เงิน 9 ล้านเพื่อการเกษียณ ความร่ำรวยหรือความจำเป็น?
-
- Verified User
- โพสต์: 193
- ผู้ติดตาม: 0
เงิน 9 ล้านเพื่อการเกษียณ ความร่ำรวยหรือความจำเป็น?
โพสต์ที่ 32
ลองคิดแบบความต้องการขั้นพื้นฐานไหมครับ ?
1 อาหารและน้ำ - วันละ 300 ก็อยู่แล้วมั้งครับ
2 ความปลอดภัย - ซื้อประกันสุขภาพ + ออกกำลังการ วันละ 100 โดยเฉลี่ย
3 ความรัก - อันนี้อาจไม่ต้องใช้เงิน แต่อาจต้องให้ความรักคนอื่นก่อน
4 สังคม - ก็สมาคมต่าง ๆ ถ้าเอาแบบประหยัดในสิ่งที่เราชอบ วันละ 200 ก็พอ
5 ความใฝ่ฝันสูงสุด - แล้วแต่บางคน อย่างผมอยากไป ดูสิ่งมหัสจรรย์ ของโลกให้หมดเลย . กำแพงเมืองจีน พีระมิด สุสารจิ๋นซี ... ก็ปีละ 30000 พอนะไปปีละที่
รวม ๆ แล้ว เดือน ละ 2 หมื่น กว่า ๆ ก็ตอบสนองความต้องการผมได้สมบูรณ์แบบแล้วครับ ถ้าผมตอบแทนแบบปลอดภัย ร้อยละ 4 ต่อปี เงินต้นก็ประมาณ 6 ล้าน กว่า ๆ ผมก็พอใจแล้วครับ
แต่จริง ๆ สุดท้ายคนที่คิดแบบเจ้าของกระทู้นี้คนที่ได้รับเต็ม ๆ คือลูกหลานครับที่ได้มรดกโดยไม่ต้องดิ้นรน
เพราะคนที่อดออมได้ขนาดนี้สุดท้ายแล้วเงินต้นมักจะอยู่ครบครับ จนวันสุดท้าย อย่าลือทำพินัยกรรมให้ดี ๆ นะครับเดี่ยวลูกหลายจะทะเลาะกัน
1 อาหารและน้ำ - วันละ 300 ก็อยู่แล้วมั้งครับ
2 ความปลอดภัย - ซื้อประกันสุขภาพ + ออกกำลังการ วันละ 100 โดยเฉลี่ย
3 ความรัก - อันนี้อาจไม่ต้องใช้เงิน แต่อาจต้องให้ความรักคนอื่นก่อน
4 สังคม - ก็สมาคมต่าง ๆ ถ้าเอาแบบประหยัดในสิ่งที่เราชอบ วันละ 200 ก็พอ
5 ความใฝ่ฝันสูงสุด - แล้วแต่บางคน อย่างผมอยากไป ดูสิ่งมหัสจรรย์ ของโลกให้หมดเลย . กำแพงเมืองจีน พีระมิด สุสารจิ๋นซี ... ก็ปีละ 30000 พอนะไปปีละที่
รวม ๆ แล้ว เดือน ละ 2 หมื่น กว่า ๆ ก็ตอบสนองความต้องการผมได้สมบูรณ์แบบแล้วครับ ถ้าผมตอบแทนแบบปลอดภัย ร้อยละ 4 ต่อปี เงินต้นก็ประมาณ 6 ล้าน กว่า ๆ ผมก็พอใจแล้วครับ
แต่จริง ๆ สุดท้ายคนที่คิดแบบเจ้าของกระทู้นี้คนที่ได้รับเต็ม ๆ คือลูกหลานครับที่ได้มรดกโดยไม่ต้องดิ้นรน
เพราะคนที่อดออมได้ขนาดนี้สุดท้ายแล้วเงินต้นมักจะอยู่ครบครับ จนวันสุดท้าย อย่าลือทำพินัยกรรมให้ดี ๆ นะครับเดี่ยวลูกหลายจะทะเลาะกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 82
- ผู้ติดตาม: 0
คิดต่างแต่ไม่แตกแยก
โพสต์ที่ 33
เศรษฐกิจตกสะเก็ดแบบนี้ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ นานาเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ทั้งค่าน้ำมัน ค่าอาหาร ค่าเดินทางและอื่น ๆ อีกมาก ต่างจากเมื่อหลายสิบปีก่อนมาก และในอีกช่วงเวลาข้างหน้ามันก็จะเพิ่มสูงขึ้นอีกมากแน่นอน
ในทางกลับกันรายได้ของเรา ๆ ท่าน ๆ ก็ไม่ได้เพิ่มตามต้นทุนซะเท่าไร
ประเด็นก็คือว่า หลังจากหักลบกลบค่าใช้จ่ายแล้ว ส่วนที่เหลือไม่แน่ใจว่าจะพอทำให้ได้เงิน 6 ล้าน 9 ล้านใน 25 ปีข้างหน้าหรือเปล่า นอกจากว่า
1 หารายได้เพิ่ม จากอาชีพเสริม
2 ได้หุ้นสุดเจ๋งซัก 2-3 ตัว
3 ครอบครัวเข้าใจ หรือ ไม่ก็อยู่คนเดียว
4 ไม่มีภาระผ่อนบ้านผ่อนรถและไม่มีแผนที่จะซื้อในอนาคต
เพราะสังเกตว่าค่าใช้จ่ายที่กะไว้แต่ละท่านจะไม่ได้เผื่อลูก ภรรยา พ่อ แม่ ในอนาคตกันเลย มองแต่ตัวท่านเอง
โดยสรุปแล้วปู้ที่จะสำเร็จได้ต้อง
1 มีเงินเริ่มต้นก้อนแรกที่สูงพอสมควร(หลักครึ่งล้าน)
2 มีประสบการณ์มาพอสมควร ได้ เสีย มาระดับหนึ่ง
3 ครอบครัวมีเงินสำรองมากพอให้ หากเกิดขาดทุนหนัก ๆ
ทั้ง 3 ข้อมีอยู่ในท่าน ดร.
แล้วคุณละ...
ยกเว้นสำหรับ Buffet ที่ลงทุนในช่วงเวลาที่ต่างกัน ต่างสถานการณ์และขนาดของตลาดที่ต่างกันมาก
อย่างไรซะ ผมก็ยังเห็นด้วยล้านเปอร์เชนต์ที่ลงทุนในหุ้นดีกว่าฝากแบงค์ครับ
ในทางกลับกันรายได้ของเรา ๆ ท่าน ๆ ก็ไม่ได้เพิ่มตามต้นทุนซะเท่าไร
ประเด็นก็คือว่า หลังจากหักลบกลบค่าใช้จ่ายแล้ว ส่วนที่เหลือไม่แน่ใจว่าจะพอทำให้ได้เงิน 6 ล้าน 9 ล้านใน 25 ปีข้างหน้าหรือเปล่า นอกจากว่า
1 หารายได้เพิ่ม จากอาชีพเสริม
2 ได้หุ้นสุดเจ๋งซัก 2-3 ตัว
3 ครอบครัวเข้าใจ หรือ ไม่ก็อยู่คนเดียว
4 ไม่มีภาระผ่อนบ้านผ่อนรถและไม่มีแผนที่จะซื้อในอนาคต
เพราะสังเกตว่าค่าใช้จ่ายที่กะไว้แต่ละท่านจะไม่ได้เผื่อลูก ภรรยา พ่อ แม่ ในอนาคตกันเลย มองแต่ตัวท่านเอง
โดยสรุปแล้วปู้ที่จะสำเร็จได้ต้อง
1 มีเงินเริ่มต้นก้อนแรกที่สูงพอสมควร(หลักครึ่งล้าน)
2 มีประสบการณ์มาพอสมควร ได้ เสีย มาระดับหนึ่ง
3 ครอบครัวมีเงินสำรองมากพอให้ หากเกิดขาดทุนหนัก ๆ
ทั้ง 3 ข้อมีอยู่ในท่าน ดร.
แล้วคุณละ...
ยกเว้นสำหรับ Buffet ที่ลงทุนในช่วงเวลาที่ต่างกัน ต่างสถานการณ์และขนาดของตลาดที่ต่างกันมาก
อย่างไรซะ ผมก็ยังเห็นด้วยล้านเปอร์เชนต์ที่ลงทุนในหุ้นดีกว่าฝากแบงค์ครับ
Nothing Impossible
Just Image and Do it.
