ทำไมตรูไม่เข็ด เคาะขวาไวตลอดเนี่ย
แต่ทำไมตรูไม่เข็ด เคาะขวาไวตลอดเนี่ย
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4940
- ผู้ติดตาม: 1
เรียนถามเรื่องการกู้เงินครับ
โพสต์ที่ 6
เหมือนกู้ซื้อบ้าน กะซื้อรถไงครับ
กู้ซื้อบ้าน ดอกจะถูกกว่า
ถ้าเป็นผมถ้าเป็นบ้าน จะเลือกกู้ยาวไว้ก่อน ครับ
เผื่อความเสี่ยงไว้ มีตังค์เพิ่มก็เอาไปเพิ่มได้ตลอดนิครับ
อาชีพผมมันเสี่ยงกว่า หมอเค เยอะครับ
ก็ลดทั้งต้นและดอกเหมือนกัน ได้ยินมาว่าบางธนาคารอาจไม่ยอม
แต่ของ อาคารสงเคราะห์ทำได้ครับ
กู้ซื้อบ้าน ดอกจะถูกกว่า
ถ้าเป็นผมถ้าเป็นบ้าน จะเลือกกู้ยาวไว้ก่อน ครับ
เผื่อความเสี่ยงไว้ มีตังค์เพิ่มก็เอาไปเพิ่มได้ตลอดนิครับ
อาชีพผมมันเสี่ยงกว่า หมอเค เยอะครับ
ก็ลดทั้งต้นและดอกเหมือนกัน ได้ยินมาว่าบางธนาคารอาจไม่ยอม
แต่ของ อาคารสงเคราะห์ทำได้ครับ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
เรียนถามเรื่องการกู้เงินครับ
โพสต์ที่ 7
ปรกติผมไม่เคยเห็นนะครับว่า อัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการผ่อนชำระหนี้
ที่เคยพบ อัตราดอกเบี้ย จะขึ้นอยู่กับ ประวัติลูกค้า หลักประกัน และความสามารถของโครงการที่จะลงทุน
ส่วนเบี้ยปรับ ธนาคารมักจะคิดในกรณีที่มีการคิดอัตราดอกเบี้ยถูกๆในช่วง 1 ถึง 3 ปีแรก ถ้าเราไม่ปิดบัญชีก่อน 3 ปีแรก เราก็คงไม่ต้องห่วงพะวงเรื่องนี้
สำหรับความเห็นของผมแล้ว ก็ขอระยะเวลาผ่อนนานที่สุด เพื่อที่จะลดจำนวนเงินงวดที่ต้องชำระให้น้อยที่สุด เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดครับ เพราะถ้าเรามีความสามารถจะชำระมากกว่านั้น เราก็สามารถทำได้โดยไม่เสียค่าปรับอะไร นอกจากจะปิดบัญชีภายใน 3 ปีแรก ซึ่งคงมีโอกาสน้อยมากๆ
ที่เคยพบ อัตราดอกเบี้ย จะขึ้นอยู่กับ ประวัติลูกค้า หลักประกัน และความสามารถของโครงการที่จะลงทุน
ส่วนเบี้ยปรับ ธนาคารมักจะคิดในกรณีที่มีการคิดอัตราดอกเบี้ยถูกๆในช่วง 1 ถึง 3 ปีแรก ถ้าเราไม่ปิดบัญชีก่อน 3 ปีแรก เราก็คงไม่ต้องห่วงพะวงเรื่องนี้
สำหรับความเห็นของผมแล้ว ก็ขอระยะเวลาผ่อนนานที่สุด เพื่อที่จะลดจำนวนเงินงวดที่ต้องชำระให้น้อยที่สุด เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดครับ เพราะถ้าเรามีความสามารถจะชำระมากกว่านั้น เราก็สามารถทำได้โดยไม่เสียค่าปรับอะไร นอกจากจะปิดบัญชีภายใน 3 ปีแรก ซึ่งคงมีโอกาสน้อยมากๆ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 97
- ผู้ติดตาม: 0
เรียนถามเรื่องการกู้เงินครับ
โพสต์ที่ 8
[quote="chatchai"]ปรกติผมไม่เคยเห็นนะครับว่า
