แปลกนะที่ไม่มีใครพูดถึง ASIMAR ทั้งๆที่เพิ่งไป visit company
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
แปลกนะที่ไม่มีใครพูดถึง ASIMAR ทั้งๆที่เพิ่งไป visit company
โพสต์ที่ 1
กันมา โดยส่วนตัวผมประทับใจ ทีมงานนี้มากเลยครับ ทั้ง MD คนเก่ง และฝ่ายการเงิน ฝ่ายการตลาด อีกคนฝ่ายอะไรจำไม่ได้ ทั้ง 4 ท่าน ยินดีเข้ามาตอบคำถามสำหรับนักลงทุน ทุกคำถาม
โดยส่วนตัวผมไม่ได้ลงทุนใน asimar แต่ไปดูบริษัทมาแล้วมั่นใจเลยว่า โมโนโพลี่จริงๆ ตอนแรกนึกว่า asimar เป็นเรือ แต่พอไปดูมาแล้ว กลายเป็นการซ่อมเรือ เช่น เรือเทกอง เรือรบ เรือลาดตระเวน เรือยอร์ช ซ่อมได้หมดเลย
เรือเทกอง ที่เพิ่งเข้ามา ก็ทำสัญญาซ่อมใหญ่ เนื่องจาก ค่าระวางยังอยู่ในระดับสูง เรือลำดังกล่าว จึงต้องซ่อมด้วยมูลค่าสูงถึง 15 ล้านบาท ตั้งแต่การฉีดน้ำ ฉีดทราย เพื่อหาว่า มีสนิมตรงไหนบ้าง แล้วทำการเจาะเป็นสี่เหลี่ยมทะลุเรือ แล้วก็นำแผ่นเหล็กที่เตรียมไว้ มาตัดแปะแล้วเชื่อม ขัดให้เรียบร้อย แล้วลงสีใหม่ อืม เหมือนซ่อมรถยนต์เลย เรื่องเครื่องก็มีซ่อมบ้าง ในบริษัท asimar ที่ไปเยี่ยมชม ตอนนี้งานล้นมือ เพราะมีเรือจอดซ่อมอยู่ 7 - 8 ลำ
การซ่อมมี 2 แบบ คือ ยกเรือขึ้นมา ใส่ในเรือ asimar 1 หรือ asimar 2 แบบนี้เจาะอย่างไรเรือก็ไม่จม อิอิ
อีกแบบคือ ซ่อมในขณะเรื่อลอยน้ำอยู่ ก็จอดเรือนั้นๆไว้ข้างๆ asimar 1 หรือ asmia 2
ในส่วนอื่นๆ ที่แวะเยี่ยม ก็มี โรงเก็บอุปกรณ์ที่มีไว้ซ่อมเรือ ซึ่งอะไหล่เหล่านี้ต้องสั่งมาจากต่างประเทศ โดยทางเครื่องบิน ใช้เวลา 1 วัน มีโรงกึง ไว้กึงงานเหล็กต่างๆ ที่ต้องใช้ซ่อม สำนักงานสี่ชั้น ลอยอยู่ในน้ำ พนักงานที่นี่ ต้องทำงานในลักษณะโครงเครงเล็กน้อย ในส่วนของการซ่อมเรือยอชนั้น ก็เห็นช่างเฟอร์นิเจอร์ กำลังประกอบเฟอร์นิเจอร์สำหรับเรือที่กำลังซ่อม
โดยส่วนตัวผมแล้ว บริษัทนี้ผมว่าเป็นโมโนโพลี่ เพราะเป็นเจ้าใหญ่ที่สุดในเมืองไทยในเรื่องการซ่อมเรือ จนกระทั้งบริษัทขยายความสามารถ ไปต่อเรือได้ โดยในอดีตเคยต่อเรือรบให้กับรัฐบาลไทยมาแล้ว
ปกติบริษัทแบบนี้ ผมว่า ไม่มีกำไรก็ไม่ต้องเซ็นสัญญา แต่อาจจะเนื่องจากบริษัทมี fix cost ที่ต้องจ่ายเช่นมีพนักงาน ประมาณ 300 ชีวิต ที่เป็นช่างฝีมือ ทำให้บริษัทต้องพยายามป้อนงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และการที่ต้องแข่งกัน จีน เวียตนาม ที่เน้นค่าแรงถูก ผลคือ บริษัทก็เลยเลือกที่จะแข่งด้านราคาเพื่อเพิ่มยอดขาย เพราะตั้งไว้ 600 ล้านบาท ผมเองก็ไม่ค่อยเห็นด้วยซักเท่าไร เพราะช่วงนี้เป็นตลาดขาขึ้น เรือกำลังขาดแคลน ค่าระวางยังสูงเมื่อเทียบกับในอดีต ถ้าเลือกทีจะแข่งด้านราคาในช่วงนี้ ผลคือในช่วงตลาดขาลง ก็คงแย่อย่างแน่นอน
ก็ลองคิดดูแล้วกันนะครับ นักลงทุนทั้งหลาย ผมเองได้ถามพนักงานของบริษัท ว่าถ้าให้เลือกระหว่าง เปิดอู่รถ กับเปิดอู่เรือ ถ้าเลือกได้จะทำอะไร พนักงานก็ตอบแบบไม่ลังเลเลย คือเปิดอูเรือซิ คู่แข่งน้อย ส่วนอู่รถ คู่แข่งตรึมเลย
อูเรือเล็กๆ ที่ทำมานานแล้ว มีอยู่ 7 - 8 อู่ ส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณด้านในแม่น้ำเจ้าพระยา รัฐบาลเองก็ไม่อยากให้มีการซ่อมเรืออยู่ในบริเวณแม่น้ำ ลองนึกภาพว่าเรามีบ้านอยู่ริมน้ำแล้วมีเสียงดัง อยู่ริมน้ำ เพราะการเจาะเหล็ก เชื่อมเหล็ก
แต่อย่างไรก็ตาม ทำเลของบริษัทค่อนข้างได้เปรียบเนื่องจาก ไม่เรียกว่าอยู่ริมน้ำเจ้าพระยา เพราะอีกนิดนึง ก็เป็นอ่าวไทยแล้ว เรียกว่าอยู่ในจุดที่ได้เปรียบเรื่องทำเล
ผมพูดอะไรผิดไปก็ให้เพื่อนๆช่วยอัพเดดด้วยละกัน
โดยส่วนตัวผมไม่ได้ลงทุนใน asimar แต่ไปดูบริษัทมาแล้วมั่นใจเลยว่า โมโนโพลี่จริงๆ ตอนแรกนึกว่า asimar เป็นเรือ แต่พอไปดูมาแล้ว กลายเป็นการซ่อมเรือ เช่น เรือเทกอง เรือรบ เรือลาดตระเวน เรือยอร์ช ซ่อมได้หมดเลย
