หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์ที่ 334
ประกัน45บริษัทจ่อเข้าตลาดหุ้น
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553
จับตาปี 2553 บริษัทประกันวินาศภัย 45 แห่งเตรียมแต่งตัวแปลงเป็นบริษัทมหาชน เพิ่มทุนรองรับเกณฑ์คปภ.
นายพุทธิพงษ์ ด่านบุญสุต ประธานคณะกรรมการกฎหมายและกฎระเบียบ สมาคมประกันวินาศภัย เปิดเผยว่า ปี 2553 จะเป็นปีที่บริษัทประกันวินาศภัยจำนวน 45 แห่ง เตรียมตัวเพื่อแปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชนตามกฎของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ที่ต้องดำเนินการภายใน 5 ปี
หากไม่ดำเนินการแปลงสภาพเป็นมหาชนในเวลาดังกล่าว จะต้องหยุดขยายกิจการ และมีเวลาในการแปลงสภาพเป็นมหาชนรอบ 2 ภายในเวลา 3 ปี ซึ่งจะส่งผลกระทบให้ขาดสภาพคล่อง เพราะเมื่อไม่ขยายกิจการจะขาดสภาพคล่องและเงินหมุนเวียนในกิจการ
ทั้งนี้ สมาคมจะช่วยเหลือบริษัทประกันวินาศภัยด้วยการร่วมมือกับทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในการเข้ามาให้คำปรึกษาแนะนำถึงวิธีการที่ถูกต้องเรื่องการแปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชน
นอกจากนี้ บริษัทประกันวินาศภัยยังต้องเผชิญกับการดำรงเงินกองทุนตามความเสี่ยงแต่ละประเภท (RBC) ที่จะต้องมีเงินกองทุนให้เพียงพอ ซึ่งขณะนี้ยังไม่กำหนดออกมาแน่ชัด แต่จะทำให้บริษัทประกันภัยหลายแห่งต้องเพิ่มทุน เพื่อให้เงินกองทุนเพียงพอ โดยผลการทดลองดำรงเงินกองทุนตามความเสี่ยงแต่ละประเภทในช่วงปลายปี 2552 พบว่าส่วนใหญ่เงินกองทุนไม่เพียงพอ
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า แนวโน้มที่บริษัทประกันวินาศภัยจะต้องเพิ่มทุนใหม่มีสูง ซึ่งการเพิ่มทุนมี 2 วิธี คือ หานายทุนที่มีเงินสดเพียงพอที่จะคอยเติมให้บริษัทตลอดเวลา กับการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งวิธีแรกมีความเป็นไปได้น้อยในสภาพปัจจุบัน จึงเหลือการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งตามเกณฑ์จะต้องมีกำไรติดต่อกัน 3 ปี ดังนั้นปีนี้จึงเป็นเวลาที่จะต้องจัดทำระบบบัญชีให้ได้มาตรฐาน และวางแผนในการดำเนินธุรกิจเพื่อให้มีกำไร
นอกจากนี้ บริษัทประกันวินาศภัยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว 23 แห่ง อาจจะมีการเพิ่มทุนอีกรอบ เพื่อระดมเงินไว้รองรับเกณฑ์อาร์บีซี เมื่อถึงเวลาจะทำให้การทำธุรกิจไม่สะดุด
ปีนี้ทั้ง 2 เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะถ้าทำช้าอาจจะทำให้ปรับตัวไม่ทัน จึงคาดว่าการเคลื่อนไหวเพื่อเตรียมตัวควบรวมกิจการ การขายกิจการ และการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะคึกคักกันทั้งวงการ แต่จะมีบริษัทใดบ้างนั้นบริษัทยังไม่ได้แจ้งสมาคมฯ นายพุทธิพงษ์ กล่าว
http://www.posttoday.com/finance.php?id=85776
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553
จับตาปี 2553 บริษัทประกันวินาศภัย 45 แห่งเตรียมแต่งตัวแปลงเป็นบริษัทมหาชน เพิ่มทุนรองรับเกณฑ์คปภ.
นายพุทธิพงษ์ ด่านบุญสุต ประธานคณะกรรมการกฎหมายและกฎระเบียบ สมาคมประกันวินาศภัย เปิดเผยว่า ปี 2553 จะเป็นปีที่บริษัทประกันวินาศภัยจำนวน 45 แห่ง เตรียมตัวเพื่อแปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชนตามกฎของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ที่ต้องดำเนินการภายใน 5 ปี
หากไม่ดำเนินการแปลงสภาพเป็นมหาชนในเวลาดังกล่าว จะต้องหยุดขยายกิจการ และมีเวลาในการแปลงสภาพเป็นมหาชนรอบ 2 ภายในเวลา 3 ปี ซึ่งจะส่งผลกระทบให้ขาดสภาพคล่อง เพราะเมื่อไม่ขยายกิจการจะขาดสภาพคล่องและเงินหมุนเวียนในกิจการ
ทั้งนี้ สมาคมจะช่วยเหลือบริษัทประกันวินาศภัยด้วยการร่วมมือกับทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในการเข้ามาให้คำปรึกษาแนะนำถึงวิธีการที่ถูกต้องเรื่องการแปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชน
นอกจากนี้ บริษัทประกันวินาศภัยยังต้องเผชิญกับการดำรงเงินกองทุนตามความเสี่ยงแต่ละประเภท (RBC) ที่จะต้องมีเงินกองทุนให้เพียงพอ ซึ่งขณะนี้ยังไม่กำหนดออกมาแน่ชัด แต่จะทำให้บริษัทประกันภัยหลายแห่งต้องเพิ่มทุน เพื่อให้เงินกองทุนเพียงพอ โดยผลการทดลองดำรงเงินกองทุนตามความเสี่ยงแต่ละประเภทในช่วงปลายปี 2552 พบว่าส่วนใหญ่เงินกองทุนไม่เพียงพอ
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า แนวโน้มที่บริษัทประกันวินาศภัยจะต้องเพิ่มทุนใหม่มีสูง ซึ่งการเพิ่มทุนมี 2 วิธี คือ หานายทุนที่มีเงินสดเพียงพอที่จะคอยเติมให้บริษัทตลอดเวลา กับการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งวิธีแรกมีความเป็นไปได้น้อยในสภาพปัจจุบัน จึงเหลือการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งตามเกณฑ์จะต้องมีกำไรติดต่อกัน 3 ปี ดังนั้นปีนี้จึงเป็นเวลาที่จะต้องจัดทำระบบบัญชีให้ได้มาตรฐาน และวางแผนในการดำเนินธุรกิจเพื่อให้มีกำไร
นอกจากนี้ บริษัทประกันวินาศภัยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว 23 แห่ง อาจจะมีการเพิ่มทุนอีกรอบ เพื่อระดมเงินไว้รองรับเกณฑ์อาร์บีซี เมื่อถึงเวลาจะทำให้การทำธุรกิจไม่สะดุด
ปีนี้ทั้ง 2 เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะถ้าทำช้าอาจจะทำให้ปรับตัวไม่ทัน จึงคาดว่าการเคลื่อนไหวเพื่อเตรียมตัวควบรวมกิจการ การขายกิจการ และการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะคึกคักกันทั้งวงการ แต่จะมีบริษัทใดบ้างนั้นบริษัทยังไม่ได้แจ้งสมาคมฯ นายพุทธิพงษ์ กล่าว
http://www.posttoday.com/finance.php?id=85776
-
- Verified User
- โพสต์: 2513
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์ที่ 336
ผมว่าเค้าจงใจจะเข้าจดทะเบียนจริงๆนะครับแนวโน้มที่บริษัทประกันวินาศภัยจะต้องเพิ่มทุนใหม่มีสูง ซึ่งการเพิ่มทุนมี 2 วิธี คือ หานายทุนที่มีเงินสดเพียงพอที่จะคอยเติมให้บริษัทตลอดเวลา กับการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งวิธีแรกมีความเป็นไปได้น้อยในสภาพปัจจุบัน จึงเหลือการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์
เสรีภาพก็เหมือนอากาศที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่จะรู้สึกได้ในทันทีหากมีมันอยู่เบาบางหรือขาดหายไป
-จีรนุช เปรมชัยพร
-จีรนุช เปรมชัยพร
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์ที่ 338
สั่งประกันสำรองปิดกิจการ
วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553
คปภ. ออกคำสั่งให้บริษัทประกันวินาศภัยทุกแห่งต้องตั้งสำรองสินไหมกรณีบริษัทปิดกิจการในไตรมาสแรก
นายณัฐดนัย อินทรสุขศรี อุปนายกสมาคมประกันวินาศภัย เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้มีคำสั่งถึงบริษัทประกันวินาศภัยทุกแห่งให้ทำการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นหลังจากบริษัทปิดกิจการในปี 2553 โดยภายในไตรมาสแรกจะต้องดำเนินการตั้งสำรองให้เสร็จสิ้น ซึ่งจะตั้งสำรองจากเบี้ยประกันภัยปี 2552 ต้องมีผู้ตรวจสอบบัญชีรับรอง และต้องผ่านการรับรองจากนักคณิตศาสตร์ประกันภัยว่ามีความเพียงพอกับความเสี่ยง และทางคปภ.ก็จะตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง
ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าวทุกบริษัทต้องปฏิบัติตาม เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทมีเงินที่เพียงพอในการจะชำระค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยที่ยังมีผลคุ้มครองอย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องรอกระบวนการยึดทรัพย์ขายทอดตลาดแล้วนำมาเฉลี่ยให้ลูกค้าเหมือนในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งเกิดความล่าช้าและทำให้ลูกค้าเดือดร้อน
เป็นครั้งแรกของบริษัทประกันภัยที่จะต้องตั้งสำรองค่าใช้จ่ายกรณีดังกล่าวเพิ่มขึ้นอีก เพราะหากบริษัทปิดกิจการไปแล้ว ฝ่ายการตลาด ฝ่ายบัญชี หรือฝ่ายบุคคลก็ปิด แต่ยังมีฝ่ายสินไหมทดแทนที่ต้องทำงานต่อ เพื่อให้ความคุ้มครองลูกค้าที่ยังมีกรมธรรม์กับบริษัทจนกว่าสัญญาจะหมดอายุความคุ้มครอง สิ่งเหล่านี้เป็นค่าใช้จ่ายที่บริษัทจะต้องคำนึงถึง และต้องตั้งสำรองให้เพียงพอ นายณัฐดนัย กล่าว
นายณัฐดนัย กล่าวว่า ไม่สามารถให้คำตอบที่แน่ชัดว่าแต่ละบริษัทจะต้องตั้งสำรองค่าใช้จ่ายเหล่านี้เพิ่มขึ้นในอัตราส่วนเท่าใด แต่จะขึ้นอยู่กับจำนวนกรมธรรม์และเบี้ยประกันภัยของบริษัท หากบริษัทใดมีลูกค้าจำนวนมากก็ต้องตั้งสำรองสูง ซึ่งผลการตั้งสำรองดังกล่าวจะทำให้ทรัพย์สินและกำไรของบริษัทลดลง และทำให้หนี้สินของบริษัทเพิ่มขึ้น
หนี้สินที่เพิ่มขึ้น เพราะสัญญากรมธรรม์เป็นสิ่งที่บริษัทต้องรับผิดชอบ และต้องชดใช้สินไหมทดแทนให้ลูกค้า นายณัฐดนัย กล่าว
นายประดิษฐ์ อภิวัฒน์ชาติ รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูเนี่ยนอินเตอร์ประกันภัย กล่าวว่า ตั้งแต่ผู้ถือหุ้นใหม่ได้เข้าซื้อบริษัท ธนสินประกันภัย ที่ถูกสั่งปิดกิจการเมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2550 ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนใหม่เข้าไปทั้งสิ้น 550 ล้านบาท และทางคปภ.ได้สั่งให้เปิดดำเนินกิจการเมื่อเดือนส.ค. 2552 แต่บริษัทยังไม่สามารถชำระหนี้ที่ผูกพันอยู่กับบริษัทเดิมได้หมด จึงยังไม่สามารถขยายธุรกิจได้
ทั้งนี้ ได้ชำระหนี้ไปแล้วประมาณ 200 ล้านบาท จากเดิมที่หนี้ปรากฏในบัญชีบริษัทเดิมประมาณ 100 ล้านบาท เนื่องจากมีหนี้สินที่ไม่ปรากฏในบัญชี แต่เจ้าหนี้มีหลักฐานออกโดยบริษัท ทำให้ผู้ถือหุ้นใหม่ต้องรับผิดชอบ
http://www.posttoday.com/finance.php?id=86291
----------------------------------------------------------------------------------
มีงานเข้า มีงานเข้า มีงานเข้าอีกแล้ว
กลุ่มประกันภัย
วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553
คปภ. ออกคำสั่งให้บริษัทประกันวินาศภัยทุกแห่งต้องตั้งสำรองสินไหมกรณีบริษัทปิดกิจการในไตรมาสแรก
นายณัฐดนัย อินทรสุขศรี อุปนายกสมาคมประกันวินาศภัย เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้มีคำสั่งถึงบริษัทประกันวินาศภัยทุกแห่งให้ทำการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นหลังจากบริษัทปิดกิจการในปี 2553 โดยภายในไตรมาสแรกจะต้องดำเนินการตั้งสำรองให้เสร็จสิ้น ซึ่งจะตั้งสำรองจากเบี้ยประกันภัยปี 2552 ต้องมีผู้ตรวจสอบบัญชีรับรอง และต้องผ่านการรับรองจากนักคณิตศาสตร์ประกันภัยว่ามีความเพียงพอกับความเสี่ยง และทางคปภ.ก็จะตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง
ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าวทุกบริษัทต้องปฏิบัติตาม เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทมีเงินที่เพียงพอในการจะชำระค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยที่ยังมีผลคุ้มครองอย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องรอกระบวนการยึดทรัพย์ขายทอดตลาดแล้วนำมาเฉลี่ยให้ลูกค้าเหมือนในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งเกิดความล่าช้าและทำให้ลูกค้าเดือดร้อน
เป็นครั้งแรกของบริษัทประกันภัยที่จะต้องตั้งสำรองค่าใช้จ่ายกรณีดังกล่าวเพิ่มขึ้นอีก เพราะหากบริษัทปิดกิจการไปแล้ว ฝ่ายการตลาด ฝ่ายบัญชี หรือฝ่ายบุคคลก็ปิด แต่ยังมีฝ่ายสินไหมทดแทนที่ต้องทำงานต่อ เพื่อให้ความคุ้มครองลูกค้าที่ยังมีกรมธรรม์กับบริษัทจนกว่าสัญญาจะหมดอายุความคุ้มครอง สิ่งเหล่านี้เป็นค่าใช้จ่ายที่บริษัทจะต้องคำนึงถึง และต้องตั้งสำรองให้เพียงพอ นายณัฐดนัย กล่าว
นายณัฐดนัย กล่าวว่า ไม่สามารถให้คำตอบที่แน่ชัดว่าแต่ละบริษัทจะต้องตั้งสำรองค่าใช้จ่ายเหล่านี้เพิ่มขึ้นในอัตราส่วนเท่าใด แต่จะขึ้นอยู่กับจำนวนกรมธรรม์และเบี้ยประกันภัยของบริษัท หากบริษัทใดมีลูกค้าจำนวนมากก็ต้องตั้งสำรองสูง ซึ่งผลการตั้งสำรองดังกล่าวจะทำให้ทรัพย์สินและกำไรของบริษัทลดลง และทำให้หนี้สินของบริษัทเพิ่มขึ้น
หนี้สินที่เพิ่มขึ้น เพราะสัญญากรมธรรม์เป็นสิ่งที่บริษัทต้องรับผิดชอบ และต้องชดใช้สินไหมทดแทนให้ลูกค้า นายณัฐดนัย กล่าว
นายประดิษฐ์ อภิวัฒน์ชาติ รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูเนี่ยนอินเตอร์ประกันภัย กล่าวว่า ตั้งแต่ผู้ถือหุ้นใหม่ได้เข้าซื้อบริษัท ธนสินประกันภัย ที่ถูกสั่งปิดกิจการเมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2550 ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนใหม่เข้าไปทั้งสิ้น 550 ล้านบาท และทางคปภ.ได้สั่งให้เปิดดำเนินกิจการเมื่อเดือนส.ค. 2552 แต่บริษัทยังไม่สามารถชำระหนี้ที่ผูกพันอยู่กับบริษัทเดิมได้หมด จึงยังไม่สามารถขยายธุรกิจได้
