modern trade and household
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news14/03/08
โพสต์ที่ 121
เดลล์เปิดศึกขายปลีก ชูราคาจับลูกค้าทั่วไป
โพสต์ทูเดย์ เดลล์ ส่งพีซี/โน้ตบุ๊ก ราคาต่ำสุด 1.8 หมื่นบาท ระเบิดตลาดลูกค้าทั่วไปครั้งแรกในเมืองไทย ชูกลยุทธ์ขายผ่านร้านค้าปลีก
นายอโณทัย เวทยากร กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท เดลล์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในปีนี้จะเป็นปีแรกที่เดลล์หันมาทำตลาดกลุ่มผู้ใช้ทั่วไป (คอนซูเมอร์) อย่างจริงจัง หลังจากที่เล็งเห็นความต้องการของลูกค้าคอนซูเมอร์ในเมืองไทย ที่มีความชื่นชอบคอมพิวเตอร์ของ เดลล์อยู่แล้ว โดยจะนำเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งแบบตั้งโต๊ะ (พีซี) และโน้ตบุ๊ก จำนวน 4 รุ่น เข้ามาเปิดตลาดคอนซูเมอร์ เน้นจำหน่ายผ่านร้านค้าปลีก ได้แก่ คอมเซเว่น และเพาเวอร์บาย ซึ่งมีจุดขายรวมกันกว่า 100 สาขาทั่วประเทศ
สำหรับกลยุทธ์ที่จะใช้ในการทำตลาดคอนซูเมอร์นั้น จะเน้นราคาที่ต่ำกว่าคอมพิวเตอร์รุ่นเดิมที่เดลล์ทำตลาดในกลุ่มลูกค้าองค์กร ตามด้วยจุดจำหน่ายและการบริการหลังการขาย
ทั้งนี้ พีซีและโน้ตบุ๊กที่จะนำมา ทำตลาดคอนซูเมอร์จะมีทั้งหมด 4 รุ่น ภายใต้ซับแบรนด์ อินสไปรอน ประกอบด้วยพีซี 2 รุ่น ได้แก่ อินสไปรอน 530 และ 530เอส ราคาตั้งแต่ 1.8 หมื่นบาทขึ้นไป และโน้ตบุ๊ก 2 รุ่นคือ อินสไปรอน 1420 สำหรับกลุ่มระดับล่าง ราคาตั้ง แต่ 2-4 หมื่นบาท และโน้ตบุ๊กรุ่นเอ็กซพีเอส เอ็ม1330 ขนาดบาง หน้าจอ 13.3 นิ้ว ด้วยราคา 5 หมื่นบาท เพื่อเจาะตลาดบน
จุดขายของเดลล์จะมาพร้อมกับบริการหลังการขายถึงบ้าน และรับประกันการใช้งาน 1 ปี รวมทั้งยังมีแผนเปิดตัวโน้ตบุ๊กหน้าจอ 15 นิ้วในเร็วๆ นี้ด้วย นายอโณทัย กล่าว
เป้าหมายทางการตลาดหลักของเดลล์คือ เป็นสินค้าระดับบน พรีเมียม ที่มาพร้อมกับรูปลักษณ์ดีไซน์ของเครื่องที่โดดเด่น ในราคาที่สามารถซื้อหาได้
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเดลล์มีนโยบายทำตลาดแบบขายตรงสำหรับกลุ่มลูกค้าองค์กรเท่านั้น ซึ่งการเปิดตลาดคอนซูเมอร์นั้นจะเน้นขายผ่านร้านค้าปลีกเท่านั้น โดยได้เริ่มทยอยเปิดตลาดในต่างประเทศมาแล้ว อาทิ ร้านสเทปเปิล ในสหรัฐอเมริกา ห้างเทสโก้ ในอังกฤษ และห้างคาร์ฟูร์และคอร์ทในสิงคโปร์ ก่อนจะมาเปิดตลาดเมืองไทย
สำหรับตลาดในเมืองไทยนั้น เชื่อว่าคอมพิวเตอร์เมืองไทย ยังมีอัตราการเติบโตได้อีกมาก เห็นได้จากปริมาณการใช้งานคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตต่อจำนวนประชากรโดยเฉลี่ยยังต่ำมาก จึงน่าจะเป็นโอกาสของเดลล์ในการนำสินค้าเข้ามาเจาะตลาดโดยเฉพาะกลุ่มคอนซูเมอร์ที่มีอัตราการเติบโตถึง 20%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=226526
โพสต์ทูเดย์ เดลล์ ส่งพีซี/โน้ตบุ๊ก ราคาต่ำสุด 1.8 หมื่นบาท ระเบิดตลาดลูกค้าทั่วไปครั้งแรกในเมืองไทย ชูกลยุทธ์ขายผ่านร้านค้าปลีก
นายอโณทัย เวทยากร กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท เดลล์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในปีนี้จะเป็นปีแรกที่เดลล์หันมาทำตลาดกลุ่มผู้ใช้ทั่วไป (คอนซูเมอร์) อย่างจริงจัง หลังจากที่เล็งเห็นความต้องการของลูกค้าคอนซูเมอร์ในเมืองไทย ที่มีความชื่นชอบคอมพิวเตอร์ของ เดลล์อยู่แล้ว โดยจะนำเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งแบบตั้งโต๊ะ (พีซี) และโน้ตบุ๊ก จำนวน 4 รุ่น เข้ามาเปิดตลาดคอนซูเมอร์ เน้นจำหน่ายผ่านร้านค้าปลีก ได้แก่ คอมเซเว่น และเพาเวอร์บาย ซึ่งมีจุดขายรวมกันกว่า 100 สาขาทั่วประเทศ
สำหรับกลยุทธ์ที่จะใช้ในการทำตลาดคอนซูเมอร์นั้น จะเน้นราคาที่ต่ำกว่าคอมพิวเตอร์รุ่นเดิมที่เดลล์ทำตลาดในกลุ่มลูกค้าองค์กร ตามด้วยจุดจำหน่ายและการบริการหลังการขาย
ทั้งนี้ พีซีและโน้ตบุ๊กที่จะนำมา ทำตลาดคอนซูเมอร์จะมีทั้งหมด 4 รุ่น ภายใต้ซับแบรนด์ อินสไปรอน ประกอบด้วยพีซี 2 รุ่น ได้แก่ อินสไปรอน 530 และ 530เอส ราคาตั้งแต่ 1.8 หมื่นบาทขึ้นไป และโน้ตบุ๊ก 2 รุ่นคือ อินสไปรอน 1420 สำหรับกลุ่มระดับล่าง ราคาตั้ง แต่ 2-4 หมื่นบาท และโน้ตบุ๊กรุ่นเอ็กซพีเอส เอ็ม1330 ขนาดบาง หน้าจอ 13.3 นิ้ว ด้วยราคา 5 หมื่นบาท เพื่อเจาะตลาดบน
จุดขายของเดลล์จะมาพร้อมกับบริการหลังการขายถึงบ้าน และรับประกันการใช้งาน 1 ปี รวมทั้งยังมีแผนเปิดตัวโน้ตบุ๊กหน้าจอ 15 นิ้วในเร็วๆ นี้ด้วย นายอโณทัย กล่าว
เป้าหมายทางการตลาดหลักของเดลล์คือ เป็นสินค้าระดับบน พรีเมียม ที่มาพร้อมกับรูปลักษณ์ดีไซน์ของเครื่องที่โดดเด่น ในราคาที่สามารถซื้อหาได้
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเดลล์มีนโยบายทำตลาดแบบขายตรงสำหรับกลุ่มลูกค้าองค์กรเท่านั้น ซึ่งการเปิดตลาดคอนซูเมอร์นั้นจะเน้นขายผ่านร้านค้าปลีกเท่านั้น โดยได้เริ่มทยอยเปิดตลาดในต่างประเทศมาแล้ว อาทิ ร้านสเทปเปิล ในสหรัฐอเมริกา ห้างเทสโก้ ในอังกฤษ และห้างคาร์ฟูร์และคอร์ทในสิงคโปร์ ก่อนจะมาเปิดตลาดเมืองไทย
สำหรับตลาดในเมืองไทยนั้น เชื่อว่าคอมพิวเตอร์เมืองไทย ยังมีอัตราการเติบโตได้อีกมาก เห็นได้จากปริมาณการใช้งานคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตต่อจำนวนประชากรโดยเฉลี่ยยังต่ำมาก จึงน่าจะเป็นโอกาสของเดลล์ในการนำสินค้าเข้ามาเจาะตลาดโดยเฉพาะกลุ่มคอนซูเมอร์ที่มีอัตราการเติบโตถึง 20%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=226526
-
- Verified User
- โพสต์: 497
- ผู้ติดตาม: 0
modern trade and household
โพสต์ที่ 122
กำลังซื้อค้าปลีกฟื้น ไตรมาส1ช็อปสนั่น ทุกห้างยอดโต2หลัก
กูรูค้าปลีกฟันธงไตรมาสแรกกำลังซื้อลูกค้าฟื้น "สยามพารากอน" ฟุ้งขาช็อป-นักท่องเที่ยวเฮโลช็อปสนั่นดันยอดโต 2 หลัก "เดอะ มอลล์" โอ่ ลูกค้าควักจ่ายสะพัดกว่า 10% ขณะที่ "ฟิวเจอร์ พาร์ค" แก้มปริหลังรัฐบาลส่งสัญญาเมกะโปรเจ็กต์ ดันกำลังซื้อกลุ่มครอบครัว-นักศึกษาทะลัก ส่วน "เซ็นทรัล" เชื่อปีนี้ค้าปลีกโตเท่าจีดีพี นายเกรียงศักดิ์ ตันติพิภพ ผู้บริหารอาวุโสสายการตลาด บริษัท สยามพารากอน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด และกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท เอ็มโพเรี่ยม ช้อปปิ้ง คอมเพล็กซ์ จำกัด เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ยอมรับว่าภาพรวมของค้าปลีกในไตรมาสแรก โดยเฉพาะเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ดีขึ้นอย่างชัดเจน มีตัวเลขโตขึ้นกว่า 2 หลัก และเชื่อว่าจะดีต่อเนื่อง ทำให้ในครึ่งปีหลังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง โดยปัจจัยบวกที่ทำให้บรรยากาศการจับจ่าย และกำลังซื้อกลับคืนมาคือ การมีรัฐบาลชุดใหม่ ที่มีนโยบายในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเมกะโปรเจ็กต์ การยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% เป็นต้นทั้งนี้เนื่องจากปัจจุบันสินค้าในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นเสื้อผ้า นาฬิกา เพชร เครื่องประดับต่างๆ มีคอลเลกชันที่ทันสมัย มีขนาด มีสี และราคาไม่แตกต่างจากตลาดต่างประเทศ รวมทั้งห้างและศูนย์เองพยายามจัดกิจกรรม สร้างสีสันและบรรยากาศต่อเนื่องตลอดทั้งปี ก็เป็นส่วนสำคัญที่จะกระตุ้นอารมณ์ และบรรยากาศทำให้ลูกค้าอยากซื้อสินค้ามากขึ้น และไม่จำเป็นต้องบินไปซื้อถึงฮ่องกง สิงคโปร์ด้วย ด้าน เดอะ มอลล์ กรุ๊ป นายชำนาญ เมธปรีชากุล ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสสายการตลาด ผู้บริหารห้างสรรพสินค้าเดอะ มอลล์ , ดิ เอ็มโพเรียม และพารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ กล่าวว่า ในไตรมาสแรกของปีนี้ กำลังซื้อของลูกค้าเพิ่มขึ้นประมาณ 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นนั้นส่วนหนึ่งมาจากลูกค้าประจำของเดอะ มอลล์เอง และอีกส่วนประมาณ 5% มาจากลูกค้าของคู่แข่ง ซึ่งตัวเลขรายได้ไตรมาส 1 สูงกว่าเป้าหมายที่บริษัทประมาณการณ์ไว้ นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่ดีผิดปกติ เห็นได้ชัดจากช่วงตรุษจีน ที่ปีนี้กำลังซื้อคึกคักมากๆ คนแห่เลือกซื้อสินค้าเยอะมาก นอกจากนี้ตัวเลขการจับจ่ายซื้อสินค้าของลูกค้าที่เฉลี่ย 3,000-5,000 บาทก็เพิ่มขึ้นเป็น 30% จากเดิมที่มีอยู่ 20% นางสาวพิมพ์ผกา หวั่งหลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท รังสิตพลาซ่า จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต กล่าวว่า กำลังซื้อของผู้บริโภคในช่วงต้นปีที่ผ่านมาดีมากๆ มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการในศูนย์มากขึ้น ทั้งที่เป็นคนไทยและต่างประเทศ การท่องเที่ยวเริ่มกลับคืนมา รัฐบาลเริ่มมีนโยบายเรื่องของเมกะโปรเจ็กต์ที่ชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องของรถไฟฟ้า หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเชื่อว่าในอนาคตศูนย์การค้าชานเมืองจะคึกคักขึ้น "บรรยากาศในศูนย์ดีมาก คนเข้ามากขึ้น กำลังซื้อโตขึ้น แต่พฤติกรรมลูกค้าในปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนหันมานิยมเลือกซื้อสินค้าที่ต้องมีโปรโมชัน หากไม่มีก็จะไม่ซื้อ อย่างไรก็ดีคิดว่าในปีนี้เศรษฐกิจเอเชียจะขยายตัวมากๆ เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจในยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา ทำให้เชื่อว่าประเทศไทยก็จะดีขึ้นไปด้วยเช่นกัน" นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น กล่าวว่า ภาพรวมของธุรกิจค้าปลีกในปีนี้เชื่อว่าจะมีการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก ใกล้เคียงกับช่วง 3 ปีก่อนที่อุตสาหกรรมค้าปลีกบูม ซึ่งมีการเติบโต 10-20% ขณะที่ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจค้าปลีกประสบกับปัญหาต่างๆ และมีการเติบโตเป็นตัวเลขเพียงหลักเดียว ส่วนกำลังซื้อของผู้บริโภคในไตรมาสแรก มีการเติบโตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าประเภทอาหาร แฟชั่น เครื่องใช้ไฟฟ้า และเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น"กำลังซื้อของลูกค้าในไตรมาสแรกของปีนี้ของปีก่อนอย่างชัดเจน โดยลูกค้ามีความกล้าที่จะจับจ่ายซื้อสินค้ามากขึ้น หากรัฐบาลตั้งเป้าที่จะมีจีดีพีเพิ่มขึ้นจาก 4% ในปีก่อน เป็น 6% ในปีนี้ เท่ากับว่าเติบโต 50% อุตสาหกรรมค้าปลีกก็คงเติบโตในสัดส่วนเดียวกัน" นายกอบชัยกล่าวขณะที่ธุรกิจคอนวีเนียนสโตร์นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น เปิดเผยถึงตัวเลขรายได้ไตรมาส 1 ปีนี้ว่า อยู่ในเกณฑ์ดีคาดว่าเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเฉลี่ย 5-10% ผลประกอบการที่เติบโตส่วนหนึ่งมาจากการขยายสาขาร้าน 7 Eleven จำนวน 495 สาขา และการเติบโตของยอดขายเฉลี่ยต่อร้านต่อวัน จากปัจจุบันมีสาขาทั้งสิ้น 4,370 สาขา นอกจากนี้ได้ขยายพื้นที่คูหาที่ 3 ในส่วนของบุคสไมล์และคัทสันมากขึ้น จากปัจจุบันเป็นสัดส่วน 2 คูหาเฉลี่ย 80-90%"มองว่าเศรษฐกิจส่อแววดี เนื่องจากราคาพืชผลทางการเกษตรดีมีการจ้างงานมากขึ้นอุตสาหกรรมส่งออกดีขึ้น กลุ่มรากหญ้ามีรายได้เพิ่มขึ้น ขณะที่การเมืองน่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา ในส่วนของร้านเซเว่นอีเลฟเว่นเรามีการเปลี่ยนสินค้าตลอดเวลา และล่าสุดมีการปรับราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค จำนวน 16 รายการลงเฉลี่ย 5-10 % มีผลตั้งแต่วันที่ 17 มี.ค.นี้เป็นต้นไป และปรับลดราคาลงอีก 100 รายการในวันที่ 1 เมษายนที่จะถึงนี้ จากปัจจุบันมีจำนวนสินค้าทั้งสิ้น 2,500 รายการ" นายก่อศักดิ์กล่าว อนึ่ง ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7- Eleven ปี 2550 มีรายได้ทั้งสิ้น 81,807 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.7 เทียบกับปีที่ผ่านมา และมีผลกำไรสุทธิ 2,504 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13ทางด้านผู้จัดจำหน่ายสินค้าลักชัวรีนางมณีนุช งามผาติพงศ์ บริษัท มิลเลนเนียม ไดมอนด์ ครีเอชั่น จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องประดับเพชรแบรนด์ โมเดิร์นไดมอนด์ กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาสแรกมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 17-18% เนื่องจากผู้บริโภคกลุ่มนี้ยังมีกำลังซื้อ ซึ่งสินค้าเครื่องประดับจะได้รับความนิยมในการหาซื้อเป็นของขวัญ ขณะเดียวกันทางห้างสรรพสินค้าก็มีการจัดรายการส่งเสริมการขายกระตุ้นทำให้ตลาดมีความคึกคักพอสมควร แหล่งข่าวจากบริษัทผู้นำเข้าเครื่องสำอางรายใหญ่ กล่าวว่า ตลาดเครื่องสำอางพรีเมียมที่จำหน่ายในห้างสรรพสินค้า ในช่วง 2 เดือนแรกมีการเติบโตในอัตราเลขสองหลัก จากมูลค่าตลาดรวมเครื่องสำอางพรีเมียม 2,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นผลจากการที่มีแบรนด์สินค้าใหม่ๆเข้ามาทำตลาด
http://www.thannews.th.com/detialNews.p ... issue=2305
กูรูค้าปลีกฟันธงไตรมาสแรกกำลังซื้อลูกค้าฟื้น "สยามพารากอน" ฟุ้งขาช็อป-นักท่องเที่ยวเฮโลช็อปสนั่นดันยอดโต 2 หลัก "เดอะ มอลล์" โอ่ ลูกค้าควักจ่ายสะพัดกว่า 10% ขณะที่ "ฟิวเจอร์ พาร์ค" แก้มปริหลังรัฐบาลส่งสัญญาเมกะโปรเจ็กต์ ดันกำลังซื้อกลุ่มครอบครัว-นักศึกษาทะลัก ส่วน "เซ็นทรัล" เชื่อปีนี้ค้าปลีกโตเท่าจีดีพี นายเกรียงศักดิ์ ตันติพิภพ ผู้บริหารอาวุโสสายการตลาด บริษัท สยามพารากอน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด และกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท เอ็มโพเรี่ยม ช้อปปิ้ง คอมเพล็กซ์ จำกัด เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ยอมรับว่าภาพรวมของค้าปลีกในไตรมาสแรก โดยเฉพาะเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ดีขึ้นอย่างชัดเจน มีตัวเลขโตขึ้นกว่า 2 หลัก และเชื่อว่าจะดีต่อเนื่อง ทำให้ในครึ่งปีหลังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง โดยปัจจัยบวกที่ทำให้บรรยากาศการจับจ่าย และกำลังซื้อกลับคืนมาคือ การมีรัฐบาลชุดใหม่ ที่มีนโยบายในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเมกะโปรเจ็กต์ การยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% เป็นต้นทั้งนี้เนื่องจากปัจจุบันสินค้าในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นเสื้อผ้า นาฬิกา เพชร เครื่องประดับต่างๆ มีคอลเลกชันที่ทันสมัย มีขนาด มีสี และราคาไม่แตกต่างจากตลาดต่างประเทศ รวมทั้งห้างและศูนย์เองพยายามจัดกิจกรรม สร้างสีสันและบรรยากาศต่อเนื่องตลอดทั้งปี ก็เป็นส่วนสำคัญที่จะกระตุ้นอารมณ์ และบรรยากาศทำให้ลูกค้าอยากซื้อสินค้ามากขึ้น และไม่จำเป็นต้องบินไปซื้อถึงฮ่องกง สิงคโปร์ด้วย ด้าน เดอะ มอลล์ กรุ๊ป นายชำนาญ เมธปรีชากุล ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสสายการตลาด ผู้บริหารห้างสรรพสินค้าเดอะ มอลล์ , ดิ เอ็มโพเรียม และพารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ กล่าวว่า ในไตรมาสแรกของปีนี้ กำลังซื้อของลูกค้าเพิ่มขึ้นประมาณ 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นนั้นส่วนหนึ่งมาจากลูกค้าประจำของเดอะ มอลล์เอง และอีกส่วนประมาณ 5% มาจากลูกค้าของคู่แข่ง ซึ่งตัวเลขรายได้ไตรมาส 1 สูงกว่าเป้าหมายที่บริษัทประมาณการณ์ไว้ นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่ดีผิดปกติ เห็นได้ชัดจากช่วงตรุษจีน ที่ปีนี้กำลังซื้อคึกคักมากๆ คนแห่เลือกซื้อสินค้าเยอะมาก นอกจากนี้ตัวเลขการจับจ่ายซื้อสินค้าของลูกค้าที่เฉลี่ย 3,000-5,000 บาทก็เพิ่มขึ้นเป็น 30% จากเดิมที่มีอยู่ 20% นางสาวพิมพ์ผกา หวั่งหลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท รังสิตพลาซ่า จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต กล่าวว่า กำลังซื้อของผู้บริโภคในช่วงต้นปีที่ผ่านมาดีมากๆ มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการในศูนย์มากขึ้น ทั้งที่เป็นคนไทยและต่างประเทศ การท่องเที่ยวเริ่มกลับคืนมา รัฐบาลเริ่มมีนโยบายเรื่องของเมกะโปรเจ็กต์ที่ชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องของรถไฟฟ้า หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเชื่อว่าในอนาคตศูนย์การค้าชานเมืองจะคึกคักขึ้น "บรรยากาศในศูนย์ดีมาก คนเข้ามากขึ้น กำลังซื้อโตขึ้น แต่พฤติกรรมลูกค้าในปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนหันมานิยมเลือกซื้อสินค้าที่ต้องมีโปรโมชัน หากไม่มีก็จะไม่ซื้อ อย่างไรก็ดีคิดว่าในปีนี้เศรษฐกิจเอเชียจะขยายตัวมากๆ เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจในยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา ทำให้เชื่อว่าประเทศไทยก็จะดีขึ้นไปด้วยเช่นกัน" นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น กล่าวว่า ภาพรวมของธุรกิจค้าปลีกในปีนี้เชื่อว่าจะมีการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก ใกล้เคียงกับช่วง 3 ปีก่อนที่อุตสาหกรรมค้าปลีกบูม ซึ่งมีการเติบโต 10-20% ขณะที่ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจค้าปลีกประสบกับปัญหาต่างๆ และมีการเติบโตเป็นตัวเลขเพียงหลักเดียว ส่วนกำลังซื้อของผู้บริโภคในไตรมาสแรก มีการเติบโตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าประเภทอาหาร แฟชั่น เครื่องใช้ไฟฟ้า และเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น"กำลังซื้อของลูกค้าในไตรมาสแรกของปีนี้ของปีก่อนอย่างชัดเจน โดยลูกค้ามีความกล้าที่จะจับจ่ายซื้อสินค้ามากขึ้น หากรัฐบาลตั้งเป้าที่จะมีจีดีพีเพิ่มขึ้นจาก 4% ในปีก่อน เป็น 6% ในปีนี้ เท่ากับว่าเติบโต 50% อุตสาหกรรมค้าปลีกก็คงเติบโตในสัดส่วนเดียวกัน" นายกอบชัยกล่าวขณะที่ธุรกิจคอนวีเนียนสโตร์นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น เปิดเผยถึงตัวเลขรายได้ไตรมาส 1 ปีนี้ว่า อยู่ในเกณฑ์ดีคาดว่าเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเฉลี่ย 5-10% ผลประกอบการที่เติบโตส่วนหนึ่งมาจากการขยายสาขาร้าน 7 Eleven จำนวน 495 สาขา และการเติบโตของยอดขายเฉลี่ยต่อร้านต่อวัน จากปัจจุบันมีสาขาทั้งสิ้น 4,370 สาขา นอกจากนี้ได้ขยายพื้นที่คูหาที่ 3 ในส่วนของบุคสไมล์และคัทสันมากขึ้น จากปัจจุบันเป็นสัดส่วน 2 คูหาเฉลี่ย 80-90%"มองว่าเศรษฐกิจส่อแววดี เนื่องจากราคาพืชผลทางการเกษตรดีมีการจ้างงานมากขึ้นอุตสาหกรรมส่งออกดีขึ้น กลุ่มรากหญ้ามีรายได้เพิ่มขึ้น ขณะที่การเมืองน่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา ในส่วนของร้านเซเว่นอีเลฟเว่นเรามีการเปลี่ยนสินค้าตลอดเวลา และล่าสุดมีการปรับราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค จำนวน 16 รายการลงเฉลี่ย 5-10 % มีผลตั้งแต่วันที่ 17 มี.