TTA's Critical Mass กับ เค๊กที่บิดเบือน
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
TTA's Critical Mass กับ เค๊กที่บิดเบือน
โพสต์ที่ 1
ไม่คอยเห้น seesaw 2 ครั้งใน 1 วันเกิดขึ้นเท่าไรนักครับ
หุ้นตัวหนึ่งจะเกิด inefficient ถึง 2 ครังในวันเดียว แปลว่า.... การลงทุนทั้งปวง เมือถึงที่สุดของการวิเคราะห์ ต่างล้วนซื้อเพื่อรอขายในราคาที่สูงกว่า คนซื้อได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าจะมีผู้บริโภคหุ้นมารับช่วงต่อได้แน่ แต่เมื่อนับเวลาที่คนซื้อคาดการณ์ จนถึง เวลาที่ความจริงที่ถูกอมเปิดเผยออกมา จะมีช่วงเวลาที่คั่นอยู่ ช่วงนี้ การคาดการณ์ใหม่จะออกมาซ้อนทับการคาดการณ์เก่าๆ กลไกการซื้อหุ้นจึงเป้นภาพเชิงซ้อนที่ทับถมกันเป็นชั้นๆ ของการคาดการต่างๆ ที่ผ่านมา การคาดการณ์ที่ทับซ้อนนี้ทำให้เกิด fluctuations หรือการผันผวนของราคาหุ้น ทำให้ตลาดเกิด inefficient ทำให้ราคาของหุ้นไมได้เกิดดุลยภาพทุกนาที ช่วงเวลาที่คั่นอยู่คือความแตกต่างของการคาดการณ์กับความจริง ช่องนี้เป้นที่ที่ inefficient เกิดขึ้น และช่องนี้ไม่เคยนิ่ง มันขมิบตลอด มันจะเพิ่มขึ้นลดลงอยู่อย่างนี้ แต่ถ้าจังหวะไหน ช่วงเวลาที่คั่นยิ่งถ่างออกมาก ๆ นั้นเป็นเวลาที่เข้ามาทำเงิน ถ่างน้อยๆ ไม่คุ้มครับ ถ้า ต้นทุนการคาดการณ์ > ความจริงที่ถูกออมไว้ ถ้าตัวเลขมันถ่างจำนวนมากเกินไป การคาดการณ์ของตลาดมันผิดเพี้ยน มันบิดเบือน การคาดการณ์ของคนไม่สมบูรณ์ เค๊กที่บิดเบือน
มานะ กับธิดา สองคน จะตัดฉลองเค๊กวันเกิดของมานะ ทั้งสองเข้ามาบ้าน มาเจอเค๊ก มานะบอกว่า " เอ้ย...ใครแอบกินกินไปชิ้นหนึ่ง" แต่ธิดาอยู่ตรงข้าม มองอีกมุม กลับพูดอีกอย่าง
เห้นชัด ๆ ว่า "เหลือแค่ชินเดียวต่างหาก"
ดูแปลก ๆนะครับ พี่น้องคู้นี้ ใครผิด ใครถูกครับ
:rabbit29:
คนแรกมองด้านหนึ่ง อีกคนมองกลับหัวอีกด้าน ถูกทั้งคู่ครับ สาเหตุเพราะภาพนี้ไม่สมบูรณ์ในตัวเอง เพราะการวาดทับซ้อนของภาพ เหมือนการคาดการณ์ของนักลงทุนที่ทับซ้อนกันขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หุ้น ทำให้ตลาด ไม่มีความสมบูรณ์ในตัวเองนี่คือภาพที่เรียกว่า ภาพตรงข้าม หรือ คือ หลักในการคิดแบบ RV นั่นเอง ความไม่แน่นอน ความบิดเบื่อน คือ RV เพราะคนไม่สามารถแยกตัวเองออกจากสิ่งอื่นๆ ได้ ไม่เชื่อลองถามว่า เราคือใคร แล้วลองไม่ผูกกับสิ่งรอบตัวดู มันทำไม่ได้
ถ้าไม่มีการคาดการณ์ จะใช้ RV ไม่ได้
------------
กรอบความคิด
พี่รุ้งแนะนำเรื่อง Six Characters เรื่องนี้ยิ่งใหญ่มากเช่นกันครับ โซรอสพัฒนาความคิดเรื่อง RV โดยเริ่มจากถามตัวเองว่า เราคือใคร แล้วแต่งหนังสื่อชื่อ Burden of Consciousness ไปให้ใครอ่าน ก้อ่านไม่รู้เรื่อง ทุกวันนี้ กลายเป็น Alchemy of Finance ก็ยังไม่มีใครอ่านรู้เรื่องอยู่ดี จะว่าไป ตอน Keynes ออก The general theory ใหม่ ๆ ก็ยังไม่มีใครอ่านรู้เรื่องครับ ตอนไอสไตน์ออก Relativity ก็มีแค่ 2-3 คนที่เท่านั้นอ่านรู้เรื่อง
----------------------
Visual Illusion
เส้นไหนยาวกว่ากัน?