Image&Words
Just Image and Do it.
Image&Words
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 266
- ผู้ติดตาม: 0
เงิน 9 ล้านเพื่อการเกษียณ ความร่ำรวยหรือความจำเป็น?
โพสต์ที่ 34
ผมพึ่ง 25 ได้ไม่กี่เดือน มุมมองทางด้านค่าใช้จ่ายในอนาคต (เลี้ยงดูบุตรและสุดที่รัก)อาจจะได้ไม่ชัดเจนมากนะคับ
ผมคิดว่าถ้าคุณนักดูดาวยังเป็นนักลงทุนหลังเกษียณ ผมว่ามันต้องพอแน่นอนคับ เงิน 9 ล้านกับหุ้น super stock ยังไงก็น่าจะได้ผมตอบแทนเฉลี่ยถึง 10% ต่อปี ซึ่งอย่างน้อยๆก็มีเงินให้คุณใช้ปีละ 900,000 เยอะมาก
แต่ว่ามันก็ขึ้นอยู่กับคุณด้วยว่าจะทำอ่ะไรถ้าไม่ลงทุน ???? จริงๆยังมีเรื่องให้กังวลอีกนอกจากเรื่องเงิน เพราะว่าถ้าคุณอยู่บ้านเฉยๆทุกวัน คุณจะคุยกับใคร? เพื่อนไม่มี สังคมไม่มี หลายคนบอกว่าจะเที่ยวรอบโลกพอเที่ยวหมด แล้วคุณจะทำอ่ะไร (อย่าบอกนะคับว่าจะเที่ยว 25 ปี เลย)
สำหรับผมพึ่งเริ่มศึกษาธรรมะ ก็เลยทราบว่าความสุขจากภายนอก(รูป รส กลิ่น เสียง)ก็อย่างนึง จากภายใน(ความสุขจากการให้และการฝึกสมาธิก็อีกอย่างนึง) เพราะฉะนั้นผมตั้งใจไว้ว่าจะบริจาคเลือดอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง แล้วก็ให้ทุนการศึกษากับคนที่ด้อยโอกาส เพื่อความพัฒนาของประเทศเราคับหรือ ทำอ่ะไรอย่างอื่นก็ได้ที่เราสนใจและสามารถช่วยเหลือคนอื่นหรือสังคมได้
ผมคิดว่าถ้าคุณนักดูดาวยังเป็นนักลงทุนหลังเกษียณ ผมว่ามันต้องพอแน่นอนคับ เงิน 9 ล้านกับหุ้น super stock ยังไงก็น่าจะได้ผมตอบแทนเฉลี่ยถึง 10% ต่อปี ซึ่งอย่างน้อยๆก็มีเงินให้คุณใช้ปีละ 900,000 เยอะมาก
แต่ว่ามันก็ขึ้นอยู่กับคุณด้วยว่าจะทำอ่ะไรถ้าไม่ลงทุน ???? จริงๆยังมีเรื่องให้กังวลอีกนอกจากเรื่องเงิน เพราะว่าถ้าคุณอยู่บ้านเฉยๆทุกวัน คุณจะคุยกับใคร? เพื่อนไม่มี สังคมไม่มี หลายคนบอกว่าจะเที่ยวรอบโลกพอเที่ยวหมด แล้วคุณจะทำอ่ะไร (อย่าบอกนะคับว่าจะเที่ยว 25 ปี เลย)
สำหรับผมพึ่งเริ่มศึกษาธรรมะ ก็เลยทราบว่าความสุขจากภายนอก(รูป รส กลิ่น เสียง)ก็อย่างนึง จากภายใน(ความสุขจากการให้และการฝึกสมาธิก็อีกอย่างนึง) เพราะฉะนั้นผมตั้งใจไว้ว่าจะบริจาคเลือดอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง แล้วก็ให้ทุนการศึกษากับคนที่ด้อยโอกาส เพื่อความพัฒนาของประเทศเราคับหรือ ทำอ่ะไรอย่างอื่นก็ได้ที่เราสนใจและสามารถช่วยเหลือคนอื่นหรือสังคมได้
-
- Verified User
- โพสต์: 366
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เงิน 9 ล้านเพื่อการเกษียณ ความร่ำรวยหรือความจำเป็น?
โพสต์ที่ 35
สวัสดี คุณนักดูดาวนักดูดาว เขียน:หากว่าเราเกษียณอายุจากการทำงานอายุ 55 ปี และต้องการมีอายุอยู่ถึง 80 ปี นั่นเท่ากับว่าเราต้องใช้เงินเป็นเวลา 25 ปี โดยไม่มีอาชีพ โดยน่าจะมีเงินใช้ประมาณ 30,000 บาทต่อเดือนในระดับมีความสุขบ้าง ได้ใช้จ่ายท่องเที่ยวบ้าง โดยรวมค่ารักษาโรคของคนแก่ด้วย
นั่นคือต้องมีเงิน 30,000บาท * 12เดือน * 25 ปี = 9 ล้านบาท
พอคำนวณถึงตอนนี้ หลายคนส่ายหัว บอกว่าเก็บเงินไม่ไหว กว่าจะผ่อนบ้านหมด กว่าจะส่งลูกเรียนจบก็ไม่ไหวแล้ว .....
ขอความเห็นเพื่อนสมาชิกครับ ท่านใดกำลังจะเกษียณ คิดว่าเงินจำนวนนี้มากเกินไปหรือน้อยเกินไป คนไทยโดยทั่วไปคิดถึงเรื่องการเกษียณอย่างไรบ้าง
ไม่ได้คุยกันเสียนานเลยนะครับ...จากกระทู้ของคุณนักดูดาว แล้วผมลองไปนั่งคิด (นอนคิด) แล้ว มีความคิดเห็นในอีกมุมหนึ่งอะครับ...คือ
ผมไม่ได้กำหนดว่าจะมีอายุถึงเพียง 80 ปี...เพราะว่าอันนั้นขึ้นอยู่กับอนาคต แต่อยู่นานก็น่าจะดีกว่า ^.^ ฮ่าๆ จะได้มีเวลาคุยกันเยอะๆ
ผมเลยคิดต่อไปว่าถ้าจะปลดเกษียณตัวเองที่อายุ x ปี เพื่อให้พอมีค่าใช้จ่ายตลอดอายุหลังเกษียณแล้ว ควรมีรายได้ประมาณเท่าไหร่ถึงจะพอ
ผมลองคำนวณว่า ถ้า 10% ของ 10 ล้าน = ก็ได้ 1 ล้านต่อปี ตกเฉลี่ยเดือนละ 8 หมื่นกว่าบาท ต่อเดือน ก็น่าจะเพียงพอตลอดอายุหลังเกษียณแล้วอะครับ
แต่ประเด็นที่กำลังคิดอยู่ (ผมคิดเองนะครับ) ว่าจะทำอย่างไรให้ได้ 10% จาก 10 ล้าน ให้ได้ตลอดไปอะครับ ?
ขอบคุณครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2513
- ผู้ติดตาม: 0
เงิน 9 ล้านเพื่อการเกษียณ ความร่ำรวยหรือความจำเป็น?
โพสต์ที่ 37
เงินเฟ้อสำคัญครับ แผนการเงินระยะยาวๆ โดยปกติเราต้องปรับปรุงทุกๆปี
เพราะเราไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนที่จะทำนายได้ยาวๆ ดังนั้นเราคิดเป็นเงินปัจจุบันแต่ปรับปรุงบ้างก็พอครับ
อย่างค่ารักษาพยาบาลต่างๆนี่พุ่งแรงกว่าเศรษฐกิจมาก ควรคำนึงถึงมากๆในการวางแผนพวกนี้ครับ
เพราะเราไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนที่จะทำนายได้ยาวๆ ดังนั้นเราคิดเป็นเงินปัจจุบันแต่ปรับปรุงบ้างก็พอครับ
อย่างค่ารักษาพยาบาลต่างๆนี่พุ่งแรงกว่าเศรษฐกิจมาก ควรคำนึงถึงมากๆในการวางแผนพวกนี้ครับ
- green-orange
- Verified User
- โพสต์: 896
- ผู้ติดตาม: 0
เงิน 9 ล้านเพื่อการเกษียณ ความร่ำรวยหรือความจำเป็น?
