บทบัญญัติหลักกลยุทธ์ของโซรอส

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
จานอส คิส
Verified User
โพสต์: 12
ผู้ติดตาม: 0

บทบัญญัติหลักกลยุทธ์ของโซรอส

โพสต์ที่ 1

โพสต์



    รูปภาพ


  สวัสดีครับ  ขออนุญาตครับ หายไปหลายวัน ช่วงนี้เคลียร์งานเสร็จแล้ว เท่าที่เห็นนะครับ
 เท่าที่ไม่เห็น ยังไม่ทราบตอนนี้ แต่ว่างๆ เมื่อไหร่ ผมตั้งใจเต็มที่กับสิ่งที่เขียนออกมา
        ถ้าสะกดผิด อ่านติดขัด ผมขออภัย ณ ที่นี
ผมเห็นการสะกดผิดเป็นเรื่องปกติ ใช้จินตนาการอ่าน มันก็อ่านได้ บางคำไม่ต้องสะกดถุก มันก็อ่านได้
  อ่านหนังสือเร็ว ๆ ผมติดอย่างนี้ ไม่ต้องสะกดทุกคำ มองปาดเดียว ก็เดาออกแล้ว
   แต่บางท่านไม่คุ้น ไม่เข้าใจ ทุกอย่างมันต้องถูกตรง 100%
      ถ้าท่านเป้นแบบตรงๆ ทุกอย่าง สะกดมันต้องถูกนะ
    ผมคิดว่า ท่านไม่อาจเหมาะที่จะเข้าใจเรื่อง reflexivity มันมาจากซีกขวา ไม่ใช่ซีกซ้าย
    ผมขอโทษด้วยครับ  เอาละครับ ลองดูครับ ใครจะไปทราบได้ ผมเขียนเอง ยังอ่านไม่รู้เรื่องเลย 5555555
 หรือว่า ผมไม่รู้อะไรเลย ท่านอาจเข้าใจมากว่าผมก็เป็นไปได้ครับ

     Reflexivity หรือขอเรียกว่า  "บทบัญญัติหลักกลยุทธ์ของโซรอส"
     หรือ ตอนนี้ ผมชอบเรียกติดปากว่า........
     "เซนอย่างโซรอส"    
   เรื่องที่เขียนเป็นเพียงข้อสมมุติฐานของผมเท่านั้น   หาใช่ความจริงเสมอไปในทุกกรณี
 สมการความรู้ทุกอย่างมันมีจุดอ่อน/จุดแข็ง   มันทื่อ ๆ   สมการเอาอารมณ์คนไปใส่  มันวิ่งได้
  ใส่ไปแล้ว  วิ่งเร็วขึ้น  แต่บางที   มันช้าลง  เป็นไปได้ทั้งนั้น
   ความแน่นอนไม่มีเที่ยง   เหมือนสิ่งที่อ่าน เป็นเพียงแค่ภาพมายาเท่านั้น
   อย่าเชื่อในสื่งที่ท่านอ่านเป็นอันขาด จับผิดผมให้ได้        
    ความคิดที่ไร้ค่าเหล่านี้อาจกลายเป็นเครื่องมือทำเงินในวันข้างหน้า
   หรือทำให้เราหมดตัวต่างหาก อะไรก็เกิดขั้นได้ทั้งนั้น ใครจะไปรู้
   
   ถ้ายอมรับสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่แรก เราชนะตัวเองไปเกินครี่งแล้ว หรือว่าเราแพ้ตัวเองไปเกินครึ่งแล้วต่างหากเล่า
    ผมไม่รู้อะไรเลย   แสงที่บอกเล่าได้ ยอมไม่ใช่แสง  
 

  รูปภาพ

 1.    ข้อแนะนำจากผม หรือว่าเป็นคำสาบแช่งให้กับเทรดเดอร์ในตลาด คือ  สิ่งที่เทรดเดอร์ด้านสว่าง ควรระวังมากที่สุด คือ การระวังตัวเอง  อารมณ์พวกนี้เป็นอินฟินิตี้     ถ้าวันหนึ่งผมไปเจอใครไม่ระวังสิ่งเหล่านี้  ข้อสมสมุติฐานของผมคิอ เขาต้องใช้ชีวิตอย่างประมาทอย่างมาก และจงอยู่ห่างจากคนเหล่านี้ เพราะพวกเขาอยู๋ในด้านมืด  หรือว่าเป็นด้านสว่างของพวกเขา  หรือว่า  พวกเขาก็หลุดจากปุถุชนไปแล้ว หรือไม่กำลังตกทุกข์อย่างเข็ญใจ   ข้อให้ดูจากสิ่งที่เขาทำ  เรียนรู้จากสิ่งที่เขาปฎิบัติ  พินิจใคร่ครวญตามความเป็นจริง  ความคิดของ reflexivity ไม่อาจบอกด้วยคำพูด  เพราะมันอยู่ในตัวเราทุกคน  มันเป็นธรรมชาติ  มันควรถูกเฝ้ามองทุกขณะ เหมือนเราเฝ้าระวังตัวเอง   อารมณ์ 9 ชนิดที่ต้องระวัง หรือ reflexivity  9 ชนิดที่ควรระวัง ไม่ว่าพูดอย่างไร มันคือสิ่งเดียวกัน หรือว่ามันคือสิ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

 ข้อที่ 1  

1.. ความแตกตื่น
2. ความกลัว
3. ความลังเล
4. ความฟุ้งซ่าน
5. ความประมาท
6. ความโกรธ
7. ความใจร้อน
8. ความหลง
9. ความโลภ    
   


    2.  ชีวิตของเทรดเดอร์ไม่ได้เริ่มต้นเมื่อเริ่มมีการประลองตอน 10 โมงเช้า แต่มันเริ่มต้นตั้งแต่ตี 3 ตอนเข้าส้วมนั่งขี่    เมื่อรู้ตัวว่าต้องประลองฝีมือในวันนั้น   เราต้องวางแผนอย่างหลีกเหลี่ยงไม่ได้  ใช้เวลาครุ่นคิดถึงความเป็นไปของตลาด  สร้างสมมุติฐานอย่างกล้าหาญ  ทดสอบมันในตลาดอย่างรอบครอบ แต่การคิดอย่างนั้น มันต้องมาจากการฝึกทักษะการคิดอีกแบบ แบบที่การเรียนรู้ในสมัยปัจจุบันยังหาข้อสรุปไม่ชัด

  3.   ผมตั้งสมมุติฐานว่า การฝึกคิดแบบ reflexivity เป็นฝึกใช้สมองขวาซะมากกว่า  ใช่ครับ ผมอาจผิด  ผิดที่บอกไม่ละเอียด  ที่ไม่บอก เพราะผมไม่รู้ไปมากกว่านี้  แต่ผมขอตั้งสมมุติฐานอย่างไม่ลังเลว่า การใช้สมองขวาในการนั่งสมาธิจะทำให้หลุดหน้าอย่างมาก เป็นการเพิ่มพลังให้กับสมอง แล้วเราเอาพลังเหล่านั้นมาคิดเกี่ยวกับความเป็นไปต่างๆ ของโลกการเงิน

การคิดแบบจิกซอล เหมือนการฝึกแบบเซน มันมาจากขวา  ผมไม่รู้มากไปกว่านี้ ผมไม่รู้อะไรเลย
  ผมเห็นแม่ต่อจิกซอลตั้งแต่ผมจำความได้ ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไร  
  การฝึกตัวเองด้วยการต่อจิกซอล มันช่วยลับสมองได้เป็นอย่างดี หรือ ผมไม่รู้อะไรเลย  
  ทุกอย่างควรจะ  invert, always invert  
  แม้กระทั่งกับตัวเราเอง เราก็ควร invert  นั่นเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับผมในการเทรด  หรือ ผมไม่รู้อะไรเลย

     รูปภาพ
       
   4.  การเทรดคือการทำสงครามจิตวิทยา   จากทั้งข้างนอกและข้างใน ข้างในเลยต้องนิ่งเสมอ มันถึงมองภาพป่าทั้งป่าออกหมด  เห้นแต่ใบไม้ใบเดียว มองแต่กิ่งไม่แค่กิ่งเดียว ผมว่าไม่พอ ถ้าท่านว่าพอ  ท่านเก่งกว่าผมเยอะ ผมนับถือเลย ยกมือไหว้เลย  ผมยังไม่เก่ง  ชัยชนะจากการเทรดเกิดจากการประสานกันระหว่างเทคนิค จิตใจ และหลักกลยุทธ์ต่าง ๆ อย่างกลมกลืน หรือท่านว่าไม่จริง ผมอาจผิดก็เป็นไปได้ ผมผิดแน่นอน  
 
  5.  ด้วยสภาวะจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยสมาธิและสมบูรณ์พร้อมต่อการปฎิบัติตามกลยุทธ์ต่างๆ ทีเราได้วางไว้  ผมอยากมีสติตลอดเวลา ผมรักที่จะมีสติ มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่จะต้องเข้าใจกับทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเราต้องดิ้นรนที่จะต้องมีสติ อย่างนั้น เรายังไม่เข้าดีว่าสติอะไร ถ้าเราเห็นสาวสวย แล้วเกิดอารมณ์ใคร่ขึ้นมา  อย่างนั้นใช่เลย
   
 6.   ผมรู้ว่าเราเป็นทาสของยีนกันทุกคน
   ยีนที่สั่งให้เราสืบพันธ์ ผมเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ว่าเราเกิด "หงี่" เพราะอะไร  
  หรือว่า ผมเป็นเพียงแค่ปลาซาลมอน  ออกไข่เสร็จแล้วตาย  ว่าไหมครับ  ในด้านหนึ่งนั้น  เราเป็นทาสของยีนกันทุกคน เรื่องนี้พาผมย้อนนึกถึงเมื่อวาน ตอนกะโดดลงสระว่ายน้ำ ว่าทำไมมันถึงเจ็บได้  เพราะเหตุใดน้ำ หรือ ไฮโดรเจนออกไซด์ตัวนีจึงมีแรงตึงผิวอย่างนั้น เพราะเหตุใดน้ำจึงรับน้ำหนักของแมลงบางชนิดได้ หรือ จำได้ไหมครับ  ก้อนหินที่เราขว้างใส่น้ำตอนเด็ก ๆ  ขว้างไปกับน้ำให้ก้อนหินมันสะท้อนบนผิวของน้ำได้หลายต่อหลายครั้ง ผมเคยสงสัยว่า น้ำเป็นแผ่นบางๆ เหมือนแผ่นเยื่ออย่างหนึ่งที่มีอะไรบางอย่าง "ยึดติด" มันไว้
     สิ่งนั้นเราเรียกมันว่า " โมเลกุล"  คุณสมบัติที่แปลกประหลาดของนักลงทุน คือ "ความเชีอ"  หรือเรียกให้มันคุ้นเคยในตลาดหุ้นว่า  "expectation"
   มันเหมือน  เรามี "โมเลกุล" บางอย่างมายึดมันติดกับเราไว้อย่างแยกกันไม่ออก
  เราถูกสร้างมาโดยยีนที่ต้องการให้เราเป็นทาสของความเชื่อนี้ตลอดชีวิต
  มันทำหน้าที่ไม่แตกต่างอะไรจาก "ออกซิเจน"   ถ้ามันเหมือนอ๊อกซิเจน มันดีแล้วนิ?
    อย่างพึ่งดีใจครับ สิ่งที่เราเชื่อกันมานาน มันอาจไม่ใช่สิ่งที่คิดมาตลอดชีวิต  

          รูปภาพ

 7.  ออกซิเจนก็เป็นพิษได้เหมือนกัน!
       เอาอาหารประเภทกระทิไว้ข้างนอก มันทำให้อาหารเหล่านั้นบูด และ ทำให้เหล็กเป็นสนิม
    เหมือน expectation ที่ทำให้ราคาหุ้นเหล็กส่วนใหญ่เป็นสนิมในช่วงนี้
            :thep:
          ในโลกของสัตว์ที่ไม่ต้องการออกซิเจนนั้น
  โลกพวกแบกทีเรีย ที่ขยายพันะแบบ "exponential"
   ออกซิเจนเป็นพิษสำหรับพวกมันครับ
ถ้าท่านอยากให้พอร์ท่านโตแบบ exponential
  ท่านต้องอ่านเรื่องนี้ แล้วอย่าไปยึดติดกับ "ออกซิเจน" หรือไปยึดกับ "expectation"
    เซลเม็ดเลือดขาวของเราใช้ออกซิเจนทำลายแบคทีเรียที่รุกรานราน
  อากาศที่บริสุทธิจึงดูมีความหมายว่า ทำไมจึงเป็นผลดีต่อสุขภาพ
 แต่นั่นเป็นเพราะว่า เรามีวิวัฒนาการมาให้ใช้ประโยชน์จากมันได้
   
  8.  reflexivity ต้องเป็น  มือเป็น
  ต้องมีวิวัฒนาการเอาสมาใช้ประโยชน์ในการทำเงินได้
  มันอาจเป็น มือตาย  ตลอดการ
  เหมือนมือที่จับดาบอย่างทื่อๆ ไม่มีพลวัตร
   มือเป้นต้องเป้นมือที่ไม่แข็งทื่อ ผ่อนคลาย ยึดหยุ่น พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงทุกชนิด ปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ได้
    เรียนเรื่อง reflexivity ควรทำตัวให้เป็น "มือเป็น"    
   
       รูปภาพ

  9.   เรามีวิวัฒนาการให้ใช้ประโยชน์จากความเชื่อกันมากแค่ไหน
   เรารู้จักมันดีแค่ไหน เพียงพอที่ทำให้เราเชื่อว่าความเชื่อที่เราเชื่ออยู่นั้นมีน้ำหนักที่จะให้เรายึดติดด้วย
     "โมเลกุลแห่งความเชื่อ" มากแค่ไหนกัน
   
   10.       เราเป้นทาสของ expectation โดยไม่รู้ตัว เหมือนกับที่สิ่งมีชีวิตทั้งมวลเป็นทาสของยีน
   เหมือนผู้ชายที่เป็นทาสของจู๋ตัวเอง  นี่เป็นเหตว่าทำไมปลาแซลมอน รวมทั้งสิ่งมีชีวิตอื่นอีกนับไม่ถ้วน
  พร้อมที่่จะตายในขั้นตอนของการจับคู่
ความปราถนาที่จะแพร่ยีนของตัวเองออกไปเป็นแรงกระตุ้นที่ทรงพลังที่สุดในโลก

       

    11.   วิวัฒนาการของออกซิเจน ไม่ต่างอะไรจากความเชื่อ หรือวิวัฒนาการของเซกซ์ มันคือ เพียงกลไลให้รางวัลเพียงเพื่อให้เราส่งต่อสารทางพันธุกรรมที่เป็นตัวเราออกไปเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น

12.    ถ้าเราเป็นทาสของสติ เป็นทาสของพุทธ  เราเข้าใจที่สุดของเรื่องสติแล้ว คือ อยากที่จะมีสติตลอดเวลา เหมือนตกเป็นทาสของสติ  ถ้าสติเป็นสิ่งที่ดี เราควรตกเป็นทาสของมัน  ใช่ ผมคิดอย่างนั้น เพราะผมไม่รู้อะไรเลย  ถามตัวเองก่อนเทรดว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ เราจะล่มจมหรือไม่ เหมือนสติมันพาเราไปล่มจมหรือไม่    

      รูปภาพ

  13.   ตลาดถูกควบคลุมโดยจิตวิทยา  มีสัญชาติญาณในการอยู่ร่วมกันเป็นฝูง เหมือนฝูงปลาทู  มันโวตเสียงกับตลาดเมื่อไหร่ การตัดสินใจเป็นอันว่าโน้มเอียงไปเป็นความคิดเห็นของปลาทู เพราะพวกมันมีเยอะมาก การตัดสินใจในตลาดเป็นอย่างนั้นเท่าที่ผมเห็นครับ  หมดพวกปลาทูออกจากตลาด เมื่อนั้นตลาดมันเห็นภาพชัดเจน

          รูปภาพ            
 
    14.   ผมหากินกับปลาทู  เสียงพึมพำของปลาทูเป็นสัญญาณที่ดี  การทำตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามสวนกระแสคือเคล็ดลับ  ถ้าเอาตัวเองเป็น 0 กลาง เหมือนระบบนิวตัน จะมองไม่เห็นทางทำเงินในตลาด  ผมเคยอ่านเจอว่า นิวตันลงทุนในตลาดไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าใดนัก  ต้องไปหาเรื่องนี้เจอ ผมหาที่มาไม่เจอ ต้องขออภัยด้วยครับ  

   15.      คิดให้ลึกลงไปหน่อย  ระบบนิวตันวางรากฐานวิทยาศาตร์ในเวลาต่อมา แต่ตลาดไม่ใช่วิทยาศาสตร์ มันเป็นสังคมศาสตร์ ไม่ว่าตลาดไหน ถ้าเรามองแบบบูรณาการ ให้คิดว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของระบบโดยรวม ไม่ใช่แยกตัวเองออกไปเหมือนที่นิวตันลงทุน  เราเป็นส่วนหนึ่งทีมอิสระในการตัดสินใจ อิสระนี้สำคัญมาก เพราะมันมีผลต่อการเคลื่อนตัวของของระบบตลาดโดยรวม เราว่ายไปกลับฝูงปลาทูเข้าใจจิตวิทยาในฝูงปลาทู เคลือนไหวไปตามจังหวะของตลาด  