ค.นี้เป็นต้นไป และปรับลดราคาลงอีก 100 รายการในวันที่ 1 เมษายนที่จะถึงนี้ จากปัจจุบันมีจำนวนสินค้าทั้งสิ้น 2,500 รายการ" นายก่อศักดิ์กล่าว อนึ่ง ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7- Eleven ปี 2550 มีรายได้ทั้งสิ้น 81,807 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.7 เทียบกับปีที่ผ่านมา และมีผลกำไรสุทธิ 2,504 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13ทางด้านผู้จัดจำหน่ายสินค้าลักชัวรีนางมณีนุช งามผาติพงศ์ บริษัท มิลเลนเนียม ไดมอนด์ ครีเอชั่น จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องประดับเพชรแบรนด์ โมเดิร์นไดมอนด์ กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาสแรกมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 17-18% เนื่องจากผู้บริโภคกลุ่มนี้ยังมีกำลังซื้อ ซึ่งสินค้าเครื่องประดับจะได้รับความนิยมในการหาซื้อเป็นของขวัญ ขณะเดียวกันทางห้างสรรพสินค้าก็มีการจัดรายการส่งเสริมการขายกระตุ้นทำให้ตลาดมีความคึกคักพอสมควร แหล่งข่าวจากบริษัทผู้นำเข้าเครื่องสำอางรายใหญ่ กล่าวว่า ตลาดเครื่องสำอางพรีเมียมที่จำหน่ายในห้างสรรพสินค้า ในช่วง 2 เดือนแรกมีการเติบโตในอัตราเลขสองหลัก จากมูลค่าตลาดรวมเครื่องสำอางพรีเมียม 2,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นผลจากการที่มีแบรนด์สินค้าใหม่ๆเข้ามาทำตลาด
http://www.thannews.th.com/detialNews.p ... issue=2305
-
- Verified User
- โพสต์: 497
- ผู้ติดตาม: 0
modern trade and household
โพสต์ที่ 123
color=blue]เทสโก้ โลตัส รุกอีกสเต็ป ปั้น "มอลล์" กินรวบค้าปลีก[/color]เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า การขยายตัวของยักษ์ค้าปลีก "เทสโก้ โลตัส" ในอดีตที่ผ่านมา หลักๆ นั้นมี 4 รูปแบบ คือ ไฮเปอร์มาร์เก็ต พื้นที่มากกว่า 8,000 ตารางเมตร ปัจจุบันมีประมาณ 69 สาขา, โลตัสคุ้มค่า ใช้พื้นที่ 4,000-7,000 ตารางเมตร มีประมาณ 25 สาขา ตลาดโลตัส พื้นที่ 1,000 ตารางเมตร มี 28 สาขา และโลตัส เอ็กซ์เพรส พื้นที่ 300 ตารางเมตร มี 190 สาขารวมทั้ง 4 รูปแบบ ยักษ์ใหญ่รายนี้มีสาขาทั่วประเทศมากกว่า 310 แห่ง และมีพื้นที่เช่ามากกว่า 700,000 ตารางเมตรแน่นอนว่านอกจากรายได้จากยอดขายของแต่ละสาขาแล้ว เทสโก้ โลตัส ยังมี รายได้จากการให้เช่าพื้นที่ด้วยอย่างเป็น กอบเป็นกำ แต่วันนี้ การรุกของเทสโก้ โลตัส ไม่ได้จำกัดวงอยู่เฉพาะแค่ 4 รูปแบบนี้เท่านั้น เมื่อใบอนุญาตที่มีอยู่ในมือเริ่มร่อยหรอลงไป เทสโก้ โลตัส ก็ขยับตัวด้วยการปลุกปั้นโมเดลใหม่ๆ ก็เริ่มเป็นรูปธรรมมากขึ้นตามลำดับ ไม่เพียงแต่ยักษ์ใหญ่ค่ายนี้จะใช้โมเดลใหม่ๆ เป็นหัวหอกในการรุกตลาดค้าปลีกแล้ว โมเดลใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นยังเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยขยายฐานลูกค้าเป้าหมายออกไปยังกลุ่มใหม่ๆ ได้อีกทางหนึ่งเริ่มจากปี 2550 ที่ผ่านมา ที่เทสโก้ โลตัส เริ่มชิมลางกับค้าปลีกในรูปใหม่ด้วยการทุ่มเม็ดเงินกว่า 1,000 ล้านบาท ซื้อตึก 5 ชั้นของห้างเมอร์รี่คิงส์ ปิ่นเกล้า มาปั้นเป็น "ไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้ง มอลล์" ด้วยพื้นที่รวมร่วมๆ 60,000 ตร.ม.นอกจากสาขานี้จะมีไฮเปอร์มาร์เก็ต ขนาด 8,000 ตร.ม. ภายในยังอัดแน่นไปด้วย ร้านอาหารแบรนด์ บริการทางการเงิน โรงเรียนกวดวิชา ร้านแฟชั่น ความสวยความงาม และเอ็นเตอร์เทนเมนต์ รวมทั้งมีพื้นที่สำหรับจัดอีเวนต์ด้วยถึงวันนี้สาขา "ไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้ง มอลล์" ได้เปิดเพิ่มอีกที่ ศาลายา จ.นครปฐม และล่าสุดที่กระบี่ ส่วนอีกรูปแบบหนึ่ง คือ "คอมมิวนิตี้ มอลล์" โดยเทสโก้ โลตัส เริ่มนำร่องสาขาแรกถนนสามัคคี ทางเข้าหมู่บ้านนิชาดาธานี เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาในชื่อของเดอะ โอเอซิส จับกลุ่มลูกค้าบีบวกขึ้นไป โดยสาขานี้มีทั้งโลตัส เอ็กซ์เพรส 300 ตร.ม. และพื้นที่เช่าประมาณ 2,000 ตารางเมตร ที่มีทั้งร้านหนังสือ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านสุขภาพ คลินิก ฯลฯนอกจากนี้ เทสโก้ โลตัส ยังมีคอมมิว นิตี้ มอลล์ ภายใต้แบรนด์ เดอะพาร์ค จับกลุ่มลูกค้าระดับบีลงมา และจะเปิดแห่งแรกที่ซอยสุขุมวิท 101/1 ในเดือนกันยายนนี้ ส่วนอีกแบรนด์หนึ่งของสาขาในรูป คอมมิวนิตี้ มอลล์ คือ เดอะ การ์เด้นท์ ที่จับกลุ่มลูกค้าระดับซีและดี ซึ่งยักษ์ค้าปลีกจากอังกฤษมีเป้าหมายจะขยายคอมมิวนิตี้ มอลล์ ให้ได้ 5-8 สาขา/ปี
ทั้งนี้ก็เพื่อรองรับความต้องการและปรับตัวให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่แตกต่างนี่อาจจะเป็นเพียงอีกก้าวหนึ่งของเทสโก้ โลตัส ในการรุกตลาดค้าปลีกเมืองไทย
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0207
ทั้งนี้ก็เพื่อรองรับความต้องการและปรับตัวให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่แตกต่างนี่อาจจะเป็นเพียงอีกก้าวหนึ่งของเทสโก้ โลตัส ในการรุกตลาดค้าปลีกเมืองไทย
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0207
-
- Verified User
- โพสต์: 497
- ผู้ติดตาม: 0
modern trade and household
โพสต์ที่ 124
'เทสโก้ โลตัส'หวั่นเงินเฟ้อฉุดกำลังซื้อไตรมาส25 เมษายน พ.ศ. 2551 08:12:00
สตีฟ แฮมเม็ต ซีอีโอ ใหม่ เทสโก้ โลตัสเทสโก้ โลตัส ห่วงเงินเฟ้อ ฉุดกำลังซื้อ หลังพบผู้บริโภคลดความถี่เข้าห้างจาก 3 ครั้งเหลือเดือนละครั้ง ส่งผลไตรมาสแรกขยายตัวไม่ถึง 5% ด้าน "สตีฟ แฮมเม็ต" ซีอีโอ ใหม่ เทสโก้ โลตัส มั่นใจภาพรวมค้าปลีกไทยยังสดใสกรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดร.ดามพ์ สุคนธทรัพย์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น จำกัด ผู้บริหารเทสโก้ โลตัส เปิดเผยว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและปัจจัยด้านภาวะเงินเฟ้อในขณะนี้ มีผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างมาก เห็นได้จากผลดำเนินงานในช่วงไตรมาสแรกของปี 2551 ซึ่งประมาณการว่าจะมีอัตราการขยายตัวไม่ถึง 5% ซึ่งเป็นการเติบโตที่ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 5-7% เป็นผลมาจากผู้บริโภคลดความถี่ในการจับจ่ายจากเดิมที่เคยเข้าห้างเดือนละ 3 ครั้ง ลดเหลือ 1 ครั้งเท่านั้น แต่การจับจ่ายต่อหัวต่อครั้งยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากเฉลี่ย 500 บาทต่อหัวต่อครั้ง "ปัจจัยด้านเงินเฟ้อเป็นสิ่งที่น่ากังวล เพราะจะทำให้ผู้บริโภคเข้ามาจับจ่ายในห้างน้อยลง มองว่าหากสถานการณ์ยังเป็นอย่างนี้ ในไตรมาสที่ 2 คงไม่ดีนัก ประกอบกับปัจจัยภายนอกและทั้งภายใน รวมถึงเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่า จะส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม" ดร.ดามพ์ กล่าว ด้านนายสตีฟ แฮมเม็ต ซึ่งจะเข้ามารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) นับตั้งแต่วันที่ 15 เม.ย.นี้เป็นต้นไป กล่าวถึงภาพรวมของธุรกิจค้าปลีกของเทสโก้ โลตัส ในประเทศไทยว่า ธุรกิจของเทสโก้ โลตัสในประเทศไทยมีการเติบโต และดำเนินการไปได้ด้วยดีและประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ โดยหลังจากการเข้ารับตำแหน่งซีอีโอ เทสโก้ โลตัสในประเทศไทย ก็จะยังคงยึดหลักและแนวทางการบริหารตามนโยบายเดิมต่อไป โดยเห็นว่าสิ่งที่สำคัญหลังจากการเข้ารับตำแหน่งคือการดูแลความต่อเนื่องเพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าอย่างราบรื่น โดยสิ่งที่จะมุ่งเน้น 3 ด้าน คือ ด้านสินค้า บริการ และสถานที่ให้บริการที่ดี
สำหรับนายสตีฟ แฮมเม็ต ดำรงตำแหน่งเป็น ซีอีโอ เทสโก้ ในสาธารณรัฐเช็กเป็นเวลา 5 ปี จากนั้นเข้ารับตำแหน่งซีอีโอ เทสโก้ ประเทศตุรกี เป็นระยะเวลา 4 ปีก่อนเข้ารับตำแหน่งในประเทศไทย
http://www.bangkokbiznews.com/2008/04/0 ... sid=245750
สตีฟ แฮมเม็ต ซีอีโอ ใหม่ เทสโก้ โลตัสเทสโก้ โลตัส ห่วงเงินเฟ้อ ฉุดกำลังซื้อ หลังพบผู้บริโภคลดความถี่เข้าห้างจาก 3 ครั้งเหลือเดือนละครั้ง ส่งผลไตรมาสแรกขยายตัวไม่ถึง 5% ด้าน "สตีฟ แฮมเม็ต" ซีอีโอ ใหม่ เทสโก้ โลตัส มั่นใจภาพรวมค้าปลีกไทยยังสดใสกรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดร.ดามพ์ สุคนธทรัพย์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น จำกัด ผู้บริหารเทสโก้ โลตัส เปิดเผยว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและปัจจัยด้านภาวะเงินเฟ้อในขณะนี้ มีผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างมาก เห็นได้จากผลดำเนินงานในช่วงไตรมาสแรกของปี 2551 ซึ่งประมาณการว่าจะมีอัตราการขยายตัวไม่ถึง 5% ซึ่งเป็นการเติบโตที่ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 5-7% เป็นผลมาจากผู้บริโภคลดความถี่ในการจับจ่ายจากเดิมที่เคยเข้าห้างเดือนละ 3 ครั้ง ลดเหลือ 1 ครั้งเท่านั้น แต่การจับจ่ายต่อหัวต่อครั้งยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากเฉลี่ย 500 บาทต่อหัวต่อครั้ง "ปัจจัยด้านเงินเฟ้อเป็นสิ่งที่น่ากังวล เพราะจะทำให้ผู้บริโภคเข้ามาจับจ่ายในห้างน้อยลง มองว่าหากสถานการณ์ยังเป็นอย่างนี้ ในไตรมาสที่ 2 คงไม่ดีนัก ประกอบกับปัจจัยภายนอกและทั้งภายใน รวมถึงเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่า จะส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม" ดร.ดามพ์ กล่าว ด้านนายสตีฟ แฮมเม็ต ซึ่งจะเข้ามารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) นับตั้งแต่วันที่ 15 เม.ย.นี้เป็นต้นไป กล่าวถึงภาพรวมของธุรกิจค้าปลีกของเทสโก้ โลตัส ในประเทศไทยว่า ธุรกิจของเทสโก้ โลตัสในประเทศไทยมีการเติบโต และดำเนินการไปได้ด้วยดีและประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ โดยหลังจากการเข้ารับตำแหน่งซีอีโอ เทสโก้ โลตัสในประเทศไทย ก็จะยังคงยึดหลักและแนวทางการบริหารตามนโยบายเดิมต่อไป โดยเห็นว่าสิ่งที่สำคัญหลังจากการเข้ารับตำแหน่งคือการดูแลความต่อเนื่องเพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าอย่างราบรื่น โดยสิ่งที่จะมุ่งเน้น 3 ด้าน คือ ด้านสินค้า บริการ และสถานที่ให้บริการที่ดี
สำหรับนายสตีฟ แฮมเม็ต ดำรงตำแหน่งเป็น ซีอีโอ เทสโก้ ในสาธารณรัฐเช็กเป็นเวลา 5 ปี จากนั้นเข้ารับตำแหน่งซีอีโอ เทสโก้ ประเทศตุรกี เป็นระยะเวลา 4 ปีก่อนเข้ารับตำแหน่งในประเทศไทย
http://www.bangkokbiznews.com/2008/04/0 ... sid=245750
-
- Verified User
- โพสต์: 497
- ผู้ติดตาม: 0
modern trade and household
โพสต์ที่ 125
ผู้บริโภค"ดื้อยา"ปั่นยอดขายไม่ขึ้นไตรมาสแรกค้าปลีกวูบ"ราคา-ผ่อน0%"กระสุนด้านธุรกิจทำใจไตรมาสแรกตัวเลขหลุดเป้าถ้วนหน้า เผยค่าครองชีพพุ่งทำผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมการจับจ่าย ยักษ์ค้าปลีก "เทสโก้ โลตัส" บ่นอุบ ขณะที่สินค้าอุปโภคบริโภคฝ่ามรสุมกำลังซื้อไม่อยู่ยอดร่วง ด้าน "เครื่องใช้ไฟฟ้า" ยอมรับสภาพลดแลกแจกแถมควบคู่เงินผ่อน 0% ฉุดไม่ขึ้น ห้าง-ศูนย์การค้า ใจดีสู้ สถานการณ์-ปัจจัยลบ คลี่คลาย คาดไตรมาส 2 แนวโน้มกระเตื้อง
ไตรมาสแรกที่ผ่านมาแม้ว่าความเชื่อมั่นและอารมณ์การจับจ่ายผู้บริโภคโดยรวมจะปรับตัวดีขึ้น แต่ปัจจัยจากราคาน้ำมันที่ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการทยอยปรับขึ้นของสินค้าที่จำเป็นหลายๆ อย่าง ในขณะที่รายได้ผู้บริโภคไม่เพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคยังคงระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยอย่างต่อเนื่อง และทำให้สินค้าหลายๆ อย่างมียอดขายที่ไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม ด้วยภาพของปัญหาต่างๆ ที่เริ่มคลี่คลายมากขึ้น ทำให้หลายๆ ฝ่ายมีความคาดหวังว่าในช่วงไตรมาส 2 นี้ผลการดำเนินงานน่าจะออกมาดีกว่าช่วงที่ผ่านมา แต่ในแง่ของการแข่งขันอาจจะทวีความรุนแรงมากขึ้น
ค้าปลีก-ของกินของใช้กุมขมับ
ดร.ดามพ์ สุคนธทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์และกฎหมาย บริษัท เอก-ชัย ดิสตริบิวชั่น ซิสเต็มส์ จำกัด กล่าวว่า ช่วงไตรมาสแรกแม้ว่าความมั่นใจผู้บริโภคจะเริ่มมีมากขึ้น แต่จากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยที่เหนี่ยวรั้งการใช้จ่ายของผู้บริโภค และ ทำให้ผู้บริโภคลดการมาจับจ่ายที่ห้างลง ที่ผ่านมาอาจเคยมาจับจ่ายเดือนละ 3 ครั้ง แต่เดี๋ยวนี้มาเดือนละครั้ง และเฉลี่ยการจับจ่าย แต่ละครั้งไม่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการของเทสโก้ โลตัส มีอัตราเติบโตไม่ถึง 5% ไม่เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ที่ 5-7%
สำหรับไตรมาส 2 นี้โดยส่วนตัวมองว่าจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนักในแง่ของภาวะเศรษฐกิจ เนื่องจากยังมีปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งราคาน้ำมันและปัญหาในสหรัฐ ขณะเดียวกัน เงินบาทก็ยังแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่แหล่งข่าวจากวงการค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค กล่าวในเรื่องเดียวกันนี้ว่า ปกติช่วงไตรมาสแรกยอดขายสินค้าประเภทอุปโภคบริโภคผ่านร้านค้าส่งค้าปลีกจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 10% เนื่องจากเป็นช่วงการจับจ่ายในเทศกาลสำคัญ ตั้งแต่เทศกาลวันปีใหม่ วันตรุษจีน แต่มีการปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 10-15%
ทั้งนี้ ตัวแปรหลักๆ เกิดจากราคาน้ำมันที่ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการจับจ่ายมากขึ้น ราคาสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และผู้บริโภค เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย โดยหันไปเน้นการซื้อสินค้าที่มีการลดราคา หรือการเพิ่มปริมาณ และจากรายได้ผู้บริโภคที่ไม่เพิ่มขึ้น ทำให้ลูกค้ากลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะในต่างจังหวัดหันไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กลงกว่าเดิม