โพสต์ที่ 38
[quote="นักดูดาว"]เงินเฟ้อสำคัญครับ
- killyz
- Verified User
- โพสต์: 409
- ผู้ติดตาม: 0
เงิน 9 ล้านเพื่อการเกษียณ ความร่ำรวยหรือความจำเป็น?
โพสต์ที่ 39
ทำไมต้องเกษียณด้วยครับ
เกษียณแล้วจะทำอะไรต่อไปครับ
ทำไมถึงคิดว่า ชีวิตเกษียณถึงมีความสุขมากกว่าชีวิตทำงานครับ
ผมมีเพื่อนที่ไม่ทำงาน มีอิสรภาพทางการเงิน(โดยการเกาะพ่อรวย)
เล่นแต่คอมกับหายใจไปวันๆ ได้ใช้ชีวิตเกษียณตั้งแต่อายุ 25
เกษียณแล้วจะทำอะไรต่อไปครับ
ทำไมถึงคิดว่า ชีวิตเกษียณถึงมีความสุขมากกว่าชีวิตทำงานครับ
ผมมีเพื่อนที่ไม่ทำงาน มีอิสรภาพทางการเงิน(โดยการเกาะพ่อรวย)
เล่นแต่คอมกับหายใจไปวันๆ ได้ใช้ชีวิตเกษียณตั้งแต่อายุ 25
การลงทุนมีความเสียว โปรดใช้วิจารณญาณในการลอก
- green-orange
- Verified User
- โพสต์: 896
- ผู้ติดตาม: 0
เงิน 9 ล้านเพื่อการเกษียณ ความร่ำรวยหรือความจำเป็น?
โพสต์ที่ 40
การเกษียณ ไม่หมายความว่าเราไม่ทำงานครับ แต่การที่เรามีอิสระภาพทางการเงินแล้วเกษียณอายุการทำงานนั้น มันทำให้เราอยากจะทำสิ่งที่เราอยากจะทำครับ โดยไม่เดือดร้อนเรื่องเงินทองครับkillyz เขียน:ทำไมต้องเกษียณด้วยครับ
เกษียณแล้วจะทำอะไรต่อไปครับ
ทำไมถึงคิดว่า ชีวิตเกษียณถึงมีความสุขมากกว่าชีวิตทำงานครับ
ผมมีเพื่อนที่ไม่ทำงาน มีอิสรภาพทางการเงิน(โดยการเกาะพ่อรวย)
เล่นแต่คอมกับหายใจไปวันๆ ได้ใช้ชีวิตเกษียณตั้งแต่อายุ 25
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
เงิน 9 ล้านเพื่อการเกษียณ ความร่ำรวยหรือความจำเป็น?
โพสต์ที่ 41
คนส่วนใหญ่
ไม่ได้ทำงานที่ใช่ ไม่ได้ไปที่ชอบ
ส่วนนึงก้มหน้ายอมรับชะตากรรม
ส่วนนึงเลือกที่จะเดินมาในเส้นทางนี้
น้อยคนนักที่คิดก้าวสู่งานที่ใช่ ไปที่ชอบ ทั้งที่ยังไม่พร้อม
และยิ่งน้อยไปกว่านั้นอีก ที่วางแผนที่จะไป ทั้งที่ยังไม่พร้อม เช่นกัน
ไม่ได้ทำงานที่ใช่ ไม่ได้ไปที่ชอบ
ส่วนนึงก้มหน้ายอมรับชะตากรรม
ส่วนนึงเลือกที่จะเดินมาในเส้นทางนี้
น้อยคนนักที่คิดก้าวสู่งานที่ใช่ ไปที่ชอบ ทั้งที่ยังไม่พร้อม
และยิ่งน้อยไปกว่านั้นอีก ที่วางแผนที่จะไป ทั้งที่ยังไม่พร้อม เช่นกัน
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
เงิน 9 ล้านเพื่อการเกษียณ ความร่ำรวยหรือความจำเป็น?
โพสต์ที่ 42
อะไรที่ดีกับตัวเอง ก็พากเพียรทำอย่างตั้งใจที่สุดครับ
ผมเพียงตั้งข้อสังเกตว่า การไปให้ถึงอิสรภาพทางการเงิน
ไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง ของ การได้ทำงานที่ใช่ ได้ไปที่ชอบ
อิสรภาพทางการเงิน เป็นเพียงฟูกรองรับความไม่แน่นอนครับ
อะไรที่ฟังต่อๆกันมา ย่อมถูกบิดเบือนเป็นธรรมดาครับ
แต่อย่าให้ข้อมูลที่ได้รับ มาบิดเบือน ความต้องการที่แท้จริงของเรา
ผมเพียงตั้งข้อสังเกตว่า การไปให้ถึงอิสรภาพทางการเงิน
ไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง ของ การได้ทำงานที่ใช่ ได้ไปที่ชอบ
อิสรภาพทางการเงิน เป็นเพียงฟูกรองรับความไม่แน่นอนครับ
อะไรที่ฟังต่อๆกันมา ย่อมถูกบิดเบือนเป็นธรรมดาครับ
แต่อย่าให้ข้อมูลที่ได้รับ มาบิดเบือน ความต้องการที่แท้จริงของเรา
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 64
- ผู้ติดตาม: 0
เงิน 9 ล้านเพื่อการเกษียณ ความร่ำรวยหรือความจำเป็น?
โพสต์ที่ 43
ถ้าอยู่ไปวันๆ โดยหาความสุขให้ตัวเอง แล้วไม่ทำให้ใครเดือดร้อนนี่มันผิดไหมครับ ผมเห็นคนหลายคนทีมุ่งหาความสำเร็จ เบียดเบียนคนรอบข้าง เจ้านายที่ด่าลูกน้อง เพื่อนร่วมงานที่หักหลังกัน investment firms ที่ใช้เงินของลูกค้ามาหาผลประโยชน์เข้าตัว
หรือพวกที่เบาลงมาหน่อยก็ ทำงานจนเครียด ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง และคนรอบข้าง สูบบุหรี่ ไม่มีเวลาออกกำลังกาย มีลูกก็ต้องจ้างคนเลี้ยง ญาติป่วยก็ไม่มีเวลาไปเยี่ยม
ทั้งหมดก็เพื่อความเก้าหน้าทางการงาน
ผมไม่รู้จริงว่าคนที่อยู่ไปวันๆ นั้นแย่ะกว่าหรือไม่ ด้วยเหตุผลอะไร
หรือพวกที่เบาลงมาหน่อยก็ ทำงานจนเครียด ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง และคนรอบข้าง สูบบุหรี่ ไม่มีเวลาออกกำลังกาย มีลูกก็ต้องจ้างคนเลี้ยง ญาติป่วยก็ไม่มีเวลาไปเยี่ยม
ทั้งหมดก็เพื่อความเก้าหน้าทางการงาน
ผมไม่รู้จริงว่าคนที่อยู่ไปวันๆ นั้นแย่ะกว่าหรือไม่ ด้วยเหตุผลอะไร
- killyz
- Verified User
- โพสต์: 409
- ผู้ติดตาม: 0
เงิน 9 ล้านเพื่อการเกษียณ ความร่ำรวยหรือความจำเป็น?
โพสต์ที่ 45
สุขทุกข์อยู่ที่ใจ หาใช่เงินทองไม่Palm เขียน:ถ้าอยู่ไปวันๆ โดยหาความสุขให้ตัวเอง แล้วไม่ทำให้ใครเดือดร้อนนี่มันผิดไหมครับ ผมเห็นคนหลายคนทีมุ่งหาความสำเร็จ เบียดเบียนคนรอบข้าง เจ้านายที่ด่าลูกน้อง เพื่อนร่วมงานที่หักหลังกัน investment firms ที่ใช้เงินของลูกค้ามาหาผลประโยชน์เข้าตัว
หรือพวกที่เบาลงมาหน่อยก็ ทำงานจนเครียด ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง และคนรอบข้าง สูบบุหรี่ ไม่มีเวลาออกกำลังกาย มีลูกก็ต้องจ้างคนเลี้ยง ญาติป่วยก็ไม่มีเวลาไปเยี่ยม
ทั้งหมดก็เพื่อความเก้าหน้าทางการงาน
ผมไม่รู้จริงว่าคนที่อยู่ไปวันๆ นั้นแย่ะกว่าหรือไม่ ด้วยเหตุผลอะไร
แค่ไหนถึงเรียกว่ารวย แค่ไหนถึงเรียกว่าพอ
คนจนที่สุขก็มี คนรวยที่ทุกข์ก็มี
ถ้าเอาแต่สบายตั้งแต่เด็ก แก่ขึ้นมาจะลำบาก
งานได้ฝึกความอดทนและให้ประสบการณ์ที่หาในหนังสือหรือห้องเรียนไม่ได้
ในเมื่อคุณทนงานที่ทำไม่ได้ก็ออกมาสิครับ ไม่มีใครบังคับได้
มัวแต่มองโลกในแง่ลบแบบนี้ ก็มีแต่ทุข์
การลงทุนมีความเสียว โปรดใช้วิจารณญาณในการลอก
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
เงิน 9 ล้านเพื่อการเกษียณ ความร่ำรวยหรือความจำเป็น?
