คิดอย่างไรกับบทความนี้ของ ดร. นิเวศน์ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 200
- ผู้ติดตาม: 0
คิดอย่างไรกับบทความนี้ของ ดร. นิเวศน์ครับ
โพสต์ที่ 31
" พอร์ตของเราจะใหญ่หรือเล็กนั้นนอกจากจะขึ้นกับฝีมือแล้วก็ยังขึ้นอยู่กับโชคชะตาด้วย วิธีการลงทุนของเรานั้น ไม่ควรไปผูกกับขนาดของพอร์ต เพราะนั่นจะทำให้การลงทุนของเราผิดพลาดมากกว่าที่จะประสบความสำเร็จ ฝีมือนั้นช่วยเสริมโชคชะตาได้ แต่ฝีมือนั้น น้อยครั้งที่จะสามารถฝืนโชคชะตา ยอมรับและลงทุนอย่างมีความสุขจะดีกว่า "
ผมเห็นแบบนี้ครับ
"โชคชะตา" ในที่นี้คงหมายถึง เช่น เป็นคนรวยอยู่แล้ว หรือ อาจเป็นผู้บริหารฝีมือดี เงินเดือนสูงมากๆ หรือ อาจจะเป็นเจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จ เป็นต้น คนเหล่านี้ ยังไงซะก็น่าจะ "พอร์ตใหญ่" แน่นอน แต่พอร์ตของเขาจะเติบโตต่อไปได้อีกแค่ไหนก็ขึ้นกับ "ฝีมือ" ของเขาแล้วหละครับ แบบนี้เรียกว่า "ฝีมือจะช่วยเสริมโชคชะตาได้"
แต่ถ้าเราเริ่มต้นจากศูนย์ พ่อแม่ก็ไม่ได้ร่ำรวย เพิ่งจะเริ่มต้นทำงานเก็บเงิน เขาเหล่านี้ยังไงซะน่าจะ "พอร์ตเล็ก" แน่นอน และต่อให้เขามี "ฝีมือ" ดีแค่ไหนก็ตาม ในระยะเวลาแค่ไม่กี่ปี ยังไงพอร์ตก็คงจะไม่โตไปเทียบกับ "พอร์ตใหญ่" ได้ แบบนี้เรียกว่า "ฝีมือนั้น น้อยครั้งที่จะสามารถฝืนโชคชะตา"
และยิ่งถ้าเราไปอิจจฉาคน "พอร์ตใหญ่" เราจะยิ่งใจร้อน เรายิ่งอยากจะเร่งพอร์ตของเรา โอกาสพลาดย่อมมีมากขึ้น ยิ่งเร่งอาจกลายเป็นยิ่งช้า
ดังนั้นผมเชื่อข้อสรุปของ ดร.นิเวศน์ ที่ว่า
"ยอมรับและลงทุนอย่างมีความสุขจะดีกว่า"
ผมเห็นแบบนี้ครับ
"โชคชะตา" ในที่นี้คงหมายถึง เช่น เป็นคนรวยอยู่แล้ว หรือ อาจเป็นผู้บริหารฝีมือดี เงินเดือนสูงมากๆ หรือ อาจจะเป็นเจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จ เป็นต้น คนเหล่านี้ ยังไงซะก็น่าจะ "พอร์ตใหญ่" แน่นอน แต่พอร์ตของเขาจะเติบโตต่อไปได้อีกแค่ไหนก็ขึ้นกับ "ฝีมือ" ของเขาแล้วหละครับ แบบนี้เรียกว่า "ฝีมือจะช่วยเสริมโชคชะตาได้"
แต่ถ้าเราเริ่มต้นจากศูนย์ พ่อแม่ก็ไม่ได้ร่ำรวย เพิ่งจะเริ่มต้นทำงานเก็บเงิน เขาเหล่านี้ยังไงซะน่าจะ "พอร์ตเล็ก" แน่นอน และต่อให้เขามี "ฝีมือ" ดีแค่ไหนก็ตาม ในระยะเวลาแค่ไม่กี่ปี ยังไงพอร์ตก็คงจะไม่โตไปเทียบกับ "พอร์ตใหญ่" ได้ แบบนี้เรียกว่า "ฝีมือนั้น น้อยครั้งที่จะสามารถฝืนโชคชะตา"
และยิ่งถ้าเราไปอิจจฉาคน "พอร์ตใหญ่" เราจะยิ่งใจร้อน เรายิ่งอยากจะเร่งพอร์ตของเรา โอกาสพลาดย่อมมีมากขึ้น ยิ่งเร่งอาจกลายเป็นยิ่งช้า