ขณะที่นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมการค้าส่ง-ปลีกไทย แสดงความเห็นว่า ยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่ติดลบน่าจะเกิดขึ้นเพียงช่วงไตรมาสแรกเท่านั้น ไตรมาส 2 สถานการณ์น่าจะปรับตัวดีขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากราคาพืชผลทางการเกษตรที่สูง รวมทั้งการอัดเงินเข้าระบบของรัฐบาลน่าจะทำให้กำลังซื้อน่าจะเห็นผลไตรมาส 2 เป็นต้นไป
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ไตรมาส 1 ที่ผ่านมาสถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้น สภาพเศรษฐกิจน่าจะไปในทิศทางที่ดี เช่นเดียวกับเป้าหมายช่วงไตรมาส 1 ของสหพัฒน์ก็เป็นไปในทิศทางที่ดีเช่นเดียวกัน หากดูจากราคาข้าวที่พุ่งสูง แน่นอนว่าจะส่งผลต่อกำลังซื้อผู้บริโภคระดับรากหญ้าที่เพิ่มขึ้น แม้จะยังไม่เกิดขึ้นในทันที แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีโดยเฉพาะความเชื่อมั่นของ ผู้บริโภคที่มากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีกับเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ แม้ขณะนี้ยังมีสถานการณ์เผชิญของน้ำมันราคาสูงและเงินบาทแข็งค่าก็ตาม
"เกษตรดีทุกอย่างดี เพราะเมืองไทยเป็นเมืองเกษตร ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี อย่างน้อยก็ดีกว่าปีที่แล้ว" นายบุณยสิทธิ์ย้ำ
"ราคา-0%" ปลุกเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ขึ้น
ผู้บริหารระดับสูงเครื่องใช้ไฟฟ้ารายหนึ่ง ยอมรับกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ตลาดโดยรวมของเครื่องใช้ไฟฟ้าในทุกๆ กลุ่มสินค้าไม่ดีเท่าที่ควรในแง่ของยอดขาย หากสังเกตจะเห็นได้ว่า ตลาดช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ทั้งซัพพลายเออร์และช่องทางค้าปลีก ต่างก็มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ ออกมากระตุ้นตลาดกันเป็นระยะๆ และที่เห็นกันมากก็มีทั้งการลดแลกแจกแถมที่หลากหลายรูปแบบ และเป็นการจัดควบคู่กันกับกลยุทธ์เงินผ่อน 0% แต่ก็ยังไม่สามารถทำยอดขายได้ตามเป้า
"จากนี้ไปเชื่อว่าการแข่งขันน่าจะมีความรุนแรงมากขึ้น และแต่ละค่ายก็คงจะมีลูกเล่นทางการตลาดใหม่ๆ ออกมากระตุ้น และมีความหนักหน่วงมากขึ้น ที่คาดว่าจะได้เห็นมาก็คงจะเป็นเรื่องของราคา ทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะมีปัจจัยบวกมากน้อยเพียงใด"
นางสอางทิพย์ อมรฉัตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายตลาด บริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในช่วง 3 เดือนที่เพิ่งจบลงยังไม่มีความเคลื่อนไหวหรือสร้างยอดขายที่แตกต่างจากปีก่อนมากนัก แม้ที่ผ่านมานโยบายจากภาครัฐที่ส่งเข้ามากระตุ้นกำลังซื้อให้เศรษฐกิจตื่นตัวจะออกมาเป็นระยะๆ ต่อเนื่องแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยรวมหวือหวามากนัก สำหรับเพาเวอร์บายเองก็มียอดขายเติบโตได้เพียง 5% เท่านั้น
ขณะที่นายบุญยง ตันสกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการขายและการตลาด บริษัท ซิงเกอร์ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การอัดฉีดเม็ดเงินของภาครัฐบวกกับราคาพืชผลทางการเกษตรที่สูงขึ้น ส่งผลบวกต่อยอดขายสินค้าซิงเกอร์ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ดีขึ้น ลูกค้าที่เป็นเป้าหมายหลักตามต่างจังหวัดกว่า 90% มีการจับจ่ายซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ๆ ประกอบกับกลยุทธ์ทางการตลาดที่เน้นเชิงรุกมากขึ้น ทั้งแคมเปญเทรด-อิน หรือการนำสินค้าเก่ามาแลกซื้อสินค้าใหม่ ได้รับการตอบรับดีมาก
"นอกจากนี้การปรับสัดส่วนการใช้งบฯการตลาดใหม่จากเดิมกว่า 80% ของงบฯจะเน้นการทำกิจกรรมตามพื้นที่ แต่ปีนี้จะเพิ่มการโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ มากขึ้น ทำให้มั่นใจว่าตลอดทั้งปีนี้รายได้รวมซิงเกอร์จะเพิ่มขึ้น 20-30%"
พลิกคัมภีร์การตลาดกระตุ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา กลยุทธ์ทางการตลาดที่ซัพพลายเออร์สินค้าอุปโภคบริโภคหลายๆ ค่ายนำมาใช้ หลักส่วนใหญ่จะเป็นการลดราคาในหลากหลายรูปแบบ อาทิ การเพิ่มปริมาณแต่จำหน่ายในราคาเท่าเดิม หรือขายเป็นแพ็กคู่ในราคาประหยัด หรือการขายเป็นแพ็ก 3 ชิ้น ในราคาประหยัดพิเศษ รวมทั้งยังมีสินค้าในหลายๆ กลุ่ม อาทิ แชมพู ครีมนวดผม และโลชั่นบำรุงผิว ที่หันมาให้ความสำคัญกับการนำสินค้าไซซ์เล็กและซองออกมาทำตลาด โดยเน้นไปที่ต่างจังหวัดเป็นหลัก เป็นการกระตุ้นการตัดสินใจชองลูกค้าในภาวะที่กำลังซื้อมีจำกัด
สำหรับในส่วนของช่องทางจำหน่าย โดยเฉพาะผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ที่ผ่านมาก็หันมาให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ซื้อ 1 แถม 1 กับสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวันหลายๆ อย่าง รวมทั้งมีการแจกคูปองส่วนลดเมื่อลูกค้าซื้อสินค้าครบตามเงื่อนไขที่กำหนด เพื่อให้นำกลับมาใช้ซื้อสินค้าในครั้งต่อไป หรือในส่วนของเครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ ช่องทางเหล่านี้ก็ยังมีการลดราคา หรือบางแคมเปญก็จะมีการนำกลยุทธ์ซื้อ 1 แถม 1 มาใช้ด้วย โดยเฉพาะเครื่องเล่นดีวีดี และที่ขาดไม่ได้ก็คือ การนำกลยุทธ์เงินผ่อน 0% มาเป็นตัวกระตุ้น
ยอดช็อปเฉลี่ยต่อบิลลด
นางมยุรี ชัยพรหมประสิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านส่งเสริมธุรกิจ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์และสยามดิสคัฟเวอรี่ ระบุว่า ไตรมาสแรกมีจำนวนลูกค้าศูนย์ฯเพิ่มขึ้น 15% แต่ในแง่ของยอดซื้อต่อหัวน้อยลง คือมียอดซื้อเฉลี่ยเติบโตเพียง 5% หรือยอดเฉลี่ย 5,500 บาท/บิล จากเดิมยอดซื้อเฉลี่ย 8,000-9,000 บาทสำหรับไตรมาส 2 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่น ศูนย์จะใช้งบฯ 25 ล้านบาท จัดกิจกรรมควบคู่กับเซลส์โปรโมชั่นในช่วงระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม คาดว่าจะได้ลูกค้าทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวและกลุ่มลูกค้าหลักคือ วัยรุ่นในช่วงปิดเทอม ที่สำคัญ คือ คาดว่าจะช่วยให้ร้านค้าต่างๆ มียอดขายเพิ่มขึ้นจากปกติประมาณ 20%ขณะที่นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ระบุว่า โดยส่วนตัวมองว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคในปัจจุบันยังคงแข็งแรงอยู่ และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงขึ้น และเชื่อว่าด้วยสถานการณ์ที่คลี่คลายมากขึ้นจะส่งผลให้การจับจ่ายใช้สอยเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติภายในไตรมาส 2
ไตรมาสแรกที่ผ่านมาแม้ว่าความเชื่อมั่นและอารมณ์การจับจ่ายผู้บริโภคโดยรวมจะปรับตัวดีขึ้น แต่ปัจจัยจากราคาน้ำมันที่ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการทยอยปรับขึ้นของสินค้าที่จำเป็นหลายๆ อย่าง ในขณะที่รายได้ผู้บริโภคไม่เพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคยังคงระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยอย่างต่อเนื่อง และทำให้สินค้าหลายๆ อย่างมียอดขายที่ไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม ด้วยภาพของปัญหาต่างๆ ที่เริ่มคลี่คลายมากขึ้น ทำให้หลายๆ ฝ่ายมีความคาดหวังว่าในช่วงไตรมาส 2 นี้ผลการดำเนินงานน่าจะออกมาดีกว่าช่วงที่ผ่านมา แต่ในแง่ของการแข่งขันอาจจะทวีความรุนแรงมากขึ้น
ค้าปลีก-ของกินของใช้กุมขมับ
ดร.ดามพ์ สุคนธทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์และกฎหมาย บริษัท เอก-ชัย ดิสตริบิวชั่น ซิสเต็มส์ จำกัด กล่าวว่า ช่วงไตรมาสแรกแม้ว่าความมั่นใจผู้บริโภคจะเริ่มมีมากขึ้น แต่จากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยที่เหนี่ยวรั้งการใช้จ่ายของผู้บริโภค และ ทำให้ผู้บริโภคลดการมาจับจ่ายที่ห้างลง ที่ผ่านมาอาจเคยมาจับจ่ายเดือนละ 3 ครั้ง แต่เดี๋ยวนี้มาเดือนละครั้ง และเฉลี่ยการจับจ่าย แต่ละครั้งไม่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการของเทสโก้ โลตัส มีอัตราเติบโตไม่ถึง 5% ไม่เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ที่ 5-7%
สำหรับไตรมาส 2 นี้โดยส่วนตัวมองว่าจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนักในแง่ของภาวะเศรษฐกิจ เนื่องจากยังมีปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งราคาน้ำมันและปัญหาในสหรัฐ ขณะเดียวกัน เงินบาทก็ยังแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่แหล่งข่าวจากวงการค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค กล่าวในเรื่องเดียวกันนี้ว่า ปกติช่วงไตรมาสแรกยอดขายสินค้าประเภทอุปโภคบริโภคผ่านร้านค้าส่งค้าปลีกจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 10% เนื่องจากเป็นช่วงการจับจ่ายในเทศกาลสำคัญ ตั้งแต่เทศกาลวันปีใหม่ วันตรุษจีน แต่มีการปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 10-15%
ทั้งนี้ ตัวแปรหลักๆ เกิดจากราคาน้ำมันที่ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการจับจ่ายมากขึ้น ราคาสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และผู้บริโภค เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย โดยหันไปเน้นการซื้อสินค้าที่มีการลดราคา หรือการเพิ่มปริมาณ และจากรายได้ผู้บริโภคที่ไม่เพิ่มขึ้น ทำให้ลูกค้ากลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะในต่างจังหวัดหันไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กลงกว่าเดิม
ขณะที่นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมการค้าส่ง-ปลีกไทย แสดงความเห็นว่า ยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่ติดลบน่าจะเกิดขึ้นเพียงช่วงไตรมาสแรกเท่านั้น ไตรมาส 2 สถานการณ์น่าจะปรับตัวดีขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากราคาพืชผลทางการเกษตรที่สูง รวมทั้งการอัดเงินเข้าระบบของรัฐบาลน่าจะทำให้กำลังซื้อน่าจะเห็นผลไตรมาส 2 เป็นต้นไป
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ไตรมาส 1 ที่ผ่านมาสถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้น สภาพเศรษฐกิจน่าจะไปในทิศทางที่ดี เช่นเดียวกับเป้าหมายช่วงไตรมาส 1 ของสหพัฒน์ก็เป็นไปในทิศทางที่ดีเช่นเดียวกัน หากดูจากราคาข้าวที่พุ่งสูง แน่นอนว่าจะส่งผลต่อกำลังซื้อผู้บริโภคระดับรากหญ้าที่เพิ่มขึ้น แม้จะยังไม่เกิดขึ้นในทันที แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีโดยเฉพาะความเชื่อมั่นของ ผู้บริโภคที่มากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีกับเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ แม้ขณะนี้ยังมีสถานการณ์เผชิญของน้ำมันราคาสูงและเงินบาทแข็งค่าก็ตาม
"เกษตรดีทุกอย่างดี เพราะเมืองไทยเป็นเมืองเกษตร ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี อย่างน้อยก็ดีกว่าปีที่แล้ว" นายบุณยสิทธิ์ย้ำ
"ราคา-0%" ปลุกเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ขึ้น
ผู้บริหารระดับสูงเครื่องใช้ไฟฟ้ารายหนึ่ง ยอมรับกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ตลาดโดยรวมของเครื่องใช้ไฟฟ้าในทุกๆ กลุ่มสินค้าไม่ดีเท่าที่ควรในแง่ของยอดขาย หากสังเกตจะเห็นได้ว่า ตลาดช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ทั้งซัพพลายเออร์และช่องทางค้าปลีก ต่างก็มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ ออกมากระตุ้นตลาดกันเป็นระยะๆ และที่เห็นกันมากก็มีทั้งการลดแลกแจกแถมที่หลากหลายรูปแบบ และเป็นการจัดควบคู่กันกับกลยุทธ์เงินผ่อน 0% แต่ก็ยังไม่สามารถทำยอดขายได้ตามเป้า
"จากนี้ไปเชื่อว่าการแข่งขันน่าจะมีความรุนแรงมากขึ้น และแต่ละค่ายก็คงจะมีลูกเล่นทางการตลาดใหม่ๆ ออกมากระตุ้น และมีความหนักหน่วงมากขึ้น ที่คาดว่าจะได้เห็นมาก็คงจะเป็นเรื่องของราคา ทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะมีปัจจัยบวกมากน้อยเพียงใด"
นางสอางทิพย์ อมรฉัตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายตลาด บริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในช่วง 3 เดือนที่เพิ่งจบลงยังไม่มีความเคลื่อนไหวหรือสร้างยอดขายที่แตกต่างจากปีก่อนมากนัก แม้ที่ผ่านมานโยบายจากภาครัฐที่ส่งเข้ามากระตุ้นกำลังซื้อให้เศรษฐกิจตื่นตัวจะออกมาเป็นระยะๆ ต่อเนื่องแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยรวมหวือหวามากนัก สำหรับเพาเวอร์บายเองก็มียอดขายเติบโตได้เพียง 5% เท่านั้น
ขณะที่นายบุญยง ตันสกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการขายและการตลาด บริษัท ซิงเกอร์ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การอัดฉีดเม็ดเงินของภาครัฐบวกกับราคาพืชผลทางการเกษตรที่สูงขึ้น ส่งผลบวกต่อยอดขายสินค้าซิงเกอร์ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ดีขึ้น ลูกค้าที่เป็นเป้าหมายหลักตามต่างจังหวัดกว่า 90% มีการจับจ่ายซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ๆ ประกอบกับกลยุทธ์ทางการตลาดที่เน้นเชิงรุกมากขึ้น ทั้งแคมเปญเทรด-อิน หรือการนำสินค้าเก่ามาแลกซื้อสินค้าใหม่ ได้รับการตอบรับดีมาก
"นอกจากนี้การปรับสัดส่วนการใช้งบฯการตลาดใหม่จากเดิมกว่า 80% ของงบฯจะเน้นการทำกิจกรรมตามพื้นที่ แต่ปีนี้จะเพิ่มการโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ มากขึ้น ทำให้มั่นใจว่าตลอดทั้งปีนี้รายได้รวมซิงเกอร์จะเพิ่มขึ้น 20-30%"
พลิกคัมภีร์การตลาดกระตุ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา กลยุทธ์ทางการตลาดที่ซัพพลายเออร์สินค้าอุปโภคบริโภคหลายๆ ค่ายนำมาใช้ หลักส่วนใหญ่จะเป็นการลดราคาในหลากหลายรูปแบบ อาทิ การเพิ่มปริมาณแต่จำหน่ายในราคาเท่าเดิม หรือขายเป็นแพ็กคู่ในราคาประหยัด หรือการขายเป็นแพ็ก 3 ชิ้น ในราคาประหยัดพิเศษ รวมทั้งยังมีสินค้าในหลายๆ กลุ่ม อาทิ แชมพู ครีมนวดผม และโลชั่นบำรุงผิว ที่หันมาให้ความสำคัญกับการนำสินค้าไซซ์เล็กและซองออกมาทำตลาด โดยเน้นไปที่ต่างจังหวัดเป็นหลัก เป็นการกระตุ้นการตัดสินใจชองลูกค้าในภาวะที่กำลังซื้อมีจำกัด
สำหรับในส่วนของช่องทางจำหน่าย โดยเฉพาะผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ที่ผ่านมาก็หันมาให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ซื้อ 1 แถม 1 กับสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวันหลายๆ อย่าง รวมทั้งมีการแจกคูปองส่วนลดเมื่อลูกค้าซื้อสินค้าครบตามเงื่อนไขที่กำหนด เพื่อให้นำกลับมาใช้ซื้อสินค้าในครั้งต่อไป หรือในส่วนของเครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ ช่องทางเหล่านี้ก็ยังมีการลดราคา หรือบางแคมเปญก็จะมีการนำกลยุทธ์ซื้อ 1 แถม 1 มาใช้ด้วย โดยเฉพาะเครื่องเล่นดีวีดี และที่ขาดไม่ได้ก็คือ การนำกลยุทธ์เงินผ่อน 0% มาเป็นตัวกระตุ้น
ยอดช็อปเฉลี่ยต่อบิลลด
นางมยุรี ชัยพรหมประสิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านส่งเสริมธุรกิจ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์และสยามดิสคัฟเวอรี่ ระบุว่า ไตรมาสแรกมีจำนวนลูกค้าศูนย์ฯเพิ่มขึ้น 15% แต่ในแง่ของยอดซื้อต่อหัวน้อยลง คือมียอดซื้อเฉลี่ยเติบโตเพียง 5% หรือยอดเฉลี่ย 5,500 บาท/บิล จากเดิมยอดซื้อเฉลี่ย 8,000-9,000 บาทสำหรับไตรมาส 2 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่น ศูนย์จะใช้งบฯ 25 ล้านบาท จัดกิจกรรมควบคู่กับเซลส์โปรโมชั่นในช่วงระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม คาดว่าจะได้ลูกค้าทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวและกลุ่มลูกค้าหลักคือ วัยรุ่นในช่วงปิดเทอม ที่สำคัญ คือ คาดว่าจะช่วยให้ร้านค้าต่างๆ มียอดขายเพิ่มขึ้นจากปกติประมาณ 20%ขณะที่นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ระบุว่า โดยส่วนตัวมองว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคในปัจจุบันยังคงแข็งแรงอยู่ และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงขึ้น และเชื่อว่าด้วยสถานการณ์ที่คลี่คลายมากขึ้นจะส่งผลให้การจับจ่ายใช้สอยเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติภายในไตรมาส 2
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news16/04/08
โพสต์ที่ 126
ค้าปลีกไตรมาสแรกทรงตัว เร่งมือโกยยอดช่วงซัมเมอร์
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 14 เมษายน 2551 11:41 น.
