กระทิงตัวน้อยมาแล้วจ้า
- vichit
- Verified User
- โพสต์: 15833
- ผู้ติดตาม: 0
กระทิงตัวน้อยมาแล้วจ้า
โพสต์ที่ 1
กระทิงตัวน้อยมาแล้วจ้า
ใหญ่-เล็ก-จิ๋ว ไชโย-CRANE มีเฮ!
- แนะแบงก์ชาติปลดล็อคกันสำรอง 30%หนุนอีกแรง
วงการประสานเสียง หุ้นไทยเริ่ม Take Off หลังต่างชาติกลับจากฉลองตรุษจีน CLSA เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ส่งผลมีแรงซื้อสุทธิกลับมาอีกครั้งหนุนหุ้นไทยยืนเหนือ 817 จุดได้สำเร็จ หุ้นใหญ่-เล็ก-จิ๋ว คึกสะเดิด เชื่อ CRANE น้องใหม่ที่เข้าเทรดวันนี้มีเฮ! เหตุทั้งบรรยากาศการลงทุนหนุนสุดลิ่มแถมยังได้ขาใหญ่เป็นป๋าดันอีกทาง ขณะคลังยังไร้ข้อสรุปเรื่องมาตรการกันสำรอง 30% รอข้อมูลธปท.อีกรอบ ด้านวงการหนุนปลดล็อคเต็มสูบ แนะหากใช้วิธีลดตามขั้นบันไดเวิร์คสุด เพราะผู้ประกอบการมีเวลาปรับตัวมือกับกระแสเงินนอกที่ไหลเข้าตลาดไทย เชื่อเป็นแม่เหล็กดึงเม็ดเงินไหลเข้าหนุนหุ้นไทยคึกได้ระยะยาว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเมื่อวันก่อนอีกครั้ง โดยขึ้นไปทำระดับสูงสุดที่ระดับ 820.54 จุด ก่อนจะอ่อนตัวลงมาเล็กน้อยปิดการซื้อขายที่ระดับ 817 .49 จุด เพิ่มขึ้น 13.34 จุด หรือ 1.66% ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นถึง 25,676.85 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,685.76 ลบ. เพิ่มขึ้นจากเมื่อวันก่อนที่ซื้อสุทธิ 859.57 ลบ.
นางสาวศิริลักษณ์ ปโกฏิประภา ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ กล่าวว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับเพิ่มขึ้นแรงวานนี้ประเมินว่ามาจากนักลงทุนมีแรงซื้อหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่เข้ามาหนาแน่น ภายหลังจากมีความคาดหวังเชิงบวกว่าผลการหารือระหว่างกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะตัดสินใจยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30%ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้มีกระแสเงินทุนต่างชาติเข้ามาการลงทุนทางตรงในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาพักในตลาดตราสารหนี้ รวมถึงลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ก็มีแนวโน้มที่จะโยกมาลงทุนในตลาดหุ้นด้วยเช่นกัน ทำให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นถึงระยะกลางค่อนข้างสดใส
ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติที่เป็นฝ่ายซื้อสุทธิเข้ามาต่อเนื่องนั้นสะท้อนว่าดัชนีฯกำลังกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้งและตลาดหุ้นฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากขณะนี้ปัจจัยการเมืองในประเทศที่คลุมเคลือมาตลอดปีที่ผ่านมามีความชัดเจน โดยมีรัฐบาลใหม่มาจากการเลือกตั้งและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เริ่มดำเนินนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมรวมถึงพยายามเดินหน้าโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่อันเป็นพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจเพื่อเรียกคืนความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
อย่างไรก็ดี ประเด็นที่ต้องติดตามยังคงเป็นเรื่องของปัญหาซับไพร์มในสหรัฐฯที่อาจมีผลกดดันบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกระยะยาว โดยในวันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์นี้ทางนายเบน เบอร์นันกี ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟดจะแถลงความคืบหน้าเกี่ยวกับการแก้ปัญหาซับไพร์มและภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ นักลงทุนอาจต้องจับตาว่าจะมีรายงานข้อมูลที่น่าสนใจออกมาอีกหรือไม่เพราะจะส่งผลกับจิตวิทยาการลงทุน
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยในแง่ของราคา ราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าวถือว่ายังปรับขึ้นไม่มากเมื่อเทียบกับหุ้นมาร์เก็ตแคปใหญ่อื่นๆเช่นพลังงาน และอสังหาริมทรัพย์ ส่วนในแง่พื้นฐานมองว่าจะได้รับประโยชน์จากการเศรษฐกิจการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวส่งผลให้มีการขอกู้สินเชื่อเพื่อการใช้จ่ายมากขึ้น นอกจากนี้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลงก็ส่งผลดีกับธุรกิจของธนาคารเช่นกัน แนะนำซื้อ KBANK ราคาเหมาะสม 97 บาท และ BAY ราคาเหมาะสม 25 บาท
ขณะที่นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์จากปัจจัยบวกที่มีกระแสข่าวว่าอาจจะมีการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ประกอบกับแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยของไทยน่าจะปรับตัวลดลงตามประเทศสหรัฐฯ ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเข้าเริ่มเข้ามาลงทุน แต่อย่างไรก็ตามมองว่าเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นของ SET Index ช่วงนี้เป็นเพียงระยะสั้น เนื่องจากนักลงทุนยังกังวลปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังไม่ทราบถึงข้อสรุปความเสียหายอย่างชัดเจน
'เม็ดเงินที่ไหลเข้าช่วงนี้มาจากนักลงทุนต่างชาติเห็นว่ามีข่าวจะลดมาตรการกันสำรอง30% ออกมา แต่มองว่าเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น ยังไม่เป็นคราวขาขึ้นของดัชนีฯ อย่างชัดเจน เพราะปัจจัยต่างประเทศในปัญหาซับไพร์มก็ยังสร้างความกังวลอยู่เนื่องจากยังหาข้อสรุปความเสียหายไม่ได้ ' นางสาวปองรัตน์กล่าว
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะมีทีมรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อดัชนีฯ ให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงรอดูผลงานว่าจะสามารถเป็นจริงได้เมื่อไรจากนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ และยังติดตามในส่วนของผลประกอบการที่ทยอยออกมาว่าภาพรวมจะเป็นอย่างไร ส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนให้ดัชนีฯ ยังไม่เป็นขาขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงนี้
ในส่วนของกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้ซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานดี ในกลุ่มมาร์เก็ตแคปใหญ่อย่างธนาคารพาณิชย์ อาทิ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) และธนาคารกสิกรไทย(KBANK) และกลุ่มพลังงาน อาทิ บมจ.ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ประเมินแนวรับดัชนีฯ 800 จุด แนวต้าน 830 จุด
ด้านนางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผุ้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี กล่าวว่า ดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากไม่มีปัจจัยลบใหม่ๆ มากดดันบรรยากาศการลงทุน ประกอบกับนักลงทุนบางส่วนมีแรงเก็งกำไรเข้ามา จากประเด็นการพิจารณายกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ซึ่งหากมาตรการดังกล่าวยกเลิก ก็จะส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยยังได้รับปัจจัยสนับสนุน หลังราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดเพิ่มขึ้นอีก 1.82 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ระดับ 93.59 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่งผลให้มีแรงเก็งกำไรเข้ามาในกลุ่มมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ อย่างกลุ่มพลังงาน
ส่วนนักวิเคราะห์ จากฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่าช่วงนี้เริ่มเห็นพฤติกรรมการซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่หวือหวานัก แต่ประเด็นสำคัญที่จะเป็นตัวสกัดกั้นแรงซื้อขายจากนักลงทุน คือ การยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% เพราะหากยกเลิกได้จะเป็นการเปิดทางให้กับนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนได้อย่างเต็มที่