เรือเทกอง ที่เพิ่งเข้ามา ก็ทำสัญญาซ่อมใหญ่ เนื่องจาก ค่าระวางยังอยู่ในระดับสูง เรือลำดังกล่าว จึงต้องซ่อมด้วยมูลค่าสูงถึง 15 ล้านบาท ตั้งแต่การฉีดน้ำ ฉีดทราย เพื่อหาว่า มีสนิมตรงไหนบ้าง แล้วทำการเจาะเป็นสี่เหลี่ยมทะลุเรือ แล้วก็นำแผ่นเหล็กที่เตรียมไว้ มาตัดแปะแล้วเชื่อม ขัดให้เรียบร้อย แล้วลงสีใหม่ อืม เหมือนซ่อมรถยนต์เลย เรื่องเครื่องก็มีซ่อมบ้าง ในบริษัท asimar ที่ไปเยี่ยมชม ตอนนี้งานล้นมือ เพราะมีเรือจอดซ่อมอยู่ 7 - 8 ลำ
การซ่อมมี 2 แบบ คือ ยกเรือขึ้นมา ใส่ในเรือ asimar 1 หรือ asimar 2 แบบนี้เจาะอย่างไรเรือก็ไม่จม อิอิ
อีกแบบคือ ซ่อมในขณะเรื่อลอยน้ำอยู่ ก็จอดเรือนั้นๆไว้ข้างๆ asimar 1 หรือ asmia 2
ในส่วนอื่นๆ ที่แวะเยี่ยม ก็มี โรงเก็บอุปกรณ์ที่มีไว้ซ่อมเรือ ซึ่งอะไหล่เหล่านี้ต้องสั่งมาจากต่างประเทศ โดยทางเครื่องบิน ใช้เวลา 1 วัน มีโรงกึง ไว้กึงงานเหล็กต่างๆ ที่ต้องใช้ซ่อม สำนักงานสี่ชั้น ลอยอยู่ในน้ำ พนักงานที่นี่ ต้องทำงานในลักษณะโครงเครงเล็กน้อย ในส่วนของการซ่อมเรือยอชนั้น ก็เห็นช่างเฟอร์นิเจอร์ กำลังประกอบเฟอร์นิเจอร์สำหรับเรือที่กำลังซ่อม
โดยส่วนตัวผมแล้ว บริษัทนี้ผมว่าเป็นโมโนโพลี่ เพราะเป็นเจ้าใหญ่ที่สุดในเมืองไทยในเรื่องการซ่อมเรือ จนกระทั้งบริษัทขยายความสามารถ ไปต่อเรือได้ โดยในอดีตเคยต่อเรือรบให้กับรัฐบาลไทยมาแล้ว
ปกติบริษัทแบบนี้ ผมว่า ไม่มีกำไรก็ไม่ต้องเซ็นสัญญา แต่อาจจะเนื่องจากบริษัทมี fix cost ที่ต้องจ่ายเช่นมีพนักงาน ประมาณ 300 ชีวิต ที่เป็นช่างฝีมือ ทำให้บริษัทต้องพยายามป้อนงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และการที่ต้องแข่งกัน จีน เวียตนาม ที่เน้นค่าแรงถูก ผลคือ บริษัทก็เลยเลือกที่จะแข่งด้านราคาเพื่อเพิ่มยอดขาย เพราะตั้งไว้ 600 ล้านบาท ผมเองก็ไม่ค่อยเห็นด้วยซักเท่าไร เพราะช่วงนี้เป็นตลาดขาขึ้น เรือกำลังขาดแคลน ค่าระวางยังสูงเมื่อเทียบกับในอดีต ถ้าเลือกทีจะแข่งด้านราคาในช่วงนี้ ผลคือในช่วงตลาดขาลง ก็คงแย่อย่างแน่นอน
ก็ลองคิดดูแล้วกันนะครับ นักลงทุนทั้งหลาย ผมเองได้ถามพนักงานของบริษัท ว่าถ้าให้เลือกระหว่าง เปิดอู่รถ กับเปิดอู่เรือ ถ้าเลือกได้จะทำอะไร พนักงานก็ตอบแบบไม่ลังเลเลย คือเปิดอูเรือซิ คู่แข่งน้อย ส่วนอู่รถ คู่แข่งตรึมเลย
อูเรือเล็กๆ ที่ทำมานานแล้ว มีอยู่ 7 - 8 อู่ ส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณด้านในแม่น้ำเจ้าพระยา รัฐบาลเองก็ไม่อยากให้มีการซ่อมเรืออยู่ในบริเวณแม่น้ำ ลองนึกภาพว่าเรามีบ้านอยู่ริมน้ำแล้วมีเสียงดัง อยู่ริมน้ำ เพราะการเจาะเหล็ก เชื่อมเหล็ก
แต่อย่างไรก็ตาม ทำเลของบริษัทค่อนข้างได้เปรียบเนื่องจาก ไม่เรียกว่าอยู่ริมน้ำเจ้าพระยา เพราะอีกนิดนึง ก็เป็นอ่าวไทยแล้ว เรียกว่าอยู่ในจุดที่ได้เปรียบเรื่องทำเล
ผมพูดอะไรผิดไปก็ให้เพื่อนๆช่วยอัพเดดด้วยละกัน
-
- ผู้ติดตาม: 0
แปลกนะที่ไม่มีใครพูดถึง ASIMAR ทั้งๆที่เพิ่งไป visit company
โพสต์ที่ 4
คุณjengครับ ผู้บริหารเขาย้ำว่า ไม่คิดจะลงไปสู้ทางด้านราคานะ เขาเอาคุณภาพของงานและอัตรากำไรเป็นสำคัญ ที่ผมเข้าใจนะ
คูณเฮรี่ มันดูทีสภาพของเรือ ณเวลานั้น และเรื่องเวลา เรื่องราคา เรื่องคุณภาพของงานด้วยนะ การเข่งขันมันก็รุนแรงพอสมควร เพราะมีทั้งจีน เวียดนาม
คูณเฮรี่ มันดูทีสภาพของเรือ ณเวลานั้น และเรื่องเวลา เรื่องราคา เรื่องคุณภาพของงานด้วยนะ การเข่งขันมันก็รุนแรงพอสมควร เพราะมีทั้งจีน เวียดนาม
- MO101
- Verified User
- โพสต์: 3226
- ผู้ติดตาม: 1
แปลกนะที่ไม่มีใครพูดถึง ASIMAR ทั้งๆที่เพิ่งไป visit company
โพสต์ที่ 5
ขอเสริมพี่เจ๋ง หน่อยนะครับ
--------
เรื่องของเทคโนโลยีที่จะยืออายุเรือ
เช่นทาสีแบบพิเศษแล้วเรือจะไม่ค่อยผุ ทำให้ไม่ต้องซ่อมนี่มีนะครับ
แต่ทางกฎหมายยังต้องให้เอาเรื่อมาตรวจสภาพตามกำหนดอยู่
ส่วนอาคารลอยน้ำนี่ใช้สีแบบพิเศษครับ 10 ปีกว่าจะยกขึ้นมาตรวจครั้งหนึ่ง
แล้วก็กองเรื่อไทยส่วนมากไม่ซื้อเรือใหม่ (ไม่รู้เพราะอะไร)
ทำให้ซื้อมาแล้วก็ต้องซ่อม นั่นเอง อิอิ
--------
เรื่องของเทคโนโลยีที่จะยืออายุเรือ
เช่นทาสีแบบพิเศษแล้วเรือจะไม่ค่อยผุ ทำให้ไม่ต้องซ่อมนี่มีนะครับ
แต่ทางกฎหมายยังต้องให้เอาเรื่อมาตรวจสภาพตามกำหนดอยู่
ส่วนอาคารลอยน้ำนี่ใช้สีแบบพิเศษครับ 10 ปีกว่าจะยกขึ้นมาตรวจครั้งหนึ่ง
แล้วก็กองเรื่อไทยส่วนมากไม่ซื้อเรือใหม่ (ไม่รู้เพราะอะไร)
ทำให้ซื้อมาแล้วก็ต้องซ่อม นั่นเอง อิอิ
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
แปลกนะที่ไม่มีใครพูดถึง ASIMAR ทั้งๆที่เพิ่งไป visit company
โพสต์ที่ 6
ขอบคุณ ครับ คุณJeng ที่ นำเรื่องก่อน จะได้ช่วยกันเสริมในสิ่งที่ขาดไปบ้าง เท่าที่รู้สึก ทาง MD ไม่ค่อยชอบติดต่อกับราชการเท่าไหร่ (ผมไม่ขอบอกเหตุผลเพราะส่วนใหญ่ก็รู้ ๆ กันแล้ว) จึงนิยมติดต่อกับเอกชน ดูแล้ว ลูกค้าของ ASIMAR เป็นพวกเรือระดับเล็กและกลาง ยาวไม่เกิน 175 เมตร อู่ ASIMAR 1 รับเรือประมาณยาว 30-40 เมตร.......ส่วนAIMAR 2 นั่น รับเรือยาวไม่เกิน 175 เมตร ดังนั้นจะเห็นว่า เรือขนส่งขนาดใหญ่ ไม่มีโอกาสได้รับบริการเลย ......... แต่ทาง MD และฝ่ายตลาด คิดว่า ถ้ามีโอกาสบริการเรือ ขนส่งขนาดใหญ่ ต้องไปเช่า อู่เรือที่มีขนาดใหญ่ เพื่อทำงาน และ คุ้มกับงานที่จะรับ ก็ จะทำ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงระดับนั้น อนาคต เมื่อเขารู้จัก ASIMAR ดีแล้ว ก็คงจะคิดเริ่มทำได้ ........วิสัยทัศน์ของ MD คือการ สร้างชื่อเสียงให้พวกกองเรือทั้งหลายรู้จัก ASIMAR ก่อน และค่อย พัฒนาไปบริการเรือที่ใหญ่ขึ้น และ ในอนาคต ถ้า MD คนนี้ยังช่วยเหลือทำงานอยู่ อาจได้เห็น อู่เรือเอกชนไทยได้อยู่ในแนวหน้า ไปตั้งที่ แหลมฉะบัง เปิดบริการให้ พวกกองเรือขนาดใหญ่ได้ (คงเป็นอนาคตที่ต่างก็ต้องมีความหวัง กันทั้งนั้น)
เท่าที่ดู ผมเห็นบริการเรือเอกชนมาใช้บริการ เป็นเรือประเภท เรือบรรทุกน้ำมัน และ เรือ ขุดแร่ ตอนไป ได้เห็น เขา กำลังสร้างเรือ กวาดเก็บน้ำมันที่ลอยในทะเล (เรือเก็บคราบน้ำมัน) ของเอกชนลำหนึ่ง.......ส่วนเรือ ตำรวจน้ำ มี 2 ลำ เป็นงานต่อเนื่องที่ได้รับมา และ มีเรือราชนาวีอีกลำหนึ่ง
บริษัทเรือแห่งนี้ จริง ๆ แล้ว เคยสร้างเรือให้ราชราวี แต่เจอ วิกฤต เรื่องค่าเงิน เลยทำให้ขาดทุนไป จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่ความผิดของบริษัทฯ เลย จึงทำให้เสียโอกาสสร้างชื่อเสียงในการสร้างเรือให้กองทัพเรือ ขีดความสามารถในการสร้างเรือ ผมว่า เขามีอยู่แล้ว เพราะมี พนักงานเท็คนิค และ แรงงานพร้อมจะสร้างให้ ในความคิดผม สิ่งที่ขาดคือ แรงสนับสนุนจากภาครัฐบาล จึงทำให้เติบโตลำบาก (แถมยังไปจ้างประเทศจีน ให้ประกอบเรือรบให้ จนปี ปัญหา เรื่อง อาวุธที่ใช้บนเรือ ตามที่เราเคยทราบกัน.....ผมว่า ถ้าช่วยและให้ ASIMAR ทำ คงได้ คุณภาพที่กว่าเสียอีก.... เรื่องอาวุธแน่นอนต้องเอาของต่างประเทศมาประกอบ กันทั้งนั้น)
ผมยังไม่ได้ลงทุน ในหุ้นตัวนี้เหมือนกัน แต่ที่ไป เพราะ อยากจะรู้กิจการของเขา และ อยากเห็น floating office ตึก 3 ชั้น ที่ลอยได้ นั่นเอง ดีนะครับ ที่ไปตอนนั้นมีเรือ ใหญ่ ของ อินเดียมารอ รับบริการซ่อมแซมอยู่ เลย กั้นคลื่นจากทะเล ไปได้ ไม่อย่างงั้นคง เมาคลื่น ไป ด้วย.......มีคุณ MAN ผู้ถือหุ้นASIMAR บ่นเรื่อง มึนศีรษะเล็กน้อย...... ส่วนผม สบายดี ถึงแม้จะมีวัยวุฒิมากกว่าเขา
ต้องขอขอบคุณ ท่าน MD คนเก่ง คุณวรวรรณ งานทวี..... และผู้อำนวยการสายการเงินและบริหาร คุณสมบูรณ์ ศิริชัยนฤมิตร ที่บริการ พวกเราได้อย่างดีเลิศ ให้ทั้งความรู้และแถมอาหารกลางวันให้ด้วย (ขนมจีน และ น้ำพริก อร่อยมากนะครับ)......สิ่งที่พวกเราทุกคนได้ไปสัมผัส ก็ คือ ความจริงใจที่จะความพยายามสร้างชื่อเสียง ASIMAR ให้เป็นหนึ่งในด้านซ่อมเรือ กิจการใดถ้ามีความจริงใจและความพยายามก็ นำไปสู่ความสำเร็จอย่างแน่นอน ผมก็คิดว่า หลังจากผ่านวิกฤตแล้ว บริษัทฯนี้ น่าจะปรับตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มมีกำไร ทีละเล็กทีละน้อย คงไม่กลับไปขาดทุนอีกเป็นแน่.........ทราบว่า มีบุคเวลูอยู่ที่ 1.3x บาท ซื้อขายกันเกินบุคเล็กน้อย ก็นับว่าไม่แพงเท่าไหร่........ส่วนราคาหุ้นจะไปขนาดไหน อยู่กับความสามารถของฝ่ายบริหารที่นำพากิจการให้เจริญเติบโตไปได้เร็วแค่ไหน
เท่าที่ดู ผมเห็นบริการเรือเอกชนมาใช้บริการ เป็นเรือประเภท เรือบรรทุกน้ำมัน และ เรือ ขุดแร่ ตอนไป ได้เห็น เขา กำลังสร้างเรือ กวาดเก็บน้ำมันที่ลอยในทะเล (เรือเก็บคราบน้ำมัน) ของเอกชนลำหนึ่ง.......ส่วนเรือ ตำรวจน้ำ มี 2 ลำ เป็นงานต่อเนื่องที่ได้รับมา และ มีเรือราชนาวีอีกลำหนึ่ง
บริษัทเรือแห่งนี้ จริง ๆ แล้ว เคยสร้างเรือให้ราชราวี แต่เจอ วิกฤต เรื่องค่าเงิน เลยทำให้ขาดทุนไป จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่ความผิดของบริษัทฯ เลย จึงทำให้เสียโอกาสสร้างชื่อเสียงในการสร้างเรือให้กองทัพเรือ ขีดความสามารถในการสร้างเรือ ผมว่า เขามีอยู่แล้ว เพราะมี พนักงานเท็คนิค และ แรงงานพร้อมจะสร้างให้ ในความคิดผม สิ่งที่ขาดคือ แรงสนับสนุนจากภาครัฐบาล จึงทำให้เติบโตลำบาก (แถมยังไปจ้างประเทศจีน ให้ประกอบเรือรบให้ จนปี ปัญหา เรื่อง อาวุธที่ใช้บนเรือ ตามที่เราเคยทราบกัน.....ผมว่า ถ้าช่วยและให้ ASIMAR ทำ คงได้ คุณภาพที่กว่าเสียอีก.... เรื่องอาวุธแน่นอนต้องเอาของต่างประเทศมาประกอบ กันทั้งนั้น)
ผมยังไม่ได้ลงทุน ในหุ้นตัวนี้เหมือนกัน แต่ที่ไป เพราะ อยากจะรู้กิจการของเขา และ อยากเห็น floating office ตึก 3 ชั้น ที่ลอยได้ นั่นเอง ดีนะครับ ที่ไปตอนนั้นมีเรือ ใหญ่ ของ อินเดียมารอ รับบริการซ่อมแซมอยู่ เลย กั้นคลื่นจากทะเล ไปได้ ไม่อย่างงั้นคง เมาคลื่น ไป ด้วย.......มีคุณ MAN ผู้ถือหุ้นASIMAR บ่นเรื่อง มึนศีรษะเล็กน้อย...... ส่วนผม สบายดี ถึงแม้จะมีวัยวุฒิมากกว่าเขา
ต้องขอขอบคุณ ท่าน MD คนเก่ง คุณวรวรรณ งานทวี..... และผู้อำนวยการสายการเงินและบริหาร คุณสมบูรณ์ ศิริชัยนฤมิตร ที่บริการ พวกเราได้อย่างดีเลิศ ให้ทั้งความรู้และแถมอาหารกลางวันให้ด้วย (ขนมจีน และ น้ำพริก อร่อยมากนะครับ)......สิ่งที่พวกเราทุกคนได้ไปสัมผัส ก็ คือ ความจริงใจที่จะความพยายามสร้างชื่อเสียง ASIMAR ให้เป็นหนึ่งในด้านซ่อมเรือ กิจการใดถ้ามีความจริงใจและความพยายามก็ นำไปสู่ความสำเร็จอย่างแน่นอน ผมก็คิดว่า หลังจากผ่านวิกฤตแล้ว บริษัทฯนี้ น่าจะปรับตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มมีกำไร ทีละเล็กทีละน้อย คงไม่กลับไปขาดทุนอีกเป็นแน่.........ทราบว่า มีบุคเวลูอยู่ที่ 1.3x บาท ซื้อขายกันเกินบุคเล็กน้อย ก็นับว่าไม่แพงเท่าไหร่........ส่วนราคาหุ้นจะไปขนาดไหน อยู่กับความสามารถของฝ่ายบริหารที่นำพากิจการให้เจริญเติบโตไปได้เร็วแค่ไหน
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
แปลกนะที่ไม่มีใครพูดถึง ASIMAR ทั้งๆที่เพิ่งไป visit company
โพสต์ที่ 7
ขอบคุณพีๆ เพื่อนๆ ที่นำมาเล่าสู่กันฟังครับ
ดูไปก็เป็นบริษัทที่เข้าทีทีเดียว
คงต้องไปดูงบการเงินบ้างแล้วครับ
เคยทราบมาว่าอู่ซ่อมเรือในเมืองไทย
มีอยู่อีกแห่งที่แหลมฉบัง ไม่แน่ใจว่าเป็นของ ยูนิไลท์ไทย
ที่เพิ่งออกจากตลาดไปหรือเปล่า แต่เท่าที่ทราบเค้าจะซ่อมเรือขนาดค่อนข้างใหญ่ครับ จำพวกเรือสินค้าทำนองนี้...
ดูไปก็เป็นบริษัทที่เข้าทีทีเดียว
คงต้องไปดูงบการเงินบ้างแล้วครับ
เคยทราบมาว่าอู่ซ่อมเรือในเมืองไทย
มีอยู่อีกแห่งที่แหลมฉบัง ไม่แน่ใจว่าเป็นของ ยูนิไลท์ไทย
ที่เพิ่งออกจากตลาดไปหรือเปล่า แต่เท่าที่ทราบเค้าจะซ่อมเรือขนาดค่อนข้างใหญ่ครับ จำพวกเรือสินค้าทำนองนี้...
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
แปลกนะที่ไม่มีใครพูดถึง ASIMAR ทั้งๆที่เพิ่งไป visit company
โพสต์ที่ 8
ขอเสริมข้อมูลของคุณลุงขวด
ในฐานะที่เคยซื้อขายหุ้นตัวนี้เมื่อหลายปีก่อน
บริษัทเคยต่อเรือลาดตระเวณชายฝั่งให้กองทัพเรือครับ
ไม่ได้ขาดทุนจากการลดค่าเงินบาท
เพราะได้เงินชดเชยส่วนนี้จากกองทัพเรือ
จนเอามาลงเป็นกำไรในเวลาต่อมาด้วยซ้ำ
แต่ปัญหาที่ผมจำได้ลางๆคือ
บริษัทโดนกองทัพเรือฟ้อง
ฐานทำเรือไม่ตรงตามมาตรฐานที่ต้องการ
ใครที่มีข้อมูลจริงว่า บริษัทไม่เคยโดยฟ้อง
ช่วยแก้ไขด้วยครับ
บริษัทนี้ เมื่อก่อนธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
ต่อมาได้ขายทิ้งให้เจ้าของปัจจุบ้น
เพราะไม่ต้องการถือหุ้นที่อยู่นอกสายงาน
และคงขายให้กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นพื้นฐานด้วย
ปัจจุบันกองทุนเปิดดังกล่าว ก็ขายหุ้นทิ้งหมดแล้วเช่นกัน
ในฐานะที่เคยซื้อขายหุ้นตัวนี้เมื่อหลายปีก่อน
บริษัทเคยต่อเรือลาดตระเวณชายฝั่งให้กองทัพเรือครับ
ไม่ได้ขาดทุนจากการลดค่าเงินบาท
เพราะได้เงินชดเชยส่วนนี้จากกองทัพเรือ
จนเอามาลงเป็นกำไรในเวลาต่อมาด้วยซ้ำ
แต่ปัญหาที่ผมจำได้ลางๆคือ
บริษัทโดนกองทัพเรือฟ้อง
ฐานทำเรือไม่ตรงตามมาตรฐานที่ต้องการ
ใครที่มีข้อมูลจริงว่า บริษัทไม่เคยโดยฟ้อง
ช่วยแก้ไขด้วยครับ
บริษัทนี้ เมื่อก่อนธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
ต่อมาได้ขายทิ้งให้เจ้าของปัจจุบ้น
เพราะไม่ต้องการถือหุ้นที่อยู่นอกสายงาน
และคงขายให้กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นพื้นฐานด้วย
ปัจจุบันกองทุนเปิดดังกล่าว ก็ขายหุ้นทิ้งหมดแล้วเช่นกัน
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
แปลกนะที่ไม่มีใครพูดถึง ASIMAR ทั้งๆที่เพิ่งไป visit company
โพสต์ที่ 9
ขอเสริมข้อมูลอาเฮียคลายเครียดครับ
ข้อมูลของปี 2545
ASIMAR ได้รับชดเชยเงินช่วยเหลือจากทางรัฐบาลกรณีอัตราแลกเปลี่ยน
เป็นจำนวนเงิน 83 ล้านบาท โดยบันทึกเป็นรายได้ทั้งจำนวน
ในขณะเดียวกัน บริษัทถูกปรับจากกองทัพเรือค่าส่งมอบเรือล่าช้าเป็นเงิน
ทั้งสิ้น 68.7 ล้านบาท โดยบริษัทได้ตั้งสำรองค่าปรับไว้ในปี 2543 เพียง
14.5 ล้านบาท จึงบันทึกเงินค่าปรับทั้งสิ้น 54.2 ล้านบาทไว้ในปีปัจจุบัน
(คือปี 2545)
ข้อมูลของปี 2545
ASIMAR ได้รับชดเชยเงินช่วยเหลือจากทางรัฐบาลกรณีอัตราแลกเปลี่ยน
เป็นจำนวนเงิน 83 ล้านบาท โดยบันทึกเป็นรายได้ทั้งจำนวน
ในขณะเดียวกัน บริษัทถูกปรับจากกองทัพเรือค่าส่งมอบเรือล่าช้าเป็นเงิน
ทั้งสิ้น 68.7 ล้านบาท โดยบริษัทได้ตั้งสำรองค่าปรับไว้ในปี 2543 เพียง
14.5 ล้านบาท จึงบันทึกเงินค่าปรับทั้งสิ้น 54.2 ล้านบาทไว้ในปีปัจจุบัน
(คือปี 2545)
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
แปลกนะที่ไม่มีใครพูดถึง ASIMAR ทั้งๆที่เพิ่งไป visit company
โพสต์ที่ 10
หมายเหตุที่ 23 หน้า 47 ในรายงานการประชุมปี 46 มีว่า
บริษัทฯ ได้ส่งมอบเรือตามสัญญารับจ้างต่อเรือกับกองทัพเรือในปลายปี 2543 ซึ่งล่าช้าเกินกว่ากำหนดระยะเวลาในสัญญาทำให้ บริษัทฯ มีภาระค่าปรับจากการส่งมอบเรือล่าช้าเป็นจำนวนเงิน 68.7 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯได้ตั้งสำรองค่าปรับดังกล่าวไปแล้วในบัญชีปี 2543 เป็นจำนวนเงิน 14.5 ล้านบาท และ ในปี 2544 บริษัทฯได้บันทึกผลต่างของจำนวนเงินค่าปรับที่ประมาณการสำรองไว้กับที่เกิดขึ้นจริงจำนวน 54.2 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายทั้งจำนวนในปี 2544 เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2547 บริษัทฯ ได้ยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการเพื่อเรียกเงินค่าปรับดังกล่าวคืนพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะได้รับค่าปรับดังกล่าวคืนเป็นจำนวนเงินไมน้อยกว่า 60.0 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย และคาดว่าการพิจารณาจะใช้เวลาดำเนิการประมาณ 2 ปี.
ถ้าได้เงินคืนดังกล่าว ก็ เป็นผลดีต่อบริษัทฯ เป็น แน่ ผมเคยบอกไว้แล้ว ว่า ไม่น่ามาโทษ บริษัท...ผมคิดว่า การลอยตัวค่าเงินบาทช่วงนั้น ใครติดต่อซื้อของหรืออุปกรณ์จากต่างประเทศ ก็ ขาดทุนกันทั้งนั้น มันเกิด กับผม ด้วย ตอนนั้นสั่ง สินค้า มา ชุด หนึ่ง ผมจ่ายไปเหรียญละ 56 บาทได้ จนบัดนี้ สินค้าชุดนั้น ยังไม่ได้ขายเลยครับ เพราะ ทุนสูงเกินไปมาก..........ทุกคนอยากดึง เรื่อง ยิ่งดึงยาว ก็ ยิ่งขาดทุนมาก ขาดทุนทั้งต้นทุนสูง และ ดอกเบี้ยแพง..........ผมน่าจะ ถือ นโยบาย ไม่หนี ไม่จ่าย ตามเขากัน แต่เนื่องจาก ต้องการรักษา ชื่อเสียง ก็ ต้อง ทน ขาดทุน กับ เขาด้วย
บริษัทฯ ได้ส่งมอบเรือตามสัญญารับจ้างต่อเรือกับกองทัพเรือในปลายปี 2543 ซึ่งล่าช้าเกินกว่ากำหนดระยะเวลาในสัญญาทำให้ บริษัทฯ มีภาระค่าปรับจากการส่งมอบเรือล่าช้าเป็นจำนวนเงิน 68.7 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯได้ตั้งสำรองค่าปรับดังกล่าวไปแล้วในบัญชีปี 2543 เป็นจำนวนเงิน 14.5 ล้านบาท และ ในปี 2544 บริษัทฯได้บันทึกผลต่างของจำนวนเงินค่าปรับที่ประมาณการสำรองไว้กับที่เกิดขึ้นจริงจำนวน 54.2 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายทั้งจำนวนในปี 2544 เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2547 บริษัทฯ ได้ยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการเพื่อเรียกเงินค่าปรับดังกล่าวคืนพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะได้รับค่าปรับดังกล่าวคืนเป็นจำนวนเงินไมน้อยกว่า 60.0 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย และคาดว่าการพิจารณาจะใช้เวลาดำเนิการประมาณ 2 ปี.
ถ้าได้เงินคืนดังกล่าว ก็ เป็นผลดีต่อบริษัทฯ เป็น แน่ ผมเคยบอกไว้แล้ว ว่า ไม่น่ามาโทษ บริษัท...ผมคิดว่า การลอยตัวค่าเงินบาทช่วงนั้น ใครติดต่อซื้อของหรืออุปกรณ์จากต่างประเทศ ก็ ขาดทุนกันทั้งนั้น มันเกิด กับผม ด้วย ตอนนั้นสั่ง สินค้า มา ชุด หนึ่ง ผมจ่ายไปเหรียญละ 56 บาทได้ จนบัดนี้ สินค้าชุดนั้น ยังไม่ได้ขายเลยครับ เพราะ ทุนสูงเกินไปมาก..........ทุกคนอยากดึง เรื่อง ยิ่งดึงยาว ก็ ยิ่งขาดทุนมาก ขาดทุนทั้งต้นทุนสูง และ ดอกเบี้ยแพง..........ผมน่าจะ ถือ นโยบาย ไม่หนี ไม่จ่าย ตามเขากัน แต่เนื่องจาก ต้องการรักษา ชื่อเสียง ก็ ต้อง ทน ขาดทุน กับ เขาด้วย
-
- Verified User
- โพสต์: 245
- ผู้ติดตาม: 0
แปลกนะที่ไม่มีใครพูดถึง ASIMAR ทั้งๆที่เพิ่งไป visit company
โพสต์ที่ 11
แปลกนะที่ไม่มีใครพูดถึง ASIMAR ทั้งๆที่เพิ่งไป visit company
โทษทีคุณเจ๋ง 2-3วันนี้ยุ่งจนโทรม กลับจากasimar เย็นมีประชุมต่ออีก
โดยส่วนตัวผมประทับใจ ทีมงานนี้มากเลยครับ ทั้ง MD คนเก่ง และฝ่ายการเงิน ฝ่ายการตลาด อีกคนฝ่ายอะไรจำไม่ได้ ทั้ง 4 ท่าน ยินดีเข้ามาตอบคำถามสำหรับนักลงทุน ทุกคำถาม
ทีมผู้บริหารที่มาต้อนรับนักลงทุน คุณ วรวรรณ งานทวี MD คุณ สมบูรณ์ ศิริชัยนฤมิตร ผอ.ฝ่ายการเงิน คุณ สิทธิพล เจริญสุข ผอ.สายการผลิต คุณ ดายานาน ตีวารี ผจก.ฝ่ายการตลาด และจนท.บริษัทอีกหลายท่าน
โดยส่วนตัวผมแล้ว บริษัทนี้ผมว่าเป็นโมโนโพลี่ เพราะเป็นเจ้าใหญ่ที่สุดในเมืองไทยในเรื่องการซ่อมเรือ จนกระทั้งบริษัทขยายความสามารถ ไปต่อเรือได้ โดยในอดีตเคยต่อเรือรบให้กับรัฐบาลไทยมาแล้ว
ปกติบริษัทแบบนี้ ผมว่า ไม่มีกำไรก็ไม่ต้องเซ็นสัญญา แต่อาจจะเนื่องจากบริษัทมี fix cost ที่ต้องจ่ายเช่นมีพนักงาน ประมาณ 300 ชีวิต ที่เป็นช่างฝีมือ ทำให้บริษัทต้องพยายามป้อนงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และการที่ต้องแข่งกัน จีน เวียตนาม ที่เน้นค่าแรงถูก ผลคือ บริษัทก็เลยเลือกที่จะแข่งด้านราคาเพื่อเพิ่มยอดขาย เพราะตั้งไว้ 600 ล้านบาท ผมเองก็ไม่ค่อยเห็นด้วยซักเท่าไร เพราะช่วงนี้เป็นตลาดขาขึ้น เรือกำลังขาดแคลน ค่าระวางยังสูงเมื่อเทียบกับในอดีต ถ้าเลือกทีจะแข่งด้านราคาในช่วงนี้ ผลคือในช่วงตลาดขาลง ก็คงแย่อย่างแน่นอน
MDแจ้งว่างานที่มีการแข่งขันด้านราคาส่วนใหญ่จะเป็นงานโครงการ ซึ่งช่วงที่ผ่านมายอมลดราคาสู้เพราะต้องการสร้างชื่อให้สายการเดินเรือต่างประเทศได้รู้จัก แต่จะไม่ใช้ตลอด ส่วนงานซ่อมบำรุงเรือทั่วไปgross marginอยู่ประมาณ 55-65%
ผมยังไม่ได้ลงทุน ในหุ้นตัวนี้เหมือนกัน แต่ที่ไป เพราะ อยากจะรู้กิจการของเขา และ อยากเห็น floating office ตึก 3 ชั้น ที่ลอยได้ นั่นเอง ดีนะครับ ที่ไปตอนนั้นมีเรือ ใหญ่ ของ อินเดียมารอ รับบริการซ่อมแซมอยู่ เลย กั้นคลื่นจากทะเล ไปได้ ไม่อย่างงั้นคง เมาคลื่น ไป ด้วย.......มีคุณ MAN ผู้ถือหุ้นASIMAR บ่นเรื่อง มึนศีรษะเล็กน้อย...... ส่วนผม สบายดี ถึงแม้จะมีวัยวุฒิมากกว่าเขา
แหมก็ลุงขวด ทั้งหล่อ ล่ำ ทั้งแข็ง..แรงปานนั้น (เห็นฟิตที่สวนเบญจสิริทุกวัน) ไอ้ผมมันพวกผอมแห้งแรงน้อยแถมพักผ่อนไม่เพียงพอเลยมึนๆไปหน่อย แหมถ้าฝ่ายต้อนรับเปลี่ยนจากกาแฟเป็นไวน์แดงสงสัยจะหายมึน อิอิ
ขอบคุณพีๆ เพื่อนๆ ที่นำมาเล่าสู่กันฟังครับ
ดูไปก็เป็นบริษัทที่เข้าทีทีเดียว
คงต้องไปดูงบการเงินบ้างแล้วครับ
ดูแล้วเป็นไงช่วยมาแสดงความเห็นหน่อยนะ คุณลูกอีสาน
ความเห็นส่วนตัวของผมในฐานะนักลงทุนเห็นแล้วสบายใจครับ กิจการที่งานล้นจนเลือกลูกค้าได้เนี่ยผมชอบ แต่ต้องบริหารต้นทุนให้ดี ทำงานให้เรียบร้อย อย่างรวดเร็ว จะได้รับลูกค้าเพิ่มได้ และพยายามตัดค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ เรื่องประหยัดเนี่ยยังประทับใจไทยเรยอนอยู่เลย เขาทำได้เยี่ยมมาก นี่แหละครับประโยชน์ของการ visit company ย้ำ! ดีจริงๆได้เห็นกับตาได้ยินกับหู ในสิ่งที่ไม่เคยรู้เคยเห็น
ปล.เดี๋ยวขอศึกษาวิธีโพสรูปก่อน ถ่ายมาแล้ว โพสไม่เป็น อิอิ
โทษทีคุณเจ๋ง 2-3วันนี้ยุ่งจนโทรม กลับจากasimar เย็นมีประชุมต่ออีก
โดยส่วนตัวผมประทับใจ ทีมงานนี้มากเลยครับ ทั้ง MD คนเก่ง และฝ่ายการเงิน ฝ่ายการตลาด อีกคนฝ่ายอะไรจำไม่ได้ ทั้ง 4 ท่าน ยินดีเข้ามาตอบคำถามสำหรับนักลงทุน ทุกคำถาม
