ดันโด สู่ kelly formula
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
ดันโด สู่ kelly formula
โพสต์ที่ 1
กระผมอ่านดันโดอยู่
แต่ติดใจอยู่ที่ kelly formula ครับ
ใครช่วยเหลือน้อยครับ ว่ามันคืออะไรครับ
อ่านแล้วก็งงว่า ใช้ตอนไหนครับ
แต่หนังสือนี้ เป็นหนังสือที่ผมว่า
มันตีความรู้เดิมของผมที่มีอยู่
ได้ความรู้ใหม่เป็นถังเลย ไม่จำเจ
แต่ติดใจอยู่ที่ kelly formula ครับ
ใครช่วยเหลือน้อยครับ ว่ามันคืออะไรครับ
อ่านแล้วก็งงว่า ใช้ตอนไหนครับ
แต่หนังสือนี้ เป็นหนังสือที่ผมว่า
มันตีความรู้เดิมของผมที่มีอยู่
ได้ความรู้ใหม่เป็นถังเลย ไม่จำเจ
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 1
ดันโด สู่ kelly formula
โพสต์ที่ 2
kelly นี้คุ้นๆว่าเคยอ่านในหนังสือ "หลักการพนัน" ของพี่สุมาอี้ครับ
แล้วก็มีคนเคยบอกว่าหลักการจัด port ของผมคล้ายกับวิธีของ Kelly
แต่ผมก็ยังไม่เคยอ่านต้นฉบับของ kelly เลยซักที
แล้วก็มีคนเคยบอกว่าหลักการจัด port ของผมคล้ายกับวิธีของ Kelly
แต่ผมก็ยังไม่เคยอ่านต้นฉบับของ kelly เลยซักที
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
- หมักเตา
- Verified User
- โพสต์: 232
- ผู้ติดตาม: 0
ดันโด สู่ kelly formula
โพสต์ที่ 3
ขุดบทความเก่าของท่านดร. มาจากกรุครับ
ลงทุนเท่าไรดี โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การตัดสินใจในการลงทุนข้อหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดก็คือ จะลงทุนเท่าไรดี? เช่น จะลงทุนในหุ้นกี่เปอร์เซ็นต์ของพอร์ตเงินลงทุนรวม หรือสำหรับคนที่ลงทุนในหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ จะลงทุนในหุ้น A กี่เปอร์เซ็นต์ หุ้น B กี่เปอร์เซ็นต์ และทั้งหมดจะลงทุนในหุ้นกี่ตัวที่เป็นตัวหลัก ๆ
คำตอบก็คือ จะลงทุนโดยเฉพาะในหุ้นเท่าไรนั้นขึ้นอยู่กับสิ่งหรือหุ้นที่เราจะลงว่า 1) โอกาสที่จะทำกำไรมีมากน้อยแค่ไหน และถ้ากำไร จะได้กำไรเท่าไร และ 2) โอกาสที่จะขาดทุนมีเท่าไร และถ้าขาดทุน จะขาดทุนแค่ไหน พูดสั้น ๆ ก็คือ การลงทุนจะมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับความเป็นไปได้และผลตอบแทนที่จะได้รับ
ถ้าเราพบหุ้นตัวหนึ่งที่เราดูแล้วมีพื้นฐานทางธุรกิจดีมาก โอกาสที่บริษัทจะทำกำไรเพิ่มมีสูงมากในขณะที่ราคาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐานมากมีค่า PE เพียง 8 เท่า ความเสี่ยงที่ยอดขายและกำไรจะตกต่ำลงมีน้อยมาก แบบนี้ เราควรจะลงทุนคิดเป็นสัดส่วนของพอร์ตโฟลิโอสูงมาก หรือที่ผมเรียกว่า ตีแตก ในทางตรงกันข้าม ถ้าโอกาสขาดทุนมีสูง และการขาดทุนอาจทำให้เราเสียหายหนัก เราก็จะไม่ลงทุน หรือในกรณีที่เราพบหุ้นที่น่าสนใจ แต่โอกาสที่จะได้กำไรมาก ๆ ก็ยังเห็นไม่ชัด แบบนี้เราอาจจะลงทุนบ้าง แต่คิดเป็นสัดส่วนของเม็ดเงินทั้งหมดก็ไม่มากนัก
เขียนแบบข้างต้นนั้น ก็เป็นการคิดแบบ ศิลปิน ไม่มีมาตรฐานว่าอะไรแปลว่ามากหรือน้อย สำหรับคนที่ต้องการตัวเลข ( อย่างน้อยก็คร่าว ๆ) ว่าเราควรลงทุนเท่าไรในหุ้นโดยส่วนรวมหรือหุ้นแต่ละตัว ผมคิดว่า สูตรของเคลลี่ หรือ Kelly Formula น่าจะพอนำมาประยุกต์ใช้ได้แม้ว่าสูตรนี้จะเหมาะมากกับการพนันที่เราสามารถหา Probability หรือความน่าจะเป็นและผลตอบแทนที่จะได้หรือเสียอย่างถูกต้อง ในขณะที่การลงทุนในหุ้นนั้น เราจะต้องคิดคำนวณความน่าจะเป็นและผลตอบแทนที่จะได้รับเอง
สูตรของเคลลี่บอกว่า ถ้าจะให้ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดกับพอร์ตของเรา เราควรลงทุนในหุ้นแต่ละตัวคิดเป็นสัดส่วนของพอร์ต (F) เท่ากับ Edge หารด้วย Odds โดยที่ Edge นั้นเท่ากับผลรวมของความน่าจะเป็นคูณด้วยผลตอบแทนที่จะได้รับหรือเสีย ส่วน Odds นั้นก็คือผลตอบแทนสูงสุดที่จะได้รับถ้าเราชนะ ตัวอย่างเช่น:
