8) ...THE FUNDAMENTAL VIEW: ไพบูลย์ นลินทรางกูร [email protected]
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ผมเชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่น่าจะเริ่มอยากที่จะซื้อหุ้นหลังจากดัชนี SET Index ปรับลดลงมากว่า 13% ตั้งแต่ต้นปี แต่หลายๆ คนอาจจะยังไม่กล้าที่จะเข้าช้อนซื้อในช่วงนี้เพราะไม่แน่ใจว่าตลาดหุ้นจะปรับลดลงไปมากกว่านี้หรือไม่ ในความคิดของผม ผมมองว่าดัชนี SET Index ในระดับประมาณ 750 จุด เป็นระดับที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
เพราะฉะนั้น ราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนหลายๆ แห่ง ซื้อขายกันอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า Fair Value มาก ไม่ว่าจะวัดกันด้วยค่า P/E ratio, EV/ebitda ratio หรือ DCF แน่นอนโอกาสที่ตลาดหุ้นจะปรับลดลงอีกก็ยังพอมีอยู่ แต่ถ้าเอา Downside Risk (ความเสี่ยงที่หุ้นจะปรับลดลง) มาเทียบกับ Upside Potential (โอกาสที่หุ้นจะปรับขึ้น) ผมเชื่อว่าตลาดหุ้นมี Upside Potential ที่มากกว่า Downside Risk อยู่มาก
สาเหตุหลักที่ผมยังมีมุมมองที่เป็นบวก เพราะผมเชื่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เป็นภาวะที่เรียกว่า Bull Market Correction (การปรับตัวในตลาดกระทิง) ไม่ใช่เป็น The Beginning of A Bear market (การเริ่มต้นของตลาดหมี) ผมไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจของอเมริกา จะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) และมองว่า เศรษฐกิจไทยจะยังสามารถโตได้ในระดับ 4.5-5% ในปีนี้และปีหน้า
ที่สำคัญ กำไรของบริษัทจดทะเบียน (Corporate Earnings) มีศักยภาพที่จะโตได้ในระดับ 15-20% ในปีนี้ และ 10-15% ในปีหน้า ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นได้ เมื่อนักลงทุนคลายความกังวลเรื่อง US Recession และหันมา Focus ที่ Earnings growth
ประเด็นหลักที่เป็นที่ถกเถียงกันในขณะนี้ ก็คือ US Economy จะเข้าสู่ Recession หรือไม่ ที่น่าจะเป็น Consensus View แล้วก็คือ US Economy ไม่น่าจะสามารถโตได้มากกว่า 2% ในปีนี้ การปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงของตลาดหุ้นทั่วโลกสะท้อนถึงความกลัวของนักลงทุนว่าจะเกิด US Recession ขึ้น ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง โอกาสที่จะเห็นตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลงอีก (รวมทั้งไทย) ก็ยังมีอยู่สูง เพราะถ้า US เข้าสู่ภาวะ Recession ก็ย่อมต้องหมายถึงตัวเลขเศรษฐกิจหลักๆ ที่จะมีการทยอยประกาศออกมาจะดูย่ำแย่ Corporate Earnings ก็อาจจะไม่โต และจะทำให้นักลงทุนขายหุ้นกันออกมาอีก SENTIMENT โดยรวมก็จะไม่ดี การที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงก็จะกระทบไปถึง Wealth Effect ของผู้บริโภคชาวอเมริกัน ซึ่งก็จะทำให้เขาใช้จ่ายกันน้อยลง และจะยิ่งทำให้ Recession มีความรุนแรงมากขึ้น