ทีมผู้บริหารที่มาต้อนรับนักลงทุน คุณ วรวรรณ งานทวี MD คุณ สมบูรณ์ ศิริชัยนฤมิตร ผอ.ฝ่ายการเงิน คุณ สิทธิพล เจริญสุข ผอ.สายการผลิต คุณ ดายานาน ตีวารี ผจก.ฝ่ายการตลาด และจนท.บริษัทอีกหลายท่าน
โดยส่วนตัวผมแล้ว บริษัทนี้ผมว่าเป็นโมโนโพลี่ เพราะเป็นเจ้าใหญ่ที่สุดในเมืองไทยในเรื่องการซ่อมเรือ จนกระทั้งบริษัทขยายความสามารถ ไปต่อเรือได้ โดยในอดีตเคยต่อเรือรบให้กับรัฐบาลไทยมาแล้ว
ปกติบริษัทแบบนี้ ผมว่า ไม่มีกำไรก็ไม่ต้องเซ็นสัญญา แต่อาจจะเนื่องจากบริษัทมี fix cost ที่ต้องจ่ายเช่นมีพนักงาน ประมาณ 300 ชีวิต ที่เป็นช่างฝีมือ ทำให้บริษัทต้องพยายามป้อนงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และการที่ต้องแข่งกัน จีน เวียตนาม ที่เน้นค่าแรงถูก ผลคือ บริษัทก็เลยเลือกที่จะแข่งด้านราคาเพื่อเพิ่มยอดขาย เพราะตั้งไว้ 600 ล้านบาท ผมเองก็ไม่ค่อยเห็นด้วยซักเท่าไร เพราะช่วงนี้เป็นตลาดขาขึ้น เรือกำลังขาดแคลน ค่าระวางยังสูงเมื่อเทียบกับในอดีต ถ้าเลือกทีจะแข่งด้านราคาในช่วงนี้ ผลคือในช่วงตลาดขาลง ก็คงแย่อย่างแน่นอน
MDแจ้งว่างานที่มีการแข่งขันด้านราคาส่วนใหญ่จะเป็นงานโครงการ ซึ่งช่วงที่ผ่านมายอมลดราคาสู้เพราะต้องการสร้างชื่อให้สายการเดินเรือต่างประเทศได้รู้จัก แต่จะไม่ใช้ตลอด ส่วนงานซ่อมบำรุงเรือทั่วไปgross marginอยู่ประมาณ 55-65%
ผมยังไม่ได้ลงทุน ในหุ้นตัวนี้เหมือนกัน แต่ที่ไป เพราะ อยากจะรู้กิจการของเขา และ อยากเห็น floating office ตึก 3 ชั้น ที่ลอยได้ นั่นเอง ดีนะครับ ที่ไปตอนนั้นมีเรือ ใหญ่ ของ อินเดียมารอ รับบริการซ่อมแซมอยู่ เลย กั้นคลื่นจากทะเล ไปได้ ไม่อย่างงั้นคง เมาคลื่น ไป ด้วย.......มีคุณ MAN ผู้ถือหุ้นASIMAR บ่นเรื่อง มึนศีรษะเล็กน้อย...... ส่วนผม สบายดี ถึงแม้จะมีวัยวุฒิมากกว่าเขา
แหมก็ลุงขวด ทั้งหล่อ ล่ำ ทั้งแข็ง..แรงปานนั้น (เห็นฟิตที่สวนเบญจสิริทุกวัน) ไอ้ผมมันพวกผอมแห้งแรงน้อยแถมพักผ่อนไม่เพียงพอเลยมึนๆไปหน่อย แหมถ้าฝ่ายต้อนรับเปลี่ยนจากกาแฟเป็นไวน์แดงสงสัยจะหายมึน อิอิ
ขอบคุณพีๆ เพื่อนๆ ที่นำมาเล่าสู่กันฟังครับ
ดูไปก็เป็นบริษัทที่เข้าทีทีเดียว
คงต้องไปดูงบการเงินบ้างแล้วครับ
ดูแล้วเป็นไงช่วยมาแสดงความเห็นหน่อยนะ คุณลูกอีสาน
ความเห็นส่วนตัวของผมในฐานะนักลงทุนเห็นแล้วสบายใจครับ กิจการที่งานล้นจนเลือกลูกค้าได้เนี่ยผมชอบ แต่ต้องบริหารต้นทุนให้ดี ทำงานให้เรียบร้อย อย่างรวดเร็ว จะได้รับลูกค้าเพิ่มได้ และพยายามตัดค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ เรื่องประหยัดเนี่ยยังประทับใจไทยเรยอนอยู่เลย เขาทำได้เยี่ยมมาก นี่แหละครับประโยชน์ของการ visit company ย้ำ! ดีจริงๆได้เห็นกับตาได้ยินกับหู ในสิ่งที่ไม่เคยรู้เคยเห็น
ปล.เดี๋ยวขอศึกษาวิธีโพสรูปก่อน ถ่ายมาแล้ว โพสไม่เป็น อิอิ
-
- Verified User
- โพสต์: 28
- ผู้ติดตาม: 0
แปลกนะที่ไม่มีใครพูดถึง ASIMAR ทั้งๆที่เพิ่งไป visit company
โพสต์ที่ 12
ข้อมูลที่ได้จากการเยี่ยมชมกิจการ ASIMARเป็นกิจการอู่ซ่อมเรือแต่ไปอยู่
ในหมวดขนส่งแหล่งรายได้มาจาก 4 ทางคือ
1. การซ่อมเรือ เป็นแหล่งรายได้สูงสุด และ กำไรดีที่สุด
2. การต่อเรือ เป็นแหล่งรายได้ส่วนหนึ่ง แต่ถ้าให้เลือกจะซ่อมมากกว่า
แต่บางช่วงการซ่อมจะน้อย ก็มีแหล่งรายได้จากการต่อเรือมาเสริม
3. การให้บริการงานวิศวกรรม เช่นรับทดสอบความหนาของเรือ (อันนี้เป็น
รายได้ส่วนน้อย)
4. งานพิเศษ ขณะนี้รับงานทำโครงสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ เนื่องจากมี
ความสามารถผลิตโครงสร้างขนาดใหญ่และมี Know How
เรื่องราวเกี่ยวกับเรือ เวลาเรานึกถึงเรือผมจะนึกถึงเรือที่ขนตู้คอนเทนเนอร์
ใหญ่ๆ แต่ที่ ASIMAR ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรือขนตู้เลยครับ จะทำเรือ 4 ประเภท
1. เรือ Cargo ขนส่งพวกข้าวแป้งน้ำตาลฯ
2. เรือ Tank ขนส่งเคมีภัณฑ์ น้ำมัน ยางมะตอย
3. เรือ Tug เป็นพวกเรือลากจูง
4. เรืออื่นๆ เช่นเรือเฟอรี่ เรือข้ามฟาก เรือตรวจการหรือเรือรบ
เรือขนส่งจะมี Class ทุกๆ 3 ปีเป็นอย่างน้อยต้องมีการซ่อมบำรุง และต่อทะเบียน
คงเหมือนกับรถ การซ่อมบำรุงที่ดีก็จะยังคงรักษาระดับ Class เดิมไว้ได้ Classจะ
มีผลกับค่าระวางเรือ ดังนั้นเรือขนส่งทุกลำต้องเข้าซ่อมแน่ๆ และการซ่อมเรือก็