หุ้น ก. เราคาดว่าน่าจะมีโอกาสที่จะขึ้น 60% และถ้าขึ้นน่าจะให้ผลตอบแทน 15% ส่วนโอกาสที่จะลงนั้นมี 40% และถ้าลงก็น่าจะลงไปเพียง 10% แบบนี้ Edge ก็จะเท่ากับ 0.6 คูณด้วย 15 บวกกับ 0.4 คูณด้วยลบ 10 เท่ากับ 5 ส่วน Odds เท่ากับ 15 เอา 5 ตั้ง หารด้วย 15 เท่ากับ 0.33 หรือก็คือ เราควรลงทุนซื้อหุ้น ก. คิดเป็นเม็ดเงินเท่ากับ 33% ของพอร์ตของเรา
หุ้น ข. เป็นหุ้นที่มีโอกาส 20% ที่จะทำกำไรได้ถึง 80% มีโอกาส 50% ที่จะกำไรเพียง 10% และ มีโอกาส 30% ที่จะขาดทุน 20% แบบนี้ Edge จะเท่ากับ 0.2*80 + 0.5*10 - 0.3*20 เท่ากับ 15 และ Odds คือ 80 ดังนั้น F หรือสัดส่วนที่ควรลงทุนคือ 15 หารด้วย 80 เท่ากับ 0.1875 หรือประมาณ 19% ของพอร์ต
ลองมาดูว่าถ้าไม่ใช่หุ้นตัวใดตัวหนึ่งแต่เป็นการหาดูว่าเราควรจะถือหุ้นโดยรวมหรือซื้อหน่วยลงทุนในหุ้น คิดเป็นสัดส่วนเท่าไรของเม็ดเงินทั้งหมด ในกรณีนี้สมมุติว่าเราคาดว่าโอกาสที่ดัชนีจะปรับขึ้นมี 65% และถ้าปรับขึ้นจะขึ้นจาก 720 จุดเป็น 864 จุด หรือเท่ากับ 20% และโอกาสที่หุ้นจะปรับตัวลงมี 35% และถึงปรับลงก็น่าจะลงไม่เกินมาที่ 648 จุด หรือไม่เกิน 10% แบบนี้ คำนวณค่า Edge เท่ากับ 0.65*20 - 0.35*10 เท่ากับ 9.5 ส่วน Odds เท่ากับ 20 ดังนั้นค่า F เท่ากับ 9.5 หารด้วย 20 เท่ากับ .475 หรือเท่ากับ 47.5% พูดง่าย ๆ ก็คือถ้าเราดูว่าสถานการณ์น่าจะเป็นอย่างนั้น เราก็เอาเงินลงในหุ้นประมาณ 50% ส่วนที่เหลือก็เก็บไว้เป็นเงินฝากหรือตราสารหนี้อื่น
สูตรของเคลลี่นั้น เมื่อเอามาใช้กับการลงทุนในหุ้น ความถูกต้องจะน้อยลงไปมากเพราะโอกาสที่เราจะกำหนดความน่าจะเป็นอาจจะผิด หรือการคาดการณ์ผลตอบแทนก็มักจะไม่ตรงกับความเป็นจริง ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย เราควรลดสัดส่วนลงเวลาจะลงทุน เช่น ถ้าคำนวณว่าเราควรจะลงทุนเท่ากับ 40% ของพอร์ตตามสูตรของเคลลี่ เราก็อาจจะลงเพียงครึ่งเดียวหรือ 20% เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้พอร์ตของเรามีหุ้นเป็น เบี้ยหัวแตก ถ้าหุ้นตัวไหนเมื่อลดสัดส่วนลงมาเหลือครึ่งเดียวของค่าตามสูตรแล้วเหลือสัดส่วนไม่ถึง 10% เราก็อาจจะไม่ลงทุนในหุ้นตัวนั้นเลย ถ้าทำแบบนี้ ในที่สุด เราก็จะมีพอร์ตโฟลิโอที่ประกอบไปด้วยหุ้นอาจจะประมาณ 5- 6 ตัวใหญ่ ๆ ที่มีโอกาสทำผลตอบแทนที่น่าประทับใจและมีความเสี่ยงที่เหมาะสม
- หมักเตา
- Verified User
- โพสต์: 232
- ผู้ติดตาม: 0
ดันโด สู่ kelly formula
โพสต์ที่ 4
http://en.wikipedia.org/wiki/Kelly_formula
มีคนเขียนอธิบายสูตรดั้งเดิมไว้ใน wiki ค่อนข้างละเอียด (ช่วยบริจาคตังค์ไปแล้วเลยขอใช้งานหน่อย)
อ่านคร่าวๆ พอเห็นเค้าเริ่มเทคลิมิตเอา N เข้าใกล้อินฟินิตี้ก็เลยต้องปิดบราวเซอร์ :vm: :nm:
มีคนเขียนอธิบายสูตรดั้งเดิมไว้ใน wiki ค่อนข้างละเอียด (ช่วยบริจาคตังค์ไปแล้วเลยขอใช้งานหน่อย)
อ่านคร่าวๆ พอเห็นเค้าเริ่มเทคลิมิตเอา N เข้าใกล้อินฟินิตี้ก็เลยต้องปิดบราวเซอร์ :vm: :nm:
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
ดันโด สู่ kelly formula
โพสต์ที่ 5
เป็นวิธีบริหารหน้าตักแบบไม่ให้หมดตัวครับ จริง ๆ แล้วเอาไว้ใช้กับการเดิมพันที่เราเป็นฝ่ายได้เปรียน
เช่น ถ้าเราเห็นว่ากำไรคาดหวังจากตลาดหุ้นอยู่ที่ 10% เราก็จะลงเงินแค่ 10 บาท จากเงิน 100 บาทของเรา แล้วถ้ามันหายไปทั้งหมด เราจะเหลือเงิน 90 บาท ครั้งต่อไปก็ลง 9 บาท หรือ 10% เท่ากับกำไรคาดหวังครับ งงมั้๊ย