       
        รูปภาพ

      16.       การเปลี่ยนแปลงในปัจเจกของปลาทู เป็นไปไมได้ที่จะไม่มีผลต่อตลาดรวม เมื่อเรามองทุกอย่างเป็นองค์รวม เป็นก้อนทั้งตลาด  เราต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า บางทีบางส่วนของตลาดก็ไม่เป็นอย่างนั้น คือ แยกฝูงไปก่อน นั่นทำให้ทุกอย่างมันตีกลับแล้ว critical mass มันก็ตามมาอย่างหลีกเหลี่ยงไม่ได้  หรือ บางทีไม่เกิดเลยด้วย
   
    17.   ผมชอบคิดแบบเด็ก เพราะระบบนิวตันการเรียนในเมืองไทยกำหนดกรอบตลอดมากเกินไป สิ่งทีเด็กมีลดถอนลงไปหมด   การสอนให้จับองค์รวมมาแยกส่วน มันดี  โลกถึงพัฒนามาถึงขนาดนี้  แต่มันก็มีจุดอ่อนเหมือนกัน เพราะถึงจับส่วนประกอบที่แยกออกมาต่อกันใหม่ได้ มันเหมือนแก้วที่ร้าว มันมีรอยรั่วเกิดขั้นเมื่อใดก็ได้  ผู้ใหญ่โตขึ้นไปลงทุน ก็มีร้อยร้าว reflexivity จับระบบนิวตันมาหากิน ไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่านี้ หรือ ผมคิดมากไปเอง มันง่ายกว่าที่คิดมาก
       
     18.  ตลาดไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางได้ ถ้าปัจเจกไม่เปลี่ยนตนเองเสียก่อน  เปลี่ยน expectation ที่เป็นปัจเจกได้เมื่อใด เมื่อนั้นเดาทิศทางตลาดได้ แต่เป็นการเดาทางจิตวิยญาณเพื่อหาความจรืงที่จะเกิดขึ้นได้ก่อนชาวบ้าน

    รูปภาพ

      19.  ระบบทุนนิยมพัฒนามาจากนิวตัน ออกเป็นเส้นตรงแบบปรัชญากรีกของโสกราติส  เรื่องนี้ต้องไปงมที่มาที่ไป ถึงโยงความเข้าใจว่า reflexivity ทำงานได้อย่างไร  พอเข้าแล้ว ก็ไม่มีเข้าใจ มันเป็นอย่างนั้นครับ จนวันหนึ่ง เอานิวตันทิ้งให้หมด เอาความเป็นซีกซ้ายทิ้งให้หมด   reflexivity เป็นความคิดของทางตะวันออกที่เรียกว่าเซน หมุนเป็นวงกลมไม่รู้จบ  เราเปลี่ยนเป้นมุ่งทำตนให้เป็นหนึ่งเดียวกับตลาด ไม่ใช่แยกออกจากตลาด

 20.     ยามเมื่อเราฝึกฝนทักษะฝีมือของเรา เราต้องบ่มเพาะถนอมบำรุงพลังสมองของเราควบคู่ไปด้วย  เพราะเราไม่มีพรสวรรค์แบบแรบไบโซรอส เรามีแต่ความมุ่งมั่น มานะ และความพยายามในการทำความเข้าใจให้ได้ เหมือนเราอยากมีเพศสัมพันกับคนที่เราชอบ  เราก็ควรมีเพศสัมพันธืกับสิ่งต่างๆ ในโลกจนข้ามพ้น อัตตา ของตัวเองให้ได้    แล้วการคิดอย่างนี้ มันใช้เงินซื้อไม่ได้  ความแจ่มชัดไม่มีเลย จนเราไปขังตัวเองในห้องน้ำตั้งแต่เช้าจดเย็น แล้วถามตัวเองว่าเราอยากเข้าใจเรื่อง reflexivity ไปทำไม มีแล้วจะเอาไปทำอะไร อย่างไร เพื่ออะไร และ เพื่อใคร?
        ถ้าไม่คิดอย่างนี้ reflexivity ไม่มีวันอยู๋กับเรา   หรือ อยู๋ตลอดเวลาแต่เราไม่อยากเข้าใจมัน


  21.    ผมอธิบายอย่างนี้ ยากต่อการเข้าใจ มันต้องลองทำเอง เรื่องอย่างนี้เหมือนแสง บอกกันไม่ได้ครับ
การเรียนรู้ในระดับนี้เป็นกานเรียนรู้ของใจสู่ใจ เราต้องมีความคิดคล้ายคลึงคล้ายแรบไบโซรอส เรียนคุณธรรม หัวใจ และวิญญาณ  มันถึงเข้าใจ ไม่เหมือนอ่านหนังสือเลย นั่นเป้นสิ่งที่ไม่มีชีวิต

       
    22.  เราต้องสามารถขจัดความคิดฟุ้งซ่านต่าง ๆ ให้หมดไปจากใจได้จนจิตใจของเรานิ่งดุจบ่อน้ำที่สงบงันจนสามารถสะท้อนดวงจันทร์ได้อย่างสวบงาม จดจ่อกับสิ่งที่เรากำลังกระทำอยู่ในปัจจุบันขณะ จนกระทั่งการเทรดคือการฝึกสมาธิไปในตัว  กลายเป็นคนที่สงบนิ่ง สุขุมมั่นคง และต้องปลีกตัวไปเพียงลำพัง มันผมคิดว่าเวลาปลีกตัวจำเป็นอย่างมาก หรือว่า ต้องไปสังสรรค์เพื่อหาความคิดใหม่ๆ จะเป็นเช่นกัน ผมไม่ทราบครับ อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น  

        รูปภาพ

     23.    ความสงบมาจากสภาวะจิตใจที่เป็นดุจดังกระจกเงาที่สะท้อนทุกสรรพสิ่ง แต่มิได้ถูกรบกวนจากสรรพสิ่ง เหมือนบ่อน้ำนิ่งที่มิได้ถูกรบกวนเพราะการสะท้อนของดวงจันทร์บนท้องฟ้า  เทรดเดอร์ไม่ควรยึดติดในวัตถุ ไม่หลงใหลในอำนาจ ลาภยศสรรเสริญทางโลก เพราะเขารู้ดีว่า ผู้ที่หลงใหลในสิ่งเหล่านั้น สุดท้ายย่อมนำไปสู่ความเสื่อมโทรม เสื่อมทรุด ทั้งร่างกาย จิตใจ และ จิตวิญญาณ อีกทั้งสิ่งเหล่านั้นไม่เป็นสิ่งที่จีรังยั่งยืนเลย   เทรดเดอร์ที่แท้จริงจะทำความเข้าใจกับอารมณ์ตัวเองตลอดเวลา  ทำตนดุจน้ำลึก มุ่งบ่มเพาะการเจริญภาวนา ทำสมาธิภายในตัวตนจนกระทั่งใจของเขาสะอาดบริสุทธิ์ใสดุจเด็กทารกอีกครั้ง
       
    24.  เทรดเดอร์ยินยอมขาดทุนบางส่วนเพื่อรักษาพอร์ตโดยรวมแต่ไม่ยอมให้สมาธิคลายออกจากจิตใจแม้ชั่วครู่ยาม   เทรดเดอร์ที่มีพลังฝีมือสูงล้ำ ในใจมักปล่าวเปลี่ยวเดียวดาย  ด้วยเหตุทุ่มเทชีวิตให้กับวิชากากรเทรดเพียง อย่างเดียว   เทรดเดอร์ต้องมีเวลานั่งจับเจ่า ให้เวลากับตนเอง  การฝึกตนในยามว่างเป็นสิ่งจำเป็นต่อความสำเร็จ     ผมชอบเล่นวิชาหมากล้อม  มันสามารถฝึกหลักวิชาการเทรดให้หลุดหน้าจนถึงกลับไม่อาจหยั่งคาดคะเนได้ เพราะในขณะนั้นสมาธิหลอมรวมขันติ สมาธิและจิตใจให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับศิลาขาวดำเหล่านั้น
   


  25.   เนื่องจากมิอาจหลอมละลายกลยุทธ์การเทรดหุ้นเข้าไปในหลักปรัชญาภาพสะท้อน อย่างมากเราก็เป็นได้เพียง นักลงทุน  เท่านั้น  ความแตกต่างอันนี้เฉกเช่นภาพวาด แม้วาดได้ละม้ายคล้ายคลึงเพียงใด แต่ไม่อาจเทียบเท่ากับภาพวาดที่จิตรกรทุ่มเททั้งชีวิตและวิญญาณให้แก่ภาพวาดนั้นได้
     
   26. เทรดเดอร์ต้องฝึกตนเองสูงไปอีกขั้น จนบรรลุถึง วิถีกระบี่ภาพสะท้อน คือ แนวทางไม่แสดงงำประกายตนเอง โดยการ สำรวมถ่อมตัว  เป็นหลัก  ในขั้นนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเชิงลึกภายในจิตใจ ทำให้สามารถมองโลกในมุมมองใหม่ เปลี่ยนวิถีคิดของตัวเองไปอีกขั้น คือการถือเอา เป้าหมายทางจิตวิยญาณเป็นหลัก
 

   รูปภาพ
       
    27.  เทรดเดอร์ต้องทำตนดั่งอัศวินเจได   อัศวินเจไดเป็นการผสมผสานของนักรบกับนักพรต การฝีกคิดเหมือนเจไดไม่ต่างจากการปฎิบัติธรรม และการเทรดเป็นการแสวงหาธรรมฝึกจิตใจอย่างหนึ่งเช่นกัน
       
   28.  การประลองฝีมือการเทรดมิใช่เพื่อเงินอย่างเดียวแต่ถือเป็นการแสดงความรู้และความเข้าใจใน ความจริง ด้วยการตั้งสมมุติฐานและทดสอบสมมุติฐานในตลาด โดยไม่ต้องเอ๋ยปากอธิบายออกมาเลย
   



   29. เทรดเดอร์ระดับปรมาจารย์ มีลักษณะภายนอกเหมือนคนสามัญธรรมดา แต่ความเป็นอยู่ไม่ต่างอะไรจากนักบวช รักสมถะ รักสันโดษ มีคุณธรรม เปรียบเหมือนนักรบ แต่ไม่ปรารถนาการฆ่าฟัน เพียงแต่ทำสงครามในสมรภูมิภายในตัวตน เป็นนักรบแห่งจิตวิญญาณและสามารถเปิด พื้นที่ศักสิทธิ์ ในหัวใจของตนเอง

 30.    อารมณ์ความคิดล้วนคือพลังงาน ความทะเยอทะยาน ความโลภ ความกลัว การกระทำต่าง ๆ เป็นการแสดงออกของพลังงานทั้งสิ้น ต่างกันตรงที่จะแสดงออกมาเป็น ด้านสว่าง หรือ ด้านมืด เท่านั้น
       
       รูปภาพ


 31.  เรื่องเงินเป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น การทดสอบทฤษฎีปรัชญาของตนเอง และ การฝึกสมาธิเพื่อทดสอบอารมณ์ตัวเองเป็นจุดหมายสำคัญมากกว่า

 32.     โลกการเงินเป็นโลกแห่งการเดิมพันด้วยความเสี่ยง เราต้องจัดการกับความเสี่ยงตลอดเวลา ทำอย่างไรให้อยู่รอดให้ได้ วางแผนเผื่อทางหนีทีไล่ตลอด ตลาดหุ้นไม่ใช่ที่สำหรับคนขี้ขลาด ตลาดหุ้นล้วนอยู่เหนือการควบคลุมทั้งสิ้น คนขี้ขลาดต้องไปหาอย่างอื่นทำดีกว่า

    33.    ใจแบบ reflexivity  คือ ใจที่ไม่ยึดติดกับสิ่งใด ใจที่ไร้ใจ ไม่ใช่เป็นก้อนหิน แต่เป็นใจที่ไม่จดจ่อกับสิ่งใด  ถ้าใจยังคิดจะไร้ใจแสดงว่ายังยึดติดอยู๋ตลอดเวลา  ผมอยากจะบอกว่า "มาผิดทางแล้ว"  หรือมาถูกทางแต่หาทางไปต่อไม่เจอ
       ความจริงคิอถ้าเราคิดหา reflexivirty ในทุกสิ่ง เราก็ยังยึดติดอยู่ดี

 34.    การฝึกความคิด reflexivity ให้เป็นหนึ่งเดียวกับใจเรา สภาพอย่างนั้นจึงเรียกว่า "ไร้ใจ"
   คิดที่จะไม่คิด ก็ยังเป็นความคิดอยู่ดี  ทำอะไรโดยที่ไม่ต้องยึดติดจึงถือเป็นยอดคน  
    ผมไม่เข้าใจอะไรเลย เหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
 
 35.  ปรมาจารย์ คนพวกนี้ดูไม่ออก เพราะเมื่อพวกเขาถึงขั้นสุดยอด
  พวกเขาจะทำตัวเหมือนคนธรรมดามาก สูงสุดคืนสามัญอธิบายความหมายได้ดี
   ดูไม่ออกครับ คนที่เก่งจริง ดูไม่ออกเลย เขาเก็บงำประกายหมด  
           
รูปภาพ

  36.   ถ้าตอนเทรดไปวาง reflexivity ไว้ที่การซื้อขายต่างชาติ  ใจเราก็ไปยึดติดการซื้อขายนั้น
  เราไปวาง reflexivity ที่ผลประกอบ  ใจเราก็ไปยึดผลประกอบการ
    ถ้าวางไว้ที่ bid/offer    มันก็อยู๋ได้แค่ตรงนั้น
     สรุปคือ ไม่ต้องวาง reflexivity ไว้ที่ไหนเลย
     มีป่าทั้งป่าให้มอง  ทำไมเพียงแค่มองดูใบไม้ใบเดียว หรือ ต้นไม้ต้นเดียว
 
 37.       ตอนนั่งสมาธิ ผมเคยวาง reflexivity ไว้ท้องน้อย มันอึดอัดเหลือเกิน
     ตอนนี้ ผมวางทุกที่ ที่ปลายนิ้ว ก็วางได้ ไปที่ไหน ในร่างกายเราได้หมด
   การฝึกสมาธิที่ผมเจอคือ ไม่ต้องกำหนดจิตไว้ที่ไหนเลย  ไม่กำหนด ใจก็ไปถึงรอบทิศ
    ไปที่ดวงตาก็ได้ ถ้าเราไปยึดติด เราปลดเชือกที่ล่ามเราออกไปแล้ว
    reflexivity ก็เป็นอย่างนั้น  เราปลดโซ่ที่ล่ามชีวิตพวกเรา  คนที่เข้าเรื่องนี้ได้ดีที่สุด คือ "พระพุทธเจ้า"
       


    38.  อะไรถึงเป็นไปได้ทั้งนั้น  วิธีคิด คือ หนทางออกเอาไว้ คิดล่วงหน้าไว้สองสามขั้นเสมอ
แล้วเราจะถึงความเข้าใจว่าเราไม่ได้ทำงานนะ  ทุกวันเราเพียงหาเงินเท่านั้น

 39.    ผมโตมากับความร่ำรวยของทางบ้าน  ผมถึงเข้าใจว่าความร่ำรวยทำให้คนอ่อนแอ มีลุกให้เขาไปดิ้นรนเอง ให้เขาคิดเป้น หาทางเลือกเอง ฝึกให้เขาคอดหาทางออกเสมอ  ทางนี้มีให้เลือกเป็น 1 กับ 2 ลุกจะไปทางไหน คิดให้ครอบคลุม มองให้ทะลุ  ทุกอย่างมันมีความเสี่ยง  แต่เราต้องมีความสุขกับการเสี่ยง เหมือนที่เรามีความสุขกับการมีสติ ไม่ใช่ฝืนตลอด อย่างนั้น ไม่มีทางเข้าถึง มรรคของกระบี่   เราต้องเหลือช่องว่าง exit ไว้สำหรับการกลับมา

 40.   อย่าเสี่ยงที่จะทำลายตัวเอง เผื่อทางหนีที่ไล่เอาไว้  




 41.   ในโลกที่คนอาจบ้าคลั่งได้ทุกเมื่อแบบนี้  เราต้องยอมรับว่า ทุกคนล้วนมีความเชื่อ ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเสมอไป  การคิดไปล่วงหน้ากับความบกพร่องเหล่านี้เป็น การคิด decision tree  คือ การคิดแบบหนทางแห่งความอยู่รอด แต่ต้องเอาความคิด invert เข้าใช้ด้วยตลอด
   
     42.  โดยพื้นฐาน ความเชื่อเกี่ยวกับโลกเป็นสิ่งที่บิดเบือน แม้กระทั่งตังเราเอง ถ้าไม่ระวัง บางครั้งก็บิดเบือนหรือ เรายอมให้บิดเบือนเอง   ถ้ามีสติเฝ้ามองอารมณ์ของเรา  มันดีตรงนั้น ดูมีผลต่อการตัดสินใจของเราอย่างไรบ้าง  ทำทุกวัน วันละ 15 นาที เพิ่มเป็น 30 นาที  เพิ่มเป็น 1 ชม  เรื่อยๆ  จนเป็นตลอดวัน อย่างนั้น เราจะวกกลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง   ผมต้องเล่นกับเด็ก 3-4 ขวบทุกวัน  เรียนวิธีคิดแบบพวกเขา ผมบอกให้นั่นละครับเคล็ดลับผม  แต่เด็ก ๆ  17-18 เล่นไม่ได้  ใครว่าได้  ชวนผมไปด้วย วันนี้ผมว่าง  
     