ทั้งนี้ ทางฝ่ายประเมินว่าตลาดหุ้นไทยช่วงนี้เริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจน ซึ่งมีแววการฟื้นตัวมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว และมีแนวโน้มว่าจะรักษาระดับการฟื้นตัวต่อไปได้ เพราะปัจจัยลบภายในประเทศไม่ได้ส่งผลกระทบ ทุกอย่างลงตัว อาทิ สถานการณ์ทางการเมืองที่ชัดเจน ภาคการเงิน ธนาคารมีความแข็งแกร่ง แต่ประเด็นที่จะกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุน คือ ตลาดหุ้นต่างประเทศที่ส่งผลต่อการลงทุนในประเทศไทยโดยตรงหากตลาดหุ้นเพื่อนบ้านปรับตัวลง อย่างไรก็ตามมองว่าการกระทบดังกล่าวเป็นแค่ในระยะกลางเท่านั้น
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนทางฝ่ายให้กรอบการลงทุนที่แนวรับ 813 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 828 จุด โดยมองว่าทิศทางยังเป็นขาขึ้นอยู่ ส่วนกลุ่มที่แนะนำลงทุนคือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ,พลังงาน,กลุ่มก่อสร้าง ,กลุ่มสื่อสาร
- CLSA ให้ยาดี เพิ่มน้ำหนักลงทุนเป็น3% เหตุได้รัฐบาลใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงาน บล.ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย) หรือ CLSA ได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็น 3% จาก 1% ในปี ก่อน หลังได้รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง อีกทั้งมองว่าตลาดหุ้นปีนี้จะดีกว่าปีก่อน หลังราคาหุ้นลดลงสะท้อนปัจจัยลบไปหมดแล้ว ส่งผลให้วานนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนสามารถยืนเหนือ 817 จุดอย่างแข็งแกร่งดังกล่าว
- เชื่อ CRANE รับอานิสงส์เต็มๆ จากดัชนีฯเป็นขาขึ้น-เงินนอกหนุน
นักวิเคราะห์อีกรายหนึ่งกล่าวว่า การปรับเพิ่มขึ้นของดัชนีฯในช่วงนี้ส่งผลดีต่อหุ้นในกระดานอย่างชัดเจน ทั้งหุ้นบิ๊กแคป หุ้นขนาดกลาง และหุ้นขนาดเล็ก โดยมีแรงซื้อขายเข้าหนาแน่นขึ้น และเชื่อว่าแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่กลับเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยอีกครั้งในช่วงนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเกิดขึ้นอย่างคึกคัก และหนุนให้ดัชนีฯปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องได้
"ถ้าช่วงนี้แรงซื้อต่างชาติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็น่าจะส่งผลดีต่อดัชนีฯอย่างชัด หุ้นที่จะได้รับประโยชน์ตามไปด้วยก็คงจะเป็นหุ้น IPO ที่จะเข้าซื้อขายในช่วงนี้ เพราะเป็นช่วงที่ตลาดฟื้นตัวและเม็ดเงินต่างชาติคืนสู่ตลาดฯพอดี" นักวิเคราะห์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ (13 ก.พ.51) หุ้น IPO ของบมจ.ชูไก (CRANE) จะเข้าทำการเป็นครั้งแรก โดยนายธงไชย แพรรังสี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชูไก จำกัด (มหาชน)(CRANE) เปิดเผยว่า เชื่อว่าวันนี้หุ้นชูไกจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่องจากราคาหุ้นไอพีโอ กำหนดไว้เพียง 2.80 บาท/หุ้น เท่านั้น ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทแข็งแกร่งและโดดเด่น โดยเฉพาะอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)จะลดลงต่ำกว่า 1 เท่าหลังจากขายหุ้นไอพีโอ จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.19 เท่า
ขณะที่ผลประกอบการมีอัตราการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2550 มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2549 ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของความ
ต้องการใช้เครื่องจักรประเภทรถเครนในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ และการได้รับงานโครงการขนาดใหญ่ และประการสำคัญหลังการเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
เอ็ม เอ ไอ บมจ.ชูไก ซึ่งมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วที่ 450 ลบ. จะเป็นบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ซึ่งจะหนุนให้มาร์เก็ตแคปสูงสุดติดอันดับ 1 ใน 10 ของตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ด้วย
'เชื่อว่า ปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและโดดเด่น จากผลประกอบการที่มีอัตราการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2550 มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2549 จะเป็นเหตุผลที่ทำให้นักลงทุนที่พลาดหวังจากการซื้อหุ้นจอง ในช่วงที่เปิดให้มีการจองซื้อหุ้นไอพีโอ เข้ามาเก็บหุ้นในกระดานแทน เพราะพบว่าการจองซื้อหุ้นไอพีโอได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก ' นายธงไชยกล่าว
นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ บีฟิท จำกัด (มหาชน) (BSEC) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บมจ.ชูไก กล่าวเสริมว่า เชื่อว่านักลงทุนหุ้น ไอพีโอ จะพอใจกับผลตอบแทนจากการลงทุน เพราะราคาจองที่ 2.80 บาท/หุ้น เป็นราคาที่มีส่วนลดเนื่องจาก มีค่าพี/อี เรโชว์ ประมาณ 10.37 เท่า อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าพี/อี เรโชว์ ของตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ณ วันที่กำหนดราคา ซึ่งเท่ากับ 11.91 เท่า ประกอบกับการกำหนดราคาดังกล่าวดูจากผลประกอบการในอดีตที่ผ่านมาช่วงไตรมาส 1-3 ปี 2550 ในขณะที่แนวโน้มผลประกอบการในอนาคตมีทิศทางการเติบโตที่ชัดเจน จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศหลังได้รัฐบาลใหม่ และการขยายงานตามแผนธุรกิจที่วางไว้
ราคาจองที่ 2.80 บาท/หุ้น เป็นราคาที่มีส่วนลดให้กับนักลงทุน เมื่อเทียบกับพื้นฐานที่ดีของธุรกิจจะเห็นได้ว่าแม้ภาวะเศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่ธุรกิจของบริษัทก็ยังเติบโตต่อ
เนื่องได้ ซึ่งเป็นผลมาจากมีการกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจไปในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย และประการสำคัญเชื่อว่าหลังเทศกาลตรุษจีน นักลงทุนต่างชาติจะกลับลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง เพราะการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ได้แล้วเสร็จลงแล้ว ทำให้ความมั่นใจในการลงทุนกลับคืนมา และหนุนให้บรรยากาศการลงทุนคึกคักขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อหุ้น ไอพีโอ ที่เข้าทำการซื้อขายในช่วงดังกล่าวอีกทางหนึ่งด้วย นายประสิทธิ์กล่าว
ขณะที่แหล่งข่าวจากวงการค้าหลักทรัพย์กล่าวว่า ปัจจุบันราคาบุ๊คแวลูของหุ้น CRANE จะอยู่ที่ประมาณ 2 บาทเศษ ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับราคา IPO ที่ 2.80 บาท ดังนั้น ถึงถือว่าเป็นราคาที่น่าสนใจเพราะปกติราคาหุ้นที่เข้าทำการซื้อขายจะสูงกว่าบุ๊คแวลูอย่างต่ำประมาณ 1 เท่า แต่ของ CRANE กลับอยู๋ในระดับใกล้เคียงกันเท่านั้น
- เซียนหุ้นฟันธง CRANE เข้าเทรดวันแรกสอบผ่านแน่
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซียพลัสกล่าวถึงการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ(mai) ของหุ้น บริษัท
ชูไก จำกัด(มหาชน) หรือ CRANE ในวันนี้ว่า ราคาหุ้นน่าจะปรับตัวยืนเหนือราคาจองซื้อที่ 2.80 บาท ได้โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ขณะที่ฐานรายได้ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจซึ่งเกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง ที่มาจากอุตสาหกรรมโรงงานในกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้า โรงกลั่น ปิโตรเคมี และจากธุรกิจการนำเข้าและส่งออก ประกอบกับหากโครงการเมกะโปรเจ็กมีความคืบหน้าบริษัทฯ จะได้รับอานิสงส์เป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ ยังมองว่าภาวะตลาดที่ปรับตัวยืนเหนือ 800 จุดได้น่าจะช่วยสนับสนุนและการที่บริษัทฯ มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นกลุ่มพันธ์วงศ์กล่อมและบริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด หรือ (GBX) น่าจะเป็นตัวช่วยผลักดันราคาหุ้นได้เพราะกลุ่มผู้ถือหุ้นเหล่านี้มีนโยบายลงทุนในบริษัทที่มีพื้นฐานดีและคงไม่ขายหุ้นออกมาในวันแรกแน่
