นิทานเซ็น
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
นิทานเซ็น
โพสต์ที่ 1
วันหนึ่งมีม้าตัวหนึ่งหลุดออกจากคอกของชาวนาไป เพื่อนบ้านก็มาแสดงความเสียใจ ชาวนาตอบว่า "ใครจะรู้ว่านี่ดีหรือร้าย"
วันตัวมาม้าตัวนั้นก็กลับมาพร้อมกับม้าอีกห้าตัว เพื่อนบ้านมาเห็นก็แสดงความดีใจด้วย ชาวนาก็ตอบว่า "ใครจะรู้ว่านี่ดีหรือร้าย"
วันต่อมาลูกชายชาวนาเอาม้าตัวใหม่ออกไปขี่เล่น แต่พลั้งพลาดตกลงมาขาหัก เพื่อนบ้านก็เข้ามาแสดงความเสียใจ ชาวนาก็ตอบอีกว่า "ใครจะรู้ว่านี่ดีหรือร้าย"
วันต่อมากองทหารหลวงเข้ามาในหมู่บ้าน เพื่อกวาดต้อนชายฉกรรจ์ไปเป็นทหาร ลูกชายของชาวนาขาหักอยู่ ทหารหลวงจึงมิได้นำตัวไป เพื่อนบ้านก็เข้ามาแสดงความยินดี :la: ชาวนาก็ตอบเหมือนเช่นเดิมว่า "ใครจะรู้ว่านี่ดีหรือร้าย"
......
ให้กำลังใจนักลงทุนทุกท่านครับ
วันตัวมาม้าตัวนั้นก็กลับมาพร้อมกับม้าอีกห้าตัว เพื่อนบ้านมาเห็นก็แสดงความดีใจด้วย ชาวนาก็ตอบว่า "ใครจะรู้ว่านี่ดีหรือร้าย"
วันต่อมาลูกชายชาวนาเอาม้าตัวใหม่ออกไปขี่เล่น แต่พลั้งพลาดตกลงมาขาหัก เพื่อนบ้านก็เข้ามาแสดงความเสียใจ ชาวนาก็ตอบอีกว่า "ใครจะรู้ว่านี่ดีหรือร้าย"
วันต่อมากองทหารหลวงเข้ามาในหมู่บ้าน เพื่อกวาดต้อนชายฉกรรจ์ไปเป็นทหาร ลูกชายของชาวนาขาหักอยู่ ทหารหลวงจึงมิได้นำตัวไป เพื่อนบ้านก็เข้ามาแสดงความยินดี :la: ชาวนาก็ตอบเหมือนเช่นเดิมว่า "ใครจะรู้ว่านี่ดีหรือร้าย"
......
ให้กำลังใจนักลงทุนทุกท่านครับ
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- คัดท้าย
- Verified User
- โพสต์: 2917
- ผู้ติดตาม: 0
นิทานเซ็น
โพสต์ที่ 3
อิอิ คล้ายๆเรื่องเล่าทาง Fwd Mail ของฝรั่งเลยครับ
ไม่รู้ใครเลียนแบบใครมา แต่เดาว่าน่าจะแปลงมาจากเซน มั้ง ... :?:
...... "Good or bad, hard to say" ...........
Once upon a time, there was a king.
The king liked one of his followers very much
because he was very wise and always gave very useful advice.
Therefore the king took him along wherever he went.
นานมาแล้ว มีพระราชาองค์หนึ่ง
พระราชาองค์นี้มีคนสนิทคนหนึ่งที่พระองค์สนิทมาก
และมักจะพาไปไหนมาไหนด้วยเสมอในทุกๆที่
One day, the king was bitten by a dog, the finger was injured
and the wound was getting worse. He asked the follower if that was a bad sign.
The follower said, 'Good or bad, hard to say'.
แล้ววันหนึ่ง พระราชาก็ถูกหมาตัวหนึ่งกัดนิ้ว แผลฉกรรจ์มาก
พระราชาจึงถามคนสนิทว่า
นี่เป็นรางไม่ดีของพระองค์หรือเปล่า
คนสนิทกลับตอบว่า ดี หรือไม่ดี ยากที่จะบอก
In the end, finger of the king was too bad that had to be cut.
The king asked the follower again if that was a bad sign.
Again, the follower gave the same answer, 'Good or bad, hard to say'.
The king became very angry and sent the follower to prison.
และในที่สุด พระราชาก็ถูกตัดนิ้ว
และพระราชาก็ถามคนสนิทอีกว่า
นี่เป็นรางไม่ดีของพระองค์หรือเปล่า คนสนิทกลับตอบว่า
ดี หรือไม่ดี ยากที่จะบอก
พระราชาโกรธมาก เลยจับคนสนิทขังไว้ในคุก
One day, the king went hunting in the jungle.
He got excited when he was on the chase of a deer.
Deeper and deeper he went inside the jungle.
วันหนึ่ง พระราชาก็ได้เสด็จออกป่าล่าสัตว์
พระองค์ทรงตื่นเต้นมาก
ในขณะที่พระองค์ไล่ล่ากวางตัวหนึ่งอยู่
แล้วก็มุ่งเข้าไปในป่า ลึกเข้าไปเรื่อยๆ
In the end he found himself lost in the jungle.
To make things worse, he got captured by the native
people lived inside the jungle.
เมื่อมารู้ตัวอีกทีก็พบว่า พระองค์ได้หลงทางเสียแล้ว
แต่ก่อนที่อะไรจะเลวร้ายไปกว่านั้น
พระองค์ก็ได้พบกับชนเผ่าพื้นเมืองในป่าแห่งนั้น
They wanted to sacrifice him to their god. But when they noticed that
the king had one finger short, they released him immediately as
he was not a perfect man anymore and not suitable for sacriface.
The king managed to get back to his palace after all.
คนป่าพวกนั้น ต้องการจับพระราชาไปบูชายัญ
แต่พวกเขาก็พบว่าพระราชานิ้วขาด จึงรีบปลดปล่อยพระราชา
เพราะเชื่อว่าพระราชาไม่ใช่มนุษย์ที่สมบูรณ์เลย
และไม่เหมาะที่จะนำไปบูชายัญ
พระราชาจึงตัดสินใจกลับพระราชวังในที่สุด
And he finally understood the follower's wise quote,
'Good or bad, hard to say'.
If he hadn't lost one finger, he could have been killed by the native people.
He ordered to release the follower, and apologized to him.
และสุดท้าย พระองค์ก็เข้าใจคำพูดของคนสนิทที่บอกว่า
ดีหรือไม่ดี ยากที่จะบอก
เพราะถ้าพระองค์มีนิ้วครบสมบูรณ์
พระองค์ต้องถูกฆ่าโดยคนป่าพวกนั้นอย่างแน่นอน
พระราชาจึงสั่งปล่อยตัวคนสนิท และขอโทษเขา
But to the king's amaze,
the follower was not mad at him at all.
Instead, the follower said,
แต่พระราชากลับประหลาดใจ
เมื่อคนสนิทกลับไม่โกรธพระองค์เลย
ในทางตรงข้ามเขากลับบอกว่า
'It wasn't a bad thing that you locked me up.
' Why? Because if the king hadn't locked the follower up,
he would have brought the follower along to the jungle.
If the native found that the king was not suitable,
they would have used the follower.
Again, the quote 'Good or bad, hard to say' stands.
มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเลยที่ท่านขังข้าไว้
ทำไมงั้นหรือ
เพราะว่าถ้าพระองค์ไม่ขังข้าไว้ ข้าก็จะต้องตามท่านไปใน
ป่าและในเมื่อท่านไม่เหมาะจะถูกบูชายัญ
ข้าคงจะถูกนำไปบูชายัญแทนเป็นแน่
อีกครั้งกับคำที่ว่า ดี หรือไม่ดี ยากที่จะบอก
The moral of the story is that everything that happens in this world,
there is no absolute good or bad.
เรื่องนี้อาจกล่าวได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้
ไม่มีการสรุปได้อย่างแน่นอนว่า ดี หรือ ไม่ดี
Sometimes good things turned out to be bad things eventually,
while bad things become a gain.
บางครั้งสิ่งที่ดี อาจจะกลายเป็นสิ่งที่เลวร้าย
ในขณะที่สิ่งที่เลวร้ายอาจกลายเป็นดีได้
Whatever good things that happen to you, enjoy it,
but don't have to hold too tight to it, treat it as a surprise in your life.
สิ่งดีๆอะไรก็ตาม ที่เกิดขึ้นกับเรา จงสนุกสนานกับมัน แต่อย่าไปยึดติดกับมัน
จงคิดเสียว่ามันเป็นสิ่งที่มาสร้างความประหลาดใจให้กับชีวิตของคุณ
Whatever bad things that happen to you, don't have to feel too sad
or despair , in the end, it might not be a total bad thing after all.
If one can understand this, he or she will find life much easier
อะไรต่างๆ ที่มันเลวร้าย ซึ่งเกิดขึ้นกับคุณ ไม่จำเป็นต้องไปเศร้าเสียใจ
ในตอนท้าย มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย
ถ้าพวกเราเข้าใจได้อย่างนี้ พวกเราจะพบว่า การใช้ชีวิตนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย
ไม่รู้ใครเลียนแบบใครมา แต่เดาว่าน่าจะแปลงมาจากเซน มั้ง ... :?:
...... "Good or bad, hard to say" ...........
Once upon a time, there was a king.
The king liked one of his followers very much
because he was very wise and always gave very useful advice.
Therefore the king took him along wherever he went.
นานมาแล้ว มีพระราชาองค์หนึ่ง
พระราชาองค์นี้มีคนสนิทคนหนึ่งที่พระองค์สนิทมาก
และมักจะพาไปไหนมาไหนด้วยเสมอในทุกๆที่
One day, the king was bitten by a dog, the finger was injured
and the wound was getting worse. He asked the follower if that was a bad sign.
The follower said, 'Good or bad, hard to say'.
แล้ววันหนึ่ง พระราชาก็ถูกหมาตัวหนึ่งกัดนิ้ว แผลฉกรรจ์มาก
พระราชาจึงถามคนสนิทว่า
นี่เป็นรางไม่ดีของพระองค์หรือเปล่า
คนสนิทกลับตอบว่า ดี หรือไม่ดี ยากที่จะบอก
In the end, finger of the king was too bad that had to be cut.