ทั้งนี้ ได้ชำระหนี้ไปแล้วประมาณ 200 ล้านบาท จากเดิมที่หนี้ปรากฏในบัญชีบริษัทเดิมประมาณ 100 ล้านบาท เนื่องจากมีหนี้สินที่ไม่ปรากฏในบัญชี แต่เจ้าหนี้มีหลักฐานออกโดยบริษัท ทำให้ผู้ถือหุ้นใหม่ต้องรับผิดชอบ
http://www.posttoday.com/finance.php?id=86291
----------------------------------------------------------------------------------
มีงานเข้า มีงานเข้า มีงานเข้าอีกแล้ว
กลุ่มประกันภัย
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์ที่ 339
ยูโอบีลุยเดบิตพ่วงประกันถึงอายุ90ปี
วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553
ยูโอบี เขย่าบัตรเดบิตแบบมีประกัน ครอบคลุมลูกค้าเด็กถึงแก่ 7-90 ปี จ่ายปีละ 400-1,500 บาท
นายยุทธชัย เตยะราชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานบุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี เปิดเผยว่า ธนาคารได้ออกบัตรเดบิต ยูโอบี วีแคร์ เป็นบัตรเดบิตที่คุ้มครองอุบัติเหตุแบบมีค่ารักษาพยาบาลครอบคลุมลูกค้าตั้งแต่อายุ 7-90 ปี แบ่งเป็นบัตรสำหรับเด็กอายุ 7-14 ปี จ่ายปีละ 400 บาท หากเกิดอุบัติเหตุค่ารักษาพยาบาลไม่เกินครั้งละ 5,000 บาท และเสียชีวิตจากอุบัติเหตุคุ้มครอง 7 หมื่นบาท
บัตรสำหรับคนวัยทำงานอายุ 15-55 ปี จ่ายปีละ 600 บาท อุบัติเหตุเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ไม่เกินครั้งละ 1 หมื่นบาท และเสียชีวิต 1 แสนบาท และบัตรสำหรับผู้สูงอายุ 56-90 ปี จ่ายปีละ 1,500 บาท อุบัติเหตุเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ไม่เกินครั้งละ 3 หมื่นบาท และเสียชีวิต 5 แสนบาท
ทั้งนี้ ผู้สมัครบัตรจะต้องเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์กับธนาคารขั้นต่ำ 1,000 บาท โดยบัตรนี้เป็นการจ่ายปีละครั้ง ไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมอีก ภายในบัตรเดียวสามารถใช้ถอน โอน และรูดชำระค่าสินค้าได้ตามปกติ
สำหรับการรักษาพยาบาลครอบคลุมโรงพยาบาล 200 แห่ง โดยลูกค้าไม่ต้องสำรองจ่ายออกไปก่อน และไม่มีการกำหนดจำนวนครั้งการรักษาพยาบาลในแต่ละปี
นายยุทธชัย กล่าวว่า แม้ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งจะออกบัตรเดบิตคุ้มครองอุบัติเหตุออกมามาก แต่ก็ยังไม่มีรายใดที่คุ้มครองเด็กเล็กตั้งแต่ 7 ขวบ และผู้สูงอายุถึง 90 ปี เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง แต่การประกันรูปแบบนี้เรียกว่าการประกันกลุ่ม จึงทำให้ธนาคารสามารถคิดค่าใช้จ่ายต่อหัวถูกลงได้ ต่างจากการที่ลูกค้าซื้อประกันอุบัติเหตุรายหัวซึ่งเป็นประกันเดี่ยว ทำให้ได้ราคาแพงกว่าซื้อประกันกลุ่ม 30-40%
ขณะที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือกลุ่มลูกค้าวัยทำงาน เพราะคนกลุ่มนี้เมื่อซื้อประกันในรูปแบบนี้ให้กับตัวเองแล้วจะนิยมซื้อให้เด็กและ ผู้สูงอายุในครอบครัวด้วย เนื่องจากมองว่ามีราคาไม่แพง โดยตั้งเป้าหมายมีผู้สมัครบัตรเพิ่มปีนี้ 5 หมื่นบัตร และปัจจุบันธนาคารมีบัตร เอทีเอ็มรวมกับบัตรเดบิตประมาณ 3 แสนบัตร
http://www.posttoday.com/finance.php?id=86132
วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553
ยูโอบี เขย่าบัตรเดบิตแบบมีประกัน ครอบคลุมลูกค้าเด็กถึงแก่ 7-90 ปี จ่ายปีละ 400-1,500 บาท
นายยุทธชัย เตยะราชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานบุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี เปิดเผยว่า ธนาคารได้ออกบัตรเดบิต ยูโอบี วีแคร์ เป็นบัตรเดบิตที่คุ้มครองอุบัติเหตุแบบมีค่ารักษาพยาบาลครอบคลุมลูกค้าตั้งแต่อายุ 7-90 ปี แบ่งเป็นบัตรสำหรับเด็กอายุ 7-14 ปี จ่ายปีละ 400 บาท หากเกิดอุบัติเหตุค่ารักษาพยาบาลไม่เกินครั้งละ 5,000 บาท และเสียชีวิตจากอุบัติเหตุคุ้มครอง 7 หมื่นบาท
บัตรสำหรับคนวัยทำงานอายุ 15-55 ปี จ่ายปีละ 600 บาท อุบัติเหตุเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ไม่เกินครั้งละ 1 หมื่นบาท และเสียชีวิต 1 แสนบาท และบัตรสำหรับผู้สูงอายุ 56-90 ปี จ่ายปีละ 1,500 บาท อุบัติเหตุเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ไม่เกินครั้งละ 3 หมื่นบาท และเสียชีวิต 5 แสนบาท
ทั้งนี้ ผู้สมัครบัตรจะต้องเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์กับธนาคารขั้นต่ำ 1,000 บาท โดยบัตรนี้เป็นการจ่ายปีละครั้ง ไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมอีก ภายในบัตรเดียวสามารถใช้ถอน โอน และรูดชำระค่าสินค้าได้ตามปกติ
สำหรับการรักษาพยาบาลครอบคลุมโรงพยาบาล 200 แห่ง โดยลูกค้าไม่ต้องสำรองจ่ายออกไปก่อน และไม่มีการกำหนดจำนวนครั้งการรักษาพยาบาลในแต่ละปี
นายยุทธชัย กล่าวว่า แม้ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งจะออกบัตรเดบิตคุ้มครองอุบัติเหตุออกมามาก แต่ก็ยังไม่มีรายใดที่คุ้มครองเด็กเล็กตั้งแต่ 7 ขวบ และผู้สูงอายุถึง 90 ปี เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง แต่การประกันรูปแบบนี้เรียกว่าการประกันกลุ่ม จึงทำให้ธนาคารสามารถคิดค่าใช้จ่ายต่อหัวถูกลงได้ ต่างจากการที่ลูกค้าซื้อประกันอุบัติเหตุรายหัวซึ่งเป็นประกันเดี่ยว ทำให้ได้ราคาแพงกว่าซื้อประกันกลุ่ม 30-40%
ขณะที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือกลุ่มลูกค้าวัยทำงาน เพราะคนกลุ่มนี้เมื่อซื้อประกันในรูปแบบนี้ให้กับตัวเองแล้วจะนิยมซื้อให้เด็กและ ผู้สูงอายุในครอบครัวด้วย เนื่องจากมองว่ามีราคาไม่แพง โดยตั้งเป้าหมายมีผู้สมัครบัตรเพิ่มปีนี้ 5 หมื่นบัตร และปัจจุบันธนาคารมีบัตร เอทีเอ็มรวมกับบัตรเดบิตประมาณ 3 แสนบัตร
http://www.posttoday.com/finance.php?id=86132
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์ที่ 340
ไทยเศรษฐกิจปั๊มเบี้ยพันล.บาท
วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2553
โพสต์ทูเดย์ ไทยเศรษฐกิจประกันภัย กระจายความเสี่ยงเพิ่มฐานลูกค้ารายย่อย รถยนต์ ปั๊มเบี้ยปีนี้พันล้านบาทรอเกณฑ์อาร์บีซีปีหน้า
นายพุทธิพงษ์ ด่านบุญสุต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันภัย เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทคาดว่าทำเบี้ยได้ประมาณ 900-1,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่คาดว่าจะได้เบี้ย 750 ล้านบาท และหลังจากนี้คงรักษาระดับเบี้ยไว้ที่ปีละ 1,000 ล้านบาทไปก่อน จนกว่าเรื่องเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนตามความเสี่ยง (อาร์บีซี) ที่จะเริ่มใช้ในปี 2554 จะเข้าระบบ และสะท้อนความเป็นจริงของอุตสาหกรรมทั้งระบบ
ทั้งนี้ กลยุทธ์ที่สำคัญในปีนี้จะมุ่งเน้นทำตลาดลูกค้ารายย่อยเพื่อกระจายความเสี่ยงออกไปให้มากขึ้น โดยเฉพาะการขยายฐานไปยังเบี้ยประกันภัยรถยนต์ ซึ่งคาดว่าภายในปีนี้และปีหน้าจะทำให้สัดส่วนลูกค้ารายใหญ่อยู่ที่ 10-15% และรายย่อยอยู่ที่ 80-85% จากปัจจุบันลูกค้ารายใหญ่อยู่ที่ 30% และรายย่อยอยู่ที่ 70%
นอกจากนี้ จะเพิ่มรายได้จากช่องทางนายหน้าและบริษัทเช่าซื้ออย่างละ 50% จากปัจจุบันช่องทางบริษัทเช่าซื้ออยู่ที่ 70% และนายหน้าอยู่ที่ 30% โดยมีรถยนต์อยู่ประมาณ 1 แสนคัน
สิ่งที่เราต้องทำคือการพัฒนาตัวแทน นายหน้าที่มีอยู่ประมาณ 1 หมื่นราย ทำยอดขายให้มากขึ้น สร้างพนักงานให้มีความรู้ด้านประกันรายย่อยได้ทุกประเภท และพัฒนาสินค้าให้เข้าถึงลูกค้าให้ได้ นายพุทธิพงษ์ กล่าว
http://www.posttoday.com/finance.php?id=86473
วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2553
โพสต์ทูเดย์ ไทยเศรษฐกิจประกันภัย กระจายความเสี่ยงเพิ่มฐานลูกค้ารายย่อย รถยนต์ ปั๊มเบี้ยปีนี้พันล้านบาทรอเกณฑ์อาร์บีซีปีหน้า
นายพุทธิพงษ์ ด่านบุญสุต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันภัย เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทคาดว่าทำเบี้ยได้ประมาณ 900-1,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่คาดว่าจะได้เบี้ย 750 ล้านบาท และหลังจากนี้คงรักษาระดับเบี้ยไว้ที่ปีละ 1,000 ล้านบาทไปก่อน จนกว่าเรื่องเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนตามความเสี่ยง (อาร์บีซี) ที่จะเริ่มใช้ในปี 2554 จะเข้าระบบ และสะท้อนความเป็นจริงของอุตสาหกรรมทั้งระบบ
ทั้งนี้ กลยุทธ์ที่สำคัญในปีนี้จะมุ่งเน้นทำตลาดลูกค้ารายย่อยเพื่อกระจายความเสี่ยงออกไปให้มากขึ้น โดยเฉพาะการขยายฐานไปยังเบี้ยประกันภัยรถยนต์ ซึ่งคาดว่าภายในปีนี้และปีหน้าจะทำให้สัดส่วนลูกค้ารายใหญ่อยู่ที่ 10-15% และรายย่อยอยู่ที่ 80-85% จากปัจจุบันลูกค้ารายใหญ่อยู่ที่ 30% และรายย่อยอยู่ที่ 70%
นอกจากนี้ จะเพิ่มรายได้จากช่องทางนายหน้าและบริษัทเช่าซื้ออย่างละ 50% จากปัจจุบันช่องทางบริษัทเช่าซื้ออยู่ที่ 70% และนายหน้าอยู่ที่ 30% โดยมีรถยนต์อยู่ประมาณ 1 แสนคัน
สิ่งที่เราต้องทำคือการพัฒนาตัวแทน นายหน้าที่มีอยู่ประมาณ 1 หมื่นราย ทำยอดขายให้มากขึ้น สร้างพนักงานให้มีความรู้ด้านประกันรายย่อยได้ทุกประเภท และพัฒนาสินค้าให้เข้าถึงลูกค้าให้ได้ นายพุทธิพงษ์ กล่าว
http://www.posttoday.com/finance.php?id=86473
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์ที่ 341
กลต.ฟันปั่นหุ้นอินไซด์ SINGHAภัทรประกัน
วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553
โพสต์ทูเดย์ ก.ล.ต.ปรับ อานนท์ชัย วีระประวัติ สร้างราคาหุ้น SINGHA โอฬาร วีรวรรณ อินไซเดอร์ซื้อหุ้น PHA
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า คณะกรรมการเปรียบเทียบมีคำสั่งเปรียบเทียบปรับนายอานนท์ชัย วีระประวัติ เป็นเงิน 5 แสนบาท กรณีสร้างราคาหุ้นบริษัท สิงห์ พาราเทค (SINGHA) และเปรียบเทียบปรับนายโอฬาร วีรวรรณ เป็นเงิน 5 แสนบาท กรณีอาศัยข้อมูลภายใน (อินไซเดอร์เทรดดิง) ที่ได้จากการปฏิบัติหน้าที่ซื้อหุ้นของบริษัท ภัทรประกันภัย (PHA)
กรณีของนายอานนท์ชัย เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2552 ที่ซื้อขายหุ้นในลักษณะสร้างราคาและการตรวจสอบพบว่าราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับการซื้อขายก่อนหน้า โดยไม่มีข้อมูลหรือปัจจัยบวกรองรับ
สรสกวฟสำหรับกรณีนายโอฬาร ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบของ PHA ก.ล.ต.ได้รับเรื่องจากตลาดหลักทรัพย์ ว่ามีการล่วงรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาของหุ้น PHA ที่ยังไม่เปิดเผยต่อสาธารณชน เช่น มีการจ่ายปันผลพิเศษหุ้นละ 50 บาท และใช้ข้อมูลดังกล่าวซื้อขายหุ้นเมื่อวันที่ 11 และ 12 มิ.ย. 2550 ผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของบุคคลรายหนึ่ง ก่อนเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชน
http://www.posttoday.com/stockmarket.php?id=86639
วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553
โพสต์ทูเดย์ ก.ล.ต.ปรับ อานนท์ชัย วีระประวัติ สร้างราคาหุ้น SINGHA โอฬาร วีรวรรณ อินไซเดอร์ซื้อหุ้น PHA
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า คณะกรรมการเปรียบเทียบมีคำสั่งเปรียบเทียบปรับนายอานนท์ชัย วีระประวัติ เป็นเงิน 5 แสนบาท กรณีสร้างราคาหุ้นบริษัท สิงห์ พาราเทค (SINGHA) และเปรียบเทียบปรับนายโอฬาร วีรวรรณ เป็นเงิน 5 แสนบาท กรณีอาศัยข้อมูลภายใน (อินไซเดอร์เทรดดิง) ที่ได้จากการปฏิบัติหน้าที่ซื้อหุ้นของบริษัท ภัทรประกันภัย (PHA)
กรณีของนายอานนท์ชัย เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2552 ที่ซื้อขายหุ้นในลักษณะสร้างราคาและการตรวจสอบพบว่าราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับการซื้อขายก่อนหน้า โดยไม่มีข้อมูลหรือปัจจัยบวกรองรับ
สรสกวฟสำหรับกรณีนายโอฬาร ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบของ PHA ก.ล.ต.ได้รับเรื่องจากตลาดหลักทรัพย์ ว่ามีการล่วงรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาของหุ้น PHA ที่ยังไม่เปิดเผยต่อสาธารณชน เช่น มีการจ่ายปันผลพิเศษหุ้นละ 50 บาท และใช้ข้อมูลดังกล่าวซื้อขายหุ้นเมื่อวันที่ 11 และ 12 มิ.ย. 2550 ผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของบุคคลรายหนึ่ง ก่อนเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชน
http://www.posttoday.com/stockmarket.php?id=86639
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์ที่ 342
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000010409
คาดธุรกิจประกันปี 53 โตได้อีก 15-20% ลุ้นกรมธรรม์ภัยพิบัติ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 มกราคม 2553 21:08 น.