แต่ในมุมมองของผม ผมเชื่อว่านักลงทุน Over-Reacted กับภาวะการชะลอตัวของ US Economy แน่นอนว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับ Consumer Banks และ Investment Banks หลายแห่งในอเมริกา จากการปล่อยกู้ Subprime Mortgage หรือเพราะไปลงทุนในตราสารหนี้ที่มี Subprime Mortgage เป็นหลักประกัน เป็นปัญหาที่หนักหน่วงและน่าจะทำให้การปล่อยกู้เป็นไปได้ยากมากขึ้นในปีนี้ แต่การที่สถาบันการเงินเหล่านั้น สามารถเพิ่มทุนใหม่ได้ในระยะเวลาอันสั้นมากๆ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ Credit Market สามารถกลับสู่สภาวะปกติได้ในที่สุด
อีกทั้งการที่ FED ตัดสินใจลดดอกเบี้ยลงมาแล้วถึง 1.75% และมีแนวโน้มว่าจะลดลงอีก 0.5% ก็น่าจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยทำให้ US Economy ไม่ถึงกับเข้าสู่ภาวะ Recession โดยเฉพาะจะมีแรงช่วยจาก Fiscal Stimulus Package อีกทางหนึ่งด้วย
เหตุผลที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ตลาดเงินระยะสั้นของอเมริกา เริ่มที่จะกลับเข้าสู่ภาวะที่ปกติมากขึ้น จากการที่ Spread ระหว่าง Libor กับ FED Funds ปรับตัวแคบลงและตลาด Asset Backed Commercial Paper เริ่มกลับมาโตได้อีกครั้งหนึ่ง
ส่วนของไทยเราเอง ผมเชื่อว่า แรงขายของนักลงทุนต่างชาติ น่าที่จะเริ่มเบาบางลง ถ้าดูยอดซื้อสะสมของนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่ต้นปี 2007 จนถึงขณะนี้ ต่างชาติเหลือยอดซื้อสะสม (net buy) อยู่อีกเพียง 15,607 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่ไม่มากแล้ว ซึ่งก็น่าจะพอสรุปได้ว่าเงิน Hedge Funds ได้ออกไปจากตลาดค่อนข้างมากแล้ว
การที่การเมืองบ้านเราเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง น่าจะทำให้ Investor Confidence มีมากขึ้น แม้จะยังไม่สามารถสรุปได้ว่ารัฐบาลนี้ จะมีเสถียรภาพขนาดไหน และทีมเศรษฐกิจที่อาจจะไม่ถูกใจนักลงทุนมากนัก แต่ผมก็เชื่อว่า ในช่วงเริ่มต้น นักลงทุนจะให้ Benefits of The Doubt กับรัฐบาลชุดนี้และคอยดูผลงานว่า จะผลักดันออกมาได้มากน้อยเพียงใด ปัจจัยการเมืองในช่วงนี้ถือว่าไม่บวกมาก แต่ก็ไม่ลบมาก
ปัจจัยหลักที่จะทำให้ตลาดหุ้นไทย ปรับตัวสูงขึ้นได้จะต้องมาจาก Corporate Earnings ที่ดีขึ้นและผมเชื่อว่า EPS Growth ปีนี้จะเพิ่มขึ้นประมาณไม่น้อยกว่า 20% ซึ่งถ้าเทียบกับ Forward P/E ของตลาด SET ที่อยู่ที่ประมาณ 9-10 เท่า บวกกับ dividend yield อีก 4% ถือว่าเป็นตลาดหุ้นที่ Undervalued อยู่มาก
ผมยังเชื่อว่าไทยจะสามารถ "DE-Couple" ตัวเองออกไปจากภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นของอเมริกา ถึงแม้ว่าตอนนี้หลายๆ คนที่เคยเชื่อเรื่องทฤษฎี "DE-Couple" จะเริ่มเปลี่ยนใจและหันมาพูดถึงการ "RE-Couple" มากขึ้นแล้วก็ตาม
+ซื้อหุ้นกันได้หรือยัง+
-
- Verified User
- โพสต์: 3345
- ผู้ติดตาม: 0
+ซื้อหุ้นกันได้หรือยัง+
โพสต์ที่ 1
- atsu
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1220
- ผู้ติดตาม: 1
+ซื้อหุ้นกันได้หรือยัง+
โพสต์ที่ 2