รุปนี้ตั้งใจให้เกิดการคาดการณ์ ถ้าไม่มีแล้ว มันบิดเบื่อนไม่ได้ ถ้ามีคนดู แล้วไม่ออกความคิด อย่างนี้ RV ก็เป็นอันว่า ใช้ไมได้ครับ แต่พอเอาไม่บรรทัดวัดดู มันเท่ากัน แต่ตาดูบอกว่าไม่เท่า เพราะสมองใหญ่ของเรารับรู้ได้ไม่ถูกต้องไปหมด ไมได้รับรู้ถุกต้องทุกนาที สมองใหญ่นี้มีทั้งซ้ายและขวา แต่สมองมีส่วนอื่นที่เป็นห้อง ๆแยกไปอีกมากมาย แต่ที่สำคัญอยู่ที่สมองใหญ่ ไม่ควรเชื่อในสิ่งที่เห็น สมองด้านขวาทำหน้าที่เชื่อมโยงสิ่งต่างๆ ได้ดี
หุ้นที่บิดเบือน ตลาดที่บิดเบือน โลกที่บิดเบื่อน สมองที่บิดเบือน -----> reflexivity
Propensity to reflex
หุ้นซึ่งก็คือสินค้าอุปโภคจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยกว่าอัตราการคาดการณ์ที่เพิ่ม
โดยเฉลี่ย เมื่อคนเชื่อมันในการคาดการณ์ตัวเองมากขึ้น มีแนวโน้มจะซื้อหุ้นเพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้ซื้อมากเท่ากับการคาดการณ์ที่เพิ่มขึ้น เพราะเก็บไว้ส่วนหนึ่งไว้เป็นทางหนีทีไล่ เช่น ถ้าคาดการณ์เป็น 10 เวลาซื้อก็น้อยกว่า 10 คือซื้อแค่ 8 แค่ 7 เป็นต้น แต่เมื่อใด คนซื้อมีการคาดการณ์เท่ากับ 8 แต่ซื้อเท่ากับ 10 ราคาจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าการคาดการณ์ลดน้อยลง แต่ตัวเงินที่บริโภคหุ้นตัวนั้นดันลงในอัตราที่มากกว่าการลดลงของอัตราการคาดการณ์ ราคาจะตกอย่างรวดเร็ว
กรอบความคิด : Sell on facts เป็นเรื่องของการคาดการณ์
Reflex ratio
เมื่อมีการลงทุน จะผ่านมือคนซื้อไปเรื่อยๆ มือแล้วมื่อเล่า เมื่อการคาดการณ์ของคนหัวแถวกลายเป็นความจริงและผ่านความจริงไปให้คนที่สอง ความจริงของคนแรกกลายเป็นการคาดการณ์ของคนที่สอง ความจริงของคนที่สองกลายเป็นการคาดหวังของคนที่สาม เป็นอย่างนี้เรื่อยๆ กำไรก็จะเกิดก่อขึ้นมาในตลาดเป้นระลอกกันไปต่อเนื่อง แต่ลุกคลื่นของการคาดการณ์ที่ไหลไปเรื่อยๆ นี้ มีที่สิ้นสุดเสมอ และหมดแรงไปที่สุด เพราะอะไรหรือครับ เพราะว่า... การคาดการณ์ที่เท่ากับ 10 ไม่ได้แปลต้นทุนของการบริโภคเท่ากับ 10 ทั้งหมด มันถูกกันไว้เป้นเงินส่วนหนึ่งอย่างที่กล่าวมาแล้ว ราคาของหุ้นจึงขึ้นอยู่กับแรงส่งของ propensity to reflex หรือแรงส่งของการรับรู้นั่นเอง ถ้ามันไม่แผ่วหายใจพะงาบ ๆ อย่าง คนแรกมี 10 คาดการณ์ 7 อัตราเป็น 70% แต่พอผ่านไปคนทีสองอัตรา reflex ratio ขยับเป้น 85% เท่ากับ 8.5 ต่อไปคนที่สามขยับขึ้นเป็น 9 คนที่สี่เพิ่มเป้น 9.5 เป็นต้น
Reflex multiplier