เช่น ถ้าเราเห็นว่ากำไรคาดหวังจากตลาดหุ้นอยู่ที่ 10% เราก็จะลงเงินแค่ 10 บาท จากเงิน 100 บาทของเรา แล้วถ้ามันหายไปทั้งหมด เราจะเหลือเงิน 90 บาท ครั้งต่อไปก็ลง 9 บาท หรือ 10% เท่ากับกำไรคาดหวังครับ งงมั้๊ย
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
-
- Verified User
- โพสต์: 6427
- ผู้ติดตาม: 1
ดันโด สู่ kelly formula
โพสต์ที่ 7
ตามนี่ไปเลยครับ@nakin เขียน:ว่าแต่ ดันโด คืออะไรเหรอครับ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... sc&start=0
คนที่รู้ว่าตัวเองยังไม่รู้ ย่อมมีโอกาสเรียนรู้
-
- Verified User
- โพสต์: 2938
- ผู้ติดตาม: 0
ดันโด สู่ kelly formula
โพสต์ที่ 8
ผมก็ชอบแนวคิดดันโดนะ
พออ่านเล่มนี้ รู้สึกได้ตกสะเก็ดแนวคิดเพิ่มมาอีก :cheers:
ส่วนkelly formula1 ผมว่าถ้าเอาตามสูตรแล้วเดิมพัน โอกาสได้เป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียว แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าคุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่าโอกาสพลาดมันน้อยมาก และจะมั่นใจได้อย่างไรว่าโอกาสถูก หรือกำไรเท่านี้เท่านั้น
ตัวอย่างทีปู่ซื้อAmex(P.95) kelly ตามสูตรจะได้เงินลงทุน98.3%ของเงินต้นเชียว
ถ้าเกิดamexเจ๊งขึ้นมาจริงๆ คุณต้องทำกำไรกลับคืนมาเท่าไหร่ กว่าจะได้เงินที่เสียคืน
กลับมาที่ว่า คุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่าamexจะได้ผลตอบแทน200%ภายใน2ปี ที่90%
ถ้าไม่ใช่คนเยี่ยงปู่ คงคาดการณ์ได้แม่นยำไม่ง่ายนัก
ดังนั้นคนที่จะคาดการณ์ได้แม่นยำ คือต้องมีความรู้และประสบการณ์พอสมควร
กลับมาที่สูตรkelly ถ้าคุณมั่นใจอะไรมากๆ และถ้าเกิดคุณผิดขึ้นมา โอกาสฟุบยาวก็มีนะ
แต่การนำสูตรนี้มาใช้ในการลงทุนหุ้น ผมเห็นด้วย สำหรับคนที่กระจายความเสี่ยง ในหุ้นหลายตัว (ไม่ใช่เยอะตัวนะ)
ถ้าเราลงทุนหุ้น5ตัว พลาดไป2 ถูก3 ก็ถือว่ายังชนะได้นะ
พออ่านเล่มนี้ รู้สึกได้ตกสะเก็ดแนวคิดเพิ่มมาอีก :cheers:
ส่วนkelly formula1 ผมว่าถ้าเอาตามสูตรแล้วเดิมพัน โอกาสได้เป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียว แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าคุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่าโอกาสพลาดมันน้อยมาก และจะมั่นใจได้อย่างไรว่าโอกาสถูก หรือกำไรเท่านี้เท่านั้น
ตัวอย่างทีปู่ซื้อAmex(P.95) kelly ตามสูตรจะได้เงินลงทุน98.3%ของเงินต้นเชียว
ถ้าเกิดamexเจ๊งขึ้นมาจริงๆ คุณต้องทำกำไรกลับคืนมาเท่าไหร่ กว่าจะได้เงินที่เสียคืน
กลับมาที่ว่า คุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่าamexจะได้ผลตอบแทน200%ภายใน2ปี ที่90%
ถ้าไม่ใช่คนเยี่ยงปู่ คงคาดการณ์ได้แม่นยำไม่ง่ายนัก
ดังนั้นคนที่จะคาดการณ์ได้แม่นยำ คือต้องมีความรู้และประสบการณ์พอสมควร
กลับมาที่สูตรkelly ถ้าคุณมั่นใจอะไรมากๆ และถ้าเกิดคุณผิดขึ้นมา โอกาสฟุบยาวก็มีนะ
แต่การนำสูตรนี้มาใช้ในการลงทุนหุ้น ผมเห็นด้วย สำหรับคนที่กระจายความเสี่ยง ในหุ้นหลายตัว (ไม่ใช่เยอะตัวนะ)
ถ้าเราลงทุนหุ้น5ตัว พลาดไป2 ถูก3 ก็ถือว่ายังชนะได้นะ
เฝ้าดูไป โดยใจที่เป็นกลาง
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
ดันโด สู่ kelly formula
โพสต์ที่ 9
เห็นด้วยกับคุณ nanchan ว่าการประเมิณโอกาสเป็นสิ่งสำคัญมาก
ในกรณีที่ว่ามา หาเรา เห็นว่า amexจะได้ผลตอบแทน200%ภายใน2 ปี
แต่ลดความมั่นใจจาก 90% มาเหลือที่ 55%
ก็จะได้
0.1/(1/2.0) = 20 บาทจากหน้าตัก 100บาท แบบนี้ก็เสี่ยงน้อยลงเยอะเลยครับ
หรือถ้ามั่นใจขึ้นอีกหน่อยเป็น60% ก็จะได้
0.2/(1/2.0) = 40 บาทจากหน้าตัก 100บาท
แต่ถ้ามั่นใจ 90% ผมคำนวนไ้ด้เป็น
0.8/(1/2.0) = 160 บาทจากหน้าตัก 100บาท (อัดมาจิ้น !!?)