"ซื้อหุ้นของกิจการที่ดี มีกำไรต่อเนื่อง ผู้บริหารมีคุณธรรมและความสามารถ ในเวลาที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ และถือมันไว้ตราบที่มันยังเป็นธุรกิจที่ดี (ถึงแม้ว่าราคาจะเกินมูลค่าที่แท้จริงไปก็ตาม)"
-
- Verified User
- โพสต์: 97
- ผู้ติดตาม: 0
เรียนถามเรื่องการกู้เงินครับ
โพสต์ที่ 10
แหะๆ ผิดไปหน่อย กู้รถอย่างเดียวครับ อย่างผ่อน 5 ปีจะได้อัตราดอกเบี้ยอย่างนึง ถ้าผ่อน 7 ปีดอกเบี้ยก็จะแพงขึ้น
"ซื้อหุ้นของกิจการที่ดี มีกำไรต่อเนื่อง ผู้บริหารมีคุณธรรมและความสามารถ ในเวลาที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ และถือมันไว้ตราบที่มันยังเป็นธุรกิจที่ดี (ถึงแม้ว่าราคาจะเกินมูลค่าที่แท้จริงไปก็ตาม)"
-
- Verified User
- โพสต์: 97
- ผู้ติดตาม: 0
เรียนถามเรื่องการกู้เงินครับ
โพสต์ที่ 12
ใช่ครับ เหมือนเป็นตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว จะเห็นได้ว่าของหลายอย่าง เช่น มือถือ หรือ เครื่องใช้ไฟฟ้า จะมีให้ผ่อน 0% กี่เดือนก็ว่าไป เพื่อเพิ่มยอดขาย แต่จะทำให้คนติดกับดักการเป็นหนี้ และ % การเป็นหนี้ในครัวเรือนก็เพิ่มสูงขึ้นด้วย
"ซื้อหุ้นของกิจการที่ดี มีกำไรต่อเนื่อง ผู้บริหารมีคุณธรรมและความสามารถ ในเวลาที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ และถือมันไว้ตราบที่มันยังเป็นธุรกิจที่ดี (ถึงแม้ว่าราคาจะเกินมูลค่าที่แท้จริงไปก็ตาม)"
-
- Verified User
- โพสต์: 27
- ผู้ติดตาม: 0
เรียนถามเรื่องการกู้เงินครับ
โพสต์ที่ 13
chatchai Posted: Thu Jan 03, 2008 8:00 pm Post subject:
--------------------------------------------------------------------------------
โหกู้ซื้อรถมีผ่อนได้ถึง 5 ปี 7ปี ด้วยหรือครับ
ผมว่าบริษัทลิสซิ่งเสี่ยงมากทีเดียวนะครับ เพราะราคารถยนต์ลดลงเร็วมากๆ ถ้าผ่อนไปซัก 2 ปีแล้วถูกยึดรถ มูลค่ารถที่เหลือจะคุ้มกับมูลหนี้ไหมละเนี่ย
ขออธิบายเพิ่มเติมนิดหน่อยนะครับ
หลักการกู้เงินนั้น เวลาขอกู้คิดเป็นราคาที่เป็นมูลค่าของทรัพย์สินนำมาประกันการกู้ แล้วแต่ว่าการประเมินทรัพย์จะอยู่ที่เท่าไหร่ และให้เป็นเงินที่สามารถกู้ได้กี่เปอร์เซ็นต์ของราคาประเมิน จากนั้น ทำสัญญากู้เงิน เป็นการกู้เงินโดยใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน หากเราอ่านรายละเอียดของสัญญาให้ละเอียดจะพบว่า เป็นการกู้เงินนะครับ หากขาดส่งและดำเนินการยึดทรัพย์ที่นำมาประกันนั้นแล้วนำออกมาประมูล (ราคายุติธรรมตามกฏหมาย) แล้วยังได้เงินไม่ครบตามสัญญาเงินกู้ (มูลหนี้ที่คงเหลือ) ก็สามารถที่จะฟ้องร้องต่อเพื่อทำการเรียกร้องเงินที่ไม่ครบตามสัญญาพร้อมดอกเบี้ยได้ครับ (ตามกฏหมายนะครับ)