การคาดการณ์ทั้งหมด เริ่มแรกที่ 7 แล้วต่อเป้น 7 + 8.5 + 9 + 9.5 + ผลรวมมันมากว่า 7 ตั้งมาก ผมไม่รู้เรียกว่าอะไร ขอเรียกว่าสิ่งนีว่า reflex multiplier เหมือนการซื้อทีละจำนวนมากในครั้งเดียว แล้วคนแห่ตาม แต่ แรงส่งมันต้องมาพร้อมการคาดการณ์ใหม่ ๆ ด้วย แต่บางทีการคาดการณ์ไม่มา เพราะว่าอัตราผลตอบแทนหรือ discount rate of Future เหลือน้อยลงไปทุกที
หวิดปลาจากบ่อ ปลามันเหลือน้อยลงไปเรื่อยๆ
Beauty Contest
Beauty Contest คนส่วนใหญ่คิดอย่างไร ไม่ใช่หุ้นที่ตนเองคิดอย่างไร คนส่วนใหญ่คิดอย่างไร ทำไมถึงคิดอย่างนั้น ช่องว่างทีคั่นอยู่
Beauty Contest
การคาดการณ์ ( ช่องว่าง) ความจริง
O
/U\
||
ช่องว่าง ให้คิดว่าคนหมู่มากจะคิดไปทางไหน ไม่มีใครมองหาหุ้นที่ดีที่สุด แต่มองหาหุ้นที่คาดการณ์ว่าคนหมู่มากจะเห็นว่าดีที่สุด ไม่ต่างอะไรจากทฤษฎีกระดานหก critical mess นั่นเองครับ
ขอบพระคุณมากครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1808
- ผู้ติดตาม: 0
TTA's Critical Mass กับ เค๊กที่บิดเบือน
โพสต์ที่ 2
ขอบคุณครับ
พี่น่าจะเขียนหนังสือรวมเล่มนะครับ บทความดีๆทั้งนั้น :P
พี่น่าจะเขียนหนังสือรวมเล่มนะครับ บทความดีๆทั้งนั้น :P
"Risk comes from not knowing what you're doing" - Warren Buffet
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
-
- Verified User
- โพสต์: 1372
- ผู้ติดตาม: 1
TTA's Critical Mass กับ เค๊กที่บิดเบือน
โพสต์ที่ 4
ขอถามพี่โหน่งหน่อยครับ ว่าเราจะรู้ได้ไงว่าเดินไปเล่นไม้กระดกอันนี้แล้วจะมีคนเล่นด้วย กลัวแต่ว่าเข้าไปนั่งอยู่คนเดียวจนเราเบื่อแล้วลุกขึ้นมาเอง
อ่านเรื่องที่พี่โหน่งโพสทีไรทึ่งทุกทีคร้บว่าพี่คิดได้ไง ถึงแม้บางเรื่องไม่ค่อยเข้าใจถึงแม้จะอ่าน 2-3 รอบ แต่ชอบอ่านครับท้าทายความคิดดี ขอบคุณมากครับ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=38023
นอกจากเรื่องนี้แล้วยังมีให้อ่านอีกไหมครับ
[quote"i_surut"]พี่น่าจะเขียนหนังสือรวมเล่มนะครับ บทความดีๆทั้งนั้น [/quote]
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
อ่านเรื่องที่พี่โหน่งโพสทีไรทึ่งทุกทีคร้บว่าพี่คิดได้ไง ถึงแม้บางเรื่องไม่ค่อยเข้าใจถึงแม้จะอ่าน 2-3 รอบ แต่ชอบอ่านครับท้าทายความคิดดี ขอบคุณมากครับ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=38023
นอกจากเรื่องนี้แล้วยังมีให้อ่านอีกไหมครับ
[quote"i_surut"]พี่น่าจะเขียนหนังสือรวมเล่มนะครับ บทความดีๆทั้งนั้น [/quote]
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
สติมา ปัญญาเกิด
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