โพสต์ที่ 46
[quote="support"]ยังไงผมก็ว่าความต้องการขั้นพื้นฐาน 5 ขั้นของ มาสโลว์ เป็นคำตอบสุดท้ายครับ
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
เงิน 9 ล้านเพื่อการเกษียณ ความร่ำรวยหรือความจำเป็น?
โพสต์ที่ 50
มาดูมุมมองท่านแม่ทัพ สุมาอี้ บ้าง
อิสรภาพทางการเงิน ยิ่งถูกพูดพร่ำเพรื่อเท่าไหร่ ก็ยิ่งดูด้อยค่ามากขึ้นเท่านั้น
0211: อิสรภาพทางการเงิน???
ตุลาคม 19, 2009 at 7:49 pm
ยุคนี้คำว่า อิสรภาพทางการเงิน มาแรงมาก
ผมตั้งข้อสังเกตว่า คำว่า อิสรภาพทางการเงิน โดนใจ Gen Y (คนที่เกิดหลัง 1976) มากที่สุด ส่วนพวก Gen X นั้น เท่าที่ได้สัมผัส ดูจะโดนบ้าง ไม่โดนบ้าง ส่วนถ้าเป็นพวก Babyboomers นั้นแทบจะไม่โดนเลย โลกตอนวัยเด็ก ที่ไม่เหมือนกันส่งผลต่อมุมมองชีวิตของคนแต่ละรุ่น ที่ไม่เหมือนกันด้วย
สำหรับตัวผมเอง คำว่า อิสรภาพทางการเงิน ไม่ค่อยโดนเท่าไร (ผมเกิด 1975) เกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้ ผมชอบวิธีคิดแบบบัฟเฟตมากกว่า ปู่บัฟ บอกว่า คนที่โชคดีที่สุดคือ คนที่ได้ทำงานที่ตัวเองชอบ
ผมรู้จักคนใกล้ชิดคนหนึ่งที่รวยมาก รวยจนไม่ต้องทำงานเลย คุณรู้มั้ยว่า ความทุกข์ของเขาคืออะไร ความทุกข์ของเขาคือ การตื่นขึ้นมาทุกเช้าแล้วต้องคิดให้ออกว่า วันนี้จะทำอะไรดี เพื่อจะได้ไม่ต้องทนเบื่อ มันเป็นสภาวะที่อึดอัดมาก คุณลองไปเดินห้างฯ ทุกวันสิครับ สองสามวันแรก คุณอาจรู้สึกดี แต่ลองไปทุกวัน สักสามเดือนสิครับ คุณจะพบว่า มันน่าเบื่อที่สุด จะให้ไปเที่ยวต่างประเทศแทนหรือครับ เหอๆ คนนี้เขาไปมาหมดแล้ว ประเทศละหลายรอบแล้วด้วย ผมว่าถ้ามีทัวร์ไปดวงจันทร์เมื่อไร เขาคงจะรีบสมัครทันที เพราะเป็นที่ที่เขายังไม่เคยไป มันคงช่วยทำให้เขาหายเบื่อไปได้อีกระยะหนึ่ง
ผมว่างานเป็นด้านหนึ่งของชีวิตมนุษย์ที่ขาดไม่ได้ ผมสังเกตว่าผมเป็นคนที่ตีค่าตัวเองจากงานที่ตัวเองทำ ดังนั้นถ้าให้อยู่เฉยๆ ใช้เงินไปเรื่อยๆ ผมคงรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าแน่ๆ
มนุษย์ใช้เวลาตลอดชีวิตไปกับการทำงานมากที่สุด (ถ้าไม่นับตอนนอน) เราทำงานสัปดาห์ละตั้งห้าวัน หยุดแค่สองวัน คนที่ทำงานที่ไม่ชอบจะมีความสุขแค่ 2 วันเท่านั้น ในขณะที่ คนที่ได้ทำงานที่ชอบจะมีความสุขถึง 5 วัน ส่วนอีก 2 วันคือการพักผ่อนเพื่อสะสมพลังงานเพื่อใช้ทำงานที่ชอบในช่วงห้าวันถัดไป คนที่ตื่นขึ้นมาทุกเช้าด้วยความรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ไปทำงานเป็นคนที่น่าอิจฉาอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้ เป้าหมายชีวิตของผมจึงไม่ใช่การบรรลุอิสรภาพทางการเงิน แต่คือการมีโอกาสได้ทำงานที่ชอบไปตลอดชีวิต ครับ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมไม่ได้หมายความว่า คนเราต้องทำแต่งานที่ชอบอย่างเดียวโดยไม่ต้องสนใจเลยว่างานนั้นจะได้เงินเดือนพอกินหรือไม่ แต่ผมคิดอย่างนี้ครับ ถ้าเรายังหางานที่ตอบสนองเราทั้งเรื่องเงินและความชอบไม่ได้ เราควรอดทนทำงานที่ตอบสนองเราเรื่องเงินได้อย่างเดียวไปก่อน แต่ควรหาโอกาสและวางแผนไปด้วยว่า สักวันหนึ่ง เราจะได้ทำงานที่ตอบสนองเราได้ทั้งเรื่องเงินและความชอบได้อย่างไร ส่วนคนที่ทำงานที่ตัวเองชอบแล้วแต่รับผิดชอบตัวเองเรื่องการเงินไม่ได้ ผมถือว่ายังเป็นคนที่ล้มเหลวอยู่ ในขณะที่คนที่ได้รายได้สูงมากๆ แต่เป็นงานที่ไม่ชอบ ต่อให้ได้รายได้สูงแค่ไหน ผมก็ยังถือว่า ไม่ประสบความสำเร็จครับ
มีหลายครั้งที่มีนักลงทุนที่เจอผมแล้วถามผมว่า ตอนนี้ผมเล่นหุ้นอย่างเดียวหรือเปล่า พอผมตอบว่า อาชีพหลักของผมตอนนี้คือ การทำหนังสือ ครับ ส่วนหุ้นเป็นแค่ hobby ที่สนใจ เพราะผมไม่ชอบฝากธนาคาร นักลงทุนก็มักจะทำหน้าผิดหวังกัน ซึ่งผมก็ไม่รู้จะทำยังไง ผมไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมนักลงทุนหลายคนถึงเข้าใจว่า ผมอยากเป็นเล่นหุ้นเป็นอาชีพ ทั้งที่ผมก็ไม่เคยบอกอย่างนั้นเลย
ทุกวันนี้ ผมโชคดี ที่ผมได้ทำงานที่ผมอยากตื่นขึ้นมาทำทุกวัน และเป็นงานที่สร้างผลตอบแทนได้มากกว่าการไปทำงานประจำด้วย ความท้าทายต่อไปก็คือผมจะสามารถรักษามันให้เป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ได้หรือเปล่า ส่วนความคิดที่จะเกษียณนั้น ไม่มีเลยครับ กลัวเบื่อมาก
แล้วเป้าหมายของคุณล่ะครับ เล่าสู่กันฟังได้
(ปล. คำว่างานที่ชอบนั้น ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องชอบทุกอย่างของงานนั้น ทั้ง 100% นะครับ ผมมองว่า งานอย่างนั้นหายากมากจนถึงหาไม่ได้เลย งานที่เราชอบประมาณ 75% ของเนื้องานทั้งหมด แล้วมีอีกสัก 25% ที่เป็นส่วนที่เราอาจจะไม่ชอบบ้าง ผมก็ถือว่าเป็นงานที่น่าทำแล้วล่ะครับ)
อิสรภาพทางการเงิน ยิ่งถูกพูดพร่ำเพรื่อเท่าไหร่ ก็ยิ่งดูด้อยค่ามากขึ้นเท่านั้น
0211: อิสรภาพทางการเงิน???
