เมื่อเงินเฟ้อกำลังจะกลับมา ถึงเวลาของสินค้าคอมมอนีตี้
- kakathi
- Verified User
- โพสต์: 186
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อเงินเฟ้อกำลังจะกลับมา ถึงเวลาของสินค้าคอมมอนีตี้
โพสต์ที่ 1
เมื่อเงินเฟ้อกำลังจะกลับมา ถึงเวลาของสินค้าคอมมอนีตี
หลังจากที่รัฐบาลหลายๆประเทศพร้อมใจกันออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ก็เป็นนโยบายตัวหนึ่ง ที่เป็นมาตรการสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เมื่อถึงเวลาที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวการลดอัตราดอกเบี้ย ก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีในการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกต่อไป เเละที่สำคัญ เงินเฟ้อกำลังจะกลับมา
สถาบันวิจัยนครหลวงไทย(SCRI) ประมาณการณ์ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยในปี 53 จะอยู่ที่ระดับ 3.5% ซึ่งขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงปลายปี 52 โดยมีปัจจัยสำคัญจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะมีทิศทางการกลับมาฟื้นตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระดับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกให้มีโอกาสที่จะกลับมาปรับตัวเร่งขึ้นอีกครั้ง
โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบที่ประเมินว่าจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 20% จากในปี 52 ซึ่งคาดว่าในปีนี้ราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ระดับ 75 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ในปี 52 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 62 ดอลลาร์/บาร์เรล นอกจากนี้การที่ภาคอุปสงค์ในประเทศของไทยปีนี้มีแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ผลิตสินค้าจะเริ่มปรับราคาขายสินค้าตามต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ระดับราคาสินค้าโดยรวมมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปี 52
แม้รัฐบาลจะต่ออายุมาตรการลดค่าครองชีพออกไปอีก 3 เดือน ซึ่งจะสิ้นสุด 31 มี.ค.53 ก็ตาม แต่ SCRI เชื่อว่าจะกระทบกับภาพรวมอัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยทั้งปีนี้ไม่มากนัก โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยของไทยปีนี้จะขยายตัวในระดับ 3.5% โดยมีจุดสูงสุดอยู่ในช่วงไตรมาส 1/53 ก่อนที่แนวโน้มในช่วงถัดไปจะเริ่มทรงตัวอยู่ในกรอบ 2-4%
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อฟื้นฐานคาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วง 1-1.5% นอกจากนี้ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นในระยะสั้นจะไม่ส่งผลให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ต้องตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายภายในช่วงไตรมาส 1/53 นี้ เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยในหลายส่วนยังไม่ได้ฟื้นตัวอย่างชัดเจนนัก หาก กนง.เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อาจจะส่งผลลบต่อแนวโน้มการกลับมาฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงถัดไปให้มีโอกาสฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด
เชื่อว่าอย่างน้อยภายในช่วงไตรมาส 1ในปีนี้ทางกนง.ยังคงไม่น่าจะตัดสินใจปรับเปลี่ยนระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากในระดับในปัจจุบัน เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในหลายส่วนยังไม่ได้กลับมาฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับในช่วงก่อนเกิดวิกฤติ
อย่างไรก็ตาม SCRI ประเมินราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวมมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงหลังจากดัชนี CRB Index ซึ่งถือเป็นตัวแทนของสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวมปรับเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่นับจากเดือน ต.ค. 2551 จากปัจจัยหนุนตัวเลขเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะ รายงานดัชนีที่เกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรม (PMI) ในประเทศสำคัญ (สหรัฐฯ, อังกฤษ, เยอรมัน,ยูโรโซน, ญี่ปุ่น และ จีน) ต่างยืนยันการฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง สำหรับ ราคาถ่านหิน (ปัจจัยหนุนจากอากาศหนาวในจีน) และ สินค้าเกษตร (ถั่วเหลือง, น้ำตาล) เชื่อว่าจะทรงตัวได้ดีจากผลกระทบภูมิอากาศโลกที่แปรปรวน (น้ำท่วมบราซิล และ ฤดูหนาว ในสหรัฐฯ / จีน)
สำหรับราคาน้ำมันคาดจะทรงตัวระดับสูงเป็นไปตามที่ SCRI คาดการณ์ โดยมีปัจจัยหนุนจากสต็อกน้ำมันดิบที่ลดลงสู่ระดับปกติ ก่อนช่วงวิกฤตการเงิน และ ภาวะอากาศหนาวเย็น สำหรับราคาทองคำคาดจะทรงตัวได้ดี้ขึ้นจากการชะลอการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ทางด้านสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีที่ผ่านมา หดตัวถึง 3.25% ซึ่งคาดว่าในปี 2553 นี้หน้าจะขยายตัวขึ้นประมาณ 3.9% จากเเรงกระตุ้นของนโยบายภาครัฐ เเละการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตามการลงทุนในภาคเอกชนน่าจะยังมีน้อยอยู่ จากกรณีระงับกิจกรรมในโครงการ 65 แห่งจากเดิม 76 แห่งที่ถูกสั่งระงับกิจกรรมในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด สำหรับอัตราเงินเฟ้อนั้นเร่งตัวขึ้นตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเงินเฟ้อทั่วไปที่จะสูงเป็นพิเศษ เนื่องจากฐานราคาสินค้าพลังงานที่ตกต่ำในปีก่อน ซึ่งเงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ในระดับที่ต่ำ
ทั้งนี้ธนาคารเเห่งประเทศไทย (ธปท.)ยังคงเห็นว่าเงินเฟ้อยังไม่ออกนอกเป้าหมายที่กำหนดไว้เเละยังไม่สร้างความกดันมากนักสอดคล้องกับการตัดสินใจของ คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ในอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.25% ตามเดิมในการประชุมครั้งล่าสุดเเละ กนง.จะมีการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 13 มกราคม 2553 นี้ซึ่งคาดว่าน่าจะคงดอกเบี้ยที่ระดับเดิมอยู่
" เรามองว่า กนง. น่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลังนี้ โดยจะปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 0.75-1% เนื่องจากเรามองว่าเงินเฟ้อจะทยอยปรับขึ้น ซึ่งอาจจะสูงกว่าดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้ต้องมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตามเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยตลอดปี 2553 จะอยู่ที่ 2.8%"
ปีทองของCommodity
สานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้ม Commodities หรือ สินค้าโภคภันฑ์ ในปี 2553 นี้คาดว่าจะ ได้รับแรงหนุนจากเงินเฟ้อ และความต้องการจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากการที่ประเทศต่างๆ ใช้มาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสหรัฐฯที่พิมพ์เงินออกมาจำนวนมากเพื่ออุ้มสถาบันการเงิน และใช้ประคับประคองเศรษฐกิจเราคาดว่าจะเป็นตัวจุดชนวนเงินเฟ้อให้ได้เห็นกันในไม่ช้านี้