TTA's Critical Mass กับ เค๊กที่บิดเบือน
โพสต์ที่ 5
http://www.templeboxing.com/index.php?board=31.0
p โหน่งเขียนเรื่องดีๆให้เราได้อ่านอยู่เสมอๆเลยครับ
ชอบแนวคิดเรื่อง cake 2 มุมมองอ่ะครับพี่ครับ
มีความสุขกับการสร้างสรรค์งานเขียนนะครับผม :D
p โหน่งเขียนเรื่องดีๆให้เราได้อ่านอยู่เสมอๆเลยครับ
ชอบแนวคิดเรื่อง cake 2 มุมมองอ่ะครับพี่ครับ
มีความสุขกับการสร้างสรรค์งานเขียนนะครับผม :D
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- Verified User
- โพสต์: 115
- ผู้ติดตาม: 0
TTA's Critical Mass กับ เค๊กที่บิดเบือน
โพสต์ที่ 6
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ครับ
สารภาพตามตรงว่าผมยังเข้าใจได้ไม่ครบทั้งหมดของบทความ แต่ก็ได้แนวคิดดีๆ เยอะเลยครับ
วันข้างหน้าพอมีความรู้มากกว่านี้ จะกลับมาอ่านอีกครั้ง คิดว่าน่าจะได้ความรู้เพิ่มพูนมากขึ้นไปอีกครับ
สารภาพตามตรงว่าผมยังเข้าใจได้ไม่ครบทั้งหมดของบทความ แต่ก็ได้แนวคิดดีๆ เยอะเลยครับ
วันข้างหน้าพอมีความรู้มากกว่านี้ จะกลับมาอ่านอีกครั้ง คิดว่าน่าจะได้ความรู้เพิ่มพูนมากขึ้นไปอีกครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1104
- ผู้ติดตาม: 0
TTA's Critical Mass กับ เค๊กที่บิดเบือน
โพสต์ที่ 7
เยี่ยมมากครับ อย่างให้ อ.โหน่งเเนะนำหนังสือโซรอส ที่อ่านเเล้วเข้าใจง่ายๆ หน่อยครับ อ่าน Theory of reflexivity เเล้วเหมือนอ่านหนังสือปรัชญา เเต่สนุกดีนะครับ
สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่ เเละดับไปในที่สุด
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
TTA's Critical Mass กับ เค๊กที่บิดเบือน
โพสต์ที่ 8
ไม่ด้เข้าหลายวันครับ ขอโทษทีครับ ตอบช้าไปหน่อยครับ ปกติไปไหนต่อไหน เห็นลูกทัวร์โดนผีหลอก แต่ไปอินเดีย ไม่มีใครโดนผีหลอกเลย ถ้าจะนับเจ้ากรรมนายเวรเปนผีก็คงไม่แปลก แต่คนเราโดนผีหลอกกันทุกวัน หู ปาก ตา กาย ใจ จมูก เปนกรรม โนกรรมมันหลอก แต่คนที่ไปด้วยทริปนี่เก่ง ไม่มีใครโดนหลอกเลย เข้าใจเรื่องนี้กันหมด
สวัสดีครับ วันนี้มาแปลก ไปทริปนี้ กลับมาเขียนเรื่อง ม่านแห่งตัวกูร เรื่องนี้เข้าใจง่าย เพราะเอาเปนตัวกูร ยึดเปนของกูร ตามสัญชาตญาณ ตามจิตที่เปนของกูร ถ้าไม่เกิดตัวกูร หมดตัวกูร นี่เก่งครับ พื้นฐานหุ้นเอามาเปนพื้นฐานกูร พอร์ตหุ้น เอามาเปนพอร์ตตัวกูร มันเลยยุ่งไปหมด นี่ถ้าทุกอย่างหยุดหมด ไม่มีตัวกูร ความโลภ ความกลัว ความหลง มันจะหยุดหมด เพราะมันไม่มีสถานที่ให้มันตั้งอยู่ เพราะมันตั้งอยู่บนตัวกูร ถ้าไม่มีตัวกูร