ตุลาคม 19, 2009 at 7:49 pm
ยุคนี้คำว่า อิสรภาพทางการเงิน มาแรงมาก
ผมตั้งข้อสังเกตว่า คำว่า อิสรภาพทางการเงิน โดนใจ Gen Y (คนที่เกิดหลัง 1976) มากที่สุด ส่วนพวก Gen X นั้น เท่าที่ได้สัมผัส ดูจะโดนบ้าง ไม่โดนบ้าง ส่วนถ้าเป็นพวก Babyboomers นั้นแทบจะไม่โดนเลย โลกตอนวัยเด็ก ที่ไม่เหมือนกันส่งผลต่อมุมมองชีวิตของคนแต่ละรุ่น ที่ไม่เหมือนกันด้วย
สำหรับตัวผมเอง คำว่า อิสรภาพทางการเงิน ไม่ค่อยโดนเท่าไร (ผมเกิด 1975) เกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้ ผมชอบวิธีคิดแบบบัฟเฟตมากกว่า ปู่บัฟ บอกว่า คนที่โชคดีที่สุดคือ คนที่ได้ทำงานที่ตัวเองชอบ
ผมรู้จักคนใกล้ชิดคนหนึ่งที่รวยมาก รวยจนไม่ต้องทำงานเลย คุณรู้มั้ยว่า ความทุกข์ของเขาคืออะไร ความทุกข์ของเขาคือ การตื่นขึ้นมาทุกเช้าแล้วต้องคิดให้ออกว่า วันนี้จะทำอะไรดี เพื่อจะได้ไม่ต้องทนเบื่อ มันเป็นสภาวะที่อึดอัดมาก คุณลองไปเดินห้างฯ ทุกวันสิครับ สองสามวันแรก คุณอาจรู้สึกดี แต่ลองไปทุกวัน สักสามเดือนสิครับ คุณจะพบว่า มันน่าเบื่อที่สุด จะให้ไปเที่ยวต่างประเทศแทนหรือครับ เหอๆ คนนี้เขาไปมาหมดแล้ว ประเทศละหลายรอบแล้วด้วย ผมว่าถ้ามีทัวร์ไปดวงจันทร์เมื่อไร เขาคงจะรีบสมัครทันที เพราะเป็นที่ที่เขายังไม่เคยไป มันคงช่วยทำให้เขาหายเบื่อไปได้อีกระยะหนึ่ง
ผมว่างานเป็นด้านหนึ่งของชีวิตมนุษย์ที่ขาดไม่ได้ ผมสังเกตว่าผมเป็นคนที่ตีค่าตัวเองจากงานที่ตัวเองทำ ดังนั้นถ้าให้อยู่เฉยๆ ใช้เงินไปเรื่อยๆ ผมคงรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าแน่ๆ
มนุษย์ใช้เวลาตลอดชีวิตไปกับการทำงานมากที่สุด (ถ้าไม่นับตอนนอน) เราทำงานสัปดาห์ละตั้งห้าวัน หยุดแค่สองวัน คนที่ทำงานที่ไม่ชอบจะมีความสุขแค่ 2 วันเท่านั้น ในขณะที่ คนที่ได้ทำงานที่ชอบจะมีความสุขถึง 5 วัน ส่วนอีก 2 วันคือการพักผ่อนเพื่อสะสมพลังงานเพื่อใช้ทำงานที่ชอบในช่วงห้าวันถัดไป คนที่ตื่นขึ้นมาทุกเช้าด้วยความรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ไปทำงานเป็นคนที่น่าอิจฉาอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้ เป้าหมายชีวิตของผมจึงไม่ใช่การบรรลุอิสรภาพทางการเงิน แต่คือการมีโอกาสได้ทำงานที่ชอบไปตลอดชีวิต ครับ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมไม่ได้หมายความว่า คนเราต้องทำแต่งานที่ชอบอย่างเดียวโดยไม่ต้องสนใจเลยว่างานนั้นจะได้เงินเดือนพอกินหรือไม่ แต่ผมคิดอย่างนี้ครับ ถ้าเรายังหางานที่ตอบสนองเราทั้งเรื่องเงินและความชอบไม่ได้ เราควรอดทนทำงานที่ตอบสนองเราเรื่องเงินได้อย่างเดียวไปก่อน แต่ควรหาโอกาสและวางแผนไปด้วยว่า สักวันหนึ่ง เราจะได้ทำงานที่ตอบสนองเราได้ทั้งเรื่องเงินและความชอบได้อย่างไร ส่วนคนที่ทำงานที่ตัวเองชอบแล้วแต่รับผิดชอบตัวเองเรื่องการเงินไม่ได้ ผมถือว่ายังเป็นคนที่ล้มเหลวอยู่ ในขณะที่คนที่ได้รายได้สูงมากๆ แต่เป็นงานที่ไม่ชอบ ต่อให้ได้รายได้สูงแค่ไหน ผมก็ยังถือว่า ไม่ประสบความสำเร็จครับ
มีหลายครั้งที่มีนักลงทุนที่เจอผมแล้วถามผมว่า ตอนนี้ผมเล่นหุ้นอย่างเดียวหรือเปล่า พอผมตอบว่า อาชีพหลักของผมตอนนี้คือ การทำหนังสือ ครับ ส่วนหุ้นเป็นแค่ hobby ที่สนใจ เพราะผมไม่ชอบฝากธนาคาร นักลงทุนก็มักจะทำหน้าผิดหวังกัน ซึ่งผมก็ไม่รู้จะทำยังไง ผมไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมนักลงทุนหลายคนถึงเข้าใจว่า ผมอยากเป็นเล่นหุ้นเป็นอาชีพ ทั้งที่ผมก็ไม่เคยบอกอย่างนั้นเลย
ทุกวันนี้ ผมโชคดี ที่ผมได้ทำงานที่ผมอยากตื่นขึ้นมาทำทุกวัน และเป็นงานที่สร้างผลตอบแทนได้มากกว่าการไปทำงานประจำด้วย ความท้าทายต่อไปก็คือผมจะสามารถรักษามันให้เป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ได้หรือเปล่า ส่วนความคิดที่จะเกษียณนั้น ไม่มีเลยครับ กลัวเบื่อมาก
แล้วเป้าหมายของคุณล่ะครับ เล่าสู่กันฟังได้
(ปล. คำว่างานที่ชอบนั้น ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องชอบทุกอย่างของงานนั้น ทั้ง 100% นะครับ ผมมองว่า งานอย่างนั้นหายากมากจนถึงหาไม่ได้เลย งานที่เราชอบประมาณ 75% ของเนื้องานทั้งหมด แล้วมีอีกสัก 25% ที่เป็นส่วนที่เราอาจจะไม่ชอบบ้าง ผมก็ถือว่าเป็นงานที่น่าทำแล้วล่ะครับ)
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 193
- ผู้ติดตาม: 0
เงิน 9 ล้านเพื่อการเกษียณ ความร่ำรวยหรือความจำเป็น?
