งานของพี่โจ๊ก(สุมาอี้) วันที่ 17 ตค. 2552
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
งานของพี่โจ๊ก(สุมาอี้) วันที่ 17 ตค. 2552
โพสต์ที่ 1
มาสรุปให้ฟังคร่าวๆครับ
(ขออนุญาติพี่เค้าแล้วนะครับ น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ลงทุนมากๆนะครับ )
http://dekisugi.net/2009/10/06/0236-2/
0236: หัวข้อสัมมนา 1001ii @ B2S Chidlomข้อคิดย่อยๆ
- พอลงทุนในตลาดนานๆ ความคิดในการลงทุนของเราก็จะเปลี่ยน
จะเห็นได้จาก VI หลายคนเริ่มสนใจ market สนใจ fund flow , technical
(ผมขอเติมเอง) ... อย่าลืม review ว่า philosophy ดังกล่าว เหมาะสมกับเราแค่ไหนนะครับ
- GURU ของ ทั้งฝั่ง fundamental & technical หรือแม้แต่ speculator ก็มีหลากหลาย ดังนั้นจะเกิดปัญหาว่า เชื่อใครดีเอ่ย
fundamental
- บางคนบอกว่า ซื้อเมื่อราคาต่ำสุดๆ(เมื่อไหร่อ่ะ อันนี้ผมคิดว่าเป็นศิลปะนะครับ)
- และบางคนบอกว่า แบ่งเงินเป็นกี่ % ของ maney wealth ถ้า อายุ30 -40 ปี
ลงหุ้น 80% >>> ถ้า market crash / มี surprise ท่านจะ manage อย่างไร
- ไม่ขายไม่ขาดทุน / ถือยาวอย่างเดียว >>>ถูก หรือ ผิด
ดังนั้น ก็ถึงกระบวนการคิดในการเลือก philosophy ให้เหมาะสมครับ
การซื้อตามข่าว
พี่เค้าแนะนำว่า ถ้าข่าวมันเป็นความเท็จ ไม่เป็นตามข่าว
เราควร cut loss (เพราะเหตุผลที่เราซื้อ เพราะตามข่าว แต่มันเป็นข่าวลวง)
แนวคิดการลงทุน
การลงทุนของเรา ยึดหลักอะไรบ้างครับ
- fundamental
- technical
- fund flow
- speculator
ฯลฯ
ความเห็นของผม(นุ่น) ก็คือ เลือกในสิ่งที่เหมาะกับเราครับ
และผมอ่านจาก winning habits & trend following ที่ผม post ในกระทู้ของผมนะครับ
http://board.viknowhow.com/index.php?topic=347.30
เลือก philosophy ที่เหมาะกับเรา
แนวคิดคือ style การลงทุน(philosophy) ที่เหมาะกับตัวเรา ต้องเป็นแนวความคิดที่เรานำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้เหมาะสม เช่นถ้าไม่ว่างเฝ้าจอ
เราก็จะไม่ค่อย day trade เพราะเราไม่สามารถดูราคาหุ้นในแต่ละวินาทีได้ทัน
และ strategy ที่เราใช้ ก็ควรไปในทางเดียวกัน
มีตัวอย่างครับ
nokia ผลิตมือถือหลายรุ่น 1 2 3 4 ---- n
แต่ละรุ่นก็มี หลายแบบ ดังนั้น เค้าก็ต้องคิด + มีต้นทุนการผลิตในแต่ละรุ่นค่อนข้างมากกว่า apple ที่เลือกที่จะทำรุ่นเดียว คือ iphone ครับ
มาถึงหลัก 7 ข้อครับ
7 aspects of investing style
1. scope หุ้นที่เราเลือกลงทุน
เช่น Warren Buffett เลือกลงทุนแต่หุ้น grade A+
หรือบางคนเลือกลงทุนเฉพาะหุ้นที่อยู๋ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสูง เช่นบริษัทยา(ในต่างประเทศ)
2. diversification
ต้อง diversify การลงทุนของเราไหม เมื่อไหร่ ทำไม