ดังนั้นผมเชื่อข้อสรุปของ ดร.นิเวศน์ ที่ว่า
"ยอมรับและลงทุนอย่างมีความสุขจะดีกว่า"
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1257
- ผู้ติดตาม: 0
คิดอย่างไรกับบทความนี้ของ ดร. นิเวศน์ครับ
โพสต์ที่ 32
มีพอร์ตเป็น 10 ล้านในตลาดหุ้นนั้นง่ายมาก เริ่มต้นด้วย 100 ล้านสิ เดี๋ยวมันก็เป็น 10 ล้านเองนายสต็อก เขียน: คนพูดแนวนี้...เรียกว่าพูดแบบทุนนิยมครับ (Capitalism)
อย่างว่าแหละครับ อเมริกาเค้าเป็นต้นแบบของระบบทุนนิยมอยู่แล้ว
"ใครลงทุนน้อยก็ได้ส่วนแบ่งชิ้นเนื้อไปน้อย...ใครลงทุนมากก็ได้ส่วนแบ่งชิ้น
เนื้อไปมาก!!!"
ลงทุนตามอัตภาพ "แสนเดียว"...จะได้แบบพวก ลงทุน "100 ล้าน" ได้ยังไง?
ผมเข้าใจว่า ให้เริ่มลงทุนด้วยพอร์ต100ล้าน แล้วมันจะลดลงเหลือ10ล้านเอง :lol:
"Price is what you pay. Value is what you get."
-
- Verified User
- โพสต์: 1266
- ผู้ติดตาม: 0
คิดอย่างไรกับบทความนี้ของ ดร. นิเวศน์ครับ
โพสต์ที่ 33
ดร.นิเวศน์ เขียนบทความนี้ เหมือนอยากจะตอบกระทู้นี้
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... 3%CB%AD%E8
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... 3%CB%AD%E8
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
คิดอย่างไรกับบทความนี้ของ ดร. นิเวศน์ครับ
โพสต์ที่ 34
[quote="chatchai"]
ผมเริ่มเล่นหุ้นตั้งแต่ช่วงกลางปี 33
ผมเริ่มเล่นหุ้นตั้งแต่ช่วงกลางปี 33
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- BOONPARUEY
- Verified User
- โพสต์: 184
- ผู้ติดตาม: 0
คิดอย่างไรกับบทความนี้ของ ดร. นิเวศน์ครับ
โพสต์ที่ 35
... :cheers: ...
... " บุญ คือ เสบียงของคนไม่ประมาท " พุทธตรัส ...
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
คิดอย่างไรกับบทความนี้ของ ดร. นิเวศน์ครับ
โพสต์ที่ 37
"ลงสามพัน ได้สามหมื่น"
"ลงสามหมื่น ได้สามแสน"
"ลงสามแสน ได้สามล้าน"
...
สำหรับผมแล้ว...ไม่ว่าจะเป็นข้อไหน มันก็น่าตื่นเต้นทั้งนั้นแหล่ะครับ
ถ้าในมุมมองของผม
เพื่อไปถึงเป้าหมายที่น่าตื่นเต้นนั้น
ผมชอบใช้คำว่า "กลยุทธ์(Strategy)" มากกว่าครับ
ซึ่งหมายถึง "A plan of action designed to achieve a particular goal"
สำหรับผมแล้ว...
"ขนาดของพอร์ต" เราไม่สามารถกำหนดมันได้
"เงินเก็บ เงินเดือน และโบนัสของแต่ละคน" มันเสกกันมาไม่ได้
ผมจึงถือว่า "ขนาดของพอร์ต" เป็น "ข้อจำกัด(Constraint)"
และมันจึงเป็นส่วนหนึ่งในการกำหนด "กลยุทธ์" ของเรา
ดังนั้นสิ่งที่เรามีอยู่ในจุดเริ่มต้น ก็คือ...