ด้านนายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊ดคินซัน(ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ราคาหุ้นน่าจะปรับตัวยืนเหนือราคาจองซื้อที่ 2.80 บาท ได้ ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยฐานรายได้ส่วนใหญ่จะมาจากธุรกิจซึ่งเกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง ที่มาจากอุตสาหกรรมโรงงานในกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้า โรงกลั่น ปิโตรเคมี และจากธุรกิจการนำเข้าและส่งออก
นอกจากนี้ ยังมองว่าภาวะตลาดที่อาจจะยังผันผวน แต่ด้วยตัวบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นกลุ่มพันธ์วงศ์กล่อมและบริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด หรือ (GBX) น่าจะเป็นตัวช่วยผลักดันให้ราคาหุ้นในวันแรกเปิดเหนือราคาจองซื้อที่ 2.80 บาทได้ โดยให้ราคาเหมาะสมไว้ที่ 3.70 บาท
- รมว.คลัง เผย ยังไร้ข้อสรุปยกเลิกสำรอง 30% วันนี้ รอข้อมูลธปท.อีกรอบ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหลายฝ่ายจะยังรอความชัดเจนเรื่องการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ล่าสุดพบว่านายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ 4 หน่วยงาน ประกอบด้วย ธปท. กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ว่า ในเรื่องมาตรการการกันสำรองการลงทุน 30% ได้มีการหารือกับผู้ว่าการธปท.แล้ว ซึ่งกระทรวงการคลังต้องการรับฟังข้อมูลมากขึ้น ซึ่งยังมีอีกหลายตัวที่ยังอยากที่รับทราบเพราะฉะนั้นจึงขอให้ผู้ว่าธปท.กลับไปหาข้อมูลเพิ่มเติมมารายงานอีกครั้งโดยเร็วที่สุด ซึ่งในขณะนี้ยืนยันว่ายังไม่มีการออกมาตรการใดๆ ออกมาอย่างแน่นอน ขอเพียงรอข้อมูลเพิ่มเติมจากธปท.ก่อน
'ข้อมูลที่ต้องการเพิ่มเติมจะมีรายละเอียดมากในหลายๆ ด้าน ซึ่งจะไม่ใช่แค่เรื่องเงินไหลเข้าและการเก็งกำไร ซึ่งตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่ามีอะไรบ้าง'รมว.คลังกล่าว
รมว.คลัง กล่าวว่า กรอบในการตัดสินใจว่าจะมีการยกเลิกมาตรการนี้เมื่อไร ไม่มีกรอบระยะเวลารอเพียงข้อมูลทั้งหมดเพื่อให้มีความครบถ้วน จะทำให้มีประโยชน์สูงสุด แต่หากในการประชุมครั้งหน้าได้ข้อมูลครบถ้วนก็จะตัดสินใจได้ทันที
- สศค.จี้ธปท.ลดดอกเบี้ย 0.5% เสนอเก็บภาษีเงินทุนไหลออก แทนมาตรการกันสำรอง30%
แหล่งข่าวจาก กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ได้สั่งการให้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) รวบรวมข้อมูล และเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับมาตรการกันสำรอง 30% นโยบายอัตราดอกเบี้ย นโยบายการดูแลอัตราแลกเปลี่ยน ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือ แบงก์ชาติ และมาตรการภาษีที่จะนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ในส่วนของการดูแลอัตราแลกเปลี่ยน จะเสนอให้กำหนดเป้าหมายชัดเจนว่าในแต่ละปีค่าเงินบาทสามารถแข็งค่าได้เท่าใด เช่น ประเทศจีน ที่มีการกำหนดว่าค่าเงินหยวนสามารถแข็งค่าขึ้นได้ 15% ต่อปี
ในส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบาย(อาร์พี)จะเสนอให้ปรับลดลงอีก 0.5% จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 3.25% เนื่องจากมองว่าอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบันไม่ได้เกิดจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น แต่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าที่ไม่ได้มีการปรับขึ้นมานาน 'ควรจะบริหารนโยบายดอกเบี้ยตามทฤษฎีความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ย โดยหากอัตราเงินเฟ้อต่ำก็สามารถลดดอกเบี้ยได้ และหากไม่ต้องการให้เงินทุนไหลเข้าก็ควรที่จะลดดอกเบี้ยให้ต่ำกว่าประเทศอื่น' แหล่งข่าวกล่าว
ส่วนมาตรการกันสำรอง 30% สศค.จะเสนอให้ยกเลิก เนื่องจากที่ผ่านมาแม้จะมีการใช้มาตรการ 30% ก็ไม่ได้ช่วยให้เงินทุนไหลเข้ามาน้อยลง ค่าเงินบาทก็ยังคงแข็งค่า ทำให้ค่าเงินบาท 2 ตลาด เกิดความแตกต่างกัน ผู้ส่งออกถือเงินเหรียญสหรัฐฯระยะสั้นและขายออกมากขึ้น โดยหลังจากยกเลิกมาตรการ 30% ก็จะเสนอให้ใช้มาตรการเก็บภาษีเงินทุนไหลออกที่นำเข้ามาไม่ถึง 1 ปี ในอัตรา 5-10% ของกำไร
นอกจากนี้ สศค.ยังจะเสนอความเห็นเรื่องการตั้งงบประมาณกลางปี ควรไปใช่ต่อยอดในโครงการกองทุนหมู่บ้าน ให้เป็นธนาคารประชาชน และโครงการเอสเอ็มแอล ซึ่งเป็นเรื่องที่ สศค.ได้คิดมาก่อนหน้านี้ สำหรับมาตรการภาษีจะมีการเสนอให้เพิ่มค่าใช้จ่ายหักภาษีจาก 6 หมื่นบาท เป็น 1 แสนบาท ทำให้คนมีรายได้น้อยไม่ถึง 2 หมื่นบาทต่อเดือนไม่ต้องเสียภาษี รวมทั้งจะเสนอให้มีการแยกยื่นภาษีระหว่างสามีภรรยา ซึ่งจะทำให้มีการเสียภาษีน้อยลง โดยมาตรการภาษีดังกล่าวเป็นแผนที่ กรมสรรพากร เตรียมเสนอรัฐบาลใหม่ไว้แล้ว
ดร.พิชิต อัครทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หากรัฐบาลมีนโยบายยกเลิกมาตรการกันสำรอง30% ก็ควรหามาตรการอื่นมาทดแทน มิเช่นนั้นจะเกิดการเก็งกำไรอย่างรวดเร็ว
- บิ๊ก METRO ยกมือสุดตัวเห็นด้วยคลัง-ธปท.ใจดีปลดล็อคมาตรการ 30% พร้อมแนะรัฐดูแลค่าบาทให้มีเสถียรภาพ
นายรัตนชัย ผาตินาวิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมโทรสตาร์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ METRO เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่าเห็นด้วยหากวันนี้การหารือระหว่างกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% เนื่องจากเป็นการเปิดทางให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุน แต่ทั้งนี้เห็นว่าควรมีมาตรการอื่นๆออกมารองรับ โดยเฉพาะเพื่อป้องกันค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับผู้ประกอบการแต่ละธุรกิจ
'มาตรการกันสำรอง 30% เหมือนเป็นการกีดกัน ทำให้การลงทุนจากต่างประเทศชะลอลงไป การยกเลิกเหมือนการหันมาสนับสนุนการลงทุนอีกครั้ง แต่ก็อยากให้ภาครัฐดูแลค่าเงินให้มีเสถียรภาพด้วย ซึ่งเชื่อว่าหากทำได้จริง เหมือนเป็นการส่งเสริมการลงทุน ดีต่อทุกฝ่าย แต่สุดท้ายจะเป็นอย่างไรแล้วแต่ดุลยพินิจภาครัฐ' นายรัตนชัย กล่าว
- วงการแนะลดแบบขั้นบันได เพื่อลดผลกระทบจากเงินนอกไหลเข้า
แหล่งข่าวจากวงการการเงินกล่าวว่า เห็นด้วยกับการปลดล็อคยกเลิกการกันสำรอง 30% แต่ควรจะใช้วิธีการปรับลดแบบขั้นบันได หรือค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการปรับตัวรับมือกับเม็ดเงินที่จะไหลเข้าสู่ประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้เงินบาทแข็งค่าเพิ่มขึ้นได้
"ผมเห็นว่าถ้าจะเลิกก็น่าจะใช้วิธีการแบบค่อยเป็นค่อยไป คือยกเลิกแบบขั้นบันไดก็ได้ ไม่ควรหักดิบ ยกเลิกครั้งเดียวจบ เพราะจะกระทบต่อผู้ส่งออก เพราะเห็นกันว่าตอนประกาศใช้ก็กระทบต่อตลาดทุนชัดเจนอยู่แล้ว ไม่อยากให้กระทบต่อวงการอื่นอีก" แหล่งข่าวกล่าว
ใหญ่-เล็ก-จิ๋ว ไชโย-CRANE มีเฮ!
- แนะแบงก์ชาติปลดล็อคกันสำรอง 30%หนุนอีกแรง
วงการประสานเสียง หุ้นไทยเริ่ม Take Off หลังต่างชาติกลับจากฉลองตรุษจีน CLSA เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ส่งผลมีแรงซื้อสุทธิกลับมาอีกครั้งหนุนหุ้นไทยยืนเหนือ 817 จุดได้สำเร็จ หุ้นใหญ่-เล็ก-จิ๋ว คึกสะเดิด เชื่อ CRANE น้องใหม่ที่เข้าเทรดวันนี้มีเฮ! เหตุทั้งบรรยากาศการลงทุนหนุนสุดลิ่มแถมยังได้ขาใหญ่เป็นป๋าดันอีกทาง ขณะคลังยังไร้ข้อสรุปเรื่องมาตรการกันสำรอง 30% รอข้อมูลธปท.อีกรอบ ด้านวงการหนุนปลดล็อคเต็มสูบ แนะหากใช้วิธีลดตามขั้นบันไดเวิร์คสุด เพราะผู้ประกอบการมีเวลาปรับตัวมือกับกระแสเงินนอกที่ไหลเข้าตลาดไทย เชื่อเป็นแม่เหล็กดึงเม็ดเงินไหลเข้าหนุนหุ้นไทยคึกได้ระยะยาว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเมื่อวันก่อนอีกครั้ง โดยขึ้นไปทำระดับสูงสุดที่ระดับ 820.54 จุด ก่อนจะอ่อนตัวลงมาเล็กน้อยปิดการซื้อขายที่ระดับ 817 .49 จุด เพิ่มขึ้น 13.34 จุด หรือ 1.66% ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นถึง 25,676.85 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,685.76 ลบ. เพิ่มขึ้นจากเมื่อวันก่อนที่ซื้อสุทธิ 859.57 ลบ.