ประเมินตลาดค้าปลีกไตรมาสแรกยังทรงตัว กระเตื้องเล็กน้อย หลายค่ายพอยิ้มออก ส่วนไตรมาสสองยังคงต้องลุ้นอีก ทุกค่ายเร่งอัดแคมเปญใหญ่รับซัมเมอร์ ที่เป็นหน้าขายสำคัญกระตุ้นยอดขาย
ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับไตรมาสแรก ปี 2551 ท่ามกลางการลุ้นกันจนตัวโกร่งของแวดวงธุรกิจทั้งหลาย รวมไปถึง ธุรกิจค้าปลีกด้วย ที่ยังหวั่นๆตั้งแต่ช่วงต้นปีว่า คงจะต้องออกอาการเหนื่อยไม่น้อยแน่นอน
แต่ดูเหมือนว่า ผู้ประกอบการค้าปลีกหลายค่าย ก็ยังพอยิ้มออกได้บ้าง กับผลประกอบการที่เกิดขึ้นในช่วง 3 เดือนแรกที่ผ่านมานี้ จากการให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารหลายราย แต่ในภาพรวมของตลาดค้าปลีกเองก็ยังคงไม่ได้หวือหวามากนัก
**ไตรมาสแรกยังพอไปได้
นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น ผู้พัฒนาค้าปลีกรายใหญ่ ประเมินว่า สถานการณ์โดยรวมของธุรกิจค้าปลีกในช่วงต้นปีนี้ดูไปในทิศทางที่ปรับตัวดีขึ้น จากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งพบว่าการเติบโตของค้าปลีกโดยรวมมีตัวเลข 2 หลัก ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว และคาดว่าไตรมาสที่สองนี้จะดีขึ้น และจะส่งผลให้ทั้งปีธุรกิจค้าปลีกจะมีการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%
แต่นายกอบชัยเองก็ยังกลัวว่า ยังมีปัญหาที่ยังน่าเป็นห่วงอยู่เช่นเดิม เกี่ยวกับเรื่องปัญหาซับไพร์มของอเมริกา ปัญหาการยุบพรรคการเมืองของไทย ปัญหาราคาน้ำมันที่ยังปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ปัญหาค่าครองชีพที่ถีบตัวสูงขึ้น แต่ก็ยังมั่นใจว่าจากการที่ภาครัฐบาลได้กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการประกาศนโยบายต่างๆ และการอนุมัติงบประมาณก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่จะช่วยกระตุ้นให้ภาพรวมเศรษฐกิจเคลื่อนไปในทางที่ดีได้
ดร.สุวิทย์ กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านเซเว่นอีเลฟเว่น กล่าวก่อนหน้านี้เช่นกันว่า คาดว่ายอดขายรวมของเซเว่นอีเลฟเว่นไตรมาสแรกที่เพิ่งผ่านไปนั้น จะมีการเติบโตประมาณ 5-10% เป็นอย่างต่ำ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว โดยทั้งปีนี้คาดว่าจะมีการเติบโตรวม 15% ตามเป้าหมายที่วางไว้
ส่วนทางด้าน เทสโก้โลตัส นั้น ดร.ดามพ์ สุคนธทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์และกฎหมาย เทสโก้โลตัส บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับยอดขายของเทสโก้โลตัสช่วง 3 เดือนแรกปีนี้ ประเมินแล้วมีการเติบโตขึ้นเพียง 5% ซึ่งน้อยกว่าที่มีการตั้งเป้าหมายเอาไว้ในช่วงแรกว่าจะต้องเติบโต 5-7% แต่น่าสังเกตุว่าเทสโก้โลตัสเทียบตัวเลขกับไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้ว แต่ไม่ยอมเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว
ขณะเดียวกันเทสโก้ฯยังยอมรับว่า การเข้ามาจับจ่ายของผู้บริโภคในเทสโก้ฯนั้นกลับลดความถี่ลงอันเนื่องมาจากปัจจัยลบต่างๆ โดยเหลือแค่ 1 ครั้งต่อเดือนโดยเฉลี่ย จากเดิมที่จะเดินซื้อของในเทสโก้ฯเฉลี่ย 3 ครั้งต่อเดือน และอัตราการใช้จ่ายนั้นก็ยังเท่าเดิมด้วยคือ 1,500 บาทต่อครั้ง
นายสมเกียรติ โชคประจักษ์ชัด ผู้จัดการทั่วไป สายบริหารสินค้า A1 บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ แผนกของเล่นของเดอะมอลล์มียอดขายที่เติบโตขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ตัวเลขรวมในไตรมาสแรกของปีนี้แผนกของเล่นจะมีการเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท
ทางด้านนางมยุรี ชัยพรหมประสิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านการส่งเสริมธุรกิจ บริษัทสยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้บริหาร สยามดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์และสยามเ.ซ็นเตอร์ เผยว่า ทั้งสองศูนย์ฯดังกล่าวมียอดขายในไตรมาสแรกเติบโตไม่มากเพียงแค่ 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากผู้บริโภคยังมีความระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ยอดใช้จ่ายในศูนย์ฯลดลงเหลือ 5.5 พันบาทต่อคนต่อครั้ง จากเดิม 9 พันบาทต่อคนต่อครั้ง
**เร่งโกยยอดขายช่วงซัมเมอร์
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบกาค้าปลีกก็ยังคงไม่ไว้ใจสถานการณ์ความจริงมากนัก แม้ว่าจะคาดหวังว่าจะดีขึ้นก็ตาม ดังนั้น ความเคลื่อนไหวในการกระตุ้นตลาด และกำลังซื้อจากผู้บริโภคก็ยังคงต้องมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะในช่วงซัมเมอร์นี้ ซึ่งถือเป็นหน้าขายที่สำคัญอีกช่วงหนึ่งของทั้งปี ผู้ประกอบการต่างก็เปิดศึกแคมเปญใหญ่เพื่อแย่งชิงกำลังซื้อกันอย่างเต็มที่ รวมไปถึงเทศกาลสงกรานต์ที่ถือเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของช่วงซัมเมอร์นี้ด้วย
ซีพีเอ็นผนึกพลังกับทางบริษัท ซีเอ็ม ออร์กาไนเซอร์ จำกัด (มหาชน) จัดกิจกรรมช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่มีขึ้นระหว่างวันที่ 12-14 เมษายนภายใต้ชื่อ Splashy Songkran Fest@CentralWorld ซึ่งภายในงานจะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วม เช่น การทำอุโมงน้ำ ,สงครามน้ำ และการนำคอนเสิร์ตจากศิลปินยอดนิยมเข้ามาแสดง โดยภายหลังจากจบงานดังกล่าวคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้าร่วมงานไม่ต่ำกว่า 200,000 คน โดยใช้งบประมาณจัดงานนี้กว่า 25 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วที่ใช้เพียง 10 ล้านบาทเท่านั้น
ส่วนแคมเปญใหญ่ช่วงซัมเมอร์ ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด ซีพีเอ็น ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กล่าวว่า แคมเปญซัมเมอร์ถือเป็นแคมเปญการตลาดสำคัญและใหญ่ที่สุดแคมเปญหนึ่งของเรา ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์มุ่งสร้างกลยุทธ์ตลาดที่มีสีสัน แตกต่าง และโดนใจนักช้อป เพื่อดึงดูดลูกค้าให้มาช้อปในศูนย์ฯ มากขึ้น จึงได้จัด CentralWorld Summer Limited 2008 ระหว่างวันที่ 14 มีนาคม-31 พฤษภาคมนี้จะช่วยเพิ่ม Traffic ที่เข้ามาในศูนย์ฯ ประมาณ 20% และกระตุ้นยอดขายของร้านค้าในศูนย์ฯ เพิ่มกว่า 30%มองว่าขณะนี้มีทิศทางดีขึ้น จากสถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มลงตัว ส่งผลให้อารมณ์การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคมีแนวโน้มเป็นบวก
ขณะที่นายชำนาญ เมธปรีชากุล ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส สายการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ได้ทุ่มงบการตลาดกว่า 200 ล้านบาท รับกำลังซื้อช่วงซัมเมอร์ โดยจะใช้ Theme แฟชั่น (Fashion) และ ความสุข (Happiness) มาเป็นหัวใจสำคัญในการทำแคมเปญใหญ่ครั้งนี้ ทั้งโปรโมชั่นสินค้าและกิจกรรม ด้วยรายการส่งเสริมการขาย The Mall Summer Paradise ลุ้นรางวัลท่องเรือสำราญสุดหรู รอยัล แคริบเบียน (Royal Carribbean) 3 ทวีป 5 ประเทศ และรายการ World Paradiso ลุ้นรางวัล ตั๋วเครื่องบินชั้นธุรกิจท่องเที่ยว 5 ทวีป จากการบินไทย ระหว่างวันที่ 13 มีนาคม 16 เมษายน 2551
ทั้งหมดถือเป็นความพร้อมที่เดอะมอลล์ กรุ๊ป เตรียมไว้สำหรับรองรับกำลังซื้อที่คาดว่าจะมีสูงในช่วงซัมเมอร์นี้ โดยคาดว่า ในส่วนของรายการส่งเสริมการขายเฉพาะซัมเมอร์จะสามารถทำยอดขายได้ถึง 4,000 ล้านบาท และสามารถปิดยอดขายในไตรมาสแรกของกลุ่มเดอะมอลล์ 11,000 ล้านบาท
อีกกลุ่มหนึ่งคือ สยามพิวรรธน์ ผู้บริหารศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์และสยามดิสคัฟเวอรี่ โดยนางมยุรี ชัยพรหมประสิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านการส่งเสริมธุรกิจ บริษัทสยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า ในช่วงเดือนมีนาคม พฤษภาคม ทางบริษัทฯใช้งบประมาณกว่า 25 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นยอดขายช่วงซัมเมอร์โดยจะเน้นการทำโปรโมชันควบคู่กับการจัดกิจกรรม ซึ่งบริษัทฯมั่นใจว่า ในไตรมาสสองนี้ คาดว่ากำลังซื้อโดยรวมในตลาดจะกลับมาดีขึ้น เพราะว่าผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมมากขึ้นแล้ว
ล่าสุดสำหรับช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ บริษัทฯใช้งบประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อจัดงาน สยามเซ็นเตอร์ สแปลช เฟสติวัล 2008 ในระหว่างวันที่ 12-15 เมษายน ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นการจัดงานกิจกรรมสงกรานต์เป็นครั้งแรก พร้อมกับใช้งบประมาณ 10 ล้านบาท จัดโปรโมชันดิสคัฟเวอรี่ ฮอลิเดย์ ระหว่างวันที่ 8-11 พฤษภาคมนี้ นำเสนอสินค้าแพกเกจ ท่องเที่ยว โรงแรม เป็นต้น อีกทั้งสองศูนย์ยังได้ใช้งบ 5 ล้านบาท จัดงาน ฟูด โซ กูด ซึ่งจะมอบส่วนลดจากร้านอาหารชั้นนำภายในศูนย์ฯ โดยมีการพิมพ์บัตรส่วนลดร้านอาหารภายในศูนย์กว่า 5 แสนใบเพื่อแจกให้กับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย โดยคาดหวังว่าการจัดกิจกรรมทั้งหลายนี้จะช่วยกระตุ้นยอดขายในช่วงไตรมาสสองให้เติบโต 10% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
นางอุสรา ยงปิยะกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการตลาด บริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้จัดรายการ My Holiday ตั้งแต่ วันที่ 8-24 เม.ย.51 ที่ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ทุกสาขา ทั่วประเทศ มอบส่วนลดสินค้าในห้าง 10-30% ส่วนช่วงวันมหาสงกรานต์ มีกิจกรรมพิเศษในแต่ละสาขา อาทิ สาขาเชียงใหม่(ทุก ศ.-ส.-อา. 11-13 และ 18-20 เม.ย.51) ตื่นตากับสินค้านาทีทอง ซื้อ 1 แถม 1 เป็นต้น
คาดว่าในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จะมีเม็ดเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในสาขาต่างจังหวัด โดยปกติแล้ว ในช่วงเทศกาลดังกล่าว มียอดใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท ต่อคน และมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 200,000 คน นางอุสรา กล่าวปิดท้าย
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000043954
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 14 เมษายน 2551 11:41 น.
ประเมินตลาดค้าปลีกไตรมาสแรกยังทรงตัว กระเตื้องเล็กน้อย หลายค่ายพอยิ้มออก ส่วนไตรมาสสองยังคงต้องลุ้นอีก ทุกค่ายเร่งอัดแคมเปญใหญ่รับซัมเมอร์ ที่เป็นหน้าขายสำคัญกระตุ้นยอดขาย
ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับไตรมาสแรก ปี 2551 ท่ามกลางการลุ้นกันจนตัวโกร่งของแวดวงธุรกิจทั้งหลาย รวมไปถึง ธุรกิจค้าปลีกด้วย ที่ยังหวั่นๆตั้งแต่ช่วงต้นปีว่า คงจะต้องออกอาการเหนื่อยไม่น้อยแน่นอน
แต่ดูเหมือนว่า ผู้ประกอบการค้าปลีกหลายค่าย ก็ยังพอยิ้มออกได้บ้าง กับผลประกอบการที่เกิดขึ้นในช่วง 3 เดือนแรกที่ผ่านมานี้ จากการให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารหลายราย แต่ในภาพรวมของตลาดค้าปลีกเองก็ยังคงไม่ได้หวือหวามากนัก
**ไตรมาสแรกยังพอไปได้
นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น ผู้พัฒนาค้าปลีกรายใหญ่ ประเมินว่า สถานการณ์โดยรวมของธุรกิจค้าปลีกในช่วงต้นปีนี้ดูไปในทิศทางที่ปรับตัวดีขึ้น จากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งพบว่าการเติบโตของค้าปลีกโดยรวมมีตัวเลข 2 หลัก ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว และคาดว่าไตรมาสที่สองนี้จะดีขึ้น และจะส่งผลให้ทั้งปีธุรกิจค้าปลีกจะมีการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%
แต่นายกอบชัยเองก็ยังกลัวว่า ยังมีปัญหาที่ยังน่าเป็นห่วงอยู่เช่นเดิม เกี่ยวกับเรื่องปัญหาซับไพร์มของอเมริกา ปัญหาการยุบพรรคการเมืองของไทย ปัญหาราคาน้ำมันที่ยังปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ปัญหาค่าครองชีพที่ถีบตัวสูงขึ้น แต่ก็ยังมั่นใจว่าจากการที่ภาครัฐบาลได้กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการประกาศนโยบายต่างๆ และการอนุมัติงบประมาณก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่จะช่วยกระตุ้นให้ภาพรวมเศรษฐกิจเคลื่อนไปในทางที่ดีได้
ดร.สุวิทย์ กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านเซเว่นอีเลฟเว่น กล่าวก่อนหน้านี้เช่นกันว่า คาดว่ายอดขายรวมของเซเว่นอีเลฟเว่นไตรมาสแรกที่เพิ่งผ่านไปนั้น จะมีการเติบโตประมาณ 5-10% เป็นอย่างต่ำ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว โดยทั้งปีนี้คาดว่าจะมีการเติบโตรวม 15% ตามเป้าหมายที่วางไว้
ส่วนทางด้าน เทสโก้โลตัส นั้น ดร.ดามพ์ สุคนธทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์และกฎหมาย เทสโก้โลตัส บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับยอดขายของเทสโก้โลตัสช่วง 3 เดือนแรกปีนี้ ประเมินแล้วมีการเติบโตขึ้นเพียง 5% ซึ่งน้อยกว่าที่มีการตั้งเป้าหมายเอาไว้ในช่วงแรกว่าจะต้องเติบโต 5-7% แต่น่าสังเกตุว่าเทสโก้โลตัสเทียบตัวเลขกับไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้ว แต่ไม่ยอมเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว
ขณะเดียวกันเทสโก้ฯยังยอมรับว่า การเข้ามาจับจ่ายของผู้บริโภคในเทสโก้ฯนั้นกลับลดความถี่ลงอันเนื่องมาจากปัจจัยลบต่างๆ โดยเหลือแค่ 1 ครั้งต่อเดือนโดยเฉลี่ย จากเดิมที่จะเดินซื้อของในเทสโก้ฯเฉลี่ย 3 ครั้งต่อเดือน และอัตราการใช้จ่ายนั้นก็ยังเท่าเดิมด้วยคือ 1,500 บาทต่อครั้ง
นายสมเกียรติ โชคประจักษ์ชัด ผู้จัดการทั่วไป สายบริหารสินค้า A1 บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ แผนกของเล่นของเดอะมอลล์มียอดขายที่เติบโตขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ตัวเลขรวมในไตรมาสแรกของปีนี้แผนกของเล่นจะมีการเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท
ทางด้านนางมยุรี ชัยพรหมประสิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านการส่งเสริมธุรกิจ บริษัทสยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้บริหาร สยามดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์และสยามเ.ซ็นเตอร์ เผยว่า ทั้งสองศูนย์ฯดังกล่าวมียอดขายในไตรมาสแรกเติบโตไม่มากเพียงแค่ 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากผู้บริโภคยังมีความระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ยอดใช้จ่ายในศูนย์ฯลดลงเหลือ 5.5 พันบาทต่อคนต่อครั้ง จากเดิม 9 พันบาทต่อคนต่อครั้ง