The king asked the follower again if that was a bad sign.
Again, the follower gave the same answer, 'Good or bad, hard to say'.
The king became very angry and sent the follower to prison.
และในที่สุด พระราชาก็ถูกตัดนิ้ว
และพระราชาก็ถามคนสนิทอีกว่า
นี่เป็นรางไม่ดีของพระองค์หรือเปล่า คนสนิทกลับตอบว่า
ดี หรือไม่ดี ยากที่จะบอก
พระราชาโกรธมาก เลยจับคนสนิทขังไว้ในคุก
One day, the king went hunting in the jungle.
He got excited when he was on the chase of a deer.
Deeper and deeper he went inside the jungle.
วันหนึ่ง พระราชาก็ได้เสด็จออกป่าล่าสัตว์
พระองค์ทรงตื่นเต้นมาก
ในขณะที่พระองค์ไล่ล่ากวางตัวหนึ่งอยู่
แล้วก็มุ่งเข้าไปในป่า ลึกเข้าไปเรื่อยๆ
In the end he found himself lost in the jungle.
To make things worse, he got captured by the native
people lived inside the jungle.
เมื่อมารู้ตัวอีกทีก็พบว่า พระองค์ได้หลงทางเสียแล้ว
แต่ก่อนที่อะไรจะเลวร้ายไปกว่านั้น
พระองค์ก็ได้พบกับชนเผ่าพื้นเมืองในป่าแห่งนั้น
They wanted to sacrifice him to their god. But when they noticed that
the king had one finger short, they released him immediately as
he was not a perfect man anymore and not suitable for sacriface.
The king managed to get back to his palace after all.
คนป่าพวกนั้น ต้องการจับพระราชาไปบูชายัญ
แต่พวกเขาก็พบว่าพระราชานิ้วขาด จึงรีบปลดปล่อยพระราชา
เพราะเชื่อว่าพระราชาไม่ใช่มนุษย์ที่สมบูรณ์เลย
และไม่เหมาะที่จะนำไปบูชายัญ
พระราชาจึงตัดสินใจกลับพระราชวังในที่สุด
And he finally understood the follower's wise quote,
'Good or bad, hard to say'.
If he hadn't lost one finger, he could have been killed by the native people.
He ordered to release the follower, and apologized to him.
และสุดท้าย พระองค์ก็เข้าใจคำพูดของคนสนิทที่บอกว่า
ดีหรือไม่ดี ยากที่จะบอก
เพราะถ้าพระองค์มีนิ้วครบสมบูรณ์
พระองค์ต้องถูกฆ่าโดยคนป่าพวกนั้นอย่างแน่นอน
พระราชาจึงสั่งปล่อยตัวคนสนิท และขอโทษเขา
But to the king's amaze,
the follower was not mad at him at all.
Instead, the follower said,
แต่พระราชากลับประหลาดใจ
เมื่อคนสนิทกลับไม่โกรธพระองค์เลย
ในทางตรงข้ามเขากลับบอกว่า
'It wasn't a bad thing that you locked me up.
' Why? Because if the king hadn't locked the follower up,
he would have brought the follower along to the jungle.
If the native found that the king was not suitable,
they would have used the follower.
Again, the quote 'Good or bad, hard to say' stands.
มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเลยที่ท่านขังข้าไว้
ทำไมงั้นหรือ
เพราะว่าถ้าพระองค์ไม่ขังข้าไว้ ข้าก็จะต้องตามท่านไปใน
ป่าและในเมื่อท่านไม่เหมาะจะถูกบูชายัญ
ข้าคงจะถูกนำไปบูชายัญแทนเป็นแน่
อีกครั้งกับคำที่ว่า ดี หรือไม่ดี ยากที่จะบอก
The moral of the story is that everything that happens in this world,
there is no absolute good or bad.
เรื่องนี้อาจกล่าวได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้
ไม่มีการสรุปได้อย่างแน่นอนว่า ดี หรือ ไม่ดี
Sometimes good things turned out to be bad things eventually,
while bad things become a gain.
บางครั้งสิ่งที่ดี อาจจะกลายเป็นสิ่งที่เลวร้าย
ในขณะที่สิ่งที่เลวร้ายอาจกลายเป็นดีได้
Whatever good things that happen to you, enjoy it,
but don't have to hold too tight to it, treat it as a surprise in your life.
สิ่งดีๆอะไรก็ตาม ที่เกิดขึ้นกับเรา จงสนุกสนานกับมัน แต่อย่าไปยึดติดกับมัน
จงคิดเสียว่ามันเป็นสิ่งที่มาสร้างความประหลาดใจให้กับชีวิตของคุณ
Whatever bad things that happen to you, don't have to feel too sad
or despair , in the end, it might not be a total bad thing after all.
If one can understand this, he or she will find life much easier
อะไรต่างๆ ที่มันเลวร้าย ซึ่งเกิดขึ้นกับคุณ ไม่จำเป็นต้องไปเศร้าเสียใจ
ในตอนท้าย มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย
ถ้าพวกเราเข้าใจได้อย่างนี้ พวกเราจะพบว่า การใช้ชีวิตนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying
- คัดท้าย
- Verified User
- โพสต์: 2917
- ผู้ติดตาม: 0
นิทานเซ็น
โพสต์ที่ 4
พี่เจ๋งนี่สม่ำเสมอจริงๆ เมื่อรอบก่อนนานมาแล้ว ผมเคยโพสต์ Good or Bad, Hard to Say ....Jeng เขียน:โห แล้วใครจะรู้ว่าการให้กำลังใจนักลงทุนนี่ ใครจะรู้ว่าดีหรือร้าย
พี่เจ๋ง ก็เข้ามาตอบประมาณนี้แหละ 555555 :lovl: :lovl: :lovl:
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
นิทานเซ็น
โพสต์ที่ 6
ใครที่ซื้อ SCC ตอนปี 37 คงดีใจเพราะปี 38 ปรับตัวขึ้นเท่าตัว แต่พอปี 41 ก็ต้องพบกับความสยอง
ส่วนใครที่ซื้อ SCC ตอนปี 42-43 คงรู้สึกว่าตัดสินใจผิด เพราะดิ่งลงอย่างหนักในปีต่อมา แต่พอปี 47....
ใครจะรู้ว่าดีหรือร้ายครับ :roll:
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- คัดท้าย
- Verified User
- โพสต์: 2917
- ผู้ติดตาม: 0
นิทานเซ็น
โพสต์ที่ 9
ครับ กราฟที่คุณสุมาอี้เอามาให้ดู เหมือนว่าคนที่ถือ SCC มาจะ Good ... แต่ก็ไม่รู้ Good or Bad ... ในอีก 10 ปีJeng เขียน:กราฟคุณสุมาอี้ เหมือนลายแทงขุมทรัพย์มหาสมบัติเลยนะ
เหอๆ นี่ถ้าผมรู้ว่า BGH จะดีขนาดนี้ ผมก็สบายเหมือนกัน เหอๆ
ทำไมไม่รู้เลยน๊า
และ ... คนที่ถือ ยูนิคอร์ด สมัยก่อน ก็คงว่า Bad แต่ก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว Good or Bad เหมือนกัน
บางทีชีวิตอย่าไปซีเรียสมากเลย หลายสิ่งหลายอย่างมัน Nothing จริงๆ ...
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
นิทานเซ็น
โพสต์ที่ 10
โค้ด: เลือกทั้งหมด
บางทีชีวิตอย่าไปซีเรียสมากเลย หลายสิ่งหลายอย่างมัน Nothing จริงๆ ...