คล้ายกับรถเมื่อเข้าซ่อมที่ไหนแล้วก็เข้าที่นั่นเป็นประจำ(ถ้าบริการที่นั่นไม่เลวร้าย)
ทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบกิจการพอแบ่งได้ดังนี้
1. ที่ตั้งอยู่บริเวณปากอ่าวไทย ใกล้ป้อมพระจุลจอมเกล้า จังหวัดสมุทรประการ สามารถ
มองเห็นปากอ่าวเป็นทำเลที่ดี
2. Shipway คือทางที่จะนำเรือขึ้นบกหรือปล่อยเรือลงน้ำ ASIMAR มี 2 Shipway
ด้านเหนือและด้านใต้
3. อู่ซ่อมลอยน้ำขนาด 8,000 และ 20,000 เดทเวทตันเนื่องจากที่ตั้งบริเวณ
แม่น้ำเจ้าพระยาเรือใหญ่ที่สุดที่เข้าได้คือขนาด 20,000 DVT
4. พนักงานเนื่องจากบริษัทประกอบกิจการมา 20 กว่าปีจะมีพนักงานที่มีความ
เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรือ ทราบว่ามีพนักงานประมาณ 300 คน มีวิศวกรประมาณ 30 คน
บริษัทมีนโยบายรักษาแรงงานระดับฝึมือโดยเฉพาะช่างเชื่อม
5. คณะผู้บริหารจากการฟังบรรยายภาพรวมพบว่าผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ ทราบจุดอ่อนของ
ตัวเองเป็นอย่างดี ประกอบกับได้ตั้งกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการทำงาน
ในหมวดขนส่งแหล่งรายได้มาจาก 4 ทางคือ
1. การซ่อมเรือ เป็นแหล่งรายได้สูงสุด และ กำไรดีที่สุด
2. การต่อเรือ เป็นแหล่งรายได้ส่วนหนึ่ง แต่ถ้าให้เลือกจะซ่อมมากกว่า
แต่บางช่วงการซ่อมจะน้อย ก็มีแหล่งรายได้จากการต่อเรือมาเสริม
3. การให้บริการงานวิศวกรรม เช่นรับทดสอบความหนาของเรือ (อันนี้เป็น
รายได้ส่วนน้อย)
4. งานพิเศษ ขณะนี้รับงานทำโครงสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ เนื่องจากมี
ความสามารถผลิตโครงสร้างขนาดใหญ่และมี Know How
เรื่องราวเกี่ยวกับเรือ เวลาเรานึกถึงเรือผมจะนึกถึงเรือที่ขนตู้คอนเทนเนอร์
ใหญ่ๆ แต่ที่ ASIMAR ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรือขนตู้เลยครับ จะทำเรือ 4 ประเภท
1. เรือ Cargo ขนส่งพวกข้าวแป้งน้ำตาลฯ
2. เรือ Tank ขนส่งเคมีภัณฑ์ น้ำมัน ยางมะตอย
3. เรือ Tug เป็นพวกเรือลากจูง
4. เรืออื่นๆ เช่นเรือเฟอรี่ เรือข้ามฟาก เรือตรวจการหรือเรือรบ
เรือขนส่งจะมี Class ทุกๆ 3 ปีเป็นอย่างน้อยต้องมีการซ่อมบำรุง และต่อทะเบียน
คงเหมือนกับรถ การซ่อมบำรุงที่ดีก็จะยังคงรักษาระดับ Class เดิมไว้ได้ Classจะ
มีผลกับค่าระวางเรือ ดังนั้นเรือขนส่งทุกลำต้องเข้าซ่อมแน่ๆ และการซ่อมเรือก็
คล้ายกับรถเมื่อเข้าซ่อมที่ไหนแล้วก็เข้าที่นั่นเป็นประจำ(ถ้าบริการที่นั่นไม่เลวร้าย)
ทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบกิจการพอแบ่งได้ดังนี้
1. ที่ตั้งอยู่บริเวณปากอ่าวไทย ใกล้ป้อมพระจุลจอมเกล้า จังหวัดสมุทรประการ สามารถ
มองเห็นปากอ่าวเป็นทำเลที่ดี
2. Shipway คือทางที่จะนำเรือขึ้นบกหรือปล่อยเรือลงน้ำ ASIMAR มี 2 Shipway
ด้านเหนือและด้านใต้
3. อู่ซ่อมลอยน้ำขนาด 8,000 และ 20,000 เดทเวทตันเนื่องจากที่ตั้งบริเวณ
แม่น้ำเจ้าพระยาเรือใหญ่ที่สุดที่เข้าได้คือขนาด 20,000 DVT
4. พนักงานเนื่องจากบริษัทประกอบกิจการมา 20 กว่าปีจะมีพนักงานที่มีความ
เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรือ ทราบว่ามีพนักงานประมาณ 300 คน มีวิศวกรประมาณ 30 คน
บริษัทมีนโยบายรักษาแรงงานระดับฝึมือโดยเฉพาะช่างเชื่อม
5. คณะผู้บริหารจากการฟังบรรยายภาพรวมพบว่าผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ ทราบจุดอ่อนของ
ตัวเองเป็นอย่างดี ประกอบกับได้ตั้งกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการทำงาน
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
แปลกนะที่ไม่มีใครพูดถึง ASIMAR ทั้งๆที่เพิ่งไป visit company
โพสต์ที่ 14
ผมเป็นเจ้าของกับเขาเหมือนกันหลังไป visit มา ก็ ยังเก็บอยู่ หนึ่งพันหุ้นที่ 1.30 บาท ลงทุนไป หนึ่งพันสามร้อยบาทครับ เอาไว้ศึกษาและติดตามการเปลี่ยนแปลงของหุ้นตัวนี้ ผมว่า เป็นหุ้นที่ น่าจะหลุดจากแนวโน้มต่ำสุดเหมือนกัน แต่จะ เติบโตอย่างไร ก็ ขึ้นกับ ท่านผู้บริหารทั้งหลายครับ.....ตอนนี้อาจมีเรือตำรวจมาให้ต่อใหม่ และ ซ่อมแซมเพิ่มขึ้นก็ได้นะครับ.........ส่วนราคาหุ้นตอบไม่ได้ว่า จะเป็นอย่างไร มันเป็นหุ้นลากขึ้นลากลงตัวหนึ่งเหมือนกัน
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่