**เร่งโกยยอดขายช่วงซัมเมอร์
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบกาค้าปลีกก็ยังคงไม่ไว้ใจสถานการณ์ความจริงมากนัก แม้ว่าจะคาดหวังว่าจะดีขึ้นก็ตาม ดังนั้น ความเคลื่อนไหวในการกระตุ้นตลาด และกำลังซื้อจากผู้บริโภคก็ยังคงต้องมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะในช่วงซัมเมอร์นี้ ซึ่งถือเป็นหน้าขายที่สำคัญอีกช่วงหนึ่งของทั้งปี ผู้ประกอบการต่างก็เปิดศึกแคมเปญใหญ่เพื่อแย่งชิงกำลังซื้อกันอย่างเต็มที่ รวมไปถึงเทศกาลสงกรานต์ที่ถือเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของช่วงซัมเมอร์นี้ด้วย
ซีพีเอ็นผนึกพลังกับทางบริษัท ซีเอ็ม ออร์กาไนเซอร์ จำกัด (มหาชน) จัดกิจกรรมช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่มีขึ้นระหว่างวันที่ 12-14 เมษายนภายใต้ชื่อ Splashy Songkran Fest@CentralWorld ซึ่งภายในงานจะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วม เช่น การทำอุโมงน้ำ ,สงครามน้ำ และการนำคอนเสิร์ตจากศิลปินยอดนิยมเข้ามาแสดง โดยภายหลังจากจบงานดังกล่าวคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้าร่วมงานไม่ต่ำกว่า 200,000 คน โดยใช้งบประมาณจัดงานนี้กว่า 25 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วที่ใช้เพียง 10 ล้านบาทเท่านั้น
ส่วนแคมเปญใหญ่ช่วงซัมเมอร์ ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด ซีพีเอ็น ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กล่าวว่า แคมเปญซัมเมอร์ถือเป็นแคมเปญการตลาดสำคัญและใหญ่ที่สุดแคมเปญหนึ่งของเรา ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์มุ่งสร้างกลยุทธ์ตลาดที่มีสีสัน แตกต่าง และโดนใจนักช้อป เพื่อดึงดูดลูกค้าให้มาช้อปในศูนย์ฯ มากขึ้น จึงได้จัด CentralWorld Summer Limited 2008 ระหว่างวันที่ 14 มีนาคม-31 พฤษภาคมนี้จะช่วยเพิ่ม Traffic ที่เข้ามาในศูนย์ฯ ประมาณ 20% และกระตุ้นยอดขายของร้านค้าในศูนย์ฯ เพิ่มกว่า 30%มองว่าขณะนี้มีทิศทางดีขึ้น จากสถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มลงตัว ส่งผลให้อารมณ์การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคมีแนวโน้มเป็นบวก
ขณะที่นายชำนาญ เมธปรีชากุล ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส สายการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ได้ทุ่มงบการตลาดกว่า 200 ล้านบาท รับกำลังซื้อช่วงซัมเมอร์ โดยจะใช้ Theme แฟชั่น (Fashion) และ ความสุข (Happiness) มาเป็นหัวใจสำคัญในการทำแคมเปญใหญ่ครั้งนี้ ทั้งโปรโมชั่นสินค้าและกิจกรรม ด้วยรายการส่งเสริมการขาย The Mall Summer Paradise ลุ้นรางวัลท่องเรือสำราญสุดหรู รอยัล แคริบเบียน (Royal Carribbean) 3 ทวีป 5 ประเทศ และรายการ World Paradiso ลุ้นรางวัล ตั๋วเครื่องบินชั้นธุรกิจท่องเที่ยว 5 ทวีป จากการบินไทย ระหว่างวันที่ 13 มีนาคม 16 เมษายน 2551
ทั้งหมดถือเป็นความพร้อมที่เดอะมอลล์ กรุ๊ป เตรียมไว้สำหรับรองรับกำลังซื้อที่คาดว่าจะมีสูงในช่วงซัมเมอร์นี้ โดยคาดว่า ในส่วนของรายการส่งเสริมการขายเฉพาะซัมเมอร์จะสามารถทำยอดขายได้ถึง 4,000 ล้านบาท และสามารถปิดยอดขายในไตรมาสแรกของกลุ่มเดอะมอลล์ 11,000 ล้านบาท
อีกกลุ่มหนึ่งคือ สยามพิวรรธน์ ผู้บริหารศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์และสยามดิสคัฟเวอรี่ โดยนางมยุรี ชัยพรหมประสิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านการส่งเสริมธุรกิจ บริษัทสยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า ในช่วงเดือนมีนาคม พฤษภาคม ทางบริษัทฯใช้งบประมาณกว่า 25 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นยอดขายช่วงซัมเมอร์โดยจะเน้นการทำโปรโมชันควบคู่กับการจัดกิจกรรม ซึ่งบริษัทฯมั่นใจว่า ในไตรมาสสองนี้ คาดว่ากำลังซื้อโดยรวมในตลาดจะกลับมาดีขึ้น เพราะว่าผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมมากขึ้นแล้ว
ล่าสุดสำหรับช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ บริษัทฯใช้งบประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อจัดงาน สยามเซ็นเตอร์ สแปลช เฟสติวัล 2008 ในระหว่างวันที่ 12-15 เมษายน ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นการจัดงานกิจกรรมสงกรานต์เป็นครั้งแรก พร้อมกับใช้งบประมาณ 10 ล้านบาท จัดโปรโมชันดิสคัฟเวอรี่ ฮอลิเดย์ ระหว่างวันที่ 8-11 พฤษภาคมนี้ นำเสนอสินค้าแพกเกจ ท่องเที่ยว โรงแรม เป็นต้น อีกทั้งสองศูนย์ยังได้ใช้งบ 5 ล้านบาท จัดงาน ฟูด โซ กูด ซึ่งจะมอบส่วนลดจากร้านอาหารชั้นนำภายในศูนย์ฯ โดยมีการพิมพ์บัตรส่วนลดร้านอาหารภายในศูนย์กว่า 5 แสนใบเพื่อแจกให้กับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย โดยคาดหวังว่าการจัดกิจกรรมทั้งหลายนี้จะช่วยกระตุ้นยอดขายในช่วงไตรมาสสองให้เติบโต 10% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
นางอุสรา ยงปิยะกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการตลาด บริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้จัดรายการ My Holiday ตั้งแต่ วันที่ 8-24 เม.ย.51 ที่ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ทุกสาขา ทั่วประเทศ มอบส่วนลดสินค้าในห้าง 10-30% ส่วนช่วงวันมหาสงกรานต์ มีกิจกรรมพิเศษในแต่ละสาขา อาทิ สาขาเชียงใหม่(ทุก ศ.-ส.-อา. 11-13 และ 18-20 เม.ย.51) ตื่นตากับสินค้านาทีทอง ซื้อ 1 แถม 1 เป็นต้น
คาดว่าในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จะมีเม็ดเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในสาขาต่างจังหวัด โดยปกติแล้ว ในช่วงเทศกาลดังกล่าว มียอดใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท ต่อคน และมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 200,000 คน นางอุสรา กล่าวปิดท้าย
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000043954
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news23/04/08
โพสต์ที่ 127
โลตัสท้าชนบิ๊กซี ชุดนร.แค่63บาท
โพสต์ทูเดย์ 2 ยักษ์ค้าปลีก เทสโก้-บิ๊กซี ใจตรงกัน ประกาศถล่มชุดนักเรียนเฮาส์แบรนด์ต่ำสุด 63 บาท ดึงกำลังซื้อผู้ปกครองภาวะเงินเฟ้อ
นายกวิน สัณฑกุล กรรมการและประธานบริหาร ฝ่ายการตลาด บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม ผู้บริหารร้านค้าปลีก เทสโก้ โลตัส กล่าวว่า บริษัทใช้งบรวมกว่า 120 ล้านบาท จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้ารับเปิดเทอม ภายใต้แคมเปญ โรล แบ็ค ทู สคูล โดยมีสินค้ากลุ่มชุดนักเรียนและอุปกรณ์การศึกษาต่างๆ ในราคาประหยัด 444 รายการ โดยเฉพาะสินค้าชุดนักเรียนที่เป็นตราสินค้าของตัวเอง หรือเฮาส์แบรนด์ 2 ยี่ห้อ คือ เทสโก้ และ คุ้มค่า
สำหรับชุดนักเรียนยี่ห้อคุ้มค่า เป็นแบรนด์สินค้าราคาประหยัด จำหน่ายเริ่มต้นชุดละ 63 บาท ส่วนชุดนักเรียนยี่ห้อเทสโก้ จะแข่งขันในระดับเดียวกับชุดนักเรียนยี่ห้อชั้นนำ แต่ใช้กลยุทธ์ราคาที่ถูกกว่าแบรนด์คู่แข่งราว 10-20% โดยตั้งเป้ายอดขายทั้งสองแบรนด์ 2 ล้านชุด เพิ่มจาก 1.5 ล้านชุดในปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังคาดในช่วง 1 เดือนของการจัดแคมเปญ จะมีรายได้จากกลุ่มสินค้าต้อนรับเปิดเทอมอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 60% จากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา เนื่องจากสินค้าที่นำมาร่วมรายการมีจำนวนเพิ่มขึ้น และการขยายสาขาของเทสโก้ โลตัส เพิ่มมากขึ้น
ด้าน น.ส.จริยา จิราธิวัฒน์ รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ผู้บริหารห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี กล่าว ว่า ปีนี้บริษัทได้จัดโครงการ ธงฟ้า ราคาประหยัด แบ็คทูสกูล ร่วมกับกรมการค้าภายในต่อเนื่อง โดย นำสินค้าประเภทชุดนักเรียนและอุปกรณ์การเรียนต่างๆ มาจำหน่ายในราคาพิเศษ อาทิ ชุดนักเรียน รองเท้านักเรียน กระเป๋านักเรียน เครื่องเขียนและอุปกรณ์การเรียนแบรนด์ชั้นนำ โดยมีราคาต่ำกว่าท้องตลาด 5-20%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=233891
โพสต์ทูเดย์ 2 ยักษ์ค้าปลีก เทสโก้-บิ๊กซี ใจตรงกัน ประกาศถล่มชุดนักเรียนเฮาส์แบรนด์ต่ำสุด 63 บาท ดึงกำลังซื้อผู้ปกครองภาวะเงินเฟ้อ
นายกวิน สัณฑกุล กรรมการและประธานบริหาร ฝ่ายการตลาด บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม ผู้บริหารร้านค้าปลีก เทสโก้ โลตัส กล่าวว่า บริษัทใช้งบรวมกว่า 120 ล้านบาท จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้ารับเปิดเทอม ภายใต้แคมเปญ โรล แบ็ค ทู สคูล โดยมีสินค้ากลุ่มชุดนักเรียนและอุปกรณ์การศึกษาต่างๆ ในราคาประหยัด 444 รายการ โดยเฉพาะสินค้าชุดนักเรียนที่เป็นตราสินค้าของตัวเอง หรือเฮาส์แบรนด์ 2 ยี่ห้อ คือ เทสโก้ และ คุ้มค่า
สำหรับชุดนักเรียนยี่ห้อคุ้มค่า เป็นแบรนด์สินค้าราคาประหยัด จำหน่ายเริ่มต้นชุดละ 63 บาท ส่วนชุดนักเรียนยี่ห้อเทสโก้ จะแข่งขันในระดับเดียวกับชุดนักเรียนยี่ห้อชั้นนำ แต่ใช้กลยุทธ์ราคาที่ถูกกว่าแบรนด์คู่แข่งราว 10-20% โดยตั้งเป้ายอดขายทั้งสองแบรนด์ 2 ล้านชุด เพิ่มจาก 1.5 ล้านชุดในปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังคาดในช่วง 1 เดือนของการจัดแคมเปญ จะมีรายได้จากกลุ่มสินค้าต้อนรับเปิดเทอมอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 60% จากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา เนื่องจากสินค้าที่นำมาร่วมรายการมีจำนวนเพิ่มขึ้น และการขยายสาขาของเทสโก้ โลตัส เพิ่มมากขึ้น
ด้าน น.ส.จริยา จิราธิวัฒน์ รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ผู้บริหารห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี กล่าว ว่า ปีนี้บริษัทได้จัดโครงการ ธงฟ้า ราคาประหยัด แบ็คทูสกูล ร่วมกับกรมการค้าภายในต่อเนื่อง โดย นำสินค้าประเภทชุดนักเรียนและอุปกรณ์การเรียนต่างๆ มาจำหน่ายในราคาพิเศษ อาทิ ชุดนักเรียน รองเท้านักเรียน กระเป๋านักเรียน เครื่องเขียนและอุปกรณ์การเรียนแบรนด์ชั้นนำ โดยมีราคาต่ำกว่าท้องตลาด 5-20%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=233891
-
- Verified User
- โพสต์: 497
- ผู้ติดตาม: 0
modern trade and household
โพสต์ที่ 128
ปูพรม"มินิบิ๊กซี"ชนคอนวีเนี่ยนสโตร์ "โลตัส-คาร์ฟูร์"ปั้นโมเดลใหม่รับไลฟ์สไตล์เปลี่ยน
ค่ายค้าปลีกเดินหน้าทดลองโมเดลย่อส่วน มุ่งเจาะชุมชน-ชานเมือง รับวิถีชีวิตผู้บริโภคเปลี่ยน "บิ๊กซี" รุกคืบทยอยเปิด"มินิบิ๊กซี" เสียบแทนสาขาเดิมลีดเดอร์ไพรซ์ ส่วน "คาร์ฟูร์" ซุ่มเจรจาพันธมิตรชิมลาง สาขาซูเปอร์มาร์เก็ตไซซ์เล็ก จับตามาเลเซีย เปิดตัว "คาร์ฟูร์ เอ็กซ์เพรส" คาดหากเวิร์กมาไทยแน่ ขณะที่ยักษ์ "เทสโก้ โลตัส" ส่งสัญญาณผุดคอมมิวนิตี้มอลล์ยึดชุมชนชานเมืองแหล่งข่าวจากวงการค้าปลีก เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ นอกจาก เทสโก้ โลตัส ที่หันมาให้การขยายสาขาขนาดเล็กที่มีหลากหลายรูปแบบมากขึ้นแล้ว ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ค่ายอื่นๆ ต่างก็มีความเคลื่อนไหวในการเปิดสาขาขนาดเล็กมากขึ้น ทั้งบิ๊กซี และคาร์ฟูร์ สำหรับบิ๊กซี ขณะนี้ได้เปิดร้านโมเดลใหม่ ที่เรียกว่ามินิบิ๊กซีแล้ว 5 แห่ง จากเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาที่ผู้บริหารบิ๊กซีระบุว่าได้เปิดไปเพียง 2 แห่ง คือ สาขาอุดมสุข และเสนานิคมสาขาล่าสุดที่เพิ่งเปิดไปเมื่อเร็วๆ นี้ คือ สาขาบางกะปิ ซึ่งเปิดตรงข้ามกับเดอะมอลล์ บางกะปิ ส่วนอีก 2 สาขาที่ เปิดไปก่อนหน้านี้ ประกอบด้วย สุขุมวิท และวงเวียนใหญ่ "การเปิดสาขารูปแบบใหม่ที่มีขนาดเล็กลงในลักษณะดังกล่าว นอกจากจะสามารถทำได้ง่ายและรวดเร็วแล้ว ที่น่าสนใจก็คือ สาขาดังกล่าวจะเป็นช่องทางที่ช่วยเพิ่ม รายได้ให้กับบริษัทอีกทางหนึ่ง ขณะเดียวกันก็เป็นการแก้ปัญหาในเรื่องการขอใบอนุญาตการเปิดสาขาใหม่ที่มีความยากมากขึ้น"ขณะที่แหล่งข่าวจากวงการค้าปลีกอีกรายหนึ่ง กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เมื่อเร็วๆ นี้คาร์ฟูร์ได้มีความเคลื่อนไหวที่ จะทดลองเปิดให้บริการใหม่ และได้เจรจากับผู้ประกอบการพัฒนาศูนย์การค้ารายหนึ่ง เพื่อจะนำซูเปอร์มาร์เก็ตเข้าไปเปิดในศูนย์การค้าดังกล่าว ซึ่งมีแผนจะเปิดให้บริการในย่านถนนงามวงศ์วานดร.ดามพ์ สุคนธทรัพย์ รองกรรมการ ผู้จัดการอาวุโส บริษัท เอกชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเท็ม จำกัด กล่าวถึงภาพที่เกิดขึ้นดังกล่าวว่า ปกติตามธรรมชาติของธุรกิจค้าปลีกนั้นจะมีการปรับตัวตามวิถีชีวิตและรสนิยมของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ยกตัวอย่างปัจจุบันผลจากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องอาจจะส่งผลให้คนที่พักอาศัยอยู่ในย่านชุมชนชานเมืองไม่ต้องการจะเดินทางไกลๆ เข้ามาจับจ่ายใช้สอยในเมือง ซึ่งศูนย์การค้าในรูปแบบที่เรียกว่าคอมมิวนิตี้มอลล์ก็จะเข้ามามีบทบาทและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้ได้"สำหรับเทสโก้ โลตัส นอกจากคอมมิวนิตี้มอลล์ โอเอซิส (ซอยสามัคคี) ที่ถือเป็นโมเดลใหม่ล่าสุดของเราแล้ว เราก็ยังจะมีการทดลองโมเดลค้าปลีกในลักษณะนี้เป็นระยะ โมเดลไหนที่ประสบความสำเร็จ คือเปิดแล้วลูกค้าตอบรับดีก็พร้อมจะเปิดต่อ หรือหากเปิดแล้วไม่เป็นที่พึงพอใจของลูกค้า ก็มีเป้าหมายสำคัญ ก็คือการหาสิ่งใหม่ๆ เพื่อทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น และการที่หลายๆ ค่ายลงมาเล่นมากขึ้นก็ถือว่าเป็นประโยชน์กับผู้บริโภค"ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสำรวจมินิบิ๊กซี สาขาเสนานิคม พบว่ารูปแบบการจัดร้าน การจัดวางสินค้า มีลักษณะคล้ายๆ กับร้านคอนวีเนี่ยนสโตร์ทั่วๆ ไป และสินค้าที่มินิบิ๊กซีเน้นหลักๆ จะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ทั้งสบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน แชมพูสระผม โฟมล้างหน้า ผ้าอนามัย ฯลฯ นอกจากสินค้าจากซัพพลายเออร์รายต่างๆ แล้ว ร้านดังกล่าวยังมีสินค้าเฮาส์แบรนด์ "บิ๊กซี" อาทิ น้ำยาล้างจาน ขนมปัง ปลาเส้น ถั่วลิสงอบกรอบ รวมทั้งมีอาหารสด อาทิ เนื้อหมู ผักต่างๆ รวมไปถึงอาหารแช่แข็ง วางจำหน่ายด้วยเมื่อเร็วๆ นี้ สื่อสิ่งพิมพ์ในประเทศมาเลเซียรายงานว่า คาร์ฟูร์มาเลเซียกำลังโฟกัสไปที่ธุรกิจคอนวีเนี่ยนสโตร์ ซึ่งเป็น รูปแบบที่ทางการมาเลเซียยังไม่อนุญาตให้ต่างชาติดำเนินการได้ในขณะนี้ บริษัทจึงจะดำเนินการภายใต้คอนเซ็ปต์แฟรนไชส์ไปก่อน ซึ่งจะต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบของกระทรวงพัฒนาผู้ประกอบการและสหกรณ์ ขณะที่ปัจจุบันการดำเนินธุรกิจในรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ตนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงการค้าภายในและกิจการผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารของคาร์ฟูร์ประเทศมาเลเซีย ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าวรายงานดังกล่าวยังระบุด้วยว่า เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ยักษ์ค้าปลีกรายนี้ได้รายงานว่า ได้เปิดสาขาในรูปแบบร้านสะดวกซื้อแห่งแรกภายใต้ชื่อ "คาร์ฟูร์ เอ็กซ์เพรส" ในย่านวังซา มาจู ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ และเตรียมจะเปิดสาขาในลักษณะนี้เพิ่มเติมอีกในอนาคตผู้บริหารธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ค่ายหนึ่งแสดงความเป็นว่า หากโมเดลดังกล่าวประสบความสำเร็จ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่คาร์ฟูร์อาจจะนำโมเดลดังกล่าวเข้ามาเปิดในประเทศไทยด้วยผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ผ่านมาผู้บริหารบิ๊กซีได้เปิดเผยถึงแผนการลงทุนขยาย สาขาในปี 2551 ว่า บิ๊กซีจะใช้งบฯ อีกประมาณ 6,200 ล้านบาท ในการเปิดสาขาเพิ่มอีก 8 แห่งในต่างจังหวัด อาทิ ราชบุรี อยุธยา สุโขทัย เพชรบูรณ์ ชัยภูมิ กระบี่ เป็นต้น และจะทำให้บิ๊กซีมีสาขาเพิ่มจาก 54 สาขาในปีที่ผ่านมาเป็น 62 สาขา ในปีนี้ ส่วนคาร์ฟูร์ก็เตรียมงบฯไว้ประมาณ 3,000 ล้านบาท สำหรับการเปิดสาขา เพิ่มอีก 6-7 แห่ง จากเดิมที่มีสาขาอยู่ประมาณ 25 แห่ง