โพสต์ที่ 51
อิสระภาพทางการเงินหลายคนก็หลายความหมายครับ แต่คนที่ลงทุนในหุ้นส่วนใหญ่ก็ต้องการความมั่นคงในสิ่งนี้ด้วยกันทั้งนั้น (ผมคาดว่านะ)
ยินดีกับคุณแม่คุณ Voldtrest ด้วยครับนั้นละคือความสุขที่แท้จริง โดยที่ไม่ได้ทำให้คนอื่นและตัวเองเดือนร้อนแต่คุณแม่คุณ Voldtrest ถ้าวันไหนนึกอยากจะไม่ทำงานหรืออยากจะไปทำบุญสักเดือนสองเดือนสามารถทิ้งงานประจำไปได้เลยโดยที่ยังมีรายรับอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า ถ้าสามารถทำได้นั้นคือ * อิสระภาพทางการเงิน *
อิสระภาพทางการเงินจริง ๆ ความหมายของคำนิยามนี้จริง ๆ มีมาหลายพันปีแล้วครับ ก่อนสมัยยุคฟื้นฟูศิลประวิทยา เพียงแต่อาจจะใช่คำพูดหรือ วลี อย่างอื่น โดยส่วนตัวผมอิสระภาพทางการเงินหมายถึง * การที่เราสามารถจะเลือกทำหรือไม่ทำอะไรตามที่เราต้องการก็ได้ * โดยถึงแม้วันไหนเราอยากอยู่เฉย ๆ หรือไปเที่ยวสัก 2 ปี แค่ดอกเบี้ยหรือเงินปันผลอย่างเดียวก็พอเพียงกับรายจ่ายแล้ว คงไม่ได้หมายถึงการปลดเกษียณ หรือไม่ต้องทำงานอะไรทั้งนั้น ผมเห็นด้วยนะครับความ พอ ทำให้เราก้าวไปสู่ขั้นที่ 5 ได้อย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น แต่โดยผลการวิจัยจากต่างประเทศแล้วโดยส่วนใหญ่ ถ้าคนที่ยังไม่ได้รับอิสระภาพทางการเงิน มักจะยังคงต่อสู้อยู่กับความต้องการขั้นที่ 1 และ 2 อย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ จะเหลือเวลาที่จะพัฒนาขั้นที่ 3 -4 น้อยลงและสุดท้ายจะไม่บรรลุ 3- 4 โดยที่ไม่ต้องพูดถึงขั้นที่ 5 เลย บางคนอาจจะบอกว่าความสุขมันอยู่ที่ใจ อยู่ที่นามประธรรม แต่ความต้องการขั้นที่ 1-2 ผมยังมองว่ายังไง ๆ ก็ต้องใช่เงินอยู่ดี.. ส่วนขั้นที่ 3-4 ต้องใช่เวลา ที่นอกเหนือจากการหาเงิน
โดยส่วนตัวผมผมไม่ได้ต้องการเงินทองมากมายมหาศาลแต่ขอให้พอเพียงกับรายจ่ายเพื่อจัดการกับขั้นที่ 1- 2 รวมทั้งคนรอบข้างที่ผมรักให้ได้โดยที่ผมเหนื่อยกับมันน้อยที่สุดและเหลือเวลาพัฒนาขั้นที่ 3-4 ให้มั่งคง ( ขั้นที่ 3-4 นี้รวมหมายถึงการให้ผู้อื่นด้วยนะครับ) ก่อนจบชิวิตลงต้อง สัมผัสขั้นที่ 5 ให้ได้ นั้นคือวงจรชีวิตของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ ในความคิดส่วนตัวของผมครับ :lol: :lol:
ยินดีกับคุณแม่คุณ Voldtrest ด้วยครับนั้นละคือความสุขที่แท้จริง โดยที่ไม่ได้ทำให้คนอื่นและตัวเองเดือนร้อนแต่คุณแม่คุณ Voldtrest ถ้าวันไหนนึกอยากจะไม่ทำงานหรืออยากจะไปทำบุญสักเดือนสองเดือนสามารถทิ้งงานประจำไปได้เลยโดยที่ยังมีรายรับอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า ถ้าสามารถทำได้นั้นคือ * อิสระภาพทางการเงิน *
อิสระภาพทางการเงินจริง ๆ ความหมายของคำนิยามนี้จริง ๆ มีมาหลายพันปีแล้วครับ ก่อนสมัยยุคฟื้นฟูศิลประวิทยา เพียงแต่อาจจะใช่คำพูดหรือ วลี อย่างอื่น โดยส่วนตัวผมอิสระภาพทางการเงินหมายถึง * การที่เราสามารถจะเลือกทำหรือไม่ทำอะไรตามที่เราต้องการก็ได้ * โดยถึงแม้วันไหนเราอยากอยู่เฉย ๆ หรือไปเที่ยวสัก 2 ปี แค่ดอกเบี้ยหรือเงินปันผลอย่างเดียวก็พอเพียงกับรายจ่ายแล้ว คงไม่ได้หมายถึงการปลดเกษียณ หรือไม่ต้องทำงานอะไรทั้งนั้น ผมเห็นด้วยนะครับความ พอ ทำให้เราก้าวไปสู่ขั้นที่ 5 ได้อย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น แต่โดยผลการวิจัยจากต่างประเทศแล้วโดยส่วนใหญ่ ถ้าคนที่ยังไม่ได้รับอิสระภาพทางการเงิน มักจะยังคงต่อสู้อยู่กับความต้องการขั้นที่ 1 และ 2 อย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ จะเหลือเวลาที่จะพัฒนาขั้นที่ 3 -4 น้อยลงและสุดท้ายจะไม่บรรลุ 3- 4 โดยที่ไม่ต้องพูดถึงขั้นที่ 5 เลย บางคนอาจจะบอกว่าความสุขมันอยู่ที่ใจ อยู่ที่นามประธรรม แต่ความต้องการขั้นที่ 1-2 ผมยังมองว่ายังไง ๆ ก็ต้องใช่เงินอยู่ดี.. ส่วนขั้นที่ 3-4 ต้องใช่เวลา ที่นอกเหนือจากการหาเงิน
โดยส่วนตัวผมผมไม่ได้ต้องการเงินทองมากมายมหาศาลแต่ขอให้พอเพียงกับรายจ่ายเพื่อจัดการกับขั้นที่ 1- 2 รวมทั้งคนรอบข้างที่ผมรักให้ได้โดยที่ผมเหนื่อยกับมันน้อยที่สุดและเหลือเวลาพัฒนาขั้นที่ 3-4 ให้มั่งคง ( ขั้นที่ 3-4 นี้รวมหมายถึงการให้ผู้อื่นด้วยนะครับ) ก่อนจบชิวิตลงต้อง สัมผัสขั้นที่ 5 ให้ได้ นั้นคือวงจรชีวิตของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ ในความคิดส่วนตัวของผมครับ :lol: :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
เงิน 9 ล้านเพื่อการเกษียณ ความร่ำรวยหรือความจำเป็น?
โพสต์ที่ 52
ถ้าพูดถึง อิสรภาพทางการเงิน โดยลำพังนั้น รุ่นก่อนหน้าผมไม่มีใครรู้จัก และไม่ได้อยุ่ในความสนใจเลย ทุกคนอยุ่กับปัจจุบัน ทุกสิ่งที่ทำ ถูกขับเคลื่อนด้วยคำว่า "หน้าที่" เป็นแกน ได้รับบทบาทอะไรมา ต้องเล่นให้ดีที่สุด babyboomer ที่ประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่พูดแบบนี้
ฉะนั้นเรื่อง การคิดก้าวสู่อิสรภาพทางการเงิน เพิ่งมาเริ่มต้นทำ ที่ผมเอง
สำหรับการปีน Hierachy of Needs ให้ถึงขั้นที 5 ในรุ่นพ่อแม่นั้น ไม่จำเป็นต้องมีอิสรภาพทางการเงิน เพราะเขามีรัฐบาล+เราช่วยดูแลหลังเกษียณ :lol:
และที่สำคัญคือ ในช่วงเวลาที่เรามีชีวิตอยู่ ก็ไม่มีความแน่นอน ใน Hierachy of Needs ไม่ได้บอกว่า เมื่อเราขึ้นไปขั้น 5 แล้ว เราจะอยู่ตรงนั้นตลอดไป เราอาจตกสวรรค์ก็ได้ เราอาจมีชีวิตยืนยาวพอจนเห็นว่า สิ่งที่ทำนั้นไม่มีอะไรเลย เราอาจพบว่า การหาอิสรภาพทางการเงินไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับ maslow เลยก็ได้ :lol: :lol:
ผมคนนึงล่ะครับ ที่ยอมรับว่า หาอิสรภาพทางการเงินเพื่อความสะใจ เพื่อตอบข้อสงสัยที่มีต่อความสามารถของตนเอง
เหนือสิ่งอื่นใด คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของคนที่จะปีนยอดที่ 5 ได้ กลับเป็น
" ความรู้จักตนเองในทุกแง่ทุกมุม "
คนที่มีพร้อมทุกอย่าง แต่ไม่รู้จักตนเอง จะไม่มีทางปีนยอดที่ 5 ได้ และอาจ
สูญเสียสิ่งที่มีไปตามกาลเวลาได้ :twisted:
ฉะนั้นเรื่อง การคิดก้าวสู่อิสรภาพทางการเงิน เพิ่งมาเริ่มต้นทำ ที่ผมเอง
สำหรับการปีน Hierachy of Needs ให้ถึงขั้นที 5 ในรุ่นพ่อแม่นั้น ไม่จำเป็นต้องมีอิสรภาพทางการเงิน เพราะเขามีรัฐบาล+เราช่วยดูแลหลังเกษียณ :lol:
และที่สำคัญคือ ในช่วงเวลาที่เรามีชีวิตอยู่ ก็ไม่มีความแน่นอน ใน Hierachy of Needs ไม่ได้บอกว่า เมื่อเราขึ้นไปขั้น 5 แล้ว เราจะอยู่ตรงนั้นตลอดไป เราอาจตกสวรรค์ก็ได้ เราอาจมีชีวิตยืนยาวพอจนเห็นว่า สิ่งที่ทำนั้นไม่มีอะไรเลย เราอาจพบว่า การหาอิสรภาพทางการเงินไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับ maslow เลยก็ได้ :lol: :lol:
ผมคนนึงล่ะครับ ที่ยอมรับว่า หาอิสรภาพทางการเงินเพื่อความสะใจ เพื่อตอบข้อสงสัยที่มีต่อความสามารถของตนเอง
เหนือสิ่งอื่นใด คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของคนที่จะปีนยอดที่ 5 ได้ กลับเป็น
" ความรู้จักตนเองในทุกแง่ทุกมุม "
คนที่มีพร้อมทุกอย่าง แต่ไม่รู้จักตนเอง จะไม่มีทางปีนยอดที่ 5 ได้ และอาจ
สูญเสียสิ่งที่มีไปตามกาลเวลาได้ :twisted:
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
เงิน 9 ล้านเพื่อการเกษียณ ความร่ำรวยหรือความจำเป็น?