คาดธุรกิจประกันภัยปี 53 โตได้อีก 15-20% ชี้ปัญหาภัยพิบัติที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งเหตุการณ์โลกร้อน-แผ่นดินไหว ส่งผลต่อการออกผลิตภัณฑ์ประกันภัย-ประกันชีวิต รูปแบบใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด กล่าวถึงกรณีที่ปัจจุบันมีปัญหาภัยพิบัติเกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งเหตุการณ์โลกร้อน แผ่นดินไหว และภัยพิบัติจากคลื่นสึนามิ ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันบริษัทประกันชีวิตและประกันภัย ยังไม่ได้นำภัยพิบัติเหล่านี้นำมาจัดทำผลิตภัณฑ์ประกันภัย แต่ยอมรับว่าบริษัทประกันภัยต่างๆ จะต้องมีการเก็บรวบรวมภัยพิบัติที่เกิดขึ้นเหล่านี้เพื่อพิจารณาว่า หากมีพื้นที่ใดเกิดภัยพิบัติซ้ำๆ ก็จะพิจารณาต่อไปว่า จะต้องมีการออกผลิตภัณฑ์ประกันภัย ประกันชีวิตที่สอดคล้องกับแต่ละพื้นที่หรือไม่
นายสาระ คาดว่า ปี 2553 นี้ แนวโน้มธุรกิจประกันชีวิตมีโอกาสเติบโตอีกมาก ไม่น้อยกว่าร้อยละ 15-20 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เนื่องจากมีสัญญาณเศรษฐกิจพื้นตัว รวมทั้งลูกค้าทั่วไปให้ความสนใจทำประกันชีวิตเพิ่มขึ้น ซึ่งแตกต่างจากความคิดในอดีตที่บริษัทประกันภัยต้องเข้าไปหาลูกค้าเพื่อแนะนำทำประกันภัย แต่ขณะนี้ลูกค้าจะเดินเข้ามาหาเนื่องจากเห็นความสำคัญในการทำประกันชีวิตมากขึ้น ซึ่งขึ้นกับลูกค้าว่าจะต้องเลือกบริษัทที่ดีที่สุดเพื่อให้ได้รับบริการที่ดี อย่างไรก็ตามแม้ว่าการเติบโตของธุรกิจกันชีวิตในปี 2553 มีแนวโน้มดี แต่มีปัจจัยเสี่ยงจากปัจจัยขัดแย้งทางการเมืองเพราะกระทบความเชื่อมั่นและกระทบต่อการลงทุนของประชาชน
สำหรับผลประกอบการของบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต ในปี 2552 สามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยเติบโตร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าด้วยเบี้ยประกันรับรวม 21,540 ล้านบาท และในปี 2553 นี้ จากแนวโน้มของธุรกิจที่ดีและการทำการตลาดอย่างเข้มข้น ตั้งเป้าหมายทีจะเติบโตของเบี้ยประกันภัยถึงร้อยละ 42 ด้วยเบี้ยประกันรวม 30,550 ล้านบาท
คาดธุรกิจประกันปี 53 โตได้อีก 15-20% ลุ้นกรมธรรม์ภัยพิบัติ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 มกราคม 2553 21:08 น.
คาดธุรกิจประกันภัยปี 53 โตได้อีก 15-20% ชี้ปัญหาภัยพิบัติที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งเหตุการณ์โลกร้อน-แผ่นดินไหว ส่งผลต่อการออกผลิตภัณฑ์ประกันภัย-ประกันชีวิต รูปแบบใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด กล่าวถึงกรณีที่ปัจจุบันมีปัญหาภัยพิบัติเกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งเหตุการณ์โลกร้อน แผ่นดินไหว และภัยพิบัติจากคลื่นสึนามิ ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันบริษัทประกันชีวิตและประกันภัย ยังไม่ได้นำภัยพิบัติเหล่านี้นำมาจัดทำผลิตภัณฑ์ประกันภัย แต่ยอมรับว่าบริษัทประกันภัยต่างๆ จะต้องมีการเก็บรวบรวมภัยพิบัติที่เกิดขึ้นเหล่านี้เพื่อพิจารณาว่า หากมีพื้นที่ใดเกิดภัยพิบัติซ้ำๆ ก็จะพิจารณาต่อไปว่า จะต้องมีการออกผลิตภัณฑ์ประกันภัย ประกันชีวิตที่สอดคล้องกับแต่ละพื้นที่หรือไม่
นายสาระ คาดว่า ปี 2553 นี้ แนวโน้มธุรกิจประกันชีวิตมีโอกาสเติบโตอีกมาก ไม่น้อยกว่าร้อยละ 15-20 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เนื่องจากมีสัญญาณเศรษฐกิจพื้นตัว รวมทั้งลูกค้าทั่วไปให้ความสนใจทำประกันชีวิตเพิ่มขึ้น ซึ่งแตกต่างจากความคิดในอดีตที่บริษัทประกันภัยต้องเข้าไปหาลูกค้าเพื่อแนะนำทำประกันภัย แต่ขณะนี้ลูกค้าจะเดินเข้ามาหาเนื่องจากเห็นความสำคัญในการทำประกันชีวิตมากขึ้น ซึ่งขึ้นกับลูกค้าว่าจะต้องเลือกบริษัทที่ดีที่สุดเพื่อให้ได้รับบริการที่ดี อย่างไรก็ตามแม้ว่าการเติบโตของธุรกิจกันชีวิตในปี 2553 มีแนวโน้มดี แต่มีปัจจัยเสี่ยงจากปัจจัยขัดแย้งทางการเมืองเพราะกระทบความเชื่อมั่นและกระทบต่อการลงทุนของประชาชน
สำหรับผลประกอบการของบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต ในปี 2552 สามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยเติบโตร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าด้วยเบี้ยประกันรับรวม 21,540 ล้านบาท และในปี 2553 นี้ จากแนวโน้มของธุรกิจที่ดีและการทำการตลาดอย่างเข้มข้น ตั้งเป้าหมายทีจะเติบโตของเบี้ยประกันภัยถึงร้อยละ 42 ด้วยเบี้ยประกันรวม 30,550 ล้านบาท
- OutOfMyMind
- Verified User
- โพสต์: 1242
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์ที่ 343
มีใครสนใจ หุ้น (ที่ผมคิดว่า) มีแนวโน้ม turn around อย่างไทยประกันภัย (TIC) บ้างครับ พอดีผมไม่ชำนาญ business model ของประกันภัย แต่กำลังสนใจตัวนี้
บทความดีดีสำหรับนักลงทุนเน้นคุณค่า
https://www.facebook.com/OutOfMyMindOnValueInvestment
https://www.facebook.com/OutOfMyMindOnValueInvestment
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์ที่ 344
ขอบคุณครับ ขอหยิบไปดูหน่อยละกันครับ อิอิOutOfMyMind เขียน:มีใครสนใจ หุ้น (ที่ผมคิดว่า) มีแนวโน้ม turn around อย่างไทยประกันภัย (TIC) บ้างครับ พอดีผมไม่ชำนาญ business model ของประกันภัย แต่กำลังสนใจตัวนี้
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์ที่ 345
มืองไทยฯกวาดเบี้ย3หมื่นล้าน
วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553
เมืองไทยประกันชีวิตคึกคัก หลังได้กสิกรไทยถือหุ้นเต็มตัว คาดปีนี้กำไร 1,800 ล้าน
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าเบี้ยรับรวมไว้ที่ 30,550 ล้านบาท เติบโต 42% แบ่งเป็นเบี้ยใหม่ 13,850 ล้านบาท และเบี้ยต่ออายุ 16,700 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีกำไรจากการดำเนินงาน 1,800 ล้านบาท หรือเติบโต 8% และมีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่ 5%
ขณะที่ปีที่ผ่านมาบริษัทมีเบี้ยรับรวมที่ 21,540 ล้านบาท หรือเติบโต 25% เมื่อเทียบกับปี 2551 โดยแบ่งเป็นเบี้ยใหม่ 9,240 ล้านบาท และเบี้ยต่ออายุ 12,300 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าธุรกิจประกันชีวิตในอุตสาหกรรมในปีนี้จะมีการเติบโตอยู่ที่ 15-20%
ทั้งนี้ บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้มากขึ้น ซึ่งมีความแตกต่างกว่าที่มีอยู่ในตลาด ด้วยโครงการ ชีวิตมั่นคง...โดนใจสไตล์คุณ ซึ่งเป็นโครงการที่ช่วยวางแผนชีวิตและการวางแผนการประกันชีวิตที่สร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับลูกค้าและครอบครัวตามแต่ละช่วงอายุ
โดยมีการวิเคราะห์รูปแบบการใช้ชีวิต ประกอบรวมกับระดับรายได้ของแต่ละบุคคลและความต้องการวางแผนล่วงหน้า ซึ่งจะมีการแบ่งออกเป็น 5 ช่วงอายุ โดยเริ่มตั้งแต่กลุ่มที่ 1 โดนใจวัยโจ๋ รองรับวัยที่มีรายได้เป็นของตัวเอง กลุ่มที่ 2 โดนใจวัยหวาน รองรับวัยเริ่มต้นการมีชีวิตคู่ กลุ่มที่ 3 โดนใจวัยมันส์ รองรับวัยที่เริ่มสร้างครอบครัวและมีบุตร
กลุ่มที่ 4 โดนใจวัยตั๋ง รองรับวัยเริ่มเห็นบุคคลในครอบครัวประสบความสำเร็จ มีเป้าหมายที่ชัดเจน และกลุ่มที่ 5 โดนใจวัยชิล รองรับช่วงที่รองรับวัยเกษียณอายุ โดยตัวแทนของบริษัทจะได้รับการฝึกอบรมโครงการนี้ทั้งหมด เพื่อเสนอแบบประกันได้ตรงกับความต้องการของทุกกลุ่มได้
สำหรับกลยุทธ์ที่สำคัญในการทำตลาดในปีนี้ยังคงเดินหน้าตาม นโยบายการทำตลาดแบบหลากหลายช่องทางขาย ไม่ว่าจะเป็น การขายผ่านธนาคารกสิกรไทยและสถาบันการเงินอื่น
โดยเฉพาะหลังจากที่ธนาคาร กสิกรไทยเข้ามาถือหุ้นในบริษัทก็จะทำให้ธนาคารกสิกรไทยไม่ได้เป็นเพียงแค่นายหน้าขายประกันเพียงอย่างเดียว แต่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการผลิตแบบประกันใหม่ โดยอิงกับความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก
จะเพิ่มประสิทธิภาพใน ด้านการขายประกันผ่านตัวแทน และการสรรหาตัวแทนคุณภาพ ที่สามารถทำงานได้เต็มเวลา เข้าสู่บริษัทให้มากขึ้น นายสาระ กล่าว
http://www.posttoday.com/finance.php?id=86866
----------------------------------------------------------
รอเข้าตลาดอยู่ล่ะครับตัวนี้
วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553
เมืองไทยประกันชีวิตคึกคัก หลังได้กสิกรไทยถือหุ้นเต็มตัว คาดปีนี้กำไร 1,800 ล้าน
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าเบี้ยรับรวมไว้ที่ 30,550 ล้านบาท เติบโต 42% แบ่งเป็นเบี้ยใหม่ 13,850 ล้านบาท และเบี้ยต่ออายุ 16,700 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีกำไรจากการดำเนินงาน 1,800 ล้านบาท หรือเติบโต 8% และมีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่ 5%
ขณะที่ปีที่ผ่านมาบริษัทมีเบี้ยรับรวมที่ 21,540 ล้านบาท หรือเติบโต 25% เมื่อเทียบกับปี 2551 โดยแบ่งเป็นเบี้ยใหม่ 9,240 ล้านบาท และเบี้ยต่ออายุ 12,300 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าธุรกิจประกันชีวิตในอุตสาหกรรมในปีนี้จะมีการเติบโตอยู่ที่ 15-20%
ทั้งนี้ บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้มากขึ้น ซึ่งมีความแตกต่างกว่าที่มีอยู่ในตลาด ด้วยโครงการ ชีวิตมั่นคง...โดนใจสไตล์คุณ ซึ่งเป็นโครงการที่ช่วยวางแผนชีวิตและการวางแผนการประกันชีวิตที่สร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับลูกค้าและครอบครัวตามแต่ละช่วงอายุ
โดยมีการวิเคราะห์รูปแบบการใช้ชีวิต ประกอบรวมกับระดับรายได้ของแต่ละบุคคลและความต้องการวางแผนล่วงหน้า ซึ่งจะมีการแบ่งออกเป็น 5 ช่วงอายุ โดยเริ่มตั้งแต่กลุ่มที่ 1 โดนใจวัยโจ๋ รองรับวัยที่มีรายได้เป็นของตัวเอง กลุ่มที่ 2 โดนใจวัยหวาน รองรับวัยเริ่มต้นการมีชีวิตคู่ กลุ่มที่ 3 โดนใจวัยมันส์ รองรับวัยที่เริ่มสร้างครอบครัวและมีบุตร
กลุ่มที่ 4 โดนใจวัยตั๋ง รองรับวัยเริ่มเห็นบุคคลในครอบครัวประสบความสำเร็จ มีเป้าหมายที่ชัดเจน และกลุ่มที่ 5 โดนใจวัยชิล รองรับช่วงที่รองรับวัยเกษียณอายุ โดยตัวแทนของบริษัทจะได้รับการฝึกอบรมโครงการนี้ทั้งหมด เพื่อเสนอแบบประกันได้ตรงกับความต้องการของทุกกลุ่มได้
สำหรับกลยุทธ์ที่สำคัญในการทำตลาดในปีนี้ยังคงเดินหน้าตาม นโยบายการทำตลาดแบบหลากหลายช่องทางขาย ไม่ว่าจะเป็น การขายผ่านธนาคารกสิกรไทยและสถาบันการเงินอื่น
โดยเฉพาะหลังจากที่ธนาคาร กสิกรไทยเข้ามาถือหุ้นในบริษัทก็จะทำให้ธนาคารกสิกรไทยไม่ได้เป็นเพียงแค่นายหน้าขายประกันเพียงอย่างเดียว แต่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการผลิตแบบประกันใหม่ โดยอิงกับความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก
จะเพิ่มประสิทธิภาพใน ด้านการขายประกันผ่านตัวแทน และการสรรหาตัวแทนคุณภาพ ที่สามารถทำงานได้เต็มเวลา เข้าสู่บริษัทให้มากขึ้น นายสาระ กล่าว
http://www.posttoday.com/finance.php?id=86866
----------------------------------------------------------
รอเข้าตลาดอยู่ล่ะครับตัวนี้
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์ที่ 346
สวนกระแส
รายงานโดย :ทีมข่าวการเงิน:
วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553
ภาวะเศรษฐกิจที่ขาดดุลประมาณมหาศาลนี้ ทำให้รัฐบาลสั่งหน่วยงานรัฐและ รัฐวิสาหกิจรัดเข็มขัด แต่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) นั้นอู้ฟู่สวนกระแส
เพราะหลังจากที่เปลี่ยนสถานะจากกรมการประกันภัยมาเป็นองค์กรอิสระคปภ. เงินทองที่บริษัทประกันต้องส่งให้เป็นค่าต๋งนั้นคงเหลือกินเหลือใช้
เพราะเงินเยอะไม่มีที่เก็บหรือไงก็ไม่อาจทราบได้ คปภ.ก็ถือฤกษ์ออกประกาศขอซื้อรถใหม่ให้ผู้บริหารเสียที จำนวนก็ไม่ได้มากมายอะไรแค่ 4 คัน แต่ราคาปาเข้าไป 23 ล้านบาท
ไล่มาตั้งแต่ รถของเลขาธิการ คปภ. จันทรา บูรณฤกษ์ เป็นเบนซ์ รุ่น S 350 CDI Blue EFFICIENCY Long Saloon NG ราคาแค่ 8 ล้านบาทเอง
ส่วนอีก 3 คันที่เหลือสำหรับรองเลธาธิการคปภ. ขอเป็นรุ่น E 250 CGI AVANTGARGE ราคาคันละ 5 ล้านบาทเท่านั้น
ใครอิจฉาก็ช่วยไม่ได้ ก็ คปภ. เขามีตังค์นี่เคอะ
http://www.posttoday.com/finance.php?id=86849
------------------------------------------------------------------------
ผมเห็นข่าวนี้ไม่แปลกใจเท่าไร
เพราะว่า องค์กรนี้มีดีอยู่แล้ว
รายงานโดย :ทีมข่าวการเงิน:
วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553
ภาวะเศรษฐกิจที่ขาดดุลประมาณมหาศาลนี้ ทำให้รัฐบาลสั่งหน่วยงานรัฐและ รัฐวิสาหกิจรัดเข็มขัด แต่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) นั้นอู้ฟู่สวนกระแส