อย่างไรก็ตามเรามองว่าปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อกลับมาเป็นบวกในเดือน พ.ย. 52 ซึ่งภาพอัตราเงินเฟ้อดังกล่าว และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ทำให้ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ฟื้นตัวดีขึ้นจะเป็นตัวหนุนการปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ทั้ง น้ำมัน และทองคำ ซึ่งราคาน้ำมันเราคาดว่าจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบ75 - 85 US$/บาร์เรล ส่วนราคาทองคำมองว่ามีโอกาสกลับขึ้นไปทดสอบระดับ 1,340 US$/oz โดยคิดว่าไม่น่าจะปรับลงต่ำกว่า 1,000 US$/oz นอกจากนี้ในส่วนของราคาสินค้าเกษตรอาจจะเห็นการขยับขึ้นตามราคาน้ำมันที่สูงขึ้น รวมถึงสภาพอากาศที่แปรปรวนทำให้คาดว่าปริมาณผลผลิตที่ได้จะมีจำนวนลดลง
ขณะเดียวกันเรายังมองทิศทางที่เป็นบวกต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงจากนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำในประเทศพัฒนา และตัวเลขเศรษฐกิจประเทศพัฒนาที่ยังส่งสัญญาณบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งรวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนโดยการอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในปี 2553
เรายังมองว่าในระยะปานกลางทิศทางเงินเฟ้อของประเทศส่วนใหญ่ยังมีทิศทางเพิ่มขึ้นและค่าเงินดอลลาร์ที่ยังมีแนวโน้มอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักจะยังเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนในทองคำซึ่งมองกรอบการเคลื่อนไหวเฉลี่ยทั้งปีที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนที่ 1,000 - 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ส่วนราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมามีกรอบการเคลื่อนไหวที่ชัดเจน และน่าสนใจสำหรับการลงทุนระหว่าง 70 - 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เรายังคงแนะนำลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง 30%ตราสารหนี้ 50% และเงินสด/ตลาดเงิน 20% สำหรับนักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงในระดับปานกลาง และแนะนำลงทุนในทองคำ และน้ำมัน
"เรายังแนะนำ ASP-GOLD และ K-GOLD เนื่องจากมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมด และ P-GOLD ซึ่งเหมาะสำหรับการลงทุนในทองคำในระยะยาวเนื่องจากมีการลงทุน และบริหารความผันผวนของราคาทองคำโดยลงทุนใน Gold Future สำหรับกองทุนน้ำมันเราแนะนำ ASP-OIL จากนโยบายการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดเช่นกัน"
ทางด้าน เจิดพันธุ์ นิธยายน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านการลงทุน บลจ. บีที จำกัด กล่าวว่า การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ หรือ Commodity ยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุนในทองคำและน้ำมันที่คิดว่าจะมีการปรับสูงขึ้นไปอีกประมาณ 5 - 10% ต่อจากนี้ไป และยังคาดว่าน่าจะยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นไปอีกจนถึงต้นปีหน้าด้วยการลงทุนในทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์ถือว่าอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยเฉพาะราคาทองคำที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
"การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นทองคำหรือน้ำมันในช่วงนี้จะยังคงให้ผลตอบแทนที่ดี และคาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงขาขึ้นไปอีกจนถึงต้นปีหน้า ซึ่งถ้านักลงทุนอยากได้ผลตอบแทนที่ดีก็น่าจะเข้ามาลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์เพราะถือว่าเป็นเปีทองของทองคำและน้ำมัน"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 มกราคม 2553 02:29 น.
หลังจากที่รัฐบาลหลายๆประเทศพร้อมใจกันออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ก็เป็นนโยบายตัวหนึ่ง ที่เป็นมาตรการสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เมื่อถึงเวลาที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวการลดอัตราดอกเบี้ย ก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีในการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกต่อไป เเละที่สำคัญ เงินเฟ้อกำลังจะกลับมา
สถาบันวิจัยนครหลวงไทย(SCRI) ประมาณการณ์ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยในปี 53 จะอยู่ที่ระดับ 3.5% ซึ่งขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงปลายปี 52 โดยมีปัจจัยสำคัญจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะมีทิศทางการกลับมาฟื้นตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระดับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกให้มีโอกาสที่จะกลับมาปรับตัวเร่งขึ้นอีกครั้ง
โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบที่ประเมินว่าจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 20% จากในปี 52 ซึ่งคาดว่าในปีนี้ราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ระดับ 75 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ในปี 52 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 62 ดอลลาร์/บาร์เรล นอกจากนี้การที่ภาคอุปสงค์ในประเทศของไทยปีนี้มีแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ผลิตสินค้าจะเริ่มปรับราคาขายสินค้าตามต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ระดับราคาสินค้าโดยรวมมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปี 52
แม้รัฐบาลจะต่ออายุมาตรการลดค่าครองชีพออกไปอีก 3 เดือน ซึ่งจะสิ้นสุด 31 มี.ค.53 ก็ตาม แต่ SCRI เชื่อว่าจะกระทบกับภาพรวมอัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยทั้งปีนี้ไม่มากนัก โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยของไทยปีนี้จะขยายตัวในระดับ 3.5% โดยมีจุดสูงสุดอยู่ในช่วงไตรมาส 1/53 ก่อนที่แนวโน้มในช่วงถัดไปจะเริ่มทรงตัวอยู่ในกรอบ 2-4%
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อฟื้นฐานคาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วง 1-1.5% นอกจากนี้ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นในระยะสั้นจะไม่ส่งผลให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ต้องตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายภายในช่วงไตรมาส 1/53 นี้ เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยในหลายส่วนยังไม่ได้ฟื้นตัวอย่างชัดเจนนัก หาก กนง.เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อาจจะส่งผลลบต่อแนวโน้มการกลับมาฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงถัดไปให้มีโอกาสฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด
เชื่อว่าอย่างน้อยภายในช่วงไตรมาส 1ในปีนี้ทางกนง.ยังคงไม่น่าจะตัดสินใจปรับเปลี่ยนระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากในระดับในปัจจุบัน เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในหลายส่วนยังไม่ได้กลับมาฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับในช่วงก่อนเกิดวิกฤติ
อย่างไรก็ตาม SCRI ประเมินราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวมมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงหลังจากดัชนี CRB Index ซึ่งถือเป็นตัวแทนของสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวมปรับเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่นับจากเดือน ต.ค. 2551 จากปัจจัยหนุนตัวเลขเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะ รายงานดัชนีที่เกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรม (PMI) ในประเทศสำคัญ (สหรัฐฯ, อังกฤษ, เยอรมัน,ยูโรโซน, ญี่ปุ่น และ จีน) ต่างยืนยันการฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง สำหรับ ราคาถ่านหิน (ปัจจัยหนุนจากอากาศหนาวในจีน) และ สินค้าเกษตร (ถั่วเหลือง, น้ำตาล) เชื่อว่าจะทรงตัวได้ดีจากผลกระทบภูมิอากาศโลกที่แปรปรวน (น้ำท่วมบราซิล และ ฤดูหนาว ในสหรัฐฯ / จีน)
สำหรับราคาน้ำมันคาดจะทรงตัวระดับสูงเป็นไปตามที่ SCRI คาดการณ์ โดยมีปัจจัยหนุนจากสต็อกน้ำมันดิบที่ลดลงสู่ระดับปกติ ก่อนช่วงวิกฤตการเงิน และ ภาวะอากาศหนาวเย็น สำหรับราคาทองคำคาดจะทรงตัวได้ดี้ขึ้นจากการชะลอการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ทางด้านสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีที่ผ่านมา หดตัวถึง 3.25% ซึ่งคาดว่าในปี 2553 นี้หน้าจะขยายตัวขึ้นประมาณ 3.9% จากเเรงกระตุ้นของนโยบายภาครัฐ เเละการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตามการลงทุนในภาคเอกชนน่าจะยังมีน้อยอยู่ จากกรณีระงับกิจกรรมในโครงการ 65 แห่งจากเดิม 76 แห่งที่ถูกสั่งระงับกิจกรรมในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด สำหรับอัตราเงินเฟ้อนั้นเร่งตัวขึ้นตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเงินเฟ้อทั่วไปที่จะสูงเป็นพิเศษ เนื่องจากฐานราคาสินค้าพลังงานที่ตกต่ำในปีก่อน ซึ่งเงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ในระดับที่ต่ำ
ทั้งนี้ธนาคารเเห่งประเทศไทย (ธปท.)ยังคงเห็นว่าเงินเฟ้อยังไม่ออกนอกเป้าหมายที่กำหนดไว้เเละยังไม่สร้างความกดันมากนักสอดคล้องกับการตัดสินใจของ คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ในอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.25% ตามเดิมในการประชุมครั้งล่าสุดเเละ กนง.จะมีการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 13 มกราคม 2553 นี้ซึ่งคาดว่าน่าจะคงดอกเบี้ยที่ระดับเดิมอยู่
" เรามองว่า กนง. น่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลังนี้ โดยจะปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 0.75-1% เนื่องจากเรามองว่าเงินเฟ้อจะทยอยปรับขึ้น ซึ่งอาจจะสูงกว่าดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้ต้องมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตามเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยตลอดปี 2553 จะอยู่ที่ 2.8%"
ปีทองของCommodity
สานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้ม Commodities หรือ สินค้าโภคภันฑ์ ในปี 2553 นี้คาดว่าจะ ได้รับแรงหนุนจากเงินเฟ้อ และความต้องการจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากการที่ประเทศต่างๆ ใช้มาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสหรัฐฯที่พิมพ์เงินออกมาจำนวนมากเพื่ออุ้มสถาบันการเงิน และใช้ประคับประคองเศรษฐกิจเราคาดว่าจะเป็นตัวจุดชนวนเงินเฟ้อให้ได้เห็นกันในไม่ช้านี้
อย่างไรก็ตามเรามองว่าปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อกลับมาเป็นบวกในเดือน พ.ย. 52 ซึ่งภาพอัตราเงินเฟ้อดังกล่าว และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ทำให้ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ฟื้นตัวดีขึ้นจะเป็นตัวหนุนการปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ทั้ง น้ำมัน และทองคำ ซึ่งราคาน้ำมันเราคาดว่าจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบ75 - 85 US$/บาร์เรล ส่วนราคาทองคำมองว่ามีโอกาสกลับขึ้นไปทดสอบระดับ 1,340 US$/oz โดยคิดว่าไม่น่าจะปรับลงต่ำกว่า 1,000 US$/oz นอกจากนี้ในส่วนของราคาสินค้าเกษตรอาจจะเห็นการขยับขึ้นตามราคาน้ำมันที่สูงขึ้น รวมถึงสภาพอากาศที่แปรปรวนทำให้คาดว่าปริมาณผลผลิตที่ได้จะมีจำนวนลดลง
ขณะเดียวกันเรายังมองทิศทางที่เป็นบวกต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงจากนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำในประเทศพัฒนา และตัวเลขเศรษฐกิจประเทศพัฒนาที่ยังส่งสัญญาณบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งรวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนโดยการอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในปี 2553
เรายังมองว่าในระยะปานกลางทิศทางเงินเฟ้อของประเทศส่วนใหญ่ยังมีทิศทางเพิ่มขึ้นและค่าเงินดอลลาร์ที่ยังมีแนวโน้มอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักจะยังเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนในทองคำซึ่งมองกรอบการเคลื่อนไหวเฉลี่ยทั้งปีที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนที่ 1,000 - 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ส่วนราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมามีกรอบการเคลื่อนไหวที่ชัดเจน และน่าสนใจสำหรับการลงทุนระหว่าง 70 - 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เรายังคงแนะนำลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง 30%ตราสารหนี้ 50% และเงินสด/ตลาดเงิน 20% สำหรับนักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงในระดับปานกลาง และแนะนำลงทุนในทองคำ และน้ำมัน
"เรายังแนะนำ ASP-GOLD และ K-GOLD เนื่องจากมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมด และ P-GOLD ซึ่งเหมาะสำหรับการลงทุนในทองคำในระยะยาวเนื่องจากมีการลงทุน และบริหารความผันผวนของราคาทองคำโดยลงทุนใน Gold Future สำหรับกองทุนน้ำมันเราแนะนำ ASP-OIL จากนโยบายการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดเช่นกัน"
ทางด้าน เจิดพันธุ์ นิธยายน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านการลงทุน บลจ. บีที จำกัด กล่าวว่า การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ หรือ Commodity ยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุนในทองคำและน้ำมันที่คิดว่าจะมีการปรับสูงขึ้นไปอีกประมาณ 5 - 10% ต่อจากนี้ไป และยังคาดว่าน่าจะยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นไปอีกจนถึงต้นปีหน้าด้วยการลงทุนในทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์ถือว่าอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยเฉพาะราคาทองคำที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
"การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นทองคำหรือน้ำมันในช่วงนี้จะยังคงให้ผลตอบแทนที่ดี และคาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงขาขึ้นไปอีกจนถึงต้นปีหน้า ซึ่งถ้านักลงทุนอยากได้ผลตอบแทนที่ดีก็น่าจะเข้ามาลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์เพราะถือว่าเป็นเปีทองของทองคำและน้ำมัน"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 มกราคม 2553 02:29 น.
-
- Verified User
- โพสต์: 680
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อเงินเฟ้อกำลังจะกลับมา ถึงเวลาของสินค้าคอมมอนีตี้
โพสต์ที่ 2
เพ้อเจ้อแล้วมั้งครับ
ศก.จีน เวียดนาม และ ยุโรป ฟองสบู่กำลังจะแตก
ทั่วโลก เตรียมพร้อมรับมือ ศก.ถดถอยอีกครั้ง....
จับแน่นๆ นะครับ
ศก.จีน เวียดนาม และ ยุโรป ฟองสบู่กำลังจะแตก
ทั่วโลก เตรียมพร้อมรับมือ ศก.ถดถอยอีกครั้ง....
จับแน่นๆ นะครับ
เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก... กรอบแนวคิดใหม่ใช้หลักยืมพลัง และ รักษาสมดุลเพื่อช่วยฟื้น ศก.ไทย และ ศก.โลก
หุ้นเงา... หุ้นอยู่ในเงาทำให้คนมองเห็นไม่ชัด ราคาหุ้นพร้อมจะปรับขึ้น 2 เด้งจาก EPS ที่สูงขึ้น และ การปรับค่า P/E ให้สูงขึ้นในอนาคต
หุ้นเงา... หุ้นอยู่ในเงาทำให้คนมองเห็นไม่ชัด ราคาหุ้นพร้อมจะปรับขึ้น 2 เด้งจาก EPS ที่สูงขึ้น และ การปรับค่า P/E ให้สูงขึ้นในอนาคต
- green/30/10/08
- Verified User
- โพสต์: 217
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อเงินเฟ้อกำลังจะกลับมา ถึงเวลาของสินค้าคอมมอนีตี้
โพสต์ที่ 3
[quote="อะไรดีละ"]เพ้อเจ้อแล้วมั้งครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 680
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อเงินเฟ้อกำลังจะกลับมา ถึงเวลาของสินค้าคอมมอนีตี้
โพสต์ที่ 4
[quote="green/30/10/08"][quote="อะไรดีละ"]เพ้อเจ้อแล้วมั้งครับ
เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก... กรอบแนวคิดใหม่ใช้หลักยืมพลัง และ รักษาสมดุลเพื่อช่วยฟื้น ศก.ไทย และ ศก.โลก
หุ้นเงา... หุ้นอยู่ในเงาทำให้คนมองเห็นไม่ชัด ราคาหุ้นพร้อมจะปรับขึ้น 2 เด้งจาก EPS ที่สูงขึ้น และ การปรับค่า P/E ให้สูงขึ้นในอนาคต
หุ้นเงา... หุ้นอยู่ในเงาทำให้คนมองเห็นไม่ชัด ราคาหุ้นพร้อมจะปรับขึ้น 2 เด้งจาก EPS ที่สูงขึ้น และ การปรับค่า P/E ให้สูงขึ้นในอนาคต
-
- Verified User
- โพสต์: 680
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อเงินเฟ้อกำลังจะกลับมา ถึงเวลาของสินค้าคอมมอนีตี้
โพสต์ที่ 5
FX คือต้นตอ ของปัญหาทั้งมวล ในจีน เวียดนาม และ ยูโรโซน
ตั้งชื่อไว้เรียบร้อย
วิกฤติเกี๋ยวซ๋า ในจีน
วิกฤติแหนมเนือง (ลอกเขามา) ในเวียดนาม
และ วิกฤติยูโรโซน
ทั้ง 3 กรณี เกิดจาก FX ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดการเสียสมดุลของการได้ดุล และ ขาดดุลจนเกินไป
กระแสเงินทุนที่ไหลเข้าก็ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดฟองสบู่
สำหรับ ยูโรโซน จะโดนเล่นงานด้วยการลดเครดิต ต่อเนื่องในประเทศ PIIGS (โปรตุเกส ไอร์แลนด์ อิตาลี กรีซ และ สเปน) ครับ กระทบค่าเงินยูโร และ อดบ.ในประเทศอ่อนแอพวกนี้ ทำให้ราคาสินทรัพย์ ทั้งหุ้น บอนด์ และ อสังหาฯ ดิ่งลงได้อีกไม่น้อย
สำหรับ "วิกฤติเกี๋ยวซ่า" ของจีน ดันไป peg กับดอลล์นานเกินไป ทำให้ค่าเงินอ่อนเกินที่ควรจะเป็น จึงได้ดุลการค้ามหาศาล พร้อมๆ กับ เงินทุนไหลเข้าเพียบ ดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินไม่หมด แถมยังไปกระตุ้นด้วยนโยบายการคลังเข้าไปอีก งานนี้หนักเลย....ต้องรีบเจาะฟองสบู่ ด้วยการชะลอสินเชื่อ และ นั่นก็คือ การเจาะฟองสบู่นั่นเอง.... FED ก็ทำแบบนี้มาแล้ว สุดท้าย "แตก" ครับ
สำหรับ "วิกฤติแหนมเนือง" ของเวียนดนามนั้น อันนี้ไม่ยาก ซ้ำรอย "ต้มยำกุ้ง" ทุกประการ เร่งเครื่องเร็วเกินไป ขณะที่ ดบ.สูงมาก พร้อมๆ กับ peg กับดอลล์ทั้งๆที่ตามไปไม่ไหว เมื่อยูโรอ่อนลง และ ดอลล์แข็งขึ้น ศก.ของเวียดนามจะพินาศครับ เพราะว่า ขาดดุลการค้าจะวิ่งเป็นจรวด เนื่องจากค่าเงินจะแข็งค่าตามดอลล์
ดังนั้น การที่คิดว่า commodity จะวิ่งปีนี้ ผมว่าคิดใหม่เถอะ
เพราะ กระแสเงินจะวิ่งกลับไปที่ ดอลลาร์ใหม่อีกครั้ง เพราะ ยุโรป ญี่ปุ่น มีปัญหาหนักกว่าครับ
และ คนต้องการความปลอดภัย.... เมื่อดอลล์แข็งค่า commodity ก็มีแนวโน้มจะอ่อนค่าลงได้ต่อเนื่องครับ
ตั้งชื่อไว้เรียบร้อย
วิกฤติเกี๋ยวซ๋า ในจีน
วิกฤติแหนมเนือง (ลอกเขามา) ในเวียดนาม
และ วิกฤติยูโรโซน
ทั้ง 3 กรณี เกิดจาก FX ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดการเสียสมดุลของการได้ดุล และ ขาดดุลจนเกินไป
กระแสเงินทุนที่ไหลเข้าก็ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดฟองสบู่
สำหรับ ยูโรโซน จะโดนเล่นงานด้วยการลดเครดิต ต่อเนื่องในประเทศ PIIGS (โปรตุเกส ไอร์แลนด์ อิตาลี กรีซ และ สเปน) ครับ กระทบค่าเงินยูโร และ อดบ.ในประเทศอ่อนแอพวกนี้ ทำให้ราคาสินทรัพย์ ทั้งหุ้น บอนด์ และ อสังหาฯ ดิ่งลงได้อีกไม่น้อย
สำหรับ "วิกฤติเกี๋ยวซ่า" ของจีน ดันไป peg กับดอลล์นานเกินไป ทำให้ค่าเงินอ่อนเกินที่ควรจะเป็น จึงได้ดุลการค้ามหาศาล พร้อมๆ กับ เงินทุนไหลเข้าเพียบ ดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินไม่หมด แถมยังไปกระตุ้นด้วยนโยบายการคลังเข้าไปอีก งานนี้หนักเลย....ต้องรีบเจาะฟองสบู่ ด้วยการชะลอสินเชื่อ และ นั่นก็คือ การเจาะฟองสบู่นั่นเอง.... FED ก็ทำแบบนี้มาแล้ว สุดท้าย "แตก" ครับ
สำหรับ "วิกฤติแหนมเนือง" ของเวียนดนามนั้น อันนี้ไม่ยาก ซ้ำรอย "ต้มยำกุ้ง" ทุกประการ เร่งเครื่องเร็วเกินไป ขณะที่ ดบ.สูงมาก พร้อมๆ กับ peg กับดอลล์ทั้งๆที่ตามไปไม่ไหว เมื่อยูโรอ่อนลง และ ดอลล์แข็งขึ้น ศก.ของเวียดนามจะพินาศครับ เพราะว่า ขาดดุลการค้าจะวิ่งเป็นจรวด เนื่องจากค่าเงินจะแข็งค่าตามดอลล์
ดังนั้น การที่คิดว่า commodity จะวิ่งปีนี้ ผมว่าคิดใหม่เถอะ
เพราะ กระแสเงินจะวิ่งกลับไปที่ ดอลลาร์ใหม่อีกครั้ง เพราะ ยุโรป ญี่ปุ่น มีปัญหาหนักกว่าครับ
และ คนต้องการความปลอดภัย.... เมื่อดอลล์แข็งค่า commodity ก็มีแนวโน้มจะอ่อนค่าลงได้ต่อเนื่องครับ
เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก... กรอบแนวคิดใหม่ใช้หลักยืมพลัง และ รักษาสมดุลเพื่อช่วยฟื้น ศก.ไทย และ ศก.โลก
หุ้นเงา... หุ้นอยู่ในเงาทำให้คนมองเห็นไม่ชัด ราคาหุ้นพร้อมจะปรับขึ้น 2 เด้งจาก EPS ที่สูงขึ้น และ การปรับค่า P/E ให้สูงขึ้นในอนาคต
หุ้นเงา... หุ้นอยู่ในเงาทำให้คนมองเห็นไม่ชัด ราคาหุ้นพร้อมจะปรับขึ้น 2 เด้งจาก EPS ที่สูงขึ้น และ การปรับค่า P/E ให้สูงขึ้นในอนาคต
- green/30/10/08
- Verified User
- โพสต์: 217
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อเงินเฟ้อกำลังจะกลับมา ถึงเวลาของสินค้าคอมมอนีตี้
โพสต์ที่ 6
[quote="อะไรดีละ"][quote="green/30/10/08"][quote="อะไรดีละ"]เพ้อเจ้อแล้วมั้งครับ
- Outliers
- Verified User
- โพสต์: 527
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อเงินเฟ้อกำลังจะกลับมา ถึงเวลาของสินค้าคอมมอนีตี้
โพสต์ที่ 8
ผมเห็นด้วยนะว่าเศรษฐกิจ เวียดนาม และ ยุโรป (ริมๆ) ฟองสบู่กำลังจะแตก
แต่ในจีนนี่ไม่ค่อยแน่ใจ คิดว่าตอนนี้น่าจะกำลังเกิดฟองสบู่อยู่ แต่ไม่น่าจะแตกใน 1-2 ปีนี้นะครับ
แต่ในจีนนี่ไม่ค่อยแน่ใจ คิดว่าตอนนี้น่าจะกำลังเกิดฟองสบู่อยู่ แต่ไม่น่าจะแตกใน 1-2 ปีนี้นะครับ
The Miracle of 10,000 hrs
-
- Verified User
- โพสต์: 680
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อเงินเฟ้อกำลังจะกลับมา ถึงเวลาของสินค้าคอมมอนีตี้
โพสต์ที่ 9
[quote="green/30/10/08"][quote="อะไรดีละ"][quote="green/30/10/08"][quote="อะไรดีละ"]เพ้อเจ้อแล้วมั้งครับ
เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก... กรอบแนวคิดใหม่ใช้หลักยืมพลัง และ รักษาสมดุลเพื่อช่วยฟื้น ศก.ไทย และ ศก.โลก
หุ้นเงา... หุ้นอยู่ในเงาทำให้คนมองเห็นไม่ชัด ราคาหุ้นพร้อมจะปรับขึ้น 2 เด้งจาก EPS ที่สูงขึ้น และ การปรับค่า P/E ให้สูงขึ้นในอนาคต
หุ้นเงา... หุ้นอยู่ในเงาทำให้คนมองเห็นไม่ชัด ราคาหุ้นพร้อมจะปรับขึ้น 2 เด้งจาก EPS ที่สูงขึ้น และ การปรับค่า P/E ให้สูงขึ้นในอนาคต
-
- Verified User
- โพสต์: 942
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อเงินเฟ้อกำลังจะกลับมา ถึงเวลาของสินค้าคอมมอนีตี้
โพสต์ที่ 10
เข้ามาศึกษาอย่างเดียวครับ ไม่มีความเห็น เนื่องจากไม่มีความรู้เลยครับ
แต่เคยอ่านในนิตยสารต่าง ๆ ก็ระบุคล้ายกันว่า ตอนนี้ที่จีนและฮ่องกง กำลังเกิดภาวะฟองสบู่ในด้านอสังหาอยู่นะครับ
แต่จากหัวข้อกะทู้ ผมว่านักวิเคราะห์สมัยนี้ไม่ว่าเงินเฟ้อจะเป็นอย่างไร ก็แนะนำให้ลงทุนใน Commodity อยู่แล้วนิครับ
อย่างช่วงปีที่แล้ว เงินเฟ้อติดลบ ก็ยังให้ซื้อกลุ่มน้ำมันเลย :D
แต่เคยอ่านในนิตยสารต่าง ๆ ก็ระบุคล้ายกันว่า ตอนนี้ที่จีนและฮ่องกง กำลังเกิดภาวะฟองสบู่ในด้านอสังหาอยู่นะครับ
แต่จากหัวข้อกะทู้ ผมว่านักวิเคราะห์สมัยนี้ไม่ว่าเงินเฟ้อจะเป็นอย่างไร ก็แนะนำให้ลงทุนใน Commodity อยู่แล้วนิครับ
อย่างช่วงปีที่แล้ว เงินเฟ้อติดลบ ก็ยังให้ซื้อกลุ่มน้ำมันเลย :D
- killyz
- Verified User
- โพสต์: 409
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อเงินเฟ้อกำลังจะกลับมา ถึงเวลาของสินค้าคอมมอนีตี้
โพสต์ที่ 11
ฟังแล้วสนุกดีครับ เหมือนฟังนักวิเคราะห์จากหลาย บลจ. ที่บอกว่า ปี51 เผาหลอก ปี 52 เผาจริง
แต่ความจริงปรากฏว่า ตลาดหุ้นวิ่งเป็นกระทิง นักลงทุนได้ผลตอบแทนหลายเท่าตัว
บางคนที่ขาดทุนปี 51 มาได้จากปี 52 คืนแถมกำไรเพียบ
ตลาดอสังหาที่ว่าจะซบเซา ก็แข่งกันสร้าง
เหมือนผมกำลังอ่าน คอลัมน์โชคชะตาและทำนายราศี
แต่ความจริงปรากฏว่า ตลาดหุ้นวิ่งเป็นกระทิง นักลงทุนได้ผลตอบแทนหลายเท่าตัว
บางคนที่ขาดทุนปี 51 มาได้จากปี 52 คืนแถมกำไรเพียบ
ตลาดอสังหาที่ว่าจะซบเซา ก็แข่งกันสร้าง
เหมือนผมกำลังอ่าน คอลัมน์โชคชะตาและทำนายราศี
การลงทุนมีความเสียว โปรดใช้วิจารณญาณในการลอก
-
- Verified User
- โพสต์: 680
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อเงินเฟ้อกำลังจะกลับมา ถึงเวลาของสินค้าคอมมอนีตี้
โพสต์ที่ 12
นี่ไม่ใช่คอลัมน์ทายดวงแน่ๆ.....killyz เขียน:ฟังแล้วสนุกดีครับ เหมือนฟังนักวิเคราะห์จากหลาย บลจ. ที่บอกว่า ปี51 เผาหลอก ปี 52 เผาจริง
แต่ความจริงปรากฏว่า ตลาดหุ้นวิ่งเป็นกระทิง นักลงทุนได้ผลตอบแทนหลายเท่าตัว
บางคนที่ขาดทุนปี 51 มาได้จากปี 52 คืนแถมกำไรเพียบ
ตลาดอสังหาที่ว่าจะซบเซา ก็แข่งกันสร้าง
เหมือนผมกำลังอ่าน คอลัมน์โชคชะตาและทำนายราศี
มันมี Super Leading และ Leading Indicators อยู่แล้ว
ดัชนีตลาดหุ้น เป็น Leading Ind. ครับ.... สภาพ ศก.จะตามมาอีก 3 เดือน
ส่วน Super Leading ให้ดูที่ FX ของเงินสกุลต่างๆ และ ราคา commodity รวมไปถึง ดัชนี NASDAQ ซึ่งมีแนวโน้มชัดเจนชี้ประเด็นว่า ตลาดหุ้นได้ peak ไปแล้ว ณ วันที่ 11/01/10 ตัวเลขสวยมากๆ นะ "110110" ครับ
ดูตลาดหุ้นจีนวันนี้สิครับ....ติดลบไปแล้ว 3% นั่นหมายถึงอะไร
มันอาจหมายถึง อนาคต ศก.จะร้อนแรงเกินไป และ ฟองสบู่แตกไงครับ
คาดการณ์อนาคต ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปอะไรสำหรับ นักเศรษฐศาสตร์ และ นักลงทุนนะครับ
เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก... กรอบแนวคิดใหม่ใช้หลักยืมพลัง และ รักษาสมดุลเพื่อช่วยฟื้น ศก.ไทย และ ศก.โลก
หุ้นเงา... หุ้นอยู่ในเงาทำให้คนมองเห็นไม่ชัด ราคาหุ้นพร้อมจะปรับขึ้น 2 เด้งจาก EPS ที่สูงขึ้น และ การปรับค่า P/E ให้สูงขึ้นในอนาคต
หุ้นเงา... หุ้นอยู่ในเงาทำให้คนมองเห็นไม่ชัด ราคาหุ้นพร้อมจะปรับขึ้น 2 เด้งจาก EPS ที่สูงขึ้น และ การปรับค่า P/E ให้สูงขึ้นในอนาคต
- tea_for_two
- Verified User
- โพสต์: 216
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อเงินเฟ้อกำลังจะกลับมา ถึงเวลาของสินค้าคอมมอนีตี้
โพสต์ที่ 13
ทำไมถึงคิดว่าพีคไปแล้วล่ะครับ ขอความรู้ด้วยครับดัชนี NASDAQ ซึ่งมีแนวโน้มชัดเจนชี้ประเด็นว่า ตลาดหุ้นได้ peak ไปแล้ว ณ วันที่ 11/01/10 ตัวเลขสวยมากๆ นะ "110110" ครับ
勝利は苦しさを越えて
-
- Verified User
- โพสต์: 680
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อเงินเฟ้อกำลังจะกลับมา ถึงเวลาของสินค้าคอมมอนีตี้
โพสต์ที่ 14
[quote="tea_for_two"][quote] ดัชนี NASDAQ
เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก... กรอบแนวคิดใหม่ใช้หลักยืมพลัง และ รักษาสมดุลเพื่อช่วยฟื้น ศก.ไทย และ ศก.โลก
หุ้นเงา... หุ้นอยู่ในเงาทำให้คนมองเห็นไม่ชัด ราคาหุ้นพร้อมจะปรับขึ้น 2 เด้งจาก EPS ที่สูงขึ้น และ การปรับค่า P/E ให้สูงขึ้นในอนาคต
หุ้นเงา... หุ้นอยู่ในเงาทำให้คนมองเห็นไม่ชัด ราคาหุ้นพร้อมจะปรับขึ้น 2 เด้งจาก EPS ที่สูงขึ้น และ การปรับค่า P/E ให้สูงขึ้นในอนาคต
-
- Verified User
- โพสต์: 680
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อเงินเฟ้อกำลังจะกลับมา ถึงเวลาของสินค้าคอมมอนีตี้
โพสต์ที่ 16
จีนน่าจะเริ่มมีปัญหาคาดว่า ตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไปครับ...Belffet เขียน:คุณ อะไรดีล่ะ คิดว่าจีนจะเจอวิกฤติเมื่อไหร่ครับ?
แล้วอินเดียจะโดนด้วยมั๊ยครับ? จะหนักเท่า Hamburger รึเปล่า? เพราะอะไรครับ?
สำหรับอินเดีย ผมไม่ได้ติดตามเท่าไหร่ .... ช่วยเสริมให้หน่อยสิครับ ว่ามีปัญหาที่จุดไหน อาจมีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน
หนักเท่า แฮมเบอร์เกอร์ ไหม คงไม่มั้ง ... แต่ก็น่าจะเทียบเคียงกันได้
เพราะ ขนาด ศก.ของยูโรโซน นี่ก็ 12 ล้านล้านเหรียญ รวมกับ จีนอีก 5 ล้านล้านเหรียญ รวมๆ แล้ว 17 ล้านล้านเหรียญ ก็ใหญ่กว่าอเมริกาที่ 14 ล้านล้านเหรียญ นะครับ
เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก... กรอบแนวคิดใหม่ใช้หลักยืมพลัง และ รักษาสมดุลเพื่อช่วยฟื้น ศก.ไทย และ ศก.โลก
หุ้นเงา... หุ้นอยู่ในเงาทำให้คนมองเห็นไม่ชัด ราคาหุ้นพร้อมจะปรับขึ้น 2 เด้งจาก EPS ที่สูงขึ้น และ การปรับค่า P/E ให้สูงขึ้นในอนาคต
หุ้นเงา... หุ้นอยู่ในเงาทำให้คนมองเห็นไม่ชัด ราคาหุ้นพร้อมจะปรับขึ้น 2 เด้งจาก EPS ที่สูงขึ้น และ การปรับค่า P/E ให้สูงขึ้นในอนาคต
- green-orange
- Verified User
- โพสต์: 896
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อเงินเฟ้อกำลังจะกลับมา ถึงเวลาของสินค้าคอมมอนีตี้
โพสต์ที่ 18
วันก่อนผมอ่านหนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ ทราบว่าอินเดียมีหนี้สาธารณะมากกว่าจีน ซึ่งจีนมีเพียง 20% เองครับ ส่วนอินเดียวจำได้ว่ามากกว่า 70% แน่นอนครับ แล้วอย่างนี้ ใครจะโดนก่อนกันครับ ส่วนในยุโรป ก็มีหลายประเทศที่หนี้สาธารณะสูงมาก เช่น สเปน อิตาลี แต่ถ้าดูข้อมูลย้อนหลังประเทศเหล่านี้มีหนี้สาธารณะลดลงมากจากปี 2549 นะครับ ซึ่งรวมถึงญี่ปุ่นด้วยครับ
ที่นี้ลองมาคิดดูว่า แล้วอะไรล่ะจะเป็นตัวทำให้เกิดปัญหาในประเทศเหล่านี้กัน ซึ่งผมว่ามันเป็นคำถามที่ยากมากนะครับ เพราะมันมีสาระพัดปัจจัย รวมถึงว่าแล้วมันจะเกิดเมื่อไหร่ ซึ่งผมก็คิดว่า แล้วเราจะมานั่งคิดให้ปวดหัวอยู่ทำไม กับเรื่องเหล่านี้ สิ่งที่ดี่สุด ผมคิดว่า เราน่าจะเอาเวลามาดูว่าเศรษฐกิจบ้านเรานั้นจะเป็นอย่างไรมากกว่า แล้วเราจะลงทุนบริษัทอะไรดีมากกว่านะครับ ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวเราที่สุด และเราก็สัมผัสได้ทุกวัน
ที่นี้ลองมาคิดดูว่า แล้วอะไรล่ะจะเป็นตัวทำให้เกิดปัญหาในประเทศเหล่านี้กัน ซึ่งผมว่ามันเป็นคำถามที่ยากมากนะครับ เพราะมันมีสาระพัดปัจจัย รวมถึงว่าแล้วมันจะเกิดเมื่อไหร่ ซึ่งผมก็คิดว่า แล้วเราจะมานั่งคิดให้ปวดหัวอยู่ทำไม กับเรื่องเหล่านี้ สิ่งที่ดี่สุด ผมคิดว่า เราน่าจะเอาเวลามาดูว่าเศรษฐกิจบ้านเรานั้นจะเป็นอย่างไรมากกว่า แล้วเราจะลงทุนบริษัทอะไรดีมากกว่านะครับ ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวเราที่สุด และเราก็สัมผัสได้ทุกวัน
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1339
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อเงินเฟ้อกำลังจะกลับมา ถึงเวลาของสินค้าคอมมอนีตี้
โพสต์ที่ 19
เมื่อประมาณเดือน ก.ย.ปี 52 คุณอะไรดีละ เคยเตือน
ไว้แล้วว่าจะเกิดตลาดตกในรูป W ใน 3-6เดือน เพราะมี
Indicator ต่างๆเป็น Super leader ไว้ ตอนนี้ผ่านไป
เกือบ 4 เดือนแล้ว ยังมีเวลาอีก 2 เดือนที่จะเกิดขอพวก
เราเตรียมตัวไว้ ยังไงฟองสบู่แตกต้องเกิดขึ้นแน่ไม่ปีนี้ก็
ปีหน้าหรือปีถัดๆไป
ไว้แล้วว่าจะเกิดตลาดตกในรูป W ใน 3-6เดือน เพราะมี
Indicator ต่างๆเป็น Super leader ไว้ ตอนนี้ผ่านไป
เกือบ 4 เดือนแล้ว ยังมีเวลาอีก 2 เดือนที่จะเกิดขอพวก
เราเตรียมตัวไว้ ยังไงฟองสบู่แตกต้องเกิดขึ้นแน่ไม่ปีนี้ก็
ปีหน้าหรือปีถัดๆไป
- poppo
- Verified User
- โพสต์: 1356
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อเงินเฟ้อกำลังจะกลับมา ถึงเวลาของสินค้าคอมมอนีตี้
โพสต์ที่ 20
ปีนี้ราคาคอมโมจะเป็นไงไม่รู้
ปีหน้าราคาคอมโมจะเป็นไงไม่แน่
อีกห้าปีราคาจะเป็นอย่างไร
อีกสิบปีราคาจะเป็นอย่างไร
ถ้าเชื่อว่ามันจะสูงกว่าวันนี้ และราคาโดยรวมจะขึ้นมากกว่าเงินเฟ้อ
จะลงทุนบางส่วนก็ไม่น่าเสียหาย
อย่างน้อย ก็เป็นการ hedge กับความเสี่ยงของพอร์ทหุ้น ที่แทบทุกกิจการต้องมีคอมโมดิตี้ ไม่ตัวใดก็ตัวหนึ่งเป็นต้นทุน
ปีหน้าราคาคอมโมจะเป็นไงไม่แน่
อีกห้าปีราคาจะเป็นอย่างไร
อีกสิบปีราคาจะเป็นอย่างไร
ถ้าเชื่อว่ามันจะสูงกว่าวันนี้ และราคาโดยรวมจะขึ้นมากกว่าเงินเฟ้อ
จะลงทุนบางส่วนก็ไม่น่าเสียหาย
อย่างน้อย ก็เป็นการ hedge กับความเสี่ยงของพอร์ทหุ้น ที่แทบทุกกิจการต้องมีคอมโมดิตี้ ไม่ตัวใดก็ตัวหนึ่งเป็นต้นทุน
จงทนอด และอดทน
-
- Verified User
- โพสต์: 680
- ผู้ติดตาม: 0
เมื่อเงินเฟ้อกำลังจะกลับมา ถึงเวลาของสินค้าคอมมอนีตี้
โพสต์ที่ 21
คือ วิกฤติ ศก.นี่ นักเศรษฐศาสตร์ชั้นเซียน เขาเห็นกันมาก่อนแล้วทั้งนั้น นายรูบินี ศก.พอล ครุกแมน หรือ สตีเฟต รอช เห็น "วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์" มานานแล้วครับ
มันแตกต่างกับ คอลัมน์ทำนายดวง ดูราศี แบบนั้นมากๆ เพราะ พวกเขามีการประมวลผล จากข้อมูลผ่านสมอง แล้วตีความ คาดการณ์ได้ชัดเจนมาก
นี่เป็นสิ่งที่ "เศรษฐศาสตร์" ได้สอนไว้
แต่ปัญหาก็คือ ถึงแม้จะรู้วิกฤติล่วงหน้า แต่ก็พบว่า นักเศรษฐศาสตร์เกือบทั้งโลก ไม่สามารถจะหาคำตอบในการแก้ไขวิกฤติศก.นอกเหนือไปจาก นโยบายการเงิน และ การคลัง เท่าที่ทำมาได้
จึงดูแม้ว่าจะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง กับการ กดดบ.เหลือศูนย์ และ เพิ่มสภาพคล่องผ่านการทำ QE ซึ่งเป็นนโยบายการเงินแบบสุดขั้ว
และ นโยบายการคลังสุดขั้ว โดยการยอมขาดดุลการคลังถึง 10% GDP
ศก.ก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นได้เล็กน้อย
อย่างไรก็ดี ในจีน และ ยุโรป ยังคงมีปัญหาเพราะ ใช้ FX ที่ไม่เหมาะสม ... ซึ่งอาจก่อให้เกิด ศก.ถดถอยรอบ 2 ได้ไม่ยาก
คราวนี้ละครับ .... จะเป็นเรื่องใหญ่อีกครั้ง เพราะ อาวุธทุกอย่างถูกนำมาใช้หมดแล้ว ก็เหมือนๆ กับญี่ปุ่นนั่นแหละ
ติดทั้ง "กับดักสภาพคล่อง" และ "กับดักเคนส์" คือ ใช้นโยบายการเงิน และ การคลัง แล้ว ศก.ก็ยังไม่ฟื้นตัวนั่นเอง
ผมได้คิดเตรียมทางออกสำหรับวิกฤติรอบ 2 นี้ไว้เรียบร้อยแล้ว....
โดย นายรูบินี คิดว่าโอกาสเกิดราว 50%
ส่วนศจ.ครุกแมนคาดว่าโอกาสราว 40% ที่จะเกิด ศก.ตกต่ำรอบ 2
แต่ผมคิดว่าเปอร์เซนต์สูงกว่านั้นครับ
ปัญหาก็คือ ไทยเราได้เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้ไว้ขนาดไหน....มีแผนสำรองนอกเหนือจาก นโยบายการเงิน FX และ การคลัง หรือไม่
ถ้าคิดว่ายังไม่มี....ว่างๆ ก็ลองไปศึกษา "เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก" ดูนะ....ผมคิดว่าสิ่งนี้จะพอช่วยได้สำหรับ การแก้ไข ศก.ขาลงรอบ 2 ที่จะมาถึงนี้
มันแตกต่างกับ คอลัมน์ทำนายดวง ดูราศี แบบนั้นมากๆ เพราะ พวกเขามีการประมวลผล จากข้อมูลผ่านสมอง แล้วตีความ คาดการณ์ได้ชัดเจนมาก
นี่เป็นสิ่งที่ "เศรษฐศาสตร์" ได้สอนไว้
แต่ปัญหาก็คือ ถึงแม้จะรู้วิกฤติล่วงหน้า แต่ก็พบว่า นักเศรษฐศาสตร์เกือบทั้งโลก ไม่สามารถจะหาคำตอบในการแก้ไขวิกฤติศก.นอกเหนือไปจาก นโยบายการเงิน และ การคลัง เท่าที่ทำมาได้
จึงดูแม้ว่าจะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง กับการ กดดบ.เหลือศูนย์ และ เพิ่มสภาพคล่องผ่านการทำ QE ซึ่งเป็นนโยบายการเงินแบบสุดขั้ว
และ นโยบายการคลังสุดขั้ว โดยการยอมขาดดุลการคลังถึง 10% GDP
ศก.ก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นได้เล็กน้อย
อย่างไรก็ดี ในจีน และ ยุโรป ยังคงมีปัญหาเพราะ ใช้ FX ที่ไม่เหมาะสม ... ซึ่งอาจก่อให้เกิด ศก.ถดถอยรอบ 2 ได้ไม่ยาก
คราวนี้ละครับ .... จะเป็นเรื่องใหญ่อีกครั้ง เพราะ อาวุธทุกอย่างถูกนำมาใช้หมดแล้ว ก็เหมือนๆ กับญี่ปุ่นนั่นแหละ
ติดทั้ง "กับดักสภาพคล่อง" และ "กับดักเคนส์" คือ ใช้นโยบายการเงิน และ การคลัง แล้ว ศก.ก็ยังไม่ฟื้นตัวนั่นเอง
ผมได้คิดเตรียมทางออกสำหรับวิกฤติรอบ 2 นี้ไว้เรียบร้อยแล้ว....
โดย นายรูบินี คิดว่าโอกาสเกิดราว 50%
ส่วนศจ.ครุกแมนคาดว่าโอกาสราว 40% ที่จะเกิด ศก.ตกต่ำรอบ 2
แต่ผมคิดว่าเปอร์เซนต์สูงกว่านั้นครับ
ปัญหาก็คือ ไทยเราได้เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้ไว้ขนาดไหน....มีแผนสำรองนอกเหนือจาก นโยบายการเงิน FX และ การคลัง หรือไม่
ถ้าคิดว่ายังไม่มี....ว่างๆ ก็ลองไปศึกษา "เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก" ดูนะ....ผมคิดว่าสิ่งนี้จะพอช่วยได้สำหรับ การแก้ไข ศก.ขาลงรอบ 2 ที่จะมาถึงนี้
เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก... กรอบแนวคิดใหม่ใช้หลักยืมพลัง และ รักษาสมดุลเพื่อช่วยฟื้น ศก.ไทย และ ศก.โลก
หุ้นเงา... หุ้นอยู่ในเงาทำให้คนมองเห็นไม่ชัด ราคาหุ้นพร้อมจะปรับขึ้น 2 เด้งจาก EPS ที่สูงขึ้น และ การปรับค่า P/E ให้สูงขึ้นในอนาคต
หุ้นเงา... หุ้นอยู่ในเงาทำให้คนมองเห็นไม่ชัด ราคาหุ้นพร้อมจะปรับขึ้น 2 เด้งจาก EPS ที่สูงขึ้น และ การปรับค่า P/E ให้สูงขึ้นในอนาคต