ไม่มีความรัก ไม่มีความเกลียด ไม่มีความหลงตัวกูร เปนเงาตามตัว เปนที่รัก เปนศัตรู ของกูรทั้งนั้น อร่อยของกูร หอมของกูร อย่างนี้แรบไบโซรอสว่า เปน illusion ทั้งนั้น ฝรั่งอยู่ฝากตะวันตกยังเข้าใจเรื่องนี้ดี ^o-O^ คนที่เขียนไปอ่านถึงเข้าใจ แล้วตามมาหาทางพุทธ ถ้าท่านทำได้ ยกมือไหว้เลย เพราะเก่ง ท่านได้เปรียบกว่า ^- เพราะไม่รู้เรื่องพุทธเลย
เรื่อง reflexivity ถ้าสนใจ อ่านทางพุทธเข้าใจ ท่านก็สำเร็จไปกว่าครึ่งแล้ว แล้วให้ย้อนกลับไปที่โซรอส ถ้าท่านเปนพุทธ ท่านได้เปรียบผมเยอะ แล้วทำไมไม่ทำ ขนาดคนที่ไม่ใช่พุทธ ยังดิ้นรนเข้าใจเรื่องนี้ ตามพุทธมาเพราะอ่านงาน reflexivity ก่อนแล้วตีความเรื่องตามมาเจอพุทธ โซรอสเข้าใจเรื่องตัวเปนของกุนี้ตั้งแต่ 8 ขวบ เขาคิดว่าเขาเปนพระเจ้าตั้งแต่ 8 ขวบ เขาแยกอารมร์กับการลงทุนออกจากกัน อ่านแล้วถึงตามมาหาพุทธ มันอยู่ที่ใจทั้งนั้น ถ้าท่านฝึกได้ ท่านเก่ง ต้องยกมือไหว้
Reflexivity มีช่อง ช่องนี้คือ expectation กับ reality ถ้าบอกว่าช่องนี้เปนกิเลส เปนอคติ เปนตัวกู เข้าใจง่ายกว่า ช่องนี้เกิดได้เองเพราะสัญชาติญาณเปนตัวสร้างปัญหา ถ้ากำจัดตัวกู มีเท่านี้ ช่องหายไปทันที แต่ไม่มีใครชอบ ชอบเช้าช่องกัน บางช่องแคบมาก มืดอีกต่างหาก ยังยัดกันลงไปได้ช่อง เรื่องนี้มีแต่จะเพิ่มความเปนตัวกูร ยึดถือเมื่อไหร่ แพ้มัน.....โดนมันกัด เพราะมันเปนตัวกูร กลัวอะไร ตื่นเต้นอะไร คาดหวังอะไร ยึดไว้เปนตัวตนเมื่อใด มันกัดทันที เพราะสัญชาติญาณมันพาไป ถ้าชนะสัญชาติญาณในตัวเราเมื่อไหร่ ชนะตัวเองแล้ว พวกเราเปนเด้ก ตอนเกิดมา รู้ว่าคนไหนเปนแม่ เรายึดมาตั้งแต่ในท้องแม่ ออกมานี่ทั้งบวก ทั้งลบ สุข ทุกข์ เอาเข้าตัว เปนตัวกู เปนมาตั้งแต่เกิด
การคาดหวัง expectation เปนการสร้างตัวกูร ถ้าทันมันนี่ท่านเก่ง อย่างมีดบาดนิ้ว ท่านบอกว่า มีดบาดกูร ไม่ใช่บาดนิ้ว ไม่มองตามความเปนจริง เพราะเอามาเปนของกูรตั้งแต่เกิด ถ้าไม่มีตัวกู ใจนิ่ง ใจสงบ ท่านชนะเกมในชีวิตแล้ว ไปไหนๆ ท่านก็ชนะหมด อย่าว่าแต่เกมการลงทุนเลย นั่นก็เหมือนกัน เกมการลงทุนมันง่ายกว่าตั้งเยอะ
ตอนนอนหลับ ไม่มีของกู ไม่มีพอร์ตกู
รายย่อยไม่มีของกู หยุดได้ แต่กองทุนมีแผนงาน หยุดไมได้ เปิดเสรีค่าคอมม์ มีผลอย่างมาก พอร์ตสถาบัน 60/100 เปนพอร์ตโบรก พอร์ตโดยรวม 20/100 เปนพอร์ตโบรก ดูพอร์ตสถาบัน ไม่ใช่พอร์ตต่างชาติ พอร์ตสถาบันมีแบงค์รวมอยู่ด้วย เขาเปน VI แท้จริง แต่ VI ไม่ใช่ value investors
Vi ตัวนี้คือไว ไวต่อการเปลี่ยนแปลง ไมใช่เปน Vi เปนตัวกู เปนของกูไปอย่างนั้น