นางสาวศิริลักษณ์ ปโกฏิประภา ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ กล่าวว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับเพิ่มขึ้นแรงวานนี้ประเมินว่ามาจากนักลงทุนมีแรงซื้อหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่เข้ามาหนาแน่น ภายหลังจากมีความคาดหวังเชิงบวกว่าผลการหารือระหว่างกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะตัดสินใจยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30%ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้มีกระแสเงินทุนต่างชาติเข้ามาการลงทุนทางตรงในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาพักในตลาดตราสารหนี้ รวมถึงลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ก็มีแนวโน้มที่จะโยกมาลงทุนในตลาดหุ้นด้วยเช่นกัน ทำให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นถึงระยะกลางค่อนข้างสดใส
ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติที่เป็นฝ่ายซื้อสุทธิเข้ามาต่อเนื่องนั้นสะท้อนว่าดัชนีฯกำลังกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้งและตลาดหุ้นฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากขณะนี้ปัจจัยการเมืองในประเทศที่คลุมเคลือมาตลอดปีที่ผ่านมามีความชัดเจน โดยมีรัฐบาลใหม่มาจากการเลือกตั้งและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เริ่มดำเนินนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมรวมถึงพยายามเดินหน้าโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่อันเป็นพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจเพื่อเรียกคืนความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
อย่างไรก็ดี ประเด็นที่ต้องติดตามยังคงเป็นเรื่องของปัญหาซับไพร์มในสหรัฐฯที่อาจมีผลกดดันบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกระยะยาว โดยในวันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์นี้ทางนายเบน เบอร์นันกี ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟดจะแถลงความคืบหน้าเกี่ยวกับการแก้ปัญหาซับไพร์มและภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ นักลงทุนอาจต้องจับตาว่าจะมีรายงานข้อมูลที่น่าสนใจออกมาอีกหรือไม่เพราะจะส่งผลกับจิตวิทยาการลงทุน
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยในแง่ของราคา ราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าวถือว่ายังปรับขึ้นไม่มากเมื่อเทียบกับหุ้นมาร์เก็ตแคปใหญ่อื่นๆเช่นพลังงาน และอสังหาริมทรัพย์ ส่วนในแง่พื้นฐานมองว่าจะได้รับประโยชน์จากการเศรษฐกิจการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวส่งผลให้มีการขอกู้สินเชื่อเพื่อการใช้จ่ายมากขึ้น นอกจากนี้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลงก็ส่งผลดีกับธุรกิจของธนาคารเช่นกัน แนะนำซื้อ KBANK ราคาเหมาะสม 97 บาท และ BAY ราคาเหมาะสม 25 บาท
ขณะที่นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์จากปัจจัยบวกที่มีกระแสข่าวว่าอาจจะมีการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ประกอบกับแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยของไทยน่าจะปรับตัวลดลงตามประเทศสหรัฐฯ ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเข้าเริ่มเข้ามาลงทุน แต่อย่างไรก็ตามมองว่าเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นของ SET Index ช่วงนี้เป็นเพียงระยะสั้น เนื่องจากนักลงทุนยังกังวลปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังไม่ทราบถึงข้อสรุปความเสียหายอย่างชัดเจน
'เม็ดเงินที่ไหลเข้าช่วงนี้มาจากนักลงทุนต่างชาติเห็นว่ามีข่าวจะลดมาตรการกันสำรอง30% ออกมา แต่มองว่าเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น ยังไม่เป็นคราวขาขึ้นของดัชนีฯ อย่างชัดเจน เพราะปัจจัยต่างประเทศในปัญหาซับไพร์มก็ยังสร้างความกังวลอยู่เนื่องจากยังหาข้อสรุปความเสียหายไม่ได้ ' นางสาวปองรัตน์กล่าว
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะมีทีมรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อดัชนีฯ ให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงรอดูผลงานว่าจะสามารถเป็นจริงได้เมื่อไรจากนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ และยังติดตามในส่วนของผลประกอบการที่ทยอยออกมาว่าภาพรวมจะเป็นอย่างไร ส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนให้ดัชนีฯ ยังไม่เป็นขาขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงนี้
ในส่วนของกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้ซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานดี ในกลุ่มมาร์เก็ตแคปใหญ่อย่างธนาคารพาณิชย์ อาทิ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) และธนาคารกสิกรไทย(KBANK) และกลุ่มพลังงาน อาทิ บมจ.ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ประเมินแนวรับดัชนีฯ 800 จุด แนวต้าน 830 จุด
ด้านนางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผุ้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี กล่าวว่า ดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากไม่มีปัจจัยลบใหม่ๆ มากดดันบรรยากาศการลงทุน ประกอบกับนักลงทุนบางส่วนมีแรงเก็งกำไรเข้ามา จากประเด็นการพิจารณายกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ซึ่งหากมาตรการดังกล่าวยกเลิก ก็จะส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยยังได้รับปัจจัยสนับสนุน หลังราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดเพิ่มขึ้นอีก 1.82 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ระดับ 93.59 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่งผลให้มีแรงเก็งกำไรเข้ามาในกลุ่มมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ อย่างกลุ่มพลังงาน
ส่วนนักวิเคราะห์ จากฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่าช่วงนี้เริ่มเห็นพฤติกรรมการซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่หวือหวานัก แต่ประเด็นสำคัญที่จะเป็นตัวสกัดกั้นแรงซื้อขายจากนักลงทุน คือ การยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% เพราะหากยกเลิกได้จะเป็นการเปิดทางให้กับนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนได้อย่างเต็มที่
ทั้งนี้ ทางฝ่ายประเมินว่าตลาดหุ้นไทยช่วงนี้เริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจน ซึ่งมีแววการฟื้นตัวมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว และมีแนวโน้มว่าจะรักษาระดับการฟื้นตัวต่อไปได้ เพราะปัจจัยลบภายในประเทศไม่ได้ส่งผลกระทบ ทุกอย่างลงตัว อาทิ สถานการณ์ทางการเมืองที่ชัดเจน ภาคการเงิน ธนาคารมีความแข็งแกร่ง แต่ประเด็นที่จะกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุน คือ ตลาดหุ้นต่างประเทศที่ส่งผลต่อการลงทุนในประเทศไทยโดยตรงหากตลาดหุ้นเพื่อนบ้านปรับตัวลง อย่างไรก็ตามมองว่าการกระทบดังกล่าวเป็นแค่ในระยะกลางเท่านั้น
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนทางฝ่ายให้กรอบการลงทุนที่แนวรับ 813 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 828 จุด โดยมองว่าทิศทางยังเป็นขาขึ้นอยู่ ส่วนกลุ่มที่แนะนำลงทุนคือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ,พลังงาน,กลุ่มก่อสร้าง ,กลุ่มสื่อสาร