โพสต์ที่ 53
ทุกวันนี้ ผมดูพอร์ตเงินลงทุนของพ่อแม่ และพอร์ตส่วนตัว
ณ ตอนนี้ ทั้ง 2 พอร์ตนี้ มีเหตุผลที่คอยกำกับการกระทำ ไม่เหมือนกัน
จะเป็นเรื่องที่น่าละอายนัก ถ้าเราบิดเบือนเหตุผล เพียงเพื่อสนองความทะยานอยากของเราเอง โดยอ้างอิสรภาพทางการเงิน
ยิ่งเราบิดเบือนเหตุผลมากเท่าใด เราก็ยิ่งไม่รู้จักตนเอง เราจะตัดสินใจผิดพลาด เมื่อเดินมาถึงทางหลายแพร่ง
ผมพบว่า ตัวเองก็เคยบิดเบือนเหตุผลเหล่านั้นเอง จนพอร์ตแม่ได้รับความเสียหาย เป็นตราบาปคอยย้ำเตือนตัวเอง ก่อนที่จะลงมือทำอย่างเช่นทุกวันนี้
ณ ตอนนี้ ทั้ง 2 พอร์ตนี้ มีเหตุผลที่คอยกำกับการกระทำ ไม่เหมือนกัน
จะเป็นเรื่องที่น่าละอายนัก ถ้าเราบิดเบือนเหตุผล เพียงเพื่อสนองความทะยานอยากของเราเอง โดยอ้างอิสรภาพทางการเงิน
ยิ่งเราบิดเบือนเหตุผลมากเท่าใด เราก็ยิ่งไม่รู้จักตนเอง เราจะตัดสินใจผิดพลาด เมื่อเดินมาถึงทางหลายแพร่ง
ผมพบว่า ตัวเองก็เคยบิดเบือนเหตุผลเหล่านั้นเอง จนพอร์ตแม่ได้รับความเสียหาย เป็นตราบาปคอยย้ำเตือนตัวเอง ก่อนที่จะลงมือทำอย่างเช่นทุกวันนี้
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 2513
- ผู้ติดตาม: 0
เงิน 9 ล้านเพื่อการเกษียณ ความร่ำรวยหรือความจำเป็น?
โพสต์ที่ 54
[quote="nanchan"]3หมื่น นี่เผื่อค่าใช้จ่ายคนรอบข้างรึยัง เช่นภรรยา ลูก กิ๊กคนที่หนึ่ง และสอง และสาม
เสรีภาพก็เหมือนอากาศที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่จะรู้สึกได้ในทันทีหากมีมันอยู่เบาบางหรือขาดหายไป
-จีรนุช เปรมชัยพร
-จีรนุช เปรมชัยพร
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
เงิน 9 ล้านเพื่อการเกษียณ ความร่ำรวยหรือความจำเป็น?
โพสต์ที่ 55
แวะเข้ามาถามคุณนักดูดาว
๙ ล้านที่ว่า ใช้จ่ายในนามศิลปินเดี่ยวหรือดูโอ ครับ
ข้อคิดของคุณสุมาอี้ ยอดเยี่ยมมากๆๆ
ส่วนผมสรุปสั้นๆว่า
"คนที่พึงพอในชีวิตตัวเอง
จะสามารถมีอิสรภาพทางการเงินได้ง่ายที่สุด"
เปรียบเหมือนกับพวกแบ็คแพ็กเกอร์
ซึ่งสามารถแสวงหาความสุขในการท่องเที่ยวได้ง่ายที่สุด
เพราะมีข้อเรียกร้องเรื่อง
"ความสะดวกสบายทางร่างกายต่ำกว่าคนอื่น"
ดังนั้น
นักลงทุนที่เรียกร้องความสะดวกสบายทางร่างกายน้อยๆ
น่าจะเป็นนักลงทุน ที่สามารถแสวงหาอิสรภาพทางการเงินได้ง่ายที่สุด
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
๙ ล้านที่ว่า ใช้จ่ายในนามศิลปินเดี่ยวหรือดูโอ ครับ
ข้อคิดของคุณสุมาอี้ ยอดเยี่ยมมากๆๆ
ส่วนผมสรุปสั้นๆว่า
"คนที่พึงพอในชีวิตตัวเอง
จะสามารถมีอิสรภาพทางการเงินได้ง่ายที่สุด"
เปรียบเหมือนกับพวกแบ็คแพ็กเกอร์
ซึ่งสามารถแสวงหาความสุขในการท่องเที่ยวได้ง่ายที่สุด
เพราะมีข้อเรียกร้องเรื่อง
"ความสะดวกสบายทางร่างกายต่ำกว่าคนอื่น"
ดังนั้น
นักลงทุนที่เรียกร้องความสะดวกสบายทางร่างกายน้อยๆ
น่าจะเป็นนักลงทุน ที่สามารถแสวงหาอิสรภาพทางการเงินได้ง่ายที่สุด
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 332
- ผู้ติดตาม: 0
เงิน 9 ล้านเพื่อการเกษียณ ความร่ำรวยหรือความจำเป็น?
โพสต์ที่ 57
ต้องคิดว่าลงทุนเพิ่มทุกปีนะครับ ให้คิดซะว่าผลตอบแทนเฉลี่ยๆ 8-10% ต่อปี(แล้วแต่ฝืมือแต่ละคนละกัน) ..และอนุญาตคุณเอาไปใช้จ่ายได้แค่ 5% เท่านั้น
อีก 3% เอาไว้ลงทุนเพิ่ม
แบบนี้ชดเชยเงินเฟ้อได้แน่นอน
อีก 3% เอาไว้ลงทุนเพิ่ม
แบบนี้ชดเชยเงินเฟ้อได้แน่นอน
เงินทองหน่ะมายา ข้าวปลาสิของจริง
ข้าวของเครื่องใช้ก็มายา สุขีใจกายถึงดีจริง
ข้าวของเครื่องใช้ก็มายา สุขีใจกายถึงดีจริง
-
- Verified User
- โพสต์: 2513
- ผู้ติดตาม: 0
เงิน 9 ล้านเพื่อการเกษียณ ความร่ำรวยหรือความจำเป็น?