1. ขนาดของพอร์ตเรา หรือ Constraint
2. เป้าหมายของเรา(ที่เราได้ตั้งไว้) หรือ Goal
3. ความรู้ต่างๆที่เราได้ศึกษาจาก Web ThaiVI ,การเข้าอบรมหรือจิบเบียร์ และการอ่านตำราต่างๆ
เราจะใช้ทั้ง 3 สิ่งนี้ ในการกำหนด "กลยุทธ์" หรือ "เส้นทางเดินส่วนตัวของเรา"
เพื่อให้ไปสู่เป้าหมายที่น่าตื่นเต้นของเรา
ถ้า "จุดเริ่มต้นของเรา" เปรียบเสมือน "จุดทีออฟ"
และ "เป้าหมายของเรา" เปรียบเสมือน "หลุมที่มีธงปักอยู่"
ความสำเร็จของนักกอล์ฟ มันอยู่ที่เค้าจะตีลูกกอล์ฟไปลงหลุมที่มีธงปักเอาไว้
ตามแผนที่เค้าได้ตั้งเอาไว้ได้อย่างไร?
เช่น เค้าจะใช้ไม้อะไร หัวไม้ขนาดไหน และจะตีซักกี่ชอต จะตีไปให้ลงที่ไหน
แท้จริงแล้วเค้าไม่ได้แข่งกับใครก็ได้
นอกจาก...เค้ากำลังแข่งกับตัวของเค้าเอง
การลงทุนในหุ้นก็เช่นกัน...
ความสำเร็จและน่าตื่นเต้น...มันไม่ได้อยู่ที่พอร์ตเล็ก หรือ พอร์ตใหญ่
หรือจะต้องไปเปรียบเทียบกำไรกับใครที่ไหน
แต่ผมว่ามันอยู่ที่...
"กลยุทธ์ที่เราวางไว้...มันเป็นไปตามที่เราคาดหมายหรือเปล่า?"
เท่านั้นจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์ "เลี้ยงปลารอให้โต", "เปลี่ยนม้าศึกกลางสนามรบ", "ลูกเทนนิสกระดอนขึ้น", "พริ้วตามพายุลูกใหญ่", "คนล้มละลายแต่มีศักยภาพ" หรือ "จุดพลุกลางความมึดมิด"
คุณเองที่จะเป็นผู้กำหนดกลยุทธ์เหล่านั้น
และตัวคุณเองเท่านั้นที่จะตัดสินความสำเร็จของตนเอง โดยมิต้องเปรียบเทียบกับใครเลยจริงๆ
ผมรู้สึกแบบนี้จริงๆอ่ะนะขอรับ
"ลงสามหมื่น ได้สามแสน"
"ลงสามแสน ได้สามล้าน"
...
สำหรับผมแล้ว...ไม่ว่าจะเป็นข้อไหน มันก็น่าตื่นเต้นทั้งนั้นแหล่ะครับ
ถ้าในมุมมองของผม
เพื่อไปถึงเป้าหมายที่น่าตื่นเต้นนั้น
ผมชอบใช้คำว่า "กลยุทธ์(Strategy)" มากกว่าครับ
ซึ่งหมายถึง "A plan of action designed to achieve a particular goal"
สำหรับผมแล้ว...
"ขนาดของพอร์ต" เราไม่สามารถกำหนดมันได้
"เงินเก็บ เงินเดือน และโบนัสของแต่ละคน" มันเสกกันมาไม่ได้
ผมจึงถือว่า "ขนาดของพอร์ต" เป็น "ข้อจำกัด(Constraint)"
และมันจึงเป็นส่วนหนึ่งในการกำหนด "กลยุทธ์" ของเรา
ดังนั้นสิ่งที่เรามีอยู่ในจุดเริ่มต้น ก็คือ...
1. ขนาดของพอร์ตเรา หรือ Constraint
2. เป้าหมายของเรา(ที่เราได้ตั้งไว้) หรือ Goal
3. ความรู้ต่างๆที่เราได้ศึกษาจาก Web ThaiVI ,การเข้าอบรมหรือจิบเบียร์ และการอ่านตำราต่างๆ
เราจะใช้ทั้ง 3 สิ่งนี้ ในการกำหนด "กลยุทธ์" หรือ "เส้นทางเดินส่วนตัวของเรา"
เพื่อให้ไปสู่เป้าหมายที่น่าตื่นเต้นของเรา
ถ้า "จุดเริ่มต้นของเรา" เปรียบเสมือน "จุดทีออฟ"
และ "เป้าหมายของเรา" เปรียบเสมือน "หลุมที่มีธงปักอยู่"
ความสำเร็จของนักกอล์ฟ มันอยู่ที่เค้าจะตีลูกกอล์ฟไปลงหลุมที่มีธงปักเอาไว้
ตามแผนที่เค้าได้ตั้งเอาไว้ได้อย่างไร?