- CLSA ให้ยาดี เพิ่มน้ำหนักลงทุนเป็น3% เหตุได้รัฐบาลใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงาน บล.ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย) หรือ CLSA ได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็น 3% จาก 1% ในปี ก่อน หลังได้รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง อีกทั้งมองว่าตลาดหุ้นปีนี้จะดีกว่าปีก่อน หลังราคาหุ้นลดลงสะท้อนปัจจัยลบไปหมดแล้ว ส่งผลให้วานนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนสามารถยืนเหนือ 817 จุดอย่างแข็งแกร่งดังกล่าว
- เชื่อ CRANE รับอานิสงส์เต็มๆ จากดัชนีฯเป็นขาขึ้น-เงินนอกหนุน
นักวิเคราะห์อีกรายหนึ่งกล่าวว่า การปรับเพิ่มขึ้นของดัชนีฯในช่วงนี้ส่งผลดีต่อหุ้นในกระดานอย่างชัดเจน ทั้งหุ้นบิ๊กแคป หุ้นขนาดกลาง และหุ้นขนาดเล็ก โดยมีแรงซื้อขายเข้าหนาแน่นขึ้น และเชื่อว่าแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่กลับเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยอีกครั้งในช่วงนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเกิดขึ้นอย่างคึกคัก และหนุนให้ดัชนีฯปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องได้
"ถ้าช่วงนี้แรงซื้อต่างชาติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็น่าจะส่งผลดีต่อดัชนีฯอย่างชัด หุ้นที่จะได้รับประโยชน์ตามไปด้วยก็คงจะเป็นหุ้น IPO ที่จะเข้าซื้อขายในช่วงนี้ เพราะเป็นช่วงที่ตลาดฟื้นตัวและเม็ดเงินต่างชาติคืนสู่ตลาดฯพอดี" นักวิเคราะห์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ (13 ก.พ.51) หุ้น IPO ของบมจ.ชูไก (CRANE) จะเข้าทำการเป็นครั้งแรก โดยนายธงไชย แพรรังสี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชูไก จำกัด (มหาชน)(CRANE) เปิดเผยว่า เชื่อว่าวันนี้หุ้นชูไกจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่องจากราคาหุ้นไอพีโอ กำหนดไว้เพียง 2.80 บาท/หุ้น เท่านั้น ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทแข็งแกร่งและโดดเด่น โดยเฉพาะอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)จะลดลงต่ำกว่า 1 เท่าหลังจากขายหุ้นไอพีโอ จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.19 เท่า
ขณะที่ผลประกอบการมีอัตราการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2550 มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2549 ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของความ
ต้องการใช้เครื่องจักรประเภทรถเครนในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ และการได้รับงานโครงการขนาดใหญ่ และประการสำคัญหลังการเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
เอ็ม เอ ไอ บมจ.ชูไก ซึ่งมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วที่ 450 ลบ. จะเป็นบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ซึ่งจะหนุนให้มาร์เก็ตแคปสูงสุดติดอันดับ 1 ใน 10 ของตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ด้วย
'เชื่อว่า ปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและโดดเด่น จากผลประกอบการที่มีอัตราการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2550 มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2549 จะเป็นเหตุผลที่ทำให้นักลงทุนที่พลาดหวังจากการซื้อหุ้นจอง ในช่วงที่เปิดให้มีการจองซื้อหุ้นไอพีโอ เข้ามาเก็บหุ้นในกระดานแทน เพราะพบว่าการจองซื้อหุ้นไอพีโอได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก ' นายธงไชยกล่าว
นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ บีฟิท จำกัด (มหาชน) (BSEC) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บมจ.ชูไก กล่าวเสริมว่า เชื่อว่านักลงทุนหุ้น ไอพีโอ จะพอใจกับผลตอบแทนจากการลงทุน เพราะราคาจองที่ 2.80 บาท/หุ้น เป็นราคาที่มีส่วนลดเนื่องจาก มีค่าพี/อี เรโชว์ ประมาณ 10.37 เท่า อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าพี/อี เรโชว์ ของตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ณ วันที่กำหนดราคา ซึ่งเท่ากับ 11.91 เท่า ประกอบกับการกำหนดราคาดังกล่าวดูจากผลประกอบการในอดีตที่ผ่านมาช่วงไตรมาส 1-3 ปี 2550 ในขณะที่แนวโน้มผลประกอบการในอนาคตมีทิศทางการเติบโตที่ชัดเจน จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศหลังได้รัฐบาลใหม่ และการขยายงานตามแผนธุรกิจที่วางไว้
ราคาจองที่ 2.80 บาท/หุ้น เป็นราคาที่มีส่วนลดให้กับนักลงทุน เมื่อเทียบกับพื้นฐานที่ดีของธุรกิจจะเห็นได้ว่าแม้ภาวะเศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่ธุรกิจของบริษัทก็ยังเติบโตต่อ
เนื่องได้ ซึ่งเป็นผลมาจากมีการกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจไปในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย และประการสำคัญเชื่อว่าหลังเทศกาลตรุษจีน นักลงทุนต่างชาติจะกลับลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง เพราะการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ได้แล้วเสร็จลงแล้ว ทำให้ความมั่นใจในการลงทุนกลับคืนมา และหนุนให้บรรยากาศการลงทุนคึกคักขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อหุ้น ไอพีโอ ที่เข้าทำการซื้อขายในช่วงดังกล่าวอีกทางหนึ่งด้วย นายประสิทธิ์กล่าว
ขณะที่แหล่งข่าวจากวงการค้าหลักทรัพย์กล่าวว่า ปัจจุบันราคาบุ๊คแวลูของหุ้น CRANE จะอยู่ที่ประมาณ 2 บาทเศษ ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับราคา IPO ที่ 2.80 บาท ดังนั้น ถึงถือว่าเป็นราคาที่น่าสนใจเพราะปกติราคาหุ้นที่เข้าทำการซื้อขายจะสูงกว่าบุ๊คแวลูอย่างต่ำประมาณ 1 เท่า แต่ของ CRANE กลับอยู๋ในระดับใกล้เคียงกันเท่านั้น
- เซียนหุ้นฟันธง CRANE เข้าเทรดวันแรกสอบผ่านแน่
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซียพลัสกล่าวถึงการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ(mai) ของหุ้น บริษัท
ชูไก จำกัด(มหาชน) หรือ CRANE ในวันนี้ว่า ราคาหุ้นน่าจะปรับตัวยืนเหนือราคาจองซื้อที่ 2.80 บาท ได้โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ขณะที่ฐานรายได้ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจซึ่งเกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง ที่มาจากอุตสาหกรรมโรงงานในกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้า โรงกลั่น ปิโตรเคมี และจากธุรกิจการนำเข้าและส่งออก ประกอบกับหากโครงการเมกะโปรเจ็กมีความคืบหน้าบริษัทฯ จะได้รับอานิสงส์เป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ ยังมองว่าภาวะตลาดที่ปรับตัวยืนเหนือ 800 จุดได้น่าจะช่วยสนับสนุนและการที่บริษัทฯ มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นกลุ่มพันธ์วงศ์กล่อมและบริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด หรือ (GBX) น่าจะเป็นตัวช่วยผลักดันราคาหุ้นได้เพราะกลุ่มผู้ถือหุ้นเหล่านี้มีนโยบายลงทุนในบริษัทที่มีพื้นฐานดีและคงไม่ขายหุ้นออกมาในวันแรกแน่
