ซื้อคืนIRPC-PTTARปตท.รับไม่ได้ต่ำบุ๊ค:หวังหุ้นฟื้นตัว
- vichit
- Verified User
- โพสต์: 15833
- ผู้ติดตาม: 0
ซื้อคืนIRPC-PTTARปตท.รับไม่ได้ต่ำบุ๊ค:หวังหุ้นฟื้นตัว
โพสต์ที่ 1
ซื้อคืนIRPC-PTTARปตท.รับไม่ได้ต่ำบุ๊ค:หวังหุ้นฟื้นตัว-ปันผลเพิ่ม:"ชายน้อย"รับถูกเกินไป
ปตท.ทนดูไม่ได้ 2 หุ้นลูก IRPC-PTTAR ราคาตกแบบไม่มีหูรูด ล่าสุดต่ำกว่าบุ๊คแวลลูไปแล้ว ผู้บริหารรับมีแนวคิดให้ทั้ง 2 บริษัทดำเนินการซื้อหุ้นคืน เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาหุ้นและหวังจ่ายปันผลมากขึ้นชดเชยราคาหุ้นที่ตกลงไป "ชายน้อย"ยอมรับหุ้น PTTAR ถูกเกินจริง มั่นใจงบไตรมาส 2 เริ่มกระเตื้อง หลังค่าการกลั่นและราคาอะโรเมติกส์ขยับขึ้นพอสมควร
แหล่งข่าวจากผู้บริหารระดับสูง บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)หรือ PTT เปิดเผยกับ"ข่าวหุ้นธุรกิจ"ว่า จากราคาหุ้นบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด(มหาชน) หรือ IRPC และบริษัทปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด(มหาชน) หรือ PTTAR ปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่องจนล่าสุดราคา IRPC ปิดที่ระดับ 4 บาท ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีที่ 4.85 บาทเช่นเดียวกับหุ้น PTTAR ล่าสุดปิดที่ 23.60 บาท ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีที่ 23.62 บาท
กรณีดังกล่าวปตท.ในฐานะผู้ถือหุ้นทั้ง 2 บริษัท มองว่าราคาหุ้นที่ปรับลงที่ผ่านมานั้นนับว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง จึงมีแนวคิดจะให้นโยบายกับบริษัท 2 แห่งไปศึกษาถึงแผนการซื้อหุ้นคืน(Treasury Stock)ตามกฎหมายไม่เกิน 10% กล่าวคือหากเป็น IRPC จะซื้อคืนได้ไม่เกิน 1,950 ล้านหุ้น(จากทั้งหมด 19,500 ล้านหุ้น) และหากเป็น PTTAR ซื้อคืนได้ไม่เกิน 296.63 ล้านหุ้น(จาหทั้งหมด 2,963.63 ล้านหุ้น)
อย่างไรก็ดีจะซื้อหุ้นคืนได้มากน้อยเท่าใด ต้องดูกระแสเงินสดของทั้ง 2 บริษัทด้วยเพราะดูงบการเงินล่าสุด IRPC มีกระแสเงินสดประมาณ 5,900 ล้าบาท ขณะที่ PTTARมีกระแสเงินสดประมาณ 1,500 ล้านบาท ทั้งนี้ผลดีที่ผู้ถือหุ้นทั้ง 2 บริษัท จะได้รับคือเงินปันผลเพิ่มมากขึ้นและที่สำคัญจะทำให้ราคาหุ้นทั้ง IRPC และ PTTAR มีเสถียรภาพมากขึ้นตามไปด้วย
นายชายน้อย เผื่อนโกสุม กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด(มหาชน) หรือ PTTAR เปิดเผยกับ"ข่าวหุ้นธุรกิจ"ว่ายอมรับราคาหุ้น PTTARปัจจุบันต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี(บุ๊กแวลู) สาเหตุราคาหุ้นปรับตัวต่ำมากจาก 3 ปัจจัย 1.ราคาน้ำมันแพงขึ้นมาก 2.ราคาผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ปรับขึ้นยาก และ3.ภาวะปัจจัยจากภายนอกจากเหตุการณ์ทางการเมืองไม่นิ่ง ส่งผลให้ต่างชาติไม่มีความมั่นใจในการลงทุน ต่างพากันเทขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทมีการตั้งทีมงานขึ้นมาศึกษาผลกระทบเหมือนกันกรณีราคาหุ้นปรับลดลงมาต่ำดังกล่าว
"ผมยอมรับราคาหุ้น PTTAR ตอนนี้ราคาลงมาต่ำมาก เกือบต่ำกว่าบุ๊กแวลูแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะมีหลายปัจจัยทั้งราคาน้ำมันแพงมากราคาผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ปรับเพิ่มขึ้นยากไม่ทันต้นทุน และสาเหตุทางการเมือง ที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติ ไม่มั่นใจนการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่างพากันเทขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่องโดยมองว่าเหมือนเป็นการซ่ำเติมเราเหมือนกัน"นายชายน้อยกล่าว
ทั้งนี้แม้ล่าสุดบริษัทยังไม่มีนโยบายเข้าซื้อหุ้น PTTAR คืน ตามสัดส่วน 10% ตามกฎของตลาดหลักทรัพย์ โดยบริษัทจะขอดูนโยบายของบริษัทแม่ก่อน(บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน)หรือ PTT)ว่าจะมีนโยบายออกมายังไง โดยวานนี้(26มิ.ย.)บริษัทมีการประชุมบอร์ดเพื่อรายงานความก้าวหน้าโครงการต่างๆ ของบริษัทว่ามีความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว
อย่างไรก็ตามเดือนสิงหาคมโรงงานอะโรเมติกส์หน่วยที่ 2 จะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ แม้ราคาน้ำมันแพงมากบริษัทเปิดโรงงานอาจจะไม่คุ้มกับต้นทุนที่สูงมาก แต่บริษัทจะไปบริหารลดต้นด้านอื่นๆ แทนที่บริษัทจะเลื่อนการเปิดโรงงานออกไปเพราะว่าต้องการรักษาตลาด
โดยราคาผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์เดือนมิ.ย.51 เริ่มปรับตัวดีขึ้น ราคาพาราไซลีนปัจจุบันอยู่ที่ 1,600-1,700 เหรียญต่อตันจากราคาต้นปี 51 อยู่ที่ 1,200 เหรียญต่อตันส่วนราคาผลิตภัณฑ์เบนซีน 1,400 เหรียญต่อตันจากราคาต้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1,000 เหรียญต่อตัน สาเหตุที่ราคาผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ปรับตัวดีขึ้น เพราะมีโรงงานอะโรเมติกส์ต่างประเทศปิดซ่อมบำรุงโรงงานเป็นจำนวนมาก ทำให้ราคาปรับเพิ่มขึ้นมาในปัจจุบัน
นอกจากนี้ค่าการกลั่นไตรมาส 2/51 ดีกว่าค่าการกลั่นในไตรมาส 1/51เนื่องจากค่าการกลั่นในไตรมาส 1/51 ออกมาต่ำมาก ซึ่งไตรมาส 2/51 ออกมาดีทำให้บริษัทก็ได้รับประโยชน์ไปด้วย ส่วนกรณีบริษัทให้ความร่วมมือลดค่าการกลั่นลง 3 บาท/ลิตร จำนวน6 เดือน บริษัทได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน จากปัญหา ราคาน้ำมันที่แพงขึ้นอย่างรวดเร็วจนยากต่อการปรับตัวในระยะเวลาอันสั้นและเพื่อให้การบริโภคมีความต่อเนื่อง ไม่มีเหตุหยุดชะงัก อันอาจทำให้มีผลกระทบต่อกระบวนการผลิตของบริษัทระยะยาว
--------------------------
วันที่ 27 มิ.ย. 2551 แสดงข่าวมาแล้ว 1ช.ม. 27นาที
PTTAR Price %Change High Low P/E BV
23.50 -0.42 % 23.50 23.30 4.66 1.00
PTT Price %Change High Low P/E BV
308.00 0.65 % 308.00 304.00 8.51 2.20
IRPC Price %Change High Low P/E BV