  43.    จงให้ความสำคัญกับสิ่งที่บิดเบือนในตลาดหุ้นว่ามีผลต่อเหตุการณ์ในอนาคตอย่างไรบ้าง

   รูปภาพ

 
  44.   ผมศึกษาปรัชญาเพื่อการหลุดพ้น และเมื่อเข้าใจความไม่สมบูรณ์ในจิตใจคนแล้ว  คราวนี้ถึงเวลาหาเงินจากคนพวกนั้น  นักลงทุนคนอื่นฟังแล้ว  ไอ้นี่แปลก  ในโลกนี้ ผมอาจแปลก  แต่ในโลกการเงินผมอาจไม่ได้แปลก

 45.    เวลาลงทุน อย่าปล่อยความรู้สึกตัวเองออกมา

 46.    แรบไบโซรอสสอนเสมอว่าอาชีพเทรดเดอร์ที่บริหารกองทุนป้องกันความเสี่ยง  ต้องเป็นคนที่ลึกลับซับซ้อน  อย่าออกสื้อโดยเด็ดขาด  ต้องเป็นนักคิดที่ชัดเจน มั่นใจตนเอง และพูดในสิ่งที่ขัดแย้งกันเสมอ  นั่นเพื่อลับสมองตลอดเวลา   ถามตัวเองเสมอว่า ทำไม  ทำไม ทำไม สิ่งที่เห็น คืออะไร  ตีความหมายทางนามธรรมให้มากที่สุด แล้วจะเอาไปใช้ทางรูปธรรมได้มากเท่านั้น

 47.       ท่านสอนอีกว่า   ต้องมีความปรารถนาจะเข้าใจทุกสิ่งที่บิดเบือนจากความเป็นจริง แต่เครื่องมือในการทำความเข้าใจกับสิ่งภายนอกต้องได้รับความสนใจในการทำความเข้าใจเช่นกัน สิ่งนั้นคือ จิตใจของตัวเราเอง  
   
 48.   เรืองของ F
       ผมชอบที่แรบไบโซรอส สอนว่า  ราคาหุ้นตั้งอยู่บนความคาดหวัง ความคาดหวังที่เริ่มจาก  A > B > C > D > E  > F >
     หุ้นบางตัวหยุดแต่ F ราคาหุ้นสะท้อนความเป็น F  
       F  นั่นคือสิ่งที่คาดหวังกัน
            แต่ F ไม่ใช่  F
   สิ่งที่เห็นเป็นเพียงภาพมายาของ F
     เพราะ  F ไม่สามารถปรากฏได้ถ้าไม่มี  E   D   C  B  A  
 
  A ก็ไม่ใช่ A
  B ก็ไม่ใช่ B
  D ก็ไม่ใช่ D
  E ก็ไม่ใช่ E
 
   ทุกอย่างไม่อาจเกิดขึ้นเองได้  ทุกอย่างล้วนต้องยึดติดกับตัวอักษรอื่นๆ

        A > B > C > D > E  > F >  A  > B > C > D > E


    รูปภาพ


   49.         การทำความเข้าใจกับสิ่งเหล่านี้ เราต้องหาให้เจอว่าสมมุติฐานของตลาดหรือความคาดหวังคืออะไร หา expectation ให้เจอ แล้ว invert ให้กลายป็น reality แล้วคอยตรวจสอบและรอคอยว่าสิ่งที่เราคิดเป็นอย่างไร

 50.  ซื้อหนังสือวิธีฝึกสมองซีกขวามาทำบ่อย ๆ ละครับ มันช่วยเราได้ดีทีเดียว หรือไม่ ก็ หนังสือ Death Note นั่น เป็นการฝึกคิดที่ดีมากมาก  อย่าลืมอ่านเรื่องสติของพระพุทธเจ้า

 51.    การฝึกกลยุทธ์การเทรดอย่างเดียวทำให้มีจิตใจที่หยาบกระด้าง  แต่ฝึกทางใจอย่างเดียวทำให้อ่อนแอ เราต้องปรับให้กลมกลืนกัน

52.  เมื่อเราฝึกถึงระดับหนึ่ง ต้องดูว่าเรามีจุดอ่อนตรงไหน ควนเน้นจุดใดมากกว่า ทำให้มันสมดุล เน้นไปที่จุดอ่อนของตัวเอง ทำให้ reflexivity เกิดในใจเราให้ได้ เมื่อนั้น ผมว่าท่านเป็นสำเร็จทางจิตวิญญาณแล้ว แล้วความสำเร็จทางกายภาพมันตามมาเอง  เชื่อผมหรือไม่ เชื่อไม่เชื่อ ผมไม่รู้    ผมเดินทางนี้มาแล้ว ทางผมเป็นแบบนี้   ท่านเดินแบบผม ท่านอาจล้มเหลว เพราะไม่มีอะไรเหมือนเดิม ท่านอาจสำเร็จ  อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น   ใครจะไปรู้ อย่าประมาทครับ
 
     คงได้เจอกันอีก สวัสดีครับ.........

   
นักลงทุนนอกคอก
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

บทบัญญัติหลักกลยุทธ์ของโซรอส

โพสต์ที่ 2

โพสต์

[1] เทรดเด้อมีด้านมืดด้านสว่างด้วยเหรอครับ  อืมมมม์ม์ม์ม์  / :oops:?\  ไม่รู้มาก่อนเลย เห็นเสื้อทีมวิ่งพี่พอใจมีสีขาวสีดำ มันต่างกันมั้ยคับ  :o

[2] ใช้สมองซีกซ้าย ซีกขวา ซีกหน้า ซีกหลัง ซีกพร้อมๆ กัน เลยไหมหนอ   \ :oops:?\

[3] พูดถึงจี๊กซอ ผมชอบมากเลยครับ  :ep:  จิ๊กมาห้าอันแล้ว แต่เจ้าของซอแกไม่ชอบเพราะซอแกหาย  :wink:

[4] สงครามจิตวิทยากับสงครามโรคจิตมันต่างกันมั้ยคับ

[5] สติปลิว สติวปิ๊

[6] เป็นทาสของลีวาย :shock:  กับพันธะโควาเลนต์ อาจมี gravitational force ด้วย

[7] เอเต เต ภิกฺขุเว อุโภ อนฺเต อนุปคมฺม มชฺชิมาปฏิปทา ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธาฯ

[8] หัตถ์เทวะ อิ อิ  :8)  :8)

[9] There can be miracles
When you believe
Though hope is frail
It's hard to kill  :8)

[10] นึกถึง Freud

[11] เดี๋ยวนี้มีโคลนนิ่งด้วย

[12] นึกถึงท่านพุทธทาสเลย

[13] อยากกินปลาทูแม่กลอง จากโป๊ะสดๆ ใหม่ๆ  :8)

[14] อ้าว  พี่โหน่งมาแย่งผมกินนี่เอง  :twisted:

[15] วิทยาศาสตร์ไม่ใช่สังคมศาสตร์ สังคมศาสตร์ไม่ใช่วิทยาศาสตร์  WHY?

[16] มีการกระจายปกติ คดซ้ายคดขวา เอ๊ย เบ้ซ้ายเบ้ขวา?

[17] คิดแบบเด็ก(ลอ)น่าสนุกดีครับ

[18] The Keystone

[19] โยนซีกซ้ายทิ้ง โยนซีกขวาทิ้ง เอานกแก้วมาแทนอาจจะชนะนิวตันด้วยรึเปล่าครับ

[20] คุญปู่โซรอสมี reflexivity ผมมี I Chingivity พี่โหน่งสนใจ I Ching มั้ยคับ  :8)

[21] กล่าวกันว่าธรรมะไม่ได้รู้ด้วยเข้าใจแต่รู้ได้ด้วยเข้าถึง

[22] นึกถึงก้อนหินทับหญ้า

[23] เอ พี่ฉัตรไม่ใช่เทรดเด้อแต่ก็เป็นแบบนี้ด้วยนี่ ใช่รึป่าวคับ / :oops:?\

[24] แหม ดีเลยอย่างงี้ พี่โหน่งก็มาเล่นโกะด้วยกันเลยเนี่ย อยากโขกเต็มแก่แล้ว  :wink:

[25] ต้องใช้ฟิวชั่น โกเทนครู๊ซ  :8)

[26] นึกถึงปรมาจารย์เตียซำฮงสอนไท้เก๊กเตียบ่อกี้

[27] อนาคินวันนี้

รูปภาพ

สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ

[28] ได้หัวข้อวิจัยเยอะเลยนะครับ

[29] ใช่พระอาจารย์แม็ครึป่าวคับ

[30] มีด้านเทามั้ยคับ

[31] อาจารย์วิชาปรัชญาผมบอกว่า เรียนจบมี BS-BA-MS-MA พอจุดสุดยอดปุ๊บกลายเป็นนักปรัชญาหมด ไม่มีแยกสายกันอีกต่อไป

[32] โลกอื่นๆ ก็เสี่ยงนี่ครับ :oops:  แต่เห็นมีคนที่เขาคลั่งความเสี่ยงนะครับ  :wink:

[33] นึกถึงแพลงตอนลอยไปลอยมาเลยครับ (ไม่เกาะกับที่เหมือนสาหร่าย ปะการัง จุดจบคือโดนวาฬเขมือบ)

[34] "ไร้ท่าชนะกระบวนท่า" จากอาจารย์ฮวงเช็งเอี้ยง  :8)

[35] อาจารย์เตียมอมแมม

[36] เขาก็อาจจะกลัวหลงป่าก็ได้ครับ

[37] นึกถึงอากิญจัญญายตนะ

[38] รู้สึกงกๆ ไงไม่รู้นะครับ    \ :oops:?\

[39] โอรสธิดาของมหาจักรพรรดิและความเสื่อมถอยของราชวงศ์

[40] ไม่ทำลายตัวเอง ต้องช่วยตัวเอง เอ๊ย ต้องช่วยทำให้ตัวเองพ้นจากภาวะแมงเม่าให้ได้  :x

[41] เป็นอาณาจักรที่สวยงามครับ

[42] Heisenberg's Uncertainty principle

[43] ได้หัวข้อวิจัยอีกแล้วครับ
(พี่โหน่งได้ข้อสรุปเมื่อไหร่ มาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ  :wink: )

[44] ก็ไม่แปลกนะครับ แต่ก็ฟังดูงกๆ อยู่ดี  :twisted:

[45] ยังกะเล่นโป๊กเกอร์เลย

[46] นึกถึงลุง Lewis Carroll

[47] มีลิงถึง 6 ตัว

[48] พระอาทิตย์ที่ขึ้นในวันนี้ไม่ใช่ดวงเดียวกันกับเมื่อวาน (เป็นเฮีย sunrise  :8) )

[49] ได้หัวข้อวิจัยอีกแล้วครับ

[50] แหม่มฝรั่งเศสแถวมูแลงรูดเขาบอกว่า "คิดซี่ คิดซี่ ยายา ด๊าด้า...."

[51] เลยต้องฝีกทางกาย อย่างไปจ๊อกกิ้งตีแบดใช่มั้ยคับ  :8)

[52] The Weakest Link กำจัดจุดอ่อน  :8)

เล่นโกะด้วยกันมั้ยครับ server IGS นะ ได้เจอกันแน่เลย  :8)

ว่าแต่พี่โหน่งพอจะเล่า Alice in Wonderland ให้ฟังมั่งได้มั้ยคับ จะไปขอพี่กูรูฯ เล่าเดี๋ยวจะกลายเป็นสายรุ้งคุ้งน้ำไป ถ้าพี่โหน่งเล่ามันคงสะบัดร้อนสะบัดหนาวดีครับ  :wink:  

เห็นอาเจ๊เฮเลหน้าบอนแฮมคาเต้อมาแสดงหนังลุงทิมอีกแล้ว ราชินีโพแดงนี่แกมีไพ่กี่สำรับครับ  :o
ศิษย์เซียน007
Verified User
โพสต์: 1252
ผู้ติดตาม: 0

บทบัญญัติหลักกลยุทธ์ของโซรอส

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ขอบคุณครับท่านจานอส คิส

ผมพึ่งทราบว่าท่านประธานาธิปดีเป็น"เจได"มาก่อน  :lol:
sattaya
Verified User
โพสต์: 1372
ผู้ติดตาม: 1

บทบัญญัติหลักกลยุทธ์ของโซรอส

โพสต์ที่ 4

โพสต์

12.    อยากที่จะมีสติตลอดเวลา เหมือนตกเป็นทาสของสติ
ความอยากเป็นกิเลสครับ หลวงพ่อท่านบอกให้รู้อย่างเดียว อยากมีสติ ก็ให้รู้ว่าอยากมีสติ
43.    จงให้ความสำคัญกับสิ่งที่บิดเบือนในตลาดหุ้นว่ามีผลต่อเหตุการณ์ในอนาคตอย่างไรบ้าง
ช่วยอธิบายข้อนี้เพิ่มได้ไหมครับ ยกตัวอย่างก็ได้ครับ

อ่านจบแล้วมีสติเลยครับเพราะรู้ว่าโง่ (เห็นตัวโง่วิ่งเต็มหัวเลย) พอตัวโง่หายกิเลสมาอีก อยากฉลาดกว่านี้
สติมา ปัญญาเกิด
ภาพประจำตัวสมาชิก
MO101
Verified User
โพสต์: 3226
ผู้ติดตาม: 1

บทบัญญัติหลักกลยุทธ์ของโซรอส

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ความอยากเป็นกิเลสครับ หลวงพ่อท่านบอกให้รู้อย่างเดียว อยากมีสติ ก็ให้รู้ว่าอยากมีสติ
ไม่เคยได้ยินมาก่อน เดาจากข้อความแล้ว หลวงพ่อที่ว่านี่ ป ปลานำหน้าใช่ไหม?
ศิษย์เซียน007
Verified User
โพสต์: 1252
ผู้ติดตาม: 0

บทบัญญัติหลักกลยุทธ์ของโซรอส

โพสต์ที่ 6

โพสต์

บทตวามท่านช่างยอดเยี่ยมนักมีสิ่งเล็กๆน้อยๆตอบแทนหวังว่าคงจะเป็นประโยชน์บ้าง

ข้อ37 ผมคิดว่าถ้าท่านหาฐานจิตที่เหมาะกับตัวท่านพบจะช่วยท่านได้มาก

เปรียบเทียบทฤษฎีนี้ให้ท่านผู้สนใจได้เห็นเป็นรูปธรรมผ่านทางลีลานักต่อสู้บนโลกนี้ที่ผมเห็นว่ายอดเยี่ยมที่สุดตั้งแต่ได้ชมครั้งแรกผ่านทีวีตอนเด็กจนถึงตอนนี้ก็คือ"หลวงจีนวัดเส้าหลิน"อาจช่วยให้ท่านได้เห็นภาพบางอย่างที่ชัดเจนขึ้นได้บ้าง

สภาพไร้ใจ แท้จริงอาจจะเป็นการคิดจากสภาวะจิตที่ไร้กิเลศก็เป็นได้ :idea:

ปล.รูปแรกทำให้ผมนึกว้ายร้ายในหนังอ๊อตตินพาวเวอร์ที่ตลกที่สุดตัวละครหนึ่งในโลกเลย  :)
ภาพประจำตัวสมาชิก
raiden
Verified User
โพสต์: 236
ผู้ติดตาม: 0

Re: บทบัญญัติหลักกลยุทธ์ของโซรอส

โพสต์ที่ 7

โพสต์

[quote="จานอส คิส"][quote]

35.  ปรมาจารย์ คนพวกนี้ดูไม่ออก เพราะเมื่อพวกเขาถึงขั้นสุดยอด
 พวกเขาจะทำตัวเหมือนคนธรรมดามาก สูงสุดคืนสามัญอธิบายความหมายได้ดี
  ดูไม่ออกครับ คนที่เก่งจริง ดูไม่ออกเลย เขาเก็บงำประกายหมด  
คนดี คนเก่ง คนรวย คนกล้าหาญ เป็นกันได้ โดยใช้คีย์บอร์ด
จานอส คิส
Verified User
โพสต์: 12
ผู้ติดตาม: 0

บทบัญญัติหลักกลยุทธ์ของโซรอส

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ขอบคุณทุกท่านเลยนะครับ ผมอ่านแล้วอธิบายไม่ถูก หรือ ว่าไม่อยากอธิบาย คนเขียน เขียนซะยาว คนตอบ ตอบยาวกว่าอีก กระทู้ส่วนใหญ่ที่ผมเขียน ไม่มีใครมาสนใจในเรื่องที่ผมเขียน อ่านไม่รู้เรื่อง เสียเวลา จริงๆ ผมกล่าวขอบคุณท่านไป ผมอ่านด่าท่านในใจก็ได้  ขอบคุณท่านริวก้าสำหรับคำวิจารย์อย่างมาก หรือว่าผมพุดโกหก ผมไม่จริงใจเลย สังคมเว็บบอร์ดเป็นสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมของตะวันตก ไม่เหมาะกับสังคมไทย หรือว่ามันเหมาะในยุคอย่างนี้ ยุคที่เราไม่ต้องเห็นหน้ากัน ไม่ต้องรู้จักชื่อกัน สามารถแลกเปลี่ยนความคิดกันได้ ผมไม่เชื่อครับ  มันบิดเบือนกันตั้งแต่มีเว็บบอร์ด ยัดกันไปหมดแล้ว น้ำแตกเลยบางที ผมหมายถึงน้ำลาย สังคมไทยไม่เหมาะกับสิ่งเหล่านี้