โพสต์ที่ 59
ขอทบทวนก่อนที่จะหลุดประเด็นไปไกลหากว่าเราเกษียณอายุจากการทำงานอายุ 55 ปี และต้องการมีอายุอยู่ถึง 80 ปี นั่นเท่ากับว่าเราต้องใช้เงินเป็นเวลา 25 ปี โดยไม่มีอาชีพ โดยน่าจะมีเงินใช้ประมาณ 30,000 บาทต่อเดือนในระดับมีความสุขบ้าง ได้ใช้จ่ายท่องเที่ยวบ้าง โดยรวมค่ารักษาโรคของคนแก่ด้วย
อันนี้เป็นโจทย์แรก ที่ผมตั้งนะครับ เป็นโจทย์ของคนทำงานที่ต้องเกษียณตามอายุ ไม่ว่าอยากจะทำงานหรือไม่ทำก็ตาม ส่วนบทความของท่านแม่ทัพน่าจะเป็นการเกษียณหรือมีอิสระภาพทางการเงิน ซึ่งเป็นต่างกรรมต่างวาระกันครับ
ประเด็นก็คือท่านที่ทำงานประจำนั้นเตรียมความพร้อมสำหรับการเกษียณตามอายุไว้บ้างหรือเปล่า มาพูดคุยกันครับ ส่วนท่านที่เกษียณตามกำลังทรัพย์ทุกท่านก็แสดงความยินดีไว้ด้วยครับ
เสรีภาพก็เหมือนอากาศที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่จะรู้สึกได้ในทันทีหากมีมันอยู่เบาบางหรือขาดหายไป
-จีรนุช เปรมชัยพร
-จีรนุช เปรมชัยพร
-
- Verified User
- โพสต์: 19
- ผู้ติดตาม: 0
เงิน 9 ล้านเพื่อการเกษียณ ความร่ำรวยหรือความจำเป็น?
โพสต์ที่ 60
ขอออกความคิดนิดนึงนะครับ
ผมว่าแนวคิดการคิดค่าครองชีพทั้งหมดไว้เผื่อเกษียณนั้น บางทีเป็นรูปแบบฝรั่งเกินไปครับ อาจจะใช้กับไทยไม่ได้ด้วยเรื่องหลายประการ...
(อันนี้ทัศนคติส่วนตัวนะครับ)
1.ฝรั่งคนแก่ เขาเลือกอยู่เองเป็นส่วนใหญ่ ส่วนคนไทยเราจะอยู่เป็นครอบครัวมากกว่า
2.ฝรั่งเดินทางไปไหนคนเดียวประจำ(ถึงแม้เป็นคนแก่) แต่คนไทยมักจะเดินทางเป็นกลุ่ม เช่นไปกับลูกหลาน
ข้อแตกต่างเหล่านี้ ก็อาจจะมีผลต่อการคิดค่าใช้จ่ายนะครับ
-- คุณอาจจะไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านเอง หรือค่าดูแลบ้านเอง หรือลูกๆคุณอาจจะออกค่าใช้จ่ายให้คุณในหลายๆอย่าง (อันนี้ก็แล้วแต่ความรวยของลูกหลานครับ)
แต่สมมุติว่าคุณต้องใช้เดือนละ 30000 จริงๆ การคิดแบบตามหนังสือที่คิดแบบ DCF ก็เป็นการคิดที่ใช้กับคนไทยไม่ได้อยู่ดีละครับ
เพราะฝรั่งมองว่า เงินหมดก็หมดกัน (ลูกหลานไม่เกี่ยว)
แต่คนไทยมองว่า เงินเรากับเงินลูกหลานก็ไม่ใช่ว่าไม่เกี่ยวกันเลยซะทีเดียว บางทีก็มองว่าหมุนไปหมุนมาได้... หรือให้กันได้
เพราะฉะนั้นโดยปกติฝรั่งก็คิดไปจน อายุ80หรือตอนเสียชีวิต แล้วก็ให้เงินหมดพอดี.....
ซึ่งการคำนวนบางทีก็ใช้เรตเงินฝากที่ต่ำๆเนื่องจากว่าต้องการ ความคล่องตัวของเงิน แต่โดยคนไทยนั้นอยากจะเหลืออะไรไว้ให้ลูกหลานบ้าง การซื้อบ้านแล้วปล่อยให้เช่า หรือว่า เอาไปซื้อหุ้นปันผล ซึ่งก็อาจจะมีเงินเก็บเป็นเงินสดอยู่ก้อนนึงไว้คราวฉุกเฉิน
... ผมมองว่าการปฏิบัตินี้เหมาะกับคนไทยมากกว่าเสียอีกครับ แล้วถ้าลงทุนดีๆก็ได้ทั้งผลตอบแทนที่สูงพอ และก็ได้ capital gain ด้วยครับ
ผมไม่รู้ว่าคนส่วนใหญ่มองกันยังไงครับ แต่ผมวางแผนให้พ่อแม่ผม ผมก็พูดกับเขาเรื่องพวกนี้ละครับ ผมก็คิดว่าถ้าเงินไม่พอก็เอาจากลูกหลานซิ จะยอมเสียผลประโยชน์ปล่าวๆโดยลงทุนผลตอบแทนต่ำๆทำไม เอาเงินมาลงทุนหาผลกำไรที่พอเหมาะดีกว่าครับ
ปล. ไม่เหมาะสำหรับคนโสดนะครับ
ผมว่าแนวคิดการคิดค่าครองชีพทั้งหมดไว้เผื่อเกษียณนั้น บางทีเป็นรูปแบบฝรั่งเกินไปครับ อาจจะใช้กับไทยไม่ได้ด้วยเรื่องหลายประการ...
(อันนี้ทัศนคติส่วนตัวนะครับ)
1.ฝรั่งคนแก่ เขาเลือกอยู่เองเป็นส่วนใหญ่ ส่วนคนไทยเราจะอยู่เป็นครอบครัวมากกว่า
2.ฝรั่งเดินทางไปไหนคนเดียวประจำ(ถึงแม้เป็นคนแก่) แต่คนไทยมักจะเดินทางเป็นกลุ่ม เช่นไปกับลูกหลาน
ข้อแตกต่างเหล่านี้ ก็อาจจะมีผลต่อการคิดค่าใช้จ่ายนะครับ
-- คุณอาจจะไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านเอง หรือค่าดูแลบ้านเอง หรือลูกๆคุณอาจจะออกค่าใช้จ่ายให้คุณในหลายๆอย่าง (อันนี้ก็แล้วแต่ความรวยของลูกหลานครับ)
แต่สมมุติว่าคุณต้องใช้เดือนละ 30000 จริงๆ การคิดแบบตามหนังสือที่คิดแบบ DCF ก็เป็นการคิดที่ใช้กับคนไทยไม่ได้อยู่ดีละครับ
เพราะฝรั่งมองว่า เงินหมดก็หมดกัน (ลูกหลานไม่เกี่ยว)
แต่คนไทยมองว่า เงินเรากับเงินลูกหลานก็ไม่ใช่ว่าไม่เกี่ยวกันเลยซะทีเดียว บางทีก็มองว่าหมุนไปหมุนมาได้... หรือให้กันได้
เพราะฉะนั้นโดยปกติฝรั่งก็คิดไปจน อายุ80หรือตอนเสียชีวิต แล้วก็ให้เงินหมดพอดี.....
ซึ่งการคำนวนบางทีก็ใช้เรตเงินฝากที่ต่ำๆเนื่องจากว่าต้องการ ความคล่องตัวของเงิน แต่โดยคนไทยนั้นอยากจะเหลืออะไรไว้ให้ลูกหลานบ้าง การซื้อบ้านแล้วปล่อยให้เช่า หรือว่า เอาไปซื้อหุ้นปันผล ซึ่งก็อาจจะมีเงินเก็บเป็นเงินสดอยู่ก้อนนึงไว้คราวฉุกเฉิน
... ผมมองว่าการปฏิบัตินี้เหมาะกับคนไทยมากกว่าเสียอีกครับ แล้วถ้าลงทุนดีๆก็ได้ทั้งผลตอบแทนที่สูงพอ และก็ได้ capital gain ด้วยครับ
ผมไม่รู้ว่าคนส่วนใหญ่มองกันยังไงครับ แต่ผมวางแผนให้พ่อแม่ผม ผมก็พูดกับเขาเรื่องพวกนี้ละครับ ผมก็คิดว่าถ้าเงินไม่พอก็เอาจากลูกหลานซิ จะยอมเสียผลประโยชน์ปล่าวๆโดยลงทุนผลตอบแทนต่ำๆทำไม เอาเงินมาลงทุนหาผลกำไรที่พอเหมาะดีกว่าครับ
ปล. ไม่เหมาะสำหรับคนโสดนะครับ