เพราะหลังจากที่เปลี่ยนสถานะจากกรมการประกันภัยมาเป็นองค์กรอิสระคปภ. เงินทองที่บริษัทประกันต้องส่งให้เป็นค่าต๋งนั้นคงเหลือกินเหลือใช้
เพราะเงินเยอะไม่มีที่เก็บหรือไงก็ไม่อาจทราบได้ คปภ.ก็ถือฤกษ์ออกประกาศขอซื้อรถใหม่ให้ผู้บริหารเสียที จำนวนก็ไม่ได้มากมายอะไรแค่ 4 คัน แต่ราคาปาเข้าไป 23 ล้านบาท
ไล่มาตั้งแต่ รถของเลขาธิการ คปภ. จันทรา บูรณฤกษ์ เป็นเบนซ์ รุ่น S 350 CDI Blue EFFICIENCY Long Saloon NG ราคาแค่ 8 ล้านบาทเอง
ส่วนอีก 3 คันที่เหลือสำหรับรองเลธาธิการคปภ. ขอเป็นรุ่น E 250 CGI AVANTGARGE ราคาคันละ 5 ล้านบาทเท่านั้น
ใครอิจฉาก็ช่วยไม่ได้ ก็ คปภ. เขามีตังค์นี่เคอะ
http://www.posttoday.com/finance.php?id=86849
------------------------------------------------------------------------
ผมเห็นข่าวนี้ไม่แปลกใจเท่าไร
เพราะว่า องค์กรนี้มีดีอยู่แล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์ที่ 347
งัดประกันถูกเพิ่มรายได้ตัวแทน
วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553
มิตรแท้ออกประกันรถยนต์ราคาถูกเสริมรายได้ตัวแทนหลังผลตอบแทนพ.ร.บ.ลด
นายสุขเทพ จันทร์ศรีชวาลา ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตรแท้ประกันภัย เปิดเผยว่า ต้นเดือนก.พ.นี้ จะออกกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ใหม่ออกมา 2 แบบ ซึ่งราคาไม่สูงมาก ให้กับตัวแทนประมาณ 1 หมื่นคน ได้มีสินค้าที่ขายง่าย เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปจากประกันพ.ร.บ. ที่ทางบริษัทได้ปรับลดค่าส่งเสริมการตลาด จนทำให้รายได้ของตัวแทนหายไป
สำหรับเหตุผลที่ลดผลตอบแทนตัวแทนลง เนื่องจากความคุ้มครองตามพ.ร.บ. เพิ่มขึ้นจาก 1 แสนบาท เป็น 2 แสนบาท ขณะที่ราคาเบี้ยพ.ร.บ. ยังเท่าเดิม บริษัทจึงต้องปรับลดผลประโยชน์ลง ซึ่งปัจจุบันตัวแทนส่วนใหญ่จะขายประกันภัยพ.ร.บ.รถยนต์ ราคา 600 บาท จะจูงใจให้มาขายประกันภัยรถยนต์ราคาถูก เป็นประกันชั้น 3 รวมพ.ร.บ. ซึ่งราคาอยู่ที่ 2,690 บาท ซึ่งจะทำให้ตัวแทนมีรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อจะได้สามารถอยู่ในอาชีพได้ต่อไป
ทั้งนี้ ปัจจุบันเบี้ยพ.ร.บ.ของบริษัทมีสัดส่วนเพียง 28% เท่านั้น จากเบี้ยรับรวมปี 2552 ซึ่งทำได้ 2,010 ล้านบาท ที่เหลือเป็นเบี้ยรถยนต์ภาคสมัครใจ
สำหรับปีนี้ตั้งเป้าหมายเบี้ยรับรวม 2,222 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เนื่องจากต้องระมัดระวังการขยายกิจการ เพราะปีนี้มีภาระต้องตั้งสำรองใหม่ๆ ตามเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) หากเติบโตมากอาจต้องตั้งสำรองสูงและเพิ่มทุนอีก
http://www.posttoday.com/finance.php?id=87055
วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553
มิตรแท้ออกประกันรถยนต์ราคาถูกเสริมรายได้ตัวแทนหลังผลตอบแทนพ.ร.บ.ลด
นายสุขเทพ จันทร์ศรีชวาลา ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตรแท้ประกันภัย เปิดเผยว่า ต้นเดือนก.พ.นี้ จะออกกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ใหม่ออกมา 2 แบบ ซึ่งราคาไม่สูงมาก ให้กับตัวแทนประมาณ 1 หมื่นคน ได้มีสินค้าที่ขายง่าย เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปจากประกันพ.ร.บ. ที่ทางบริษัทได้ปรับลดค่าส่งเสริมการตลาด จนทำให้รายได้ของตัวแทนหายไป
สำหรับเหตุผลที่ลดผลตอบแทนตัวแทนลง เนื่องจากความคุ้มครองตามพ.ร.บ. เพิ่มขึ้นจาก 1 แสนบาท เป็น 2 แสนบาท ขณะที่ราคาเบี้ยพ.ร.บ. ยังเท่าเดิม บริษัทจึงต้องปรับลดผลประโยชน์ลง ซึ่งปัจจุบันตัวแทนส่วนใหญ่จะขายประกันภัยพ.ร.บ.รถยนต์ ราคา 600 บาท จะจูงใจให้มาขายประกันภัยรถยนต์ราคาถูก เป็นประกันชั้น 3 รวมพ.ร.บ. ซึ่งราคาอยู่ที่ 2,690 บาท ซึ่งจะทำให้ตัวแทนมีรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อจะได้สามารถอยู่ในอาชีพได้ต่อไป
ทั้งนี้ ปัจจุบันเบี้ยพ.ร.บ.ของบริษัทมีสัดส่วนเพียง 28% เท่านั้น จากเบี้ยรับรวมปี 2552 ซึ่งทำได้ 2,010 ล้านบาท ที่เหลือเป็นเบี้ยรถยนต์ภาคสมัครใจ
สำหรับปีนี้ตั้งเป้าหมายเบี้ยรับรวม 2,222 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เนื่องจากต้องระมัดระวังการขยายกิจการ เพราะปีนี้มีภาระต้องตั้งสำรองใหม่ๆ ตามเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) หากเติบโตมากอาจต้องตั้งสำรองสูงและเพิ่มทุนอีก
http://www.posttoday.com/finance.php?id=87055
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์ที่ 348
ส่งนุสราคุมไทยสมุทรประกันฯ
วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553
นุสรา นั่งเอ็มดีใหม่ไทยสมุทร แทน ดัยนา ลั่นเดินหน้าลุยตลาดรากหญ้า หวังเบี้ย 1.2 หมื่นล้าน
นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต เปิดเผยว่า จะเร่งสร้างผลประกอบการให้ดีขึ้นกว่าเดิม และสร้างบุคลากรให้มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น
สำหรับกลยุทธ์สำคัญจะเน้นรักษาตลาดรากหญ้าเป็นหลัก เนื่องจากเป็นฐานลูกค้าใหญ่ของบริษัทที่มีสัดส่วนมากถึง 80% จากฐานลูกค้าทั้งหมด 2.3 ล้านคน ขณะเดียวกันก็จะขยายไปยังตลาดกลางและบนมากขึ้น รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนเบี้ยต่ออายุให้เพิ่มขึ้นเป็น 87% จากเดิม 84%
ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าเบี้ยปีแรกไว้ที่ 2,954 ล้านบาท เติบโต 20% และมีเบี้ยรับรวมที่ 11,977 ล้านบาท เติบโต 11.5% ขณะที่ปี 2552 มีเบี้ยปีแรกที่ 2,461 ล้านบาท มีเบี้ยรับรวมที่ 10,741 ล้านบาท และมีผลตอบแทนการลงทุนที่ 6.86% สูงกว่าปี 2551 ที่ได้ 6.66%
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ลงทุนพัฒนาปรับปรุงระบบคอมพิวเตอร์ใหม่ทั่วประเทศ เพื่อรองรับบริการที่จะขยายตัวมากขึ้น ซึ่งจะช่วยด้านการลดต้นทุนและลดขั้นตอนต่างๆ ในการอนุมัติกรมธรรม์ได้เร็วขึ้น
ทั้งนี้ แผนการลงทุนปีนี้ตั้งเป้าผลตอบแทนที่ 6.55% และมีสัดส่วนการลงทุนใกล้เคียงปีที่ผ่านมา เน้นพันธบัตรเป็นหลัก 42% ปล่อยสินเชื่อ 15% ปล่อยกู้ตามกรมธรรม์ 16-17% หุ้นกู้ 7% ที่เหลือลงทุนอื่นๆ แต่ปรับสัดส่วนลงทุนให้เหมาะสมเพื่อไม่ต้องสำรองตามเกณฑ์ดำรงเงินกองทุนตามความเสี่ยง (อาร์บีซี) มาก
นายกีรติ อัสสกุล ประธานกรรมการ บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต กล่าวว่า แม้การได้นางนุสราเข้ามาเป็นกรรมการผู้จัดการคนใหม่แทนนางดัยนา บุนนาค ที่ลาออกไป จะทำให้ภาพลักษณ์ของไทยสมุทรฯ ดูเป็นการบริหารงานแบบครอบครัว แต่จากประสบการณ์ในธุรกิจประกันชีวิตไม่ต่ำกว่า 22 ปี จะพิสูจน์ถึงความเป็นมืออาชีพได้
http://www.posttoday.com/finance.php?id=87200
---------------------------------------------------------------------
งานนี้ปรับภาพลักษณ์เพื่อเข้าตลาดเป็นตัวต่อไปหรือเปล่าเนี่ย
วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553
นุสรา นั่งเอ็มดีใหม่ไทยสมุทร แทน ดัยนา ลั่นเดินหน้าลุยตลาดรากหญ้า หวังเบี้ย 1.2 หมื่นล้าน
นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต เปิดเผยว่า จะเร่งสร้างผลประกอบการให้ดีขึ้นกว่าเดิม และสร้างบุคลากรให้มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น
สำหรับกลยุทธ์สำคัญจะเน้นรักษาตลาดรากหญ้าเป็นหลัก เนื่องจากเป็นฐานลูกค้าใหญ่ของบริษัทที่มีสัดส่วนมากถึง 80% จากฐานลูกค้าทั้งหมด 2.3 ล้านคน ขณะเดียวกันก็จะขยายไปยังตลาดกลางและบนมากขึ้น รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนเบี้ยต่ออายุให้เพิ่มขึ้นเป็น 87% จากเดิม 84%
ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าเบี้ยปีแรกไว้ที่ 2,954 ล้านบาท เติบโต 20% และมีเบี้ยรับรวมที่ 11,977 ล้านบาท เติบโต 11.5% ขณะที่ปี 2552 มีเบี้ยปีแรกที่ 2,461 ล้านบาท มีเบี้ยรับรวมที่ 10,741 ล้านบาท และมีผลตอบแทนการลงทุนที่ 6.86% สูงกว่าปี 2551 ที่ได้ 6.66%
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ลงทุนพัฒนาปรับปรุงระบบคอมพิวเตอร์ใหม่ทั่วประเทศ เพื่อรองรับบริการที่จะขยายตัวมากขึ้น ซึ่งจะช่วยด้านการลดต้นทุนและลดขั้นตอนต่างๆ ในการอนุมัติกรมธรรม์ได้เร็วขึ้น
ทั้งนี้ แผนการลงทุนปีนี้ตั้งเป้าผลตอบแทนที่ 6.55% และมีสัดส่วนการลงทุนใกล้เคียงปีที่ผ่านมา เน้นพันธบัตรเป็นหลัก 42% ปล่อยสินเชื่อ 15% ปล่อยกู้ตามกรมธรรม์ 16-17% หุ้นกู้ 7% ที่เหลือลงทุนอื่นๆ แต่ปรับสัดส่วนลงทุนให้เหมาะสมเพื่อไม่ต้องสำรองตามเกณฑ์ดำรงเงินกองทุนตามความเสี่ยง (อาร์บีซี) มาก
นายกีรติ อัสสกุล ประธานกรรมการ บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต กล่าวว่า แม้การได้นางนุสราเข้ามาเป็นกรรมการผู้จัดการคนใหม่แทนนางดัยนา บุนนาค ที่ลาออกไป จะทำให้ภาพลักษณ์ของไทยสมุทรฯ ดูเป็นการบริหารงานแบบครอบครัว แต่จากประสบการณ์ในธุรกิจประกันชีวิตไม่ต่ำกว่า 22 ปี จะพิสูจน์ถึงความเป็นมืออาชีพได้
http://www.posttoday.com/finance.php?id=87200
---------------------------------------------------------------------
งานนี้ปรับภาพลักษณ์เพื่อเข้าตลาดเป็นตัวต่อไปหรือเปล่าเนี่ย
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์ที่ 351
ยังไม่เข้าแต่ ต้องดูกันต่อไปว่าwoody เขียน: มีเมืองไทยประกันชีวิต แต่ไม่เข้าตลาดฯ ครับ
เมื่อแปลงร่างเป็นบริษัทมหาชนแล้ว
kbank จะเอาเข้าหรือเปล่าเพราะพี่ๆ คือ SCB และ BBL เอาเข้าแล้วประสบความสำเร็จ
ยิ้มจนแก้มปลิ
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์ที่ 352
ธนชาตฯเปิดศึกแข่งเบี้ยรถชั้น1
วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553
ธนชาตประกันภัย ออกกรมธรรม์รถยนต์ประเภท 1 ย้ำถูกกว่าท้องตลาด ตั้งเป้ายอดขาย 700 ล้านบาท
นายพีระพัฒน์ เมฆสิงห์วี รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนชาตประกันภัย เปิดเผยว่า บริษัทออกประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 One Lite ที่ราคาถูกกว่าประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ทั่วไป โดยราคาเริ่มต้นที่ 1 หมื่นบาท วงเงินความคุ้มครองเริ่มต้น 2 แสนบาท และรับประกันรถยนต์อายุถึง 10 ปี เน้นจับกลุ่มลูกค้าที่ขับขี่รถดี ไม่ค่อยเกิดอุบัติเหตุ และเป็นผู้ที่เคยใช้บริการประกันภัยชั้น 1 มาก่อน โดยลูกค้าจะได้รับความคุ้มครองอุปกรณ์เสริมหรืออุปกรณ์เพิ่มเติม และมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมง ขายผ่านช่องทางสาขาของธนาคารธนชาต ซึ่งมีอยู่ 257 สาขาทั่วประเทศ
พร้อมทั้งจะเสนอขายไปกับบริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ของธนาคารธนชาต โดยตั้งเป้าหมายยอดขายประกันภัยประเภทนี้ไว้ที่ 700 ล้านบาท ในปีนี้
จากการวิจัยการตลาดในกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย พบว่ามีผู้ขับขี่รถยนต์ที่มีประวัติการขับขี่รถดี และไม่ค่อยเกิดอุบัติเหตุอยู่เป็นจำนวนมาก โดยปกติกลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้จะทำประกันภัยประเภท 1 ซึ่งมีราคาสูง บริษัทจึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 One Lite ที่มีราคาย่อมเยากว่าขึ้นมา นายพีระพัฒน์ กล่าว
สำหรับปี 2553 บริษัทตั้งเป้าหมายเบี้ยรับรวม 4,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% จากปี 2552 โดยแยกเป็นประกันภัยรถยนต์ 3,100 ล้านบาท และการประกันภัยทรัพย์สินและประเภทอื่นๆ 900 ล้านบาท ส่วนปี 2552 มีเบี้ยรับรวมทั้งสิ้น 2,910 ล้านบาท
http://www.posttoday.com/finance.php?id=87366
วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553
ธนชาตประกันภัย ออกกรมธรรม์รถยนต์ประเภท 1 ย้ำถูกกว่าท้องตลาด ตั้งเป้ายอดขาย 700 ล้านบาท
นายพีระพัฒน์ เมฆสิงห์วี รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนชาตประกันภัย เปิดเผยว่า บริษัทออกประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 One Lite ที่ราคาถูกกว่าประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ทั่วไป โดยราคาเริ่มต้นที่ 1 หมื่นบาท วงเงินความคุ้มครองเริ่มต้น 2 แสนบาท และรับประกันรถยนต์อายุถึง 10 ปี เน้นจับกลุ่มลูกค้าที่ขับขี่รถดี ไม่ค่อยเกิดอุบัติเหตุ และเป็นผู้ที่เคยใช้บริการประกันภัยชั้น 1 มาก่อน โดยลูกค้าจะได้รับความคุ้มครองอุปกรณ์เสริมหรืออุปกรณ์เพิ่มเติม และมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชั่วโมง ขายผ่านช่องทางสาขาของธนาคารธนชาต ซึ่งมีอยู่ 257 สาขาทั่วประเทศ
พร้อมทั้งจะเสนอขายไปกับบริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ของธนาคารธนชาต โดยตั้งเป้าหมายยอดขายประกันภัยประเภทนี้ไว้ที่ 700 ล้านบาท ในปีนี้
จากการวิจัยการตลาดในกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย พบว่ามีผู้ขับขี่รถยนต์ที่มีประวัติการขับขี่รถดี และไม่ค่อยเกิดอุบัติเหตุอยู่เป็นจำนวนมาก โดยปกติกลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้จะทำประกันภัยประเภท 1 ซึ่งมีราคาสูง บริษัทจึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 One Lite ที่มีราคาย่อมเยากว่าขึ้นมา นายพีระพัฒน์ กล่าว
สำหรับปี 2553 บริษัทตั้งเป้าหมายเบี้ยรับรวม 4,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% จากปี 2552 โดยแยกเป็นประกันภัยรถยนต์ 3,100 ล้านบาท และการประกันภัยทรัพย์สินและประเภทอื่นๆ 900 ล้านบาท ส่วนปี 2552 มีเบี้ยรับรวมทั้งสิ้น 2,910 ล้านบาท
http://www.posttoday.com/finance.php?id=87366
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์ที่ 353
นครหลวงไทยจับเอไอเอลุยแบงก์แอสชัวรันส์
วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553
ธนาคารนครหลวงไทยเร่งขยายธุรกิจแบงก์แอสชัวรันส์ ตั้งเป้าเบี้ยรับปีแรกโต 1,615 ล้านบาท
นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย เปิดเผยว่า ในปีนี้ธนาคารมีแผนขยายธุรกิจด้านบริการประกันชีวิตผ่านธนาคารหรือแบงก์แอสชัวรันส์อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้ามีเบี้ยปีแรก 1,615 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 85% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาได้เบี้ยปีแรกเพียง 600 ล้านบาทเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังจะเพิ่มจำนวนพนักงานที่มีใบอนุญาตเป็นนาย หน้าประกันชีวิตเพิ่มต่อเนื่องเฉลี่ย ปีละ 800 ราย จากปัจจุบันที่ มีใบอนุญาตประมาณ 2,000 คน หรือคิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของพนักงานธนาคารทั้งหมด รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายพิเศษเฉพาะในแต่ละช่วงตลอด ทั้งปี เพื่อเป็นการเพิ่มยอดการ ใช้บริการและเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของธนาคารในการเป็นธนาคารพาณิชย์ที่ให้บริการทาง การเงินแบบครบวงจรแก่ลูกค้า เป้าหมายและประชาชนทั่วไป อีกด้วย
ในปีนี้เราจะขยายงานแบงก์แอสชัวรันส์อย่างต่อเนื่อง โดยการเสนอผลิตภัณฑ์ที่เป็นประโยชน์และตรงความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่มเป้าหมายจากบริการของบริษัทประกันชีวิตนครหลวงไทย ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของธนาคาร และการขยายธุรกิจร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจด้านประกันชีวิตผ่านเครือข่ายสาขาของธนาคารทั่วประเทศ นายชัยวัฒน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดธนาคารร่วมกับ บริษัท อเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ (เอไอเอ) เปิดให้บริการประกันชีวิต SCIB Platinum Savings 15/7 ซึ่งเป็นกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ 15 ปี ชำระเบี้ยประกัน 7 ปี คุ้มครองทวีคูณ พร้อมมีเงินคืนรายงวดให้ทุกปี วงเงินประกันภัยเริ่มต้น 5 หมื่นบาท ไม่ต้องตรวจสุขภาพ และรับประกันภัยถึงอายุ 70 ปี ซึ่งผู้ทำประกันจะได้รับผลตอบแทนสูงสุด 725%
http://www.posttoday.com/finance.php?id=87364
วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553
ธนาคารนครหลวงไทยเร่งขยายธุรกิจแบงก์แอสชัวรันส์ ตั้งเป้าเบี้ยรับปีแรกโต 1,615 ล้านบาท
นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย เปิดเผยว่า ในปีนี้ธนาคารมีแผนขยายธุรกิจด้านบริการประกันชีวิตผ่านธนาคารหรือแบงก์แอสชัวรันส์อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้ามีเบี้ยปีแรก 1,615 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 85% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาได้เบี้ยปีแรกเพียง 600 ล้านบาทเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังจะเพิ่มจำนวนพนักงานที่มีใบอนุญาตเป็นนาย หน้าประกันชีวิตเพิ่มต่อเนื่องเฉลี่ย ปีละ 800 ราย จากปัจจุบันที่ มีใบอนุญาตประมาณ 2,000 คน หรือคิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของพนักงานธนาคารทั้งหมด รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายพิเศษเฉพาะในแต่ละช่วงตลอด ทั้งปี เพื่อเป็นการเพิ่มยอดการ ใช้บริการและเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของธนาคารในการเป็นธนาคารพาณิชย์ที่ให้บริการทาง การเงินแบบครบวงจรแก่ลูกค้า เป้าหมายและประชาชนทั่วไป อีกด้วย
ในปีนี้เราจะขยายงานแบงก์แอสชัวรันส์อย่างต่อเนื่อง โดยการเสนอผลิตภัณฑ์ที่เป็นประโยชน์และตรงความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่มเป้าหมายจากบริการของบริษัทประกันชีวิตนครหลวงไทย ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของธนาคาร และการขยายธุรกิจร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจด้านประกันชีวิตผ่านเครือข่ายสาขาของธนาคารทั่วประเทศ นายชัยวัฒน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดธนาคารร่วมกับ บริษัท อเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ (เอไอเอ) เปิดให้บริการประกันชีวิต SCIB Platinum Savings 15/7 ซึ่งเป็นกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ 15 ปี ชำระเบี้ยประกัน 7 ปี คุ้มครองทวีคูณ พร้อมมีเงินคืนรายงวดให้ทุกปี วงเงินประกันภัยเริ่มต้น 5 หมื่นบาท ไม่ต้องตรวจสุขภาพ และรับประกันภัยถึงอายุ 70 ปี ซึ่งผู้ทำประกันจะได้รับผลตอบแทนสูงสุด 725%
http://www.posttoday.com/finance.php?id=87364
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์ที่ 354
ไทยศรีประกันฯกวาด1.9พันล.
วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553
ไทยศรีประกันภัยลุยทำเบี้ย 1,900 ล้าน พร้อมเดินหน้าลดต้นทุน ขยายงานนันมอเตอร์ สร้างกำไรเพิ่ม 194 ล้านบาท
นายนที พานิชชีวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยศรีประกันภัย เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าขายเบี้ยให้ได้ 1,906 ล้านบาท หรือเติบโต 6% และมีกำไรประมาณ 194 ล้านบาท โดยกลยุทธ์ที่สำคัญในปีนี้จะขยายเบี้ยประกันที่ไม่ใช่รถยนต์หรือนันมอเตอร์มากขึ้น ด้วยการเน้นขายแบบประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (พีเอ) และประกันอัคคีภัยบ้านที่อยู่อาศัยเป็นหลัก เนื่องจากเป็นแบบประกันที่มีกำไรดี
นอกจากนี้ยังมีแผนขยายตลาดไปยังลูกค้าชาวต่างชาติตามเมืองท่องเที่ยว เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา และศึกษาการทำตลาดทางโทรศัพท์หรือเทเลมาร์เก็ตติง รวมถึงการพัฒนาตัวแทนและนายหน้าให้รองรับการแข่งขันได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเบี้ยประกันรถยนต์ก็ยังเป็นธุรกิจหลักของบริษัทอยู่ โดยยังคงใช้นโยบายคัดเลือกงานที่มีคุณภาพและมีความเสี่ยงต่ำเป็นหลัก ซึ่งในปีที่ผ่านมาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าจากนโยบายดังกล่าวทำให้อัตราความเสียหายต่อเบี้ยประกันภัยโดยรวมลดลง และในปีนี้จะมีการจับกลุ่มตลาดเฉพาะเจาะจงประเภทรถหรูราคาแพงเพิ่มขึ้นอีกด้วย ซึ่งในปีนี้คาดว่าสัดส่วนเบี้ยนันมอเตอร์จะอยู่ที่ 45% และเบี้ยรถยนต์อยู่ที่ 55% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเบี้ยนันมอเตอร์อยู่ที่ 38% และเบี้ยรถยนต์อยู่ที่ 62%
สำหรับผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา บริษัทมีเบี้ยรับรวมที่ 1,798 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อเทียบกับปี 2551 และมีกำไร 182 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 6.8% เมื่อเทียบกับปีที่ ผ่านมา ซึ่งสาเหตุที่กำไรดี เนื่อง มาจากอัตราความเสียหายต่อเบี้ยประกันภัยลดลง 3.7% มาอยู่ที่ 47.9% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 52.5% และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายรวมสินไหมทดแทนก็ลดลง 1.6% มาอยู่ที่ 90.8% ต่ำสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา จึงส่งผลให้ผลประกอบการดีขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ และมีส่วนชดเชยแทนรายได้จากการลงทุนที่ลดลง 18.7%
อย่างไรก็ตามในปีนี้ คาดว่าเงินลงทุนที่มีอยู่ประมาณ 2,600 ล้านบาท จะสร้างผลตอบแทนได้ดีขึ้น ทั้งจากภาวะตลาดหุ้นที่ดีขึ้น และบริษัทมีรายได้เพิ่มจากค่าเช่าพื้นที่ในสำนักงานใหญ่อีกปีละ 10 ล้านบาท เป็นผลจากการที่มีรถไฟฟ้าวิ่งผ่านและบริษัทปรับค่าเช่าพื้นที่ขึ้นได้ถึง 50%
นายนที กล่าวว่า บริษัทยังมีแผนขยายงานออกไปตามภูมิภาคให้มากขึ้นด้วย เนื่องจากปัจจุบันเบี้ยประกันภัยของบริษัท 3 ใน 4 ยังคงเป็นงานตัวแทนนายหน้าในเขตกรุงเทพฯ ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีสัดส่วนเบี้ยประกันภัยน้อยที่สุด 2.3% เท่านั้น จึงยังมีช่องทางขยายตลาดได้อีกมาก
http://www.posttoday.com/finance.php?id=87367
วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553
ไทยศรีประกันภัยลุยทำเบี้ย 1,900 ล้าน พร้อมเดินหน้าลดต้นทุน ขยายงานนันมอเตอร์ สร้างกำไรเพิ่ม 194 ล้านบาท
นายนที พานิชชีวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยศรีประกันภัย เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าขายเบี้ยให้ได้ 1,906 ล้านบาท หรือเติบโต 6% และมีกำไรประมาณ 194 ล้านบาท โดยกลยุทธ์ที่สำคัญในปีนี้จะขยายเบี้ยประกันที่ไม่ใช่รถยนต์หรือนันมอเตอร์มากขึ้น ด้วยการเน้นขายแบบประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (พีเอ) และประกันอัคคีภัยบ้านที่อยู่อาศัยเป็นหลัก เนื่องจากเป็นแบบประกันที่มีกำไรดี
นอกจากนี้ยังมีแผนขยายตลาดไปยังลูกค้าชาวต่างชาติตามเมืองท่องเที่ยว เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา และศึกษาการทำตลาดทางโทรศัพท์หรือเทเลมาร์เก็ตติง รวมถึงการพัฒนาตัวแทนและนายหน้าให้รองรับการแข่งขันได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเบี้ยประกันรถยนต์ก็ยังเป็นธุรกิจหลักของบริษัทอยู่ โดยยังคงใช้นโยบายคัดเลือกงานที่มีคุณภาพและมีความเสี่ยงต่ำเป็นหลัก ซึ่งในปีที่ผ่านมาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าจากนโยบายดังกล่าวทำให้อัตราความเสียหายต่อเบี้ยประกันภัยโดยรวมลดลง และในปีนี้จะมีการจับกลุ่มตลาดเฉพาะเจาะจงประเภทรถหรูราคาแพงเพิ่มขึ้นอีกด้วย ซึ่งในปีนี้คาดว่าสัดส่วนเบี้ยนันมอเตอร์จะอยู่ที่ 45% และเบี้ยรถยนต์อยู่ที่ 55% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเบี้ยนันมอเตอร์อยู่ที่ 38% และเบี้ยรถยนต์อยู่ที่ 62%
สำหรับผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา บริษัทมีเบี้ยรับรวมที่ 1,798 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อเทียบกับปี 2551 และมีกำไร 182 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 6.8% เมื่อเทียบกับปีที่ ผ่านมา ซึ่งสาเหตุที่กำไรดี เนื่อง มาจากอัตราความเสียหายต่อเบี้ยประกันภัยลดลง 3.7% มาอยู่ที่ 47.9% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 52.5% และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายรวมสินไหมทดแทนก็ลดลง 1.6% มาอยู่ที่ 90.8% ต่ำสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา จึงส่งผลให้ผลประกอบการดีขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ และมีส่วนชดเชยแทนรายได้จากการลงทุนที่ลดลง 18.7%
อย่างไรก็ตามในปีนี้ คาดว่าเงินลงทุนที่มีอยู่ประมาณ 2,600 ล้านบาท จะสร้างผลตอบแทนได้ดีขึ้น ทั้งจากภาวะตลาดหุ้นที่ดีขึ้น และบริษัทมีรายได้เพิ่มจากค่าเช่าพื้นที่ในสำนักงานใหญ่อีกปีละ 10 ล้านบาท เป็นผลจากการที่มีรถไฟฟ้าวิ่งผ่านและบริษัทปรับค่าเช่าพื้นที่ขึ้นได้ถึง 50%
นายนที กล่าวว่า บริษัทยังมีแผนขยายงานออกไปตามภูมิภาคให้มากขึ้นด้วย เนื่องจากปัจจุบันเบี้ยประกันภัยของบริษัท 3 ใน 4 ยังคงเป็นงานตัวแทนนายหน้าในเขตกรุงเทพฯ ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีสัดส่วนเบี้ยประกันภัยน้อยที่สุด 2.3% เท่านั้น จึงยังมีช่องทางขยายตลาดได้อีกมาก
http://www.posttoday.com/finance.php?id=87367
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์ที่ 355
อลคอนทุ่มเพิ่มฝ่ายขาย ชูเบี้ย650ล.
วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553
ฟอลคอนลงทุนปีนี้ 14 ล้านบาท คอลเซ็นเตอร์สาขาใหม่ ดันเบี้ยรับรวมให้ถึงเป้าหมาย 650 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44%
นายโอฬาร วงศ์สุรพิเชษฐ์ ประธานบริหารสูงสุด บริษัท ฟอลคอนประกันภัย เปิดเผยว่า ปี 2553 จะใช้เงินลงทุนอีก 10 ล้านบาท สำหรับการจัดตั้งคอลเซ็นเตอร์ แห่งใหม่ ซึ่งจะมีจำนวนพนักงานขายและให้บริการประจำ 80 ที่นั่ง จากปัจจุบันที่มีคอลเซ็นเตอร์ทั้งหมด 6 แห่ง มีพนักงานขาย 120 คน นอกจากนี้จะเป็นปีแรกที่จะเปิดสาขาในต่างจังหวัด ซึ่งจะใช้เงินลงทุน 4 ล้านบาท เพื่อทำความ คุ้นเคยกับตลาดในแทบนี้ให้เป็นที่รู้จักบริษัท จะมีพนักงานประจำสาขา 15 คน รวมถึงขยายพันธมิตรใหม่ ที่เป็นบริษัทนายหน้าประกันภัย เพิ่มอีก 3 แห่ง จากปัจจุบันที่มีอยู่ 14 แห่ง
ทั้งนี้ เพื่อเป็นขยายฐานลูกค้าทางโทรศัพท์หรือตลาดไดเรกต์ให้กว้างขึ้นจากปัจจุบันที่มีประมาณ 1 แสนคน และเป็นกลยุทธ์ในการเพิ่มเบี้ยประกันภัยรับรวมให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 650 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% เมื่อเทียบกับปี 2552 ที่มีเบี้ยรับรวม 450 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80% เมื่อเทียบกับปี 2551
สำหรับปีที่ผ่านมาบริษัทมีกำไร 31 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้ว่าจะมีกำไรในปีที่ 4 และปีนี้จะรักษากำไรไม่ให้ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา
http://www.posttoday.com/finance.php?id=87203
วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553
ฟอลคอนลงทุนปีนี้ 14 ล้านบาท คอลเซ็นเตอร์สาขาใหม่ ดันเบี้ยรับรวมให้ถึงเป้าหมาย 650 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44%
นายโอฬาร วงศ์สุรพิเชษฐ์ ประธานบริหารสูงสุด บริษัท ฟอลคอนประกันภัย เปิดเผยว่า ปี 2553 จะใช้เงินลงทุนอีก 10 ล้านบาท สำหรับการจัดตั้งคอลเซ็นเตอร์ แห่งใหม่ ซึ่งจะมีจำนวนพนักงานขายและให้บริการประจำ 80 ที่นั่ง จากปัจจุบันที่มีคอลเซ็นเตอร์ทั้งหมด 6 แห่ง มีพนักงานขาย 120 คน นอกจากนี้จะเป็นปีแรกที่จะเปิดสาขาในต่างจังหวัด ซึ่งจะใช้เงินลงทุน 4 ล้านบาท เพื่อทำความ คุ้นเคยกับตลาดในแทบนี้ให้เป็นที่รู้จักบริษัท จะมีพนักงานประจำสาขา 15 คน รวมถึงขยายพันธมิตรใหม่ ที่เป็นบริษัทนายหน้าประกันภัย เพิ่มอีก 3 แห่ง จากปัจจุบันที่มีอยู่ 14 แห่ง
ทั้งนี้ เพื่อเป็นขยายฐานลูกค้าทางโทรศัพท์หรือตลาดไดเรกต์ให้กว้างขึ้นจากปัจจุบันที่มีประมาณ 1 แสนคน และเป็นกลยุทธ์ในการเพิ่มเบี้ยประกันภัยรับรวมให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 650 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% เมื่อเทียบกับปี 2552 ที่มีเบี้ยรับรวม 450 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80% เมื่อเทียบกับปี 2551
สำหรับปีที่ผ่านมาบริษัทมีกำไร 31 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้ว่าจะมีกำไรในปีที่ 4 และปีนี้จะรักษากำไรไม่ให้ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา
http://www.posttoday.com/finance.php?id=87203
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์ที่ 356
ออกประกันรับมือโจรบัตรเครดิต
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553
โพสต์ทูเดย์ นิวแฮมพ์เชอร์ สบช่องโจรไฮเทคอาละวาด ออกประกันคุ้มครองบัตรเครดิตถูกขโมย
นายพงษ์ภาณุ ดำรงศิริ รองประธาน บริษัท นิวแฮมพ์เชอร์ อินชัวรันส์ เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะออกแบบประกันใหม่ที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับเรื่องการขโมยบัตรเครดิตไปใช้โดยเฉพาะ ซึ่งจะให้ความคุ้มครองธุรกรรมที่เกิดขึ้นหลังจากที่ลูกค้าทำการอายัดบัตรเครดิตแล้วเป็นเวลา 12 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม หากเป็นกรณีที่บัตรเครดิตไม่สูญหาย แต่ถูกโจรกรรมข้อมูล บริษัทก็จะออกค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดีให้ ซึ่งคาดว่าเบี้ยประกันจะอยู่ที่ประมาณปีละ 50-300 บาท มีทุนประกันตั้งแต่ 2 หมื่นบาท-5 แสนบาท ซึ่งแบบประกันลักษณะนี้ในต่างประเทศมีให้บริการมาได้ประมาณ 3 ปีแล้ว แต่ในปัจจุบันไทยเริ่มมีการโจรกรรมบัตรเครดิตกัน และเกิดความระมัดระวังมากขึ้น ซึ่งฐานลูกค้ากลุ่มนี้ก็มีผู้ถือบัตรเครดิตถึง 7 ล้านคน จากจำนวนบัตรเครดิต 12 ล้านใบ
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาหลังจากที่บริษัทมีแบบประกันคุ้มครองการถูกโจรกรรมเงินสดหลังจากลูกค้าเบิกเงินจากเครื่องเอทีเอ็มก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และมีอัตราความเสียหายต่อเบี้ยประกันเพียง 40-50% เท่านั้น รวมถึงรับประกันกระเป๋าสตางค์หายที่ออกขายมาก่อนหน้าอีกด้วย
สำหรับช่องทางขายนั้นยังคงเน้นผ่านตัวแทนที่มีอยู่ประมาณ 7,500 คนเป็นหลัก และพยายามจะออกแบบประกันใหม่ให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตของลูกค้าโดยเฉพาะ ซึ่งคาดว่าสัดส่วนเบี้ยลูกค้ารายใหญ่จะอยู่ประมาณ 50% เบี้ยรถยนต์ 20% และเบี้ยที่ไม่ใช่รถยนต์หรือ นันมอเตอร์ ประเภทสุขภาพและอุบัติเหตุส่วนบุคคล (พีเอ) 30% ซึ่งเบี้ยนันมอเตอร์นั้นถือเป็นเบี้ยหลักที่สำคัญ เนื่องจากมีอัตราความเสียหายต่อเบี้ยประกันอยู่ในเกณฑ์ต่ำ
นายพงษ์ภาณุ กล่าวว่า ล่าสุดบริษัทได้ร่วมมือกับบริษัท ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ เพื่อเสนอขายแบบประกัน ทิคเก็ต โปรเทค ให้กับลูกค้าที่จองบัตรดูการแสดงต่างๆ โดยให้ความคุ้มครองกรณีที่ผู้ถือบัตรไม่สามารถมาชมการแสดงตามเงื่อนไขที่กำหนด และสามารถได้รับเงิน ค่าบัตรเต็มจำนวน โดยคิดค่าเบี้ยเพียง 7% ของมูลค่าบัตรเท่านั้น ซึ่งหลังจากทดลองขายมาตั้งแต่เดือนก.ย.ปีที่ผ่านมา ลูกค้าก็ตอบรับเป็นอย่างดีซื้อถึง 13% ต่อรอบการแสดง ขณะที่ตั้งเป้าไว้เพียง 10% และมีลูกค้าเคลมสินไหมเพียง 50 รายเท่านั้น มีอัตราความเสียหายต่อเบี้ยประกันภัย 35-40%
นอกจากนี้ ยังมีแบบประกันทัวร์ชัวร์ ที่ให้ความคุ้มครองอุบัติเหตุการเดินทางเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ทุนคุ้มครองสูงสุด 2 แสนบาท เพียงแต่ลูกค้าต้องจ่ายค่าเบี้ยเพิ่ม 30 บาท เมื่อจองตั๋วรถทัวร์ผ่านไทยทิคเก็ต
นายโชคชัย เอี่ยมฤทธิไกร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทขายบัตรการแสดงต่างๆ ได้ปีละประมาณ 1 ล้านใบ และบัตรรถทัวร์ปีละ 1 แสนใบ
http://www.posttoday.com/finance.php?id=87532
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553
โพสต์ทูเดย์ นิวแฮมพ์เชอร์ สบช่องโจรไฮเทคอาละวาด ออกประกันคุ้มครองบัตรเครดิตถูกขโมย
นายพงษ์ภาณุ ดำรงศิริ รองประธาน บริษัท นิวแฮมพ์เชอร์ อินชัวรันส์ เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะออกแบบประกันใหม่ที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับเรื่องการขโมยบัตรเครดิตไปใช้โดยเฉพาะ ซึ่งจะให้ความคุ้มครองธุรกรรมที่เกิดขึ้นหลังจากที่ลูกค้าทำการอายัดบัตรเครดิตแล้วเป็นเวลา 12 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม หากเป็นกรณีที่บัตรเครดิตไม่สูญหาย แต่ถูกโจรกรรมข้อมูล บริษัทก็จะออกค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดีให้ ซึ่งคาดว่าเบี้ยประกันจะอยู่ที่ประมาณปีละ 50-300 บาท มีทุนประกันตั้งแต่ 2 หมื่นบาท-5 แสนบาท ซึ่งแบบประกันลักษณะนี้ในต่างประเทศมีให้บริการมาได้ประมาณ 3 ปีแล้ว แต่ในปัจจุบันไทยเริ่มมีการโจรกรรมบัตรเครดิตกัน และเกิดความระมัดระวังมากขึ้น ซึ่งฐานลูกค้ากลุ่มนี้ก็มีผู้ถือบัตรเครดิตถึง 7 ล้านคน จากจำนวนบัตรเครดิต 12 ล้านใบ
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาหลังจากที่บริษัทมีแบบประกันคุ้มครองการถูกโจรกรรมเงินสดหลังจากลูกค้าเบิกเงินจากเครื่องเอทีเอ็มก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และมีอัตราความเสียหายต่อเบี้ยประกันเพียง 40-50% เท่านั้น รวมถึงรับประกันกระเป๋าสตางค์หายที่ออกขายมาก่อนหน้าอีกด้วย
สำหรับช่องทางขายนั้นยังคงเน้นผ่านตัวแทนที่มีอยู่ประมาณ 7,500 คนเป็นหลัก และพยายามจะออกแบบประกันใหม่ให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตของลูกค้าโดยเฉพาะ ซึ่งคาดว่าสัดส่วนเบี้ยลูกค้ารายใหญ่จะอยู่ประมาณ 50% เบี้ยรถยนต์ 20% และเบี้ยที่ไม่ใช่รถยนต์หรือ นันมอเตอร์ ประเภทสุขภาพและอุบัติเหตุส่วนบุคคล (พีเอ) 30% ซึ่งเบี้ยนันมอเตอร์นั้นถือเป็นเบี้ยหลักที่สำคัญ เนื่องจากมีอัตราความเสียหายต่อเบี้ยประกันอยู่ในเกณฑ์ต่ำ
นายพงษ์ภาณุ กล่าวว่า ล่าสุดบริษัทได้ร่วมมือกับบริษัท ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ เพื่อเสนอขายแบบประกัน ทิคเก็ต โปรเทค ให้กับลูกค้าที่จองบัตรดูการแสดงต่างๆ โดยให้ความคุ้มครองกรณีที่ผู้ถือบัตรไม่สามารถมาชมการแสดงตามเงื่อนไขที่กำหนด และสามารถได้รับเงิน ค่าบัตรเต็มจำนวน โดยคิดค่าเบี้ยเพียง 7% ของมูลค่าบัตรเท่านั้น ซึ่งหลังจากทดลองขายมาตั้งแต่เดือนก.ย.ปีที่ผ่านมา ลูกค้าก็ตอบรับเป็นอย่างดีซื้อถึง 13% ต่อรอบการแสดง ขณะที่ตั้งเป้าไว้เพียง 10% และมีลูกค้าเคลมสินไหมเพียง 50 รายเท่านั้น มีอัตราความเสียหายต่อเบี้ยประกันภัย 35-40%
นอกจากนี้ ยังมีแบบประกันทัวร์ชัวร์ ที่ให้ความคุ้มครองอุบัติเหตุการเดินทางเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ทุนคุ้มครองสูงสุด 2 แสนบาท เพียงแต่ลูกค้าต้องจ่ายค่าเบี้ยเพิ่ม 30 บาท เมื่อจองตั๋วรถทัวร์ผ่านไทยทิคเก็ต
นายโชคชัย เอี่ยมฤทธิไกร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทขายบัตรการแสดงต่างๆ ได้ปีละประมาณ 1 ล้านใบ และบัตรรถทัวร์ปีละ 1 แสนใบ
http://www.posttoday.com/finance.php?id=87532
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์ที่ 357
ประกันขรก.เฟื่อง เล็งผุดบำนาญรับ
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553
โพสต์ทูเดย์ แนวโน้มประกันชีวิตตลาดข้าราชการโต เอกชน เล็งออกกรมธรรม์บำนาญต่อยอดสวัสดิการรัฐ
นายไกดา ศรีเฟื่องฟุ้ง รองกรรมการผู้จัดการ สายงานประกันชีวิตธุรกิจเฉพาะ บริษัท ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต เปิดเผยว่า ตลาดประกันชีวิตกลุ่มข้าราชการเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายใหม่ 316 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.04% จากปี 2552 ที่มียอดขายใหม่ 234 ล้านบาท แม้ว่าข้าราชการจะมีระบบบำเหน็จ แต่ต้องการสร้างมรดกไว้ให้ลูกหลานขณะที่มีกำลังซื้อ ส่วนเงินบำเหน็จหรือบำนาญเก็บไว้ใช้ส่วนตัว และส่วนหนึ่งมองว่ากลัวไม่พอใช้ จึงหันมาออมเงินผ่านประกันชีวิตมากขึ้น
หากกรมธรรม์บำนาญได้รับการลดหย่อนภาษี จะทำให้ข้าราชการหันมาทำประกันชีวิตเพิ่มขึ้นอีก เพราะข้าราชการก็มีภาระต้องเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเหมือนกัน นายไกดา กล่าว
นายไกดา กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการออกแบบกรมธรรม์บำนาญ เพื่อออกมาให้บริการในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการทำตัวเลข และวิเคราะห์ความเสี่ยงย้อนหลัง เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่มีกรมธรรม์บำนาญจริงๆ แต่ตามหลักทั่วไปแล้ว การซื้อกรมธรรม์บำนาญเมื่ออายุสูงขึ้นเบี้ยก็จะแพง เพราะออมเพียงไม่กี่ปีบริษัทประกันจะต้องจ่ายเงินคืนให้กับผู้เอาประกันแล้ว ผู้ที่มีอายุน้อยจะชำระเบี้ยประกันชีวิตที่ต่ำกว่า
ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้กำหนดเงื่อนไขตามกรมธรรม์บำนาญมาตรฐานว่าลูกค้าสามารถใช้สิทธิเวนคืนกรมธรรม์ หรือกู้เงินตามเงื่อนไขกรมธรรม์ได้สำหรับช่วงก่อนรับเงินบำนาญ กรณีผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต ผู้รับผลประโยชน์จะต้องรีบแจ้งให้บริษัททราบภายใน 14 วันนับแต่วันที่เสียชีวิต
สำหรับกรณีที่บริษัทจะไม่คุ้มครอง ประกอบด้วย การไม่เปิดเผยข้อความจริง หรือแถลงข้อความเท็จ บริษัทจะบอกล้างสัญญาภายใน 2 ปีนับตั้งแต่วันทำสัญญา การฆ่าตัวตายภายใน 1 ปี หรือถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตาย
ดังนั้น กรณีช่วงรับเงินบำนาญ ผู้เอาประกันภัยต้องพิสูจน์การมีชีวิต โดยค่าใช้จ่ายของผู้เอาประกันภัยเอง ส่วนการขอรับเงินบำนาญ สามารถขอรับเป็นเงินสดหรือรับเป็นเช็ค หรือโอนผ่านบัญชีธนาคาร โดยบริษัทจะหักค่าใช้จ่ายจากเงินบำนาญที่จ่ายให้แก่ผู้เอาประกันภัยในแต่ละงวด
http://www.posttoday.com/finance.php?id=87533
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553
โพสต์ทูเดย์ แนวโน้มประกันชีวิตตลาดข้าราชการโต เอกชน เล็งออกกรมธรรม์บำนาญต่อยอดสวัสดิการรัฐ
นายไกดา ศรีเฟื่องฟุ้ง รองกรรมการผู้จัดการ สายงานประกันชีวิตธุรกิจเฉพาะ บริษัท ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต เปิดเผยว่า ตลาดประกันชีวิตกลุ่มข้าราชการเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายใหม่ 316 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.04% จากปี 2552 ที่มียอดขายใหม่ 234 ล้านบาท แม้ว่าข้าราชการจะมีระบบบำเหน็จ แต่ต้องการสร้างมรดกไว้ให้ลูกหลานขณะที่มีกำลังซื้อ ส่วนเงินบำเหน็จหรือบำนาญเก็บไว้ใช้ส่วนตัว และส่วนหนึ่งมองว่ากลัวไม่พอใช้ จึงหันมาออมเงินผ่านประกันชีวิตมากขึ้น
หากกรมธรรม์บำนาญได้รับการลดหย่อนภาษี จะทำให้ข้าราชการหันมาทำประกันชีวิตเพิ่มขึ้นอีก เพราะข้าราชการก็มีภาระต้องเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเหมือนกัน นายไกดา กล่าว
นายไกดา กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการออกแบบกรมธรรม์บำนาญ เพื่อออกมาให้บริการในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการทำตัวเลข และวิเคราะห์ความเสี่ยงย้อนหลัง เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่มีกรมธรรม์บำนาญจริงๆ แต่ตามหลักทั่วไปแล้ว การซื้อกรมธรรม์บำนาญเมื่ออายุสูงขึ้นเบี้ยก็จะแพง เพราะออมเพียงไม่กี่ปีบริษัทประกันจะต้องจ่ายเงินคืนให้กับผู้เอาประกันแล้ว ผู้ที่มีอายุน้อยจะชำระเบี้ยประกันชีวิตที่ต่ำกว่า
ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้กำหนดเงื่อนไขตามกรมธรรม์บำนาญมาตรฐานว่าลูกค้าสามารถใช้สิทธิเวนคืนกรมธรรม์ หรือกู้เงินตามเงื่อนไขกรมธรรม์ได้สำหรับช่วงก่อนรับเงินบำนาญ กรณีผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต ผู้รับผลประโยชน์จะต้องรีบแจ้งให้บริษัททราบภายใน 14 วันนับแต่วันที่เสียชีวิต
สำหรับกรณีที่บริษัทจะไม่คุ้มครอง ประกอบด้วย การไม่เปิดเผยข้อความจริง หรือแถลงข้อความเท็จ บริษัทจะบอกล้างสัญญาภายใน 2 ปีนับตั้งแต่วันทำสัญญา การฆ่าตัวตายภายใน 1 ปี หรือถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตาย
ดังนั้น กรณีช่วงรับเงินบำนาญ ผู้เอาประกันภัยต้องพิสูจน์การมีชีวิต โดยค่าใช้จ่ายของผู้เอาประกันภัยเอง ส่วนการขอรับเงินบำนาญ สามารถขอรับเป็นเงินสดหรือรับเป็นเช็ค หรือโอนผ่านบัญชีธนาคาร โดยบริษัทจะหักค่าใช้จ่ายจากเงินบำนาญที่จ่ายให้แก่ผู้เอาประกันภัยในแต่ละงวด
http://www.posttoday.com/finance.php?id=87533
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์ที่ 358
แอกซ่าฯควานหาซีเอโอใหม่
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553
โพสต์ทูเดย์ กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ควานหาประธาน เจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายตัวแทนหลังมือดีลาออก
นายไมค์ แพล็กซ์ตัน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต เปิดเผยว่า นายบรรณยง นราสวัสดิ์ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายตัวแทน (ซีเอโอ) ได้ลาออกจากตำแหน่งโดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2553 เป็นต้นไป ซึ่งการตัดสินใจลาออกของนายบรรณยงในครั้งนี้เป็นการตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียวโดยที่บริษัทมิได้มีอิทธิพลใดๆ ในการตัดสินใจครั้งนี้
ผมเข้าใจว่าการลาออกจากตำแหน่งของนายบรรณยงในครั้งนี้มาจากความกดดันที่เกิดขึ้นจากการทำงาน ซึ่งต้องรับผิดชอบเป้าหมายของยอดขายทุกๆ เดือน นายไมค์ กล่าว
นายไมค์ คาดว่า นายบรรณยงน่าจะเข้าทำงานในบทบาทเดิมในองค์กรที่มีฝ่ายขายด้านตัวแทนขนาดเล็กกว่า โดยในช่วงระหว่างที่บริษัทกำลังมองหาผู้บริหารที่มีศักยภาพเพื่อเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายตัวแทน แทนนายบรรยง บริษัทได้แต่งตั้งนายโรเจอร์ ดีคอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายขาย รักษาการแทน
แหล่งข่าวจากวงการประกันชีวิต กล่าวว่า นายบรรณยงได้ ตัดสินใจเข้าร่วมงานกับบริษัท ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต ในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานตัวแทน ที่ปัจจุบันนายโดนอลด์ คาร์ดีน กรรมการผู้จัดการใหญ่รักษาการ ซึ่งปีนี้ตั้งเป้าหมายที่จะหาตัวแทนใหม่เข้าร่วมงาน 7,500 คน เพื่อขยายช่องทางการขายผ่านตัวแทนให้มากขึ้น จากปัจจุบันที่รายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายผ่านธนาคาร
http://www.posttoday.com/finance.php?id=87534
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553
โพสต์ทูเดย์ กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ควานหาประธาน เจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายตัวแทนหลังมือดีลาออก
นายไมค์ แพล็กซ์ตัน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต เปิดเผยว่า นายบรรณยง นราสวัสดิ์ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายตัวแทน (ซีเอโอ) ได้ลาออกจากตำแหน่งโดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2553 เป็นต้นไป ซึ่งการตัดสินใจลาออกของนายบรรณยงในครั้งนี้เป็นการตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียวโดยที่บริษัทมิได้มีอิทธิพลใดๆ ในการตัดสินใจครั้งนี้
ผมเข้าใจว่าการลาออกจากตำแหน่งของนายบรรณยงในครั้งนี้มาจากความกดดันที่เกิดขึ้นจากการทำงาน ซึ่งต้องรับผิดชอบเป้าหมายของยอดขายทุกๆ เดือน นายไมค์ กล่าว
นายไมค์ คาดว่า นายบรรณยงน่าจะเข้าทำงานในบทบาทเดิมในองค์กรที่มีฝ่ายขายด้านตัวแทนขนาดเล็กกว่า โดยในช่วงระหว่างที่บริษัทกำลังมองหาผู้บริหารที่มีศักยภาพเพื่อเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายตัวแทน แทนนายบรรยง บริษัทได้แต่งตั้งนายโรเจอร์ ดีคอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายขาย รักษาการแทน
แหล่งข่าวจากวงการประกันชีวิต กล่าวว่า นายบรรณยงได้ ตัดสินใจเข้าร่วมงานกับบริษัท ไทยพาณิชย์นิวยอร์คไลฟ์ประกันชีวิต ในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานตัวแทน ที่ปัจจุบันนายโดนอลด์ คาร์ดีน กรรมการผู้จัดการใหญ่รักษาการ ซึ่งปีนี้ตั้งเป้าหมายที่จะหาตัวแทนใหม่เข้าร่วมงาน 7,500 คน เพื่อขยายช่องทางการขายผ่านตัวแทนให้มากขึ้น จากปัจจุบันที่รายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายผ่านธนาคาร
http://www.posttoday.com/finance.php?id=87534
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์ที่ 359
สามัคคีฯฟื้นรายได้ลงทุนกำไร200ล.
วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553
โพสต์ทูเดย์ ไทยพาณิชย์สามัคคีลงทุนกระเตื้องทำกำไร 200 ล้านบาท
นายจิรวุฒิ บุญศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยพาณิชย์สามัคคีประกันภัย เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้กำไร 200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 164% เทียบกับปี 2551 ที่ขาดทุนไป 310 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิต่อหุ้น 2.21 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 3.42 บาท
ทั้งนี้ เนื่องจากมีรายได้จากการลงทุนสุทธิ 103 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 121% จากปีก่อนที่ขาดทุนจากการลงทุน 476 ล้านบาท ซึ่งในปีที่ผ่านมามีเบี้ยรับ 2,863 ล้านบาท ลดลง 13% จากปีก่อนที่มีเบี้ยรับ 3,290 ล้านบาท แต่เมื่อหักเบี้ยประกันภัยต่อแล้ว มีเบี้ยรับสุทธิ 2,188 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.4% คิดเป็นเบี้ยที่ถือเป็นรายได้ 2,059 ล้านบาท
นายจิรวุฒิ กล่าวว่า บริษัทยังมีเงินสำรองเบี้ยประกันภัยที่ยังไม่ถือเป็นรายได้ 1,125 ล้านบาท และรายได้รับล่วงหน้าสำหรับกรมธรรม์ระยะยาวซึ่งแสดงในงบดุลส่วนของหนี้สินอีก 395 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีค่าใช้จ่ายจากการรับประกัน 1,472 ล้านบาท คือ ค่าสินไหมทดแทนและค่าใช้จ่ายในการจัดการสินไหมทดแทนรวม 977 ล้านบาท ลดลง 16% จากปีก่อน และมีอัตราค่าสินไหมทดแทนต่อเบี้ยประกันที่ถือเป็นรายได้ 47% ลดลงจากปีก่อน ซึ่งมีอัตรา 51% ทำให้มีกำไรจากการรับประกัน 586 ล้านบาท ลดลง 5%
นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ไม่รวมรายการพิเศษจำนวน 435 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% ทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิก่อนรายการพิเศษ 376 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 221% ก่อนหักรายการพิเศษเกี่ยวกับหนี้สงสัยจะสูญที่บริษัทรับประกันภัยปฏิเสธจ่ายสินไหม 175 ล้านบาท
http://www.posttoday.com/finance.php?id=87671
วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553
โพสต์ทูเดย์ ไทยพาณิชย์สามัคคีลงทุนกระเตื้องทำกำไร 200 ล้านบาท
นายจิรวุฒิ บุญศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยพาณิชย์สามัคคีประกันภัย เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้กำไร 200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 164% เทียบกับปี 2551 ที่ขาดทุนไป 310 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิต่อหุ้น 2.21 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 3.42 บาท
ทั้งนี้ เนื่องจากมีรายได้จากการลงทุนสุทธิ 103 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 121% จากปีก่อนที่ขาดทุนจากการลงทุน 476 ล้านบาท ซึ่งในปีที่ผ่านมามีเบี้ยรับ 2,863 ล้านบาท ลดลง 13% จากปีก่อนที่มีเบี้ยรับ 3,290 ล้านบาท แต่เมื่อหักเบี้ยประกันภัยต่อแล้ว มีเบี้ยรับสุทธิ 2,188 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.4% คิดเป็นเบี้ยที่ถือเป็นรายได้ 2,059 ล้านบาท
นายจิรวุฒิ กล่าวว่า บริษัทยังมีเงินสำรองเบี้ยประกันภัยที่ยังไม่ถือเป็นรายได้ 1,125 ล้านบาท และรายได้รับล่วงหน้าสำหรับกรมธรรม์ระยะยาวซึ่งแสดงในงบดุลส่วนของหนี้สินอีก 395 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีค่าใช้จ่ายจากการรับประกัน 1,472 ล้านบาท คือ ค่าสินไหมทดแทนและค่าใช้จ่ายในการจัดการสินไหมทดแทนรวม 977 ล้านบาท ลดลง 16% จากปีก่อน และมีอัตราค่าสินไหมทดแทนต่อเบี้ยประกันที่ถือเป็นรายได้ 47% ลดลงจากปีก่อน ซึ่งมีอัตรา 51% ทำให้มีกำไรจากการรับประกัน 586 ล้านบาท ลดลง 5%
นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ไม่รวมรายการพิเศษจำนวน 435 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% ทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิก่อนรายการพิเศษ 376 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 221% ก่อนหักรายการพิเศษเกี่ยวกับหนี้สงสัยจะสูญที่บริษัทรับประกันภัยปฏิเสธจ่ายสินไหม 175 ล้านบาท
http://www.posttoday.com/finance.php?id=87671
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
โพสต์ที่ 360
Hi! Lady ประกันสุขภาพนี้เพื่อคุณ
24 มกราคม 2553 เวลา 14:06 น.
ประกันสำหรับผู้หญิง ที่บริษัทประกันจัดมาเป็นแพ็คเกจเรียบร้อยแล้ว จะต้องมีความคุ้มครองโรคมะเร็งสำหรับผู้หญิงเป็นจุดขาย....
โดย...สวลี ตันกุลรัตน์ [email protected]
เปนผู้หญิงแท้จริงแสนลำบาก
เปนผู้ชายยิ่งยากกว่าหลายเท่า
หญิงต้องเจียมกายามาแต่เยาว์
ชายต้อยเฝ้าวิงวอนให้หล่อนรัก
วิวาหพระสมุท พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6
ไม่ได้อยากจะขึ้นต้นเรื่องด้วย พระราชนิพนธ์วิวาหพระสมุท ในล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 เลย เพราะนับจากวันนั้นจนถึงวันนี้เวลาผ่านมาเกือบร้อยปีแล้ว
แต่อดไม่ได้จริงๆ เพราะเกิดเป็นผู้หญิงแสนลำบากจริงๆ ยิ่งเกิดเป็นผู้หญิงในยุคนี้ยิ่งลำบากมากขึ้นไปอีกหลายเท่า แม้ว่าจะไม่ค่อยมีใครนิยม เจียมกายา แล้วก็ตาม แต่เป็นเพราะผู้หญิงยุคนี้ไหนจะต้องปากกัดตีนถีบไม่แพ้ผู้ชาย แต่ดันแก่ง่ายตายช้ากว่าผู้ชาย
และที่ทำให้ผู้หญิงยุคนี้ลำบากกว่าผู้ชาย (แน่นอน) คือ โรคร้ายที่เข้าคิวรออีกเพียบ โดยเฉพาะมะเร็งตัวร้าย ไม่ว่าจะเป็น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก มะเร็งปีกมดลูก มะเร็งท่อทางเดินรังไข่ มะเร็งรังไข่ มะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด และมะเร็งของรก
ถ้าไม่ผู้หญิงคงไม่มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งพวกนี้ (แต่เคยได้ยินว่า มีผู้ชายเป็นมะเร็งเต้านมด้วยเหมือนกันนะ) เลยหยิบเอาประกันที่เข้าอกเข้าใจผู้หญิงเป็นพิเศษ และออกแบบมาสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ มาเปรียบเทียบกันสัก 2-3 แบบว่า เขาคุ้มครองอะไรบ้าง
ต้องเป็นผู้หญิง
บอกแล้วว่า วันนี้เป็นวันของผู้หญิง เพราะฉะนั้นถ้าคิดจะทำประกันในรูปแบบนี้ต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้น และต้องเป็นผู้หญิงที่อยู่ในช่วงอายุที่บริษัทประกันกำหนดไว้ด้วยเช่นกัน
โครงการ Lady in Love จะรับประกันให้กับผู้หญิงอายุระหว่าง 16-40 ปี เท่านั้น ขณะที่ Lady Care จะสามารถซื้อได้ตั้งแต่อายุ 18-50 ปี เพียงแต่ผู้หญิงที่อายุ 40-50 ปี จะไม่สามารถซื้อความคุ้มครองการตั้งครรภ์และคลอดบุตรได้ (เพราะอายุเยอะเกินไป)
มะเร็งร้ายสำหรับเธอ
ประกันสำหรับผู้หญิง ที่บริษัทประกันจัดมาเป็นแพ็คเกจเรียบร้อยแล้ว จะต้องมีความคุ้มครองโรคมะเร็งสำหรับผู้หญิงเป็นจุดขาย จะเห็นได้จากโครงการ Lady in Love ของ บริษัท เอไอเอ อินเตอร์เนชันแนล และ โครงการ Lady Care ของ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต
สำหรับ Lady in Love จะคุ้มครองมะเร็งสำหรับผู้หญิง (เต้านม ปากมดลูก มดลูก ปีกมดลูก รังไข่ ช่องคลอด ปากช่องคลอด และมะเร็งของรก) ในระยะลุกลามเต็ม 100% ของความคุ้มครองที่ระบุไว้ รวมทั้งโรค S.L.E. ชนิดที่มีภาวะไตอักเสบ
แต่ถ้าเป็นมะเร็งในระยะไม่ลุกลามจะคุ้มครองใน 2 กรณีเท่านั้น คือ มะเร็งปากมดลูก จ่ายให้ 15% และ 30% สำหรับมะเร็งเต้านม แต่ในกรณีที่ต้องตัดเต้านมทั้งสองข้างจะจ่ายให้ 50% ของความคุ้มครองที่ระบุไว้
สำหรับ Lady Care จะจ่ายให้ 100% ถ้าเป็นมะเร็งเต้านม ปากมดลูก มดลูก รังไข่ ท่อทางเดินรังไข่ ช่องคลอด หรือปากช่องคลอด รวมทั้งโรคลูปัส หรือ โรค S.L.E. แต่ถ้าเป็นมะเร็งที่ยังไม่ลุกลามเข้าถึงเนื้อเยื่อบุฐานเต้านมหรือปากมดลูกจะได้รับชดเชย 30% ของผลประโยชน์โรคร้ายแรง
ขณะที่ Lady Cancer Care Plus ของ บริษัท ไทยไพบูลย์ประกันภัย ที่ให้ความคุ้มครองมะเร็งทุกชนิด ทุกระยะ เต็มทุนประกัน (ยกเว้นมะเร็งผิวหนังที่จะจ่ายน้อยหน่อย) และถ้าเป็นโรคมะเร็งเฉพาะผู้หญิง ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งมดลูก และมะเร็งรังไข่ จะจ่ายเพิ่มให้อีก 20%
แต่ทั้ง Lady in Love และ Lady Care มีมากกว่าการประกันโรคมะเร็ง
เงินออมของเธอ
แบบประกัน Lady in Love ที่ บริษัท เอไอเอ บอกว่า ออกมาเอาใจสาวๆ ที่กำลังมีความรัก จะคุ้มครองกรณีเสียชีวิต ตามแบบประกันภัยหลักที่ชื่อว่า 15 Pay Life ที่ให้ความคุ้มครองตลอดชีพ โดยมีระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัย 15 ปี (มีเงินปันผล) ซึ่งมีอยู่ 3 แผนให้เลือก คือ 150,000 บาท 300,000 บาท และ 500,000 บาท
เมื่อประกันตลอดชีพ ทำให้เงินก้อนนี้ที่จะได้รับไม่ใช่เงินออม เพราะกว่าจะได้ก็ต้องเสียชีวิตไปแล้วเท่านั้น
แต่ถ้าอยากได้เป็นเงินออม อาจจะต้องไปมอง Lady Care ของ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต เพราะมีระยะเวลาเอาประกัน 10 ปี และเวลาชำระเบี้ยประกัน 10 ปีเท่ากัน เพราะฉะนั้นถ้าครบ 10 ปี ก็จะมีเงินออมได้สักก้อนหนึ่ง แถมยังเป็นเงินออมก้อนใหญ่เสียด้วย
เพราะทุนประกันที่ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต กำหนดไว้ 4 แผน จะเริ่มตั้งแต่ 400,000 บาท 600,000 บาท 800,000 บาท และ 1 ล้านบาท นอกจากนี้ แผนทุนประกันหลักที่เลือกซื้อ จะเป็นตัวกำหนดผลประโยชน์ของสัญญาเพิ่มเติม
ความงามที่เธอควรมี
ความคุ้มครองแบบ Lady ทั้ง Lady in Love และ Lady Care ให้ความคุ้มครองกรณีการทำศัลยกรรมเอาไว้ด้วย เพื่อความสวยงามของผู้หญิง
แบบ Lady in Love บอกไว้ชัดเจนว่า จะให้ความคุ้มครองการทำศัลยกรรมฟื้นฟูสภาพเนื่องจากอุบัติเหตุหรือไฟไหม้น้ำร้อนลวก โดยกรณีที่ต้องทำศัลยกรรมฟื้นฟูกระดูกใบหน้าแตกเคลื่อนเนื่องจาอุบัติเหตุ บริษัทจะจ่ายให้ 10% ของความคุ้มครองที่ระบุไว้ เช่น ถ้าเลือกแผน 3 ที่ให้ความคุ้มครอง 1 ล้านบาท ก็จะได้รับเงินชดเชย 1 แสนบาท
หากเป็นกรณีปลูกถ่ายผิวหนังเนื่องจากไฟไหม้น้ำร้อนลวก จะชดเชยตามความเสียหายต่อผิวหนังร่างกายต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้ง โดยจะเป็นการจ่ายตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกิน 20-60% ตามที่บริษัทกำหนด
แต่ถ้าเป็นแบบประกัน Lady Care จะกำหนดไว้เพียงแค่ว่า จะให้ความคุ้มครองกรณีการทำศัลยกรรมปะแต่งผิวหนังใบหน้าและผ่าตัดเสริมทรวงอก เท่ากับความคุ้มครองกรณีโรคร้ายแรง
เธอท้องเธอก็เสี่ยง
เป็นผู้หญิงก็ลำบากกว่าผู้ชาย แบบที่ผู้ชายเถียงไม่ออกก็ตรงที่ผู้หญิงเป็นคนตั้งท้อง และการตั้งท้องทำให้ผู้หญิงมีความเสี่ยงมากขึ้น
ในโครงการ Lady in Love ให้ความคุ้มครอง ความเสี่ยงภัยของการมีบุตร และจ่ายชดเชยในสัดส่วนต่างๆ กันไปใน 3 กรณี โดยกรณีแรกจะจ่ายให้ 100% หากเสียชีวิตเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนจากขบวนการคลอดบุตร โดยมีอายุครรภ์ตั้งแต่ 28 สัปดาห์ขึ้นไป และเสียชีวิตเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนจากการคลอดบุตรไม่เกิน 30 วันนับจากวันคลอด
กรณีที่ 2 จะจ่ายให้ 30% ถ้าลูกที่เกิดมามีชีวตรอดเกินกว่า 30 วัน และก่อนอายุครบ 2 ปี และได้รับการวินิจฉัยว่า มีความผิดปกติจากดาวน์ซินโดรม ภาวะหุ้นกระดูกไขสันหลังไม่ปิดแต่กำเนิด หัวใจพิการแต่กำเนิด หรือเส้นเลือดใหญ่ของหัวใจสลับที่กำเนิด
กรณีที่ 3 จะจ่ายให้ 15% หากได้รับการวินิจฉัยว่า มีความผิดปกติจากการตั้งครรภ์ โดยมีอาการภาวะลิ่มเลือกกระจายทั่วร่างกาย ครรภ์ไข่ปลาอุ เด็กตายคลอด หรือ ทารกเสียชีวิตภายใน 30 วันนับจากคลอด
ขณะที่ Lady Care จะจ่ายผลประโยชน์จากการตั้งครรภ์และคลอดบุตรไว้ 2 กรณี คือ ความคุ้มครองขณะตั้งครรภ์ และ คุ้มครองภายหลังการคลอดบุตร ซึ่งจะจ่ายให้เพียงครั้งเดียว
ถ้าเป็นความคุ้มครองขณะตั้งครรภ์ จะจ่ายให้ในสัดส่วน 20% ของผลประโยชน์โรคร้ายแรง ถ้าทารกในครรภ์เสียชีวิตหลังจากอายุครรภ์ 195 วัน หรือ การผ่าตัดรักษาเนื่องจากภาวะตั้งครรภ์นอกมดลูก
ถ้าเป็นคุ้มครองภายหลังการคลอดบุตร จะจ่ายให้ในสัดส่วน 40% ของผลประโยชน์โรคร้ายแรง ถ้าเสียชีวิตภายใน 42 วันนับแต่วันคลอด หรือ ทารกเสียชีวิตภายใน 28 วันนับแต่วันคลอด
รวมทั้งกรณีที่ทารกที่มีชีวิตอยู่อย่างน้อย 28 วันนับแต่วันคลอดและได้รับการวินิจฉัยภายใน 2 ปีว่า มีโรคประจำตัวตั้งแต่กำเนิด ได้แก่ ภาวะดาวน์ซินโดรม โรคกระดูกสันหลังโป่ง หัวใจผิดปกติแบบ Tetralogy of Fallot หรือ อาการไขว้กันของเส้นหลอดเลือดใหญ่
แล้วแบบนี้ใครจะมาเถียงว่า เป็นผู้ชายยิ่งยากลำบากกว่า
http://www.posttoday.com/เงิน-หุ้น-ทอง/ ... ี้เพื่อคุณ
24 มกราคม 2553 เวลา 14:06 น.