อ๋อ
"Good or bad, hard to say" 55555
-
- Verified User
- โพสต์: 1688
- ผู้ติดตาม: 0
นิทานเซ็น
โพสต์ที่ 12
ระหว่างทางดี หรือ ร้ายไม่รู้
แต่ตอนท้ายสุด.... :lol:
แต่ตอนท้ายสุด.... :lol:
==หากบริษัทไม่ได้อยู่ในตลาดฯ หุ้นยังน่าซื้อหรือไม่ ==
- ม้าเฉียว
- Verified User
- โพสต์: 350
- ผู้ติดตาม: 0
นิทานเซ็น
โพสต์ที่ 13
หุ้นที่ว่าดี จริงๆแล้วอาจจะดี หรือไม่ดีก็ได้ ใครจะไปรู้
หุ้นที่ว่าไม่มี จริงๆแล้วอาจจะดี หรือไม่ดีก็ได้ ใครจะไปรู้
ทุกเวลาที่ผ่านไป สำรวจดิน น้ำ ลม ฟ้า อากาศ หมอกควัน ให้ดี มีอะไรปลี่ยน เผื่อว่าจะไหวตัวได้ทัน ถ้าขืนรอให้คนมาโบกธง ลั่นกลอง คงต้องเหนื่อยแน่
ที่เหลือแล้วแต่โชค
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
นิทานเซ็น
โพสต์ที่ 16
นายAจ้างนายBไว้เป็นที่ปรึกษาด้วยค่าจ้างแพงลิบ ส่วนนายCเป็นคนนอกไม่เกี่ยวกับนายAและนายB เลยและไม่ได้ค่าจ้างด้วย
นายA ถามนายC นายCบอกว่า "Good or bad, hard to say" ก็โอเคนะ
แต่นายBก็ตอบว่า "Good or bad, hard to say" โอเคหรือไม่
คำตอบต่างๆต่างๆมีผิดมีถูกได้ เข้าทำนอง "Right or Wrong hard to say" ถูกหรือผิดไม่ว่ากันเพราะเหตุการณ์ในอนาคตมันไม่แน่ แต่ความสำคัญอยู่ที่เหตุและผลที่รองรับคำตอบนั้น เข้าทำนอง "Reasonable or Non-raesonable" เพื่อให้การตัดสินใจณ.เวลานั้นเหมาะสมมีน้ำหนักมากที่สุด และเป็นหน้าที่ๆนายBซึ่งถูกจ้างมาให้ไปค้นคว้าหาข้อมูลให้ได้มากที่สุดเพื่อประกอบการตัดสินใจ
นายAถามนายBทีไรก็ได้คำตอบ"Good or bad, hard to say"
และ "Good or bad, hard to say"
และ"Good or bad, hard to say"
และ"Good or bad, hard to say" เหมือนๆกับคำตอบจากนายC
แล้วนายAจะต้องเสียเงินจ้างนายBไว้ทำไม
นายA ถามนายC นายCบอกว่า "Good or bad, hard to say" ก็โอเคนะ
แต่นายBก็ตอบว่า "Good or bad, hard to say" โอเคหรือไม่
คำตอบต่างๆต่างๆมีผิดมีถูกได้ เข้าทำนอง "Right or Wrong hard to say" ถูกหรือผิดไม่ว่ากันเพราะเหตุการณ์ในอนาคตมันไม่แน่ แต่ความสำคัญอยู่ที่เหตุและผลที่รองรับคำตอบนั้น เข้าทำนอง "Reasonable or Non-raesonable" เพื่อให้การตัดสินใจณ.เวลานั้นเหมาะสมมีน้ำหนักมากที่สุด และเป็นหน้าที่ๆนายBซึ่งถูกจ้างมาให้ไปค้นคว้าหาข้อมูลให้ได้มากที่สุดเพื่อประกอบการตัดสินใจ
นายAถามนายBทีไรก็ได้คำตอบ"Good or bad, hard to say"
และ "Good or bad, hard to say"
และ"Good or bad, hard to say"
และ"Good or bad, hard to say" เหมือนๆกับคำตอบจากนายC
แล้วนายAจะต้องเสียเงินจ้างนายBไว้ทำไม
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- Verified User
- โพสต์: 123
- ผู้ติดตาม: 0
นิทานเซ็น
โพสต์ที่ 18
กระทู้นี้ทำให้ผมนึกถึงเจ้าของและผู้ก่อตั้ง Apple
เมื่อ 25 ปีก่อน แกเป็นฮีโร่ของผมกับอีกหลายคนที่อยู่ในวงการคอมพิวเตอร์ ถึงวันนี้ผมก็ยังให้เครดิตกับคนคนนี้มากกว่าเจ้าของไมโครซอฟต์ ลองดูสิ่งที่แกเล่าให้ฟังเมื่อปีที่แล้วสิครับ เรื่องอาจยาวหน่อย แต่เป็นเรื่องที่ดีที่อยากให้ทุกคนได้รับรู้
รายงานของมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด วันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 2005
คุณต้องหาสิ่งที่คุณรักให้พบ จ๊อบกล่าว
บทความนี้ นายสตีฟ จ๊อบ(ซีอีโอ ของบริษัท แอปเปิลคอมพิวเตอร์ และบริษัท พิกซาร์อนิเมชั่นสตูดิโอ)
กล่าวแก่บัณฑิต ณ วันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 2005
ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีโอกาสมาในงานนี้
ซึ่งเป็นงานของหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก
ตัวผมเองไม่เคยจบมหาวิทยาลัยอันที่จริงแล้วงานนี้
คือสิ่งที่ใกล้เคียงการจบมหาวิทยาลัยที่สุดที่ผมได้ประสบมา
ผมต้องการเล่าเรื่อง 3 เรื่องของชีวิตผม แค่นั้นหละครับ ไม่มีอะไรมาก แค่ 3เรื่อง
เรื่องแรกเกี่ยวกับการเชื่อมโยงเหตุการณ์ (การขีดเส้นโยงจุดจนเกิดเป็นรูปภาพ)
ผมหยุดเรียนในมหาวิทยาลัยหรีด (Reed College)
หลังจากเข้าเรียนได้เพียง 6 เดือน แต่ผมก็ยังวงเวียนอยู่ในมหาวิทยาลัยอีก 18เดือน
ก่อนที่ผมจะออกจากมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการ คำถามคือ
ทำไมผมถึงเลิกเรียน มันเริ่มต้นตั้งแต่ก่อนที่ผมจะเกิด
คุณแม่ผู้ให้กำเนิดผมเป็นบัณฑิตสาว แต่เธอไม่ได้ผ่านการสมรส
เธอจึงตัดสินใจยกผมให้กับคนอื่น
เธอมีความประสงค์ว่าผู้ที่จะมาเป็นพ่อแม่บุญธรรมของผมต้องเป็นผู้ที่เรียนจบมหาวิทยาลัย
มีการเตรียมการให้ทนายความท่านหนึ่งและภรรยารับผมเป็นบุตรบุญธรรม
เพียงแต่ว่าเมื่อผมโผล่ออกมาพวกเขาเกิดเปลี่ยนใจเมื่อนาทีสุดท้ายว่าพวกเข้าต้องการเด็กผู้หญิง
ผู้ที่ได้เป็นพ่อแม่บุญธรรมของผมซึ่งอยู่ในคิวรอเด็กเป็นรายต่อไป
ก็ได้รับโทรศัพท์กลางดีกคืนหนึ่งว่า เราได้เด็กผู้ชายอย่างไม่คาดฝันคุณต้องการเขามั๊ย
แน่นอน พวกเขาตอบ
ภายหลังเมื่อคุณแม่ที่ให้กำเนิดผมได้ทราบว่าผู้ที่เป็นแม่บุญธรรมของผมไม่เคยจบมหาวิทยาลัย
และผู้ที่จะเป็นพ่อบุญธรรมของผมก็ไม่เคยจบแม้กระทั่งม.ปลาย
เธอจริงปฏิเสธที่เซนต์เอกสารยินยอม
เมื่อผ่านไป 2-3 เดือน
หลังจากพวกเขาสัญญาว่าจะส่งผมเรียนมหาวิทยาลัย เธอจึงยอมตกลง
17ปีต่อมา ผมก็ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย
ด้วยความซื่อผมกลับเลือกมหาวิทยาลัยที่มีค่าเล่าเรียนที่แพงมากเกือบแพงเท่าสแตนฟอร์ด
เงินออมทั้งหมดของพ่อแม่บุญธรรมของผมผู้ซึ่งเป็นเพียงชนชั้นกลาง
ถูกใช้ไปในการเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยของผม
ผมเริ่มเห็นว่ามันไม่ได้คุ้มค่าอะไร ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าผมจะทำอะไรในชีวิตผม
และผมก็มองไม่ออกว่ามหาวิทยาลัยจะช่วยให้ผมมองออกว่าผมจะทำอะไรกับชีวิตได้อย่างไร
และนี่ผมก็กำลังใช้เงินทั้งหมดของพ่อแม่บุญธรรมของผมอยู่
ผมจึงหยุดเรียนด้วยเชื่อว่าทุกอย่างจะลงเอยด้วยดี ถึงแม้ตอนนั้นมันรู้สึกน่ากลัว
แต่การมองย้อนกลับไปในตอนนี้ทำให้ผมเห็นว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตผม
ทันทีที่ผมหยุดเรียน ผมสามารถเลิกเรียนวิชาภาคบังคับที่ผมเห็นว่าไม่น่าสนใจ
และผมสามารถเข้าเรียนในวิชาที่ผมสนใจตามอำเภอใจ
มันก็ไม่ได้โรแมนติกไปเสียหมดหรอก ผมไม่มีหอพักเป็นของตัวเอง
ดังนั้นผมจึงต้องอาศัยนอนบนพื้นห้องของเพื่อนๆ
และอาศัยการเก็บขวดโค้กเพื่อแลกกับเงิน 5 เซนต์เพื่อใช้ซื้ออาหาร
และผมก็เดิน 7 ไมล์ไปอีกฟากของเมืองทุกวันอาทิตย์
เพื่อที่จะกินอาหารดีๆสักมื้อที่วัดฮเรกฤษณะ ผมชอบอาหารที่นั่นมาก
และสิ่งที่ผมประสบพบเจอเพราะความสงสัย
และสัญชาตญาณของผมเป็นสิ่งที่ให้ประโยชน์แก่ผมอย่างหาค่ามิได้ในเวลาต่อมา
ผมขอยกตัวอย่างหนึ่ง:
ณ เวลานั้น
มหาวิทยาลัยหรีดมีวิชาคัดลายมือที่สอนได้ดีที่สุดในประเทศก็ว่าได้
ทุกโปสเตอร์ในมหาวิยาลัย ทุกป้ายชื่อบนทุกลิ้นชักจะถูกคัดอย่างสวยงาม
และเมื่อผมหยุดเรียนวิชาปกติแล้ว
ผมจึงตัดสินใจที่จะเรียนวิชาคัดลายมือเพื่อที่จะเรียนรู้เคล็ดลับของมัน
ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวอักษร serif และ san serif
เกี่ยวกับความถี่ห่างที่ต่างกันระหว่างตัวอักษรต่างๆ
และอะไรก็ตามที่ทำให้การคัดลายมือที่สุดยอดนั้นสุดยอด มันเป็นสิ่งที่สวยงาม
เป็นสิ่งที่มีประวัติศาสตร์ เป็นศิลปะ
เป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถยึดครองตีกรอบได้ และนั่นทำให้ผมชอบมัน
ผมไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าผมจะได้ใช้สิ่งที่ผมได้เรียนรู้นี้ในชีวิตจริงของผมได้อย่างไร
แต่สิบปีต่อมา เมื่อเรากำลังออกแบบคอมพิวเตอร์แม็คอินตอชรุ่นแรก
ความรู้นี้ก็ฟื้นคืนกลับมา และผมก็นำมันไปใส่ไว้ในเครื่องแม็คฯ
มันเป็นคอมพิวเตอร์รุ่นแรกที่มีตัวอักษรสวยงาม
ถ้าป่านนี้ผมไม่ได้เข้าเรียนวิชานี้ในมหาวิทยาลัย เจ้าแม็คฯ
คงไม่ได้มีตัวอักษรหลากหลาย
หรือตัวอักษรที่มีช่องว่างระหว่างกันอย่างเป็นสัดส่วน
และเมื่อวินโดวส์ได้เลียนแบบแม็คฯในเวลาต่อมา
มันก็เป็นไปได้ว่าป่านนี้คงไม่มีเครื่องใดที่จะมีตัวอักษรอย่างนี้
ป่านนี้ผมไม่ได้หยุดเรียน ผมก็คงไม่ได้เข้าเรียนวิชานี้
และเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลก็คงไม่ได้มีตัวอักษรแสนวิเศษต่างๆอย่างที่มันมีอยู่ในปัจจุบัน
แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะมองเห็นความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
แต่เมื่อมองย้อนกลับไปในตอนนี้หลังจากสิบปี
ความสัมพันธ์ของสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ชัดเจนมากๆเลย
ย้ำอีกครั้งว่าเราไม่สามารถเชื่อมโยงจุดต่างๆโดยการมองไปข้างหน้า
เราสามารถเชื่อมโยงมันโดยการมองย้อนหลังไปเท่านั้น เพราะฉนั้น
คุณต้องมีความเชื่อมันว่าจุดต่างๆมันจะเชื่อมโยงกันเองในอนาคตไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
คุณต้องเชื่อมั่นในบางอย่าง
ความกล้าของคุณ โชคชะตา ชีวิต กรรม(การกระทำ)
อะไรก็ได้ การมองในแง่นี้ไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง
และมันสร้างความแตกต่างในทางที่ดีให้แก่ชีวิตของผม
เรื่องที่สองของผมเกี่ยวกับความรักและความสูญเสีย
ผมโชคดีที่ผมพบสิ่งที่ผมรักตั้งแต่เนิ่นๆในชีวิต
ผมและ Woz ก่อตั้งบริษัทแอปเปิลในโรงรถของพ่อแม่ผมเมื่อผมอายุ 20
พวกเราทำงานกันอย่างหนัก และใน 10 ปีบริษัทแอปเปิล
ก็เติบโตจากเราสองคนในโรงรถเป็นบริษัท 2000 ล้านเหรียญ
และลูกจ้างอีกกว่า 4000 คน เราเพิ่งเปิดตัวสิ่งประดิษฐ์ที่ดีที่สุดของเรา
นั่นคือคอมพิวเตอร์แม็คอินตอชเมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านั้น
และหลังจากนั้นผมก็อายุ30 และผมก็โดนไล่ออก
เป็นไปได้ยังไงที่คุณจะถูกไล่ออกจากบริษัทที่คุณก่อตั้ง?