3. target
เช่น ขายเมื่อ over value
หรือบางคนขายเมื่อ หุ้นขึ้นมา 1 เด้งแล้ว(ใช้ราคาเป็นตัวกำหนด)
หรือบางคนขายเพราะมีหุ้นตัวอื่นน่าสนใจกว่า
4.จดไม่ทันครับ :oops:
5. เวลาซื้อหุ้น แล้วมันไม่เป็นแบบที่คิด เช่นราคาตกลงไป เรามีวิธี manage อย่างไร
เช่น ซื้อหุ้นแล้ว ราคาตกไป 5% >> cut loss ทันที
บางคนราคาตกไป ซื้อถัว
บางคนรอมีดปักพื้น แล้วซื้อ
ฯลฯ(เลือกสิ่งที่เหามะกับคุณครับ)
6. Assett allocation
อายุของเราเท่าไหร่
ถือหุ้นกี่ส่วน ถือกองทุนกี่ส่วน รับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน
7. position sizing
น้ำหนักในการลงทุนของเราในแต่ละครั้ง
ถ้ามั่นใจในหุ้นนี้มาก เราซื้อเยอะแค่ไหนของ port
ถ้าตีแตก แล้วซื้อแค่ 100 หุ้น แล้วกำไรจะมากกว่า คนที่ซื้อเยอะๆ แต่กำไร 20% ไหม
ตัวอย่างการ apply แนวคิดทั้ง 7 นี้
- Warren Buffett เลือกเฉพาะหุ้น grade A+
ดังนั้นจึงซื้อหุ้นจำนวนมาก เพราะหุ้นที่ซื้อเป็น Grade A+
ซื้อแล้วถือยาวๆได้ เพราะราคาหุ้นจะสะท้อนราคาที่แท้จริงในระยะยาว
และเพราะหุ้นเป็น grade A+ ดังนั้นเมื่อราคาลง จึงซื้อเพิ่ม เพราะเป็นการ discount หุ้น grade A+
ดังนั้น ไม่ควร diversify แต่ควร focus investing
Sir John Templeton
ลงทุนเมื่อ USA เข้าสู่ยุคสงคราม
คนไม่ค่อยซื้อหุ้น+หุ้นบางตัวราคาตกต่ำมากๆ
ดังนั้น เค้าเลือกหุ้น turn around 104 ตัว
ผลออกมาปรากฏว่า ถือไป 4 ปี
ขาดทุน 4-5 ตัว
นอกนั้นกำไรหลายเด้ง
เนื่องจากถือหุ้น turn around(ไม่ใช่หุ้น grade A)
จึงไม่ถือยาว
และต้อง diversify
Well Known Style
1.Day trade
- ซื้อเช้า ขายบ่าย ไม่นำหุ้นกลับบ้าน
(แต่ day trade ที่เก่งๆ ก็ไม่ได้ซื้อทุกวันนะครับ/นุ่น)
- ต้องมีเวลา ต้องเฝ้าหุ้นได้
- ต้อง cut loss เป็น
บางคน cut loss ที่ 2%
- ต้องเลือกหุ้นที่มีสภาพคล่องสูงเท่านั้น
- ไม่ diversify เพราะตามหุ้นไม่ทัน ดังนั้นตามราคาหุ้นแค่ 1-3 ตัวในวันนั้นก็พอ
2. Swing Trading
- ระยะเวลาการลงทุน 1 สัปดาห์ - 6 เดือน
- ตาม ข่าว + สัญญานทางเทคนิค
- cut loss ได้ไม่เร็ว ดังนั้นต้องมีวิธีลด risk
เช่นซื้อหุ้นหลายตัว (diversify) ต้องพยายามหาหุ้นให้เจอเยอะที่สุด
+ take โอกาสหลายครั้ง เช่น ซื้อหุ้น 7 - 8 ครั้ง ไม่ได้ซื้อวันเดียว
- ข้อดี เล่นหุ้นได้เกือบทุกประเภท แม้แต่หุ้นปั่น
3. Fundamental Investment
- ซื้อหุ้นพื้นฐานดี ซึ่งขึ้นกับว่า เราเลือกดูปัจจัยอะไร งบการเงิน, business model ฯลฯ
- ควรถือยาว เพราะราคาหุ้นจะสะท้อนราคาที่แท้จริงในระยะยาว ส่วนยาวแค่ไหน ก็แล้วแต่บุคคล
- ซื้อหุ้น grade อะไร(ผู้ลงทุนต้องแบ่งเกรดเอง)
Grade A >>> ไม่ต้อง diversify
Grade Bถึง C >>> ควร diversify
4. Passive Investing
- เหมือนซื้อขายแบบ ETF/กบข.