เช่น เค้าจะใช้ไม้อะไร หัวไม้ขนาดไหน และจะตีซักกี่ชอต จะตีไปให้ลงที่ไหน
แท้จริงแล้วเค้าไม่ได้แข่งกับใครก็ได้
นอกจาก...เค้ากำลังแข่งกับตัวของเค้าเอง
การลงทุนในหุ้นก็เช่นกัน...
ความสำเร็จและน่าตื่นเต้น...มันไม่ได้อยู่ที่พอร์ตเล็ก หรือ พอร์ตใหญ่
หรือจะต้องไปเปรียบเทียบกำไรกับใครที่ไหน
แต่ผมว่ามันอยู่ที่...
"กลยุทธ์ที่เราวางไว้...มันเป็นไปตามที่เราคาดหมายหรือเปล่า?"
เท่านั้นจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์ "เลี้ยงปลารอให้โต", "เปลี่ยนม้าศึกกลางสนามรบ", "ลูกเทนนิสกระดอนขึ้น", "พริ้วตามพายุลูกใหญ่", "คนล้มละลายแต่มีศักยภาพ" หรือ "จุดพลุกลางความมึดมิด"
คุณเองที่จะเป็นผู้กำหนดกลยุทธ์เหล่านั้น
และตัวคุณเองเท่านั้นที่จะตัดสินความสำเร็จของตนเอง โดยมิต้องเปรียบเทียบกับใครเลยจริงๆ
ผมรู้สึกแบบนี้จริงๆอ่ะนะขอรับ
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 23
- ผู้ติดตาม: 0
คิดอย่างไรกับบทความนี้ของ ดร. นิเวศน์ครับ
โพสต์ที่ 38
ผมชอบประโยคนี้จริงๆครับ ผมเพิ่งเริ่มเล่นมา 4 เดือน ด้วยเงิน 20000 บาท แต่เป็นช่วงขาขึ้นของตลาดพอดี ทำให้ได้ผลตอบแทนโอเว่อ มาปิดหนี้หมดเลยครับ ต้องขอบคุณ แนวความคิดแบบ VI และความรู้ต่างๆที่ได้ในเว็บนี้จริงๆครับ สุดท้ายจะ Port เล็กหรือใหญ่ ขอแค่มีความสุขใน Port ตามแผนที่เราวางไว้ ผมว่าสบายใจดีครับ ตอนนี้ผมสามารถแบ่งเงินเดือนมาลงทุนไม่ต้องใช้หนี้บัตรเครดิตแล้วครับ ^_^ เสียดายเพิ่งเริ่มรู้จักการลงทุน ขอบคุณ web นี้และความรู้ที่สอนกันมาอีกครั้งครับ"ลงสามพัน ได้สามหมื่น"
"ลงสามหมื่น ได้สามแสน"
"ลงสามแสน ได้สามล้าน"
...