  สังคมไทยเป้นสังคมที่ reflexivity หากินได้ง่าย
  คนไทยไม่ชอบมายากลเท่าใดนัก หรือว่าผมเข้าใจผิด
 ที่จีนชอบมากครับ ชอบเป็นชีวิตกันเลย ใครมีอาชีพนี้ไม่มีตกงาน หลายได้ดีอีกด้วย ผมไปศึกษาเรื่องนี้มาตลอด เพราะไปค้าขากับคนจีน มันฝึกคิดเรื่อง reflexivity   ถ้าเขาหยิบของให้เรามีตำหนิ เราตวรจสอบแล้วเห้นว่ามีตำหนิ เราบอกให้เขาเปลี่ยน เขาจะไม่ขอโทษ เขาจะบอกว่า "ตาดีนิ" เรืองของสาหร่ายที่มาจากเมืองจีน เป็นเรื่องธรรมดามาก คนไทยตกใจ ไม่เคยเจอ คนจีนเขาเห็นทุกวัน เขายอมรับกับเรื่องพวกนี้ ว่าทุกอย่างในโลกมันบิดเบือน เราต้องระวังให้ดี อย่าปล่อยเขาเอาเปรียบเราได้
    สังคมไหนมายากลได้รับความนิยมอย่างมาก  สังคมนั้น Soros ไม่ไปหากินหรอกครับ คนในประเทศนั้นเป็นตา reflexivity อยู่แล้ว  สังคมไทย สังคมอังกฤษ นี่คล้ายกัน Soros ไปหากินได้ เพราะสังคมมันบิดเบือน แล้วมันสะท้อนมาที่ตลาดเงิน ตลาดทุน เพราะมันมีคนเป็นองค์ประกอบของตลาด
ถ้าไปลงทุนเมืองนอก แล้วไม่เข้าใจเรื่องคนในสังคมนั้น อยู๋บ้านขายน้ำเต้าหวยดีกว่าครับ
   ไทวิโชคดีอย่างมากที่มีคนอย่างท่านริวก้า หรือว่าโชคร้ายก็ไม่รู้ 55555
   ผมใช้เวลาช่วงกลางคืนอ่านสิ่งที่ต่างๆ เป็นคำวิจารย์ที่ออกนอกกรอบในไทวิคำวิจารย์แบบเดิมๆ ไปอย่างสิ้นเชิง ผมไม่เห็นสิ่งนี้นานมากแล้วทีเดียว  "อย่าเชื่อโดยไม่รู้จักคิด" ท่านริวก้าตั้งคำถามกลับเกือบทุกข้อ แต่แค่หัวข้อเดียว มีเรื่องให้คิดกันได้เป็นหลาย ชม. เวลาโพสขอความต่างๆ จะโชคดีมากถ้ามีคนโพสกลับมาลักษณะนี้ คือ ให้คนเขียนได้คิดทบทวนกลับไปในสิ่งที่เขาเขียนว่าเข้าใจถุกต้องอย่างไรและจะแก้ไขอย่างไร ผมโชคดีอย่างมากในครั้งนี้ครับ

 สำหรับคำถามพี่ sat

  ขออนุญาติใช้นาฬิกาอธิบายแทน และลองใช้ระบบ Socrates ถาม/ตอบ ระบบนี้ชาวยิวชอบใช้นักแลครับ เป้นระบบที่ดีกว่าบทความมากครับ

      ท่านใดยังไม่อ่าน reflex ผมแนะนำลองไปอ่านงานของ อ. มัด ในหน้าแรกของเว็บ Temple ในหัวข้อ theory of Reflexivity  ท่านเก่งเรื่องนี้ที่สุดแล้ว

      ผมไม่แปลกใจถ้าหัวข้อนี้ ท่านสามดอท ตอบได้อีกเช่นเคย ผมจะแปลกใจมากถ้าท่านแม่ทัพเข้ามาแจมบ้างให้เพื่อนๆ ได้กระจ่าง

  ขอบคุณล่วงหน้าครับ....

----------------

 เรื่องเริ่มขึ้นอย่างนี้ครับ....

    อ. บัฟเฟตกับ อ. โซรอส นั้น ตกลงปลงใจกันว่า จะนั่งรถไฟไปเที่ยวเมืองเก่าอยุธยาในวันพรุ่งนี้ ทั้งสองท่านนัดพบกันที่สถานีวัวลำพองเวลา 7.55 น. นัดกันก่อน  5 นาที ก่อนเที่ยวเวลา 8 โมงเช้า ซึ่งนั้นเป้นเวลาที่รถไฟจะออกไปอยุธยา

    แต่เนื่องจากนาฬิกาของทั้ง อ. บัฟเฟตและ อ. โซรอสเดินไม่ตรงเวลาครับ

    นาฬิกา อ .บัฟเฟตช้าไป 10 นาที แต่ท่านคิดว่ามันเร็วไป 25 นาที

    นาฬิกา อ. โซรอสเร็วไป 5 นาที แต่ท่านคิดวามันช้าไป 5 นาที

    ถามว่า....


  1.  อ .บัฟเฟตและ อ. โซรอสถึงวัวลำพองเวลาเท่าใด และ ใครเป้นตกรถ

          2.  โจทย์ข้อนี้เกี่ยวพันกับ reality / expecattion อย่างไรบ้าง

            3.   นาฬิกาบัฟเฟตช้าไป 10 นาที แต่เขาคิดว่ามันเร็วไป 25 นาที
       นาฬิกาโซรอสเร็วไป 5 นาที แต่เขาคิดวามันช้าไป 5 นาที

               นาฬิกา กับ SET INDEX เหมือนกันอย่างไร

   4.   หลังจากศึกษาเรื่อง reality/ expectation โดยใช้นาฬิกาอธิบายแล้ว
    เราสามารถประดิษฐ์นาฬิกาข้อมือที่แสดงหน้าจอเป็น SET IDEX ได้อย่างไรบ้าง

   5.  จากกรณีข้างบน ท่านคิดว่า ความเชื่อควรนำความจริงเมื่อใด และ ความจริงควรนำความเชื่อเมื่อใด

 7.  เปรียบเปรยว่า นักลงทุนที่มีนิสัยเหมือนนาฬิกาที่เร็วไป 5 นาที แต่ตัวเขาเองกลับคิดว่ามันช้าไป 5 นาที เปรียบได้กับลักษณะของคนเช่นไร

เช้านี้ก่อนออกเดินทาง กระผมติด  "การทำธุรกิจแบบยิว" ที่ติดค้างท่านเอาไว้มาฝากระหว่างหยุดหลายวันครับ หนังสือเกี่ยวกับพ่อค้ายิวเล่มนี้แปลจากหนังสือภาษาจีน สำนวนจึงคล้ายละหม้ายสำนวนจีนหลายส่วน บางข้อกระผมยังไม่เข้าใจดี รบกวนท่านผู้รู้ช่วยสอนสั่งด้วยครับ ขอบพระคุณล่วงหน้า  

---------------

 ผมติดมาบทบัยญัติมาฝากเพิ่มเติมครับ

53.     ต้องเตรียมร่มก่อนที่ฝนจะตก  

       หากเจอปัญหาจึงคิดแก้ไขถือว่าสายไปแล้ว  เทรดเดอร์ประเภทนี้จะพบความยากลำบากอย่างยิ่ง และอาจพ่ายแพ้ยับเยินในที่สุด  เทรดเดอร์ที่มีฝีที่มือต้องใส่ใจเรื่องราวต่างๆที่เปลี่ยนแปลงรอบตัว ทั้งที่มีตัวตนและไม่มีตัวตน  การค้าหุ้นเต็มไปด้วยอันตราย แต่ทุกสิ่งล้วนที่อาการบ่งบอก ฉะนั้น ต้องขยันสังเกตสิ่งเล็กๆ โดยเฉพาะที่ไม่มีตัวตน  จักหยั่งรู้อนาคต  ถ้าสถานการณ์เปลี่ยน จักต้องปรับวิธีให้เหมาะสม จึงสามารถป้องกันตัวก่อนฝนตก กล่าวอีกอย่างคือ ต้องเตรียมร่มก่อนที่ฝนจะตก เทรดเดอร์ที่ดีต้องเปลี่ยนแปลงตนเองก่อนที่เหตุการที่คาดไว้จะเกิดขึ้น



    54.      วิธีเข้าใจสิ่งต่างๆ หรือ การสร้าง " circle of competence "      

        ดูก่อนเทรดเดอร์ทั้งหลาย การเข้าใจเรื่องการค้าหาได้เป็นเรื่องง่าย  หากมีแต่เรื่องที่ซับซ้อน ไฉนเลยจะมองแต่มุมเดียว   ทางข้างหน้าปะจนด้วยความผิดพลาด  จำต้องมองหลายหลายมุม  รู้ประวัติศาสตร์ แล้วค่อยศึกษาภูมิประเทศ รุ้วัฒนธรรมแล้วค่อยเรียนรู้ประเพณี รู้ภาษาพูดและค่อยศึกษาท่าทีการบริโภคของคนในท้องถิ่น รู้ความความเคยชินแล้วจึงค่อยศึกษากฎหมาย การเมือง เศรษฐกิจ และการทหาร เมื่อเข้าใจสิ่งต่างๆ จึงก้าวไปศึกษาสินค้าของตน  หมั่นเปรียบเทียบกับสินค้าอื่นอยู่เสมอ จักสังเกตทำเลที่ตั้งตนเอง เรียนรู้หาสาเหตุและแก้ไข  จากนั้น...ศึกษาการเคลือนไหวของสิ่งต่างๆ เช่น ข่าวสาร ประชากร สินค้า และเงินทุน นำข้อมูลมาแยกแยะ  สิ่งสุดท้าย ต้องศึกษาการบริหารจากพ่อค้าหุ้นคนอื่นที่ใช้ในประเทศนั้น ๆ อยู่ก่อนแล้ว  นำมาเปรียบเทียบ คัดเลือกแต่ข้อดีมาสร้างเป็นรูปแบบการบริหารที่ดีที่สุด  

 
     

   55.    วิธีเลือกสินค้าที่กำไรดีโดยใช้หลักการ margin of safety      


   ถ้าโชคดี คงไม่มีใครว่ากระไร ถ้าโชคไม่ดี คงมีคนพูดถึง  จงตั้งกำแพงของท่านตั้งแต่แรก  เลือกสินค้าแต่ที่ขายในราคาสูงได้ แต่มิไยยังมีคนต้องการซื้อ เป้นสินค้าที่มีจำนวนน้อยแต่คนซื้อจำนวนมาก และมีแนวโน้มว่าความต้องการจะเพิ่มขึ้นในอนาคต  ต้องเลือกแต่สินค้าที่อยู่ในช่วงเติบโต หลีกเหลี่ยงสินค้าในช่วงสุกงอม ควรเลือกสินค้าที่ผลิตได้ง่ายโดยคนท้องถื่นนั้นๆ เลือกสินค้าแล้ว ศึกษาต้นทุน ต้องมั่นใจว่าคุ้มค่า และ ต้องมั่นใจว่าการผลิตสินค้าสามารถคาดการได้อย่างง่าย พ่อค้าหุ้นจำต้องเผื่อไว้สำหรับสิ่งที่ไม่คาดคิดเสมอ เพิ่มต้นทุนให้สูงกว่าตนทุนจริงเพื่อกันความผิดพลาด  ดั่งเสือและกวางย่อมไม่เดินทางร่วมกันฉันนั้น


   56.       สาเหตุที่หุ้นตก      

     ตามกฎหมายฝรั่งเศส..... เมื่อตัวมหาเศรษฐีที่เป็นพ่อตาย ลูกหลานยิวที่รับมรดกต่อต้องเสียภาษี  ถ้าคนตายมีหุ้นมาก จักต้องเทขายหุ้นออกมาให้ราคาตกก่อนเสมอ นี่คือวิธีเสียภาษีน้อยที่สุด หลักจากนั้นจึงเข้าไปซื้อคืน ราคาหุ้นก็จะขึ้น นี่เป้นช่องโหว่ของกฎหมาย รัฐบาลฝรั่งเศสทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้  ถ้าคบพ่อค้ายิว ไม่ช้าจะร่ำรวย เหมือนอยู่ในห้องที่อบอวนด้วยบุปผา แต่ไม่นาน เราจะไม่ได้กลิ่นนั้น เพราะจะเคยชิน เหมือนเดินในตลาดที่อับไปด้วยกลิ่นปลา ไม่นานจะไม่ได้กลินปลา เพราะเราเคยชินกับมัน นี่คือเหตุผลของสิ่งต่างๆ ต้องระวังให้จงดี  
 

 57.      เดินไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างคนขาติดดิน    

        เทรดเอดร์ต้องเป้นคนขาติดดิน ไม่ใช้จ่ายสินเปลือง หาเงินโดยถูกกฎหมายเป้นขุมทรัพย์ อย่าคิดสร้างทะเลใหญ่ในชั่วพริบตา จงเริ่มสร้างลำธารเล็กๆ  ผู้ที่สร้างทะเลได้ มีแต่พระเจ้า มนุษย์ต้องสร้างลำธารก่อน ชำระตนในลำธารที่ตน้เองสร้างขึ้นด้วยความอดทน อดกลั้น และอดออม สะสมเงินทุนทีละน้อยกระทั่งเป้นเงินมากมหาศาล เดินไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างคนขาติดดิน ผู้ที่ทำเช่นนี้ได้มักจำนรรจ์ถ้อยคำที่รืนหู และมักเสวนาได้ ม้าจะไม่วิ่งคู่กับสัตว์อื่นนอกจากม้าด้วยกัน


   58.       เงินทองไม่ใช่ทุกสิ่ง

     สุภาษิตโบราณยิวกล่าวไว้ว่า "ใช้เงินเคาะประตู ไม่มีบานไหนไม่เปิดออก"  เทรดเดอร์หุ้นให้ความสำคัญกับเงินทองอย่างมาก เพราะเงินสร้างโอกาส แต่สติปัญญาสร้างอนาคต เงินทองถูกยึดได้ แต่ปัญญาความคิดใครก็ยึดไม่ได้ ความจืดชืดในตอนต้น ย่อมกลับกลายเป็นกล่อมได้ด้วยปัญญา ภูผาไม่อาจดำรงอยู่หากไม่มีดินที่ทับถม กระแสธารไม่ไหลแรง หากไม่มีน้ำหยดแรก ปัญญาเช่นกัน    



  59.     ปล่อยสายเบ็ด    

     สัมพันธภาพของเทรดเดอร์หุ้นกับลูกค้าเหมือนเรื่อในแม่น้ำ ลำที่แล่นข้างหน้าย่อมจูงลากลำที่อยู่ข้างหลัง ลำที่อยู่ข้างหลัง ย่อมพลักดันลำที่อยู่ข้างหน้า จะทำการค้าต้องให้ปล่อยสายเบ็ดไปยาวๆ เพื่อตกปลาใหญ่  สละกำไรแต่น้อย เพื่อหวังกำไรก้อนโต ให้ลูกค้าได้ลิ้มรสที่หอมหวานในระยะแรกก่อนเสมอ  

 
    60.       จับปลากลางทะเลทราย  

     คนยิวมีสุภาษิตว่า...คนที่มุ่งหาความร่ำรวยอย่างเดียว โดยไม่ปลุกฝังคุณธรรม  ในที่สุดทะเลทราบที่เคยจับปลาได้จะกลายเป้นทะเลทราย อันว่าปลา หากหนีน้ำจักถึงที่ตาย อันว่าคน หากหนีคุณธรรมจักไม่มีแผ่นดินอยู่ ทะเลทราบที่ลึกพันฟุต ก็ยังตื้นเขิน ถ้าไม่ยินดีในคุณธรรมของผู้อื่น แล้วจะมีคุณธรรมในตนได้อย่างไร    


  61.      เกลียดชังแบบสุดกู่  

     ถ้ามีเรืองที่ไม่เข้าใจ  เทรดเดอร์เกลียดที่จะเชื่อแบบหลับหูหลับตา ไม่ว่าความรู้ใด ๆ ในโลก จักมีความสมดูลในสิ่งนั้น ถ้าเดินชิดขวาเกินไปก็มีแต่หิมะ พบกับความหนาวเย็น ถ้าเดินชิดซ้ายเกินไปอาจถูกไฟลวก พบแต่ควมร้อนรุ่ม เทรดเอดร์จักเดินสายกลางที่อุ่นพอดี นี่คือเรื่องที่ต้องสังวรเอาไว้  
-------------------


ไปละครับ โชคร้ายคงได้เจอกันอีกครับ  :wink:
นักลงทุนนอกคอก
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

บทบัญญัติหลักกลยุทธ์ของโซรอส

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ความเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นนิรันดร์ วิวัฒนาการดำเนินไปอยู่ตลอดเวลาและสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักปรับตัวให้เข้ากับเงื่อนไขใหม่สุดท้ายก็ต้องสูญพันธุ์ หมากล้อมกำเนิดในจีน แต่ต้องโตในญี่ปุ่น สุดท้ายแชมป์โลกกลายเป็นคนเกาหีลไปนี่สิ

เห็นพี่โหน่งคุยด้วยสมองซีกขวา ผมก็เอาสมองซีกขวามาคุยด้วยไปแบบนั้นเองแหละครับ  :oops:  เห็นว่าบ่นๆ เรื่องพิมพ์ผิด ผมก็เลยมาพิมพ์ผิดด้วยจะได้มีเพื่อนนะครับ  :wink:  พิมพ์ผิดพิมพ์ถูกไม่เป็นไรอ่านรู้เรื่องก็เอาแล้ว บางทีเพราะคนไทยชอบใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ก็ได้ ก็เลยไม่กล้า speak english เพราะกลัวพูดผิด grammar  (เรื่องนี้ นึกถึงคุณ แอนดรูว์ บิกส์ :lol: )