คือว่าเมื่อบริษัทเติบโตขึ้น
ผมได้ว่าจ้างบุคคลผู้หนึ่งซึ่งผมคิดว่ามีความสามารถมากเพื่อที่จะช่วยผมบริหาร
ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีอยู่ช่วงหนึ่งปี
แต่หลังจากนั้นมุมมองต่ออนาคตของเราเริ่มแยกไปคนละทางและในที่สุดก็เกิดขัดแย้งกัน
คณะกรรมการผู้บริหารบริษัทเห็นด้วยกับเขา
ผมก็เลยต้องออกจากบริษัทเมื่ออายุ 30
เป็นการออกอย่างเป็นข่าวดังด้วย
สิ่งที่เคยเป็นจุดศูนย์รวมของชีวิตผู้ใหญ่ของผมมลายหายไป
และมันก็เป็นอะไรที่หนักหนาสาหัสสำหรับผมมาก
เป็นเดือนๆที่ผมไม่รู้ว่าผมจะทำอะไรกับชีวิตของผมดี
ผมมีความรู้สึกว่าผมได้ทำให้คนรุ่นเดียวกับผมที่เป็นเจ้าของกิจการผิดหวัง
เหมือนกับว่าผมเป็นคนที่ทำให้ไม้ที่ใช้ในการวิ่งผัดตกลงพื้น
ผมพบกับ DavidPackard และ Bob Noyce
และผมก็พยายามขอโทษพวกเขาที่ผมล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า
ผมคิดว่าผมกลายเป็นบุคคลล้มเหลวสาธารณะ
และคิดแม้กระทั่งว่าจะหนีจาก SiliconValley (นิคมอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์)
แต่ในที่สุดทุกอย่างก็ค่อยๆกระจ่างขึ้น
ผมยังรักสิ่งที่ผมทำอยู่
สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นที่บริษัทแอปเปิลไม่ได้เปลี่ยนแปลงความรักต่อสิ่งที่ผมทำแม้แต่น้อย
จริงอยู่ที่ผมถูกปฏิเสธ แต่ผมก็ยังมีความรักอยู่
ผมเลยตัดสินใจที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ขณะนั้นผมดูไม่ออก
แต่ความจริงแล้วการที่ผมถูกไล่ออกจากบริษัทแอปเปิลนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับผม
แรงกดดันของความสำเร็จถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกเบาโล่งของความเป็นผู้เริ่มต้นอีกครั้ง
และของการที่มีความมั่นใจน้อยลงในทุกๆอย่าง
มันเป็นการปลดปล่อยให้ผมเข้าสู่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ที่สุดของชีวิตผม
ช่วงห้าปีต่อมา ผมก่อตั้งบริษัทใหม่ชื่อ NeXT และอีกบริษัทชื่อ Pixar
และผมก็ตกหลุมรักกับผู้หญิงแสนวิเศษคนหนึ่งผู้ซึ่งผมได้แต่งงานด้วยในเวลาต่อมา
บริษัท Pixar กลายเป็นบริษัทที่ผลิตหนังการ์ตูนคอมพิวเตอร์เรื่องแรกของโลก
: Toy Story (ทอยสตอรี่)
และปัจจุบันก็เป็นบริษัทที่ประสบความในแวดวงหนังอนิเมชั่น (การ์ตูน)
และด้วยชุดเหตุการณ์พลิกผันที่น่าทึ่ง บ. Apple ก็ได้ซื้อ บ. NeXT;
ผมกลับคืนสู่ Apple; และเทคโนโลยีที่เราได้พัฒนาขึ้นที่ NeXT
ก็เป็นหัวใจของการเกิดใหม่ของ Apple
และผมและลอรีน(ภรรยา)ก็มีชีวิตครอบครัวที่สุดแสนวิเศษ
ผมแน่ใจว่าสิ่งเหล่านี้คงไม่เกิดขึ้นกับผมถ้าผมไม่ถูกไล่ออกจาก Apple
มันเปรียบเสมือนยาขมที่คนไข้อย่างผมต้องการอย่างมาก
บางทีชีวิตเราก็ตีหัวเราเหมือนก้อนอิฐก้อนหนึ่ง
แต่ขออย่าได้สูญเสียความเชื่อและความหวัง
ผมมั่นใจว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ผมก้าวต่อไปคือความรักในสิ่งที่ผมทำ
คุณต้องหาสิ่งที่คุณรักให้ได้ และนั่นเป็นจริงทั้งสำหรับงานและคนที่คุณรัก
งานคุณจะเป็นสิ่งที่ครอบคลุมชีวิตส่วนใหญ่ของคุณ
และวิธีเดียวที่คุณจะมีความพอใจกับมันอย่างแท้จริงคือ
คุณต้องทำในสิ่งที่คุณเชื่อว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่
และวิธีเดียวที่จะทำงานยิ่งใหญ่คือการทำงานที่คุณรัก
ถ้าคุณยังไม่เจอก็ให้พยายามค้นหาตอไป อย่าหยุดหรือย้อมแพ้ในการหา
คุณจะรู้ได้ทันทีเมื่อคุณเจอมัน เหมือนกับเรื่องอื่นๆ ของหัวใจ
และเหมือนความสัมพันธ์ดีๆอย่างอื่น
คุณจะมีความสุขเพิ่มขึ้นเรื่อยเมื่อเวลาผ่านไป
เพราะฉนั้นจงค้นหาต่อไปจนกว่าจะสิ่งที่คุณรัก
อย่าหยุดหรือย้อมแพ้(อย่ายอมรับสภาพ)
เรื่องที่สามของผมเกี่ยวกับความตาย
ตอนอายุ 17 ผมได้อ่านคำคมวลีหนึ่งทำนองว่า
ถ้าคุณใช้ชีวิตทุกวันเหมือนกับว่ามันเป็นวันสุดท้าย
สักวันหนึ่งคุณจะต้องถูกบ้างหละ
มันทำให้ผมประทับใจ
และหลังจากนั้นทุกเช้าเป็นเวลา 33 ปี ผมได้มองหน้าตัวเองในกระจก
และได้ถามตัวเองว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของผม
ผมอยากจะทำสิ่งที่ผมกำลังจะทำวันนี้หรือไม่
และเมื่อไหร่ก็ตามที่คำตอบคือ
ไม่ ต่อเนื่องกันหลายวัน
ผมก็รู้ว่าถึงเวลาที่ผมต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างแล้ว
การเตือนตัวเองว่าผมจะต้องตายในไม่ช้าคืออาวุธที่สำคัญที่สุดที่ผมค้นพบ
ที่ผมได้ใช้ในการช่วยตัดสินใจสิ่งสำคัญๆในชีวิตของผม
เพราะว่าเกือบทุกสิ่ง
ความคาดหวังภายนอกความเย่อหยิ่ง ความกลัวที่จะเสียหน้าหรือล้มเหลว
สิ่งเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้าความตายเหลือไว้เพียงแต่สิ่งที่สำคัญจริงๆ
การเตือนตัวเองว่าตัวเองจะตายคือวิธีที่ดีที่สุดที่ผมรู้จัก
ที่ช่วยให้ผมไม่ติดกับดักของการคิดว่าผมมีอะไรจะสูญเสีย
คุณก็ตัวเปล่าเปลือยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เพราะฉนั้นมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณจะไม่เดินตามสิ่งที่หัวใจคุณปรารถนา
เมื่อปีกว่าๆ คุณหมอวินิจฉัยว่าผมเป็นมะเร็ง ผมเข้าเครื่องตรวจเมื่อเวลา7:30 น.