ด้านนายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊ดคินซัน(ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ราคาหุ้นน่าจะปรับตัวยืนเหนือราคาจองซื้อที่ 2.80 บาท ได้ ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยฐานรายได้ส่วนใหญ่จะมาจากธุรกิจซึ่งเกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง ที่มาจากอุตสาหกรรมโรงงานในกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้า โรงกลั่น ปิโตรเคมี และจากธุรกิจการนำเข้าและส่งออก
นอกจากนี้ ยังมองว่าภาวะตลาดที่อาจจะยังผันผวน แต่ด้วยตัวบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นกลุ่มพันธ์วงศ์กล่อมและบริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด หรือ (GBX) น่าจะเป็นตัวช่วยผลักดันให้ราคาหุ้นในวันแรกเปิดเหนือราคาจองซื้อที่ 2.80 บาทได้ โดยให้ราคาเหมาะสมไว้ที่ 3.70 บาท
- รมว.คลัง เผย ยังไร้ข้อสรุปยกเลิกสำรอง 30% วันนี้ รอข้อมูลธปท.อีกรอบ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหลายฝ่ายจะยังรอความชัดเจนเรื่องการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ล่าสุดพบว่านายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ 4 หน่วยงาน ประกอบด้วย ธปท. กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ว่า ในเรื่องมาตรการการกันสำรองการลงทุน 30% ได้มีการหารือกับผู้ว่าการธปท.แล้ว ซึ่งกระทรวงการคลังต้องการรับฟังข้อมูลมากขึ้น ซึ่งยังมีอีกหลายตัวที่ยังอยากที่รับทราบเพราะฉะนั้นจึงขอให้ผู้ว่าธปท.กลับไปหาข้อมูลเพิ่มเติมมารายงานอีกครั้งโดยเร็วที่สุด ซึ่งในขณะนี้ยืนยันว่ายังไม่มีการออกมาตรการใดๆ ออกมาอย่างแน่นอน ขอเพียงรอข้อมูลเพิ่มเติมจากธปท.ก่อน
'ข้อมูลที่ต้องการเพิ่มเติมจะมีรายละเอียดมากในหลายๆ ด้าน ซึ่งจะไม่ใช่แค่เรื่องเงินไหลเข้าและการเก็งกำไร ซึ่งตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่ามีอะไรบ้าง'รมว.คลังกล่าว
รมว.คลัง กล่าวว่า กรอบในการตัดสินใจว่าจะมีการยกเลิกมาตรการนี้เมื่อไร ไม่มีกรอบระยะเวลารอเพียงข้อมูลทั้งหมดเพื่อให้มีความครบถ้วน จะทำให้มีประโยชน์สูงสุด แต่หากในการประชุมครั้งหน้าได้ข้อมูลครบถ้วนก็จะตัดสินใจได้ทันที
- สศค.จี้ธปท.ลดดอกเบี้ย 0.5% เสนอเก็บภาษีเงินทุนไหลออก แทนมาตรการกันสำรอง30%
แหล่งข่าวจาก กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ได้สั่งการให้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) รวบรวมข้อมูล และเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับมาตรการกันสำรอง 30% นโยบายอัตราดอกเบี้ย นโยบายการดูแลอัตราแลกเปลี่ยน ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือ แบงก์ชาติ และมาตรการภาษีที่จะนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ในส่วนของการดูแลอัตราแลกเปลี่ยน จะเสนอให้กำหนดเป้าหมายชัดเจนว่าในแต่ละปีค่าเงินบาทสามารถแข็งค่าได้เท่าใด เช่น ประเทศจีน ที่มีการกำหนดว่าค่าเงินหยวนสามารถแข็งค่าขึ้นได้ 15% ต่อปี
ในส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบาย(อาร์พี)จะเสนอให้ปรับลดลงอีก 0.5% จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 3.25% เนื่องจากมองว่าอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบันไม่ได้เกิดจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น แต่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าที่ไม่ได้มีการปรับขึ้นมานาน 'ควรจะบริหารนโยบายดอกเบี้ยตามทฤษฎีความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ย โดยหากอัตราเงินเฟ้อต่ำก็สามารถลดดอกเบี้ยได้ และหากไม่ต้องการให้เงินทุนไหลเข้าก็ควรที่จะลดดอกเบี้ยให้ต่ำกว่าประเทศอื่น' แหล่งข่าวกล่าว
ส่วนมาตรการกันสำรอง 30% สศค.จะเสนอให้ยกเลิก เนื่องจากที่ผ่านมาแม้จะมีการใช้มาตรการ 30% ก็ไม่ได้ช่วยให้เงินทุนไหลเข้ามาน้อยลง ค่าเงินบาทก็ยังคงแข็งค่า ทำให้ค่าเงินบาท 2 ตลาด เกิดความแตกต่างกัน ผู้ส่งออกถือเงินเหรียญสหรัฐฯระยะสั้นและขายออกมากขึ้น โดยหลังจากยกเลิกมาตรการ 30% ก็จะเสนอให้ใช้มาตรการเก็บภาษีเงินทุนไหลออกที่นำเข้ามาไม่ถึง 1 ปี ในอัตรา 5-10% ของกำไร
นอกจากนี้ สศค.ยังจะเสนอความเห็นเรื่องการตั้งงบประมาณกลางปี ควรไปใช่ต่อยอดในโครงการกองทุนหมู่บ้าน ให้เป็นธนาคารประชาชน และโครงการเอสเอ็มแอล ซึ่งเป็นเรื่องที่ สศค.ได้คิดมาก่อนหน้านี้ สำหรับมาตรการภาษีจะมีการเสนอให้เพิ่มค่าใช้จ่ายหักภาษีจาก 6 หมื่นบาท เป็น 1 แสนบาท ทำให้คนมีรายได้น้อยไม่ถึง 2 หมื่นบาทต่อเดือนไม่ต้องเสียภาษี รวมทั้งจะเสนอให้มีการแยกยื่นภาษีระหว่างสามีภรรยา ซึ่งจะทำให้มีการเสียภาษีน้อยลง โดยมาตรการภาษีดังกล่าวเป็นแผนที่ กรมสรรพากร เตรียมเสนอรัฐบาลใหม่ไว้แล้ว
ดร.พิชิต อัครทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หากรัฐบาลมีนโยบายยกเลิกมาตรการกันสำรอง30% ก็ควรหามาตรการอื่นมาทดแทน มิเช่นนั้นจะเกิดการเก็งกำไรอย่างรวดเร็ว
- บิ๊ก METRO ยกมือสุดตัวเห็นด้วยคลัง-ธปท.ใจดีปลดล็อคมาตรการ 30% พร้อมแนะรัฐดูแลค่าบาทให้มีเสถียรภาพ
นายรัตนชัย ผาตินาวิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมโทรสตาร์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ METRO เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่าเห็นด้วยหากวันนี้การหารือระหว่างกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% เนื่องจากเป็นการเปิดทางให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุน แต่ทั้งนี้เห็นว่าควรมีมาตรการอื่นๆออกมารองรับ โดยเฉพาะเพื่อป้องกันค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับผู้ประกอบการแต่ละธุรกิจ
'มาตรการกันสำรอง 30% เหมือนเป็นการกีดกัน ทำให้การลงทุนจากต่างประเทศชะลอลงไป การยกเลิกเหมือนการหันมาสนับสนุนการลงทุนอีกครั้ง แต่ก็อยากให้ภาครัฐดูแลค่าเงินให้มีเสถียรภาพด้วย ซึ่งเชื่อว่าหากทำได้จริง เหมือนเป็นการส่งเสริมการลงทุน ดีต่อทุกฝ่าย แต่สุดท้ายจะเป็นอย่างไรแล้วแต่ดุลยพินิจภาครัฐ' นายรัตนชัย กล่าว
- วงการแนะลดแบบขั้นบันได เพื่อลดผลกระทบจากเงินนอกไหลเข้า
แหล่งข่าวจากวงการการเงินกล่าวว่า เห็นด้วยกับการปลดล็อคยกเลิกการกันสำรอง 30% แต่ควรจะใช้วิธีการปรับลดแบบขั้นบันได หรือค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการปรับตัวรับมือกับเม็ดเงินที่จะไหลเข้าสู่ประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้เงินบาทแข็งค่าเพิ่มขึ้นได้
"ผมเห็นว่าถ้าจะเลิกก็น่าจะใช้วิธีการแบบค่อยเป็นค่อยไป คือยกเลิกแบบขั้นบันไดก็ได้ ไม่ควรหักดิบ ยกเลิกครั้งเดียวจบ เพราะจะกระทบต่อผู้ส่งออก เพราะเห็นกันว่าตอนประกาศใช้ก็กระทบต่อตลาดทุนชัดเจนอยู่แล้ว ไม่อยากให้กระทบต่อวงการอื่นอีก" แหล่งข่าวกล่าว
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
งั้นผมก็ผิดด้วยสิ
โพสต์ที่ 6
งั้นการกระทำของผมก็ผิดด้วยสิครับ วานผู้เชี่ยวชาญด้านกฏหมายช่วยชี้แจงด้วยครับ เดี๋ยวจะอันตรายต่อเว็บครับCK เขียน: ก็ยังผิดอยู่ดีครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
กระทิงตัวน้อยมาแล้วจ้า
โพสต์ที่ 8
ข้อยกเว้นของการใช้งานอันมีลิขสิทธิ์
ถ้าจะให้ปลอดภัย ควรเอามาแปะไม่เกิน 10% ของเนื้อหาทั้งหมด
หรือไม่เกิน 1,000 คำ (แล้วแต่ว่าอย่างใดจะน้อยกว่า)
และจะต้องอ้างถึงแหล่งที่มาซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ครับ
ในการรายงานข่าวทางสื่อสารมวลชน เช่น สถานีวิทยุโทรทัศน์ หรือหนังสือพิมพ์อาจมีการทำซ้ำงานวรรณกรรม เช่น บทความ ข้อความจากหนังสือ หรืองานศิลปกรรม (เช่น รูปภาพ) หรือมีการเผยแพร่งานลิขสิทธิ์ เช่น ภาพ เสียง หรือ