สำหรับผมแล้ว...ไม่ว่าจะเป็นข้อไหน มันก็น่าตื่นเต้นทั้งนั้นแหล่ะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 193
- ผู้ติดตาม: 0
คิดอย่างไรกับบทความนี้ของ ดร. นิเวศน์ครับ
โพสต์ที่ 39
สรุปเท่าที่ผมอ่าน ๆ มาหลาย ๆ ความเห็น ประเด็น่าจะอยู่ตรงที่ เอาแบบชัด ๆ เลยก็คือ
"คุณเชื่อเรื่องโชคชะตาหรือไม่ ?" ในการลงทุนหุ้น
ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตอบยากมากนะครับ แต่ในความคิดผมสำหรับคำว่า "โชคชะตา" น่าจะหมายถึงการ " สุ่ม " หรือการ "Random"
ยกตัวอย่างเช่น โยนเหรียญ "หัว" "ก้อย" โอกาสทายถูก กับ โอกาสผิด เท่ากันพอดี ถ้าพูดถึงความน่าจะเป็นแล้ว ทัั้งเราและเจ้ามือจะเสมอกันในท้ายที่สุด แต่ในความเป็นจริงเราลองเล่นดูสิ สัก 100 ตา จะต้องมีเราหรือไม่ก็เจ้ามือที่ชนะ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเสมอกันหรอก ดังนั้นคนที่ชนะผมจึงเรียกว่าเป็นคนที่มี "โชค" มากกว่าอีกคน
แต่การลงทุนในหุ้นแนว VI ที่ต้องอาศัยทั้งความอดทน ศึกษาเรียนรู้ และการตัดสินใจที่ชาญฉลาด จึงทำให้โอกาสชนะจากการลงทุนมีมากยิ่งขึ้น
เช่นการลงทุนให้หุ้นโดยยึดหลัก VI จะมีโอกาสชนะตลาดได้ถึง 70 % แต่ก็ต้องมีโอกาสแพ้ด้วย 30 %
นั้นก็เท่ากับว่าจะมีคนที่ลงทุนแนวนี้ 70 คนในร้อยที่ชนะ แต่ยังมีอีก 30 คนในร้อยที่แพ้ โดยค่าเฉลี่ยทั้ง ๆ ที่ลงทุนสไตร์เดียวกันยึดหลักเดียวกัน
ดังนั้นจะบอกว่าคำว่า "โชค" ไม่มีจริงก็ไม่น่าจะถูกซะทีเดียว
ส่วนตัวผมคิดว่าคนเราจะประสบความสำเร็จได้จะประกอบไปด้วย 3 อย่างสนับสนุกกันคือ
เก่ง 33 % กล้า 33% และ เฮงอีก 33 % ขาดสิ่งใดสิ่งหนึงไปก็ยากที่จะประสบความสำเร็จได้
แต่ความเก่งกล้าสามารถเป็นสิ่งที่พัฒนากันได้ถ้าเราเต็มเปี่ยมไปด้วยความพยายามกล้าตัดสินใจเมือเห็นโอกาส ก็เท่ากับเรามีทุนในการต่อสู้แล้ว 66 % ส่วนอีก 33 % นำไปหารสอง (เท่ากับ 16.5%) คือโชคเรา 16.5 และของคนอื่นอีก 16.5 เราจะมีโอกาสชนะถึง 66+16.5 = 82.5 % ซึ่งในระยะยาวถ้าไม่ดวงซวยจริง ๆ ยังไงก็น่าจะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก
โดยส่วนตัวผมเห็นว่า "โชค" คือรสชาติของชีวิตมันคือสิ่งที่เราไม่รู้อานาคตและมันทำให้เราไม่ประมาทไม่ทุ่มหมดตัวไม่มั่นใจเกินไปและกระจายความเสี่ยงเป็นแต่เราต้องมุ่นมั่นพัฒนาตัวเราให้มีโอกาสมากขึ้ันจนโชคไม่สามารถมากำหนดชีวิตของเราได้อย่างมีนัยยะสำคัญ แค่นี้โอกาสทางอิสระภาพทางการเงินก็อยู่ไม่ไกลเกินรอครับ
"คุณเชื่อเรื่องโชคชะตาหรือไม่ ?" ในการลงทุนหุ้น
ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตอบยากมากนะครับ แต่ในความคิดผมสำหรับคำว่า "โชคชะตา" น่าจะหมายถึงการ " สุ่ม " หรือการ "Random"