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0207
ค่ายค้าปลีกเดินหน้าทดลองโมเดลย่อส่วน มุ่งเจาะชุมชน-ชานเมือง รับวิถีชีวิตผู้บริโภคเปลี่ยน "บิ๊กซี" รุกคืบทยอยเปิด"มินิบิ๊กซี" เสียบแทนสาขาเดิมลีดเดอร์ไพรซ์ ส่วน "คาร์ฟูร์" ซุ่มเจรจาพันธมิตรชิมลาง สาขาซูเปอร์มาร์เก็ตไซซ์เล็ก จับตามาเลเซีย เปิดตัว "คาร์ฟูร์ เอ็กซ์เพรส" คาดหากเวิร์กมาไทยแน่ ขณะที่ยักษ์ "เทสโก้ โลตัส" ส่งสัญญาณผุดคอมมิวนิตี้มอลล์ยึดชุมชนชานเมืองแหล่งข่าวจากวงการค้าปลีก เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ นอกจาก เทสโก้ โลตัส ที่หันมาให้การขยายสาขาขนาดเล็กที่มีหลากหลายรูปแบบมากขึ้นแล้ว ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ค่ายอื่นๆ ต่างก็มีความเคลื่อนไหวในการเปิดสาขาขนาดเล็กมากขึ้น ทั้งบิ๊กซี และคาร์ฟูร์ สำหรับบิ๊กซี ขณะนี้ได้เปิดร้านโมเดลใหม่ ที่เรียกว่ามินิบิ๊กซีแล้ว 5 แห่ง จากเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาที่ผู้บริหารบิ๊กซีระบุว่าได้เปิดไปเพียง 2 แห่ง คือ สาขาอุดมสุข และเสนานิคมสาขาล่าสุดที่เพิ่งเปิดไปเมื่อเร็วๆ นี้ คือ สาขาบางกะปิ ซึ่งเปิดตรงข้ามกับเดอะมอลล์ บางกะปิ ส่วนอีก 2 สาขาที่ เปิดไปก่อนหน้านี้ ประกอบด้วย สุขุมวิท และวงเวียนใหญ่ "การเปิดสาขารูปแบบใหม่ที่มีขนาดเล็กลงในลักษณะดังกล่าว นอกจากจะสามารถทำได้ง่ายและรวดเร็วแล้ว ที่น่าสนใจก็คือ สาขาดังกล่าวจะเป็นช่องทางที่ช่วยเพิ่ม รายได้ให้กับบริษัทอีกทางหนึ่ง ขณะเดียวกันก็เป็นการแก้ปัญหาในเรื่องการขอใบอนุญาตการเปิดสาขาใหม่ที่มีความยากมากขึ้น"ขณะที่แหล่งข่าวจากวงการค้าปลีกอีกรายหนึ่ง กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เมื่อเร็วๆ นี้คาร์ฟูร์ได้มีความเคลื่อนไหวที่ จะทดลองเปิดให้บริการใหม่ และได้เจรจากับผู้ประกอบการพัฒนาศูนย์การค้ารายหนึ่ง เพื่อจะนำซูเปอร์มาร์เก็ตเข้าไปเปิดในศูนย์การค้าดังกล่าว ซึ่งมีแผนจะเปิดให้บริการในย่านถนนงามวงศ์วานดร.ดามพ์ สุคนธทรัพย์ รองกรรมการ ผู้จัดการอาวุโส บริษัท เอกชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเท็ม จำกัด กล่าวถึงภาพที่เกิดขึ้นดังกล่าวว่า ปกติตามธรรมชาติของธุรกิจค้าปลีกนั้นจะมีการปรับตัวตามวิถีชีวิตและรสนิยมของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ยกตัวอย่างปัจจุบันผลจากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องอาจจะส่งผลให้คนที่พักอาศัยอยู่ในย่านชุมชนชานเมืองไม่ต้องการจะเดินทางไกลๆ เข้ามาจับจ่ายใช้สอยในเมือง ซึ่งศูนย์การค้าในรูปแบบที่เรียกว่าคอมมิวนิตี้มอลล์ก็จะเข้ามามีบทบาทและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้ได้"สำหรับเทสโก้ โลตัส นอกจากคอมมิวนิตี้มอลล์ โอเอซิส (ซอยสามัคคี) ที่ถือเป็นโมเดลใหม่ล่าสุดของเราแล้ว เราก็ยังจะมีการทดลองโมเดลค้าปลีกในลักษณะนี้เป็นระยะ โมเดลไหนที่ประสบความสำเร็จ คือเปิดแล้วลูกค้าตอบรับดีก็พร้อมจะเปิดต่อ หรือหากเปิดแล้วไม่เป็นที่พึงพอใจของลูกค้า ก็มีเป้าหมายสำคัญ ก็คือการหาสิ่งใหม่ๆ เพื่อทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น และการที่หลายๆ ค่ายลงมาเล่นมากขึ้นก็ถือว่าเป็นประโยชน์กับผู้บริโภค"ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสำรวจมินิบิ๊กซี สาขาเสนานิคม พบว่ารูปแบบการจัดร้าน การจัดวางสินค้า มีลักษณะคล้ายๆ กับร้านคอนวีเนี่ยนสโตร์ทั่วๆ ไป และสินค้าที่มินิบิ๊กซีเน้นหลักๆ จะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ทั้งสบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน แชมพูสระผม โฟมล้างหน้า ผ้าอนามัย ฯลฯ นอกจากสินค้าจากซัพพลายเออร์รายต่างๆ แล้ว ร้านดังกล่าวยังมีสินค้าเฮาส์แบรนด์ "บิ๊กซี" อาทิ น้ำยาล้างจาน ขนมปัง ปลาเส้น ถั่วลิสงอบกรอบ รวมทั้งมีอาหารสด อาทิ เนื้อหมู ผักต่างๆ รวมไปถึงอาหารแช่แข็ง วางจำหน่ายด้วยเมื่อเร็วๆ นี้ สื่อสิ่งพิมพ์ในประเทศมาเลเซียรายงานว่า คาร์ฟูร์มาเลเซียกำลังโฟกัสไปที่ธุรกิจคอนวีเนี่ยนสโตร์ ซึ่งเป็น รูปแบบที่ทางการมาเลเซียยังไม่อนุญาตให้ต่างชาติดำเนินการได้ในขณะนี้ บริษัทจึงจะดำเนินการภายใต้คอนเซ็ปต์แฟรนไชส์ไปก่อน ซึ่งจะต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบของกระทรวงพัฒนาผู้ประกอบการและสหกรณ์ ขณะที่ปัจจุบันการดำเนินธุรกิจในรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ตนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงการค้าภายในและกิจการผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารของคาร์ฟูร์ประเทศมาเลเซีย ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าวรายงานดังกล่าวยังระบุด้วยว่า เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ยักษ์ค้าปลีกรายนี้ได้รายงานว่า ได้เปิดสาขาในรูปแบบร้านสะดวกซื้อแห่งแรกภายใต้ชื่อ "คาร์ฟูร์ เอ็กซ์เพรส" ในย่านวังซา มาจู ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ และเตรียมจะเปิดสาขาในลักษณะนี้เพิ่มเติมอีกในอนาคตผู้บริหารธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ค่ายหนึ่งแสดงความเป็นว่า หากโมเดลดังกล่าวประสบความสำเร็จ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่คาร์ฟูร์อาจจะนำโมเดลดังกล่าวเข้ามาเปิดในประเทศไทยด้วยผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ผ่านมาผู้บริหารบิ๊กซีได้เปิดเผยถึงแผนการลงทุนขยาย สาขาในปี 2551 ว่า บิ๊กซีจะใช้งบฯ อีกประมาณ 6,200 ล้านบาท ในการเปิดสาขาเพิ่มอีก 8 แห่งในต่างจังหวัด อาทิ ราชบุรี อยุธยา สุโขทัย เพชรบูรณ์ ชัยภูมิ กระบี่ เป็นต้น และจะทำให้บิ๊กซีมีสาขาเพิ่มจาก 54 สาขาในปีที่ผ่านมาเป็น 62 สาขา ในปีนี้ ส่วนคาร์ฟูร์ก็เตรียมงบฯไว้ประมาณ 3,000 ล้านบาท สำหรับการเปิดสาขา เพิ่มอีก 6-7 แห่ง จากเดิมที่มีสาขาอยู่ประมาณ 25 แห่ง
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0207
-
- Verified User
- โพสต์: 497
- ผู้ติดตาม: 0
modern trade and household
โพสต์ที่ 129
วันที่ 09 มิถุนายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 32 ฉบับที่ 4008 (3208)
ยักษ์ค้าปลีกปูพรม"โมเดลย่อส่วน" คาร์ฟูร์ลุยซูเปอร์ฯไซซ์เล็ก-ท็อปส์โดดชิงทำเลทอง
ซูเปอร์มาร์เก็ตไซซ์เล็กมาแรง "คาร์ฟูร์" ซุ่มเงียบชิมลางโมเดลย่อส่วน แก้ปมกฎเหล็กโซนนิ่ง-กม.ควบคุมอาคาร ใช้พื้นที่แค่ 1,000-2,000 ตร.ม.เปิดพ่วงไปกับพันธมิตร ด้านเจ้าตลาด "ท็อปส์"ชี้เป็นโกลบอลเทรนด์ เตรียมเปิดอีก 9 สาขา ส่วนยักษ์ค้าปลีก "เทสโก้ โลตัสประกาศเดินหน้าขยาย"เอ็กซ์เพรส" ตามแผน เผยเน้นเรื่องทำเลเป็นหลักพร้อมทยอยปรับโหมบริการให้สอดรับความต้องการลูกค้าต่อเนื่อง ค่ายเล็กแม็กซ์แวลู-เก็ตอิททยอยเปิดเพิ่ม
จากข้อกำหนดของกฎหมายผังเมืองหรือโซนิ่ง และกฎหมายควบคุมอาคารที่ทำให้ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ไม่สามารถเปิดสาขาขนาดใหญ่ในเขตตัวเมืองได้ และทำให้หลายๆ รายต้องพยายามปรับตัวด้วยการหาโมเดลใหม่ๆ ของตัวเองมาเปิดให้บริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของผู้บริโภคที่ยังมีความต้องการอยู่มาก
คาร์ฟูร์ซุ่มเปิดโมเดลย่อส่วน
แหล่งข่าวจากวงการค้าปลีก เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ได้หันมาให้ความสำคัญกับการรุกตลาดด้วยการใช้โมเดลใหม่ ด้วยการย่อส่วนร้านค้าปลีกเพื่อเจาะไปตามย่านชุมชนต่างๆ มากขึ้น นอกจากกรณีของเทสโก้ โลตัสที่นำโมเดลที่เป็นร้านสะดวกซื้อ หรือโลตัส เอ็กซ์เพรส และคอมมิวนิตี้มอลล์ อีกค่ายหนึ่งที่น่าจับตามองก็คือ คาร์ฟูร์ ที่เริ่มใช้รูปแบบซูเปอร์มาร์เก็ต ย่อส่วนขยายไปในชุมชนต่างๆ มากขึ้น
ทั้งนี้ ซูเปอร์มาร์เก็ตโมเดลใหม่ของคาร์ฟูร์จะเป็นการย่อส่วนซูเปอร์มาร์เก็ตไซซ์ปกติของคาร์ฟูร์ ใช้พื้นที่ประมาณ 8,000 ตร.ม. ก็ย่อลงมาเหลือเพียง 1,200-2,000 ตร.ม. ด้วยการเปิดพ่วงไปกับมอลล์ในรูปแบบต่างๆ ที่เป็นการเช่าพื้นที่ของผู้ประกอบการที่เป็นพันธมิตร
แหล่งข่าวกล่าวว่า ล่าสุดเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาก็ได้เปิดซูเปอร์มาร์เก็ตที่ย่านอุดมสุข (สวนหลวง ร.9) จากก่อนหน้านี้ที่ได้ทยอยเปิดซูเปอร์มาร์เก็ตไซซ์เล็กนี้ไปบ้างแล้ว เช่น หนองจอก, เกษตร-นวมินทร์ (เปิดในโครงการของสยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนต์) และเปิดมาระยะหนึ่งแล้ว นอกจากนี้ก็มีที่ย่านรังสิต คลอง 3 นครนายก ซึ่งเป็นย่านที่หมู่บ้านจัดสรรมาก "นอกจากนี้ คาร์ฟูร์ยังได้จับมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกับบริษัทพัฒนาอสังหาริทรัพย์ เพื่อจะนำซูเปอร์มาร์เก็ตเข้าไปเปิดในโครงการคอมมิวนิตี้มอลล์อีก 1-2 โครงการ และหนึ่งในนั้นอยู่ระหว่างการยื่นขอใบอนุญาตก็คือ โครงการในซอยสามัคคี" จากการสอบถามเรื่องดังกล่าวไปยัง บริษัท เซ็นคาร์ จำกัด ได้รับคำชี้แจงว่า บริษัทจะมีการเปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในเร็วๆ นี้ จึงยังไม่สามารถจะให้รายละเอียดถึงแนวทางการขยายสาขาดังกล่าวได้
เผยเตรียมเทพัน ล.เปิดเพิ่ม 8 แห่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้นายฟิลิปส์ โบรยานิโก กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซ็นคาร์ จำกัด ได้ให้สัมภาษณ์ถึงแผนการขยายสาขาภายใน 3 ปีนี้คาร์ฟูร์มีแผนจะใช้งบฯ 4,000 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง สำหรับปีนี้จะใช้งบฯ 1,000 ล้านบาท ขยายสาขาเพิ่มอีก 6-8 แห่ง หรือมีสาขาครบ 34-35 สาขา จากที่มีอยู่ประมาณ 30 สาขา
ดร.ดามพ์ สุคนธทรัพย์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด กล่าวว่า สำหรับแนวทางของเทสโก้ โลตัสหลักๆ จะยังคงใช้โมเดลโลตัส เอ็กซ์เพรสเพื่อขยายสาขาไปตามย่านชุมชนต่างๆ ตามแผนที่วางไว้ พร้อมกันนี้ก็จะมีการปรับปรุงรูปแบบร้านและบริการเพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคมากขึ้น ที่สำคัญก็คือการเปิดสาขาของโลตัส เอ็กซ์เพรสนั้นจะเน้นเรื่องของทำเลเป็นหลัก
เจ้าตลาด ท็อปส์ รุกต่อเนื่อง
นางสาวภัทรพร เพ็ญประพัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการตลาด บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด แสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า การปรับตัวของ ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ที่หันมา เปิดไซซ์เล็กมากขึ้นดังกล่าวถือเป็นโกลบอลเทรนด์ และผู้ประกอบการค้าปลีก รายใหญ่จะต้องมีรูปแบบหรือโมเดลที่สามารถปรับเปลี่ยนหรือนำมาประยุกต์ใช้ในแต่ละประเทศได้ เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในแต่ละประเทศ
การที่ค้าปลีกรายใหญ่ในเมืองไทยเริ่มหันมาเปิดสาขาที่เป็นไซซ์เล็กมากขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากการขยายสาขาขนาดใหญ่ในรูปของไฮเปอร์มาร์เก็ตนั้นทำได้ยากขึ้นในแง่ของการหาพื้นที่ หรือพื้นที่ขนาด ใหญ่เริ่มหมด ที่สำคัญคือ ตลาดค้าปลีกเมืองไทยนั้นเป็นตลาดที่มีการแข่งขันที่สูง
"สำหรับท็อปส์ ตามแผนปีนี้จะเปิดสาขาเพิ่มอีก 10 สาขา จากปัจจุบันที่มีสาขามากกว่า 100 สาขา และเพิ่งเปิดไป 1 สาขา ดังนั้นอีก 9 สาขาที่เหลือจะทยอยเปิดในช่วงไตรมาสที่ 3-4 นี้ โดยเฉพาะการเปิดพ่วงไปรับศูนย์การค้าของเซ็นทรัล และไม่จำกัดรูปแบบว่าจะเป็นสาขาใหญ่-เล็ก ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่เป็นสำคัญ" นางสาวภัทรพรกล่าว
รายเล็กจับตาการแข่งขันระอุ
ด้านแหล่งข่าวจากบริษัท อิออน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารซูเปอร์มาร์เก็ต แม็กซ์แวลู กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากข้อกำหนดของกฎหมายโซนนิ่งที่ทำให้หาสถานที่ได้ยากขึ้น เป็นตัวแปรหลักที่ทำให้ผู้ประกอบการหลายๆ รายหันมาใช้โมเดลย่อส่วนในการขยายสาขาในลักษณะดังกล่าวมากขึ้น และเชื่อว่าแนวโน้มการแข่งขันของธุรกิจ ซูเปอร์มาร์เก็ตจะมีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะย่านชุมชนหรือหมู่บ้านจัดสรร
สำหรับแนวทางการดำเนินงานของแม็กซ์แวลู ในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะเปิดสาขาเพิ่ม 4 แห่ง ทั้งที่มีขนาด 1,000 ตร.ม. และ 2,000 ตร.ม. จากปัจจุบันที่มีสาขาเดิม 8 แห่ง และจะเน้นในเรื่องของอาหารสด รวมทั้งจะนำสินค้าเฮาส์แบรนด์ชื่อ ท็อปแวลู เข้ามาทำตลาดเพิ่ม และตั้งเป้าว่าภายใน ปี 2553 แม็กซ์แวลูจะมีสาขาไม่น้อยกว่า 26 สาขา
ขณะที่แหล่งข่าวจากบริษัท สรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง จำกัด กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทหันมาทดลองเปิดมินิซูเปอร์มาร์เก็ตรูปแบบใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ "ซูเปอร์มาร์เก็ต อิน คอมมิวนิตี้มอลล์" ชื่อ "เก็ท อิท" ตั้งตามแหล่งชุมชนชานเมือง 2 สาขา ที่ราชพฤกษ์และสัมมากร ประสบความสำเร็จน่าพอใจเนื่องจากเก็ท อิทมีความแตกต่างจากร้านสะดวกซื้อทั่วไป ตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน โดยมีสินค้าอุปโภคบริโภคครบครัน เหมือนซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่แต่ย่อส่วนยกมาตั้งหน้าหมู่บ้าน และมีทั้งแผนกอาหารประกอบด้วยผักสด ผลไม้ อาหารสำเร็จรูป อาหารพร้อมปรุง สินค้าเทกโฮม ฯลฯ
"ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาธนาคารติดตั้งตู้เอทีเอ็ม เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ที่เข้ามาใช้บริการ และภายในไตรมาส 4 นี้วางแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 3-5 สาขา อาทิ สวนหลวง, พัฒนาการ ซอย 20, มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา แต่ละแห่งจะมีพื้นที่ประมาณ 1,600 ตร.ม.