ประกันสำหรับผู้หญิง ที่บริษัทประกันจัดมาเป็นแพ็คเกจเรียบร้อยแล้ว จะต้องมีความคุ้มครองโรคมะเร็งสำหรับผู้หญิงเป็นจุดขาย....
โดย...สวลี ตันกุลรัตน์ [email protected]
เปนผู้หญิงแท้จริงแสนลำบาก
เปนผู้ชายยิ่งยากกว่าหลายเท่า
หญิงต้องเจียมกายามาแต่เยาว์
ชายต้อยเฝ้าวิงวอนให้หล่อนรัก
วิวาหพระสมุท พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6
ไม่ได้อยากจะขึ้นต้นเรื่องด้วย พระราชนิพนธ์วิวาหพระสมุท ในล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 เลย เพราะนับจากวันนั้นจนถึงวันนี้เวลาผ่านมาเกือบร้อยปีแล้ว
แต่อดไม่ได้จริงๆ เพราะเกิดเป็นผู้หญิงแสนลำบากจริงๆ ยิ่งเกิดเป็นผู้หญิงในยุคนี้ยิ่งลำบากมากขึ้นไปอีกหลายเท่า แม้ว่าจะไม่ค่อยมีใครนิยม เจียมกายา แล้วก็ตาม แต่เป็นเพราะผู้หญิงยุคนี้ไหนจะต้องปากกัดตีนถีบไม่แพ้ผู้ชาย แต่ดันแก่ง่ายตายช้ากว่าผู้ชาย
และที่ทำให้ผู้หญิงยุคนี้ลำบากกว่าผู้ชาย (แน่นอน) คือ โรคร้ายที่เข้าคิวรออีกเพียบ โดยเฉพาะมะเร็งตัวร้าย ไม่ว่าจะเป็น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก มะเร็งปีกมดลูก มะเร็งท่อทางเดินรังไข่ มะเร็งรังไข่ มะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด และมะเร็งของรก
ถ้าไม่ผู้หญิงคงไม่มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งพวกนี้ (แต่เคยได้ยินว่า มีผู้ชายเป็นมะเร็งเต้านมด้วยเหมือนกันนะ) เลยหยิบเอาประกันที่เข้าอกเข้าใจผู้หญิงเป็นพิเศษ และออกแบบมาสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ มาเปรียบเทียบกันสัก 2-3 แบบว่า เขาคุ้มครองอะไรบ้าง
ต้องเป็นผู้หญิง
บอกแล้วว่า วันนี้เป็นวันของผู้หญิง เพราะฉะนั้นถ้าคิดจะทำประกันในรูปแบบนี้ต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้น และต้องเป็นผู้หญิงที่อยู่ในช่วงอายุที่บริษัทประกันกำหนดไว้ด้วยเช่นกัน
โครงการ Lady in Love จะรับประกันให้กับผู้หญิงอายุระหว่าง 16-40 ปี เท่านั้น ขณะที่ Lady Care จะสามารถซื้อได้ตั้งแต่อายุ 18-50 ปี เพียงแต่ผู้หญิงที่อายุ 40-50 ปี จะไม่สามารถซื้อความคุ้มครองการตั้งครรภ์และคลอดบุตรได้ (เพราะอายุเยอะเกินไป)
มะเร็งร้ายสำหรับเธอ
ประกันสำหรับผู้หญิง ที่บริษัทประกันจัดมาเป็นแพ็คเกจเรียบร้อยแล้ว จะต้องมีความคุ้มครองโรคมะเร็งสำหรับผู้หญิงเป็นจุดขาย จะเห็นได้จากโครงการ Lady in Love ของ บริษัท เอไอเอ อินเตอร์เนชันแนล และ โครงการ Lady Care ของ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต
สำหรับ Lady in Love จะคุ้มครองมะเร็งสำหรับผู้หญิง (เต้านม ปากมดลูก มดลูก ปีกมดลูก รังไข่ ช่องคลอด ปากช่องคลอด และมะเร็งของรก) ในระยะลุกลามเต็ม 100% ของความคุ้มครองที่ระบุไว้ รวมทั้งโรค S.L.E. ชนิดที่มีภาวะไตอักเสบ
แต่ถ้าเป็นมะเร็งในระยะไม่ลุกลามจะคุ้มครองใน 2 กรณีเท่านั้น คือ มะเร็งปากมดลูก จ่ายให้ 15% และ 30% สำหรับมะเร็งเต้านม แต่ในกรณีที่ต้องตัดเต้านมทั้งสองข้างจะจ่ายให้ 50% ของความคุ้มครองที่ระบุไว้
สำหรับ Lady Care จะจ่ายให้ 100% ถ้าเป็นมะเร็งเต้านม ปากมดลูก มดลูก รังไข่ ท่อทางเดินรังไข่ ช่องคลอด หรือปากช่องคลอด รวมทั้งโรคลูปัส หรือ โรค S.L.E. แต่ถ้าเป็นมะเร็งที่ยังไม่ลุกลามเข้าถึงเนื้อเยื่อบุฐานเต้านมหรือปากมดลูกจะได้รับชดเชย 30% ของผลประโยชน์โรคร้ายแรง
ขณะที่ Lady Cancer Care Plus ของ บริษัท ไทยไพบูลย์ประกันภัย ที่ให้ความคุ้มครองมะเร็งทุกชนิด ทุกระยะ เต็มทุนประกัน (ยกเว้นมะเร็งผิวหนังที่จะจ่ายน้อยหน่อย) และถ้าเป็นโรคมะเร็งเฉพาะผู้หญิง ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งมดลูก และมะเร็งรังไข่ จะจ่ายเพิ่มให้อีก 20%
แต่ทั้ง Lady in Love และ Lady Care มีมากกว่าการประกันโรคมะเร็ง
เงินออมของเธอ
แบบประกัน Lady in Love ที่ บริษัท เอไอเอ บอกว่า ออกมาเอาใจสาวๆ ที่กำลังมีความรัก จะคุ้มครองกรณีเสียชีวิต ตามแบบประกันภัยหลักที่ชื่อว่า 15 Pay Life ที่ให้ความคุ้มครองตลอดชีพ โดยมีระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัย 15 ปี (มีเงินปันผล) ซึ่งมีอยู่ 3 แผนให้เลือก คือ 150,000 บาท 300,000 บาท และ 500,000 บาท
เมื่อประกันตลอดชีพ ทำให้เงินก้อนนี้ที่จะได้รับไม่ใช่เงินออม เพราะกว่าจะได้ก็ต้องเสียชีวิตไปแล้วเท่านั้น
แต่ถ้าอยากได้เป็นเงินออม อาจจะต้องไปมอง Lady Care ของ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต เพราะมีระยะเวลาเอาประกัน 10 ปี และเวลาชำระเบี้ยประกัน 10 ปีเท่ากัน เพราะฉะนั้นถ้าครบ 10 ปี ก็จะมีเงินออมได้สักก้อนหนึ่ง แถมยังเป็นเงินออมก้อนใหญ่เสียด้วย
เพราะทุนประกันที่ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต กำหนดไว้ 4 แผน จะเริ่มตั้งแต่ 400,000 บาท 600,000 บาท 800,000 บาท และ 1 ล้านบาท นอกจากนี้ แผนทุนประกันหลักที่เลือกซื้อ จะเป็นตัวกำหนดผลประโยชน์ของสัญญาเพิ่มเติม
ความงามที่เธอควรมี
ความคุ้มครองแบบ Lady ทั้ง Lady in Love และ Lady Care ให้ความคุ้มครองกรณีการทำศัลยกรรมเอาไว้ด้วย เพื่อความสวยงามของผู้หญิง
แบบ Lady in Love บอกไว้ชัดเจนว่า จะให้ความคุ้มครองการทำศัลยกรรมฟื้นฟูสภาพเนื่องจากอุบัติเหตุหรือไฟไหม้น้ำร้อนลวก โดยกรณีที่ต้องทำศัลยกรรมฟื้นฟูกระดูกใบหน้าแตกเคลื่อนเนื่องจาอุบัติเหตุ บริษัทจะจ่ายให้ 10% ของความคุ้มครองที่ระบุไว้ เช่น ถ้าเลือกแผน 3 ที่ให้ความคุ้มครอง 1 ล้านบาท ก็จะได้รับเงินชดเชย 1 แสนบาท
หากเป็นกรณีปลูกถ่ายผิวหนังเนื่องจากไฟไหม้น้ำร้อนลวก จะชดเชยตามความเสียหายต่อผิวหนังร่างกายต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้ง โดยจะเป็นการจ่ายตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกิน 20-60% ตามที่บริษัทกำหนด
แต่ถ้าเป็นแบบประกัน Lady Care จะกำหนดไว้เพียงแค่ว่า จะให้ความคุ้มครองกรณีการทำศัลยกรรมปะแต่งผิวหนังใบหน้าและผ่าตัดเสริมทรวงอก เท่ากับความคุ้มครองกรณีโรคร้ายแรง
เธอท้องเธอก็เสี่ยง
เป็นผู้หญิงก็ลำบากกว่าผู้ชาย แบบที่ผู้ชายเถียงไม่ออกก็ตรงที่ผู้หญิงเป็นคนตั้งท้อง และการตั้งท้องทำให้ผู้หญิงมีความเสี่ยงมากขึ้น
ในโครงการ Lady in Love ให้ความคุ้มครอง ความเสี่ยงภัยของการมีบุตร และจ่ายชดเชยในสัดส่วนต่างๆ กันไปใน 3 กรณี โดยกรณีแรกจะจ่ายให้ 100% หากเสียชีวิตเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนจากขบวนการคลอดบุตร โดยมีอายุครรภ์ตั้งแต่ 28 สัปดาห์ขึ้นไป และเสียชีวิตเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนจากการคลอดบุตรไม่เกิน 30 วันนับจากวันคลอด
กรณีที่ 2 จะจ่ายให้ 30% ถ้าลูกที่เกิดมามีชีวตรอดเกินกว่า 30 วัน และก่อนอายุครบ 2 ปี และได้รับการวินิจฉัยว่า มีความผิดปกติจากดาวน์ซินโดรม ภาวะหุ้นกระดูกไขสันหลังไม่ปิดแต่กำเนิด หัวใจพิการแต่กำเนิด หรือเส้นเลือดใหญ่ของหัวใจสลับที่กำเนิด
กรณีที่ 3 จะจ่ายให้ 15% หากได้รับการวินิจฉัยว่า มีความผิดปกติจากการตั้งครรภ์ โดยมีอาการภาวะลิ่มเลือกกระจายทั่วร่างกาย ครรภ์ไข่ปลาอุ เด็กตายคลอด หรือ ทารกเสียชีวิตภายใน 30 วันนับจากคลอด
ขณะที่ Lady Care จะจ่ายผลประโยชน์จากการตั้งครรภ์และคลอดบุตรไว้ 2 กรณี คือ ความคุ้มครองขณะตั้งครรภ์ และ คุ้มครองภายหลังการคลอดบุตร ซึ่งจะจ่ายให้เพียงครั้งเดียว
ถ้าเป็นความคุ้มครองขณะตั้งครรภ์ จะจ่ายให้ในสัดส่วน 20% ของผลประโยชน์โรคร้ายแรง ถ้าทารกในครรภ์เสียชีวิตหลังจากอายุครรภ์ 195 วัน หรือ การผ่าตัดรักษาเนื่องจากภาวะตั้งครรภ์นอกมดลูก
ถ้าเป็นคุ้มครองภายหลังการคลอดบุตร จะจ่ายให้ในสัดส่วน 40% ของผลประโยชน์โรคร้ายแรง ถ้าเสียชีวิตภายใน 42 วันนับแต่วันคลอด หรือ ทารกเสียชีวิตภายใน 28 วันนับแต่วันคลอด
รวมทั้งกรณีที่ทารกที่มีชีวิตอยู่อย่างน้อย 28 วันนับแต่วันคลอดและได้รับการวินิจฉัยภายใน 2 ปีว่า มีโรคประจำตัวตั้งแต่กำเนิด ได้แก่ ภาวะดาวน์ซินโดรม โรคกระดูกสันหลังโป่ง หัวใจผิดปกติแบบ Tetralogy of Fallot หรือ อาการไขว้กันของเส้นหลอดเลือดใหญ่
แล้วแบบนี้ใครจะมาเถียงว่า เป็นผู้ชายยิ่งยากลำบากกว่า
http://www.posttoday.com/เงิน-หุ้น-ทอง/ ... ี้เพื่อคุณ