อันว่าประเทศสารขัณฑ์นี้แสนดีนักหนา เขาถึงบอกว่าประเทศนี้มันมีควายอยู่สองตัวสีแดงกับสีเหลือง...วันๆ ก็เอาแต่ XXX กัน ไร่นาสาโทไม่สนใจจะไถ
พี่โหน่ง ชะ ชะ ช่า เขียน:ไทวิโชคดีอย่างมากที่มีคนอย่างท่านริวก้า หรือว่าโชคร้ายก็ไม่รู้ 55555
ก็ดูสิครับ ตั้งนานแล้วพี่พอใจยังไม่มอบยศ Junk Posters ให้ผมเลย  :la:  ดูท่าพี่โหน่งจะได้ยศกิติมศักดิ์นี้ก่อนผมนะ ฮ่า... :8)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

บทบัญญัติหลักกลยุทธ์ของโซรอส

โพสต์ที่ 10

โพสต์

พูดถึงเรื่องนาฬิกาพี่ลูฟี่ตี๋น่ารักแล้ว  :shock:  ผมเจอนาฬิกาตกอยู่อันนึงออกแนวย้วยๆ อาจจะเป็นของปู่บัฟก็ได้ครับ  :P

รูปภาพ

อีกอันนึงออกแนวเบี้ยวๆ อาจจะเป็นของปู่โซรอสครับ  :shock:

รูปภาพ

เอ จะว่าไปผมก็ไม่รู้จะตอบปัญหายังไง  /:oops:?\  เผอิญไปเจอเรือนสุดท้าย เป็นนาฬิกาที่น่ารักมากครับ  :wink:

รูปภาพ

ปัญหาก็คือ ผมไม่รู้ว่ามันไวไปกี่นาที ช้าไปกี่วินาทีน่ะสิ พี่โหน่งช่วยผมคำนวณด้วยนะครับ  :wink:

- - - - - - - - - - - - - -

เรื่อง Alice นี่อ่านแล้วงง ยิ่งแปลไทยกันหลายสำนวนเลยยิ่งอ่านยิ่งงง ถ้าจะอ่านบทกวีหรือเพลงก็ต้องอ่านต้นฉบับใช่มั้ยครับ :wink:  ผมรู้สึกว่าเรื่อง Alice นี่เอามาพูดเรื่องการลงทุนจะสนุกมาก แต่ตอนนี้ยังนึกไม่ออกว่าจะพูดให้เป็นเรื่องราวยังไงเลยมาถามพี่โหน่งแทน  :8)  ราชินีโพแดงเอะอะก็ตัดหัวๆ คนแบบนี้ก็มีเนอะ แกมีไพ่อยู่กี่สำรับนะ

ผมอาจจะเป็นหนอนสูบกล้องที่เอาแต่วาย วาย วาย แล้วก็ถามอลิซว่าเธอคือใครซ้ำๆ ซากๆ พี่โหน่งพูดเรื่องนาฬิกาก็เป็นแมดแฮทเล่อได้เลยเนอะ :wink:  พี่พอใจก็เป็นแมวเชไชร์(สามขา) ยิ้มโรคจิตหน่อยๆ  :ep:  เขาว่าคนในเรื่องเนี่ยบ้าทั้งนั้น ไม่บ้าก็ไม่มาอยู่นี่หรอก ฮ่า...  :8)  (คนอื่นอ่านกระทู้เขาจะว่าคนบ้าคุยกันรึป่าว  :oops: )

พี่โหน่งว่า การตกลงไปในโพรงกระต่ายนี่สนุกมั้ยคับ  :wink:
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

บทบัญญัติหลักกลยุทธ์ของโซรอส

โพสต์ที่ 11

โพสต์

เรื่อง Alice นี่อ่านแล้วงง ยิ่งแปลไทยกันหลายสำนวนเลยยิ่งอ่านยิ่งงง ถ้าจะอ่านบทกวีหรือเพลงก็ต้องอ่านต้นฉบับใช่มั้ยครับ   ผมรู้สึกว่าเรื่อง Alice นี่เอามาพูดเรื่องการลงทุนจะสนุกมาก แต่ตอนนี้ยังนึกไม่ออกว่าจะพูดให้เป็นเรื่องราวยังไงเลยมาถามพี่โหน่งแทน    ราชินีโพแดงเอะอะก็ตัดหัวๆ คนแบบนี้ก็มีเนอะ แกมีไพ่อยู่กี่สำรับนะ
เอาพอที่จำความได้นะ :wink:

อลิศหลงเข้าไปในดินแดนมหัศจรรย์พันลึก
ไปเจอกระต่ายแสนกล วันๆก็ได้แต่เดินพึมพำงุ่นง่าน
"ไม่ทันล่ะ ไม่ทันล่ะ"
ไม่รู้ว่าไม่ทันอะไร
(สงสัยไม่ทันราคาหุ้นขึ้นมั้ง)
อลิซ แทนที่จะหยุดตรองสักนิด
ก็กลับเดินตามกระต่ายแสนกลนั้นไป (ไหนก็ไม่ร้)
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
บางสถานที่เธอเข้าไม่ได้ ก็กินเครื่องดื่มวิเศษเข้า
เดี๋ยวตัวใหญ่คับห้อง
เดี๋ยวตัวเล็กกะจิริด
จนแล้วจนรอดก็เดินตามกระต่ายไปโดยไม่รู้ไปทำไม

หากอลิซหยุดคิด ไม่ต้องเดินตามกระต่าย
(แล้วให้กระต่ายเดินตามเธอ)
ก็คงจะไม่ต้องเจอควีนเจ้าอารมณ์ที่วันๆเอาแต่จะตัดหัวข้าราชบริวาร
จนตัวอลิซเธอเองก็เกือบเอาชีวิตกลับมาแทบไม่รอด

และก็ไม่มีเรื่องมหัศจรรย์พันลึกมาเล่าให้ฟัง

เอ..หรือจะให้เธอไปเจอโดโรธี
เด็กสาวจากแคนซัสที่ถูกพายุทอร์นาโดพัดไปเมืองมรกต
ในเรื้อง The Wizard of Oz
ก็จะกำเนิดเรื่องราวผจญภัยระหว่างคู่หู่คู่ใหม่ได้มหัศจรรย์

น้องริว ลองแต่งเรื่องใหม่นี้ดูมั้ยล่ะ :lol:
ภาพประจำตัวสมาชิก
centrady
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 243
ผู้ติดตาม: 1

บทบัญญัติหลักกลยุทธ์ของโซรอส

โพสต์ที่ 12

โพสต์

รูปภาพ


[/code]
Glaxo
Verified User
โพสต์: 311
ผู้ติดตาม: 0

บทบัญญัติหลักกลยุทธ์ของโซรอส

โพสต์ที่ 13

โพสต์

อ่านแล้วเวียนหัวดีจริงๆ นับถือทุกท่าน
sattaya
Verified User
โพสต์: 1372
ผู้ติดตาม: 1

บทบัญญัติหลักกลยุทธ์ของโซรอส

โพสต์ที่ 14

โพสต์

จานอส คิส เขียน:กระทู้ส่วนใหญ่ที่ผมเขียน ไม่มีใครมาสนใจในเรื่องที่ผมเขียน อ่านไม่รู้เรื่อง เสียเวลา จริงๆ
ผมอ่านหนังสือ ตัวกู-ของกู ของท่านพุทธทาส อ่านไปงงไปก็ยังอยากอ่าน รอบแรกงง รอบสองงง ต้องมีสักรอบที่อ่านแล้วอ๋อ

 สำหรับคำถามพี่ sat

  ขออนุญาติใช้นาฬิกาอธิบายแทน และลองใช้ระบบ Socrates ถาม/ตอบ ระบบนี้ชาวยิวชอบใช้นักแลครับ เป้นระบบที่ดีกว่าบทความมากครับ
----------------

 เรื่องเริ่มขึ้นอย่างนี้ครับ....

    อ. บัฟเฟตกับ อ. โซรอส นั้น ตกลงปลงใจกันว่า จะนั่งรถไฟไปเที่ยวเมืองเก่าอยุธยาในวันพรุ่งนี้ ทั้งสองท่านนัดพบกันที่สถานีวัวลำพองเวลา 7.55 น. นัดกันก่อน  5 นาที ก่อนเที่ยวเวลา 8 โมงเช้า ซึ่งนั้นเป้นเวลาที่รถไฟจะออกไปอยุธยา

    แต่เนื่องจากนาฬิกาของทั้ง อ. บัฟเฟตและ อ. โซรอสเดินไม่ตรงเวลาครับ

    นาฬิกา อ .บัฟเฟตช้าไป 10 นาที แต่ท่านคิดว่ามันเร็วไป 25 นาที

    นาฬิกา อ. โซรอสเร็วไป 5 นาที แต่ท่านคิดวามันช้าไป 5 นาที

    ถามว่า....


  1.  อ .บัฟเฟตและ อ. โซรอสถึงวัวลำพองเวลาเท่าใด และ ใครเป้นตกรถ

          2.  โจทย์ข้อนี้เกี่ยวพันกับ reality / expecattion อย่างไรบ้าง

            3.   นาฬิกาบัฟเฟตช้าไป 10 นาที แต่เขาคิดว่ามันเร็วไป 25 นาที
       นาฬิกาโซรอสเร็วไป 5 นาที แต่เขาคิดวามันช้าไป 5 นาที

               นาฬิกา กับ SET INDEX เหมือนกันอย่างไร

   4.   หลังจากศึกษาเรื่อง reality/ expectation โดยใช้นาฬิกาอธิบายแล้ว
    เราสามารถประดิษฐ์นาฬิกาข้อมือที่แสดงหน้าจอเป็น SET IDEX ได้อย่างไรบ้าง

   5.  จากกรณีข้างบน ท่านคิดว่า ความเชื่อควรนำความจริงเมื่อใด และ ความจริงควรนำความเชื่อเมื่อใด

 7.  เปรียบเปรยว่า นักลงทุนที่มีนิสัยเหมือนนาฬิกาที่เร็วไป 5 นาที แต่ตัวเขาเองกลับคิดว่ามันช้าไป 5 นาที เปรียบได้กับลักษณะของคนเช่นไร

เช้านี้ก่อนออกเดินทาง กระผมติด  "การทำธุรกิจแบบยิว" ที่ติดค้างท่านเอาไว้มาฝากระหว่างหยุดหลายวันครับ หนังสือเกี่ยวกับพ่อค้ายิวเล่มนี้แปลจากหนังสือภาษาจีน สำนวนจึงคล้ายละหม้ายสำนวนจีนหลายส่วน บางข้อกระผมยังไม่เข้าใจดี รบกวนท่านผู้รู้ช่วยสอนสั่งด้วยครับ ขอบพระคุณล่วงหน้า  

---------------
เรื่องนาฬิกานี่เคยไปที่บ้านเพื่อนผม บ้านมันก็นาฬิกาตรงเป๊ะ แต่เวลานัดทีไรมันจะมาสายทุกครั้งแบบว่าสายทีเป็นชั่วโมง ถามมันทีไรก็บอกอ๋อตูคิดว่านาฬิกาที่บ้านเร็วไปชั่วโมงนึง

ลองใช้สมองซีกขวาอันน้อยนิด (ซีกซ้ายน้อยกว่า)
เอ...ถ้าปู่บัฟกับปู่โซรอส เป็นคนชอบไปก่อนนัดละจะมีใครตกรถไหม
2 ข้อแรกนี่ตอบไม่ถูกครับ
            3.   นาฬิกาบัฟเฟตช้าไป 10 นาที แต่เขาคิดว่ามันเร็วไป 25 นาที
       นาฬิกาโซรอสเร็วไป 5 นาที แต่เขาคิดวามันช้าไป 5 นาที

               นาฬิกา กับ SET INDEX เหมือนกันอย่างไร
ถ้าแมงเม่าอย่างผมมีนาฬิกาเป็น set บนข้อมือ แล้วนาฬิกาเร็วไป 5 นาทีแต่คิดว่ามันช้าไป 5 นาทีคงรีบโดดขึ้นรถไฟเพราะกลัวตกรถ

คราวหน้าถ้าเจอเทรดเดอร์ต้องถามว่าพี่ตอนนี้กี่โมงแล้ว
สติมา ปัญญาเกิด
sattaya
Verified User
โพสต์: 1372
ผู้ติดตาม: 1

บทบัญญัติหลักกลยุทธ์ของโซรอส

โพสต์ที่ 15

โพสต์

พี่ริวกะ เขียน:พี่ลูฟี่ตี๋น่ารัก  
:shock: โหพี่ริวกะนี่สุดยอดแห่งจอมยุทธเลยครับ หมอเคแซวผมไว้ยังอุตส่าห์จำได้อีก

เรื่องนาฬิกาถ้านาฬิกาผมไม่มีเข็มท่าจะดี (ยืมคนอื่นดูเวลา) เจอใครถามหมด พี่ๆกี่โมงแล้ว
สติมา ปัญญาเกิด
จานอส คิส
Verified User
โพสต์: 12
ผู้ติดตาม: 0

บทบัญญัติหลักกลยุทธ์ของโซรอส

โพสต์ที่ 16

โพสต์

สวัสดีครับ วันนี้เป็นวันที่อากาศดี ขอบคุณสำหรับนาฬิกาครับ
คืนนี้ผมต้องบินไปจีนแล้วครับ
ผมคงไม่ตอบอักหลายวันครับ
วันนีขอตอบยาวมากหน่อยครับ

มาทักทายพี่กูรูครับ สวัสดีครับพี่
พี่กูรูเคยแนะนำเรื่อง "Six Characters" เรื่องนี้ยิ่งใหญ่มาก
โซรอสพัฒนาความคิดเรื่อง Reflexivity โดยเริ่มจากถามตัวเองว่า  เราคือใคร  แล้วแต่งหนังสื่อชื่อ Burden of Consciousness ไปให้ใครอ่าน ก้อ่านไม่รู้เรื่อง ทุกวันนี้ กลายเป็น Alchemy of Finance ก็ยังไม่มีใครอ่านรู้เรื่องอยู่ดี จะว่าไป ตอน Keynes ออก The general theory ใหม่ ๆ ก็ยังไม่มีใครอ่านรู้เรื่องครับ ตอนไอสไตน์ออก Relativity ก็มีแค่ 2-3 คนที่เท่านั้นอ่านรู้เรื่อง

 ส่วนเรื่อง  Alice in Wonderland

      "ผมเซ่อมากครับ!"
 
      กระผมจะรีบตอบแบบไม่ลังเลเลย  
      ผมดีใจที่ไม่เคยอ่านครับ
      ผมเสียใจที่ไม่เรื่องคุยกับท่ารริว

      ผมอ่านงานวิจัยของท่านริวเรื่อง consensus แล้วเขียนบทความขึ้นมา กระผมขอติดมาฝากครับที่นี้ ให้นักลงทุนทุกท่านได้อ่านกันครับ

     กระผมขออนุญาตเรียก คนที่มี  circle of competence  หรือ คนที่เก่งและมีความถ่อมตัวว่าเป้น  ท่านเซอร์     อันย่อมาจาก เซอร์เคิน ออฟ คอมปี้แต้น                

          ในคำสอนยิวนั้น...    

         เรื่อง ความถ่อมตัว เป้นเรื่องที่ขาดไมได้ แต่งอได้ครับ   หมายถึงว่า   คนยิวถูกสอนให้รู้จักงอเอวให้เป็น คือ  เป้นใคร อาชีพไหน ยิ่งพ่อค้า  ต้องเป็นคนถ่อมคัวให้เป้น   เช่น ไม่ให้ใช้คำพูดเด็ดขาดเกินไป  ไม่จำเป็นต้องพุดเก่ง แต่ให้เป้นคนพูดจารอบครอบ  และไม่ว่าเก่งเพียงใด  ทุกคนล้วนมีขอบเขตความสามารถของตน   หากชอบพูดเหยียบหยามคนอื่น จะอยู่ในสังคมยาก คนที่ประสบความสำเร็จแล้ว ไม่รู้จักโค้งคำนับคนอื่น สักวันจะถูกยึดทรัพย์ และถุกเนรเทศในที่สุด ( ....นี่คนยิวพุดไว้หลายร้อยปีแล้ว)  ไม่ว่าพ่อค้า  ทหาร   โหราจารย์  หมอ   นักปราญช์  หรือ   ศิลปิน  ต้องรู้จักถ่อมตน   จึงนับว่าเป็นคนเหนือคน เพราะ เหนือคนก็มีฟ้า  เหนือฟ้ายังมีไม้โท  555555  

     มีนิทานยิวเรื่องหนึ่งบรรทุกไว้  การสนทนาระหว่าง ศิษย์กับอาจารย์

         ศิษย์ ---   ความรู้ดั่งก้อนหินจริงแท้ประการใดครับ?    

         อาจารย์---    ความรู้อยู่ทุกหน ก้อนหินอยู่ทุกแห่ง เหมือนกันด้วยเหตุนี้


    ศิษย์   -- ดั่งนี้แล้ว ....สวนที่ยืน ไฉนศิษย์จึงมิแลเห็นความรู้?

  อาจารย์ ---      ท่านยืนเหยียบมัน  มิเห็นดอก

    ศิษย์   ---  มีแต่หินใต้เท้า  มีความรู้ที่ใดเล่า อาจารย์  

         อาจารย์      --   ก้มลงไปเก็บก้อนหิน  ความรู้จะปรากฏ


     ศิษย์    ----   ข้างงไปหมดแล้ว ?  