ยักษ์ค้าปลีกปูพรม"โมเดลย่อส่วน" คาร์ฟูร์ลุยซูเปอร์ฯไซซ์เล็ก-ท็อปส์โดดชิงทำเลทอง
ซูเปอร์มาร์เก็ตไซซ์เล็กมาแรง "คาร์ฟูร์" ซุ่มเงียบชิมลางโมเดลย่อส่วน แก้ปมกฎเหล็กโซนนิ่ง-กม.ควบคุมอาคาร ใช้พื้นที่แค่ 1,000-2,000 ตร.ม.เปิดพ่วงไปกับพันธมิตร ด้านเจ้าตลาด "ท็อปส์"ชี้เป็นโกลบอลเทรนด์ เตรียมเปิดอีก 9 สาขา ส่วนยักษ์ค้าปลีก "เทสโก้ โลตัสประกาศเดินหน้าขยาย"เอ็กซ์เพรส" ตามแผน เผยเน้นเรื่องทำเลเป็นหลักพร้อมทยอยปรับโหมบริการให้สอดรับความต้องการลูกค้าต่อเนื่อง ค่ายเล็กแม็กซ์แวลู-เก็ตอิททยอยเปิดเพิ่ม
จากข้อกำหนดของกฎหมายผังเมืองหรือโซนิ่ง และกฎหมายควบคุมอาคารที่ทำให้ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ไม่สามารถเปิดสาขาขนาดใหญ่ในเขตตัวเมืองได้ และทำให้หลายๆ รายต้องพยายามปรับตัวด้วยการหาโมเดลใหม่ๆ ของตัวเองมาเปิดให้บริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของผู้บริโภคที่ยังมีความต้องการอยู่มาก
คาร์ฟูร์ซุ่มเปิดโมเดลย่อส่วน
แหล่งข่าวจากวงการค้าปลีก เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ได้หันมาให้ความสำคัญกับการรุกตลาดด้วยการใช้โมเดลใหม่ ด้วยการย่อส่วนร้านค้าปลีกเพื่อเจาะไปตามย่านชุมชนต่างๆ มากขึ้น นอกจากกรณีของเทสโก้ โลตัสที่นำโมเดลที่เป็นร้านสะดวกซื้อ หรือโลตัส เอ็กซ์เพรส และคอมมิวนิตี้มอลล์ อีกค่ายหนึ่งที่น่าจับตามองก็คือ คาร์ฟูร์ ที่เริ่มใช้รูปแบบซูเปอร์มาร์เก็ต ย่อส่วนขยายไปในชุมชนต่างๆ มากขึ้น
ทั้งนี้ ซูเปอร์มาร์เก็ตโมเดลใหม่ของคาร์ฟูร์จะเป็นการย่อส่วนซูเปอร์มาร์เก็ตไซซ์ปกติของคาร์ฟูร์ ใช้พื้นที่ประมาณ 8,000 ตร.ม. ก็ย่อลงมาเหลือเพียง 1,200-2,000 ตร.ม. ด้วยการเปิดพ่วงไปกับมอลล์ในรูปแบบต่างๆ ที่เป็นการเช่าพื้นที่ของผู้ประกอบการที่เป็นพันธมิตร
แหล่งข่าวกล่าวว่า ล่าสุดเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาก็ได้เปิดซูเปอร์มาร์เก็ตที่ย่านอุดมสุข (สวนหลวง ร.9) จากก่อนหน้านี้ที่ได้ทยอยเปิดซูเปอร์มาร์เก็ตไซซ์เล็กนี้ไปบ้างแล้ว เช่น หนองจอก, เกษตร-นวมินทร์ (เปิดในโครงการของสยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนต์) และเปิดมาระยะหนึ่งแล้ว นอกจากนี้ก็มีที่ย่านรังสิต คลอง 3 นครนายก ซึ่งเป็นย่านที่หมู่บ้านจัดสรรมาก "นอกจากนี้ คาร์ฟูร์ยังได้จับมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกับบริษัทพัฒนาอสังหาริทรัพย์ เพื่อจะนำซูเปอร์มาร์เก็ตเข้าไปเปิดในโครงการคอมมิวนิตี้มอลล์อีก 1-2 โครงการ และหนึ่งในนั้นอยู่ระหว่างการยื่นขอใบอนุญาตก็คือ โครงการในซอยสามัคคี" จากการสอบถามเรื่องดังกล่าวไปยัง บริษัท เซ็นคาร์ จำกัด ได้รับคำชี้แจงว่า บริษัทจะมีการเปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในเร็วๆ นี้ จึงยังไม่สามารถจะให้รายละเอียดถึงแนวทางการขยายสาขาดังกล่าวได้
เผยเตรียมเทพัน ล.เปิดเพิ่ม 8 แห่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้นายฟิลิปส์ โบรยานิโก กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซ็นคาร์ จำกัด ได้ให้สัมภาษณ์ถึงแผนการขยายสาขาภายใน 3 ปีนี้คาร์ฟูร์มีแผนจะใช้งบฯ 4,000 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง สำหรับปีนี้จะใช้งบฯ 1,000 ล้านบาท ขยายสาขาเพิ่มอีก 6-8 แห่ง หรือมีสาขาครบ 34-35 สาขา จากที่มีอยู่ประมาณ 30 สาขา
ดร.ดามพ์ สุคนธทรัพย์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด กล่าวว่า สำหรับแนวทางของเทสโก้ โลตัสหลักๆ จะยังคงใช้โมเดลโลตัส เอ็กซ์เพรสเพื่อขยายสาขาไปตามย่านชุมชนต่างๆ ตามแผนที่วางไว้ พร้อมกันนี้ก็จะมีการปรับปรุงรูปแบบร้านและบริการเพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคมากขึ้น ที่สำคัญก็คือการเปิดสาขาของโลตัส เอ็กซ์เพรสนั้นจะเน้นเรื่องของทำเลเป็นหลัก
เจ้าตลาด ท็อปส์ รุกต่อเนื่อง
นางสาวภัทรพร เพ็ญประพัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการตลาด บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด แสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า การปรับตัวของ ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ที่หันมา เปิดไซซ์เล็กมากขึ้นดังกล่าวถือเป็นโกลบอลเทรนด์ และผู้ประกอบการค้าปลีก รายใหญ่จะต้องมีรูปแบบหรือโมเดลที่สามารถปรับเปลี่ยนหรือนำมาประยุกต์ใช้ในแต่ละประเทศได้ เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในแต่ละประเทศ
การที่ค้าปลีกรายใหญ่ในเมืองไทยเริ่มหันมาเปิดสาขาที่เป็นไซซ์เล็กมากขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากการขยายสาขาขนาดใหญ่ในรูปของไฮเปอร์มาร์เก็ตนั้นทำได้ยากขึ้นในแง่ของการหาพื้นที่ หรือพื้นที่ขนาด ใหญ่เริ่มหมด ที่สำคัญคือ ตลาดค้าปลีกเมืองไทยนั้นเป็นตลาดที่มีการแข่งขันที่สูง
"สำหรับท็อปส์ ตามแผนปีนี้จะเปิดสาขาเพิ่มอีก 10 สาขา จากปัจจุบันที่มีสาขามากกว่า 100 สาขา และเพิ่งเปิดไป 1 สาขา ดังนั้นอีก 9 สาขาที่เหลือจะทยอยเปิดในช่วงไตรมาสที่ 3-4 นี้ โดยเฉพาะการเปิดพ่วงไปรับศูนย์การค้าของเซ็นทรัล และไม่จำกัดรูปแบบว่าจะเป็นสาขาใหญ่-เล็ก ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่เป็นสำคัญ" นางสาวภัทรพรกล่าว
รายเล็กจับตาการแข่งขันระอุ
ด้านแหล่งข่าวจากบริษัท อิออน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารซูเปอร์มาร์เก็ต แม็กซ์แวลู กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากข้อกำหนดของกฎหมายโซนนิ่งที่ทำให้หาสถานที่ได้ยากขึ้น เป็นตัวแปรหลักที่ทำให้ผู้ประกอบการหลายๆ รายหันมาใช้โมเดลย่อส่วนในการขยายสาขาในลักษณะดังกล่าวมากขึ้น และเชื่อว่าแนวโน้มการแข่งขันของธุรกิจ ซูเปอร์มาร์เก็ตจะมีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะย่านชุมชนหรือหมู่บ้านจัดสรร
สำหรับแนวทางการดำเนินงานของแม็กซ์แวลู ในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะเปิดสาขาเพิ่ม 4 แห่ง ทั้งที่มีขนาด 1,000 ตร.ม. และ 2,000 ตร.ม. จากปัจจุบันที่มีสาขาเดิม 8 แห่ง และจะเน้นในเรื่องของอาหารสด รวมทั้งจะนำสินค้าเฮาส์แบรนด์ชื่อ ท็อปแวลู เข้ามาทำตลาดเพิ่ม และตั้งเป้าว่าภายใน ปี 2553 แม็กซ์แวลูจะมีสาขาไม่น้อยกว่า 26 สาขา
ขณะที่แหล่งข่าวจากบริษัท สรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง จำกัด กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทหันมาทดลองเปิดมินิซูเปอร์มาร์เก็ตรูปแบบใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ "ซูเปอร์มาร์เก็ต อิน คอมมิวนิตี้มอลล์" ชื่อ "เก็ท อิท" ตั้งตามแหล่งชุมชนชานเมือง 2 สาขา ที่ราชพฤกษ์และสัมมากร ประสบความสำเร็จน่าพอใจเนื่องจากเก็ท อิทมีความแตกต่างจากร้านสะดวกซื้อทั่วไป ตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน โดยมีสินค้าอุปโภคบริโภคครบครัน เหมือนซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่แต่ย่อส่วนยกมาตั้งหน้าหมู่บ้าน และมีทั้งแผนกอาหารประกอบด้วยผักสด ผลไม้ อาหารสำเร็จรูป อาหารพร้อมปรุง สินค้าเทกโฮม ฯลฯ
"ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาธนาคารติดตั้งตู้เอทีเอ็ม เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ที่เข้ามาใช้บริการ และภายในไตรมาส 4 นี้วางแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 3-5 สาขา อาทิ สวนหลวง, พัฒนาการ ซอย 20, มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา แต่ละแห่งจะมีพื้นที่ประมาณ 1,600 ตร.ม.
-
- Verified User
- โพสต์: 497
- ผู้ติดตาม: 0
modern trade and household
โพสต์ที่ 130
ถกแก้นิยามธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง ปัดฝุ่นร่างพ.ร.บ.ฉบับใหม่ใช้"ยอดขาย"อุดช่องโหว่
หนึ่งในภารกิจที่นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญคือการผลักดันให้มีการแก้ไขปัญหาธุรกิจค้าปลีก ซึ่งเป็นปัญหาที่สั่งสมกัน มานาน โดยเฉพาะการคลอด พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง พ.ศ. ...ซึ่งหลายรัฐบาลมีความพยายามยกร่างแล้ว ยกร่างอีกนับจากปี 2540 แต่ในที่สุดก็แท้งก่อนคลอดทุกที จนทำให้สถิติการขยายสาขา ของธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่พุ่งพรวดมาตลอด ในระยะเวลา 7 ปีขยายไปกว่า 100% จากปี 2542 มี 189,360 สาขา เพิ่มเป็น 490,449 สาขา ในปี 2551 ทั้งนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้แต่งตั้งคณะกรรมการศึกษาและพัฒนาธุรกิจค้าปลีก ค้าส่ง ให้มีนายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายในเป็นประธาน และกำหนดกรอบเวลาการทำงาน 2 เดือนภายในพฤศจิกายน ทางคณะกรรมการจึงได้ประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา
แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า ที่ประชุมได้หารือถึงรายละเอียดของร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีกฉบับใหม่ โดยกรรมการในที่ประชุมหลายคนได้ให้ความเห็นว่า จำเป็นต้องปรับร่างกฎหมายใหม่ให้แตกต่างไปจากร่างเดิม จึงมีแนวทางที่จะร่างคำนิยามใหม่ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของธุรกิจที่เปลี่ยนไป เพราะเห็นว่า ปัญหาดังกล่าวได้ลุกลามไปถึงธุรกิจตลาดสด ซัพพลายเออร์จนเป็นลูกโซ่ เห็นได้ชัดว่า เพียง 7 ปีนับจากปี 2542 ธุรกิจโมเดิร์นเทรดมีการปรับรูปโฉม ชื่อ ขนาดพื้นที่ และหน้าตาจนร่างกฎหมายที่มีอยู่อาจจะตามไม่ทัน ดังนั้นหากให้กำหนดประเภทแบบร่างเดิมอาจจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน จึงต้องหาเกณฑ์ใหม่เพื่อให้ตามทันธุรกิจ
ประเด็นแรกที่ต้องปรับปรุง คือ การกำหนดนิยามของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งอาจจะต้องระบุให้ชัดเจนลงไปในตัวกฎหมายเลยว่าธุรกิจค้าปลีกที่อยู่ภายใต้บทบัญญัตินี้มีลักษณะอย่างไร และใช้อะไรเป็นเกณฑ์วัด เพราะหากรอให้คณะกรรมการกลางกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าเป็นผู้ออกประกาศกระทรวงอย่างเดิม อาจจะต้องใช้เวลานานจน พ.ร.บ.ค้าปลีกจะกลายเป็นแค่เสือ กระดาษไม่มีเขี้ยวเล็บ
เบื้องต้นมีกรรมการบางคนเสนอให้ใช้เกณฑ์จาก "ยอดขาย" ซึ่งห้างค้าปลีกบางรายเห็นด้วยกับแนวคิดนี้ เพราะการแข่งขันในระนาบเดียวกันมีความเหลื่อมล้ำ ได้เปรียบเสียเปรียบกันมาก ขณะเดียวกัน ต้องจัดโครงสร้างตลาดของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งใหม่ ทั้งขนาดของธุรกิจ และเงื่อนไขต่างๆ ตามประเภทธุรกิจ เช่น สถานที่ตั้ง ระยะห่างจากชุมชน วันเวลาเปิด-ปิด สถานที่จอดรถ การรักษาสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันต้องมีการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มงวด เช่น พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า เพื่อสร้างความเป็นธรรมระหว่างค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่กับโชห่วย และผู้ผลิตสินค้า (ซัพพลายเออร์) การใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ในการดูแลด้านราคา
ด้านนายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 4 ชุด 1) คณะอนุกรรมการศึกษากฎหมายค้าปลีกค้าส่ง ซึ่งมีนายยรรยง พวงราชเป็นประธาน 2)คณะอนุกรรมการศึกษาพฤติกรรมการค้าปลีกค้าส่ง ซึ่งมีนายรัตน สุวรรณ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯประธานคณะกรรมการพัฒนาธุรกิจ กรรมการองค์การเภสัชกรรม และประธานกรรมการ บริษัท มงคลเศรษฐีเอสเตท จำกัด เป็นประธาน
3)คณะอนุกรรมการศึกษาการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจค้าปลีกดั้งเดิม (โชห่วยและตลาดสด) โดยมีนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเป็นประธาน และชุดที่ 4)คณะอนุกรรมการศึกษาข้อมูล สถานภาพธุรกิจค้าปลีกค้าส่งซึ่งมีตัวแทนจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเป็นประธาน
http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0203
หนึ่งในภารกิจที่นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญคือการผลักดันให้มีการแก้ไขปัญหาธุรกิจค้าปลีก ซึ่งเป็นปัญหาที่สั่งสมกัน มานาน โดยเฉพาะการคลอด พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง พ.ศ. ...ซึ่งหลายรัฐบาลมีความพยายามยกร่างแล้ว ยกร่างอีกนับจากปี 2540 แต่ในที่สุดก็แท้งก่อนคลอดทุกที จนทำให้สถิติการขยายสาขา ของธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่พุ่งพรวดมาตลอด ในระยะเวลา 7 ปีขยายไปกว่า 100% จากปี 2542 มี 189,360 สาขา เพิ่มเป็น 490,449 สาขา ในปี 2551 ทั้งนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้แต่งตั้งคณะกรรมการศึกษาและพัฒนาธุรกิจค้าปลีก ค้าส่ง ให้มีนายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายในเป็นประธาน และกำหนดกรอบเวลาการทำงาน 2 เดือนภายในพฤศจิกายน ทางคณะกรรมการจึงได้ประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา
แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า ที่ประชุมได้หารือถึงรายละเอียดของร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีกฉบับใหม่ โดยกรรมการในที่ประชุมหลายคนได้ให้ความเห็นว่า จำเป็นต้องปรับร่างกฎหมายใหม่ให้แตกต่างไปจากร่างเดิม จึงมีแนวทางที่จะร่างคำนิยามใหม่ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของธุรกิจที่เปลี่ยนไป เพราะเห็นว่า ปัญหาดังกล่าวได้ลุกลามไปถึงธุรกิจตลาดสด ซัพพลายเออร์จนเป็นลูกโซ่ เห็นได้ชัดว่า เพียง 7 ปีนับจากปี 2542 ธุรกิจโมเดิร์นเทรดมีการปรับรูปโฉม ชื่อ ขนาดพื้นที่ และหน้าตาจนร่างกฎหมายที่มีอยู่อาจจะตามไม่ทัน ดังนั้นหากให้กำหนดประเภทแบบร่างเดิมอาจจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน จึงต้องหาเกณฑ์ใหม่เพื่อให้ตามทันธุรกิจ
ประเด็นแรกที่ต้องปรับปรุง คือ การกำหนดนิยามของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งอาจจะต้องระบุให้ชัดเจนลงไปในตัวกฎหมายเลยว่าธุรกิจค้าปลีกที่อยู่ภายใต้บทบัญญัตินี้มีลักษณะอย่างไร และใช้อะไรเป็นเกณฑ์วัด เพราะหากรอให้คณะกรรมการกลางกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าเป็นผู้ออกประกาศกระทรวงอย่างเดิม อาจจะต้องใช้เวลานานจน พ.ร.บ.ค้าปลีกจะกลายเป็นแค่เสือ กระดาษไม่มีเขี้ยวเล็บ
เบื้องต้นมีกรรมการบางคนเสนอให้ใช้เกณฑ์จาก "ยอดขาย" ซึ่งห้างค้าปลีกบางรายเห็นด้วยกับแนวคิดนี้ เพราะการแข่งขันในระนาบเดียวกันมีความเหลื่อมล้ำ ได้เปรียบเสียเปรียบกันมาก ขณะเดียวกัน ต้องจัดโครงสร้างตลาดของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งใหม่ ทั้งขนาดของธุรกิจ และเงื่อนไขต่างๆ ตามประเภทธุรกิจ เช่น สถานที่ตั้ง ระยะห่างจากชุมชน วันเวลาเปิด-ปิด สถานที่จอดรถ การรักษาสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันต้องมีการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มงวด เช่น พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า เพื่อสร้างความเป็นธรรมระหว่างค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่กับโชห่วย และผู้ผลิตสินค้า (ซัพพลายเออร์) การใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ในการดูแลด้านราคา
ด้านนายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 4 ชุด 1) คณะอนุกรรมการศึกษากฎหมายค้าปลีกค้าส่ง ซึ่งมีนายยรรยง พวงราชเป็นประธาน 2)คณะอนุกรรมการศึกษาพฤติกรรมการค้าปลีกค้าส่ง ซึ่งมีนายรัตน สุวรรณ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯประธานคณะกรรมการพัฒนาธุรกิจ กรรมการองค์การเภสัชกรรม และประธานกรรมการ บริษัท มงคลเศรษฐีเอสเตท จำกัด เป็นประธาน
3)คณะอนุกรรมการศึกษาการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจค้าปลีกดั้งเดิม (โชห่วยและตลาดสด) โดยมีนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเป็นประธาน และชุดที่ 4)คณะอนุกรรมการศึกษาข้อมูล สถานภาพธุรกิจค้าปลีกค้าส่งซึ่งมีตัวแทนจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเป็นประธาน
http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0203
-
- Verified User
- โพสต์: 497
- ผู้ติดตาม: 0
modern trade and household
โพสต์ที่ 131
'จุดเปลี่ยน' โมเดิร์นเทรดสู่ยุคโมโนโพลีจริงหรือ? เมื่อพาณิชย์ เลือกข้าง...โชวห่วย
ที่สุดแล้วผู้ประกอบการค้าปลีกสมัยใหม่ หรือโมเดิร์นเทรด (modern trade)ก็ต้องยอมรับว่าคงไม่สามารถต้านแรงดันของกระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องการออกกฎหมายควบคุมการทำธุรกิจของค้าปลีกสมัยใหม่ ซึ่งจะว่าไปแล้ว ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง พ.ศ. ... ที่ถูกนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่อาจจะบอกได้ว่าเป็นพ.ร.บ. ที่คุ้นเคยกับครม.มากที่สุดฉบับหนึ่ง
ด้วยวัตถุประสงค์ที่ต้องการล้อมกรอบโมเดิร์นเทรด ที่เดินหน้าเข้ามาขยายการลงทุนในประเทศอย่างหนาแน่น ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมาจนส่งผลกระทบต่อร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม (traditional trade) หรือโชวห่วย ซึ่งล้วนเป็นผู้ประกอบการรากหญ้า และเชื่อว่าการมีกฎหมายควบคุมการขยายสาขา และควบคุมการทำธุรกิจของโมเดิร์นเทรด จะช่วยลดความขัดแย้งและปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ขณะที่บางส่วนมองว่า กฎหมายฉบับนี้ ซึ่งใช้ระยะเวลาในการศึกษามายาวนานเกือบ 10 ปี เมื่อมีผลบังคับใช้จะเข้าตำรา "กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้" หรือไม่...