ลองคำนวนดูได้แบบนี้ผิดถูกอย่างไรทักท้วงกันได้นะครับ
ในกรณีที่ว่ามา หาเรา เห็นว่า amexจะได้ผลตอบแทน200%ภายใน2 ปี
แต่ลดความมั่นใจจาก 90% มาเหลือที่ 55%
ก็จะได้
0.1/(1/2.0) = 20 บาทจากหน้าตัก 100บาท แบบนี้ก็เสี่ยงน้อยลงเยอะเลยครับ
หรือถ้ามั่นใจขึ้นอีกหน่อยเป็น60% ก็จะได้
0.2/(1/2.0) = 40 บาทจากหน้าตัก 100บาท
แต่ถ้ามั่นใจ 90% ผมคำนวนไ้ด้เป็น
0.8/(1/2.0) = 160 บาทจากหน้าตัก 100บาท (อัดมาจิ้น !!?)
ลองคำนวนดูได้แบบนี้ผิดถูกอย่างไรทักท้วงกันได้นะครับ
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
ดันโด สู่ kelly formula
โพสต์ที่ 10
เอ้อ ใช้สูตรผิดครับต้องขออภัย ^^peacedev เขียน:เห็นด้วยกับคุณ nanchan ว่าการประเมิณโอกาสเป็นสิ่งสำคัญมาก
ในกรณีที่ว่ามา หาเรา เห็นว่า amexจะได้ผลตอบแทน200%ภายใน2 ปี
แต่ลดความมั่นใจจาก 90% มาเหลือที่ 55%
ก็จะได้
0.1/(1/2.0) = 20 บาทจากหน้าตัก 100บาท แบบนี้ก็เสี่ยงน้อยลงเยอะเลยครับ
หรือถ้ามั่นใจขึ้นอีกหน่อยเป็น60% ก็จะได้
0.2/(1/2.0) = 40 บาทจากหน้าตัก 100บาท
แต่ถ้ามั่นใจ 90% ผมคำนวนไ้ด้เป็น
0.8/(1/2.0) = 160 บาทจากหน้าตัก 100บาท (อัดมาจิ้น !!?)
ลองคำนวนดูได้แบบนี้ผิดถูกอย่างไรทักท้วงกันได้นะครับ
งงอยู่เหมือนกันว่าสูตรบริหารหน้าตักไปใส่มาร์จิ้นได้อย่างไร :oops:
แก้ตัวใหม่ครับ รอบนี้ไม่น่าพลาด
หากเรา เห็นว่า amexจะได้ผลตอบแทน200%ภายใน2 ปี
แต่ลดความมั่นใจจาก 90% มาเหลือที่ 55%
ก็จะได้
(((3.0*0.55) - 0.45)/3.0)*100 = 0.40 บาท จากหน้าตัก 100 บาท
(ความคาดหวัง = 3ต่อ1 (ผลตอบแทน200%รวมเงินต้น) คาดว่ามีโอกาสจะได้ 55% และ คิดว่ามีโอกาสจะเสีย 45 % )
หรือถ้ามั่นใจขึ้นอีกหน่อยเป็น60% ก็จะได้
(((3.0*0.60) - 0.40)/3.0)*100 = 46.66 บาท จากหน้าตัก 100 บาท
แต่ถ้ามั่นใจ 90%
(((3.0*0.60) - 0.40)/3.0)*100 = 86.66 บาท จากหน้าตัก 100 บาท
อย่างไรก็ดี จากสูตรของเคลลี่นี้ทำให้ผมเห็นข้อเสียอย่างหนึ่ง(จากมุมมองส่วนตัว) ก็คือ ถ้าโอกาสมันงาม มาก ๆ อาจทำให้เรา กล้าที่จะเสี่ยงมากขึ้น เช่น
ในกรณีเดียวกัน(bet 1:3)ถ้าเรา พบว่ามีโอกาสเสียถึง 60% แต่โอกาสได้แค่ 40% จากสูตรบอกว่าควรใช้เงิน 20%
(((3.0*0.40) - 0.60)/3.0)*100 = 20
แต่ถ้าเป็นหุ้นปั่นมี upside 10 เท่า
เคลลี่บอกว่า ถ้าเจ้าได้เปรียบคุณถึง 80% ที่จะเสียเงินเต็มจำนวน แต่โอกาสได้มีเพียง20% ก็เสี่ยงได้ 12.72% ของหน้าตัก เพราะมี upside เยอะพอ !!