4.00 0.00 % 4.00 3.96 7.03 0.82
http://www.kaohoon.com/pg.newspaper/fir ... ?cid=16598
ปตท.ทนดูไม่ได้ 2 หุ้นลูก IRPC-PTTAR ราคาตกแบบไม่มีหูรูด ล่าสุดต่ำกว่าบุ๊คแวลลูไปแล้ว ผู้บริหารรับมีแนวคิดให้ทั้ง 2 บริษัทดำเนินการซื้อหุ้นคืน เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาหุ้นและหวังจ่ายปันผลมากขึ้นชดเชยราคาหุ้นที่ตกลงไป "ชายน้อย"ยอมรับหุ้น PTTAR ถูกเกินจริง มั่นใจงบไตรมาส 2 เริ่มกระเตื้อง หลังค่าการกลั่นและราคาอะโรเมติกส์ขยับขึ้นพอสมควร
แหล่งข่าวจากผู้บริหารระดับสูง บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)หรือ PTT เปิดเผยกับ"ข่าวหุ้นธุรกิจ"ว่า จากราคาหุ้นบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด(มหาชน) หรือ IRPC และบริษัทปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด(มหาชน) หรือ PTTAR ปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่องจนล่าสุดราคา IRPC ปิดที่ระดับ 4 บาท ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีที่ 4.85 บาทเช่นเดียวกับหุ้น PTTAR ล่าสุดปิดที่ 23.60 บาท ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีที่ 23.62 บาท
กรณีดังกล่าวปตท.ในฐานะผู้ถือหุ้นทั้ง 2 บริษัท มองว่าราคาหุ้นที่ปรับลงที่ผ่านมานั้นนับว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง จึงมีแนวคิดจะให้นโยบายกับบริษัท 2 แห่งไปศึกษาถึงแผนการซื้อหุ้นคืน(Treasury Stock)ตามกฎหมายไม่เกิน 10% กล่าวคือหากเป็น IRPC จะซื้อคืนได้ไม่เกิน 1,950 ล้านหุ้น(จากทั้งหมด 19,500 ล้านหุ้น) และหากเป็น PTTAR ซื้อคืนได้ไม่เกิน 296.63 ล้านหุ้น(จาหทั้งหมด 2,963.63 ล้านหุ้น)
อย่างไรก็ดีจะซื้อหุ้นคืนได้มากน้อยเท่าใด ต้องดูกระแสเงินสดของทั้ง 2 บริษัทด้วยเพราะดูงบการเงินล่าสุด IRPC มีกระแสเงินสดประมาณ 5,900 ล้าบาท ขณะที่ PTTARมีกระแสเงินสดประมาณ 1,500 ล้านบาท ทั้งนี้ผลดีที่ผู้ถือหุ้นทั้ง 2 บริษัท จะได้รับคือเงินปันผลเพิ่มมากขึ้นและที่สำคัญจะทำให้ราคาหุ้นทั้ง IRPC และ PTTAR มีเสถียรภาพมากขึ้นตามไปด้วย
นายชายน้อย เผื่อนโกสุม กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด(มหาชน) หรือ PTTAR เปิดเผยกับ"ข่าวหุ้นธุรกิจ"ว่ายอมรับราคาหุ้น PTTARปัจจุบันต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี(บุ๊กแวลู) สาเหตุราคาหุ้นปรับตัวต่ำมากจาก 3 ปัจจัย 1.ราคาน้ำมันแพงขึ้นมาก 2.ราคาผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ปรับขึ้นยาก และ3.ภาวะปัจจัยจากภายนอกจากเหตุการณ์ทางการเมืองไม่นิ่ง ส่งผลให้ต่างชาติไม่มีความมั่นใจในการลงทุน ต่างพากันเทขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทมีการตั้งทีมงานขึ้นมาศึกษาผลกระทบเหมือนกันกรณีราคาหุ้นปรับลดลงมาต่ำดังกล่าว
"ผมยอมรับราคาหุ้น PTTAR ตอนนี้ราคาลงมาต่ำมาก เกือบต่ำกว่าบุ๊กแวลูแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะมีหลายปัจจัยทั้งราคาน้ำมันแพงมากราคาผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ปรับเพิ่มขึ้นยากไม่ทันต้นทุน และสาเหตุทางการเมือง ที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติ ไม่มั่นใจนการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่างพากันเทขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่องโดยมองว่าเหมือนเป็นการซ่ำเติมเราเหมือนกัน"นายชายน้อยกล่าว
ทั้งนี้แม้ล่าสุดบริษัทยังไม่มีนโยบายเข้าซื้อหุ้น PTTAR คืน ตามสัดส่วน 10% ตามกฎของตลาดหลักทรัพย์ โดยบริษัทจะขอดูนโยบายของบริษัทแม่ก่อน(บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน)หรือ PTT)ว่าจะมีนโยบายออกมายังไง โดยวานนี้(26มิ.ย.)บริษัทมีการประชุมบอร์ดเพื่อรายงานความก้าวหน้าโครงการต่างๆ ของบริษัทว่ามีความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว
อย่างไรก็ตามเดือนสิงหาคมโรงงานอะโรเมติกส์หน่วยที่ 2 จะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ แม้ราคาน้ำมันแพงมากบริษัทเปิดโรงงานอาจจะไม่คุ้มกับต้นทุนที่สูงมาก แต่บริษัทจะไปบริหารลดต้นด้านอื่นๆ แทนที่บริษัทจะเลื่อนการเปิดโรงงานออกไปเพราะว่าต้องการรักษาตลาด
โดยราคาผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์เดือนมิ.ย.51 เริ่มปรับตัวดีขึ้น ราคาพาราไซลีนปัจจุบันอยู่ที่ 1,600-1,700 เหรียญต่อตันจากราคาต้นปี 51 อยู่ที่ 1,200 เหรียญต่อตันส่วนราคาผลิตภัณฑ์เบนซีน 1,400 เหรียญต่อตันจากราคาต้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1,000 เหรียญต่อตัน สาเหตุที่ราคาผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ปรับตัวดีขึ้น เพราะมีโรงงานอะโรเมติกส์ต่างประเทศปิดซ่อมบำรุงโรงงานเป็นจำนวนมาก ทำให้ราคาปรับเพิ่มขึ้นมาในปัจจุบัน
นอกจากนี้ค่าการกลั่นไตรมาส 2/51 ดีกว่าค่าการกลั่นในไตรมาส 1/51เนื่องจากค่าการกลั่นในไตรมาส 1/51 ออกมาต่ำมาก ซึ่งไตรมาส 2/51 ออกมาดีทำให้บริษัทก็ได้รับประโยชน์ไปด้วย ส่วนกรณีบริษัทให้ความร่วมมือลดค่าการกลั่นลง 3 บาท/ลิตร จำนวน6 เดือน บริษัทได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน จากปัญหา ราคาน้ำมันที่แพงขึ้นอย่างรวดเร็วจนยากต่อการปรับตัวในระยะเวลาอันสั้นและเพื่อให้การบริโภคมีความต่อเนื่อง ไม่มีเหตุหยุดชะงัก อันอาจทำให้มีผลกระทบต่อกระบวนการผลิตของบริษัทระยะยาว
--------------------------
วันที่ 27 มิ.ย. 2551 แสดงข่าวมาแล้ว 1ช.ม. 27นาที
PTTAR Price %Change High Low P/E BV
23.50 -0.42 % 23.50 23.30 4.66 1.00
PTT Price %Change High Low P/E BV
308.00 0.65 % 308.00 304.00 8.51 2.20
IRPC Price %Change High Low P/E BV
4.00 0.00 % 4.00 3.96 7.03 0.82
http://www.kaohoon.com/pg.newspaper/fir ... ?cid=16598
-
- Verified User
- โพสต์: 393
- ผู้ติดตาม: 0