เลือกลงทุน แล้วปล่อยให้ราคาหุ้นเป็นไปตามระยะเวลา โดยถือหุ้นเพื่อนำผลตอบแทนที่ได้ไปใช้ในยามเกษียน
ดังนั้นต้อง diversify
และใจต้องนิ่ง ไม่ถอนหุ้นออกมาก่อนเมื่อมีข่าวฯ
เพราะในที่สุด อัตราเงินเฟ้อ จะทำให้บริษัทที่เราลงทุนปรับราคาสินค้า
ดังนั้นผลกำไรของบริษัทจะสู้กับเงินเฟ้อได้ครับ
จบเท่านี้ครับ
มีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
(ขออนุญาติพี่เค้าแล้วนะครับ น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ลงทุนมากๆนะครับ )
http://dekisugi.net/2009/10/06/0236-2/
0236: หัวข้อสัมมนา 1001ii @ B2S Chidlomข้อคิดย่อยๆ
- พอลงทุนในตลาดนานๆ ความคิดในการลงทุนของเราก็จะเปลี่ยน
จะเห็นได้จาก VI หลายคนเริ่มสนใจ market สนใจ fund flow , technical
(ผมขอเติมเอง) ... อย่าลืม review ว่า philosophy ดังกล่าว เหมาะสมกับเราแค่ไหนนะครับ
- GURU ของ ทั้งฝั่ง fundamental & technical หรือแม้แต่ speculator ก็มีหลากหลาย ดังนั้นจะเกิดปัญหาว่า เชื่อใครดีเอ่ย
fundamental
- บางคนบอกว่า ซื้อเมื่อราคาต่ำสุดๆ(เมื่อไหร่อ่ะ อันนี้ผมคิดว่าเป็นศิลปะนะครับ)
- และบางคนบอกว่า แบ่งเงินเป็นกี่ % ของ maney wealth ถ้า อายุ30 -40 ปี
ลงหุ้น 80% >>> ถ้า market crash / มี surprise ท่านจะ manage อย่างไร
- ไม่ขายไม่ขาดทุน / ถือยาวอย่างเดียว >>>ถูก หรือ ผิด
ดังนั้น ก็ถึงกระบวนการคิดในการเลือก philosophy ให้เหมาะสมครับ
การซื้อตามข่าว
พี่เค้าแนะนำว่า ถ้าข่าวมันเป็นความเท็จ ไม่เป็นตามข่าว
เราควร cut loss (เพราะเหตุผลที่เราซื้อ เพราะตามข่าว แต่มันเป็นข่าวลวง)
แนวคิดการลงทุน
การลงทุนของเรา ยึดหลักอะไรบ้างครับ
- fundamental
- technical
- fund flow
- speculator
ฯลฯ
ความเห็นของผม(นุ่น) ก็คือ เลือกในสิ่งที่เหมาะกับเราครับ
และผมอ่านจาก winning habits & trend following ที่ผม post ในกระทู้ของผมนะครับ
http://board.viknowhow.com/index.php?topic=347.30
เลือก philosophy ที่เหมาะกับเรา
แนวคิดคือ style การลงทุน(philosophy) ที่เหมาะกับตัวเรา ต้องเป็นแนวความคิดที่เรานำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้เหมาะสม เช่นถ้าไม่ว่างเฝ้าจอ
เราก็จะไม่ค่อย day trade เพราะเราไม่สามารถดูราคาหุ้นในแต่ละวินาทีได้ทัน
และ strategy ที่เราใช้ ก็ควรไปในทางเดียวกัน
มีตัวอย่างครับ
nokia ผลิตมือถือหลายรุ่น 1 2 3 4 ---- n
แต่ละรุ่นก็มี หลายแบบ ดังนั้น เค้าก็ต้องคิด + มีต้นทุนการผลิตในแต่ละรุ่นค่อนข้างมากกว่า apple ที่เลือกที่จะทำรุ่นเดียว คือ iphone ครับ
มาถึงหลัก 7 ข้อครับ
7 aspects of investing style
1. scope หุ้นที่เราเลือกลงทุน
เช่น Warren Buffett เลือกลงทุนแต่หุ้น grade A+
หรือบางคนเลือกลงทุนเฉพาะหุ้นที่อยู๋ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสูง เช่นบริษัทยา(ในต่างประเทศ)