           อาจารย์  ---    อันว่า คนนั้น สามารถก้มหยิบเก็บความรู้ได้ทุกหนแห่ง แต่การหยิบต้องงอเอว และ ตรงนี้ที่ทำได้ยาก เจ้าเข้าใจหรือยังเล่า      

           กระผมชอบเรื่องนี้จริงๆ  ^ ^  

         ท่านแรบไบยังสอนไว้..

          อัน ท่านเซอร์ ตัวจริงหลักๆ จัดแยกได้  3 แบบ   ท่านเซอร์ที่น่าเชื่อถือที่สุด  มาจากห้องทดลอง เป้นเซอร์นักวิจัย  รองลงมา เป้นท่านเซอร์นักวิเคราะห์แยกแยะสิ่งต่างๆ  สุดท้ายเป้นท่านเซอร์นักประกอบ  เอาข้อมูลต่างๆ มาต่อเป็นจิกซอล  

       ที่น่ากลัวมาก คือท่านเซอร์ปลอม คนกลุ่มนี้มีชื่อเสียง  น่าเชื่อถือทุกอย่าง แต่เวลาทำจริง ทำไมได้ เก่งที่ปากอย่างเดียว   คนพวกนี้จะทำความเสียหายอย่างมาก      

      ที่น่ากลัวที่สุด คือ ท่านเซอร์จริง แต่ไร้คุณธรรม ดูภายนอก เป็นคนดี  มีน้ำใจ  แต่แท้จริง  คนพวกนี้เล่เหลี่ยมจัด  คำนึ่งแต่ผลประโยชน์ตัวเอง  ไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนคนอื่น
 
    เจอสองกลุ่มหลัง ท่านแรบไบสอนไว้ว่า..

           อย่าเชื่อทุกอย่าง!!

      เป้นท่านเซอร์ก็คนสองมือสองขาเหมือนกัน  เวลาเริ่มต้นคุย อย่านึกว่าเป็นท่านเซอร์  อย่าไปดูฐานะการเงิน หน้าที่การงาน  หรือ  ชื่อเสียง  สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ตัวกำหนดท่านเซอร์ได้เสมอไป    ถึงเป้นท่านเซอร์จริง ก็เก่งบางอย่าง  ไมได้เก่งทุกอย่าง  ให้ทดสอบ ขอบเขตความเซอร์ ของเขา ด้วยการทำตัวเป็น  ท่านเซ่อ คือ ไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรเลย นี่เป้นไม้ตาย ใช้คำถามหลากหลาย  ไม้เข้าใจอะไรทั้งนั้น แสดงท่าทีว่าไม่มี่ทางจะเข้าใจอะไรได้ด้วย   ไม้ตาย   แบบนี้ หากเป้นท่านเซอร์ปลอม  พวกเขาจะรู้สึกปวดหัวและรำคาญ เมื่อทนไมได้ พวกเขาจะด่าว่า ไปไกลๆ เลย  5555555
 
       ในที่สุด เซอร์จริง หรือเซอร์ปลอม จะเผยตัวที่แท้จรีง และ ก็จะแพ้ ท่านเซ่อ ไปเอง        
               
    ในโลกการค้า  ท่านแรบไบสอนว่า......

         การค้าขายกับคนที่ไม่พยายามเข้าใจอะไรเลย   เป้นการค้าที่ยากที่สุด   คนที่ฉลาดจึงแกล้งโง่ คนที่เป้นท่านเซอร์จึงแกล้งเป้นท่านเซ่อ      กลยุทธ์นี้....เพื่อเป้นฝ่ายได้เปรียบ จะได้มีเวลาคิดรอบครอบมากขึ้นและเก็บข้อมูลมากขึ้น  ถึงรู้แสร้งเป้นไม่รู้    แข่ง ความรู้  แข่งได้    แต่แข่ง ความไม่รู้ จัดว่าเป็นบุญวาสนา เพราะมันทำยาก  มันต้องงอเอว ให้คนอื่นรู้สึกว่าเราเป้น ลา  ตัวหนึ่ง มันทำได้ยาก      

           55555555555555    

          เรื่องนี้กระผมเคยไปเจรจาซื้อของที่ซั่งไห่...

           ไปซื้อของ  เจ้าของบริษัทมาเอง พาไปตีกอล์ฟ กินข้าว  เที่ยวกลางคืน แด๊กเหล้า  เวลา 90 %  นี่ชวนคุยแต่เรื่องอิเหนาะเคาะเคะ ไม่เกี่ยวกับการค้า เลย   อีก 10% ถึงจะมาคุยเรื่องงาน   แล้วมาคุยวันสุดท้าย มันตีวงเขตเซอร์  รอบตัวมันเสร็จสรรพ  จำกัดอำนาจตัวเองเต็มที่  คุยเรื่องราคาทีไร บอกว่า....

   ราคา X -10 นี้ ต้องถามหุ้นส่วนอีกคนก่อน แต่ถ้าเป้นราคา X อยู๋ในขอบเขตที่ผมมีอำนาจตัดสินใจได้ ผมตัดสินใจได้เลยทันที    

         เล่นบทเป้น ท่านเซอร์ อย่างนี้  เท่ากับบอกว่า ปัญหานี้เป็นของกระผมนะซิ ไม่ใช่ปัญหาเขา กระผมต้องเป้นฝ่ายแก้ไข้   การส่งคนไปต่อรองการค้าอย่างนี้  เถ้าแก่เขาไม่มาเอง ถึงมาเองก็คงบอกว่า  ราคานี้ ต้องไปถามเมียก่อน     ถ้าส่งคนมา เขาก็ให้อำนาจมาในวงจำกัด  อย่างนี้ก็ได้เปรียบตั้งแต่ยังไม่ได้คุย

         เวลาไปซื้อของ  เอามั่ง........  

       ไม่รู้ว่าปัญหาเฮียคืออะไร แต่กระผมซื้อได้ในราคาเท่านี้ แพงกว่านี้อยู่เหนือขอบเขคความสามารถกระผม  

   ในโลกการลงทุน...

          Circle of competence เป้นสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุด  การมีเขตเซอร์ หมายถึง  การทีท่านมีการกำหนด เป้าหมาย  ที่ชัดเจน   และยัง มีการกำหนดแผนว่าจะทำให้เป็นรุปธรรมเมื่อใดและอย่างไรอีกด้วย   จะว่าไป ใครเคยได้ยิน ที่แรบไบบัฟแฟตพูดไว้เกียวกับเรื่อง circle ในหนังสือหลายเล่ม  ที่ว่า

    ขอบเล็กขอบใหญ่ไม่สำคัญ สำคัญที่รู้ว่าขอบเราอยู่ตรงไหน

     นึกถึงพิซซ่า  555555  ประโยคนี้  กระผมได้ยินจากปากแรบไบบัฟเฟตเลย  จากแผ่น DVD ที่พี่ WEB ส่งมาให้  ตอนไปพูดที่  U oF Tennesse

    อีกนัยหนึ่ง   แรบไบบัฟเฟตสอนให้เราตะหนักว่า   ขอบเขตเซอร์  ของเราอยู่ตรงไหน  และรู้ว่า เป้าหมาย ที่แท้จริงของตัวเองคืออะไร

        ถ้าใครนั่งเทรดหุ้นทุกวัน  อย่างนี้ เทรดกับหุ้นไม่พอ ยังต้องเก่งเป็น ท่านเซอร์ ที่เทรดกับอารมณ์  ดีใจ เสียใจ หัวเราะ ร้องไห้ ผัดเปลี่ยนแถบทุกวัน    ใครเทรดหุ้นทุกวันแล้วประสบความสำเร็จ   จะต้องเป็นท่านเซอร์ที่ควบคลุมอารมณ์เก่ง  มีความนิ่ง  สงบ  มั่นคง สุขุม และ มีสุข อีกด้วย  

    ที่แน่ๆ   เขาต้องรู้ว่า  เขตเซอร์ของเขาอยู่ตรงไหน รู้ตลอดเวลาว่าเป้าหมายของตนเองคืออะไร และที่สำคัญที่สุด   เขาจะต้องจารึก ขอบเขตเซอร์ ไว้ในใจตลอดเวลาเสมออีกด้วย......    

 ----------------------------

       เมื่อไปงานเหล่าจอมยุทธ์ไทวิ  ประโยคที่กล่าวถึงมากที่สุดในงาน คือ ประโยคเด็ดว่า

              ตัวนี้ไม่ได้ตามเลย!!!      

           แปลได้อีกนัยหนึ่ง  เท่ากับบอกว่า ปัญหานี้เป็นของคนถามนะซิ ไม่ใช่ปัญหาเขา

       อย่างนี้ ก็ให้รู้ว่า ท่านเจอ ท่านเซอร์ เข้าให้แล้ว                                  
           
    ----------------------------------

 สำหรับท่านที่สนใจในเชิงทฤษฎีในเรื่อง reflexivity ผมติดบทความมาฝากครับ บทความนี้สุดยอดครับ ผมเขียนเอง ยังอ่านไม่รู้เรื่อง อ่านมันรอบที่ 40 แล้ว ผมยังไม่เข้าใจดีเลย ตอนที่เขียนเรื่องนี้  นอนอยู๋ครับ คิอ ฝันเป็นเรื่องอย่างนี้ พอลุกขึ้น ขึ้นมาเขียน ตอนนั้น ตี 3 ผมมาเขียนรวดเดียวจบตอน 8 โมงเช้า ลองอ่านดูรับ อ่านแล้ว เข้าใจก็มาสอนผมด้วยครับ  5555555

             รูปภาพ


       ตอน....RV Equilibrium
 
       
        " Stock market bubbles don't grow out of thin air. They have a solid basis in reality, but reality as distorted by a misconception."
                                         
         George Soros

     
  สวัสดีครับ...

    รูปภาพ

         ผมนั่งอ่านงานเขียนที่ผ่านมา ๆ อ่านแล้วหัวเราะไป ผมเขียนให้กระรอกอ่านหรือนี่ คือ ผมไม่มีทักษะในการอธิบายทำให้ผู้อื่นเข้าใจได้ แต่คนไม่รู้เรื่องดันไปอ่านหนังสือที่ไม่รู้เรื่องอย่าง Alchemy และ General Theory รู้เรื่อง แปลกดีครับ นึกแล้วยังขำตัวเอง เรื่องนี้ผมไปถามแฟน แฟนบอกว่า ถ้าเธอพูดรู้เรื่อง ก็ผิดปกติแล้ว อย่างนี้ละปกติดี อ้าว..เป็นอย่างนั้นไปครับ

   ผมต้องขอโทษท่านผู้อ่านด้วย ถ้าผมทำให้ Reflexivity (RV) กลายเป้นไสยศาสตร์ที่นักลงทุนไม่มีวันเข้าใจ  คือไม่สามารถสัมผัสกับชีวิตการลงทุนได้  หรือแปลได้ว่า เรื่องนี้ไร้สาระ  แต่เพราะความไร้สาระ เลยมีสาระอยู่มาก ไม่ต้องพูดถึง ความว่างเปล่าที่เกี่ยวโยงถึง Zen โดยเฉพาะ "เพลงทะเลใจ"  ที่เปิดระหว่างขับรถลงใต้ จน CD พัง ทำให้ผมเข้าใจ Zen เกี่ยวโยงกับ Reflexivity อยู่มากทีเดียว  หรือ เรื่องความไร้สาระของเทพซิซิฟัสที่พี่รุ้งพลบพูดไว้ ยิ่งใหญ่มากครับเรื่องนี้ ไม่อ่านไม่ได้เลย

         ระหว่างที่ผมขับรถไปเอื่อยๆ รอบๆ เกาะภูเก็ตนั้น  ผมคิดถึงเรื่องหนึ่งครับ คิดว่าหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของนักเขียน  ไม่ใช่เขียนในเรื่องที่คนอื่นเขียนได้ดีกว่าเราเล้กน้อย  หรือ ไปเขียนเรื่องที่เราเขียนได้ดีกว่าคนอื่นมากๆ  ผมคิดว่าเรามีหน้าที่เขียนเรื่องที่คนอื่นไม่คิดจะทำต่างหาก

          เอาละครับ  ผมจะลุกมาเขียนใหม่  ตั้งใจว่าเรื่องนี้เขียนเพื่อให้เพื่อนที่สนใจ Reflexivity ได้อ่านกันโดยเฉพาะ นอกเหนือจากนักลงทุนกลุ่มนี้ ผมไม่หวังว่าท่านจะเข้าใจ และผมต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วย   แต่เจตนาคือไม่ใช่ไขปริศนาทฤษฎีที่ยากนี้ให้เป็นรูปธรรม  นั่นเป้นเรื่องรองไปเลยครับ ประเด็นคือ ตั้งใจให้เป็นบทความที่เป็นนามธรรมล้วนๆ ที่ทำให้เกิดการคิดต่อยอด ไม่ใช่เสนอทางออกทางความคิดแต่อย่างใดครับ  

 
   เริ่มเลยครับ...

               
  ประโยคที่ 1 :   หุ้นตัวใด เมื่อปริมาณ การคาดการณ์ เท่ากับ ความจริง ราคา ณ เวลานั้น จะได้สมดุลยภาพ
 
                                                   
    สมการที่ 1
             
                                               

   1.       ต้นทุนการบริโภคหุ้น +  ต้นทุนการคาดการณ์ =   รายได้ส่วนที่จ่ายไป  +  ความจริงที่ถูกอมไว้

                           60                   40                                  60                             40
   
   

     สมุมติว่า...บางสิ่งๆ ดี ๆ เกิดขึ้น..


   สมการที่ 2..


2.       ต้นทุนการบริโภคหุ้น +  ต้นทุนการคาดการณ์ = รายได้ส่วนที่จ่ายไป  +  ความจริงที่ถูกอมไว้

                  --                              20                          ---                                40


     สมการที่ 3 ....

 
   ทันใดนั้น....ตราชั่ง Reflexivity ก็ปรับตัว กลายเป็น....

    สมการที่ 3...

     ต้นทุนการบริโภคหุ้น + ต้นทุนการคาดการณ์ = รายได้ส่วนที่จ่ายไป  +  ความจริงที่ถูกออมไว้

              80                               20                       60                                    40


   แปลว่า..

     :rabbit29:
 
      แปลว่า... สถานการณ์ใหม่นี้   ความจริงที่ถูกออมไว้ > ต้นทุนการคาดการณ์ ทำให้เข้าสู่การปรับตัวใหม่ ต้นทุนการบริโภคหุ้น  > รายได้ส่วนที่จ่ายไป    ขยายความไปได้ว่า  ต้นทุนการบริโภคหุ้นล้นตลาด คือ คนซื้อมากกว่าคนคนขาย  นักลงทุนพากันแย่งซื้อหรือหุ้นขายได้ราคาสูงขึ้น ทำให้กำไรเพิ่มขึ้น  เมื่อเป้นอย่างนี้ทั่วทั้งตลาดของคนที่สนใจบริโภคหุ้นตัวนั้น เกิดภาวะ boom  
     
     สถานการณ์ Bust จะเกิดในกรณีที่   ต้นทุนการคาดการณ์ >  ความจริงที่ถูกออมไว้  แปลว่า สถานการณ์ใหม่นี้ทำให้เข้าสู่การปรับตัวใหม่  ต้นทุนการบริโภคหุ้น  < รายได้ส่วนที่จ่ายไป   ขยายความไปได้ว่า  ต้นทุนการบริโภคหุ้นจะขาดตลาด คือ คนขายกลับมากกว่าคนซื้อ  นักลงทุนจะพากันแย่งขายหุ้น  ราคาจะต่ำลง  ทั่วทั้งตลาดของคนที่สนใจบริโภคหุ้นตัวนั้น จะเกิดภาวะ bust

   
 ---------------------------------
                 
     
 เกร้ดความรู้:

 รูปภาพ

     Karl marx คิดเรื่อง GDP ก่อน Keynes
  อันที่จริง Keynes เอาเรื่องความคิดเรื่อง GDP มาจาก Marx
   Marx ว่าไว้ GDP ประกอบด้วย สิ่งที่คนกินได้ กับ สิ่งที่คนกินไม่ได้

                                            (ปัจจุบัน)                                            (อนาคต)
         
         ต้นทุนการบริโภคหุ้น +  สิ่งที่คนกินได้  =   รายได้ส่วนที่จ่ายไป  +  สิ่งที่คนกินไม่ได้

         
    -------------------------------------------------

        Reflexive  Demand

                         
         ต้นทุนการบริโภคหุ้น + ต้นทุนการคาดการณ์  =  Reflexive  Demand   หมายถึง  ความพร้อมสองอย่าง คือ มีเงินเป้นต้นทุนที่จะบริโภค  และ สองมีความเต็มใจเพราะมีคาดการณ์อย่างเชื่อมั่น ผลที่ตามมา  การซื้อหุ้น  ถ้าคาดการณ์อย่างเชื่อมั่นเฉยๆ แต่ไม่มีเงิน จะถือว่าไม่เป้น ต้นทุนการคาดการณ์ เรียกว่า มีแต่ ตัณหาครับ อย่างนี้เราใส่เป้นตัวเลขไม่ได้  มันต้องประกอบเป้นทั้งรุปธรรมที่เป็นตัวเงิน และเป็นนามธรรมที่เป็นความเชื่อด้วย


         รูปธรรมที่เป้นตัวเงินต้นทุนนั้น ขึ้นอยู่กับ รายได้ การคาดการณ์รายได้ตัวเอง อนาคตรายได้ เป้นอย่างไร วันนี้มีเงินแค่ไหน  การคาดการณ์ซ้อนในต้นทุนการบริโภคด้วยเช่นกัน  ความเชื่อ การคาดการณ์ นั้นเป็นนามธรรมเป้นนิสัย ประหยัด กล้าได้กล้าเสีย เหย่อยิ่ง อวดดี ขีโม้ เหล่านี้ล้วนเป้นปัจจัยสำคัญ


 -----------------

     
  กรอบความคิด

       รูปภาพ

  นิสัยโซรอส....