โมเดิร์นเทรดโต โชวห่วยตก
จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ ล่าสุดย้ำถึงความสำคัญของธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ในเมืองไทย ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 14% ของGDP สูงเป็นอันดับ 2 รองจากภาคอุตสาหกรรม มีการจ้างแรงงานมากถึง 6 ล้านคน เป็นช่องทางการจำหน่ายสินค้าใหญ่ที่สุดที่คนไทยต้องพึ่งพา และอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้บทบาทของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งต้องถูกจับตามอง เพราะเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจทำให้เกิดการพัฒนา เติบโตของประเทศ
การเข้ามาของโมเดิร์นเทรด ทำให้สัดส่วนของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งเกิดการเปลี่ยนแปลง จากเดิมที่โมเดลของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งในเมืองไทย เกือบ 100% เป็นการจำหน่ายผ่านร้านโชวห่วย แต่ปัจจุบันพบว่า เหลือเพียง 60% เท่านั้น ส่วนอีก 40% เป็นการจำหน่ายผ่านร้านโมเดิร์น
เทรด ทั้ง 8 ประเภท ได้แก่ ห้างสรรพสินค้า (department Store) ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (super center) ไฮเปอร์มาร์เก็ต (hypermarket)หรือดิสเคาต์สโตร์ (discount store) ซูเปอร์มาร์เก็ต (supermarket) แคชแอนด์แครี่ (cash & carry) ร้านสะดวกซื้อ (convenience store) ร้านค้าเฉพาะอย่าง (specialty store) และแคติกอรี่ คิลเลอร์ (category killer) และคาดว่าในอนาคตอันใกล้สัดส่วนจะเปลี่ยนแปลงไปจนมีตัวเลข 50: 50 ซึ่งเป็นสัญญาณอันเลวร้ายต่อร้านโชวห่วยอย่างที่สุด
เร่งพัฒนายกระดับโชวห่วย
โมเดลของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ร้านโชวห่วยเองต่างเร่งปรับตัวให้ทันท่วงที แต่ก็มีจำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นด้วยข้อจำกัดหลายประการทั้งเรื่องของแนวคิด และเงินลงทุน เมื่อเทียบกับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของโมเดิร์นเทรด ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาใช้บริการในโมเดิร์นเทรดมากขึ้น
แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามส่งเสริม สนับสนุน เพื่อยกระดับให้ร้านโชวห่วยมีศักยภาพ ภาพลักษณ์เพื่อดึงดูดผู้บริโภคให้เข้าไปใช้บริการ แต่ดูเหมือนโครงการต่างๆ กลับไม่ได้รับการตอบสนองเท่าที่ควร เพราะที่ผ่านมาร้านโชวห่วยเหล่านี้ไม่ได้ถูกจัดระเบียบอย่างเป็นระบบ ไม่ต้องพูดเรื่องของตัวเลขทางบัญชี การเงิน ดังนั้นหากต้องเข้าสู่ระบบที่มีเรื่องของภาษี เกี่ยวข้องจึงเป็นสิ่งที่ร้านโชวห่วยระแวง และระวังมากที่สุด การพยายามช่วยเหลือด้วยแนวทางต่างๆ จึงไม่ประสบความสำเร็จ
ขณะที่ฟากหนึ่งพยายามเร่งพัฒนา ยกระดับร้านโชวห่วย อีกฟากก็พยายามชะลอการขยายตัวของโมเดิร์นเทรด ด้วยการขอความร่วมมือ ออกมาตรการ จนถึงขั้นออกกฎหมายเพื่อจำกัดการขยายพื้นที่การให้บริการ ที่นับวันจะเข้าถึงแหล่งชุมชนเล็กๆ ซึ่งเป็นพื้นที่ทำมาหากินของร้านโชวห่วย ทำให้หนึ่งในสาระสำคัญของพ.ร.บ. ฉบับนี้จึงเป็นการกำหนดพื้นที่การให้บริการ เพื่อรักษาสมดุลของร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมและร้านค้าปลีกสมัยใหม่นั่นเอง
พ.ร.บ.ค้าปลีก "จุดเปลี่ยน"
การมีพ.ร.บ.ค้าปลีกค้าส่ง จะช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างร้านโชวห่วยกับโมเดิร์นเทรด ได้จริงหรือไม่ .. ยังไม่มีใครตอบได้ แต่คนในวงการค้าปลีกล้วนเชื่อว่า "ไม่ได้ อย่างแน่นอน" และหนึ่งในนั้นก็มี นายธนภณ ตังคณานันท์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทยด้วย
ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ซึ่งมีสมาชิกเป็นบริษัท และองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการค้าปลีกมากกว่า 200 ราย กล่าวว่า การมี พ.ร.บ ค้าปลีกค้าส่ง จะส่งผลกระทบด้านลบต่อร้านโชวห่วย และผู้บริโภคมากกว่า เพราะเมื่อพ.ร.บ. ฉบับนี้มีผลบังคับใช้ จะทำให้กลไกตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างหนัก เมื่อมีการจำกัดการเกิดของค้าปลีกในรูปแบบต่างๆ ซึ่งปัจจุบันที่เปิดเสรี ทำให้เกิดการแข่งขันของร้านค้า ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดคือ "ผู้บริโภค"
อีกหนึ่งผู้บริหารในวงการค้าปลีก บอกว่า การเปิดโอกาสให้โมเดิร์นเทรด ซึ่งมีความรู้ ความชำนาญเฉพาะในด้านค้าปลีก มาช่วยพัฒนา ยกระดับโชวห่วย เช่นเดียวกับที่ผ่านมาจะทำให้ผู้ประกอบการร้านโชวห่วยเกิดแนวคิดที่ดี และถูกต้องในการกล้าที่จะเปลี่ยน กล้าที่จะยอมรับ และพัฒนาตัวเอง การจัดอบรมให้ความรู้ จะทำให้ร้านโชวห่วยเข้าใจและเข้าถึง มีกรณีศึกษาหรือตัวอย่างในร้านที่ผ่านประสบการณ์มาบอกเล่า ทำให้เขาไม่กลัว ไม่กังวล และนำไปปรับปรุงใช้กับกิจการของตัวเองได้ ...ไม่ใช่เอาคนที่ไม่มีประสบการณ์ ไม่เคยทำร้านค้าไปบอกเขา อธิบายกันอย่างไรก็ไม่เข้าใจ เพราะพูดกันคนละภาษา "สิ่งสำคัญที่จะทำให้เกิด "จุดเปลี่ยน" ก็คือการผูกขาด เพราะยิ่งเหลือผู้ประกอบการรายใหญ่น้อยราย การทำตลาดก็จะตกอยู่กับผู้ที่ใหญ่ที่สุด มีอำนาจต่อรองมากที่สุด การจะเห็นจัดแคมเปญ ลดกระหน่ำ ลดแล้วลดอีกเพื่อแข่งขันกันดึงลูกค้าคงไม่มีให้เห็นอีกต่อไป เพราะถึงเวลานั้น บทบาทจะแตกต่างจากทุกวันนี้ ที่ลูกค้าคนเดียวแต่ถูกรุมทึ้ง รุกเร้าให้เป็นสมาชิกให้มาใช้บริการจากห้างใหญ่ 3-4 ห้าง แต่ในอนาคตที่เหลือเพียง 2-3 ราย คุณต้องเป็นฝ่ายวิ่งไปหาเขา เพื่อใช้บริการเขาก็ได้ ซึ่งเป็นกลไกตลาดง่ายๆ ที่มีตัวอย่างให้เห็นอยู่แล้ว" แต่ทั้งหมดจะเป็นจริงดังข้างต้นหรือไม่นั้นคงต้องรอดูต่อไป เพราะเวลาเท่านั้นพิสูจน์ได้...
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2372
ที่สุดแล้วผู้ประกอบการค้าปลีกสมัยใหม่ หรือโมเดิร์นเทรด (modern trade)ก็ต้องยอมรับว่าคงไม่สามารถต้านแรงดันของกระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องการออกกฎหมายควบคุมการทำธุรกิจของค้าปลีกสมัยใหม่ ซึ่งจะว่าไปแล้ว ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง พ.ศ. ... ที่ถูกนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่อาจจะบอกได้ว่าเป็นพ.ร.บ. ที่คุ้นเคยกับครม.มากที่สุดฉบับหนึ่ง
ด้วยวัตถุประสงค์ที่ต้องการล้อมกรอบโมเดิร์นเทรด ที่เดินหน้าเข้ามาขยายการลงทุนในประเทศอย่างหนาแน่น ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมาจนส่งผลกระทบต่อร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม (traditional trade) หรือโชวห่วย ซึ่งล้วนเป็นผู้ประกอบการรากหญ้า และเชื่อว่าการมีกฎหมายควบคุมการขยายสาขา และควบคุมการทำธุรกิจของโมเดิร์นเทรด จะช่วยลดความขัดแย้งและปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ขณะที่บางส่วนมองว่า กฎหมายฉบับนี้ ซึ่งใช้ระยะเวลาในการศึกษามายาวนานเกือบ 10 ปี เมื่อมีผลบังคับใช้จะเข้าตำรา "กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้" หรือไม่...
โมเดิร์นเทรดโต โชวห่วยตก
จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ ล่าสุดย้ำถึงความสำคัญของธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ในเมืองไทย ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 14% ของGDP สูงเป็นอันดับ 2 รองจากภาคอุตสาหกรรม มีการจ้างแรงงานมากถึง 6 ล้านคน เป็นช่องทางการจำหน่ายสินค้าใหญ่ที่สุดที่คนไทยต้องพึ่งพา และอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้บทบาทของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งต้องถูกจับตามอง เพราะเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจทำให้เกิดการพัฒนา เติบโตของประเทศ
การเข้ามาของโมเดิร์นเทรด ทำให้สัดส่วนของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งเกิดการเปลี่ยนแปลง จากเดิมที่โมเดลของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งในเมืองไทย เกือบ 100% เป็นการจำหน่ายผ่านร้านโชวห่วย แต่ปัจจุบันพบว่า เหลือเพียง 60% เท่านั้น ส่วนอีก 40% เป็นการจำหน่ายผ่านร้านโมเดิร์น
เทรด ทั้ง 8 ประเภท ได้แก่ ห้างสรรพสินค้า (department Store) ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (super center) ไฮเปอร์มาร์เก็ต (hypermarket)หรือดิสเคาต์สโตร์ (discount store) ซูเปอร์มาร์เก็ต (supermarket) แคชแอนด์แครี่ (cash & carry) ร้านสะดวกซื้อ (convenience store) ร้านค้าเฉพาะอย่าง (specialty store) และแคติกอรี่ คิลเลอร์ (category killer) และคาดว่าในอนาคตอันใกล้สัดส่วนจะเปลี่ยนแปลงไปจนมีตัวเลข 50: 50 ซึ่งเป็นสัญญาณอันเลวร้ายต่อร้านโชวห่วยอย่างที่สุด
เร่งพัฒนายกระดับโชวห่วย
โมเดลของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ร้านโชวห่วยเองต่างเร่งปรับตัวให้ทันท่วงที แต่ก็มีจำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นด้วยข้อจำกัดหลายประการทั้งเรื่องของแนวคิด และเงินลงทุน เมื่อเทียบกับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของโมเดิร์นเทรด ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาใช้บริการในโมเดิร์นเทรดมากขึ้น
แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามส่งเสริม สนับสนุน เพื่อยกระดับให้ร้านโชวห่วยมีศักยภาพ ภาพลักษณ์เพื่อดึงดูดผู้บริโภคให้เข้าไปใช้บริการ แต่ดูเหมือนโครงการต่างๆ กลับไม่ได้รับการตอบสนองเท่าที่ควร เพราะที่ผ่านมาร้านโชวห่วยเหล่านี้ไม่ได้ถูกจัดระเบียบอย่างเป็นระบบ ไม่ต้องพูดเรื่องของตัวเลขทางบัญชี การเงิน ดังนั้นหากต้องเข้าสู่ระบบที่มีเรื่องของภาษี เกี่ยวข้องจึงเป็นสิ่งที่ร้านโชวห่วยระแวง และระวังมากที่สุด การพยายามช่วยเหลือด้วยแนวทางต่างๆ จึงไม่ประสบความสำเร็จ
ขณะที่ฟากหนึ่งพยายามเร่งพัฒนา ยกระดับร้านโชวห่วย อีกฟากก็พยายามชะลอการขยายตัวของโมเดิร์นเทรด ด้วยการขอความร่วมมือ ออกมาตรการ จนถึงขั้นออกกฎหมายเพื่อจำกัดการขยายพื้นที่การให้บริการ ที่นับวันจะเข้าถึงแหล่งชุมชนเล็กๆ ซึ่งเป็นพื้นที่ทำมาหากินของร้านโชวห่วย ทำให้หนึ่งในสาระสำคัญของพ.ร.บ. ฉบับนี้จึงเป็นการกำหนดพื้นที่การให้บริการ เพื่อรักษาสมดุลของร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมและร้านค้าปลีกสมัยใหม่นั่นเอง
พ.ร.บ.ค้าปลีก "จุดเปลี่ยน"
การมีพ.ร.บ.ค้าปลีกค้าส่ง จะช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างร้านโชวห่วยกับโมเดิร์นเทรด ได้จริงหรือไม่ .. ยังไม่มีใครตอบได้ แต่คนในวงการค้าปลีกล้วนเชื่อว่า "ไม่ได้ อย่างแน่นอน" และหนึ่งในนั้นก็มี นายธนภณ ตังคณานันท์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทยด้วย
ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ซึ่งมีสมาชิกเป็นบริษัท และองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการค้าปลีกมากกว่า 200 ราย กล่าวว่า การมี พ.ร.บ ค้าปลีกค้าส่ง จะส่งผลกระทบด้านลบต่อร้านโชวห่วย และผู้บริโภคมากกว่า เพราะเมื่อพ.ร.บ. ฉบับนี้มีผลบังคับใช้ จะทำให้กลไกตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างหนัก เมื่อมีการจำกัดการเกิดของค้าปลีกในรูปแบบต่างๆ ซึ่งปัจจุบันที่เปิดเสรี ทำให้เกิดการแข่งขันของร้านค้า ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดคือ "ผู้บริโภค"
อีกหนึ่งผู้บริหารในวงการค้าปลีก บอกว่า การเปิดโอกาสให้โมเดิร์นเทรด ซึ่งมีความรู้ ความชำนาญเฉพาะในด้านค้าปลีก มาช่วยพัฒนา ยกระดับโชวห่วย เช่นเดียวกับที่ผ่านมาจะทำให้ผู้ประกอบการร้านโชวห่วยเกิดแนวคิดที่ดี และถูกต้องในการกล้าที่จะเปลี่ยน กล้าที่จะยอมรับ และพัฒนาตัวเอง การจัดอบรมให้ความรู้ จะทำให้ร้านโชวห่วยเข้าใจและเข้าถึง มีกรณีศึกษาหรือตัวอย่างในร้านที่ผ่านประสบการณ์มาบอกเล่า ทำให้เขาไม่กลัว ไม่กังวล และนำไปปรับปรุงใช้กับกิจการของตัวเองได้ ...ไม่ใช่เอาคนที่ไม่มีประสบการณ์ ไม่เคยทำร้านค้าไปบอกเขา อธิบายกันอย่างไรก็ไม่เข้าใจ เพราะพูดกันคนละภาษา "สิ่งสำคัญที่จะทำให้เกิด "จุดเปลี่ยน" ก็คือการผูกขาด เพราะยิ่งเหลือผู้ประกอบการรายใหญ่น้อยราย การทำตลาดก็จะตกอยู่กับผู้ที่ใหญ่ที่สุด มีอำนาจต่อรองมากที่สุด การจะเห็นจัดแคมเปญ ลดกระหน่ำ ลดแล้วลดอีกเพื่อแข่งขันกันดึงลูกค้าคงไม่มีให้เห็นอีกต่อไป เพราะถึงเวลานั้น บทบาทจะแตกต่างจากทุกวันนี้ ที่ลูกค้าคนเดียวแต่ถูกรุมทึ้ง รุกเร้าให้เป็นสมาชิกให้มาใช้บริการจากห้างใหญ่ 3-4 ห้าง แต่ในอนาคตที่เหลือเพียง 2-3 ราย คุณต้องเป็นฝ่ายวิ่งไปหาเขา เพื่อใช้บริการเขาก็ได้ ซึ่งเป็นกลไกตลาดง่ายๆ ที่มีตัวอย่างให้เห็นอยู่แล้ว" แต่ทั้งหมดจะเป็นจริงดังข้างต้นหรือไม่นั้นคงต้องรอดูต่อไป เพราะเวลาเท่านั้นพิสูจน์ได้...
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2372
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
modern trade and household
โพสต์ที่ 132
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
กสิกรฯคาดอุตฯค้าปลีกปีนี้โต 8% ชี้น้ำท่วมช่วยเพิ่มยอดขายปีนี้เพิ่ม2 0-25%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานว่า จากการที่ สมาคมผู้ค้าปลีกไทย คาดว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมค้าปลีกในปี 2553 จะเติบโตประมาณร้อยละ 8.0 (YoY) เทียบกับเป้าหมายเดิมที่ร้อยละ 9.0 เนื่องจากประเมินว่า สถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในช่วงครึ่งปีแรก และปัญหาน้ำท่วมในช่วงไตรมาสสุดท้าย จะส่งผลกระทบทำให้การดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ และการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคต้องชะลอตัวลง ซึ่งขณะนี้พบว่า ผู้บริโภคมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใช้จ่ายอย่างประหยัดมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม โครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน อาจช่วยหนุนให้ยอดค้าปลีกบางรายการ อาทิ กลุ่มอาหารสำเร็จรูป น้ำดื่ม ให้ขายดีกว่าในช่วงที่ผ่านมาประมาณร้อยละ 20-25
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ภาพรวมของธุรกิจค้าปลีกยังมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2553 โดยเฉพาะยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่อาจได้รับอานิสงส์บางส่วนจากแรงซื้อเพื่อนำไปบริจาคช่วยเหลือในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม ขณะที่ คาดว่า แนวโน้มธุรกิจค้าปลีกในปี 2554 น่าที่จะรักษาการเติบโตไว้ได้อย่างต่อเนี่อง โดยประเมินว่า ผู้บริโภคอาจจะกลับมาใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทันทีหลังน้ำลดเพื่อซ่อมแซมสิ่งของที่ชำรุดหรือเสียหายจากน้ำท่วม โดยเฉพาะสินค้าในหมวดอุปโภคบริโภค เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ และของตกแต่งบ้าน
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 3&catid=00
กสิกรฯคาดอุตฯค้าปลีกปีนี้โต 8% ชี้น้ำท่วมช่วยเพิ่มยอดขายปีนี้เพิ่ม2 0-25%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานว่า จากการที่ สมาคมผู้ค้าปลีกไทย คาดว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมค้าปลีกในปี 2553 จะเติบโตประมาณร้อยละ 8.0 (YoY) เทียบกับเป้าหมายเดิมที่ร้อยละ 9.0 เนื่องจากประเมินว่า สถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในช่วงครึ่งปีแรก และปัญหาน้ำท่วมในช่วงไตรมาสสุดท้าย จะส่งผลกระทบทำให้การดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ และการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคต้องชะลอตัวลง ซึ่งขณะนี้พบว่า ผู้บริโภคมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใช้จ่ายอย่างประหยัดมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม โครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน อาจช่วยหนุนให้ยอดค้าปลีกบางรายการ อาทิ กลุ่มอาหารสำเร็จรูป น้ำดื่ม ให้ขายดีกว่าในช่วงที่ผ่านมาประมาณร้อยละ 20-25
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ภาพรวมของธุรกิจค้าปลีกยังมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2553 โดยเฉพาะยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่อาจได้รับอานิสงส์บางส่วนจากแรงซื้อเพื่อนำไปบริจาคช่วยเหลือในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม ขณะที่ คาดว่า แนวโน้มธุรกิจค้าปลีกในปี 2554 น่าที่จะรักษาการเติบโตไว้ได้อย่างต่อเนี่อง โดยประเมินว่า ผู้บริโภคอาจจะกลับมาใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทันทีหลังน้ำลดเพื่อซ่อมแซมสิ่งของที่ชำรุดหรือเสียหายจากน้ำท่วม โดยเฉพาะสินค้าในหมวดอุปโภคบริโภค เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ และของตกแต่งบ้าน
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 3&catid=00