ซื้อคืนIRPC-PTTARปตท.รับไม่ได้ต่ำบุ๊ค:หวังหุ้นฟื้นตัว
โพสต์ที่ 3
แฟนผมก็มีตั้งแต่เป็นโรงกลั่นระยอง ขาดทุนบานเลยครับ แต่นี่เป็นบทสัมภาษณ์เมื่อประมาณต้นปีนี้ของ MD ครับ ผมแค่เห็นว่าแกคะเนผิดไปเยอะเลย อยากให้ช่วยๆกันดูน่ะครับ
ทิศทางพลังงานและอะโรเมติกส์ยังสดใส
สัมภาษณ์ : ชายน้อย เผื่อนโกสุม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.อะโรเมติส์และการกลั่น
บมจ. ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น หรือ PTTAR เกิดจากการควบรวมระหว่าง บริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด (มหาชน) หรือ RRC และ บริษัท อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ATC มีทุนเรียกชำระแล้วรวม 29,636.29 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญ 2,963.63 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท
ธุรกิจหลักของ PTTAR ได้แก่ 1) ธุรกิจการกลั่นน้ำมันและจัดหาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสำเร็จรูป เช่น น้ำมันสำเร็จรูปชนิดเบา ชนิดกึ่งหนักกึ่งเบา และชนิดหนัก 2) ธุรกิจการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ขั้นต้น ได้แก่ เบนซีน พาราไซลีน ออร์โธไซลีน โทลูอีน และมิกซ์ไซลีน เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์ขั้นกลางและขั้นปลายจำพวกโพลิเอทิลีน โพลิคาบอร์เนต ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมสิ่งทอ หรือ HDPE วัตถุดิบสำคัญในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์-อิเล็กทรอนิกส์ และ 3) ธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ต่อเนื่อง ได้แก่ ไซโคลเฮกเซน (Cyclohexane) แนฟทาชนิดเบา แรฟฟิเนท ก๊าซปิโตรเลียมเหลว คอนเดนเสท เรซิดิว และสารอะโรเมติกส์หนัก
นอกจากนี้ PTTAR ยังมีบริษัทร่วมทุนอีก 4 แห่ง ได้แก่ บริษัท พีทีที ฟีนอล จำกัด บริษัท พีทีที ยูทิลิตี้ จำกัด บริษัท พีทีที ไอซีที โซลูชั่นส์ จำกัด และบริษัท อัลลายแอนซ์ รีไฟน์นิ่ง จำกัด
สำหรับฐานะการเงินของ PTTAR ตามงบการเงินเสมือนรวมบริษัทในปี 2550 (งวด 9 เดือน สิ้นสุด 30 ก.ย.) บริษัทมีสินทรัพย์รวม 129,090 ล้านบาท หนี้สินรวม 64,879 ล้านบาท รายได้รวม 178,469 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 13,582 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 8 โดยมีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity) ประมาณร้อยละ 21 สำหรับนโยบายจ่ายเงินปันผล PTTAR จะจ่าย ปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิ หลังหักภาษีและทุนสำรองต่างๆ
และเพื่อความชัดเจนหลังการควบรวมกิจการ เราจะมาคุยกับ ชายน้อย เผื่อนโกสุม กรรมการผู้จัดการใหญ่ ถึงเหตุผลในการควบรวมและทิศทางในอนาคต
>> การควบรวม RRC กับ ATC เป็นเพราะปัญหาทางการเงินหรือเปล่า?
การควบรวมกิจการระหว่าง RRC กับ ATC ไม่ได้เป็นเพราะปัญหาทางการเงิน แต่เนื่องจาก ต้องการใช้จุดแข็งของแต่ละฝ่ายมาผนึกรวมกัน ซึ่งโดยปกติธุรกิจทั่วโลกอะโรเมติกส์ถือเป็นส่วน หนึ่งของโรงกลั่น เนื่องจากผลผลิตจากโรงกลั่นส่วนหนึ่งจะถูกนำไปต่อยอดเพื่อทำเป็นสารอะโรเมติกส์ อาทิ พาราไซลีน เบนซีน ซึ่งเป็นปิโตรเคมีต้นน้ำ ดังนั้น การนำมารวมกันจึงเปรียบเสมือนการเพิ่มประสิทธิภาพของกันและกัน และยังเป็นการลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร วัตถุดิบ เช่นการนำไฮโดรเจนจากโรง งานอะโรเมติกส์มาเผาในโรงกลั่นแทนที่จะนำไปทิ้ง ซึ่งใช้เงินลงทุนประมาณ 20 ล้านเหรียญ สหรัฐ แต่สามารถสร้างรายได้ 22 ล้านเหรียญ สหรัฐต่อปี เป็นต้น สาเหตุอีกประการหนึ่งคือ การรวมกันจะสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในกรณีที่ธุรกิจหนึ่งเกิดมีปัญหา เนื่องจากผลประกอบการนั้นมีขึ้นมีลง ช่วงไหนน้ำมันแพงเรา ก็ขายน้ำมัน แต่ถ้าช่วงไหนน้ำมันถูกก็เน้นขายอะโรเมติกส์
>> แต่ทำไมหลังรวมกันทิศทางหุ้นจึง ไม่พุ่งตามที่หลายคนคาดการณ์?
เป็นเรื่องเชิงจิตวิทยาเท่านั้น คือนักลงทุน มองว่าในไตรมาส 3 โรงกลั่นใหม่ของจีนกับอินเดียจะสร้างเสร็จ อาจทำให้กำไรของเราลดลง ทั้งที่ความจริงแม้จะมีซัพพลายเกิดขึ้นมาก แต่ดีมานด์ก็เพิ่มขึ้นทุกวัน ซึ่งโรงกลั่นของ จีนก็สร้างเพื่อหนุนโรงกลั่นเก่าที่มีอยู่แล้ว ในขณะที่อินเดียสร้างโรงกลั่นเพื่อผลิตน้ำมันเบนซินขายให้อเมริกา และขายน้ำมันดีเซลให้ยุโรป ซึ่งความต้องการใช้พลังงานของโลกนั้นยังมีอีกมหาศาล เช่นเดียวกับกลุ่มอะโรเมติกส์ คนมองว่าเมื่ออเมริกามีปัญหาทำให้เศรษฐกิจโลกมีปัญหา และอุตสาหกรรมสิ่งทอ ซึ่งมีตลาด หลักอยู่ที่อเมริกาจะมีปัญหาตามไปด้วย ซึ่งอาจ ทำให้ปิโตรเคมีปลายน้ำที่ใช้เป็นวัตถุดิบผลิตสิ่งทอมีปัญหาและส่งผลกระทบต่อปิโตรเคมีกลางน้ำและต้นน้ำ แต่อย่าลืมว่าอเมริกาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อแก้ปัญหา เช่นการลดดอกเบี้ย การให้สิทธิพิเศษด้านภาษี หรือแม้กระทั่งการกระตุ้นการใช้จ่าย เราจึงเชื่อว่าเศรษฐกิจอเมริกาจะไม่เลวร้ายไปกว่านี้ ประกอบ กับกลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอวันนี้ก็ไม่ได้พึ่งตลาด อเมริกาเป็นหลัก แต่ขยายไปยังตลาดใหม่ๆ เช่นตลาดอาเซียน เป็นต้น จึงเชื่อว่าอนาคตผลิต ภัณฑ์อะโรเมติกส์ยังไปได้ดี
>> จำได้ว่าเมื่อกว่าสิบปีก่อนโรงกลั่นประสบปัญหาขาดทุนมีกำไรเหลือแค่ 1 เหรียญ เหตุการณ์แบบนั้นจะกลับมาอีกหรือเปล่า?
เราเคยผ่านสถานการณ์ตรงนั้นมาซึ่งถือเป็นบทเรียนที่คุ้มค่า เราจึงให้ความสนใจกับการ ควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมาก จนกล้าพูดได้ว่าถ้าสร้างโรงกลั่นแบบเดียวกันในโลกจะใช้เงินมากกว่าเรา นี่ยังไม่พูดเรื่องค่าใช้จ่ายในการดำเนิน งานนะ ซึ่งเคยมีการทำเบนชมาร์กเปรียบเทียบ 50 โรงกลั่น ปรากฏว่าเราเป็นหนึ่งแห่งที่มีค่าบริหารจัดการถูกมาก เพราะฉะนั้นหากมีวิกฤติเกิดขึ้น เราคงเป็นโรงกลั่นท้ายๆ ที่จะได้รับผลกระทบ
>> นโยบายภายหลังควบรวมกับ ATC?