ยกตัวอย่างเช่น โยนเหรียญ "หัว" "ก้อย" โอกาสทายถูก กับ โอกาสผิด เท่ากันพอดี ถ้าพูดถึงความน่าจะเป็นแล้ว ทัั้งเราและเจ้ามือจะเสมอกันในท้ายที่สุด แต่ในความเป็นจริงเราลองเล่นดูสิ สัก 100 ตา จะต้องมีเราหรือไม่ก็เจ้ามือที่ชนะ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเสมอกันหรอก ดังนั้นคนที่ชนะผมจึงเรียกว่าเป็นคนที่มี "โชค" มากกว่าอีกคน
แต่การลงทุนในหุ้นแนว VI ที่ต้องอาศัยทั้งความอดทน ศึกษาเรียนรู้ และการตัดสินใจที่ชาญฉลาด จึงทำให้โอกาสชนะจากการลงทุนมีมากยิ่งขึ้น
เช่นการลงทุนให้หุ้นโดยยึดหลัก VI จะมีโอกาสชนะตลาดได้ถึง 70 % แต่ก็ต้องมีโอกาสแพ้ด้วย 30 %
นั้นก็เท่ากับว่าจะมีคนที่ลงทุนแนวนี้ 70 คนในร้อยที่ชนะ แต่ยังมีอีก 30 คนในร้อยที่แพ้ โดยค่าเฉลี่ยทั้ง ๆ ที่ลงทุนสไตร์เดียวกันยึดหลักเดียวกัน
ดังนั้นจะบอกว่าคำว่า "โชค" ไม่มีจริงก็ไม่น่าจะถูกซะทีเดียว
ส่วนตัวผมคิดว่าคนเราจะประสบความสำเร็จได้จะประกอบไปด้วย 3 อย่างสนับสนุกกันคือ
เก่ง 33 % กล้า 33% และ เฮงอีก 33 % ขาดสิ่งใดสิ่งหนึงไปก็ยากที่จะประสบความสำเร็จได้
แต่ความเก่งกล้าสามารถเป็นสิ่งที่พัฒนากันได้ถ้าเราเต็มเปี่ยมไปด้วยความพยายามกล้าตัดสินใจเมือเห็นโอกาส ก็เท่ากับเรามีทุนในการต่อสู้แล้ว 66 % ส่วนอีก 33 % นำไปหารสอง (เท่ากับ 16.5%) คือโชคเรา 16.5 และของคนอื่นอีก 16.5 เราจะมีโอกาสชนะถึง 66+16.5 = 82.5 % ซึ่งในระยะยาวถ้าไม่ดวงซวยจริง ๆ ยังไงก็น่าจะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก
โดยส่วนตัวผมเห็นว่า "โชค" คือรสชาติของชีวิตมันคือสิ่งที่เราไม่รู้อานาคตและมันทำให้เราไม่ประมาทไม่ทุ่มหมดตัวไม่มั่นใจเกินไปและกระจายความเสี่ยงเป็นแต่เราต้องมุ่นมั่นพัฒนาตัวเราให้มีโอกาสมากขึ้ันจนโชคไม่สามารถมากำหนดชีวิตของเราได้อย่างมีนัยยะสำคัญ แค่นี้โอกาสทางอิสระภาพทางการเงินก็อยู่ไม่ไกลเกินรอครับ
- wpong
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1356
- ผู้ติดตาม: 0
คิดอย่างไรกับบทความนี้ของ ดร. นิเวศน์ครับ
โพสต์ที่ 40
ผมว่าในระยะยาวแล้วเราทุกคนน่าจะมีโชค และเคราะห์เท่าเทียมกันครับ
สมมติว่ามีกล่องทึบใบหนึ่ง มีลูกบอลอยู่ข้างในให้จับ 2 ลูก เขียนว่าขาดทุน 1 ลูก กำไร 1 ลูก และทุกครั้งที่จับจะต้องเสียค่า Commission จับเสร็จต้องกลับมาคืนในกล่อง
คนกลุ่มใหญ่จะสนุกกับการสุ่มจับลูกบอล ซึ่งเมื่อหักค่า Com แล้วจะขาดทุน
แต่ VI หากจับได้ลูกขาดทุน หรือ กำไรในครั้งแรก ก็จะทำสัญลักษณ์ไว้ ยิ่งจับบ่อยจะยิ่งแม่น จนจับครั้งใด ก็กำไร ...
สุดท้ายก็จะไม่อยุ่ในกฎเกณฑ์เดียวกับคนทั่วไป
สุดท้ายก็ไม่ได้อยุ่ในเกม
สมมติว่ามีกล่องทึบใบหนึ่ง มีลูกบอลอยู่ข้างในให้จับ 2 ลูก เขียนว่าขาดทุน 1 ลูก กำไร 1 ลูก และทุกครั้งที่จับจะต้องเสียค่า Commission จับเสร็จต้องกลับมาคืนในกล่อง
คนกลุ่มใหญ่จะสนุกกับการสุ่มจับลูกบอล ซึ่งเมื่อหักค่า Com แล้วจะขาดทุน
แต่ VI หากจับได้ลูกขาดทุน หรือ กำไรในครั้งแรก ก็จะทำสัญลักษณ์ไว้ ยิ่งจับบ่อยจะยิ่งแม่น จนจับครั้งใด ก็กำไร ...