ในตอนเช้า ผลการตรวจแสดงอย่างชัดเจนว่าผมมีเนื้องอกบนตับอ่อนของผม
ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตับอ่อนคืออะไร
คณะแพทย์ฟันธงว่านี่น่าจะเป็นมะเร็งตับอ่อนชนิดที่รักษาไม่หาย
และว่าผมน่าจะมีเวลาเหลืออีกประมาณ 3 ถึง 6 เดือน
พวกเขาบอกผมว่าผมควรจะกลับบ้านเพื่อไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย
ซึ่งเป็นรหัสของพวกหมอว่าไปเตรียมตัวตายได้แล้ว
มันหมายความว่าให้คุณพยายามสอนลูกๆของคุณ
ในช่วงเวลาไม่กี่เดือนในสิ่งที่คุณเคยคิดว่าคุณจะมีเวลาค่อยๆสอน
ในอีก 10 ปี มันหมายความว่าให้คุณเตรียมการทุกอย่าง
เพื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะได้ง่ายที่สุดเท่าที่จะง่ายได้สำหรับครอบครัวคุณหลังจากที่คุณจากไป
มันหมายความว่าให้คุณกล่าวคำอำลา ผมอยู่กับคำวินิจฉัยนั้นทั้งวัน
เมื่อตกเย็นคณะแพทย์ได้ทำการตัดชิ้นเนื้อไปชันสูตร โดยการสอดกล้องเข้าคอผม
ผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้ แล้วจิ้มเข้าไปในตับอ่อนเพื่อดูดเอาเซลล์จากเนื้องอก
ขณะนั้นผมอยู่ภายใต้ฤทธิ์ของยาสลบ ภรรยาผมซึ่งอยู่ด้วยได้เล่าให้ผมฟังว่า
คุณหมอได้ร้องไห้ออกมาด้วยความยินดีเมื่อส่องกล้องดูเซลล์เหล่านั้น
เพราะมันเป็นมะเร็งตับอ่อนชนิดที่พบได้ยากมากที่สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด
ผมได้รับการผ่าตัดในเวลาต่อมาและผมก็หายดีแล้ว
นี่คือเหตุการณ์ที่ผมเฉียดตายมากที่สุด
และผมก็หวังว่ามันจะเป็นเหตุการณ์ที่เฉียดที่สุดไปอีกหลายทศวรรษ
เมื่อผ่านพ้นมันมาแล้ว
ผมสามารถพูดกับคุณด้วยความมั่นใจที่เพิ่มอีกนิดกว่าก่อนหน้านี้เมื่อความตาย
เป็นเพียงสิ่งทีมีประโยชน์[ที่ใช้ในการกระตุ้น]แต่เป็นเพียงสิ่งที่ผมเข้าใจเอาเองตามทฤษฎี:
ไม่มีใครอยากตายหรอกครับ
แม้คนที่ต้องการขึ้นสวรรค์ก็ไม่อยากตายแม้นว่าเขารู้ล่วงหน้าว่าตายไปแล้วเขาจะได้ขึ้นสวรรค์
ถึงกระนั้นความตายก็คือจุดหมายเดียวกันที่พวกเราทุกคนต่างมี
ไม่เคยมีใครหนีความตายพ้น และมันควรจะเป็นเช่นนั้น
เพราะความตายน่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์อย่างเดียวที่ดีที่สุดของชีวิต
มันเป็นจุดเปลี่ยนแปลง มันกำจัดสิ่งเก่าออกไปเพื่อปูทางสำหรับสิ่งใหม่
ณเวลานี้พวกคุณคือสิ่งใหม่ แต่วันหนึ่ง ไม่นานหลังจากนี้
พวกคุณก็จะกลายเป็นสิ่งเก่าที่ถูกทำให้พ้นไป
ขอโทษถ้าที่ผมพูดมันฟังดูเหมือนลิเก แต่มันเป็นความจริง
เวลาของคุณมีจำกัด
เพราะฉนั้นอย่าใช้มันโดยการใช้ชีวิตของคนอื่น
จงอย่ายอมติดกับดักของกฎเกณฑ์
ซึ่งก็คือการใช้ชีวิตจากผลของความคิดของคนอื่น
อย่ายอมให้เสียงของความคิดเห็นของคนอื่นกลบเสียงของใจของคุณ และที่สำคัญที่สุด
จงกล้าที่จะเดินตามหัวใจและสัญชาตญาณของคุณ
ลึกๆแล้วพวกมันรู้ว่าคุณต้องการที่เป็นอะไร
อย่างอื่นนอกจากนั้นเป็นเพียงเรื่องรองลงมา
สมัยที่ผมยังเด็กอยู่
มีวารสารหนึ่งชื่อว่า The Whole Earth Catalogue
ซึ่งเปรียบเสมือนกับคัมภีร์ไบเบิ้ลของคนรุ่นผม
ชายคนหนึ่งนามว่า Steward Brand เป็นผู้ก่อตั้งมันขึ้นมาในMenlo Park
ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่เขาทำให้วารสารนั้นมีชีวิตขึ้นมาด้วยความสามารถดุจนักกวีของเขา
ช่วงนั้นเป็นช่วงปลายทศวรรษ 1960ก่อนที่จะมีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
และการพิมพ์โดยการใช้คอมพิวเตอร์เข้าช่วย
ทุกสิ่งทุกอย่างคืองานที่ใช้เครื่องพิมพ์ดีด กรรไกร
และรูปถ่ายจากกล้องโพลารอยด์ทำ มันเปรียบเสมือน Google
บนหน้ากระดาษก่อนที่จะมี Google จริงๆในอีก 35 ปีต่อมา มันสุดยอดมาก
เต็มปริ่มไปด้วยเครื่องมือดีๆและไอเดียยิ่งใหญ่ Stewart
และทีมงานของเขาตีพิมพ์หนังสือนี้ออกมาหลายชุด และเมื่อถึงเวลาของมัน
พวกเขาก็ตีพิมพ์ฉบับสุดท้ายออกมา มันป็นช่วงกลางทศวรรษ 1970
ขณะนั้นผมอายุประมาณพวกคุณในตอนนี้
ปกหลังของฉบับสุดท้ายเป็นรูปถนนในชนบท
ถนนแบบเดียวที่คุณอาจเดินทางถ้าคุณเป็นคนรักการผจญภัย ข้างใต้รูปนั้น
มีข้อความว่า Stay Hungry. Stay Stupid.*
นั่นคือประโยคอำลาของพวกเขา
ผมใช้ข้อความนี้เตือนใจผมเสมอ
และขณะนี้ผมขอมอบข้อความนี้ให้พวกคุณทั้งหลายที่นี่ที่กำลังจะเริ่มต้นใหม่
Stay Hungry. StayFoolish.* ขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างมาก * Stay Hungry
แปลตรงตัวคือ จงดำรงไว้ซึ่งความหิว ความหมายก็คือ
จงกระหาย[ที่จะเรียนรู้ตลอดเวลา] Stay Foolish แปลตรงตัวคือ
จงดำรงไว้ซึ่งความโง่เขลา ความหมายก็คือ
จงอย่าคิดว่าเราฉลาดแล้วจนเลิกที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆหรือพัฒนาตัวเอง
เมื่อ 25 ปีก่อน แกเป็นฮีโร่ของผมกับอีกหลายคนที่อยู่ในวงการคอมพิวเตอร์ ถึงวันนี้ผมก็ยังให้เครดิตกับคนคนนี้มากกว่าเจ้าของไมโครซอฟต์ ลองดูสิ่งที่แกเล่าให้ฟังเมื่อปีที่แล้วสิครับ เรื่องอาจยาวหน่อย แต่เป็นเรื่องที่ดีที่อยากให้ทุกคนได้รับรู้
รายงานของมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด วันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 2005
คุณต้องหาสิ่งที่คุณรักให้พบ จ๊อบกล่าว
บทความนี้ นายสตีฟ จ๊อบ(ซีอีโอ ของบริษัท แอปเปิลคอมพิวเตอร์ และบริษัท พิกซาร์อนิเมชั่นสตูดิโอ)
กล่าวแก่บัณฑิต ณ วันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 2005
ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีโอกาสมาในงานนี้
ซึ่งเป็นงานของหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก
ตัวผมเองไม่เคยจบมหาวิทยาลัยอันที่จริงแล้วงานนี้
คือสิ่งที่ใกล้เคียงการจบมหาวิทยาลัยที่สุดที่ผมได้ประสบมา
ผมต้องการเล่าเรื่อง 3 เรื่องของชีวิตผม แค่นั้นหละครับ ไม่มีอะไรมาก แค่ 3เรื่อง
เรื่องแรกเกี่ยวกับการเชื่อมโยงเหตุการณ์ (การขีดเส้นโยงจุดจนเกิดเป็นรูปภาพ)
ผมหยุดเรียนในมหาวิทยาลัยหรีด (Reed College)
หลังจากเข้าเรียนได้เพียง 6 เดือน แต่ผมก็ยังวงเวียนอยู่ในมหาวิทยาลัยอีก 18เดือน
ก่อนที่ผมจะออกจากมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการ คำถามคือ
ทำไมผมถึงเลิกเรียน มันเริ่มต้นตั้งแต่ก่อนที่ผมจะเกิด
คุณแม่ผู้ให้กำเนิดผมเป็นบัณฑิตสาว แต่เธอไม่ได้ผ่านการสมรส
เธอจึงตัดสินใจยกผมให้กับคนอื่น
เธอมีความประสงค์ว่าผู้ที่จะมาเป็นพ่อแม่บุญธรรมของผมต้องเป็นผู้ที่เรียนจบมหาวิทยาลัย
มีการเตรียมการให้ทนายความท่านหนึ่งและภรรยารับผมเป็นบุตรบุญธรรม
เพียงแต่ว่าเมื่อผมโผล่ออกมาพวกเขาเกิดเปลี่ยนใจเมื่อนาทีสุดท้ายว่าพวกเข้าต้องการเด็กผู้หญิง
ผู้ที่ได้เป็นพ่อแม่บุญธรรมของผมซึ่งอยู่ในคิวรอเด็กเป็นรายต่อไป
ก็ได้รับโทรศัพท์กลางดีกคืนหนึ่งว่า เราได้เด็กผู้ชายอย่างไม่คาดฝันคุณต้องการเขามั๊ย
แน่นอน พวกเขาตอบ