ในเบื้องต้นเราคงนำวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วน ผสมในการผลิตน้ำมันเบนซินส่งต่อให้ ATC ผลิต ปิโตรเคมี วิธีนี้จะทำให้ผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ราคาถูกลงด้วย ได้ปริมาณมากขึ้นด้วย ซึ่งที่ผ่าน มา RRC ก็ไม่ได้เน้นการผลิตน้ำมันเบนซิน แต่เน้นการผลิตดีเซล โดยส่งส่วนผสมการผลิต ไปให้ กับบริษัทในเครือเพื่อผลิตเบนซิน ขณะเดียวกันบริษัทในเครือก็ส่งวัตถุดิบที่เป็นส่วนผสมการผลิต น้ำมันดีเซลมาให้เรา แต่หลังการควบรวมเราก็เปลี่ยนการส่งวัตถุดิบไปให้กับ ATC แทน
>> ราคาอะโรเมติกส์วันนี้อยู่ในระดับไหน?
ยังอยู่ในเกณฑ์ดีมาก คือพาราไซลีน 1 พันเหรียญสหรัฐต่อตัน เบนซีน 900 เหรียญสหรัฐต่อตัน ถือว่าสูง แต่ที่ผ่านมากำไรไม่ดีเพราะราคาน้ำมันดิบสูงทำให้ต้นทุนแพง ซึ่งต่อ ไปนี้หลังการเชื่อมต่อเสร็จสิ้นจะมีความคล่องตัว ต้นทุนลดลงในขณะที่ผลผลิตมากขึ้น โดยพาราไซลีนทั้งหมดเน้นขายในประเทศ ส่วนเบนซีนขายในประเทศส่วนหนึ่ง อีกส่วนส่งออก ไปขายในต่างประเทศ
>> ธุรกิจอะโรเมติกส์ถือว่ามีคู่แข่งไหม?
มีไทยออยล์ผลิตพาราไซลีน เอสโซ่ก็ผลิต ได้ จะว่าเป็นคู่แข่งก็ได้ แต่โดยหลักการผู้ซื้อจะไม่นิยมซื้อกับรายใดรายหนึ่ง แต่จะทำสัญญา ซื้อกับผู้ผลิตหลายราย เพราะหากเกิดปัญหาการ ผลิตรายใดหยุดชะงักก็สามารถใช้วัตถุดิบจากอีกรายทดแทนกันได้
>> ทำไมกลุ่ม ปตท.จึงไม่รวมหน่วยงานเหมือนกันเข้าด้วยกัน แทนที่จะต่างคนต่างทำ?
ในระยะยาวอาจเป็นไปได้ คือรวมธุรกิจเหมือนกันไว้ในกลุ่มเดียวกัน ใช้ผลประโยชน์ร่วมกัน เช่น รวมโรงกลั่นทั้งหมดเป็นบริษัทเดียว กัน นำการจัดซื้อจัดจ้างมาไว้ด้วยกัน ขณะเดียว กันก็รวมกลุ่มปิโตรเคมีไว้ด้วยกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องดูเรื่องสถานที่ตั้งด้วยว่าอยู่ใกล้กันหรือเชื่อมต่อกันหรือเปล่า ซึ่งหากตั้งอยู่ไกลกันก็คง ทำลำบาก ซึ่ง ปตท.ก็ได้ตั้งทีมที่ปรึกษาศึกษาในเรื่องนี้อยู่
>> คาดว่าปีนี้ PTTAR จะมีกำไรเพิ่มขึ้นหรือเปล่า?
ผมคงยังตอบไม่ได้ว่าปีนี้จะมีกำไรเท่าไหร่ แต่ในเดือนสิงหาคมโรงกลั่นใหม่จะสร้างเสร็จเพิ่มกำลังการผลิตอีก 7 หมื่นบาร์เรลต่อวัน เพิ่ม ปริมาณการผลิตอะโรเมติกส์จาก 1 ล้านตันเป็น 2 ล้านตัน ประกอบกับปีนี้จีนจัดกีฬาโอลิมปิกซึ่งความต้องการน้ำมันและอะโรเมติกส์จะเพิ่มขึ้น เรียกว่าความต้องการขยายตัวทุกวัน นอก จากนี้เรายังทำการซื้อขายล่วงหน้าในราคาที่สูงกว่าปี 2007 ด้วยซ้ำ
>> อยากให้วิเคราะห์หุ้นในกลุ่ม ปตท.?
หุ้นในกลุ่ม ปตท.เป็นหุ้นพื้นฐานยังไงก็ไม่เจ๊ง เพียงแต่กำไรมากหรือน้อยเท่านั้น ทุกบริษัทมีแผนการทำงานที่ชัดเจน แม้จะมีคู่แข่งมากแต่เรามีความได้เปรียบด้านต้นทุนที่ถูกกว่า ซึ่งปีนี้สิ่งที่เราเห็นแน่ๆ คือต้นทุนดอกเบี้ยลดลง 2% ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนไม่มีผลกระทบมากนักเพราะเราซื้อขายน้ำมันดิบเป็นดอลล์ ในขณะ ที่หนี้สินเป็นบาทครึ่งหนึ่ง ดอลลาร์ครึ่งหนึ่ง กำลังดูจังหวะว่าจะเปลี่ยนสกุลเงินหรือไม่ ซึ่งยังไม่อยากเปลี่ยนตอนนี้เพราะหากดอลลาร์แข็งค่าเราจะเจ็บตัวได้ ปัจจุบันเรามีวงเงินเหลือ มากกว่า 700 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากการ บริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ ตาม เรามีคณะกรรมการดูแลอัตราแลกเปลี่ยน อย่างใกล้ชิดเป็นการเซฟตัวเองไม่ใช่การเก็งกำไร
>> ราคาน้ำมันปีนี้จะอยู่ที่เท่าไหร่
เฉลี่ย 75-80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เหตุ ผลเพราะผมมองว่าหากปัญหาซับไพร์มเริ่มคลี่คลายค่าเงินดอลลาร์จะกลับมาแข็งค่า นักลงทุน จะไม่หนีไปซื้อน้ำมัน ทอง หรือแพลตินั่มเพื่อเก็งกำไรเหมือนปลายปีที่ผ่านมา
ทิศทางพลังงานและอะโรเมติกส์ยังสดใส
สัมภาษณ์ : ชายน้อย เผื่อนโกสุม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.อะโรเมติส์และการกลั่น
บมจ. ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น หรือ PTTAR เกิดจากการควบรวมระหว่าง บริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด (มหาชน) หรือ RRC และ บริษัท อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ATC มีทุนเรียกชำระแล้วรวม 29,636.29 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญ 2,963.63 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท
ธุรกิจหลักของ PTTAR ได้แก่ 1) ธุรกิจการกลั่นน้ำมันและจัดหาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสำเร็จรูป เช่น น้ำมันสำเร็จรูปชนิดเบา ชนิดกึ่งหนักกึ่งเบา และชนิดหนัก 2) ธุรกิจการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ขั้นต้น ได้แก่ เบนซีน พาราไซลีน ออร์โธไซลีน โทลูอีน และมิกซ์ไซลีน เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์ขั้นกลางและขั้นปลายจำพวกโพลิเอทิลีน โพลิคาบอร์เนต ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมสิ่งทอ หรือ HDPE วัตถุดิบสำคัญในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์-อิเล็กทรอนิกส์ และ 3) ธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ต่อเนื่อง ได้แก่ ไซโคลเฮกเซน (Cyclohexane) แนฟทาชนิดเบา แรฟฟิเนท ก๊าซปิโตรเลียมเหลว คอนเดนเสท เรซิดิว และสารอะโรเมติกส์หนัก
นอกจากนี้ PTTAR ยังมีบริษัทร่วมทุนอีก 4 แห่ง ได้แก่ บริษัท พีทีที ฟีนอล จำกัด บริษัท พีทีที ยูทิลิตี้ จำกัด บริษัท พีทีที ไอซีที โซลูชั่นส์ จำกัด และบริษัท อัลลายแอนซ์ รีไฟน์นิ่ง จำกัด
สำหรับฐานะการเงินของ PTTAR ตามงบการเงินเสมือนรวมบริษัทในปี 2550 (งวด 9 เดือน สิ้นสุด 30 ก.ย.) บริษัทมีสินทรัพย์รวม 129,090 ล้านบาท หนี้สินรวม 64,879 ล้านบาท รายได้รวม 178,469 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 13,582 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 8 โดยมีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity) ประมาณร้อยละ 21 สำหรับนโยบายจ่ายเงินปันผล PTTAR จะจ่าย ปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิ หลังหักภาษีและทุนสำรองต่างๆ
และเพื่อความชัดเจนหลังการควบรวมกิจการ เราจะมาคุยกับ ชายน้อย เผื่อนโกสุม กรรมการผู้จัดการใหญ่ ถึงเหตุผลในการควบรวมและทิศทางในอนาคต
>> การควบรวม RRC กับ ATC เป็นเพราะปัญหาทางการเงินหรือเปล่า?
การควบรวมกิจการระหว่าง RRC กับ ATC ไม่ได้เป็นเพราะปัญหาทางการเงิน แต่เนื่องจาก ต้องการใช้จุดแข็งของแต่ละฝ่ายมาผนึกรวมกัน ซึ่งโดยปกติธุรกิจทั่วโลกอะโรเมติกส์ถือเป็นส่วน หนึ่งของโรงกลั่น เนื่องจากผลผลิตจากโรงกลั่นส่วนหนึ่งจะถูกนำไปต่อยอดเพื่อทำเป็นสารอะโรเมติกส์ อาทิ พาราไซลีน เบนซีน ซึ่งเป็นปิโตรเคมีต้นน้ำ ดังนั้น การนำมารวมกันจึงเปรียบเสมือนการเพิ่มประสิทธิภาพของกันและกัน และยังเป็นการลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร วัตถุดิบ เช่นการนำไฮโดรเจนจากโรง งานอะโรเมติกส์มาเผาในโรงกลั่นแทนที่จะนำไปทิ้ง ซึ่งใช้เงินลงทุนประมาณ 20 ล้านเหรียญ สหรัฐ แต่สามารถสร้างรายได้ 22 ล้านเหรียญ สหรัฐต่อปี เป็นต้น สาเหตุอีกประการหนึ่งคือ การรวมกันจะสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในกรณีที่ธุรกิจหนึ่งเกิดมีปัญหา เนื่องจากผลประกอบการนั้นมีขึ้นมีลง ช่วงไหนน้ำมันแพงเรา ก็ขายน้ำมัน แต่ถ้าช่วงไหนน้ำมันถูกก็เน้นขายอะโรเมติกส์
>> แต่ทำไมหลังรวมกันทิศทางหุ้นจึง ไม่พุ่งตามที่หลายคนคาดการณ์?
เป็นเรื่องเชิงจิตวิทยาเท่านั้น คือนักลงทุน มองว่าในไตรมาส 3 โรงกลั่นใหม่ของจีนกับอินเดียจะสร้างเสร็จ อาจทำให้กำไรของเราลดลง ทั้งที่ความจริงแม้จะมีซัพพลายเกิดขึ้นมาก แต่ดีมานด์ก็เพิ่มขึ้นทุกวัน ซึ่งโรงกลั่นของ จีนก็สร้างเพื่อหนุนโรงกลั่นเก่าที่มีอยู่แล้ว ในขณะที่อินเดียสร้างโรงกลั่นเพื่อผลิตน้ำมันเบนซินขายให้อเมริกา และขายน้ำมันดีเซลให้ยุโรป ซึ่งความต้องการใช้พลังงานของโลกนั้นยังมีอีกมหาศาล เช่นเดียวกับกลุ่มอะโรเมติกส์ คนมองว่าเมื่ออเมริกามีปัญหาทำให้เศรษฐกิจโลกมีปัญหา และอุตสาหกรรมสิ่งทอ ซึ่งมีตลาด หลักอยู่ที่อเมริกาจะมีปัญหาตามไปด้วย ซึ่งอาจ ทำให้ปิโตรเคมีปลายน้ำที่ใช้เป็นวัตถุดิบผลิตสิ่งทอมีปัญหาและส่งผลกระทบต่อปิโตรเคมีกลางน้ำและต้นน้ำ แต่อย่าลืมว่าอเมริกาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อแก้ปัญหา เช่นการลดดอกเบี้ย การให้สิทธิพิเศษด้านภาษี หรือแม้กระทั่งการกระตุ้นการใช้จ่าย เราจึงเชื่อว่าเศรษฐกิจอเมริกาจะไม่เลวร้ายไปกว่านี้ ประกอบ กับกลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอวันนี้ก็ไม่ได้พึ่งตลาด อเมริกาเป็นหลัก แต่ขยายไปยังตลาดใหม่ๆ เช่นตลาดอาเซียน เป็นต้น จึงเชื่อว่าอนาคตผลิต ภัณฑ์อะโรเมติกส์ยังไปได้ดี
>> จำได้ว่าเมื่อกว่าสิบปีก่อนโรงกลั่นประสบปัญหาขาดทุนมีกำไรเหลือแค่ 1 เหรียญ เหตุการณ์แบบนั้นจะกลับมาอีกหรือเปล่า?
เราเคยผ่านสถานการณ์ตรงนั้นมาซึ่งถือเป็นบทเรียนที่คุ้มค่า เราจึงให้ความสนใจกับการ ควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมาก จนกล้าพูดได้ว่าถ้าสร้างโรงกลั่นแบบเดียวกันในโลกจะใช้เงินมากกว่าเรา นี่ยังไม่พูดเรื่องค่าใช้จ่ายในการดำเนิน งานนะ ซึ่งเคยมีการทำเบนชมาร์กเปรียบเทียบ 50 โรงกลั่น ปรากฏว่าเราเป็นหนึ่งแห่งที่มีค่าบริหารจัดการถูกมาก เพราะฉะนั้นหากมีวิกฤติเกิดขึ้น เราคงเป็นโรงกลั่นท้ายๆ ที่จะได้รับผลกระทบ
>> นโยบายภายหลังควบรวมกับ ATC?
ในเบื้องต้นเราคงนำวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วน ผสมในการผลิตน้ำมันเบนซินส่งต่อให้ ATC ผลิต ปิโตรเคมี วิธีนี้จะทำให้ผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ราคาถูกลงด้วย ได้ปริมาณมากขึ้นด้วย ซึ่งที่ผ่าน มา RRC ก็ไม่ได้เน้นการผลิตน้ำมันเบนซิน แต่เน้นการผลิตดีเซล โดยส่งส่วนผสมการผลิต ไปให้ กับบริษัทในเครือเพื่อผลิตเบนซิน ขณะเดียวกันบริษัทในเครือก็ส่งวัตถุดิบที่เป็นส่วนผสมการผลิต น้ำมันดีเซลมาให้เรา แต่หลังการควบรวมเราก็เปลี่ยนการส่งวัตถุดิบไปให้กับ ATC แทน
>> ราคาอะโรเมติกส์วันนี้อยู่ในระดับไหน?
ยังอยู่ในเกณฑ์ดีมาก คือพาราไซลีน 1 พันเหรียญสหรัฐต่อตัน เบนซีน 900 เหรียญสหรัฐต่อตัน ถือว่าสูง แต่ที่ผ่านมากำไรไม่ดีเพราะราคาน้ำมันดิบสูงทำให้ต้นทุนแพง ซึ่งต่อ ไปนี้หลังการเชื่อมต่อเสร็จสิ้นจะมีความคล่องตัว ต้นทุนลดลงในขณะที่ผลผลิตมากขึ้น โดยพาราไซลีนทั้งหมดเน้นขายในประเทศ ส่วนเบนซีนขายในประเทศส่วนหนึ่ง อีกส่วนส่งออก ไปขายในต่างประเทศ
>> ธุรกิจอะโรเมติกส์ถือว่ามีคู่แข่งไหม?