สุดท้ายก็จะไม่อยุ่ในกฎเกณฑ์เดียวกับคนทั่วไป
สุดท้ายก็ไม่ได้อยุ่ในเกม
- unnop.t
- Verified User
- โพสต์: 924
- ผู้ติดตาม: 1
คิดอย่างไรกับบทความนี้ของ ดร. นิเวศน์ครับ
โพสต์ที่ 42
ตรงนี้ผมคิดคล้าย ๆกัน พอร์ตเล็ก พอร์ตใหญ่ ถ้าเราเอาไปเทียบกับคนอื่น อาจจะทำให้เกิดความโลภที่จะเอาผลตอบแทนสูง ๆเกินไป โดยไม่มองเรื่องของความเสี่ยง ควร focus ที่พอร์ตของเรา และกำหนดกลยุทธ์หรือแนวทางการสร้างพอร์ตของเราเอง กลยุทธ์ตอนที่พอร์ตเล็ก กับตอนที่พอร์ตใหญ่อาจจะแตกต่างกันได้ เช่น ตอนเราพอร์ตเล็ก ๆ อาจจะต้องเน้นลงทุนในกลุ่มหุ้นขนาดกลาง และขนาดเล็กที่โอกาสเติบโตสูง สภาพคล่องอาจจะไม่สูงมากได้ แต่ตอนนี้เราพอร์ตใหญ่ขึ้น กลยุทธ์การเลือกลงทุนอาจต้องเปลี่ยนไปการลงทุนในหุ้นก็เช่นกัน...
ความสำเร็จและน่าตื่นเต้น...มันไม่ได้อยู่ที่พอร์ตเล็ก หรือ พอร์ตใหญ่
หรือจะต้องไปเปรียบเทียบกำไรกับใครที่ไหน
แต่ผมว่ามันอยู่ที่...
"กลยุทธ์ที่เราวางไว้...มันเป็นไปตามที่เราคาดหมายหรือเปล่า?"
เท่านั้นจริงๆ
คุณ PAK อธิบายให้ฟังหน่อยสิครับ อยากรู้ :Dไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์ "เลี้ยงปลารอให้โต", "เปลี่ยนม้าศึกกลางสนามรบ", "ลูกเทนนิสกระดอนขึ้น", "พริ้วตามพายุลูกใหญ่", "คนล้มละลายแต่มีศักยภาพ" หรือ "จุดพลุกลางความมึดมิด"
ตลาดหุ้นมักจะหลอกเราด้วย ความโลภ และความกลัว.....
- whitecastle
- Verified User
- โพสต์: 406
- ผู้ติดตาม: 0
คิดอย่างไรกับบทความนี้ของ ดร. นิเวศน์ครับ
โพสต์ที่ 43
เป็นกระทู้ที่ดีครับ ผมอ่านแล้วเข้าใจถึงสิ่งที่หลายๆท่านต้องการสื่อ นำไปใช้จะดีมากเลยครับ :8)
- unnop.t
- Verified User
- โพสต์: 924
- ผู้ติดตาม: 1
คิดอย่างไรกับบทความนี้ของ ดร. นิเวศน์ครับ
โพสต์ที่ 45
อ้าว ! แล้วไม่หัด "เต้น" เหมือนน้อง ๆในรูปเหรอครับ :lovl:viหัดคลาน เขียน:พอร์ตผมก็เล็กมาก อาศัยเงินเดือนค่อยๆเก็บเข้ามาเพิ่ม และหวังว่าวันหนึ่ง จะเปลี่ยนจาก "หัดคลาน" เป็น "หัดเดิน" และ เป้น "หัดวิ่ง" ในที่สุด
ตลาดหุ้นมักจะหลอกเราด้วย ความโลภ และความกลัว.....
- Croyoty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3658
- ผู้ติดตาม: 1
คิดอย่างไรกับบทความนี้ของ ดร. นิเวศน์ครับ
โพสต์ที่ 46
ปอดเล็กเหรอครับ แต่รูปประกอบavatar ปอดไม่เล็กเลยนะครับviหัดคลาน เขียน:พอร์ตผมก็เล็กมาก อาศัยเงินเดือนค่อยๆเก็บเข้ามาเพิ่ม และหวังว่าวันหนึ่ง จะเปลี่ยนจาก "หัดคลาน" เป็น "หัดเดิน" และ เป้น "หัดวิ่ง" ในที่สุด
เด่นเป็นสง่าเลยคับ :ep: