VI? VS Dividend?
- pornchai_w
- Verified User
- โพสต์: 247
- ผู้ติดตาม: 0
VI? VS Dividend?
โพสต์ที่ 1
ผมเริ่มเล่นหุ้นมา8ปี ช่วงแรกเล่นdaytrade แบบซื้อตามโพย ผ่านมา6ปี SET ขึ้นจาก300กว่าๆมา800กว่าจุดก่อนวิกฤติ Subprime ผมได้กำไรทบต้นไม่น่าจะเกิน3%ต่อปี จนได้อ่านหนังสือของ ดร นิเวศน์ ในแง่ของVI และอ่านหนังสือของ คุณเทพ รุ่งธนาภิรมภ์ ในแง่ของหุ้นห่านทองคำ จากนั้นก็ขวนขวายอ่าน Warrent Buffett, Peter Lynch สรุปออกมาเป็นแนวทางของตัวเองในการเลือกหุ้นเบื้องต้นดังนี้
บริษัทต้องมีกำไร, มีหนี้น้อยและสินทรัพย์น้อยเทียบกับยอดขาย,
PE ไม่เกิน 12, PBV ไม่เกิน 2, ปันผล 5%ขึ้นไป, บริษัทดูน่าเบื่อ, ไม่มีโบรกเกอร์สนใจวิเคราะห์บริษัท
ผมจึงเริ่มซื้อหุ้นตามการวิเคราะห์นี้ตั้งแต่เดือน กันยา 52 เป็นต้นมา ผมคิดว่าน่าจะเข้าข่าย VI บ้างล่ะน่า แต่สิ่งที่พบก็คือ ผมมีหุ้นดังนี้ครับ
BOL 46,500หุ้น ราคา 1.44
CM 25,000หุ้น ราคา 4.42
TAPAC 95,000หุ้น ราคา 1.87
TIPCO 27,200หุ้น ราคา 4.83
TRT 25,000หุ้น ราคา 5.72
UBIS 34,000หุ้น ราคา 2.97
ซึ่งผมลองอ่านดูหุ้นในกระทู้ต่างๆแล้วพบว่าหุ้นที่ผมถืออยู่ไม่มีใครในthaiviพูดถึงเลย จึงไม่แน่ใจว่าหุ้นเหล่านี้เข้าข่ายหุ้น VI หรือไม่ ความตั้งใจของผมคืออยากได้ปันผล 10% บวก capital gain 15%ต่อปี
อยากรบกวนพี่ๆผู้มีจิตใจเมตตาช่วยชี้ช่องทางให้กระจ่างด้วยครับ
ขอบคุณมากครับ
บริษัทต้องมีกำไร, มีหนี้น้อยและสินทรัพย์น้อยเทียบกับยอดขาย,
PE ไม่เกิน 12, PBV ไม่เกิน 2, ปันผล 5%ขึ้นไป, บริษัทดูน่าเบื่อ, ไม่มีโบรกเกอร์สนใจวิเคราะห์บริษัท
ผมจึงเริ่มซื้อหุ้นตามการวิเคราะห์นี้ตั้งแต่เดือน กันยา 52 เป็นต้นมา ผมคิดว่าน่าจะเข้าข่าย VI บ้างล่ะน่า แต่สิ่งที่พบก็คือ ผมมีหุ้นดังนี้ครับ
BOL 46,500หุ้น ราคา 1.44
CM 25,000หุ้น ราคา 4.42
TAPAC 95,000หุ้น ราคา 1.87
TIPCO 27,200หุ้น ราคา 4.83
TRT 25,000หุ้น ราคา 5.72
UBIS 34,000หุ้น ราคา 2.97
ซึ่งผมลองอ่านดูหุ้นในกระทู้ต่างๆแล้วพบว่าหุ้นที่ผมถืออยู่ไม่มีใครในthaiviพูดถึงเลย จึงไม่แน่ใจว่าหุ้นเหล่านี้เข้าข่ายหุ้น VI หรือไม่ ความตั้งใจของผมคืออยากได้ปันผล 10% บวก capital gain 15%ต่อปี
อยากรบกวนพี่ๆผู้มีจิตใจเมตตาช่วยชี้ช่องทางให้กระจ่างด้วยครับ
ขอบคุณมากครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1123
- ผู้ติดตาม: 0
VI? VS Dividend?