เอา commitment ไปผูกกับตัวกูหมด เวลาใครดึงไปทางไหน ท่านก้ต้องไป ดึงใจท่าน ท่านไปแล้ว
ดึงทางปาก เอานี่อาหารอร่อย ท่านไปแล้ว ดึงทางตา เห็นหุ้นขึ้น ท่านไปแล้ว ดึงทางหู มีแต่คนพุดถึงหุ้นตัวนี้ ท่านไปแล้ว เปนวีไอ แล้วพอร์ตกลายเปนของกู พอร์ตกำไร ก็กำไรกู อย่างนี้ท่านเปน VI แต่ประสาทสัมผัสช้า สุดท้ายเงินท่านจะหมดไว เปนไวแล้ว ให้ใจไว้ ให้สติไว อะไรเข้ามา อย่าเอาเปนของกู ไม่มีใครชอบอย่างนี้ มีแต่จะเพิ่มตัวกู ตัวกุไปบังความสำเร็จ ความสำเร็จอยู่หลังม่านแห่งตัวกู ตัวกูกับความสำเร็จเปนอันเดียวกันไมได้ เปนได้นี่เรื่องตลกแล้ว ตัวกูบังความสำเร็จฉันใด ความสำเร็จก็บังตัวกูฉันนั้น อย่ามองตัวกู ให้อ้อมไปข้างหลังตัวกูร ให้ถอดใจ ถอดความเปนตัวกรูออก แล้วเดินไปข้างหลังตัวเอง นั่นความสำเร็จอยู่ตรงนั้น มันอยู่มานานแล้ว ความสำเร็จมันเอาหลังชนตัวกูรเอาไว้ ท่านหันหลังไปก็ไม่มีทางเห็น เพราะมันเอาหลังชนกัน สละตัวกูออกมา เลิกเปนของกู แยกตัวกุรออกจากพอร์ต แล้วจะเหนข้างหลังตัวเรา หลังตัวเราทุกคนมีความสำเร็จทุกคน แต่ต้องละความเปนของกูก่อนถึงจะเหนตัวความสำเร็จ ท่านต้องหมั่นฝึกทุกวัน ถ้ายังกินข้าวอยู่ก็ต้องฝึก วันไหนไม่กินไม่ต้องฝึกแล้ว แสดงว่าท่านเข้าใจแล้ว จะเดิน นั่ง นอน หมั่นดูใจตัวเอง อย่าให้เปนตัวกูเพิ่มมาอีก ทำให้ตัวกรูมันลดให้ได้ ฝึกสติจับตัวกรูให้ไว เพราะสติสำคัญกว่าปัญญา ถ้าเอาปัญญานำ จะหลงแล้วระเริง ให้ใช้สตินำ ให้สติกำกับปัญญา ต้องรู้ข้อจำกัดตัวเอง ปรับปรุงตัวเองทุกวัน จับผิดตัวเองทุกวัน วันไหนหาที่ผิดไม่เจอ นี่ท่านล้มเหลวแล้ว วันนี้ไม่เปนของกูเลย นี่สำเร็จแล้ว
ก้อนหินก้อนไหน ทำให้เราล้ม จำมันไว้ จำแล้วเข้าใจมันให้ได้ จะว่าไปเรื่องของชีวิต จะเข้าใจมัน ต้องเคยประสบ ต้องเคยผ่าน ถึงจะเข้าใจ อ่านหนังสืออย่างไร ก็ไม่เข้าใจ ถ้าท่านอยากรวย อยากประสบความสำเร็จ ท่านต้องจน ต้องทุกข์มาจากความจน จนขนาดลืมเปนตัวกรู อะไรทำก็ต้องทำ ล้างส้วม เปนยาม ขับแทกซี่ ส่งพิซวา อะไรได้เงินสุจริต เอาหมด แล้วท่านจะเข้าใจเอง สำคัญอย่าโลภมาก แต่มีความเพียร ทำทุกอย่างด้วยสติ อย่าท้อถอย ชีวิตจะมีสุข แต่อย่าลืมความทุกข์ ให้จำมันไว้ให้ดี เพราะความทุกข์เปนอาจารย์ได้ดีกว่าความสำเร็จ เข้าใจอย่างนี้แล้ว ความสำเร็จอื่นๆ ในชีวิตท่านจะตามมาครับ.... ...สวัสดีครับ