ภายหลังเมื่อคุณแม่ที่ให้กำเนิดผมได้ทราบว่าผู้ที่เป็นแม่บุญธรรมของผมไม่เคยจบมหาวิทยาลัย
และผู้ที่จะเป็นพ่อบุญธรรมของผมก็ไม่เคยจบแม้กระทั่งม.ปลาย
เธอจริงปฏิเสธที่เซนต์เอกสารยินยอม
เมื่อผ่านไป 2-3 เดือน
หลังจากพวกเขาสัญญาว่าจะส่งผมเรียนมหาวิทยาลัย เธอจึงยอมตกลง
17ปีต่อมา ผมก็ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย
ด้วยความซื่อผมกลับเลือกมหาวิทยาลัยที่มีค่าเล่าเรียนที่แพงมากเกือบแพงเท่าสแตนฟอร์ด
เงินออมทั้งหมดของพ่อแม่บุญธรรมของผมผู้ซึ่งเป็นเพียงชนชั้นกลาง
ถูกใช้ไปในการเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยของผม
ผมเริ่มเห็นว่ามันไม่ได้คุ้มค่าอะไร ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าผมจะทำอะไรในชีวิตผม
และผมก็มองไม่ออกว่ามหาวิทยาลัยจะช่วยให้ผมมองออกว่าผมจะทำอะไรกับชีวิตได้อย่างไร
และนี่ผมก็กำลังใช้เงินทั้งหมดของพ่อแม่บุญธรรมของผมอยู่
ผมจึงหยุดเรียนด้วยเชื่อว่าทุกอย่างจะลงเอยด้วยดี ถึงแม้ตอนนั้นมันรู้สึกน่ากลัว
แต่การมองย้อนกลับไปในตอนนี้ทำให้ผมเห็นว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตผม
ทันทีที่ผมหยุดเรียน ผมสามารถเลิกเรียนวิชาภาคบังคับที่ผมเห็นว่าไม่น่าสนใจ
และผมสามารถเข้าเรียนในวิชาที่ผมสนใจตามอำเภอใจ
มันก็ไม่ได้โรแมนติกไปเสียหมดหรอก ผมไม่มีหอพักเป็นของตัวเอง
ดังนั้นผมจึงต้องอาศัยนอนบนพื้นห้องของเพื่อนๆ
และอาศัยการเก็บขวดโค้กเพื่อแลกกับเงิน 5 เซนต์เพื่อใช้ซื้ออาหาร
และผมก็เดิน 7 ไมล์ไปอีกฟากของเมืองทุกวันอาทิตย์
เพื่อที่จะกินอาหารดีๆสักมื้อที่วัดฮเรกฤษณะ ผมชอบอาหารที่นั่นมาก
และสิ่งที่ผมประสบพบเจอเพราะความสงสัย
และสัญชาตญาณของผมเป็นสิ่งที่ให้ประโยชน์แก่ผมอย่างหาค่ามิได้ในเวลาต่อมา
ผมขอยกตัวอย่างหนึ่ง:
ณ เวลานั้น
มหาวิทยาลัยหรีดมีวิชาคัดลายมือที่สอนได้ดีที่สุดในประเทศก็ว่าได้
ทุกโปสเตอร์ในมหาวิยาลัย ทุกป้ายชื่อบนทุกลิ้นชักจะถูกคัดอย่างสวยงาม
และเมื่อผมหยุดเรียนวิชาปกติแล้ว
ผมจึงตัดสินใจที่จะเรียนวิชาคัดลายมือเพื่อที่จะเรียนรู้เคล็ดลับของมัน
ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวอักษร serif และ san serif
เกี่ยวกับความถี่ห่างที่ต่างกันระหว่างตัวอักษรต่างๆ
และอะไรก็ตามที่ทำให้การคัดลายมือที่สุดยอดนั้นสุดยอด มันเป็นสิ่งที่สวยงาม
เป็นสิ่งที่มีประวัติศาสตร์ เป็นศิลปะ
เป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถยึดครองตีกรอบได้ และนั่นทำให้ผมชอบมัน
ผมไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าผมจะได้ใช้สิ่งที่ผมได้เรียนรู้นี้ในชีวิตจริงของผมได้อย่างไร
แต่สิบปีต่อมา เมื่อเรากำลังออกแบบคอมพิวเตอร์แม็คอินตอชรุ่นแรก
ความรู้นี้ก็ฟื้นคืนกลับมา และผมก็นำมันไปใส่ไว้ในเครื่องแม็คฯ
มันเป็นคอมพิวเตอร์รุ่นแรกที่มีตัวอักษรสวยงาม
ถ้าป่านนี้ผมไม่ได้เข้าเรียนวิชานี้ในมหาวิทยาลัย เจ้าแม็คฯ
คงไม่ได้มีตัวอักษรหลากหลาย
หรือตัวอักษรที่มีช่องว่างระหว่างกันอย่างเป็นสัดส่วน
และเมื่อวินโดวส์ได้เลียนแบบแม็คฯในเวลาต่อมา
มันก็เป็นไปได้ว่าป่านนี้คงไม่มีเครื่องใดที่จะมีตัวอักษรอย่างนี้
ป่านนี้ผมไม่ได้หยุดเรียน ผมก็คงไม่ได้เข้าเรียนวิชานี้
และเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลก็คงไม่ได้มีตัวอักษรแสนวิเศษต่างๆอย่างที่มันมีอยู่ในปัจจุบัน
แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะมองเห็นความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
แต่เมื่อมองย้อนกลับไปในตอนนี้หลังจากสิบปี
ความสัมพันธ์ของสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ชัดเจนมากๆเลย
ย้ำอีกครั้งว่าเราไม่สามารถเชื่อมโยงจุดต่างๆโดยการมองไปข้างหน้า
เราสามารถเชื่อมโยงมันโดยการมองย้อนหลังไปเท่านั้น เพราะฉนั้น
คุณต้องมีความเชื่อมันว่าจุดต่างๆมันจะเชื่อมโยงกันเองในอนาคตไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
คุณต้องเชื่อมั่นในบางอย่าง
ความกล้าของคุณ โชคชะตา ชีวิต กรรม(การกระทำ)
อะไรก็ได้ การมองในแง่นี้ไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง
และมันสร้างความแตกต่างในทางที่ดีให้แก่ชีวิตของผม
เรื่องที่สองของผมเกี่ยวกับความรักและความสูญเสีย
ผมโชคดีที่ผมพบสิ่งที่ผมรักตั้งแต่เนิ่นๆในชีวิต
ผมและ Woz ก่อตั้งบริษัทแอปเปิลในโรงรถของพ่อแม่ผมเมื่อผมอายุ 20
พวกเราทำงานกันอย่างหนัก และใน 10 ปีบริษัทแอปเปิล
ก็เติบโตจากเราสองคนในโรงรถเป็นบริษัท 2000 ล้านเหรียญ
และลูกจ้างอีกกว่า 4000 คน เราเพิ่งเปิดตัวสิ่งประดิษฐ์ที่ดีที่สุดของเรา
นั่นคือคอมพิวเตอร์แม็คอินตอชเมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านั้น
และหลังจากนั้นผมก็อายุ30 และผมก็โดนไล่ออก
เป็นไปได้ยังไงที่คุณจะถูกไล่ออกจากบริษัทที่คุณก่อตั้ง?
คือว่าเมื่อบริษัทเติบโตขึ้น
ผมได้ว่าจ้างบุคคลผู้หนึ่งซึ่งผมคิดว่ามีความสามารถมากเพื่อที่จะช่วยผมบริหาร
ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีอยู่ช่วงหนึ่งปี
แต่หลังจากนั้นมุมมองต่ออนาคตของเราเริ่มแยกไปคนละทางและในที่สุดก็เกิดขัดแย้งกัน
คณะกรรมการผู้บริหารบริษัทเห็นด้วยกับเขา
ผมก็เลยต้องออกจากบริษัทเมื่ออายุ 30
เป็นการออกอย่างเป็นข่าวดังด้วย
สิ่งที่เคยเป็นจุดศูนย์รวมของชีวิตผู้ใหญ่ของผมมลายหายไป
และมันก็เป็นอะไรที่หนักหนาสาหัสสำหรับผมมาก
เป็นเดือนๆที่ผมไม่รู้ว่าผมจะทำอะไรกับชีวิตของผมดี
ผมมีความรู้สึกว่าผมได้ทำให้คนรุ่นเดียวกับผมที่เป็นเจ้าของกิจการผิดหวัง
เหมือนกับว่าผมเป็นคนที่ทำให้ไม้ที่ใช้ในการวิ่งผัดตกลงพื้น
ผมพบกับ DavidPackard และ Bob Noyce
และผมก็พยายามขอโทษพวกเขาที่ผมล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า
ผมคิดว่าผมกลายเป็นบุคคลล้มเหลวสาธารณะ
และคิดแม้กระทั่งว่าจะหนีจาก SiliconValley (นิคมอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์)
แต่ในที่สุดทุกอย่างก็ค่อยๆกระจ่างขึ้น
ผมยังรักสิ่งที่ผมทำอยู่
สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นที่บริษัทแอปเปิลไม่ได้เปลี่ยนแปลงความรักต่อสิ่งที่ผมทำแม้แต่น้อย
จริงอยู่ที่ผมถูกปฏิเสธ แต่ผมก็ยังมีความรักอยู่
ผมเลยตัดสินใจที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ขณะนั้นผมดูไม่ออก
แต่ความจริงแล้วการที่ผมถูกไล่ออกจากบริษัทแอปเปิลนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับผม
แรงกดดันของความสำเร็จถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกเบาโล่งของความเป็นผู้เริ่มต้นอีกครั้ง
และของการที่มีความมั่นใจน้อยลงในทุกๆอย่าง
มันเป็นการปลดปล่อยให้ผมเข้าสู่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ที่สุดของชีวิตผม
ช่วงห้าปีต่อมา ผมก่อตั้งบริษัทใหม่ชื่อ NeXT และอีกบริษัทชื่อ Pixar
และผมก็ตกหลุมรักกับผู้หญิงแสนวิเศษคนหนึ่งผู้ซึ่งผมได้แต่งงานด้วยในเวลาต่อมา
บริษัท Pixar กลายเป็นบริษัทที่ผลิตหนังการ์ตูนคอมพิวเตอร์เรื่องแรกของโลก
: Toy Story (ทอยสตอรี่)
และปัจจุบันก็เป็นบริษัทที่ประสบความในแวดวงหนังอนิเมชั่น (การ์ตูน)
และด้วยชุดเหตุการณ์พลิกผันที่น่าทึ่ง บ. Apple ก็ได้ซื้อ บ. NeXT;
ผมกลับคืนสู่ Apple; และเทคโนโลยีที่เราได้พัฒนาขึ้นที่ NeXT
ก็เป็นหัวใจของการเกิดใหม่ของ Apple
และผมและลอรีน(ภรรยา)ก็มีชีวิตครอบครัวที่สุดแสนวิเศษ
ผมแน่ใจว่าสิ่งเหล่านี้คงไม่เกิดขึ้นกับผมถ้าผมไม่ถูกไล่ออกจาก Apple
มันเปรียบเสมือนยาขมที่คนไข้อย่างผมต้องการอย่างมาก
บางทีชีวิตเราก็ตีหัวเราเหมือนก้อนอิฐก้อนหนึ่ง
แต่ขออย่าได้สูญเสียความเชื่อและความหวัง
ผมมั่นใจว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ผมก้าวต่อไปคือความรักในสิ่งที่ผมทำ
คุณต้องหาสิ่งที่คุณรักให้ได้ และนั่นเป็นจริงทั้งสำหรับงานและคนที่คุณรัก
งานคุณจะเป็นสิ่งที่ครอบคลุมชีวิตส่วนใหญ่ของคุณ
และวิธีเดียวที่คุณจะมีความพอใจกับมันอย่างแท้จริงคือ
คุณต้องทำในสิ่งที่คุณเชื่อว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่
และวิธีเดียวที่จะทำงานยิ่งใหญ่คือการทำงานที่คุณรัก
ถ้าคุณยังไม่เจอก็ให้พยายามค้นหาตอไป อย่าหยุดหรือย้อมแพ้ในการหา
คุณจะรู้ได้ทันทีเมื่อคุณเจอมัน เหมือนกับเรื่องอื่นๆ ของหัวใจ
และเหมือนความสัมพันธ์ดีๆอย่างอื่น
คุณจะมีความสุขเพิ่มขึ้นเรื่อยเมื่อเวลาผ่านไป
เพราะฉนั้นจงค้นหาต่อไปจนกว่าจะสิ่งที่คุณรัก
อย่าหยุดหรือย้อมแพ้(อย่ายอมรับสภาพ)
เรื่องที่สามของผมเกี่ยวกับความตาย
ตอนอายุ 17 ผมได้อ่านคำคมวลีหนึ่งทำนองว่า
ถ้าคุณใช้ชีวิตทุกวันเหมือนกับว่ามันเป็นวันสุดท้าย
สักวันหนึ่งคุณจะต้องถูกบ้างหละ
มันทำให้ผมประทับใจ
และหลังจากนั้นทุกเช้าเป็นเวลา 33 ปี ผมได้มองหน้าตัวเองในกระจก
และได้ถามตัวเองว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของผม
ผมอยากจะทำสิ่งที่ผมกำลังจะทำวันนี้หรือไม่
และเมื่อไหร่ก็ตามที่คำตอบคือ
ไม่ ต่อเนื่องกันหลายวัน
ผมก็รู้ว่าถึงเวลาที่ผมต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างแล้ว
การเตือนตัวเองว่าผมจะต้องตายในไม่ช้าคืออาวุธที่สำคัญที่สุดที่ผมค้นพบ
ที่ผมได้ใช้ในการช่วยตัดสินใจสิ่งสำคัญๆในชีวิตของผม
เพราะว่าเกือบทุกสิ่ง
ความคาดหวังภายนอกความเย่อหยิ่ง ความกลัวที่จะเสียหน้าหรือล้มเหลว
สิ่งเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้าความตายเหลือไว้เพียงแต่สิ่งที่สำคัญจริงๆ
การเตือนตัวเองว่าตัวเองจะตายคือวิธีที่ดีที่สุดที่ผมรู้จัก
ที่ช่วยให้ผมไม่ติดกับดักของการคิดว่าผมมีอะไรจะสูญเสีย
คุณก็ตัวเปล่าเปลือยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เพราะฉนั้นมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณจะไม่เดินตามสิ่งที่หัวใจคุณปรารถนา
เมื่อปีกว่าๆ คุณหมอวินิจฉัยว่าผมเป็นมะเร็ง ผมเข้าเครื่องตรวจเมื่อเวลา7:30 น.
ในตอนเช้า ผลการตรวจแสดงอย่างชัดเจนว่าผมมีเนื้องอกบนตับอ่อนของผม
ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตับอ่อนคืออะไร
คณะแพทย์ฟันธงว่านี่น่าจะเป็นมะเร็งตับอ่อนชนิดที่รักษาไม่หาย
และว่าผมน่าจะมีเวลาเหลืออีกประมาณ 3 ถึง 6 เดือน
พวกเขาบอกผมว่าผมควรจะกลับบ้านเพื่อไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย
ซึ่งเป็นรหัสของพวกหมอว่าไปเตรียมตัวตายได้แล้ว
มันหมายความว่าให้คุณพยายามสอนลูกๆของคุณ
ในช่วงเวลาไม่กี่เดือนในสิ่งที่คุณเคยคิดว่าคุณจะมีเวลาค่อยๆสอน
ในอีก 10 ปี มันหมายความว่าให้คุณเตรียมการทุกอย่าง
เพื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะได้ง่ายที่สุดเท่าที่จะง่ายได้สำหรับครอบครัวคุณหลังจากที่คุณจากไป
มันหมายความว่าให้คุณกล่าวคำอำลา ผมอยู่กับคำวินิจฉัยนั้นทั้งวัน
เมื่อตกเย็นคณะแพทย์ได้ทำการตัดชิ้นเนื้อไปชันสูตร โดยการสอดกล้องเข้าคอผม
ผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้ แล้วจิ้มเข้าไปในตับอ่อนเพื่อดูดเอาเซลล์จากเนื้องอก
ขณะนั้นผมอยู่ภายใต้ฤทธิ์ของยาสลบ ภรรยาผมซึ่งอยู่ด้วยได้เล่าให้ผมฟังว่า
คุณหมอได้ร้องไห้ออกมาด้วยความยินดีเมื่อส่องกล้องดูเซลล์เหล่านั้น
เพราะมันเป็นมะเร็งตับอ่อนชนิดที่พบได้ยากมากที่สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด
ผมได้รับการผ่าตัดในเวลาต่อมาและผมก็หายดีแล้ว
นี่คือเหตุการณ์ที่ผมเฉียดตายมากที่สุด
และผมก็หวังว่ามันจะเป็นเหตุการณ์ที่เฉียดที่สุดไปอีกหลายทศวรรษ
เมื่อผ่านพ้นมันมาแล้ว
ผมสามารถพูดกับคุณด้วยความมั่นใจที่เพิ่มอีกนิดกว่าก่อนหน้านี้เมื่อความตาย
เป็นเพียงสิ่งทีมีประโยชน์[ที่ใช้ในการกระตุ้น]แต่เป็นเพียงสิ่งที่ผมเข้าใจเอาเองตามทฤษฎี:
ไม่มีใครอยากตายหรอกครับ
แม้คนที่ต้องการขึ้นสวรรค์ก็ไม่อยากตายแม้นว่าเขารู้ล่วงหน้าว่าตายไปแล้วเขาจะได้ขึ้นสวรรค์
ถึงกระนั้นความตายก็คือจุดหมายเดียวกันที่พวกเราทุกคนต่างมี
ไม่เคยมีใครหนีความตายพ้น และมันควรจะเป็นเช่นนั้น
เพราะความตายน่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์อย่างเดียวที่ดีที่สุดของชีวิต
มันเป็นจุดเปลี่ยนแปลง มันกำจัดสิ่งเก่าออกไปเพื่อปูทางสำหรับสิ่งใหม่
ณเวลานี้พวกคุณคือสิ่งใหม่ แต่วันหนึ่ง ไม่นานหลังจากนี้
พวกคุณก็จะกลายเป็นสิ่งเก่าที่ถูกทำให้พ้นไป
ขอโทษถ้าที่ผมพูดมันฟังดูเหมือนลิเก แต่มันเป็นความจริง
เวลาของคุณมีจำกัด
เพราะฉนั้นอย่าใช้มันโดยการใช้ชีวิตของคนอื่น
จงอย่ายอมติดกับดักของกฎเกณฑ์
ซึ่งก็คือการใช้ชีวิตจากผลของความคิดของคนอื่น
อย่ายอมให้เสียงของความคิดเห็นของคนอื่นกลบเสียงของใจของคุณ และที่สำคัญที่สุด
จงกล้าที่จะเดินตามหัวใจและสัญชาตญาณของคุณ
ลึกๆแล้วพวกมันรู้ว่าคุณต้องการที่เป็นอะไร
อย่างอื่นนอกจากนั้นเป็นเพียงเรื่องรองลงมา
สมัยที่ผมยังเด็กอยู่
มีวารสารหนึ่งชื่อว่า The Whole Earth Catalogue
ซึ่งเปรียบเสมือนกับคัมภีร์ไบเบิ้ลของคนรุ่นผม
ชายคนหนึ่งนามว่า Steward Brand เป็นผู้ก่อตั้งมันขึ้นมาในMenlo Park
ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่เขาทำให้วารสารนั้นมีชีวิตขึ้นมาด้วยความสามารถดุจนักกวีของเขา
ช่วงนั้นเป็นช่วงปลายทศวรรษ 1960ก่อนที่จะมีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
และการพิมพ์โดยการใช้คอมพิวเตอร์เข้าช่วย
ทุกสิ่งทุกอย่างคืองานที่ใช้เครื่องพิมพ์ดีด กรรไกร
และรูปถ่ายจากกล้องโพลารอยด์ทำ มันเปรียบเสมือน Google
บนหน้ากระดาษก่อนที่จะมี Google จริงๆในอีก 35 ปีต่อมา มันสุดยอดมาก