โพสต์ที่ 2
แค่อยากบอกแนวทางของผมครับ
ผมไม่ได้กำหนดว่า p/e หรือ p/b ต้องเป็นเท่าไร ผมดูเป็นสิ่งท้ายๆครับ
ผมคิดว่าพื้นฐานทางธุรกิจต้องมาก่อน ต้องมี market share เป็นอันดับหนึ่ง ย่ิ่งเป็นแบรนด์ที่คนติดยิ่งดี ธุรกิจมีการเจริญเติบโตอย่างมั่นคงและต้องมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต ดูลักษณะผู้บริหารด้วย คร่าวๆก็ประมาณนี้ จากนั้นก็ดูงบการเงินครับ
ส่วน p/e หรือ p/b ส่วนตัวไม่ไปยึดติดกับมันมาก เพราะคิดว่าจะทำให้เราไขว้เขวจากธุรกิจที่ดีได้ จึงดูเป็นสิ่งท้ายๆครับ
ผมไม่ได้กำหนดว่า p/e หรือ p/b ต้องเป็นเท่าไร ผมดูเป็นสิ่งท้ายๆครับ
ผมคิดว่าพื้นฐานทางธุรกิจต้องมาก่อน ต้องมี market share เป็นอันดับหนึ่ง ย่ิ่งเป็นแบรนด์ที่คนติดยิ่งดี ธุรกิจมีการเจริญเติบโตอย่างมั่นคงและต้องมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต ดูลักษณะผู้บริหารด้วย คร่าวๆก็ประมาณนี้ จากนั้นก็ดูงบการเงินครับ
ส่วน p/e หรือ p/b ส่วนตัวไม่ไปยึดติดกับมันมาก เพราะคิดว่าจะทำให้เราไขว้เขวจากธุรกิจที่ดีได้ จึงดูเป็นสิ่งท้ายๆครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
VI? VS Dividend?
โพสต์ที่ 4
ผมขอให้กำลังเจ้าของกระทู้นี้
คือคุณ pornchai_w
เนื่องจากที่อ่านมา
คนในตลาดหลักทรัพย์ ร้อยละ 80 เป็นคนที่ขาดทุน
ส่วนอีก 20% คือเสมอตัวและก็คนที่ได้กำไร
คุณถือว่าอยู่ในกลุ่มของ 20% ถือว่าดีแล้วครับ
ในเมื่อมีความสำเร็จในอดีตแล้ว
ความสำเร็จในอนาคตก็ง่ายขึ้นแล้ว
เรื่องมันยากที่ตอนต้นและตอนจบ
คือคุณ pornchai_w
เนื่องจากที่อ่านมา
คนในตลาดหลักทรัพย์ ร้อยละ 80 เป็นคนที่ขาดทุน
ส่วนอีก 20% คือเสมอตัวและก็คนที่ได้กำไร
คุณถือว่าอยู่ในกลุ่มของ 20% ถือว่าดีแล้วครับ
ในเมื่อมีความสำเร็จในอดีตแล้ว
ความสำเร็จในอนาคตก็ง่ายขึ้นแล้ว
เรื่องมันยากที่ตอนต้นและตอนจบ
- tea_for_two
- Verified User
- โพสต์: 216
- ผู้ติดตาม: 0
VI? VS Dividend?
โพสต์ที่ 5
ตะแกรงร่อนคล้ายของผมตอนแรกๆเลย
เคยดู gfm บ้างหรือเปล่าครับน่าจะเข้าข่ายด้วยเหมือนกัน(ไม่มีหุ้นนะครับ เพราะไม่ได้เป็นวีไอ)
เคยดู gfm บ้างหรือเปล่าครับน่าจะเข้าข่ายด้วยเหมือนกัน(ไม่มีหุ้นนะครับ เพราะไม่ได้เป็นวีไอ)
勝利は苦しさを越えて
-
- Verified User
- โพสต์: 1808
- ผู้ติดตาม: 0
VI? VS Dividend?
โพสต์ที่ 6
Dividend VS Value Stock ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
คนจำนวนมากในตลาดหุ้นมักจะเข้าใจผิดคิดว่า Value Stock หรือหุ้นคุณค่าก็คือหุ้นที่มีการจ่ายปันผลที่ดี ยิ่งปันผลสูงเมื่อเทียบกับราคาหุ้นมากเท่าไรหุ้นนั้นก็เป็นหุ้น Value มากขึ้นเท่านั้น บ่อยครั้งโดยเฉพาะในช่วงที่ภาวะตลาดไม่คึกคักโบรกเกอร์และหนังสือพิมพ์ก็จะ นำเสนอหุ้นที่จ่ายปันผลงามที่สุด 10-20 อันดับ และแนะนำว่า เป็นหุ้นที่น่าลงทุน
บางครั้งผมเองก็เคยพูดว่า ปันผลเป็นคำตอบสุดท้าย นั่นคือมีหุ้นที่จ่ายปันผลดีบางตัวน่าสนใจเข้าข่ายเป็น Value Stock และต่อมาก็พิสูจน์ว่าสิ่งนั้นเป็นจริงคือ หุ้นที่จ่ายปันผลดีเหล่านั้นทำกำไรให้กับคนที่ถืออย่างงดงาม
พูดไปพูดมามากๆ เข้าคนจำนวนไม่น้อยก็เลยเข้าใจผิดคิดว่าหุ้น Value ก็คือหุ้นปันผล และคิดว่าผมในฐานะ Value Investor พันธุ์แท้ ชอบลงทุนซื้อหุ้นที่จ่ายปันผลงามและจะถือเก็บเพื่อกินปันผลเป็นหลักโดยไม่ สนใจกำไรจากการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้น
นั่นเป็นความเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง เพราะคำว่า Value Stock นั้น ความหมายก็คือเป็นหุ้นที่มีคุณค่าสูงกว่าราคาหุ้นมาก โดยที่คุณค่านั้นคิดจากความสามารถในการทำกำไรและ / หรือการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทในอนาคตระยะยาว ส่วน หุ้นปันผล ที่พูดกันนั้นมักจะเป็นปันผลที่จ่ายในปีที่แล้วหรือปีที่กำลังถึงเมื่อเทียบ กับราคาหุ้นในปัจจุบัน
ความแตกต่างระหว่างหุ้นปันผลกับ Value Stock นั้นชัดเจนก็คือ ใน Value Stock เราพยายามหาความสามารถในการทำกำไรหรือเงินสดในระยะยาวของบริษัทซึ่งจะต้อง วิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ มากมายตั้งแต่เรื่องของภาวะอุตสาหกรรม การตลาด การผลิต การบริหารงาน และการเงินของบริษัท ความได้เปรียบเสียเปรียบของบริษัทเทียบกับคู่แข่งและอื่นๆ อีกมาก ในขณะที่หุ้นปันผล ดูเฉพาะการจ่ายปันผลปีที่แล้วปีเดียวเทียบกับราคาหุ้นในปัจจุบันซึ่งเป็น ข้อมูลของอดีตที่ไม่ต้องวิเคราะห์อะไรเลย
ในสายตาของ Value Investor แล้ว ปันผลเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งหรือเป็นคุณค่าของหุ้นที่นำมาพิจารณาประกอบ กับองค์ประกอบอื่นอีกหลายๆ อย่าง บางคนคิดว่าผลตอบแทนจากปันผลเป็นสิ่งที่สำคัญมาก บางคนก็เฉยๆ ส่วนผมเองนั้น ผมคิดว่าปันผลเป็นเพียง ผลตอบแทนของการรอคอย นั่นก็คือ เวลาผมซื้อหุ้นที่เป็น Value Stock นั้น ผมซื้อเพราะผมเชื่อว่าเป็นกิจการที่ดีราคาถูก แต่ผมไม่รู้ว่าราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นไปเมื่อไร บางครั้งผมต้อง รอคอย นานมาก ซึ่งถ้าในระหว่างนั้นผมไม่ได้อะไรตอบแทนเลยผมก็จะรู้สึกแย่มากและก็ทำใจได้ ยาก ดังนั้น หุ้นที่มีการจ่ายปันผลน้อยนิดเมื่อเทียบกับราคาหุ้นจึงเป็นหุ้นที่ผมไม่ชอบ เลย
แต่ผมเองก็ไม่ชอบและมักจะไม่สนใจหุ้นที่จ่ายปันผลอย่างงดงามมากเมื่อ เทียบกับราคาหุ้น เช่น จ่ายถึง 10% ของราคาหุ้นที่เรียกกันว่าหุ้นปันผล เหตุผลไม่ใช่เพราะผมรังเกียจปันผลหรือคิดว่านี่เป็นผลตอบแทนที่น้อยเทียบกับ การขึ้นของราคาหุ้น แต่เป็นเพราะว่า หุ้นปันผล เหล่านั้น ส่วนใหญ่มักจะเป็นหุ้นที่จ่ายปันผลมาก ชั่วคราว นั่นก็คือ จ่ายมากเฉพาะปีที่ผ่านมา แต่อนาคตคงไม่สามารถที่จะจ่ายได้เท่าเดิมเนื่องจากกำไรของบริษัทในอนาคตจะลด ลง เพราะฉะนั้น หุ้นปันผล ของวันนี้ อาจจะกลายเป็นหุ้นที่จ่ายปันผลน้อยในวันข้างหน้า
บริษัทบางแห่งทำกำไรปีที่แล้วได้ 8 บาทต่อหุ้น และจ่ายปันผล 8 บาทต่อหุ้นเหมือนกันเพราะไม่มีความจำเป็นต้องเก็บกำไรเอาไว้ลงทุนต่อ ราคาหุ้นของบริษัทที่ซื้อขายในตลาดเท่ากับ 100 บาท ดังนั้นผลตอบแทนปันผลเท่ากับ 8% คนพูดว่านี่คือหุ้นที่จ่ายปันผลดีมากเป็นหุ้นปันผล อีกบริษัทหนึ่งกำไร 10 บาทต่อหุ้น ราคาหุ้นเท่ากับ 100 บาทเท่ากัน แต่จ่ายปันผลเพียง 3 บาท เพราะต้องนำกำไรส่วนที่เหลืออีก 7 บาทต่อหุ้นไปลงทุนขยายงานต่อ คำนวณดูแล้วผลตอบแทนปันผลเพียง 3% แต่มองดูแล้วบริษัทนี้น่าจะดีกว่าบริษัทแรกและมีคุณค่ามากกว่า เพราะบริษัทน่าจะเติบโตมากกว่าเพราะมีการลงทุนขยายกิจการ และราคาหุ้นเมื่อคิดจากค่า PE ก็ถูกกว่า คือเท่ากับ 10 เท่า (100/10) ในขณะที่บริษัทแรกนั้นค่า PE เท่ากับ 12.5 (100/8)
หุ้นที่จ่ายผลตอบแทนปันผลสูงนั้นคงจะไม่เลวร้ายดังตัวอย่างข้าง ต้นเสมอไปแต่หุ้นหลายตัวก็มีลักษณะดังกล่าว ดังนั้นก่อนที่จะซื้อหุ้น ปันผล ควรที่จะศึกษาตัวบริษัทอย่างถี่ถ้วนเสียก่อนว่าปันผลที่ได้รับนั้นจะไม่ลดลง ในอนาคต ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริง การได้ปันผลงามก็ไม่มีประโยชน์ เพราะในวันที่เราได้รับปันผล ราคาหุ้นกลับลดลงมากกว่า ปันผลดีกลายเป็นกับดัก และนี่ไม่ใช่หุ้น Value ที่เราเสาะแสวงหาเลย
"Risk comes from not knowing what you're doing" - Warren Buffet
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
VI? VS Dividend?
โพสต์ที่ 7
หุ้นปันผลมีสิ่งที่เรียกว่าเครดิตภาษีซ่อนอยู่
หากเป็นบุคคลที่จ่ายภาษีในระดับ 0-10%
คือ ไม่เสียภาษีบุคคลธรรมดา หรือ เสียบุคคลธรรมดาที่ระดับ 10%
คนนั้นได้ประโยชน์ในการขอเครดิตภาษีมากที่สุด
ส่วน คนที่เสียภาษีในระดับ 20% เริ่มเสมอตัว (เพราะบริษัทจ่าย 20% ,25% และ 30% เดี๋ยวนี้ไม่มี PTTEP ที่ขอเครดิตภาษีได้ 100% แล้ว)
ไม่ต้องพูดถึงคนที่จ่ายภาษีในระดับที่เกิน 20%
ที่ขอคืนไปก็ไม่มีประโยชน์ สู้หัก ณ ที่จ่ายไปเลย 10% ดีกว่า
ส่วนในหุ้นของ VI
ไม่จำเป็นต้อง จ่ายปันผล เป็นหุ้นที่ทุกคนมองไม่เห็นคุณค่า
จากขาดทุนเป็นกำไร เพราะเจออุปสรรคทางธุรกิจ แต่สามารถผ่านพ้นไปได้
หรือ กำไรแต่ไม่จ่ายปันผล (ในเมืองไทยไม่มี แต่ US ก็คือบริษัทที่บัฟเฟตบริหารอยู่)
หากเป็นบุคคลที่จ่ายภาษีในระดับ 0-10%
คือ ไม่เสียภาษีบุคคลธรรมดา หรือ เสียบุคคลธรรมดาที่ระดับ 10%
คนนั้นได้ประโยชน์ในการขอเครดิตภาษีมากที่สุด
ส่วน คนที่เสียภาษีในระดับ 20% เริ่มเสมอตัว (เพราะบริษัทจ่าย 20% ,25% และ 30% เดี๋ยวนี้ไม่มี PTTEP ที่ขอเครดิตภาษีได้ 100% แล้ว)
ไม่ต้องพูดถึงคนที่จ่ายภาษีในระดับที่เกิน 20%
ที่ขอคืนไปก็ไม่มีประโยชน์ สู้หัก ณ ที่จ่ายไปเลย 10% ดีกว่า
ส่วนในหุ้นของ VI
ไม่จำเป็นต้อง จ่ายปันผล เป็นหุ้นที่ทุกคนมองไม่เห็นคุณค่า
จากขาดทุนเป็นกำไร เพราะเจออุปสรรคทางธุรกิจ แต่สามารถผ่านพ้นไปได้
หรือ กำไรแต่ไม่จ่ายปันผล (ในเมืองไทยไม่มี แต่ US ก็คือบริษัทที่บัฟเฟตบริหารอยู่)
- newbie_12
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2912
- ผู้ติดตาม: 1
VI? VS Dividend?
โพสต์ที่ 9
อย่างไรก็ตาม
ผมให้น้ำหนักกับหุ้นที่กำไรแล้วจ่ายปันผลกลับผู้ถือหุ้นครับ ยังไงก็ดีกว่ากำไรแล้วไม่จ่ายปันผลเลย
เงินอยู่ในกระเป๋าเรา ยังไงก็ save กว่าอยู่ในกระเป๋าคนอื่นครับ
ผมให้น้ำหนักกับหุ้นที่กำไรแล้วจ่ายปันผลกลับผู้ถือหุ้นครับ ยังไงก็ดีกว่ากำไรแล้วไม่จ่ายปันผลเลย
เงินอยู่ในกระเป๋าเรา ยังไงก็ save กว่าอยู่ในกระเป๋าคนอื่นครับ
.
.
อดีตอันรุ่งโรจน์ ไม่ได้การันตีอนาคตจะรุ่งเรือง
----------------------------
.
อดีตอันรุ่งโรจน์ ไม่ได้การันตีอนาคตจะรุ่งเรือง
----------------------------
- pornchai_w
- Verified User
- โพสต์: 247
- ผู้ติดตาม: 0
VI? VS Dividend?
โพสต์ที่ 10
สุขสันต์วันคริสมาสครับ
ขอบคุณมากที่ช่วยให้ความกระจ่าง ระหว่าง Value VS Dividend โดยส่วนตัวผมคงต้องศึกษาและคิดด้วยตัวเองว่าชอบและพอใจแบบใด เท่าที่ติดตามผลงานของ ดร นิเวศน์ และ คุณเทพ ต่างคนก็มีแนวทางที่ใช่สำหรับแต่ละบุคคล (ขึ้นอยู่กับความชอบความถนัดและความพึงพอใจที่จะถือ VI หรือ Dividend Stock)
ถ้าผมจะขอกล่าวโดยสรุปดังนี้ ไม่ทราบว่าจะถูกต้องหรือเปล่าว่า VI เหมาะสำหรับคนที่อยากสร้างความเจริญเติบโตให้กับทรัพย์สินให้ใหญ่และมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ โดยหากได้กระแสเงินสดจากหุ้นก็นำกลับไปลงทุนเพิ่มอีก แต่หากต้องการใช้เงินก็อาจจะต้องขายหุ้นออกไปบางส่วน
ส่วน Dividend Stock จะเหมาะสำหรับคนที่ต้องการกระแสเงินสดเพื่อมาใช้จ่ายโดยที่ไม่ต้องขายหุ้นออกไป และบวกกับเครดิตภาษี(สำหรับตัวผมเองตอนนี้)
ผมขอเรียนถามอีกนิดนะครับว่าหุ้น BOL, CM, TAPAC, TIPCO, TRT, UBIS ตัวใดถือว่าเป็นหุ้น VI ตามที่thaivi ได้ให้คำจำกัดความไว้บ้างครับ ขอบคุณมากครับ
ขอบคุณมากที่ช่วยให้ความกระจ่าง ระหว่าง Value VS Dividend โดยส่วนตัวผมคงต้องศึกษาและคิดด้วยตัวเองว่าชอบและพอใจแบบใด เท่าที่ติดตามผลงานของ ดร นิเวศน์ และ คุณเทพ ต่างคนก็มีแนวทางที่ใช่สำหรับแต่ละบุคคล (ขึ้นอยู่กับความชอบความถนัดและความพึงพอใจที่จะถือ VI หรือ Dividend Stock)
ถ้าผมจะขอกล่าวโดยสรุปดังนี้ ไม่ทราบว่าจะถูกต้องหรือเปล่าว่า VI เหมาะสำหรับคนที่อยากสร้างความเจริญเติบโตให้กับทรัพย์สินให้ใหญ่และมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ โดยหากได้กระแสเงินสดจากหุ้นก็นำกลับไปลงทุนเพิ่มอีก แต่หากต้องการใช้เงินก็อาจจะต้องขายหุ้นออกไปบางส่วน
ส่วน Dividend Stock จะเหมาะสำหรับคนที่ต้องการกระแสเงินสดเพื่อมาใช้จ่ายโดยที่ไม่ต้องขายหุ้นออกไป และบวกกับเครดิตภาษี(สำหรับตัวผมเองตอนนี้)
ผมขอเรียนถามอีกนิดนะครับว่าหุ้น BOL, CM, TAPAC, TIPCO, TRT, UBIS ตัวใดถือว่าเป็นหุ้น VI ตามที่thaivi ได้ให้คำจำกัดความไว้บ้างครับ ขอบคุณมากครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
VI? VS Dividend?
โพสต์ที่ 11
มันอยู่ที่คุณประเมินมันช่วงเวลาไหนล่ะpornchai_w เขียน:
ผมขอเรียนถามอีกนิดนะครับว่าหุ้น BOL, CM, TAPAC, TIPCO, TRT, UBIS ตัวใดถือว่าเป็นหุ้น VI ตามที่thaivi ได้ให้คำจำกัดความไว้บ้างครับ ขอบคุณมากครับ
เพราะทุกอย่างในโลกเป็นไปตามหลักไตรลักษณ์คือ
อนัจจัง ทุกขัง และอนันตา
ดีตอนนี้แต่อนาคตอาจจะไม่ดีแล้วก็ดี
หรือไม่ดีตอนนี้ อนาคตมันดีก็ได้
- SEHJU
- Verified User
- โพสต์: 1238
- ผู้ติดตาม: 0
VI? VS Dividend?
โพสต์ที่ 12
ผมชอบหุ้นที่อีกซักหน่อยคนอื่นๆต้องเห็นว่ามันดี แล้วมันจะแพงแน่ๆในอีกไม่นาน
คือผมเคยเล่นหุ้นถูก แล้วมันก็ถูกตลอดกาลไม่แพงซะที แต่อย่ามาถามผมเป็นหลักการเลยครับ เพราะผม สเต็ปมั่ว.... :lol:
นี่แหละหุ้นวีไอของผม...
คือผมเคยเล่นหุ้นถูก แล้วมันก็ถูกตลอดกาลไม่แพงซะที แต่อย่ามาถามผมเป็นหลักการเลยครับ เพราะผม สเต็ปมั่ว.... :lol:
นี่แหละหุ้นวีไอของผม...