สวัสดีครับ วันนี้มาแปลก ไปทริปนี้ กลับมาเขียนเรื่อง ม่านแห่งตัวกูร เรื่องนี้เข้าใจง่าย เพราะเอาเปนตัวกูร ยึดเปนของกูร ตามสัญชาตญาณ ตามจิตที่เปนของกูร ถ้าไม่เกิดตัวกูร หมดตัวกูร นี่เก่งครับ พื้นฐานหุ้นเอามาเปนพื้นฐานกูร พอร์ตหุ้น เอามาเปนพอร์ตตัวกูร มันเลยยุ่งไปหมด นี่ถ้าทุกอย่างหยุดหมด ไม่มีตัวกูร ความโลภ ความกลัว ความหลง มันจะหยุดหมด เพราะมันไม่มีสถานที่ให้มันตั้งอยู่ เพราะมันตั้งอยู่บนตัวกูร ถ้าไม่มีตัวกูร ไม่มีความรัก ไม่มีความเกลียด ไม่มีความหลงตัวกูร เปนเงาตามตัว เปนที่รัก เปนศัตรู ของกูรทั้งนั้น อร่อยของกูร หอมของกูร อย่างนี้แรบไบโซรอสว่า เปน illusion ทั้งนั้น ฝรั่งอยู่ฝากตะวันตกยังเข้าใจเรื่องนี้ดี ^o-O^ คนที่เขียนไปอ่านถึงเข้าใจ แล้วตามมาหาทางพุทธ ถ้าท่านทำได้ ยกมือไหว้เลย เพราะเก่ง ท่านได้เปรียบกว่า ^- เพราะไม่รู้เรื่องพุทธเลย
เรื่อง reflexivity ถ้าสนใจ อ่านทางพุทธเข้าใจ ท่านก็สำเร็จไปกว่าครึ่งแล้ว แล้วให้ย้อนกลับไปที่โซรอส ถ้าท่านเปนพุทธ ท่านได้เปรียบผมเยอะ แล้วทำไมไม่ทำ ขนาดคนที่ไม่ใช่พุทธ ยังดิ้นรนเข้าใจเรื่องนี้ ตามพุทธมาเพราะอ่านงาน reflexivity ก่อนแล้วตีความเรื่องตามมาเจอพุทธ โซรอสเข้าใจเรื่องตัวเปนของกุนี้ตั้งแต่ 8 ขวบ เขาคิดว่าเขาเปนพระเจ้าตั้งแต่ 8 ขวบ เขาแยกอารมร์กับการลงทุนออกจากกัน อ่านแล้วถึงตามมาหาพุทธ มันอยู่ที่ใจทั้งนั้น ถ้าท่านฝึกได้ ท่านเก่ง ต้องยกมือไหว้
Reflexivity มีช่อง ช่องนี้คือ expectation กับ reality ถ้าบอกว่าช่องนี้เปนกิเลส เปนอคติ เปนตัวกู เข้าใจง่ายกว่า ช่องนี้เกิดได้เองเพราะสัญชาติญาณเปนตัวสร้างปัญหา ถ้ากำจัดตัวกู มีเท่านี้ ช่องหายไปทันที แต่ไม่มีใครชอบ ชอบเช้าช่องกัน บางช่องแคบมาก มืดอีกต่างหาก ยังยัดกันลงไปได้ช่อง เรื่องนี้มีแต่จะเพิ่มความเปนตัวกูร ยึดถือเมื่อไหร่ แพ้มัน.....โดนมันกัด เพราะมันเปนตัวกูร กลัวอะไร ตื่นเต้นอะไร คาดหวังอะไร ยึดไว้เปนตัวตนเมื่อใด มันกัดทันที เพราะสัญชาติญาณมันพาไป ถ้าชนะสัญชาติญาณในตัวเราเมื่อไหร่ ชนะตัวเองแล้ว พวกเราเปนเด้ก ตอนเกิดมา รู้ว่าคนไหนเปนแม่ เรายึดมาตั้งแต่ในท้องแม่ ออกมานี่ทั้งบวก ทั้งลบ สุข ทุกข์ เอาเข้าตัว เปนตัวกู เปนมาตั้งแต่เกิด
การคาดหวัง expectation เปนการสร้างตัวกูร ถ้าทันมันนี่ท่านเก่ง อย่างมีดบาดนิ้ว ท่านบอกว่า มีดบาดกูร ไม่ใช่บาดนิ้ว ไม่มองตามความเปนจริง เพราะเอามาเปนของกูรตั้งแต่เกิด ถ้าไม่มีตัวกู ใจนิ่ง ใจสงบ ท่านชนะเกมในชีวิตแล้ว ไปไหนๆ ท่านก็ชนะหมด อย่าว่าแต่เกมการลงทุนเลย นั่นก็เหมือนกัน เกมการลงทุนมันง่ายกว่าตั้งเยอะ
ตอนนอนหลับ ไม่มีของกู ไม่มีพอร์ตกู
รายย่อยไม่มีของกู หยุดได้ แต่กองทุนมีแผนงาน หยุดไมได้ เปิดเสรีค่าคอมม์ มีผลอย่างมาก พอร์ตสถาบัน 60/100 เปนพอร์ตโบรก พอร์ตโดยรวม 20/100 เปนพอร์ตโบรก ดูพอร์ตสถาบัน ไม่ใช่พอร์ตต่างชาติ พอร์ตสถาบันมีแบงค์รวมอยู่ด้วย เขาเปน VI แท้จริง แต่ VI ไม่ใช่ value investors