ขอตัดแปะบทความของ ท่านอาจารย์นิเวศน์ อันล่าสุดให้คุณ beammy ดูแล้วกันเมื่อเวลาผ่านไป ผมเชื่อว่าหุ้นก็มักจะกลับมาสู่ราคาที่มันควรเป็นตามปัจจัยพื้นฐานของมัน ที่จริงมันก็เป็นอย่างนั้นทุกครั้ง ดังนั้นถ้าเรา กอดหุ้น ที่ทำธุรกิจที่เรามั่นใจว่าจะสามารถฝ่ากระแสของเศรษฐกิจที่กำลังถดถอยได้ เราก็ไม่เห็นว่าจะต้องกลัวอะไร บางคนบอกว่า เขาไม่ได้กลัวเรื่องของธุรกิจของบริษัทที่เขาลงทุน แต่เขาคิดว่าหุ้นกำลังตกด้วยอิทธิพลของกระแสเงินหรือเดี๋ยวนี้ชอบเรียกว่า Fund Flow ดังนั้นเขาคิดว่าอย่างไรหุ้นก็จะต้องตกต่อ เพราะในยามที่นักลงทุนกำลังขายหุ้นเพราะต้องการถอนตัวออกจากตลาด ปัจจัยพื้นฐานก็ไม่มีความหมาย เราจึงควรขายไปก่อนเพื่อความปลอดภัยและกลับไปซื้อภายหลังเมื่อหุ้น นิ่ง แล้ว แต่นี่ก็จะกลับไปสู่ประเด็นเดิมที่ว่า เราคิดว่าเรารู้ว่าเมื่อไรที่หุ้นจะนิ่ง ซึ่งผมก็อยากจะพูดย้ำอีกครั้งว่า เราไม่รู้ และสิ่งที่พิสูจน์ก็คือ ดัชนีหุ้นที่ดีดตัวขึ้นมาถึง 31 จุดหรือเพิ่มขึ้นถึง 4.1% ในวันที่ 25 มกราคม 2551 เมื่อมีข่าวว่ารัฐสภาสหรัฐตกลงอนุมัติแผนกู้เศรษฐกิจของประธานาธิบดีบุช
อย่าหาว่าผมเจือกเลยแล้วกัน
อยากเตือนอีกครั้งว่า
"ถึงครั้งนี้เราจะเดาตลาดถูก ไม่ได้แปลเราจะเดาถูกไปทุกครั้ง
และครั้งเดียวที่เดาผิด อาจทำความเสียหายให้พอร์ทอย่างหนักทีเดียว"
ความเสียหายในที่นี้รวมถึงการ "ขาดทุนกำไร" ด้วย
ถ้าเราขายเพื่อไปรับต่ำกว่า แต่แล้วหุ้นดันวิ่งไปจนไม่ย้อนมาที่เดิมอีกเลย
- cryptonian_man
- Verified User
- โพสต์: 585
- ผู้ติดตาม: 0
+ซื้อหุ้นกันได้หรือยัง+
โพสต์ที่ 4
atsu เขียน:อย่าหาว่าผมเจือกเลยแล้วกัน
อยากเตือนอีกครั้งว่า
"ถึงครั้งนี้เราจะเดาตลาดถูก ไม่ได้แปลเราจะเดาถูกไปทุกครั้ง
และครั้งเดียวที่เดาผิด อาจทำความเสียหายให้พอร์ทอย่างหนักทีเดียว"
ความเสียหายในที่นี้รวมถึงการ "ขาดทุนกำไร" ด้วย
ถ้าเราขายเพื่อไปรับต่ำกว่า แต่แล้วหุ้นดันวิ่งไปจนไม่ย้อนมาที่เดิมอีกเลย
เห็นด้วยครับ เพราะที่ผ่านมาพอเห็นมันตกผมก้อเผลอโละบางตัวไป พอเห็นมันลงไปเรื่อยๆ ก้อกะว่ารอมันนิ่งๆก่อนหน่อย กลับกลายเป็นว่าดีดขึ้นมาเฉย ทำอะไรไม่ทันเลย
คงต้องทำตามดร. ว่า stay invest ในกิจการที่เราเลือกดีแล้ว เพราะยังไงเราก็ไม่มีทางรู้ว่าตลาดมันจะลงไปถึงไหน แล้วมันจะขึ้นไปถึงไหน
เขาว่า "หลังจากปากพองจากการดื่มนมร้อน เราจะเป่าโยเกิร์ตให้เย็นก่อนตักเข้าปาก"
แต่ทำไมตรูไม่เข็ด เคาะขวาไวตลอดเนี่ย
แต่ทำไมตรูไม่เข็ด เคาะขวาไวตลอดเนี่ย
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
+ซื้อหุ้นกันได้หรือยัง+
โพสต์ที่ 5
เห็นด้วยกับพี่ atsu ครับ
แต่ถ้าลงทุนแล้ว มองเป็นระยะยาว ถ้าราคาลดแล้วต่ำกว่ามูลค่าจริง ก็น่าซื้อไว้บ้างนะครับ
วันนี้ผมดูหนังสือพิมพ์เก่า ดูราคาหุ้นบางตัวเนี่ย
... ต่างจากราคาปัจจุบันมากพอควร
ดังนั้นผมเชื่อตามที่ ดร.นิเวศน์บอกแหละครับ
ว่าในระยะสั้นราคาหุ้นอาจผันผวน ระยะยาว ราคาจะไปที่มูลค่าที่แท้จริง
...เขียนไปเขียนมา ตอบไม่ตรงเนอะ
เอาเป็นว่า ถ้าสบายใจที่จะซื้อที่ราคานี้ และดูแล้วต่ำพอควรแล้ว ก็ซื้อเถิดครับ
ดู BH ก่อนหน้านี้สิครับ ตอน 33 ไม่มีใครซื้อเท่าไหร่
ตอนนี้ 36 คนที่ทำงานบอกคำเดิม "รู้เงี้ย ..."
มีความสุขกับการลงทุนนะครับผม ^^
แต่ถ้าลงทุนแล้ว มองเป็นระยะยาว ถ้าราคาลดแล้วต่ำกว่ามูลค่าจริง ก็น่าซื้อไว้บ้างนะครับ
วันนี้ผมดูหนังสือพิมพ์เก่า ดูราคาหุ้นบางตัวเนี่ย
... ต่างจากราคาปัจจุบันมากพอควร
ดังนั้นผมเชื่อตามที่ ดร.นิเวศน์บอกแหละครับ
ว่าในระยะสั้นราคาหุ้นอาจผันผวน ระยะยาว ราคาจะไปที่มูลค่าที่แท้จริง
...เขียนไปเขียนมา ตอบไม่ตรงเนอะ
เอาเป็นว่า ถ้าสบายใจที่จะซื้อที่ราคานี้ และดูแล้วต่ำพอควรแล้ว ก็ซื้อเถิดครับ
ดู BH ก่อนหน้านี้สิครับ ตอน 33 ไม่มีใครซื้อเท่าไหร่
ตอนนี้ 36 คนที่ทำงานบอกคำเดิม "รู้เงี้ย ..."
มีความสุขกับการลงทุนนะครับผม ^^
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
- gnomeller
- Verified User
- โพสต์: 425
- ผู้ติดตาม: 0
+ซื้อหุ้นกันได้หรือยัง+
โพสต์ที่ 9
มีอยู่ตัวนึง กว่าจะไล่ซื้อที่ราคาถูกๆมาได้ ต้องยอมทิ้งที่ถืออยู่ แล้วไปอัพเพิ่มได้ราคาถูกกว่า 4 บาท
ระยะเวลาสองสามวัน ราคายังไม่นิ่ง เลยคิดว่านี่น่าจะเป็ฺนแค่รีบาวน์ช่วงสั้นๆ วันนี้(วันที่31) เลยทิ้งออกไปหมดเลย กำไร 50บาท :lol:
กะว่าช่วงบ่ายลงให้เก็บถูกอีกแน่ๆ ปรากฎว่าพอผมขายปุ๊บวอลุมซื้อสวนเข้ามายาวจนปิดตลาด นี่สิขายหมูของจริง ราคานี้รออีกสามปีจะมีแบบนี้หรือเปล่าเนี่ย
ระยะเวลาสองสามวัน ราคายังไม่นิ่ง เลยคิดว่านี่น่าจะเป็ฺนแค่รีบาวน์ช่วงสั้นๆ วันนี้(วันที่31) เลยทิ้งออกไปหมดเลย กำไร 50บาท :lol:
กะว่าช่วงบ่ายลงให้เก็บถูกอีกแน่ๆ ปรากฎว่าพอผมขายปุ๊บวอลุมซื้อสวนเข้ามายาวจนปิดตลาด นี่สิขายหมูของจริง ราคานี้รออีกสามปีจะมีแบบนี้หรือเปล่าเนี่ย
-
- Verified User
- โพสต์: 413
- ผู้ติดตาม: 0
ถึงเวลาแล้วหรือคับ จะได้เตรียมบรรจุกระสุน
โพสต์ที่ 10
คุณBeammy ส่วนตัวคิดว่างัยครับ น่าจะเป็นเวลาซื้อแล้วหรือยัง เห็นกระทู้ก่อนๆบอกว่ายังอีกนานกว่าจะเห็นผลกระทบ จากการเปิดเผยผลประกอบการของธนาคารสหรัฐอันจะมีผลให้หุ้นลงต่ออีก
ส่วนตัวผมก็หุ้นเต็มมพอร์ตไม่ได้หนีไปไหน เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะรู้จังหวะดีพอ จะมีขยับบ้างก็ขายตัวที่กำไรไปซื้อตัวที่ตกมากๆีที่อยากซื้อ แต่กะลังคิดว่าจะลงเงินสดเพิ่มได้รึยัง :D กลัวช้อนหักเพราะมีดปัก
ส่วนตัวผมก็หุ้นเต็มมพอร์ตไม่ได้หนีไปไหน เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะรู้จังหวะดีพอ จะมีขยับบ้างก็ขายตัวที่กำไรไปซื้อตัวที่ตกมากๆีที่อยากซื้อ แต่กะลังคิดว่าจะลงเงินสดเพิ่มได้รึยัง :D กลัวช้อนหักเพราะมีดปัก
Even Sir Isaac Newton loss in stock market
"You can't predict the future, because the future depends on how you react to it."
ซื้อหุ้นเมื่อคนส่วนใหญ่หมดศรัทธาในหุ้นและเทขายอยู่ นั่นคือเวลาตี5ในการจ่ายตลาด....จาก สอง ว. ผู้ยิ่งใหญ่
"You can't predict the future, because the future depends on how you react to it."
ซื้อหุ้นเมื่อคนส่วนใหญ่หมดศรัทธาในหุ้นและเทขายอยู่ นั่นคือเวลาตี5ในการจ่ายตลาด....จาก สอง ว. ผู้ยิ่งใหญ่
-
- Verified User
- โพสต์: 3345
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ถึงเวลาแล้วหรือคับ จะได้เตรียมบรรจุกระสุน
โพสต์ที่ 11
[quote="AuI_a VI"]คุณBeammy ส่วนตัวคิดว่างัยครับ น่าจะเป็นเวลาซื้อแล้วหรือยัง เห็นกระทู้ก่อนๆบอกว่ายังอีกนานกว่าจะเห็นผลกระทบ จากการเปิดเผยผลประกอบการของธนาคารสหรัฐอันจะมีผลให้หุ้นลงต่ออีก
ส่วนตัวผมก็หุ้นเต็มมพอร์ตไม่ได้หนีไปไหน เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะรู้จังหวะดีพอ จะมีขยับบ้างก็ขายตัวที่กำไรไปซื้อตัวที่ตกมากๆีที่อยากซื้อ แต่กะลังคิดว่าจะลงเงินสดเพิ่มได้รึยัง
ส่วนตัวผมก็หุ้นเต็มมพอร์ตไม่ได้หนีไปไหน เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะรู้จังหวะดีพอ จะมีขยับบ้างก็ขายตัวที่กำไรไปซื้อตัวที่ตกมากๆีที่อยากซื้อ แต่กะลังคิดว่าจะลงเงินสดเพิ่มได้รึยัง
-
- Verified User
- โพสต์: 307
- ผู้ติดตาม: 0
+ซื้อหุ้นกันได้หรือยัง+
โพสต์ที่ 12
คอลัมน์นี้อ่านแล้วก็น่าสนใจดี เป็นของบล.ทรีนีตี้ ลองดูกันครับ:
แนวโน้มตลาด&กลยุทธ์ ดูให้แน่บั้งไฟ หรือจรวด
เราคาดการณ์ดัชนีวันนี้ 790 +/-6 จุด มองเชิงบวกมากกว่าเชิงลบ แม้จะกลัวว่า SET มี
โอกาสมากกว่า 50% ที่จะไปผ่าน 800 จุดไม่ไหว แต่ก็อยากจะลองหยั่งเชิงดู เพราะหากพลาด
ท่าถอยลงมา เชื่อว่า ทุกระดับ ตั้งแต่ 760-720 จุด ยังมีแรงรับทำให้ปรับขึ้นต่อได้เพราะช่วงนี้ 1.
ผลตอบแทนตลาดทุนเริ่มเหนือกว่าตลาดเงินแล้ว 2.ใกล้ฤดูกาลจ่ายเงินปันผล หุ้นที่คาดว่าจะมี
การจ่ายปันผลดี ๆ เริ่มตั้งโต๊ะแจกบัตรคิวแล้ว (PTTAR, DELTA, TISCO, KK, BANPU,
PTTCH, PTT, TOP, PTTEP, SC, LPN, SPALI, TPC ฯลฯ) โดยเฉพาะ PTTAR และ
DELTA คาดว่าจ่ายหนัก เพราะไม่ได้จ่าย interim dividend มาก่อน ส่วนคำถามที่ว่าทำไม
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นดีกว่าประเทศอื่น เราสามารถนำเรื่องเงินปันผลมาตอบคำถามได้ เพราะ
เราเป็นอันดับหนึ่งเรื่องผลตอบแทนเรื่องเงินปันผลสูงสุด อีกทั้ง PER ต่ำที่สุดในภูมิภาค
ปัจจัยที่มีผลต่อหุ้น เป็นรอบช็อปปิ้ง เก็บวิกฤติไว้ทีหลัง
(+) ดัชนีตลาดหุ้นไทยเป็นช่วงหาบาลานซ์ผลตอบแทนกับความเสี่ยงของตลาดทุนและ
ตลาดเงิน: ตราบใดที่เส้นกราฟของผลตอบแทนตลาดทุน (วัดกันเบื้องต้นที่ Dividend Yield) อยู่
เหนือผลตอบแทนของตลาดเงิน (วัดกันเบื้องต้นที่ Bond Yield 2 ปี) จะพบว่าเงินที่ไหลสู่ตลาด
เงินจะมุ่งหน้ากลับสู่ตลาดทุนและความสัมพันธ์ดังกล่าวมักตอบสนองให้เกิดการแรลลี่ขึ้นของ
SET เสมอ ซึ่งอาการนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า SET กำลังตั้ง
ฐาน แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะขึ้นได้ไกลแค่ไหน (อาจเป็นแค่บั้งไฟหรือไม่ก็เป็นจรวดเลย) เพราะความ
เปราะบางของภาวะเศรษฐกิจโลกยังคงครอบงำ หากปัจจัยลบยังพ่นพิษต่อออกมาด้วยตัวเลข
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อ่อนแอเกินจะเยียวยา อาจทำให้ SET ไปต่อได้เพียง 808-820 จุดเท่านั้น
โดยคงจะทดเวลาการขึ้นไปอยู่ช่วงต้นสัปดาห์หน้าได้ด้วย แต่หากการที่ ปธน.สหรัฐฯ เรียกร้อง
ประชาชนให้เชื่อมั่นในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่ายังแข็งแกร่งพร้อมกับให้คำมั่นว่าสหรัฐฯ จะสามารถ
ผ่านพ้นปัญหาต่าง ๆ ได้ เป็นจริงได้ เราจะพบว่าการกระตุกขวัญของเศรษฐกิจสหรัฐฯ รอบนี้ อาจ
ไม่นำพาสู่การถดถอยของเศรษฐกิจทุกประเภททั่วโลก แม้โลกการเงินถดถอย แต่วันนี้ต้องยอม
รับว่าพลเมืองโลกอยู่ในภาวะมีเงิน มี wealth เหลือเฟือ หากสินทรัพย์ของสหรัฐฯ มีการด้อยค่า
(ราคาอสังหาริมทรัพย์ลงหนัก) ในที่สุด จะเกิดการช็อปปิ้งซื้อของถูกอย่างมโหฬารจากเศรษฐีที่มา
จากประเทศอื่นทั่วโลก ครั้งนี้จะเหมือนคราวที่ SET Index จะไป 1,700 จุด ไม่ใช่ว่าขณะนั้น
ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นจะดีอะไรมาก แต่ความต้องการซื้อมีเข้ามามหาศาลหยุดไม่อยู่ ก่อนหน้า
ดัชนี 1,700 จุดนั้น เศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็แย่มาก และเศรษฐีญี่ปุ่นก็เข้ามาซื้อสินทรัพย์อเมริกา และ
ทำให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นเอเชียเฟื่องฟูขึ้นก่อน แล้วต่อมาเมื่อคนเอเชียมีเงินแล้วใช้จ่ายอย่าง
ฟุ่มเฟือย ขยายกิจการต่อ ก็มักจะตามมาด้วย Financial Crisis ในที่สุด (+)
ได้ ครม.วันนี้: คาดว่ากระทรวงสำคัญที่น่าสนใจคือ กระทรวงการคลัง และกระทรวง
คมนาคม เชื่อว่าโฉมหน้ารัฐบาลชุดนี้ สามารถทำให้เศรษฐกิจไทยมีการกระเตื้องขึ้น และดีขึ้น
กว่าปีก่อน ส่วนนโยบาย และภาวะสังคม เราคงต้องติดตามดูนโยบายรัฐอีกที
ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 01/02/08 เวลา 10:20:02
แนวโน้มตลาด&กลยุทธ์ ดูให้แน่บั้งไฟ หรือจรวด
เราคาดการณ์ดัชนีวันนี้ 790 +/-6 จุด มองเชิงบวกมากกว่าเชิงลบ แม้จะกลัวว่า SET มี
โอกาสมากกว่า 50% ที่จะไปผ่าน 800 จุดไม่ไหว แต่ก็อยากจะลองหยั่งเชิงดู เพราะหากพลาด
ท่าถอยลงมา เชื่อว่า ทุกระดับ ตั้งแต่ 760-720 จุด ยังมีแรงรับทำให้ปรับขึ้นต่อได้เพราะช่วงนี้ 1.
ผลตอบแทนตลาดทุนเริ่มเหนือกว่าตลาดเงินแล้ว 2.ใกล้ฤดูกาลจ่ายเงินปันผล หุ้นที่คาดว่าจะมี
การจ่ายปันผลดี ๆ เริ่มตั้งโต๊ะแจกบัตรคิวแล้ว (PTTAR, DELTA, TISCO, KK, BANPU,
PTTCH, PTT, TOP, PTTEP, SC, LPN, SPALI, TPC ฯลฯ) โดยเฉพาะ PTTAR และ
DELTA คาดว่าจ่ายหนัก เพราะไม่ได้จ่าย interim dividend มาก่อน ส่วนคำถามที่ว่าทำไม
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นดีกว่าประเทศอื่น เราสามารถนำเรื่องเงินปันผลมาตอบคำถามได้ เพราะ
เราเป็นอันดับหนึ่งเรื่องผลตอบแทนเรื่องเงินปันผลสูงสุด อีกทั้ง PER ต่ำที่สุดในภูมิภาค
ปัจจัยที่มีผลต่อหุ้น เป็นรอบช็อปปิ้ง เก็บวิกฤติไว้ทีหลัง
(+) ดัชนีตลาดหุ้นไทยเป็นช่วงหาบาลานซ์ผลตอบแทนกับความเสี่ยงของตลาดทุนและ
ตลาดเงิน: ตราบใดที่เส้นกราฟของผลตอบแทนตลาดทุน (วัดกันเบื้องต้นที่ Dividend Yield) อยู่
เหนือผลตอบแทนของตลาดเงิน (วัดกันเบื้องต้นที่ Bond Yield 2 ปี) จะพบว่าเงินที่ไหลสู่ตลาด
เงินจะมุ่งหน้ากลับสู่ตลาดทุนและความสัมพันธ์ดังกล่าวมักตอบสนองให้เกิดการแรลลี่ขึ้นของ
SET เสมอ ซึ่งอาการนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า SET กำลังตั้ง
ฐาน แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะขึ้นได้ไกลแค่ไหน (อาจเป็นแค่บั้งไฟหรือไม่ก็เป็นจรวดเลย) เพราะความ
เปราะบางของภาวะเศรษฐกิจโลกยังคงครอบงำ หากปัจจัยลบยังพ่นพิษต่อออกมาด้วยตัวเลข
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อ่อนแอเกินจะเยียวยา อาจทำให้ SET ไปต่อได้เพียง 808-820 จุดเท่านั้น
โดยคงจะทดเวลาการขึ้นไปอยู่ช่วงต้นสัปดาห์หน้าได้ด้วย แต่หากการที่ ปธน.สหรัฐฯ เรียกร้อง
ประชาชนให้เชื่อมั่นในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่ายังแข็งแกร่งพร้อมกับให้คำมั่นว่าสหรัฐฯ จะสามารถ
ผ่านพ้นปัญหาต่าง ๆ ได้ เป็นจริงได้ เราจะพบว่าการกระตุกขวัญของเศรษฐกิจสหรัฐฯ รอบนี้ อาจ
ไม่นำพาสู่การถดถอยของเศรษฐกิจทุกประเภททั่วโลก แม้โลกการเงินถดถอย แต่วันนี้ต้องยอม
รับว่าพลเมืองโลกอยู่ในภาวะมีเงิน มี wealth เหลือเฟือ หากสินทรัพย์ของสหรัฐฯ มีการด้อยค่า
(ราคาอสังหาริมทรัพย์ลงหนัก) ในที่สุด จะเกิดการช็อปปิ้งซื้อของถูกอย่างมโหฬารจากเศรษฐีที่มา
จากประเทศอื่นทั่วโลก ครั้งนี้จะเหมือนคราวที่ SET Index จะไป 1,700 จุด ไม่ใช่ว่าขณะนั้น
ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นจะดีอะไรมาก แต่ความต้องการซื้อมีเข้ามามหาศาลหยุดไม่อยู่ ก่อนหน้า
ดัชนี 1,700 จุดนั้น เศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็แย่มาก และเศรษฐีญี่ปุ่นก็เข้ามาซื้อสินทรัพย์อเมริกา และ
ทำให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นเอเชียเฟื่องฟูขึ้นก่อน แล้วต่อมาเมื่อคนเอเชียมีเงินแล้วใช้จ่ายอย่าง
ฟุ่มเฟือย ขยายกิจการต่อ ก็มักจะตามมาด้วย Financial Crisis ในที่สุด (+)
ได้ ครม.วันนี้: คาดว่ากระทรวงสำคัญที่น่าสนใจคือ กระทรวงการคลัง และกระทรวง
คมนาคม เชื่อว่าโฉมหน้ารัฐบาลชุดนี้ สามารถทำให้เศรษฐกิจไทยมีการกระเตื้องขึ้น และดีขึ้น
กว่าปีก่อน ส่วนนโยบาย และภาวะสังคม เราคงต้องติดตามดูนโยบายรัฐอีกที
ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 01/02/08 เวลา 10:20:02
- Juninho
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1054
- ผู้ติดตาม: 1
+ซื้อหุ้นกันได้หรือยัง+
โพสต์ที่ 13
Signature ของคุณ AuI_a VI มาจากNo Pain ,No Gain
ถ้าขอพรวิเศษได้3 ข้อ จะขอให้พอใจและมีความสุขในสิ่งที่มีตลอดไป ตั้งแต่ข้อแรก และอีกสองข้อก็จะไม่จำเป็นและไม่เสียดาย
การ์ตูนเรื่อง พร 3 ข้อ ของ ศรัทธา แสงทอนแน่เลย
-
- Verified User
- โพสต์: 413
- ผู้ติดตาม: 0
+ซื้อหุ้นกันได้หรือยัง+
โพสต์ที่ 14
ใช่แล้วครับ อ่านแล้วโดนใจชอบมากเลย ทุกวันนี้ก็พยายามทำอยู่ครับ ทำงานและลงทุนก็เพื่อจะมีเพียงพอเลี้ยงดูครอบครัว และมีอิสรภาพจากการทำงานจากเงินปันผล พอเลยจุดนั้นไป ที่เหลือคงเอาไปบริจาคการกุศลน่ะครับfrog2 เขียน: Signature ของคุณ AuI_a VI มาจาก
การ์ตูนเรื่อง พร 3 ข้อ ของ ศรัทธา แสงทอนแน่เลย
Even Sir Isaac Newton loss in stock market
"You can't predict the future, because the future depends on how you react to it."
ซื้อหุ้นเมื่อคนส่วนใหญ่หมดศรัทธาในหุ้นและเทขายอยู่ นั่นคือเวลาตี5ในการจ่ายตลาด....จาก สอง ว. ผู้ยิ่งใหญ่
"You can't predict the future, because the future depends on how you react to it."
ซื้อหุ้นเมื่อคนส่วนใหญ่หมดศรัทธาในหุ้นและเทขายอยู่ นั่นคือเวลาตี5ในการจ่ายตลาด....จาก สอง ว. ผู้ยิ่งใหญ่