        ชอบมองหาจุดอ่อน ข้อบกพร่องของตนเอง มีนิสัยชอบ invert  ชอบค้นหาปฎิกริยาตลาดว่าต่างจากที่เขาคิดหรือไม่ ถ้าจะซื้อ เขาจะขายก่อน เพื่อดูว่ามีคนรับไหม  ถ้าผิด เขาจะขายหมด แล้วถามตัวเองว่า ที่ผ่านมาตั้งสมมุติฐานผิดเพราะอะไร มีปัจจัยอะไรที่ทำให้คิดอย่างนั้น   Invert , always Invert            
   
            ---------------------------


          Reflexive Gap  (reality/expectation ratio)


        การลงทุนทั้งปวง เมือถึงที่สุดของการวิเคราะห์ ต่างล้วนซื้อเพื่อรอขายในราคาที่สูงกว่า คนซื้อได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าจะมีผู้บริโภคหุ้นมารับช่วงต่อได้แน่  แต่เมื่อนับเวลาที่คนซื้อคาดการณ์ จนถึง เวลาที่ความจริงที่ถูกอมเปิดเผยออกมา จะมีช่วงเวลาที่คั่นอยู่  ช่วงนี้ การคาดการณ์ใหม่จะออกมาซ้อนทับการคาดการณ์เก่าๆ  กลไกการซื้อหุ้นจึงเป้นภาพเชิงซ้อนที่ทับถมกันเป็นชั้นๆ ของการคาดการต่างๆ ที่ผ่านมา  การคาดการณ์ที่ทับซ้อนนี้ทำให้เกิด fluctuations หรือการผันผวนของราคาหุ้น ทำให้ตลาดเกิด inefficient  ทำให้ราคาของหุ้นไมได้เกิดดุลยภาพทุกนาที        

           เหมือนนักมวยที่ไม่ได้ชกรักษารูปมวยตลอดทุกยก   มีรุกบ้าง รับบ้าง สลับกันไปเป็นครั้งคราว  

     
       ช่วงเวลาที่คั่นอยู่ไม่เคยนิ่ง  
           
         
   ต้นทุนการคาดการณ์ =    ความจริงที่ถูกออมไว้

             20                             40

   ช่วงที่เวลาที่คั่นระหว่างการคาดการณ์กับความจริงจะไม่ห่างกัน เท่ากับ 40-20 = 20 ในตอนแรก


     ช่วงเวลาที่คั่นอยู่คือความแตกต่างของการคาดการณ์กับความจริง ช่องนี้เป้นที่ที่ inefficient เกิดขึ้น และช่องนี้ไม่เคยนิ่ง มันขมิบตลอด  มันจะเพิ่มขึ้นลดลงอยู่อย่างนี้  แต่ถ้าจังหวะไหน ช่วงเวลาที่คั่นยิ่งถ่างออกมาก ๆ  นั้นเป็นเวลาที่โซรอสเข้ามาทำเงิน  ถ่างน้อยๆ  เขาว่าไม่คุ้มครับ  ถ้า ต้นทุนการคาดการณ์ > ความจริงที่ถูกออมไว้  ถ้าตัวเลขมันถ่างจำนวนมากเกินไป  การคาดการณ์ของตลาดมันผิดเพี้ยน มันบิดเบือน  โซรอสจะ short  แต่ถ้า  ต้นทุนการคาดการณ์ <  ความจริงที่ถูกออมไว้   เขาจะ  long  เพราะเขารู้ว่า การคาดการณ์ของคนไม่สมบูรณ์



      เค๊กที่บิดเบือน

   

      รูปภาพ

                       
          มานะ กับธิดา สองคน จะตัดฉลองเค๊กวันเกิดของมานะ  ทั้งสองเข้ามาบ้าน  มาเจอเค๊ก  มานะบอกว่า " เอ้ย...ใครแอบกินกินไปชิ้นหนึ่ง"  แต่ธิดาอยู่ตรงข้าม มองอีกมุม กลับพูดอีกอย่าง

     
       รูปภาพ


        เห้นชัด ๆ ว่า "เหลือแค่ชินเดียวต่างหาก"

     ดูแปลก ๆนะครับ พี่น้องคู้นี้ ใครผิด ใครถูกครับ  

     :rabbit29:

           คนแรกมองด้านหนึ่ง อีกคนมองกลับหัวอีกด้าน  ถูกทั้งคู่ครับ  สาเหตุเพราะภาพนี้ไม่สมบูรณ์ในตัวเอง  เพราะการวาดทับซ้อนของภาพ เหมือนการคาดการณ์ของนักลงทุนที่ทับซ้อนกันขึ้นเรื่อยๆ  ทำให้หุ้น ทำให้ตลาด ไม่มีความสมบูรณ์ในตัวเองนี่คือภาพที่เรียกว่า ภาพตรงข้าม หรือ คือ หลักในการคิดแบบ RV นั่นเอง  ความไม่แน่นอน ความบิดเบื่อน คือ RV เพราะคนไม่สามารถแยกตัวเองออกจากสิ่งอื่นๆ ได้ ไม่เชื่อลองถามว่า เราคือใคร  แล้วลองไม่ผูกกับสิ่งรอบตัวดู มันทำไม่ได้  

           ถ้าไม่มีการคาดการณ์ จะใช้ RV ไม่ได้

  ------------  

 กรอบความคิด

    รูปภาพ

      พี่รุ้งแนะนำเรื่อง Six Characters เรื่องนี้ยิ่งใหญ่มากเช่นกันครับ โซรอสพัฒนาความคิดเรื่อง RV โดยเริ่มจากถามตัวเองว่า  เราคือใคร  แล้วแต่งหนังสื่อชื่อ Burden of Consciousness ไปให้ใครอ่าน ก้อ่านไม่รู้เรื่อง ทุกวันนี้ กลายเป็น Alchemy of Finance ก็ยังไม่มีใครอ่านรู้เรื่องอยู่ดี จะว่าไป ตอน Keynes ออก The general theory ใหม่ ๆ ก็ยังไม่มีใครอ่านรู้เรื่องครับ ตอนไอสไตน์ออก Relativity ก็มีแค่ 2-3 คนที่เท่านั้นอ่านรู้เรื่อง
   

  ----------------------        
           

      Visual Illusion  

          รูปภาพ

         
         เส้นไหนยาวกว่ากัน?

          รุปนี้ตั้งใจให้เกิดการคาดการณ์ ถ้าไม่มีแล้ว มันบิดเบื่อนไม่ได้ ถ้ามีคนดู แล้วไม่ออกความคิด อย่างนี้ RV ก็เป็นอันว่า ใช้ไมได้ครับ แต่พอเอาไม่บรรทัดวัดดู มันเท่ากัน แต่ตาดูบอกว่าไม่เท่า เพราะสมองใหญ่ของเรารับรู้ได้ไม่ถูกต้องไปหมด  ไมได้รับรู้ถุกต้องทุกนาที   สมองใหญ่นี้มีทั้งซ้ายและขวา แต่สมองมีส่วนอื่นที่เป็นห้อง ๆแยกไปอีกมากมาย แต่ที่สำคัญอยู่ที่สมองใหญ่ ไม่ควรเชื่อในสิ่งที่เห็น สมองด้านขวาทำหน้าที่เชื่อมโยงสิ่งต่างๆ ได้ดี

               หุ้นที่บิดเบือน ตลาดที่บิดเบือน โลกที่บิดเบื่อน สมองที่บิดเบือน -----> reflexivity

       
    Propensity to reflex  


                 หุ้นซึ่งก็คือสินค้าอุปโภคจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยกว่าอัตราการคาดการณ์ที่เพิ่ม

        โดยเฉลี่ย  เมื่อคนเชื่อมันในการคาดการณ์ตัวเองมากขึ้น  มีแนวโน้มจะซื้อหุ้นเพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้ซื้อมากเท่ากับการคาดการณ์ที่เพิ่มขึ้น  เพราะเก็บไว้ส่วนหนึ่งไว้เป็นทางหนีทีไล่ เช่น ถ้าคาดการณ์เป็น 10 เวลาซื้อก็น้อยกว่า 10 คือซื้อแค่ 8 แค่ 7 เป็นต้น  แต่เมื่อใด คนซื้อมีการคาดการณ์เท่ากับ 8  แต่ซื้อเท่ากับ 10   ราคาจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  แต่ถ้าการคาดการณ์ลดน้อยลง  แต่ตัวเงินที่บริโภคหุ้นตัวนั้นดันลงในอัตราที่มากกว่าการลดลงของอัตราการคาดการณ์  ราคาจะตกอย่างรวดเร็ว  

          กรอบความคิด :  Sell on facts เป็นเรื่องของการคาดการณ์


   Reflex ratio

     เมื่อมีการลงทุน จะผ่านมือคนซื้อไปเรื่อยๆ มือแล้วมื่อเล่า เมื่อการคาดการณ์ของคนหัวแถวกลายเป็นความจริงและผ่านความจริงไปให้คนที่สอง  ความจริงของคนแรกกลายเป็นการคาดการณ์ของคนที่สอง ความจริงของคนที่สองกลายเป็นการคาดหวังของคนที่สาม เป็นอย่างนี้เรื่อยๆ  กำไรก็จะเกิดก่อขึ้นมาในตลาดเป้นระลอกกันไปต่อเนื่อง แต่ลุกคลื่นของการคาดการณ์ที่ไหลไปเรื่อยๆ นี้ มีที่สิ้นสุดเสมอ และหมดแรงไปที่สุด เพราะอะไรหรือครับ เพราะว่า... การคาดการณ์ที่เท่ากับ 10 ไม่ได้แปลต้นทุนของการบริโภคเท่ากับ 10 ทั้งหมด มันถูกกันไว้เป้นเงินส่วนหนึ่งอย่างที่กล่าวมาแล้ว ราคาของหุ้นจึงขึ้นอยู่กับแรงส่งของ  propensity to reflex  หรือแรงส่งของการรับรู้นั่นเอง ถ้ามันไม่แผ่วหายใจพะงาบ ๆ  อย่าง คนแรกมี 10  คาดการณ์ 7  อัตราเป็น 70%  แต่พอผ่านไปคนทีสองอัตรา reflex ratio ขยับเป้น 85%  เท่ากับ 8.5  ต่อไปคนที่สามขยับขึ้นเป็น  9   คนที่สี่เพิ่มเป้น  9.5 เป็นต้น  


    Reflex multiplier

             การคาดการณ์ทั้งหมด เริ่มแรกที่  7   แล้วต่อเป้น  7 + 8.5 + 9 + 9.5 +    ผลรวมมันมากว่า 7  ตั้งมาก  ผมไม่รู้เรียกว่าอะไร ขอเรียกว่าสิ่งนีว่า  reflex multiplier  เหมือนการซื้อทีละจำนวนมากในครั้งเดียว  แล้วคนแห่ตาม  แต่ แรงส่งมันต้องมาพร้อมการคาดการณ์ใหม่ ๆ ด้วย แต่บางทีการคาดการณ์ไม่มา เพราะว่าอัตราผลตอบแทนหรือ discount rate of Future เหลือน้อยลงไปทุกที  
                 
                     
   
  Beauty Contest  

              Beauty Contest คนส่วนใหญ่คิดอย่างไร ไม่ใช่หุ้นที่ตนเองคิดอย่างไร คนส่วนใหญ่คิดอย่างไร ทำไมถึงคิดอย่างนั้น ช่องว่างทีคั่นอยู่

                                              Beauty Contest
                       การคาดการณ์        ( ช่องว่าง)               ความจริง

                                                     O
                                                    /U\
                                                     ||  

  ช่องว่าง ให้คิดว่าคนหมู่มากจะคิดไปทางไหน ไม่มีใครมองหาหุ้นที่ดีที่สุด แต่มองหาหุ้นที่คาดการณ์ว่าคนหมู่มากจะเห็นว่าดีที่สุด  
          กรอบความคิด :    ทฤษฎีกระดานหก critical mess


      เฮ้....สุดท้ายแล้วครับ    ผมขอเรียก  RV ว่า Conspiracy Theory  หรือ ทฤษฎีลับลมคนใน   เพราะว่าสามารถอธิบายได้ทุกเรื่องจริงๆ   กราบขอบคุณ อ.ทั้งสองท่าน อ. Keynes ไอสไตน์ของวิชาเศรษศาสตร์ และ  อ. Soros  ไอสไตน์ของวิชาการลงทุน

 ขอบพระคุณมากครับ

    ------------------------

  สุดท้าย ไม่ท้ายสุด ติด reflexivity ในเชิงปฎิบัติ ติดตัวอย่างมาฝากครับ ย้อนไปต้นๆ ปี 52  เก็บเก่าเหล่าเย่มาอ่านดู มันเยอะครับ มีเป็นร้อยเคสเลย ติดมาฝากครับ

  Visual Illusion    Case 1 ---  CI  group  

 
    FACTS:

  CIG 001/2552
                                   วันที่ 5 มกราคม 2552

เรื่อง รายงานผลการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญของใบสำคัญแสดงสิทธิ (CIG-W1) ครั้ง
ที่ 6
      ของ บริษัท ซี.ไอ.กรุ๊ป จำกัด(มหาชน)
เรียน กรรมการและผู้จัดการ
      ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

   ตามที่ บริษัท ซี.ไอ.กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) ได้กำหนดให้วันที่ 26 ธันวาคม
2551 เป็นวันใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ ครั้งที่ 6 (CIG-
W1) นั้น บริษัทฯ ขอรายงานผลการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญครั้งที่ 6 ดังนี้

    1. ผลการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิ
         1.1 จำนวนรายที่ใช้สิทธิ                                                  -
    ไม่มี-
         1.2 จำนวนใบสำคัญแสดงสิทธิที่ใช้สิทธิครั้งที่ 6
                  -ไม่มี-
         1.3 จำนวนหุ้นสามัญที่จัดสรรเพื่อการใช้สิทธิครั้งนี้
           -ไม่มี-
         1.4 จำนวนใบสำคัญแสดงสิทธิคงเหลือ
           81,450,553 หน่วย
         1.5 จำนวนคงเหลือของหุ้นสามัญที่จัดสรรเพื่อรองรับ
           98,407,574 หุ้น
           การใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิ

    2. จำนวนเงินที่ได้รับจากการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญของใบสำคัญแสดง
       สิทธิ CIG-W1 ครั้งที่ 6
    เป็นจำนวนเงินที่ได้รับสุทธิ          -ไม่มี-

    จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ

                                       ขอแสดงความนับถือ
                                   บริษัท ซี. ไอ. กรุ๊ป จำกัด(มหาชน)


                                         (นายอารีย์ พุ่มเสนาะ)
                                 ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ

   
        รูปภาพ   สร้างสมมุติฐาน  false expectation ?
              .ลงข่าว  .....  
         
   7.1.2552---กรุงเทพธุรกิจลงข่าว..  
       