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
ดันโด สู่ kelly formula
โพสต์ที่ 11
ขอบพระคุณที่มาร่วมกันให้ข้อมูลครับ
แต่ผมสงสัยว่า
แนวทางแต่ละแนวทางที่ได้มาจากการพิจารณาบริษัทต่างๆนั้น เกิดขึ้นแต่ละแบบเท่าไรนั้น มันใช้ค่าอะไรที่นำมาพิจารณาครับ จุดนี้ล่ะที่ผมไม่ได้คำตอบจากหนังสือเล่มนี้ครับ
ยกแค่ตัวอย่างกับการประเมินได้ค่านี้มาเลย แต่ไม่ได้คิดว่า ค่านี้มาจากไหน
เพราะค่านี้เป็นหัวใจของ kelly formula นี้เลย
แต่ผมสงสัยว่า
แนวทางแต่ละแนวทางที่ได้มาจากการพิจารณาบริษัทต่างๆนั้น เกิดขึ้นแต่ละแบบเท่าไรนั้น มันใช้ค่าอะไรที่นำมาพิจารณาครับ จุดนี้ล่ะที่ผมไม่ได้คำตอบจากหนังสือเล่มนี้ครับ
ยกแค่ตัวอย่างกับการประเมินได้ค่านี้มาเลย แต่ไม่ได้คิดว่า ค่านี้มาจากไหน
เพราะค่านี้เป็นหัวใจของ kelly formula นี้เลย
-
- Verified User
- โพสต์: 276
- ผู้ติดตาม: 0
ดันโด สู่ kelly formula
โพสต์ที่ 12
คงไม่ต้องจริงจังกับค่าที่ได้จาก kelly formula นักหรอกครับ
สรุปแค่ว่าเดิมพันหนักๆกับสิ่งที่เรามั่นใจมากๆ
เหมือนกับ เบสบอลของปู่บัฟ ,7 โปกเกอร์ของลินซ์,ตีแตกของ ดร.นิเวศน์
สรุปแค่นี้ก็น่าจะพอ
เดิมทีสูตรของเคลลี มันเหมาะกับการ bet ในสิ่งที่เรารู้ prob.ค่อนข้างแน่
bet แล้ว betอีกได้ โดย prob.ค่อนข้างคงที่ในแต่ละครั้งที่เราbet
ซึ่งมันมีข้อจำกัดและแตกต่างค่อนข้างมากกับหุ้น
สรุปแค่ว่าเดิมพันหนักๆกับสิ่งที่เรามั่นใจมากๆ
เหมือนกับ เบสบอลของปู่บัฟ ,7 โปกเกอร์ของลินซ์,ตีแตกของ ดร.นิเวศน์
สรุปแค่นี้ก็น่าจะพอ
เดิมทีสูตรของเคลลี มันเหมาะกับการ bet ในสิ่งที่เรารู้ prob.ค่อนข้างแน่
bet แล้ว betอีกได้ โดย prob.ค่อนข้างคงที่ในแต่ละครั้งที่เราbet
ซึ่งมันมีข้อจำกัดและแตกต่างค่อนข้างมากกับหุ้น
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
ดันโด สู่ kelly formula
โพสต์ที่ 13
เห็นด้วยครับ เนื่องจาก prop เป็นสิ่งที่คนใส่เข้าไป ถ้าใส่ผิดตั้งแต่แรก ยังไงผลลัพธ์ก็ผิดเหยี่ยวเดือน9 เขียน:คงไม่ต้องจริงจังกับค่าที่ได้จาก kelly formula นักหรอกครับ
สรุปแค่ว่าเดิมพันหนักๆกับสิ่งที่เรามั่นใจมากๆ
เหมือนกับ เบสบอลของปู่บัฟ ,7 โปกเกอร์ของลินซ์,ตีแตกของ ดร.นิเวศน์
สรุปแค่นี้ก็น่าจะพอ
เดิมทีสูตรของเคลลี มันเหมาะกับการ bet ในสิ่งที่เรารู้ prob.ค่อนข้างแน่
bet แล้ว betอีกได้ โดย prob.ค่อนข้างคงที่ในแต่ละครั้งที่เราbet
ซึ่งมันมีข้อจำกัดและแตกต่างค่อนข้างมากกับหุ้น
ปัจจุบันParbrai ก็ได้รับบทเรียนแล้ว
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 1
ดันโด สู่ kelly formula
โพสต์ที่ 15
สงสัยตอน AIG เจ๊ง CDS หมด (ตู_) ใช้หลักการนี้ แต่ผลลัพธ์ดันออกก้อยรึเปล่าหว่า?
-
- Verified User
- โพสต์: 276
- ผู้ติดตาม: 0
ดันโด สู่ kelly formula
โพสต์ที่ 16
ต่อให้เป็นยอดอัจฉริยะ คำนวณ prop. ในการลงทุนได้อย่างแม่นยำ
แต่ edge/odds มันก็ยังมีข้อจำกัดกับหุ้นอยู่ดี
ถ้าเจอหุ้นที่น่าลงทุน สัก 3 ตัว แล้วเคลลีให้ลงทุนแต่ละตัวที่ 90% 85% และ 80%
กรณีอย่างนี้จะทำยังไง
ถ้าคุณจริงจังกับค่าที่ได้จากสูตร แล้วอยากลงทุนทั้ง 3 ตัว คุณต้อง leverage เงินทุน 2.55 เท่า
แต่ถ้าทำแบบนี้ ผลตอบแทนก็จะเปลี่ยน เพราะคุณต้องแบกรับภาระเงินกู้ด้วย ก็ต้องไปคำนวณเคลลีใหม่
แต่การ leverage มากๆแบบนี้ ควรที่จะทำหรือ?
หรือถ้าจะบอกว่า งั้นลงทุนตัวเดียวคือตัวที่สูตรบอกให้อัดลงไป 90%
แต่ปัญหาคือค่าจากสูตรที่มากกว่าคือการลงทุนที่ดีกว่าจริงหรือ?