2. diversification
ต้อง diversify การลงทุนของเราไหม เมื่อไหร่ ทำไม
3. target
เช่น ขายเมื่อ over value
หรือบางคนขายเมื่อ หุ้นขึ้นมา 1 เด้งแล้ว(ใช้ราคาเป็นตัวกำหนด)
หรือบางคนขายเพราะมีหุ้นตัวอื่นน่าสนใจกว่า
4.จดไม่ทันครับ :oops:
5. เวลาซื้อหุ้น แล้วมันไม่เป็นแบบที่คิด เช่นราคาตกลงไป เรามีวิธี manage อย่างไร
เช่น ซื้อหุ้นแล้ว ราคาตกไป 5% >> cut loss ทันที
บางคนราคาตกไป ซื้อถัว
บางคนรอมีดปักพื้น แล้วซื้อ
ฯลฯ(เลือกสิ่งที่เหามะกับคุณครับ)
6. Assett allocation
อายุของเราเท่าไหร่
ถือหุ้นกี่ส่วน ถือกองทุนกี่ส่วน รับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน
7. position sizing
น้ำหนักในการลงทุนของเราในแต่ละครั้ง
ถ้ามั่นใจในหุ้นนี้มาก เราซื้อเยอะแค่ไหนของ port
ถ้าตีแตก แล้วซื้อแค่ 100 หุ้น แล้วกำไรจะมากกว่า คนที่ซื้อเยอะๆ แต่กำไร 20% ไหม
ตัวอย่างการ apply แนวคิดทั้ง 7 นี้
- Warren Buffett เลือกเฉพาะหุ้น grade A+
ดังนั้นจึงซื้อหุ้นจำนวนมาก เพราะหุ้นที่ซื้อเป็น Grade A+
ซื้อแล้วถือยาวๆได้ เพราะราคาหุ้นจะสะท้อนราคาที่แท้จริงในระยะยาว
และเพราะหุ้นเป็น grade A+ ดังนั้นเมื่อราคาลง จึงซื้อเพิ่ม เพราะเป็นการ discount หุ้น grade A+
ดังนั้น ไม่ควร diversify แต่ควร focus investing
Sir John Templeton
ลงทุนเมื่อ USA เข้าสู่ยุคสงคราม
คนไม่ค่อยซื้อหุ้น+หุ้นบางตัวราคาตกต่ำมากๆ
ดังนั้น เค้าเลือกหุ้น turn around 104 ตัว
ผลออกมาปรากฏว่า ถือไป 4 ปี
ขาดทุน 4-5 ตัว
นอกนั้นกำไรหลายเด้ง
เนื่องจากถือหุ้น turn around(ไม่ใช่หุ้น grade A)
จึงไม่ถือยาว
และต้อง diversify
Well Known Style
1.Day trade
- ซื้อเช้า ขายบ่าย ไม่นำหุ้นกลับบ้าน
(แต่ day trade ที่เก่งๆ ก็ไม่ได้ซื้อทุกวันนะครับ/นุ่น)
- ต้องมีเวลา ต้องเฝ้าหุ้นได้
- ต้อง cut loss เป็น
บางคน cut loss ที่ 2%
- ต้องเลือกหุ้นที่มีสภาพคล่องสูงเท่านั้น
- ไม่ diversify เพราะตามหุ้นไม่ทัน ดังนั้นตามราคาหุ้นแค่ 1-3 ตัวในวันนั้นก็พอ
2. Swing Trading
- ระยะเวลาการลงทุน 1 สัปดาห์ - 6 เดือน
- ตาม ข่าว + สัญญานทางเทคนิค
- cut loss ได้ไม่เร็ว ดังนั้นต้องมีวิธีลด risk
เช่นซื้อหุ้นหลายตัว (diversify) ต้องพยายามหาหุ้นให้เจอเยอะที่สุด
+ take โอกาสหลายครั้ง เช่น ซื้อหุ้น 7 - 8 ครั้ง ไม่ได้ซื้อวันเดียว
- ข้อดี เล่นหุ้นได้เกือบทุกประเภท แม้แต่หุ้นปั่น
3. Fundamental Investment
- ซื้อหุ้นพื้นฐานดี ซึ่งขึ้นกับว่า เราเลือกดูปัจจัยอะไร งบการเงิน, business model ฯลฯ
- ควรถือยาว เพราะราคาหุ้นจะสะท้อนราคาที่แท้จริงในระยะยาว ส่วนยาวแค่ไหน ก็แล้วแต่บุคคล
- ซื้อหุ้น grade อะไร(ผู้ลงทุนต้องแบ่งเกรดเอง)
Grade A >>> ไม่ต้อง diversify
Grade Bถึง C >>> ควร diversify
4. Passive Investing
- เหมือนซื้อขายแบบ ETF/กบข.