1. ลักษณะการใช้งานลิขสิทธิ์ในการรายงานข่าว
ในการรายงานข่าวทางสื่อสารมวลชน เช่น สถานีวิทยุโทรทัศน์ หรือหนังสือพิมพ์อาจมีการทำซ้ำงานวรรณกรรม เช่น บทความ ข้อความจากหนังสือ หรืองานศิลปกรรม (เช่น รูปภาพ) หรือมีการเผยแพร่งานลิขสิทธิ์ เช่น ภาพ เสียง หรือข้อความจากงานอันมีลิขสิทธิ์ของบุคคลอื่น ซึ่งกฎหมายลิขสิทธิ์กำหนดให้การกระทำในลักษณะต่าง ๆ ดังกล่าว เป็นสิทธิแต่เพียงผู้เดียวของเจ้าของลิขสิทธิ์ ดังนั้น ผู้รายงานข่าวจะต้องขออนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อนเสมอ แต่หากเป็นการรายงานข่าวในสิ่งที่มีลักษณะเป็นเพียงข้อเท็จจริง หรือข่าวสารประจำวันที่ไม่ใช่งานสร้างสรรค์ที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ผู้รายงานข่าวสามารถนำข้อเท็จจริงเหล่านั้นมาใช้ได้อย่างเสรีโดยไม่ต้องขออนุญาตผู้ใดก่อน
2. ข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 32 และมาตรา 33 กำหนดให้การรายงานข่าวทางสื่อสารมวลชน เช่น การเผยแพร่เสียง รูปภาพ หรือข้อความจากงานลิขสิทธิ์ของบุคคลอื่น เป็นต้น และการกล่าว คัด ลอก เลียน หรืออ้างอิงงานบางตอนจากงานอันมีลิขสิทธิ์ ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ แต่ทั้งนี้จะต้องมีการรับรู้ความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ หรือกล่าวถึงที่มาของงานลิขสิทธิ์ดังกล่าวด้วยทุกครั้ง
อย่างไรก็ตาม การกระทำดังกล่าวจะต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของการใช้สิทธิที่เป็นธรรม 2 ประการ คือ ต้องไม่ขัดต่อการแสวงหาประโยชน์จากงานอันมีลิขสิทธิ์ตามปกติของเจ้าของลิขสิทธิ์ และต้องไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของลิขสิทธิ์เกินสมควร
3. เกณฑ์การพิจารณา
เกณฑ์การใช้ลิขสิทธิ์ที่เป็นธรรมในการรายงานข่าว ต้องพิจารณาถึงหลัก 4 ประการ ดังนี้
1) เป็นการรายงานข่าวทางสื่อมวลชนตามปกติ โดยจะต้องมีการรับรู้ความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ โดยอาจดูรายละเอียดการแสดงความรับรู้ในข้อ 5
2) พิจารณาลักษณะของงานลิขสิทธิ์
3) คำนึงถึงปริมาณการใช้งานและสัดส่วนของงาน โดยอาจพิจารณาจากเกณฑ์ที่กำหนดในข้อ 4
4) มีผลกระทบต่อการตลาดหรือมูลค่าของงานลิขสิทธิ์นั้นหรือไม่
ตัวอย่าง
1) การรายงานข่าวภาพยนตร์เรื่องหนึ่งซึ่งกำลังออกฉายในโรง จะต้องมีภาพไม่เกิน 10% หรือ 3 นาที โดยต้องแสดงการรับรู้ความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ และไม่ใช่เป็นการเปิดเผยสาระสำคัญของภาพยนตร์จนถึงขนาดที่จะทำให้ผู้ชมไม่มีความจำเป็นต้องไปชมภาพยนตร์เรื่องนั้นอีก ซึ่งอาจมีผลทำให้รายได้ของภาพยนตร์ลดลง
2) การรายงานข่าวงานวรรณกรรมที่ตีพิมพ์วางจำหน่าย สามารถรายงานได้ไม่เกิน 10% หรือ 1000 คำ และใช้ภาพได้ไม่เกิน 5 ภาพ มิฉะนั้นผู้อ่านจะทราบและคาดเดาสาระสำคัญของหนังสือเล่มนั้นได้หมด จนไม่จำเป็นต้องไปซื้อเล่มดังกล่าวมาอ่านอีก
3) การเผยแพร่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำเพื่อการเสนอรายงานหรือติชมวิจารณ์แนะนำ โดยมีการรับรู้ผลงานความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในปริมาณพอสมควร ถือว่าเป็นการใช้งานที่เป็นธรรม
4. ปริมาณการใช้งานลิขสิทธิ์
1) ภาพเคลื่อนไหว
- ทำซ้ำและหรือเผยแพร่ได้ไม่เกิน 10% หรือ 3 นาที ของแต่ละเรื่อง (แล้วแต่ว่าจำนวนใดน้อยกว่ากัน)
2) ดนตรีกรรม และมิวสิควิดีโอ
- สามารถทำซ้ำและหรือในสำเนางานได้ไม่เกิน 10% แต่ต้องไม่มากกว่า 30 วินาทีของแต่ละงานและจะดัดแปลงทำนองหรือส่วนอันเป็นสาระสำคัญไม่ได้
3) รูปภาพและภาพถ่าย
- ใช้ได้ไม่เกิน 5 ภาพ ต่อผู้สร้างสรรค์ 1 ราย หากเป็นการใช้ภาพจากงานวารสารหรือสิ่งพิมพ์ สามารถใช้ได้ไม่เกิน 10% หรือ 15 ภาพ ของจำนวนภาพทั้งหมดที่ปรากฏในวารสารหรือ สิ่งพิมพ์นั้น (แล้วแต่ว่าจำนวนใดน้อยกว่ากัน)
4) ข้อความ
- ทำซ้ำและหรือเผยแพร่ได้ไม่เกิน 10% หรือ 1,000 คำ ของแต่ละเรื่องหรือแต่ละบทความ (แล้วแต่ว่าจำนวนใดน้อยกว่ากัน)
5) ข้อมูลจากงานรวบรวมอันมีลิขสิทธิ์
- ไม่เกิน 10% หรือ 2,500 รายการ/ข้อมูล (แล้วแต่ว่าจำนวนใดน้อยกว่ากัน)
5. การรับรู้ความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
การนำงานลิขสิทธิ์มาใช้ประกอบการรายงานข่าว จะต้องมีการแสดงความรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ โดยต้องแจ้งให้ทราบถึงชื่อเจ้าของลิขสิทธิ์ และ/หรือผู้สร้างสรรค์ ชื่อผลงาน (ถ้ามี) หรือแหล่งที่มา (ถ้ามี) ด้วย
ถ้าจะให้ปลอดภัย ควรเอามาแปะไม่เกิน 10% ของเนื้อหาทั้งหมด
หรือไม่เกิน 1,000 คำ (แล้วแต่ว่าอย่างใดจะน้อยกว่า)
และจะต้องอ้างถึงแหล่งที่มาซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ครับ
ในการรายงานข่าวทางสื่อสารมวลชน เช่น สถานีวิทยุโทรทัศน์ หรือหนังสือพิมพ์อาจมีการทำซ้ำงานวรรณกรรม เช่น บทความ ข้อความจากหนังสือ หรืองานศิลปกรรม (เช่น รูปภาพ) หรือมีการเผยแพร่งานลิขสิทธิ์ เช่น ภาพ เสียง หรือ
1. ลักษณะการใช้งานลิขสิทธิ์ในการรายงานข่าว
ในการรายงานข่าวทางสื่อสารมวลชน เช่น สถานีวิทยุโทรทัศน์ หรือหนังสือพิมพ์อาจมีการทำซ้ำงานวรรณกรรม เช่น บทความ ข้อความจากหนังสือ หรืองานศิลปกรรม (เช่น รูปภาพ) หรือมีการเผยแพร่งานลิขสิทธิ์ เช่น ภาพ เสียง หรือข้อความจากงานอันมีลิขสิทธิ์ของบุคคลอื่น ซึ่งกฎหมายลิขสิทธิ์กำหนดให้การกระทำในลักษณะต่าง ๆ ดังกล่าว เป็นสิทธิแต่เพียงผู้เดียวของเจ้าของลิขสิทธิ์ ดังนั้น ผู้รายงานข่าวจะต้องขออนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อนเสมอ แต่หากเป็นการรายงานข่าวในสิ่งที่มีลักษณะเป็นเพียงข้อเท็จจริง หรือข่าวสารประจำวันที่ไม่ใช่งานสร้างสรรค์ที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ผู้รายงานข่าวสามารถนำข้อเท็จจริงเหล่านั้นมาใช้ได้อย่างเสรีโดยไม่ต้องขออนุญาตผู้ใดก่อน
2. ข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 32 และมาตรา 33 กำหนดให้การรายงานข่าวทางสื่อสารมวลชน เช่น การเผยแพร่เสียง รูปภาพ หรือข้อความจากงานลิขสิทธิ์ของบุคคลอื่น เป็นต้น และการกล่าว คัด ลอก เลียน หรืออ้างอิงงานบางตอนจากงานอันมีลิขสิทธิ์ ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ แต่ทั้งนี้จะต้องมีการรับรู้ความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ หรือกล่าวถึงที่มาของงานลิขสิทธิ์ดังกล่าวด้วยทุกครั้ง
อย่างไรก็ตาม การกระทำดังกล่าวจะต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของการใช้สิทธิที่เป็นธรรม 2 ประการ คือ ต้องไม่ขัดต่อการแสวงหาประโยชน์จากงานอันมีลิขสิทธิ์ตามปกติของเจ้าของลิขสิทธิ์ และต้องไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของลิขสิทธิ์เกินสมควร
3. เกณฑ์การพิจารณา
เกณฑ์การใช้ลิขสิทธิ์ที่เป็นธรรมในการรายงานข่าว ต้องพิจารณาถึงหลัก 4 ประการ ดังนี้
1) เป็นการรายงานข่าวทางสื่อมวลชนตามปกติ โดยจะต้องมีการรับรู้ความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ โดยอาจดูรายละเอียดการแสดงความรับรู้ในข้อ 5
2) พิจารณาลักษณะของงานลิขสิทธิ์
3) คำนึงถึงปริมาณการใช้งานและสัดส่วนของงาน โดยอาจพิจารณาจากเกณฑ์ที่กำหนดในข้อ 4
4) มีผลกระทบต่อการตลาดหรือมูลค่าของงานลิขสิทธิ์นั้นหรือไม่
ตัวอย่าง