ก็พอจะบอกได้ว่า หากเป็นหนี้เสียแล้ว ก็ยังไม่จบง่าย ๆ จนกว่าจะทำการตกลงกับเจ้าหนี้ได้ (ทางปฏิบัตินะครับ) การตกลงกันนั้นส่วนใหญ่ก็จะเป็นการขอลดดอกเบี้ยที่ฟ้องร้องกัน และดำเนินการผ่อนชำระในส่วนที่เหลือครับ
ถ้ามองในส่วนของมูลค่ารถที่เหลือจะคุ้มกับมูลหนี้หรือไม่ สามารถตอบได้เลยครับว่าคุ้มครับ (ในเหตุการณ์ปกตินะครับ) เพราะในสัญญากู้เงิน จะทำการบวกดอกเบี้ยไว้แล้วหารด้วยระยะเวลาการกู้ เสร็จแล้วก็กำหนดเป็นเงินค่าผ่อนชำระในสัญญาครับ ทั้งนี้ไม่ว่าทรัพย์จะเป็นอะไรก็จะใช้หลักการเดียวกันครับ แต่มีขั้นตอนตามกฏหมายและระยะเวลาในการดำเนินการในทางกฏหมายที่เป็นจุดเสี่ยงครับ
--------------------------------------------------------------------------------
โหกู้ซื้อรถมีผ่อนได้ถึง 5 ปี 7ปี ด้วยหรือครับ
ผมว่าบริษัทลิสซิ่งเสี่ยงมากทีเดียวนะครับ เพราะราคารถยนต์ลดลงเร็วมากๆ ถ้าผ่อนไปซัก 2 ปีแล้วถูกยึดรถ มูลค่ารถที่เหลือจะคุ้มกับมูลหนี้ไหมละเนี่ย
ขออธิบายเพิ่มเติมนิดหน่อยนะครับ
หลักการกู้เงินนั้น เวลาขอกู้คิดเป็นราคาที่เป็นมูลค่าของทรัพย์สินนำมาประกันการกู้ แล้วแต่ว่าการประเมินทรัพย์จะอยู่ที่เท่าไหร่ และให้เป็นเงินที่สามารถกู้ได้กี่เปอร์เซ็นต์ของราคาประเมิน จากนั้น ทำสัญญากู้เงิน เป็นการกู้เงินโดยใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน หากเราอ่านรายละเอียดของสัญญาให้ละเอียดจะพบว่า เป็นการกู้เงินนะครับ หากขาดส่งและดำเนินการยึดทรัพย์ที่นำมาประกันนั้นแล้วนำออกมาประมูล (ราคายุติธรรมตามกฏหมาย) แล้วยังได้เงินไม่ครบตามสัญญาเงินกู้ (มูลหนี้ที่คงเหลือ) ก็สามารถที่จะฟ้องร้องต่อเพื่อทำการเรียกร้องเงินที่ไม่ครบตามสัญญาพร้อมดอกเบี้ยได้ครับ (ตามกฏหมายนะครับ)
ก็พอจะบอกได้ว่า หากเป็นหนี้เสียแล้ว ก็ยังไม่จบง่าย ๆ จนกว่าจะทำการตกลงกับเจ้าหนี้ได้ (ทางปฏิบัตินะครับ) การตกลงกันนั้นส่วนใหญ่ก็จะเป็นการขอลดดอกเบี้ยที่ฟ้องร้องกัน และดำเนินการผ่อนชำระในส่วนที่เหลือครับ
ถ้ามองในส่วนของมูลค่ารถที่เหลือจะคุ้มกับมูลหนี้หรือไม่ สามารถตอบได้เลยครับว่าคุ้มครับ (ในเหตุการณ์ปกตินะครับ) เพราะในสัญญากู้เงิน จะทำการบวกดอกเบี้ยไว้แล้วหารด้วยระยะเวลาการกู้ เสร็จแล้วก็กำหนดเป็นเงินค่าผ่อนชำระในสัญญาครับ ทั้งนี้ไม่ว่าทรัพย์จะเป็นอะไรก็จะใช้หลักการเดียวกันครับ แต่มีขั้นตอนตามกฏหมายและระยะเวลาในการดำเนินการในทางกฏหมายที่เป็นจุดเสี่ยงครับ