เลือกลงทุน แล้วปล่อยให้ราคาหุ้นเป็นไปตามระยะเวลา โดยถือหุ้นเพื่อนำผลตอบแทนที่ได้ไปใช้ในยามเกษียน
ดังนั้นต้อง diversify
และใจต้องนิ่ง ไม่ถอนหุ้นออกมาก่อนเมื่อมีข่าวฯ
เพราะในที่สุด อัตราเงินเฟ้อ จะทำให้บริษัทที่เราลงทุนปรับราคาสินค้า
ดังนั้นผลกำไรของบริษัทจะสู้กับเงินเฟ้อได้ครับ
จบเท่านี้ครับ
มีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
- vi_tal signs
- Verified User
- โพสต์: 631
- ผู้ติดตาม: 0
งานของพี่โจ๊ก(สุมาอี้) วันที่ 17 ตค. 2552
โพสต์ที่ 4
โอ ... ขอบคุณครับ
สำหรับแนวคิด
สำหรับแนวคิด
มันจะมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 242
- ผู้ติดตาม: 0
งานของพี่โจ๊ก(สุมาอี้) วันที่ 17 ตค. 2552
โพสต์ที่ 11
อ่านแล้วผมยังงงๆ จับประเด็นไม่ค่อยได้
ประมาณว่า การลงทุนมีหลายแนว ซึ่งแต่ละแนวมี key success factors ที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องมีพฤติกรรมเหมือนคนอื่น เพียงแค่ต้องรู้ว่าตนเองถนัดสไตล์ไหน และไม่ไปตามคนอื่นที่สไตล์ไม่เหมือนเรา อย่างนั้นหรือเปล่าครับ พี่นุ่น
ขอบคุณมากครับที่ช่วยนำมาเล่าสู่กันฟัง
ประมาณว่า การลงทุนมีหลายแนว ซึ่งแต่ละแนวมี key success factors ที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องมีพฤติกรรมเหมือนคนอื่น เพียงแค่ต้องรู้ว่าตนเองถนัดสไตล์ไหน และไม่ไปตามคนอื่นที่สไตล์ไม่เหมือนเรา อย่างนั้นหรือเปล่าครับ พี่นุ่น
ขอบคุณมากครับที่ช่วยนำมาเล่าสู่กันฟัง
"Many shall be restored that are now fallen and many shall fall that are now in honor."
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 163
- ผู้ติดตาม: 0
งานของพี่โจ๊ก(สุมาอี้) วันที่ 17 ตค. 2552
โพสต์ที่ 14
สรุปสั้นๆ เป็นหัวข้อได้ใจความ มีคุณค่าง่ายต่อการเอาไปใช้มากๆครับ
คาราวะทั้ง จขกท. และพี่สุมาอี้ครับ
คาราวะทั้ง จขกท. และพี่สุมาอี้ครับ
อันนี้รูปจริงนะครับ save มาจาก bloomberg สมัย subprime
วันที่นั่นก็วันเกิดผมครับ บังเอิญจริง
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
งานของพี่โจ๊ก(สุมาอี้) วันที่ 17 ตค. 2552
โพสต์ที่ 15
[quote="chut"]อ่านแล้วผมยังงงๆ จับประเด็นไม่ค่อยได้
ประมาณว่า การลงทุนมีหลายแนว ซึ่งแต่ละแนวมี key success factors ที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องมีพฤติกรรมเหมือนคนอื่น เพียงแค่ต้องรู้ว่าตนเองถนัดสไตล์ไหน และไม่ไปตามคนอื่นที่สไตล์ไม่เหมือนเรา อย่างนั้นหรือเปล่าครับ พี่นุ่น
ขอบคุณมากครับที่ช่วยนำมาเล่าสู่กันฟัง
ประมาณว่า การลงทุนมีหลายแนว ซึ่งแต่ละแนวมี key success factors ที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องมีพฤติกรรมเหมือนคนอื่น เพียงแค่ต้องรู้ว่าตนเองถนัดสไตล์ไหน และไม่ไปตามคนอื่นที่สไตล์ไม่เหมือนเรา อย่างนั้นหรือเปล่าครับ พี่นุ่น
ขอบคุณมากครับที่ช่วยนำมาเล่าสู่กันฟัง
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