เต็มปริ่มไปด้วยเครื่องมือดีๆและไอเดียยิ่งใหญ่ Stewart
และทีมงานของเขาตีพิมพ์หนังสือนี้ออกมาหลายชุด และเมื่อถึงเวลาของมัน
พวกเขาก็ตีพิมพ์ฉบับสุดท้ายออกมา มันป็นช่วงกลางทศวรรษ 1970
ขณะนั้นผมอายุประมาณพวกคุณในตอนนี้
ปกหลังของฉบับสุดท้ายเป็นรูปถนนในชนบท
ถนนแบบเดียวที่คุณอาจเดินทางถ้าคุณเป็นคนรักการผจญภัย ข้างใต้รูปนั้น
มีข้อความว่า Stay Hungry. Stay Stupid.*
นั่นคือประโยคอำลาของพวกเขา
ผมใช้ข้อความนี้เตือนใจผมเสมอ
และขณะนี้ผมขอมอบข้อความนี้ให้พวกคุณทั้งหลายที่นี่ที่กำลังจะเริ่มต้นใหม่
Stay Hungry. StayFoolish.* ขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างมาก * Stay Hungry
แปลตรงตัวคือ จงดำรงไว้ซึ่งความหิว ความหมายก็คือ
จงกระหาย[ที่จะเรียนรู้ตลอดเวลา] Stay Foolish แปลตรงตัวคือ
จงดำรงไว้ซึ่งความโง่เขลา ความหมายก็คือ
จงอย่าคิดว่าเราฉลาดแล้วจนเลิกที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆหรือพัฒนาตัวเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 123
- ผู้ติดตาม: 0
นิทานเซ็น
โพสต์ที่ 19
ผมจำไม่ได้ว่าใครแปลเป็นภาษาไทยให้ ต้องขอขอบคุณทั้ง สตีฟ จ๊อบ
และผู้แปลเป็นภาษาไทยด้วยครับ
และผู้แปลเป็นภาษาไทยด้วยครับ
- ayethebing
- Verified User
- โพสต์: 2125
- ผู้ติดตาม: 0
นิทานเซ็น
โพสต์ที่ 20
มีนิทานมาเล่าเหมือนกันครับ
มีเด็กชายแสนฉลาดคนหนึ่งนั่งเล่นอยู่ริมทุ่ง
เค้าเห็นแมลงวันตัวหนึ่งบินผ่านไปอย่างรีบร้อน
เด็กชายถามแมลงวันว่า "เจ้ารีบร้อนไปไหนหรือ"
แมลงวันตอบเด็กชายว่า "เราหนีจากเจ้ากบนะสิ มันจะกินเรา"
แล้วแมลงวันก็บินหนีไปอย่าตื่นกลัว
เด็กชายได้เห็นเจ้ากบกระโดดมาจึงถามเจ้ากบว่า
"นี่เจ้ากบเจ้าอย่ากินแมลงวันได้มั้ย มันกลัวมากนะ"
เจ้ากบทำหน้างง แล้วตอบว่า "แมลงวันที่ไหน เรากำลังหนีเจ้าแมวตัวนั้นต่างหาก"
แล้วเจ้ากบก็กระโดดหนีไปอย่างเร่งร้อน
เด็กชายก็หยุดแมวเอาไว้แล้วถามเหมือนเดิมอีก
เจ้าแมวตอบว่า "ใครจะไปสนกบกัน หมาตัวนั้นต่างหากที่ไล่ตามฉันมา"
แล้วเจ้าแมวก็กระโดดแผล็วๆ หนีไป
เด็กชายถามเจ้าหมาน้อยมันก็ตอบว่า "ฉันไม่ได้ไล่ตามแมว แต่มีหมูตัวนึงไล่ตามฉันมาต่างหาก"
หลังจากที่หมานี้ไปแล้วเด็กน้อยก็ถามเจ้าหมูอีก
"หมาอะไร เราวิ่งหนีวัวมาต่างหาก" เจ้าหมูตอบก่อนวิ่งหนีไป
พอเห็นเจ้าวัวกับลูกวัวเด็กน้อยก็ถามอีก
"หมูเหมอที่ไหน เราวิ่งหนีหมาป่ามาต่างหาก มันจะกินลูกของฉัน"
เด็กน้อยคิดว่าต้องเป็นเจ้าหมาป่านี่แน่ๆ ที่ทำให้ทุกคนต้องวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น
แต่เจ้าหมาป่ากลับบอกว่า "วัวเหรอ ป่าวนี่ ฉันกำลังวิ่งหนีนายพรานต่างหาก เค้าจะยิงฉัน"
ทุกคนวิ่งหนีไปทั่วป่า จนเด็กน้อยต้องบอกคนถือปืนว่า
"นี่ๆ อย่าได้ยิงหมาป่าเลยได้มั้ย"
นายพรานบอกว่า "ปล่าว ฉันกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่างที่สูงมากๆ ใหญ่มากๆ น่ากลัวมากๆ ต่างหาก"
นายพรานกล่าวอย่างตื่นกลัว "มันทำเรียก ตุ้ม ตั้ม ตุ้ม ตั้ม ทำเอาฉันตกใจจนต้องคว้าปืนแล้ววิ่งหนีมานี่นะแหละ"
แล้วนายพรานก็วิ่งออกไป ทันใดนั้นเด็กชายก็ได้ยินเสียง "ตุ้ม ตั้ม ตุ้ม ตั้ม"
เด็กน้อยตกใจคิดว่าจะวิ่งหนีดีหรือไม่
แต่เด็กน้อยก็รอดูจนได้เห็นว่าสิ่งที่ทำเสียงนั้น
มันไม่น่ากลัว มันไม่สูงใหญ่ มันก็คือ....
แกะน้อยที่มีถังเหล็กติดอยู่ที่ขา!!!!
แกะน้อยบอกเด็กชายว่า "ขาฉันติดในถ้งนี้ ฉันวิ่งไปหานายพรานเพื่อให้เค้าช่วย แต่เขากลับวิ่งหนีไปเสียนี่"
หลังจากเด็กน้อยรู้ความจริงก็เลยตะโกนบอกทุกคนว่า
"หยุด"
ทุกคนพอได้ทราบความจริงก็หยุดวิ่งหนีแล้วป่าก็กลับมาสงบดังเดิม
(จากหนังสือของเด็กเรื่อง A Fly Went By by Dr. Seuss)
แล้วคุณอย่างเป็นใครในนิทานเรื่องนี้
มีเด็กชายแสนฉลาดคนหนึ่งนั่งเล่นอยู่ริมทุ่ง
เค้าเห็นแมลงวันตัวหนึ่งบินผ่านไปอย่างรีบร้อน
เด็กชายถามแมลงวันว่า "เจ้ารีบร้อนไปไหนหรือ"
แมลงวันตอบเด็กชายว่า "เราหนีจากเจ้ากบนะสิ มันจะกินเรา"
แล้วแมลงวันก็บินหนีไปอย่าตื่นกลัว
เด็กชายได้เห็นเจ้ากบกระโดดมาจึงถามเจ้ากบว่า
"นี่เจ้ากบเจ้าอย่ากินแมลงวันได้มั้ย มันกลัวมากนะ"
เจ้ากบทำหน้างง แล้วตอบว่า "แมลงวันที่ไหน เรากำลังหนีเจ้าแมวตัวนั้นต่างหาก"
แล้วเจ้ากบก็กระโดดหนีไปอย่างเร่งร้อน
เด็กชายก็หยุดแมวเอาไว้แล้วถามเหมือนเดิมอีก
เจ้าแมวตอบว่า "ใครจะไปสนกบกัน หมาตัวนั้นต่างหากที่ไล่ตามฉันมา"
แล้วเจ้าแมวก็กระโดดแผล็วๆ หนีไป
เด็กชายถามเจ้าหมาน้อยมันก็ตอบว่า "ฉันไม่ได้ไล่ตามแมว แต่มีหมูตัวนึงไล่ตามฉันมาต่างหาก"
หลังจากที่หมานี้ไปแล้วเด็กน้อยก็ถามเจ้าหมูอีก
"หมาอะไร เราวิ่งหนีวัวมาต่างหาก" เจ้าหมูตอบก่อนวิ่งหนีไป
พอเห็นเจ้าวัวกับลูกวัวเด็กน้อยก็ถามอีก
"หมูเหมอที่ไหน เราวิ่งหนีหมาป่ามาต่างหาก มันจะกินลูกของฉัน"
เด็กน้อยคิดว่าต้องเป็นเจ้าหมาป่านี่แน่ๆ ที่ทำให้ทุกคนต้องวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น
แต่เจ้าหมาป่ากลับบอกว่า "วัวเหรอ ป่าวนี่ ฉันกำลังวิ่งหนีนายพรานต่างหาก เค้าจะยิงฉัน"
ทุกคนวิ่งหนีไปทั่วป่า จนเด็กน้อยต้องบอกคนถือปืนว่า
"นี่ๆ อย่าได้ยิงหมาป่าเลยได้มั้ย"
นายพรานบอกว่า "ปล่าว ฉันกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่างที่สูงมากๆ ใหญ่มากๆ น่ากลัวมากๆ ต่างหาก"
นายพรานกล่าวอย่างตื่นกลัว "มันทำเรียก ตุ้ม ตั้ม ตุ้ม ตั้ม ทำเอาฉันตกใจจนต้องคว้าปืนแล้ววิ่งหนีมานี่นะแหละ"
แล้วนายพรานก็วิ่งออกไป ทันใดนั้นเด็กชายก็ได้ยินเสียง "ตุ้ม ตั้ม ตุ้ม ตั้ม"
เด็กน้อยตกใจคิดว่าจะวิ่งหนีดีหรือไม่
แต่เด็กน้อยก็รอดูจนได้เห็นว่าสิ่งที่ทำเสียงนั้น
มันไม่น่ากลัว มันไม่สูงใหญ่ มันก็คือ....
แกะน้อยที่มีถังเหล็กติดอยู่ที่ขา!!!!
แกะน้อยบอกเด็กชายว่า "ขาฉันติดในถ้งนี้ ฉันวิ่งไปหานายพรานเพื่อให้เค้าช่วย แต่เขากลับวิ่งหนีไปเสียนี่"
หลังจากเด็กน้อยรู้ความจริงก็เลยตะโกนบอกทุกคนว่า
"หยุด"
ทุกคนพอได้ทราบความจริงก็หยุดวิ่งหนีแล้วป่าก็กลับมาสงบดังเดิม
(จากหนังสือของเด็กเรื่อง A Fly Went By by Dr. Seuss)
แล้วคุณอย่างเป็นใครในนิทานเรื่องนี้
ขอนไม้อันนิ่งสงบ
- BOONPARUEY
- Verified User
- โพสต์: 184
- ผู้ติดตาม: 0
นิทานเซ็น
โพสต์ที่ 21
... ขุดของดีมาอ่านกัน ...
... :cheers: ...
... :cheers: ...
... " บุญ คือ เสบียงของคนไม่ประมาท " พุทธตรัส ...
-
- Verified User
- โพสต์: 1252
- ผู้ติดตาม: 0
นิทานเซ็น
โพสต์ที่ 23
ถ้าผมเป็นชาวนาประโยคสุดท้ายจะตอบว่า "ข้าน้อยรู้แล้วว่านี่ดีหรือร้าย" ข้าต้องขอบคุณเจ้าม้านั่นโดยแท้ ที่ทำบุตรชายข้าไม่ต้องเป็นทหาร55555
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 1
นิทานเซ็น
โพสต์ที่ 24
คำเดียวครับ
อนิจจัง
อนิจจัง
-
- Verified User
- โพสต์: 1922
- ผู้ติดตาม: 0