    CIG group กำลังเจอปัญหา Hostile takeover ต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในโลก เคยมาขอซื้อ แต่ตกลงราไม่ได้ กระจาย 3 โบรกเก็บหุ้น  มีงบ 200- 500 บาท ผู้ถือหุ้นใหญ่ รวมตัวกันถือว่า 70% เป็นพันธมิตร ตกลงไม่ขาย   ถ้าต่างชาติซื้อแล้ว จะทำให้ประหยัดต้นทุนไปได้ 30%

            สร้าง  false reality  
      สมมุติฐาน  ซื้อตั้งแต่ เปิด เพราะรู้แล้วว่า เจ้าของจะออกของ
         ข่าว ใน นสพ. ข่าวใน Set จึงมีไว้ให้จับสัญญาณ FLAW
       คลาดขาลง  ตลาด   underreact
      ข่าวนี้  overreact ถือว่าผิดปกติ
       
   Expectation :  

     --- ปิดวันที่ 6  ราคา 1.56  เปิดมา 1.94  ช่วงเช้าปิดเซลลิ่ง ราคา  2.02
   Invert expect -------  ทำให้ 1.94  flaw
              ต้องเปิด ต่ำ ไม่ใช่เปิดสูง
          ใช้ปรัชญา model อะไรอธิบาย?
      หลักการค้า.... เวลาซื้อของ ต้องซื้อราคาถุก อยากได้ของถุกต้องทุบราคาให้ต่ำลง  การเปิดมา 1.94  ถือเป็น flaw
       --------------  

    รูปภาพ

          ปัญหาเดียวกับ หน้า 15 ---ท้าทายสองซีกขวา
   
    เส้นถูกทำให้ บิดเบือน ทำให้ดูไม่ ขนาน โดยการใช้ เส้นสั้น ๆตัด เส้นขนาน เส้นหนึ่ง อีกเส้นหนึ่ง หัรไปทิศทางตรงกันข้าม รุปดูไม่ขนาน สมองถูกทำให้บิดเบือน
              สมองคนเราทำงานผิดพลาด!
       Invert expect  +++++++ทำให้ขนาน

   ใช้ อะไรอธิบาย? ----
                ไม่บรรทัด
                                   REFLEX
  FLAW REALITY ----------------- >  FALSE EXPECTATION
           
     ---------------

  12.38  

CIG 002/2552

                7 มกราคม 2552

เรื่อง ขอชี้แจงข่าวที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์
เรียน        กรรมการและผู้จัดการ
       ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ตามที่ปรากฏข่าวในหนังสือพิมพ์บางฉบับในวันที่ 7 มกราคม 2552 เกี่ยวกับ
การที่มีผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศรายใหญ่รายหนึ่งของโลกมีความประสงค์ที่จะ
เข้าครอบงำกิจการแบบไม่เป็นมิตรโดยการซื้อหุ้นบริษัท ซี.ไอ.กรุ๊ป จำกัด
(มหาชน) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายละเอียดปรากฏในข่าว
ตามหนังสือพิมพ์แล้ว นั้น

           บริษัทฯ ขอเรียนข้อเท็จจริงว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ
ยังไม่ได้รับทราบข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับข่าวที่ปรากฏดังกล่าว

           จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ


                                           ขอแสดงความนับถือ

                                        (นายอารีย์ พุ่มเสนาะ)
                              ประธานกรรมการบริหาร/ กรรมการ


   Reality  -----------  expectation

               Divergence

                  FLAW

      ข้อมูลที่ให้ข่าว  มีข้อมูลละเอียดมาก
     เป้นไปได้น้อยมากที่ทางผู้บริหารจะไม่รู้
      ข่าวมีลักษณะ เหมือนเขียนมาส่ง
      ไม่ได้มีการสัมภาษณ์ ไม่มีการใช้
       ผู้บริหารบอกว่า    ไม่มีที่มาของแห่งข่าว
     ไม่มีชื่อ แม้กระทั่ง คนให้ข่าว  
    เย็นปิดราคา  2.02
     วอลุ่ม  36 ล้านหุ้น  หรือ 71.85 ล้าน บาท
         Volumn   /  free float
            36 / 113  = 31%
   ปิด เซลลิ่ง  สร้าง false expectation  
 เขาทำไปทำไม?
  สร้าง false reality
  False expectation
    False  facts
      เพื่อขายของให้ได้ราคาสูง

      วันที่ 8---เปิด 2.10  วิ่งไป 2.28 ปิด 2.10   วอลุ่ม 33 ล้านหุ้น หรือ 71.99 ล้านบาท
               
    วันที่  9   เปิด 2.10 ปิด  1.89  วอลุ่ม 13 ล้าน  มูลค่า 26 ล้าน

   วันที่ 10 ออกข่าว ว่า ต่างชาติ ถอยไปแล้ว ข่าวไม่เป็นจริง
       

        จบข่าว................
 -----------------------

    จงให้ความสำคัญกับสิ่งที่บิดเบือนในตลาดหุ้นว่ามีผลต่อเหตุการณ์ในอนาคตอย่างไรบ้าง

 งานนี้ผมกำไรไปเยอะครับ  ผมไม่สนใจว่า เขาจะตั้งใจทำให้บิดเบือน มันบิดเบือนตั้งแต่ออกข่าวแล้ว เราหาทางทำเงินกับสิ่งที่บิดเบือนนั้นก็พอครับ อย่าลืมหาทางหนีที่ไล่เผื่อทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่คิดครับ

  --------------

   สุดยอดแห่งความคิดเรื่อง reflexivity


     ผมไปหาคัมภีร์วัชรสูตรมาอ่าน ผมไม่ชอบอ่านงานของหลวงพ่อท่านไหน
 ไม่ว่าท่านใดล้วนเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น  ทำไมเราม่อ่านงานคำสอนของพระพุทธเจ้าไปโดยตรงเลยดีกว่า ผมไม่อยากถูกบิดเบือน หาทางของตัวเองดีกว่าครับ ในคัมภีร์วัชรสูตร เป็นการสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระสุภูติ มีน้อยคนจะรู้ว่า ยอดคนนั้นคือคนทีทำอะไรซ้ำซากได้โดยไม่รู้จักเบื่อและจะเห็น "สิ่งใหม่" ผุดขึ้นมาจากสิ่งซ้ำซากเสมอ เพราะเรื่องการลงทุนเป้นเรื่องที่จำเป็นที่เราต้องย้ำตัวเองไปจนตลอดชีวิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ถ้าคนที่มีความคิดฝังหัวว่าเหตุการณ์ A คือ A จะอ่านไม่ได้เลย
   A ไม่ใช่ A เป้นไปได้จริงหรือครับ
 การเกิดของ A ประกอบไปด้วย B C D E F.....  
  A ไม่อาจอยู่ได้โดยลำพังของมันเอง
 ถ้าเราตั้งคำถามไป "วิปัสสนา" ไปที่ A อย่างจริงจัง
เราจะเห็นว่า B C D E F และสิ่งอื่นๆ ที่อยู๋ในนั้นด้วยครับ

     เมือเราเห็นว่า A ไม่ใช่เป้นแค่  A  ก็เท่ากับว่าเราเข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของเหตุการณ์ A เมื่อเราถึงระดับนี้ เราถึงบอกได้ว่า A เป้น A  หรือ  A ไม่ใช่ A
       แต่ก่อนถึงขั้นนี้ A ที่เราเห็นเป็นเพียงภาพหลวงตาของ A เท่านั้น
    ถ้านักลงทุนมองเห้น A ได้ลึกซึ้งจนเห้นว่า A ไม่ใช่ A จนยอมรับว่าทุกอย่างที่เห็นอาจไม่ใช่ A เสมอไป เมือนั้นการเห็น A ของท่านอาจมาถึงฝั่งของ reflexivity แล้ว
      ยินดีด้วยครับ ท่านมาถึงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนเปลี่ยนทางโครงสร้างภายในจิตวิยญาณแล้ว
     
  สวัสดีครับ โชคดีครับ ^ ^
นักลงทุนนอกคอก
ภาพประจำตัวสมาชิก
MANEKI
Verified User
โพสต์: 1005
ผู้ติดตาม: 0

บทบัญญัติหลักกลยุทธ์ของโซรอส

โพสต์ที่ 17

โพสต์

ขอบคุณค่ะ :D

ขอเป็นแฟนคลับลุงโซรอสค่ะ
DON"T EVER GIVE UP YOUR DREAM.....
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

บทบัญญัติหลักกลยุทธ์ของโซรอส

โพสต์ที่ 18

โพสต์

พี่กูรูฯ เขียน:อลิศหลงเข้าไปในดินแดนมหัศจรรย์พันลึก
ไปเจอกระต่ายแสนกล วันๆก็ได้แต่เดินพึมพำงุ่นง่าน
"ไม่ทันล่ะ ไม่ทันล่ะ"
ไม่รู้ว่าไม่ทันอะไร
(สงสัยไม่ทันราคาหุ้นขึ้นมั้ง)
:rofl:  :rofl:  :rofl:

เอี๊ก :lol:  นั่นสิครับ นึกไม่ออกสักที ชอบคุณพี่กูรูมาเล่าให้ฟังครับ  :lol:

เห็นพี่โหน่งมี 52 ข้อ ผมก็เลยนึกถึงไพ่ จากไพ่ก็เลยนึกถึงสเปโต เอ๊ย เรดควีน เรดควีนมันก็ต้องเป็นเรื่องอลิซน่ะสิ คงเพราะว่าเมื่อวาน(ก่อนได้อ่าน) ผมพึ่งดูตัวอย่างหนังอลิซที่จะเข้าโลงต้นปีหน้ามาหมาดๆ นั่นเอง (เจ๊เฮเลน่าเป็นเรดควีน เฮียจอนนี่เด๊บเป็นแมดแฮดเล่อ)

อ่านที่พี่โหน่งเขียนก็ปิ๊งสดๆ ร้อนๆ เลยว่าอลิซมันก็เป็นเรื่องการลงทุนด้วยนี่ แต่ก็คิดเป็นคำพูดไม่ออก รู้สึกอ่านพี่โหน่งใช้สมองซีกขวามากไปซีกซ้ายเกิด inactive คิดอะไรเป็นเหตุเป็นผลไม่ค่อยออก  :oops:  เหมือนคลับคล้ายคลับคลาว่าอาจารย์ระวี (ภาวิไล) เหมือนเคยพูดถึง ได้อ่านสำนวนที่อาจารย์แปลด้วย

อลิซนี่เป็นการ์ตูนดิสนี่ย์ที่ผมชอบที่สุดอันดับสองรองจาก fantasia น่ะครับ แทนที่จะวิ่งไปวิ่งมาตามนั่นตามนี่ตามข่าวตามบทวิเคราะห์ตามเซียนตามขี้หมูราขี้หมาแห้ง นั่งอยู่เฉยๆ เบื่อๆ ให้หำดรำอาจจะเป็นวิธีที่ดีกว่าก็ได้ แต่ถ้าอลิซ(ที่เฉยชา)บอกว่า "กระต่ายเหรอ ช่างมันสิ" แล้วก็นอนต่อ เธออาจจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยก็ได้ ผมรู้สึกว่าการได้ลงไปในโพรงกระต่ายเป็นการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ของอลิซทีเดียว ถ้าเราบ้าพอกันเรามาอยู่ในโพรงกระต่ายด้วยกันนะครับ ที่นี่ความมหัศจรรย์เกิดขึ้นได้เสมอ  :wink:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

บทบัญญัติหลักกลยุทธ์ของโซรอส

โพสต์ที่ 19

โพสต์

พี่โหน่ง ชะ ชะ ช่า เขียน: ส่วนเรื่อง  Alice in Wonderland

     "ผมเซ่อมากครับ!"
 
     กระผมจะรีบตอบแบบไม่ลังเลเลย  
     ผมดีใจที่ไม่เคยอ่านครับ
     ผมเสียใจที่ไม่เรื่องคุยกับท่ารริว
ผมก็ถามพี่โหน่งไปงั้นเองแหละครับ  :oops:  ถ้าจะถามพี่กูรูจริงๆ อยากถามประเภท การลงทุนจาก Nutcracker หรือการลงทุนจาก La Gioconda อะไรประมาณนั้นมากกว่า (จะเป็นสายรุ้งคุ้งน้ำมาก  :wink: ) ผมก็ได้แค่นี้แหละครับ  :oops:  ปกติดูหนังฟังเพลงอ่านนิยายนิทานการ์ตูนไปตามเรื่อง (ตอนนี้รอเล่น FF13 อยู่  :wink: ) ถ้าพี่โหน่งมาถามเรื่องเนื้อหาวิชาการอะไรผมก็ตอบไม่ได้หรอก หนังสือปู่โซรอสอย่าว่าแต่อ่าน แตะยังไม่เคยได้แตะเลย ถ้าพี่โหน่งส่งมาให้ ผมก็คงเอาไปใช้เป็นยานอนหลับกับหนุนหัวนอน 2 อย่างแค่นี้แหละ  :oops:
พี่โหน่ง ชะ ชะ ช่า เขียน:โซรอสพัฒนาความคิดเรื่อง Reflexivity โดยเริ่มจากถามตัวเองว่า  เราคือใคร
ปู่โซรอสถามเหมือนหนอนสูบกล้องถามอลิซเลย  :shock:  ถ้าอลิซตอบได้แต่เนิ่นๆ คงไม่ต้องไปเจอราชินีหุ้นแดง เอ๊ย ราชินีโพแดงแน่เลย  :wink:
พี่โหน่ง ชะ ชะ ช่า เขียน:ผมอ่านงานวิจัยของท่านริวเรื่อง consensus แล้วเขียนบทความขึ้นมา กระผมขอติดมาฝากครับที่นี้ ให้นักลงทุนทุกท่านได้อ่านกันครับ
ชอบคุณมากครับ  :8)
พี่โหน่ง ชะ ชะ ช่า เขียน:          ในคำสอนยิวนั้น...    

        เรื่อง ความถ่อมตัว เป้นเรื่องที่ขาดไมได้ แต่งอได้ครับ   หมายถึงว่า   คนยิวถูกสอนให้รู้จักงอเอวให้เป็น คือ  เป้นใคร อาชีพไหน ยิ่งพ่อค้า  ต้องเป็นคนถ่อมคัวให้เป้น   เช่น ไม่ให้ใช้คำพูดเด็ดขาดเกินไป  ไม่จำเป็นต้องพุดเก่ง แต่ให้เป้นคนพูดจารอบครอบ  และไม่ว่าเก่งเพียงใด  ทุกคนล้วนมีขอบเขตความสามารถของตน   หากชอบพูดเหยียบหยามคนอื่น จะอยู่ในสังคมยาก คนที่ประสบความสำเร็จแล้ว ไม่รู้จักโค้งคำนับคนอื่น สักวันจะถูกยึดทรัพย์ และถุกเนรเทศในที่สุด ( ....นี่คนยิวพุดไว้หลายร้อยปีแล้ว)  ไม่ว่าพ่อค้า  ทหาร   โหราจารย์  หมอ   นักปราญช์  หรือ   ศิลปิน  ต้องรู้จักถ่อมตน   จึงนับว่าเป็นคนเหนือคน เพราะ เหนือคนก็มีฟ้า  เหนือฟ้ายังมีไม้โท  555555  
คารโว จ นิวาโต จ สนฺตุฏฺฐี จ กตญฺญุตา
กาเลน ธมฺมสฺสวนํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
พี่โหน่ง ชะ ชะ ช่า เขียน:       เมื่อไปงานเหล่าจอมยุทธ์ไทวิ  ประโยคที่กล่าวถึงมากที่สุดในงาน คือ ประโยคเด็ดว่า

             ตัวนี้ไม่ได้ตามเลย!!!      

          แปลได้อีกนัยหนึ่ง  เท่ากับบอกว่า ปัญหานี้เป็นของคนถามนะซิ ไม่ใช่ปัญหาเขา

      อย่างนี้ ก็ให้รู้ว่า ท่านเจอ ท่านเซอร์ เข้าให้แล้ว    
:rofl:  :rofl:
พี่โหน่ง ชะ ชะ ช่า เขียน:1.       ต้นทุนการบริโภคหุ้น +  ต้นทุนการคาดการณ์ =   รายได้ส่วนที่จ่ายไป  +  ความจริงที่ถูกอมไว้
เพื่อความเข้าใจผมต้องเปลี่ยนให้เป็นภาษาของผมก่อน  :oops:  พอเป็นกรอบซ้อนๆ กันเราก็ต้องใส่ summation i เท่ากับ 1 ถึง n แต่การนำมาพิจารณาในกรอบเวลาจำกัดเช่นกรณี CIG ใช้เดลต้าแทนอาจจะ work ดูเหมือนเอา calculus มาช่วยอธิบายให้รุงรังขึ้นได้ใช่มั้ยคับ  :oops:
พี่โหน่ง ชะ ชะ ช่า เขียน:มีน้อยคนจะรู้ว่า ยอดคนนั้นคือคนทีทำอะไรซ้ำซากได้โดยไม่รู้จักเบื่อและจะเห็น "สิ่งใหม่" ผุดขึ้นมาจากสิ่งซ้ำซากเสมอ
ผมนึกถึงรายการคนค้นคน  วันนั้นดูเจ๊ ชม้อยหอยเหล็ก entertainer ผู้ใจบุญ  :8)


อ่านบทความพี่โหน่งแล้ว นึกถึงคำพระพุทธเจ้าท่านได้ประโยคนึงคับ

ยมฺปนานิจฺจํ ทุกขํ วิปริณามธมฺมํ กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุ เอตํ มม เอโสหมสฺมิ เอโส เม อตฺตาติ ?

ว่ากันว่าประเทศสารขัณฑ์เป็นเมืองพุทธ(จริงๆ นะ) ปากบอกว่ารักพ่อรักแม่แต่ชอบมาทะเลาะกันเอง นอกจากมีควายสองตัวแล้ว ทั้งคนทั้งควายยังชอบวิ่งหาเลขเด็ด ทั้งวันถ้าไม่ XXX กันก็วิ่งขอหวยเจ้าพ่อเจ้าแม่ หวยหุ้นยังขอเลย  ฮ่า...  
Reflexivity ก็เลยทำงานดีใช่มั้ยครับ  :8)
ภาพประจำตัวสมาชิก
krisy
Verified User
โพสต์: 736
ผู้ติดตาม: 0

บทบัญญัติหลักกลยุทธ์ของโซรอส

โพสต์ที่ 20

โพสต์

พี่โหน่ง ชะ ชะ ช่า wrote:
     เมื่อไปงานเหล่าจอมยุทธ์ไทวิ  ประโยคที่กล่าวถึงมากที่สุดในงาน คือ ประโยคเด็ดว่า

            ตัวนี้ไม่ได้ตามเลย!!!      

         แปลได้อีกนัยหนึ่ง  เท่ากับบอกว่า ปัญหานี้เป็นของคนถามนะซิ ไม่ใช่ปัญหาเขา

     อย่างนี้ ก็ให้รู้ว่า ท่านเจอ ท่านเซอร์ เข้าให้แล้ว    
ถูกใจจัง แต่ก่อนเวลาเมาท์หุ้น โดนถามตัวนั้นตัวนี้ พอตอบว่าไม่ได้ตามค่ะพี่ แหมกลายเป็นความผิดของตูที่ไม่ได้ตาม

วันหลังจะตอบว่า "อืม พอดีมันไม่ได้อยู่ในเซอร์ของกบ"
.....Give Everything but not Give Up.....
โพสต์โพสต์