สมมติว่า
1.มีการลงทุนที่คุณได้ผลตอบแทนแน่ๆ โดยถ้าชนะจะได้ ผลตอบแทน 1% ไม่มีโอกาสแพ้เลย
2.มีโอกาสชนะ 90% โอกาสแพ้ 10% ถ้าชนะ ได้ผลตอบแทน 200% แต่ถ้าแพ้ เสีย 2%
กรณีแรกเคลลีจะให้เราอัดเงินทั้งหมดลงไป 100%
ส่วนกรณีที่ 2 เคลลีให้เราลงทุนประมาณ 90%
ถ้าต้องเลือกตัวเดียว คุณจะเลือกตัวไหน
ถ้าเป็นgambling ที่ bet ได้เรื่อยๆ โดยแต่ละครั้ง prop. คงที่ ต้องเลือกทางแรก
แต่ถ้าเป็นหุ้น ทางแรกจะยังดีกว่ารึเปล่า
แต่ edge/odds มันก็ยังมีข้อจำกัดกับหุ้นอยู่ดี
ถ้าเจอหุ้นที่น่าลงทุน สัก 3 ตัว แล้วเคลลีให้ลงทุนแต่ละตัวที่ 90% 85% และ 80%
กรณีอย่างนี้จะทำยังไง
ถ้าคุณจริงจังกับค่าที่ได้จากสูตร แล้วอยากลงทุนทั้ง 3 ตัว คุณต้อง leverage เงินทุน 2.55 เท่า
แต่ถ้าทำแบบนี้ ผลตอบแทนก็จะเปลี่ยน เพราะคุณต้องแบกรับภาระเงินกู้ด้วย ก็ต้องไปคำนวณเคลลีใหม่
แต่การ leverage มากๆแบบนี้ ควรที่จะทำหรือ?
หรือถ้าจะบอกว่า งั้นลงทุนตัวเดียวคือตัวที่สูตรบอกให้อัดลงไป 90%
แต่ปัญหาคือค่าจากสูตรที่มากกว่าคือการลงทุนที่ดีกว่าจริงหรือ?
สมมติว่า
1.มีการลงทุนที่คุณได้ผลตอบแทนแน่ๆ โดยถ้าชนะจะได้ ผลตอบแทน 1% ไม่มีโอกาสแพ้เลย
2.มีโอกาสชนะ 90% โอกาสแพ้ 10% ถ้าชนะ ได้ผลตอบแทน 200% แต่ถ้าแพ้ เสีย 2%
กรณีแรกเคลลีจะให้เราอัดเงินทั้งหมดลงไป 100%
ส่วนกรณีที่ 2 เคลลีให้เราลงทุนประมาณ 90%
ถ้าต้องเลือกตัวเดียว คุณจะเลือกตัวไหน
ถ้าเป็นgambling ที่ bet ได้เรื่อยๆ โดยแต่ละครั้ง prop. คงที่ ต้องเลือกทางแรก
แต่ถ้าเป็นหุ้น ทางแรกจะยังดีกว่ารึเปล่า
-
- Verified User
- โพสต์: 276
- ผู้ติดตาม: 0
ดันโด สู่ kelly formula
โพสต์ที่ 17
นอกจากนี้การลงทุนในหุ้นยังต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลตอบแทน (ต่างจาก gambling)
ระหว่างนั้นราคาหุ้นมัน dynamic อยู่ตลอด
ค่าที่ได้จากเคลลี ก็จะเปลี่ยนตามราคาอยู่ตลอดเวลาไปด้วย
ถ้าเราต้องคอยปรับพอร์ตตามตลอดเวลาก็ไม่น่าจะเวิร์ค
ผมถึงคิดว่า เราสรุปเอาแต่แก่นที่ว่าลงทุนหนักๆกับสิ่งที่เรามั่นใจมากๆก็พอ
ไม่จำเป็นต้องจริงจังกับค่าที่ได้จากสูตรของเคลลีมากนัก
ระหว่างนั้นราคาหุ้นมัน dynamic อยู่ตลอด
ค่าที่ได้จากเคลลี ก็จะเปลี่ยนตามราคาอยู่ตลอดเวลาไปด้วย
ถ้าเราต้องคอยปรับพอร์ตตามตลอดเวลาก็ไม่น่าจะเวิร์ค
ผมถึงคิดว่า เราสรุปเอาแต่แก่นที่ว่าลงทุนหนักๆกับสิ่งที่เรามั่นใจมากๆก็พอ
ไม่จำเป็นต้องจริงจังกับค่าที่ได้จากสูตรของเคลลีมากนัก
-
- Verified User
- โพสต์: 592
- ผู้ติดตาม: 0
ดันโด สู่ kelly formula
โพสต์ที่ 18
[quote="หมักเตา"]http://en.wikipedia.org/wiki/Kelly_formula
มีคนเขียนอธิบายสูตรดั้งเดิมไว้ใน wiki ค่อนข้างละเอียด (ช่วยบริจาคตังค์ไปแล้วเลยขอใช้งานหน่อย)
อ่านคร่าวๆ พอเห็นเค้าเริ่มเทคลิมิตเอา N เข้าใกล้อินฟินิตี้ก็เลยต้องปิดบราวเซอร์
มีคนเขียนอธิบายสูตรดั้งเดิมไว้ใน wiki ค่อนข้างละเอียด (ช่วยบริจาคตังค์ไปแล้วเลยขอใช้งานหน่อย)
อ่านคร่าวๆ พอเห็นเค้าเริ่มเทคลิมิตเอา N เข้าใกล้อินฟินิตี้ก็เลยต้องปิดบราวเซอร์
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
ดันโด สู่ kelly formula
โพสต์ที่ 19
[quote="chode"][quote="หมักเตา"]http://en.wikipedia.org/wiki/Kelly_formula