Vi ตัวนี้คือไว ไวต่อการเปลี่ยนแปลง ไมใช่เปน Vi เปนตัวกู เปนของกูไปอย่างนั้น
เอา commitment ไปผูกกับตัวกูหมด เวลาใครดึงไปทางไหน ท่านก้ต้องไป ดึงใจท่าน ท่านไปแล้ว
ดึงทางปาก เอานี่อาหารอร่อย ท่านไปแล้ว ดึงทางตา เห็นหุ้นขึ้น ท่านไปแล้ว ดึงทางหู มีแต่คนพุดถึงหุ้นตัวนี้ ท่านไปแล้ว เปนวีไอ แล้วพอร์ตกลายเปนของกู พอร์ตกำไร ก็กำไรกู อย่างนี้ท่านเปน VI แต่ประสาทสัมผัสช้า สุดท้ายเงินท่านจะหมดไว เปนไวแล้ว ให้ใจไว้ ให้สติไว อะไรเข้ามา อย่าเอาเปนของกู ไม่มีใครชอบอย่างนี้ มีแต่จะเพิ่มตัวกู ตัวกุไปบังความสำเร็จ ความสำเร็จอยู่หลังม่านแห่งตัวกู ตัวกูกับความสำเร็จเปนอันเดียวกันไมได้ เปนได้นี่เรื่องตลกแล้ว ตัวกูบังความสำเร็จฉันใด ความสำเร็จก็บังตัวกูฉันนั้น อย่ามองตัวกู ให้อ้อมไปข้างหลังตัวกูร ให้ถอดใจ ถอดความเปนตัวกรูออก แล้วเดินไปข้างหลังตัวเอง นั่นความสำเร็จอยู่ตรงนั้น มันอยู่มานานแล้ว ความสำเร็จมันเอาหลังชนตัวกูรเอาไว้ ท่านหันหลังไปก็ไม่มีทางเห็น เพราะมันเอาหลังชนกัน สละตัวกูออกมา เลิกเปนของกู แยกตัวกุรออกจากพอร์ต แล้วจะเหนข้างหลังตัวเรา หลังตัวเราทุกคนมีความสำเร็จทุกคน แต่ต้องละความเปนของกูก่อนถึงจะเหนตัวความสำเร็จ ท่านต้องหมั่นฝึกทุกวัน ถ้ายังกินข้าวอยู่ก็ต้องฝึก วันไหนไม่กินไม่ต้องฝึกแล้ว แสดงว่าท่านเข้าใจแล้ว จะเดิน นั่ง นอน หมั่นดูใจตัวเอง อย่าให้เปนตัวกูเพิ่มมาอีก ทำให้ตัวกรูมันลดให้ได้ ฝึกสติจับตัวกรูให้ไว เพราะสติสำคัญกว่าปัญญา ถ้าเอาปัญญานำ จะหลงแล้วระเริง ให้ใช้สตินำ ให้สติกำกับปัญญา ต้องรู้ข้อจำกัดตัวเอง ปรับปรุงตัวเองทุกวัน จับผิดตัวเองทุกวัน วันไหนหาที่ผิดไม่เจอ นี่ท่านล้มเหลวแล้ว วันนี้ไม่เปนของกูเลย นี่สำเร็จแล้ว
ก้อนหินก้อนไหน ทำให้เราล้ม จำมันไว้ จำแล้วเข้าใจมันให้ได้ จะว่าไปเรื่องของชีวิต จะเข้าใจมัน ต้องเคยประสบ ต้องเคยผ่าน ถึงจะเข้าใจ อ่านหนังสืออย่างไร ก็ไม่เข้าใจ ถ้าท่านอยากรวย อยากประสบความสำเร็จ ท่านต้องจน ต้องทุกข์มาจากความจน จนขนาดลืมเปนตัวกรู อะไรทำก็ต้องทำ ล้างส้วม เปนยาม ขับแทกซี่ ส่งพิซวา อะไรได้เงินสุจริต เอาหมด แล้วท่านจะเข้าใจเอง สำคัญอย่าโลภมาก แต่มีความเพียร ทำทุกอย่างด้วยสติ อย่าท้อถอย ชีวิตจะมีสุข แต่อย่าลืมความทุกข์ ให้จำมันไว้ให้ดี เพราะความทุกข์เปนอาจารย์ได้ดีกว่าความสำเร็จ เข้าใจอย่างนี้แล้ว ความสำเร็จอื่นๆ ในชีวิตท่านจะตามมาครับ.... ...สวัสดีครับ