มีไทยออยล์ผลิตพาราไซลีน เอสโซ่ก็ผลิต ได้ จะว่าเป็นคู่แข่งก็ได้ แต่โดยหลักการผู้ซื้อจะไม่นิยมซื้อกับรายใดรายหนึ่ง แต่จะทำสัญญา ซื้อกับผู้ผลิตหลายราย เพราะหากเกิดปัญหาการ ผลิตรายใดหยุดชะงักก็สามารถใช้วัตถุดิบจากอีกรายทดแทนกันได้
>> ทำไมกลุ่ม ปตท.จึงไม่รวมหน่วยงานเหมือนกันเข้าด้วยกัน แทนที่จะต่างคนต่างทำ?
ในระยะยาวอาจเป็นไปได้ คือรวมธุรกิจเหมือนกันไว้ในกลุ่มเดียวกัน ใช้ผลประโยชน์ร่วมกัน เช่น รวมโรงกลั่นทั้งหมดเป็นบริษัทเดียว กัน นำการจัดซื้อจัดจ้างมาไว้ด้วยกัน ขณะเดียว กันก็รวมกลุ่มปิโตรเคมีไว้ด้วยกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องดูเรื่องสถานที่ตั้งด้วยว่าอยู่ใกล้กันหรือเชื่อมต่อกันหรือเปล่า ซึ่งหากตั้งอยู่ไกลกันก็คง ทำลำบาก ซึ่ง ปตท.ก็ได้ตั้งทีมที่ปรึกษาศึกษาในเรื่องนี้อยู่
>> คาดว่าปีนี้ PTTAR จะมีกำไรเพิ่มขึ้นหรือเปล่า?
ผมคงยังตอบไม่ได้ว่าปีนี้จะมีกำไรเท่าไหร่ แต่ในเดือนสิงหาคมโรงกลั่นใหม่จะสร้างเสร็จเพิ่มกำลังการผลิตอีก 7 หมื่นบาร์เรลต่อวัน เพิ่ม ปริมาณการผลิตอะโรเมติกส์จาก 1 ล้านตันเป็น 2 ล้านตัน ประกอบกับปีนี้จีนจัดกีฬาโอลิมปิกซึ่งความต้องการน้ำมันและอะโรเมติกส์จะเพิ่มขึ้น เรียกว่าความต้องการขยายตัวทุกวัน นอก จากนี้เรายังทำการซื้อขายล่วงหน้าในราคาที่สูงกว่าปี 2007 ด้วยซ้ำ
>> อยากให้วิเคราะห์หุ้นในกลุ่ม ปตท.?
หุ้นในกลุ่ม ปตท.เป็นหุ้นพื้นฐานยังไงก็ไม่เจ๊ง เพียงแต่กำไรมากหรือน้อยเท่านั้น ทุกบริษัทมีแผนการทำงานที่ชัดเจน แม้จะมีคู่แข่งมากแต่เรามีความได้เปรียบด้านต้นทุนที่ถูกกว่า ซึ่งปีนี้สิ่งที่เราเห็นแน่ๆ คือต้นทุนดอกเบี้ยลดลง 2% ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนไม่มีผลกระทบมากนักเพราะเราซื้อขายน้ำมันดิบเป็นดอลล์ ในขณะ ที่หนี้สินเป็นบาทครึ่งหนึ่ง ดอลลาร์ครึ่งหนึ่ง กำลังดูจังหวะว่าจะเปลี่ยนสกุลเงินหรือไม่ ซึ่งยังไม่อยากเปลี่ยนตอนนี้เพราะหากดอลลาร์แข็งค่าเราจะเจ็บตัวได้ ปัจจุบันเรามีวงเงินเหลือ มากกว่า 700 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากการ บริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ ตาม เรามีคณะกรรมการดูแลอัตราแลกเปลี่ยน อย่างใกล้ชิดเป็นการเซฟตัวเองไม่ใช่การเก็งกำไร
>> ราคาน้ำมันปีนี้จะอยู่ที่เท่าไหร่
เฉลี่ย 75-80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เหตุ ผลเพราะผมมองว่าหากปัญหาซับไพร์มเริ่มคลี่คลายค่าเงินดอลลาร์จะกลับมาแข็งค่า นักลงทุน จะไม่หนีไปซื้อน้ำมัน ทอง หรือแพลตินั่มเพื่อเก็งกำไรเหมือนปลายปีที่ผ่านมา
-
- Verified User
- โพสต์: 1808
- ผู้ติดตาม: 0
ซื้อคืนIRPC-PTTARปตท.รับไม่ได้ต่ำบุ๊ค:หวังหุ้นฟื้นตัว
โพสต์ที่ 4
PTTAR นี่คนเล่นเยอะมากเลยนะครับ เท่าที่สังเกตดูตามบอร์ดอื่นๆ :lol:
"Risk comes from not knowing what you're doing" - Warren Buffet
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
- johnlennon
- Verified User
- โพสต์: 202
- ผู้ติดตาม: 0
ซื้อคืนIRPC-PTTARปตท.รับไม่ได้ต่ำบุ๊ค:หวังหุ้นฟื้นตัว
โพสต์ที่ 5
[quote="i_sarut"]PTTAR นี่คนเล่นเยอะมากเลยนะครับ เท่าที่สังเกตดูตามบอร์ดอื่นๆ
ซื้อหุ้นดีเปรียบเหมือนดาวเดือน
- Sumotin
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
ซื้อคืนIRPC-PTTARปตท.รับไม่ได้ต่ำบุ๊ค:หวังหุ้นฟื้นตัว
โพสต์ที่ 8
ผมว่า เค้าคาดไม่ผิดหรอกครับ คุณ A man from the Islay ในขณะนั้น ไม่มีใครคิดว่าราคาน้ำมันจะไปถึงขนาดนี้ ทำให้ ราคา Petro ขยับไม่ทันครับเลยขาดทุน
Timing is everything, no matter what you do.
CAGR of 34% in the past 15 years of investment
CAGR of 34% in the past 15 years of investment
-
- Verified User
- โพสต์: 393
- ผู้ติดตาม: 0
ซื้อคืนIRPC-PTTARปตท.รับไม่ได้ต่ำบุ๊ค:หวังหุ้นฟื้นตัว
โพสต์ที่ 9
แล้วก็ตรงนี้ด้วยอีกนิดนึงครับ ผมตัดมาแปะเลยดีกว่า กลัวไม่เห็นกันครับ ไม่แน่ใจว่าอเมริกาจะเลวร้ายไปกว่านี้?Sumotin เขียน:ผมว่า เค้าคาดไม่ผิดหรอกครับ คุณ A man from the Islay ในขณะนั้น ไม่มีใครคิดว่าราคาน้ำมันจะไปถึงขนาดนี้ ทำให้ ราคา Petro ขยับไม่ทันครับเลยขาดทุน
'เช่นเดียวกับกลุ่มอะโรเมติกส์ คนมองว่าเมื่ออเมริกามีปัญหาทำให้เศรษฐกิจโลกมีปัญหา และอุตสาหกรรมสิ่งทอ ซึ่งมีตลาด หลักอยู่ที่อเมริกาจะมีปัญหาตามไปด้วย ซึ่งอาจ ทำให้ปิโตรเคมีปลายน้ำที่ใช้เป็นวัตถุดิบผลิตสิ่งทอมีปัญหาและส่งผลกระทบต่อปิโตรเคมีกลางน้ำและต้นน้ำ แต่อย่าลืมว่าอเมริกาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อแก้ปัญหา เช่นการลดดอกเบี้ย การให้สิทธิพิเศษด้านภาษี หรือแม้กระทั่งการกระตุ้นการใช้จ่าย เราจึงเชื่อว่าเศรษฐกิจอเมริกาจะไม่เลวร้ายไปกว่านี้'
- johnlennon
- Verified User
- โพสต์: 202
- ผู้ติดตาม: 0
ซื้อคืนIRPC-PTTARปตท.รับไม่ได้ต่ำบุ๊ค:หวังหุ้นฟื้นตัว
โพสต์ที่ 10
Invesment Opportunity : Energy ETF...ลงทุนในกองทุนหุ้นกลุ่มพลังงานผ่านตลาดหุ้น
ภาคภูมิ ภาคย์วิศาล
ในปัจจุบันผมมองว่านักลงทุนไทยมีทางเลือกอยู่หลายทางด้วยกันในการลงทุนในตะกร้าหุ้น ไม่ว่าจะเป็นการสั่งซื้อหุ้นหลายๆ ตัวที่เราสนใจมาเก็บไว้เอง หรือการซื้อกองทุนรวมของ บลจ.ต่างๆ ที่มีนโยบายในการลงทุนตรงกับที่เราต้องการ อย่างไรก็ตามทางเลือกหนึ่งที่เพิ่งจะมีในไทยได้ไม่นานและกำลังได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ก็คือ การลงทุนใน ETF หรือ Exchange Traded Fund ซึ่งเป็นกองทุนรวมแบบเปิดที่จดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหุ้นเปรียบเสมือนหุ้นตัวหนึ่ง โดยกองทุนนี้จะมีนโยบายในการลงทุนให้ได้อัตราผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง (เช่น ดัชนีราคาหุ้น, ดัชนีราคาตราสารหนี้, หรือ ดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์) ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว ETF จะนิยมลงทุนให้ได้อัตราผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีราคาหุ้น โดยเราจะเรียก ETF ประเภทนี้ว่า Equity ETF ครับ
กราฟฟิก 1....