มีคนเขียนอธิบายสูตรดั้งเดิมไว้ใน wiki ค่อนข้างละเอียด (ช่วยบริจาคตังค์ไปแล้วเลยขอใช้งานหน่อย)
อ่านคร่าวๆ พอเห็นเค้าเริ่มเทคลิมิตเอา N เข้าใกล้อินฟินิตี้ก็เลยต้องปิดบราวเซอร์
มีคนเขียนอธิบายสูตรดั้งเดิมไว้ใน wiki ค่อนข้างละเอียด (ช่วยบริจาคตังค์ไปแล้วเลยขอใช้งานหน่อย)
อ่านคร่าวๆ พอเห็นเค้าเริ่มเทคลิมิตเอา N เข้าใกล้อินฟินิตี้ก็เลยต้องปิดบราวเซอร์
-
- Verified User
- โพสต์: 2938
- ผู้ติดตาม: 0
ดันโด สู่ kelly formula
โพสต์ที่ 20
[quote="เหยี่ยวเดือน9"]ต่อให้เป็นยอดอัจฉริยะ คำนวณ prop. ในการลงทุนได้อย่างแม่นยำ
แต่ edge/odds มันก็ยังมีข้อจำกัดกับหุ้นอยู่ดี
ถ้าเจอหุ้นที่น่าลงทุน สัก 3 ตัว แล้วเคลลีให้ลงทุนแต่ละตัวที่
แต่ edge/odds มันก็ยังมีข้อจำกัดกับหุ้นอยู่ดี
ถ้าเจอหุ้นที่น่าลงทุน สัก 3 ตัว แล้วเคลลีให้ลงทุนแต่ละตัวที่
เฝ้าดูไป โดยใจที่เป็นกลาง
- poppo
- Verified User
- โพสต์: 1356
- ผู้ติดตาม: 0
ดันโด สู่ kelly formula
โพสต์ที่ 21
ความเห็นผม
ผมว่า เราก็ทำตามที่เขาบอก
Head , I win ( a lot )
Tail, I lose ( a little )
เลือกลงทุนเฉพาะที่ถ้าเราคาดเดาถูก เราชนะมหาศาล
อย่าลงทุนในตัวทีุุ่ถ้าเราชนะ เราชนะนิดหน่อย
เช่น ซื้อหุ้นหวังปันผล ปีละ 7-8 % โดยกำไรไม่ค่อยโต ปันผลก็ไม่โต อย่างนี้ไม่คุ้มเสี่ยง เพราะถ้าเราคาดถูก เราได้แค่ 8% แต่ถ้าคาดผิด โอกาสเสียมีมาก
ถ้าเราเลือกหุ้น และลงทุนเฉพาะโอกาสที่ถ้าเราคาดถูก เรากำไรอย่างน้อย 1 หรือหลายเท่าตัว
ตัวที่ถูก น่าจะกลบความเสียหายของตัวที่ผิดได้
ถ้าเรายังไม่้เชี่ยวชาญมาก ก็กระจายหน่อย อาจจะ 10 ตัว ตัวละ 10% ก็ได้
ผมอ่านจบแล้ว ได้ประมาณนี้นะครับ
ผมว่า เราก็ทำตามที่เขาบอก
Head , I win ( a lot )
Tail, I lose ( a little )
เลือกลงทุนเฉพาะที่ถ้าเราคาดเดาถูก เราชนะมหาศาล
อย่าลงทุนในตัวทีุุ่ถ้าเราชนะ เราชนะนิดหน่อย
เช่น ซื้อหุ้นหวังปันผล ปีละ 7-8 % โดยกำไรไม่ค่อยโต ปันผลก็ไม่โต อย่างนี้ไม่คุ้มเสี่ยง เพราะถ้าเราคาดถูก เราได้แค่ 8% แต่ถ้าคาดผิด โอกาสเสียมีมาก
ถ้าเราเลือกหุ้น และลงทุนเฉพาะโอกาสที่ถ้าเราคาดถูก เรากำไรอย่างน้อย 1 หรือหลายเท่าตัว
ตัวที่ถูก น่าจะกลบความเสียหายของตัวที่ผิดได้
ถ้าเรายังไม่้เชี่ยวชาญมาก ก็กระจายหน่อย อาจจะ 10 ตัว ตัวละ 10% ก็ได้
ผมอ่านจบแล้ว ได้ประมาณนี้นะครับ
จงทนอด และอดทน
-
- Verified User
- โพสต์: 276
- ผู้ติดตาม: 0
ดันโด สู่ kelly formula
โพสต์ที่ 22
[quote="nanchan"][quote="เหยี่ยวเดือน9"]ต่อให้เป็นยอดอัจฉริยะ คำนวณ prop. ในการลงทุนได้อย่างแม่นยำ
แต่ edge/odds มันก็ยังมีข้อจำกัดกับหุ้นอยู่ดี
ถ้าเจอหุ้นที่น่าลงทุน สัก 3 ตัว แล้วเคลลีให้ลงทุนแต่ละตัวที่
แต่ edge/odds มันก็ยังมีข้อจำกัดกับหุ้นอยู่ดี
ถ้าเจอหุ้นที่น่าลงทุน สัก 3 ตัว แล้วเคลลีให้ลงทุนแต่ละตัวที่
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
ดันโด สู่ kelly formula
โพสต์ที่ 23
จากข้อสังเกตุของผมเอง
ที่จริงแล้วสูตรของเคลลี่หากจะให้พูดกันตรง ๆ แล้วคือ คิดขึ้นมาสำหรับใช้ bet กับการพนันนั่นแหละ ส่วนคนที่เอาไปทดลองจนโด่งดังขึ้นมาก็เอาไปทดลองกับ poker จนร่ำรวย
(แต่ผมไม่สนันสนุนการพนันนะครับ)
ที่ต่างกับตลาดหุ้นก็คือ