1) การรายงานข่าวภาพยนตร์เรื่องหนึ่งซึ่งกำลังออกฉายในโรง จะต้องมีภาพไม่เกิน 10% หรือ 3 นาที โดยต้องแสดงการรับรู้ความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ และไม่ใช่เป็นการเปิดเผยสาระสำคัญของภาพยนตร์จนถึงขนาดที่จะทำให้ผู้ชมไม่มีความจำเป็นต้องไปชมภาพยนตร์เรื่องนั้นอีก ซึ่งอาจมีผลทำให้รายได้ของภาพยนตร์ลดลง
2) การรายงานข่าวงานวรรณกรรมที่ตีพิมพ์วางจำหน่าย สามารถรายงานได้ไม่เกิน 10% หรือ 1000 คำ และใช้ภาพได้ไม่เกิน 5 ภาพ มิฉะนั้นผู้อ่านจะทราบและคาดเดาสาระสำคัญของหนังสือเล่มนั้นได้หมด จนไม่จำเป็นต้องไปซื้อเล่มดังกล่าวมาอ่านอีก
3) การเผยแพร่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำเพื่อการเสนอรายงานหรือติชมวิจารณ์แนะนำ โดยมีการรับรู้ผลงานความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในปริมาณพอสมควร ถือว่าเป็นการใช้งานที่เป็นธรรม
4. ปริมาณการใช้งานลิขสิทธิ์
1) ภาพเคลื่อนไหว
- ทำซ้ำและหรือเผยแพร่ได้ไม่เกิน 10% หรือ 3 นาที ของแต่ละเรื่อง (แล้วแต่ว่าจำนวนใดน้อยกว่ากัน)
2) ดนตรีกรรม และมิวสิควิดีโอ
- สามารถทำซ้ำและหรือในสำเนางานได้ไม่เกิน 10% แต่ต้องไม่มากกว่า 30 วินาทีของแต่ละงานและจะดัดแปลงทำนองหรือส่วนอันเป็นสาระสำคัญไม่ได้
3) รูปภาพและภาพถ่าย
- ใช้ได้ไม่เกิน 5 ภาพ ต่อผู้สร้างสรรค์ 1 ราย หากเป็นการใช้ภาพจากงานวารสารหรือสิ่งพิมพ์ สามารถใช้ได้ไม่เกิน 10% หรือ 15 ภาพ ของจำนวนภาพทั้งหมดที่ปรากฏในวารสารหรือ สิ่งพิมพ์นั้น (แล้วแต่ว่าจำนวนใดน้อยกว่ากัน)
4) ข้อความ
- ทำซ้ำและหรือเผยแพร่ได้ไม่เกิน 10% หรือ 1,000 คำ ของแต่ละเรื่องหรือแต่ละบทความ (แล้วแต่ว่าจำนวนใดน้อยกว่ากัน)
5) ข้อมูลจากงานรวบรวมอันมีลิขสิทธิ์
- ไม่เกิน 10% หรือ 2,500 รายการ/ข้อมูล (แล้วแต่ว่าจำนวนใดน้อยกว่ากัน)
5. การรับรู้ความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
การนำงานลิขสิทธิ์มาใช้ประกอบการรายงานข่าว จะต้องมีการแสดงความรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ โดยต้องแจ้งให้ทราบถึงชื่อเจ้าของลิขสิทธิ์ และ/หรือผู้สร้างสรรค์ ชื่อผลงาน (ถ้ามี) หรือแหล่งที่มา (ถ้ามี) ด้วย
- jung_oh
- Verified User
- โพสต์: 734
- ผู้ติดตาม: 0
กระทิงตัวน้อยมาแล้วจ้า
โพสต์ที่ 9
เท่าที่ผมพอทราบ บางเว็บที่เค้าไม่ให้เอาลง เค้าจะเขียนว่า ข้อความนี้ สงวนลิขสิทธิ์ หรือ ต้องได้รับการอนุญาตก่อนถึงสามารถ คัดลอก เอาไปลงที่อื่นได้beammy เขียน: ถ้าการเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวไม่น่าที่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของข้อมูล หรือแก่บุคคลอื่น ไม่มีความผิด ครับ
แต่ถ้าไม่มี เขียน หรือ เป้นพวกข่าวสารที่เค้าต้องการให้คนทั่วไปรับรู้อยู่แล้ว ไม่น่าจะมีปัญหานะครับ
ซึ่งการเอาข่าวมาแปะให้ผมคิดว่า ไม่น่าจะผิดนะครับ ซึ่ง บางที ก็อาจจะให้เกียรติเจ้าของบทความ หรือ ข่าวสาร โดยการให้ เครดิต หรือ การขอบคุณ หรือ การแปะ link หลังจาก คัดลอกเอาไปที่เผยเพร่ที่อื่นน่ะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 3345
- ผู้ติดตาม: 0
กระทิงตัวน้อยมาแล้วจ้า
โพสต์ที่ 10
ดังนั้น เพื่อให้เกียรติแก่เจ้าของข้อมูล
ต้องระบุด้วยครับ ว่าแหล่งข่าวมาจากที่ใด
ถือเป็นการให้เครดิตเขาด้วยครับ 8) ...
ต้องระบุด้วยครับ ว่าแหล่งข่าวมาจากที่ใด
ถือเป็นการให้เครดิตเขาด้วยครับ 8) ...
แต่หากเป็นการรายงานข่าวในสิ่งที่มีลักษณะเป็นเพียงข้อเท็จจริง หรือข่าวสารประจำวันที่ไม่ใช่งานสร้างสรรค์ที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ผู้รายงานข่าวสามารถนำข้อเท็จจริงเหล่านั้นมาใช้ได้อย่างเสรีโดยไม่ต้องขออนุญาตผู้ใดก่อน
ตามนั้นครับ :Pการอ้างอิงงานบางตอนจากงานอันมีลิขสิทธิ์ ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของการใช้สิทธิที่เป็นธรรม 2 ประการ คือ ต้องไม่ขัดต่อการแสวงหาประโยชน์จากงานอันมีลิขสิทธิ์ตามปกติของเจ้าของลิขสิทธิ์ และต้องไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของลิขสิทธิ์เกินสมควร
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
กระทิงตัวน้อยมาแล้วจ้า
โพสต์ที่ 12
คุณ beammy ลองไปอ่านพรบ.ดูก่อนดีไหมครับ ก่อนจะสรุปหรือบิดเบือน
http://community.thaiware.com/thai/inde ... t&id=51428
ถ้าหาพรบ.ที่อัพเดทกว่านี้ได้ รบกวนกรุณาแจ้งให้ผมด้วยครับ
จะขอบคุณอย่างมาก
พอดีผมทำงานด้านนี้อยู่ พลาดเรื่องนี้ไปถือว่าเสียหายมากครับ
http://community.thaiware.com/thai/inde ... t&id=51428
ถ้าหาพรบ.ที่อัพเดทกว่านี้ได้ รบกวนกรุณาแจ้งให้ผมด้วยครับ
จะขอบคุณอย่างมาก
พอดีผมทำงานด้านนี้อยู่ พลาดเรื่องนี้ไปถือว่าเสียหายมากครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 487
- ผู้ติดตาม: 0
กระทิงตัวน้อยมาแล้วจ้า
โพสต์ที่ 25
ขอขอบคุณข้อมูลรายละเอียดท่าน CK มากครับ ขออนุญาตเก็บไว้ดับความรู้
เรื่องเกี่ยวกับลิขสิทธิ์บ่อยครั้งที่เราละเลยกันมาก ผมค้นบนเว็บค้นไปค้นมาบางข้อความทำไมคุ้นๆ เราเขียนเองนี่หว่า เขาตัดข้อความบางส่วนของผมไปลงโดยไม่ได้ให้เครดิตเลย มีอยู่บทความนึงลอกไปทั้งบทความยังดีหน่อยที่ยังลอกทั้งชื่อผมที่ลงท้ายบทความไว้ด้วย เสียอย่างเดียวที่ในเว็บเขากลับประกาศแสดงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ทุกบทความ ผมเขียนบทความลงเว็บผม ไม่ได้เขียนลงเว็บเขาสักหน่อย จะโดนแย่งลิขสิทธิ์มั้ยเนี่ย แต่ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกครับ คนไม่ดังอย่างเรามีคนมา copy ก็ถือเป็นบุญคุณแล้ว
เรื่องเกี่ยวกับลิขสิทธิ์บ่อยครั้งที่เราละเลยกันมาก ผมค้นบนเว็บค้นไปค้นมาบางข้อความทำไมคุ้นๆ เราเขียนเองนี่หว่า เขาตัดข้อความบางส่วนของผมไปลงโดยไม่ได้ให้เครดิตเลย มีอยู่บทความนึงลอกไปทั้งบทความยังดีหน่อยที่ยังลอกทั้งชื่อผมที่ลงท้ายบทความไว้ด้วย เสียอย่างเดียวที่ในเว็บเขากลับประกาศแสดงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ทุกบทความ ผมเขียนบทความลงเว็บผม ไม่ได้เขียนลงเว็บเขาสักหน่อย จะโดนแย่งลิขสิทธิ์มั้ยเนี่ย แต่ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกครับ คนไม่ดังอย่างเรามีคนมา copy ก็ถือเป็นบุญคุณแล้ว
对不起,请问一下.
存货是什么意思 ?
存货是什么意思 ?
-
- Verified User
- โพสต์: 1288
- ผู้ติดตาม: 0
กระทิงตัวน้อยมาแล้วจ้า
โพสต์ที่ 26
สรุป ภาษาชาวบ้านคือ??
ก๊อปมาแปะได้ แล้วต้องใส่ลิงค์ นี่โอเคไหมครับ
ก๊อปมาแปะได้ แล้วต้องใส่ลิงค์ นี่โอเคไหมครับ
^
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
- ก้อนหิน
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2344
- ผู้ติดตาม: 0
กระทิงตัวน้อยมาแล้วจ้า
โพสต์ที่ 27
ผมว่าใส่ไม่ใส่ก็ผิดนะครับMindTrick เขียน:สรุป ภาษาชาวบ้านคือ??
ก๊อปมาแปะได้ แล้วต้องใส่ลิงค์ นี่โอเคไหมครับ
ฟังจากพี่ CK post ผมเข้าใจว่า อันที่เป็นข้อเท็จจริง ไม่ผิด
เช่น หุ้น PTT วันที่ xx ราคาิปิด x ซึ่งก็คงไม่มีใครเปลี่ยนได้
แต่ถ้าเป็นบทความ หรือ ข้อคิดเห็น น่าจะผิดทั้งหมดมั้งครับไม่ว่าจะมี link หรือไม่ก็ตาม
ผมเข้าใจแบบนี้ถูกมั้ยครับ พี่ CK
- Alastor
- Verified User
- โพสต์: 2590
- ผู้ติดตาม: 0
กระทิงตัวน้อยมาแล้วจ้า
โพสต์ที่ 28
รู้สึกคุ้มครอง 50-70 ปีหลังเจ้าของตายนะ ฟังเรื่องนี้ทีไรหลับทุกที เลยบ่แม่น กม นี้ด้วยคนครับ :oops:กฎหมายให้ความคุ้มครองงาน "ลิขสิทธิ์" ทันทีที่เผยแพร่สู่สาธารณะชน
โดยไม่จำเป็นต้องจดลิขสิทธิ์ หรือเขียนข้อความคุ้มครองแต่ประการใด
Wir sind das Rar, der Stolz und der Wert