สำหรับ ETF ที่มีอยู่ในไทยในปัจจุบันนั้น จะมีอยู่ 1 กองด้วยกัน คือ ThaiDEX SET50 ETF หรือ TDEX ซึ่งเป็นกองทุนรวมแบบเปิดที่จดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหุ้นเปรียบเสมือนหุ้นตัวหนึ่งโดยมีนโยบายในการลงทุนให้ได้อัตราผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี SET50 Index
อย่างไรก็ตาม ตลาดทุนไทยของเราก็ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยในประมาณปลายเดือนกรกฎาคมนี้เรากำลังจะมี Equity ETF on SET Energy Sector Index โดยผมขอเรียกย่อๆ ว่า Energy ETF ซึ่งถือเป็น ETF กองใหม่ที่มีนโยบายในการลงทุนให้ได้อัตราผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีหมวดธุรกิจพลังงาน (Energy Sector Index) โดย Energy ETF กองนี้จะมี บลจ.ทหารไทยเป็นผู้จัดตั้งและบริหาร และเมื่อจัดตั้งกองทุนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะมีการนำเอากองทุนนี้ไปจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหุ้นเพื่อให้นักลงทุนสามารถ ซื้อขายได้ง่ายเหมือนซื้อขายหุ้น
สำหรับหุ้นที่ Energy ETF กองนี้จะเข้าไปลงทุนนั้น จะไม่ได้เข้าไปลงทุนในหุ้นทุกตัวที่อยู่ในดัชนีหมวดธุรกิจพลังงาน (Energy Sector Index) ซึ่งมีอยู่ประมาณ 20 กว่าตัว แต่ Energy ETF จะเข้าไปลงทุนในหุ้นเพียงแค่ 10 ตัวที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูงเท่านั้น ได้แก่ PTT, PTTEP, TOP, BANPU, IRPC, PTTAR, RATCH, EGCO, GLOW, และ ESSO ซึ่งมีมาร์เก็ตแคปรวมกันถึงประมาณ 97% ของดัชนีหมวดธุรกิจพลังงาน จึงถือได้ว่าการลงทุนในหุ้น 10 ตัวนี้น่าจะให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีหมวดธุรกิจพลังงานแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องลงทุนในหุ้นอีก 10 กว่าตัวที่เหลือให้ยุ่งยากในการบริหารจัดการ
ผมมองว่าหุ้นกลุ่มพลังงานในไทยนั้นถือว่าเป็น หุ้นมหาชน เพราะมีนักลงทุนที่ชื่นชอบการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้เป็นจำนวนมาก ทำให้ผมเชื่อว่า Energy ETF ก็น่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนไทยไม่น้อยเลยทีเดียว และเหตุผลที่น่าสนใจมากๆ อย่างหนึ่งในการลงทุนใน Energy ETF ก็คือ ลงทุนใน Energy ETF เพียงตัวเดียวก็เหมือนกับได้ตะกร้าหุ้นกลุ่มพลังงานมาเลยทีเดียว 10 ตัว ไม่ต้องไปคอยซื้อขายหุ้นทีละตัวให้ยุ่งยาก และยังถือเป็นการ กระจายความเสี่ยงในการลงทุน ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
การที่กองทุนนี้ลงทุนตามดัชนีหมวดธุรกิจพลังงานก็จะทำให้ราคาซื้อขายในตลาด (ราคาตลาด) ของมันรวมถึงมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ของมันเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกันกับดัชนีหมวดธุรกิจพลังงานด้วย คือถ้าดัชนีหมวดธุรกิจพลังงานขึ้นราคาของ Energy ETF ก็จะขึ้นตาม ถ้าดัชนีหมวดธุรกิจพลังงานตกราคาของ Energy ETF ก็จะตกตาม
เคยมีนักลงทุนมาเล่าแกมบ่นให้ผมฟังว่า ชอบหุ้นกลุ่มพลังงานมากแต่มีเงินลงทุนจำกัด พอซื้อหุ้น BANPU มาเก็บไว้ปรากฏว่าราคาก็ไม่ยอมขึ้น แต่หุ้น PTT กลับขึ้นเอาๆ พออดใจรอไม่ไหวสลับไปถือหุ้น PTT แทน ก็กลายเป็นว่าหุ้น BANPU ก็วิ่งขึ้นแทนแต่หุ้น PTT กลับอยู่นิ่งๆ ไม่ยอมขึ้นต่อเสียนี่ ผมเชื่อว่าปัญหานี้น่าจะหมดไปถ้าซื้อ Energy ETF ครับ เพราะไม่ว่าหุ้นตัวไหนใน 10 ตัวขึ้น ราคาของ Energy ETF ก็จะต้องขึ้นตามด้วย เรียกว่า ไม่มีการตกขบวนรถ แน่นอน
สำหรับกลยุทธ์ในการทำกำไรใน Energy ETF นั้นง่ายมากและเป็นสิ่งที่ท่านคุ้นเคยกันดีก็คือ ซื้อถูกขายแพงได้กำไร นั่นเอง โดยในการซื้อขาย Energy ETF นั้น ท่านสามารถทำการซื้อขายบนตลาดหุ้นเช่นเดียวกับการซื้อขายหุ้นตัวหนึ่ง ซึ่งท่านจะได้ราคาซื้อขายแบบ Real Time (ไม่ต้องไปรอราคา ณ ตอนสิ้นวันอย่างเช่นกองทุนรวมทั่วไป) โดยที่กระดานการซื้อขายนั้นท่านจะเห็นคำสั่งเสนอซื้อเสนอขาย 3 ขั้น (Bid-Offer 3 Steps) เหมือนการเสนอซื้อเสนอขายหุ้นทั่วไป ซึ่งท่านสามารถตั้งซื้อ ตั้งขาย เคาะซื้อ เคาะขายได้เหมือนหุ้น แต่ค่าคอมมิชชั่นกลับถูกกว่าการซื้อขายหุ้นเพราะจะอยู่ที่แค่ 0.10% เท่านั้น
ในกรณีที่ท่านต้องการซื้อหรือขาย Energy ETF เป็นล็อตใหญ่ (Big Lot) แต่ไม่อยากทำการซื้อขายบนกระดานหุ้น ท่านก็สามารถติดต่อกับทาง บล.ทิสโก้ เพื่อให้เราช่วยทำเรื่องขอออก (Create) หรือขอไถ่ถอน (Redeem) Energy ETF ให้กับท่านได้ เพราะทางบริษัทเราทำหน้าที่เป็นผู้ร่วมค้าหน่วยลงทุน (Participating Dealers : PD) ให้กับกองทุนนี้ด้วยครับ หรือท่านจะขอจองซื้อ Energy ETF กองนี้ในช่วง IPO ผ่านทางเราก็ได้เช่นกัน และถ้าหากท่านใดสนใจหรือต้องการสอบถามข้อมูลใดๆ เพิ่มเติมก็สามารถติดต่อมาที่ผมโดยตรง หรือที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ บล.ทิสโก้ก็ได้นะครับ
ภาคภูมิ ภาคย์วิศาล
ในปัจจุบันผมมองว่านักลงทุนไทยมีทางเลือกอยู่หลายทางด้วยกันในการลงทุนในตะกร้าหุ้น ไม่ว่าจะเป็นการสั่งซื้อหุ้นหลายๆ ตัวที่เราสนใจมาเก็บไว้เอง หรือการซื้อกองทุนรวมของ บลจ.ต่างๆ ที่มีนโยบายในการลงทุนตรงกับที่เราต้องการ อย่างไรก็ตามทางเลือกหนึ่งที่เพิ่งจะมีในไทยได้ไม่นานและกำลังได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ก็คือ การลงทุนใน ETF หรือ Exchange Traded Fund ซึ่งเป็นกองทุนรวมแบบเปิดที่จดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหุ้นเปรียบเสมือนหุ้นตัวหนึ่ง โดยกองทุนนี้จะมีนโยบายในการลงทุนให้ได้อัตราผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง (เช่น ดัชนีราคาหุ้น, ดัชนีราคาตราสารหนี้, หรือ ดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์) ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว ETF จะนิยมลงทุนให้ได้อัตราผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีราคาหุ้น โดยเราจะเรียก ETF ประเภทนี้ว่า Equity ETF ครับ
กราฟฟิก 1....
สำหรับ ETF ที่มีอยู่ในไทยในปัจจุบันนั้น จะมีอยู่ 1 กองด้วยกัน คือ ThaiDEX SET50 ETF หรือ TDEX ซึ่งเป็นกองทุนรวมแบบเปิดที่จดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหุ้นเปรียบเสมือนหุ้นตัวหนึ่งโดยมีนโยบายในการลงทุนให้ได้อัตราผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี SET50 Index
อย่างไรก็ตาม ตลาดทุนไทยของเราก็ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยในประมาณปลายเดือนกรกฎาคมนี้เรากำลังจะมี Equity ETF on SET Energy Sector Index โดยผมขอเรียกย่อๆ ว่า Energy ETF ซึ่งถือเป็น ETF กองใหม่ที่มีนโยบายในการลงทุนให้ได้อัตราผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีหมวดธุรกิจพลังงาน (Energy Sector Index) โดย Energy ETF กองนี้จะมี บลจ.ทหารไทยเป็นผู้จัดตั้งและบริหาร และเมื่อจัดตั้งกองทุนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะมีการนำเอากองทุนนี้ไปจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหุ้นเพื่อให้นักลงทุนสามารถ ซื้อขายได้ง่ายเหมือนซื้อขายหุ้น
สำหรับหุ้นที่ Energy ETF กองนี้จะเข้าไปลงทุนนั้น จะไม่ได้เข้าไปลงทุนในหุ้นทุกตัวที่อยู่ในดัชนีหมวดธุรกิจพลังงาน (Energy Sector Index) ซึ่งมีอยู่ประมาณ 20 กว่าตัว แต่ Energy ETF จะเข้าไปลงทุนในหุ้นเพียงแค่ 10 ตัวที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูงเท่านั้น ได้แก่ PTT, PTTEP, TOP, BANPU, IRPC, PTTAR, RATCH, EGCO, GLOW, และ ESSO ซึ่งมีมาร์เก็ตแคปรวมกันถึงประมาณ 97% ของดัชนีหมวดธุรกิจพลังงาน จึงถือได้ว่าการลงทุนในหุ้น 10 ตัวนี้น่าจะให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีหมวดธุรกิจพลังงานแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องลงทุนในหุ้นอีก 10 กว่าตัวที่เหลือให้ยุ่งยากในการบริหารจัดการ
ผมมองว่าหุ้นกลุ่มพลังงานในไทยนั้นถือว่าเป็น หุ้นมหาชน เพราะมีนักลงทุนที่ชื่นชอบการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้เป็นจำนวนมาก ทำให้ผมเชื่อว่า Energy ETF ก็น่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนไทยไม่น้อยเลยทีเดียว และเหตุผลที่น่าสนใจมากๆ อย่างหนึ่งในการลงทุนใน Energy ETF ก็คือ ลงทุนใน Energy ETF เพียงตัวเดียวก็เหมือนกับได้ตะกร้าหุ้นกลุ่มพลังงานมาเลยทีเดียว 10 ตัว ไม่ต้องไปคอยซื้อขายหุ้นทีละตัวให้ยุ่งยาก และยังถือเป็นการ กระจายความเสี่ยงในการลงทุน ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
การที่กองทุนนี้ลงทุนตามดัชนีหมวดธุรกิจพลังงานก็จะทำให้ราคาซื้อขายในตลาด (ราคาตลาด) ของมันรวมถึงมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ของมันเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกันกับดัชนีหมวดธุรกิจพลังงานด้วย คือถ้าดัชนีหมวดธุรกิจพลังงานขึ้นราคาของ Energy ETF ก็จะขึ้นตาม ถ้าดัชนีหมวดธุรกิจพลังงานตกราคาของ Energy ETF ก็จะตกตาม
เคยมีนักลงทุนมาเล่าแกมบ่นให้ผมฟังว่า ชอบหุ้นกลุ่มพลังงานมากแต่มีเงินลงทุนจำกัด พอซื้อหุ้น BANPU มาเก็บไว้ปรากฏว่าราคาก็ไม่ยอมขึ้น แต่หุ้น PTT กลับขึ้นเอาๆ พออดใจรอไม่ไหวสลับไปถือหุ้น PTT แทน ก็กลายเป็นว่าหุ้น BANPU ก็วิ่งขึ้นแทนแต่หุ้น PTT กลับอยู่นิ่งๆ ไม่ยอมขึ้นต่อเสียนี่ ผมเชื่อว่าปัญหานี้น่าจะหมดไปถ้าซื้อ Energy ETF ครับ เพราะไม่ว่าหุ้นตัวไหนใน 10 ตัวขึ้น ราคาของ Energy ETF ก็จะต้องขึ้นตามด้วย เรียกว่า ไม่มีการตกขบวนรถ แน่นอน
สำหรับกลยุทธ์ในการทำกำไรใน Energy ETF นั้นง่ายมากและเป็นสิ่งที่ท่านคุ้นเคยกันดีก็คือ ซื้อถูกขายแพงได้กำไร นั่นเอง โดยในการซื้อขาย Energy ETF นั้น ท่านสามารถทำการซื้อขายบนตลาดหุ้นเช่นเดียวกับการซื้อขายหุ้นตัวหนึ่ง ซึ่งท่านจะได้ราคาซื้อขายแบบ Real Time (ไม่ต้องไปรอราคา ณ ตอนสิ้นวันอย่างเช่นกองทุนรวมทั่วไป) โดยที่กระดานการซื้อขายนั้นท่านจะเห็นคำสั่งเสนอซื้อเสนอขาย 3 ขั้น (Bid-Offer 3 Steps) เหมือนการเสนอซื้อเสนอขายหุ้นทั่วไป ซึ่งท่านสามารถตั้งซื้อ ตั้งขาย เคาะซื้อ เคาะขายได้เหมือนหุ้น แต่ค่าคอมมิชชั่นกลับถูกกว่าการซื้อขายหุ้นเพราะจะอยู่ที่แค่ 0.10% เท่านั้น
ในกรณีที่ท่านต้องการซื้อหรือขาย Energy ETF เป็นล็อตใหญ่ (Big Lot) แต่ไม่อยากทำการซื้อขายบนกระดานหุ้น ท่านก็สามารถติดต่อกับทาง บล.ทิสโก้ เพื่อให้เราช่วยทำเรื่องขอออก (Create) หรือขอไถ่ถอน (Redeem) Energy ETF ให้กับท่านได้ เพราะทางบริษัทเราทำหน้าที่เป็นผู้ร่วมค้าหน่วยลงทุน (Participating Dealers : PD) ให้กับกองทุนนี้ด้วยครับ หรือท่านจะขอจองซื้อ Energy ETF กองนี้ในช่วง IPO ผ่านทางเราก็ได้เช่นกัน และถ้าหากท่านใดสนใจหรือต้องการสอบถามข้อมูลใดๆ เพิ่มเติมก็สามารถติดต่อมาที่ผมโดยตรง หรือที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ บล.ทิสโก้ก็ได้นะครับ
ซื้อหุ้นดีเปรียบเหมือนดาวเดือน