1. การ bet ของเคลลี่ไม่ขึ้นกับเวลา ก็คือการ bet แต่ละครั้งสามารถวัดผลได้เกือบจะทันที ส่วนในตลาดจะมีเรื่องของจังหวะเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถ้าเราต้องการตัดข้อจำกัดนี้ก็ทำได้โดยการกำหนดเวลาวัดผลตายตัว
เช่น 1วัน, 1 ไตรมาส, 1 ปี ฯลฯ
2. การ bet ในการพนัน ส่วนใหญ่สามารถหาค่าความน่าจะเป็นที่แม่่นยำได้อย่างตายตัว แต่ตลาดหุ้นมีปัจจัยแวดล้อมมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งอันนี้คงต้องบอกว่าเป็นศิลปะของแต่ละตัวบุคคล
ส่วนเรื่องน้ำหนักนั้นถ้าว่ากันตามสูตร ของเคลลี่แบบเป๊ะ ๆ แล้ว ต้นทุนที่เหลือต้องเก็บไว้ในที่ ๆ มีสภาพคล่องสูงและผันผวนต่ำ เพื่อให้สามารถนำมาถอนทุนคืนได้ในกรณีที่ lost (อันนี้ในแง่ของการลงทุนคงแล้วแต่ แต่ละคนเหมือนกัน)
แม้จะเป็นแค่สูตรที่ดูเรียบ ๆ ง่าย ๆ ส่วนตัวผมนับถือเคลลี่ที่สามารถนำเอาสมมุติฐานที่ถูกประเมินไว้ในหัว กลั่นกรองออกมาเป็นสมการที่จับต้องได้ นำไปทดลองพิสูจน์ เพื่อถกเถียงได้ และที่สำคัญ สามารถถ่ายทอดความคิดของเคลลี่เองสู่คนรุ่นหลังอย่างผมได้
สรุป ในตลาดหุ้นมีสภาพต่าง ๆ ที่ซับซ้อนกว่าสูตรง่าย ๆ ของเคลลี่มาก แต่ผมเชื่อว่า แนวคิดน่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยกับผู้ที่สนใจศึกษาเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับแต่ละตัวบุคคลเองครับ
เป็นแค่มุมมอง ๆ หนึ่งเท่านั้นเองครับ
ที่จริงแล้วสูตรของเคลลี่หากจะให้พูดกันตรง ๆ แล้วคือ คิดขึ้นมาสำหรับใช้ bet กับการพนันนั่นแหละ ส่วนคนที่เอาไปทดลองจนโด่งดังขึ้นมาก็เอาไปทดลองกับ poker จนร่ำรวย
(แต่ผมไม่สนันสนุนการพนันนะครับ)
ที่ต่างกับตลาดหุ้นก็คือ
1. การ bet ของเคลลี่ไม่ขึ้นกับเวลา ก็คือการ bet แต่ละครั้งสามารถวัดผลได้เกือบจะทันที ส่วนในตลาดจะมีเรื่องของจังหวะเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถ้าเราต้องการตัดข้อจำกัดนี้ก็ทำได้โดยการกำหนดเวลาวัดผลตายตัว
เช่น 1วัน, 1 ไตรมาส, 1 ปี ฯลฯ
2. การ bet ในการพนัน ส่วนใหญ่สามารถหาค่าความน่าจะเป็นที่แม่่นยำได้อย่างตายตัว แต่ตลาดหุ้นมีปัจจัยแวดล้อมมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งอันนี้คงต้องบอกว่าเป็นศิลปะของแต่ละตัวบุคคล
ส่วนเรื่องน้ำหนักนั้นถ้าว่ากันตามสูตร ของเคลลี่แบบเป๊ะ ๆ แล้ว ต้นทุนที่เหลือต้องเก็บไว้ในที่ ๆ มีสภาพคล่องสูงและผันผวนต่ำ เพื่อให้สามารถนำมาถอนทุนคืนได้ในกรณีที่ lost (อันนี้ในแง่ของการลงทุนคงแล้วแต่ แต่ละคนเหมือนกัน)
แม้จะเป็นแค่สูตรที่ดูเรียบ ๆ ง่าย ๆ ส่วนตัวผมนับถือเคลลี่ที่สามารถนำเอาสมมุติฐานที่ถูกประเมินไว้ในหัว กลั่นกรองออกมาเป็นสมการที่จับต้องได้ นำไปทดลองพิสูจน์ เพื่อถกเถียงได้ และที่สำคัญ สามารถถ่ายทอดความคิดของเคลลี่เองสู่คนรุ่นหลังอย่างผมได้
สรุป ในตลาดหุ้นมีสภาพต่าง ๆ ที่ซับซ้อนกว่าสูตรง่าย ๆ ของเคลลี่มาก แต่ผมเชื่อว่า แนวคิดน่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยกับผู้ที่สนใจศึกษาเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับแต่ละตัวบุคคลเองครับ
เป็นแค่มุมมอง ๆ หนึ่งเท่านั้นเองครับ
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
-
- Verified User
- โพสต์: 276
- ผู้ติดตาม: 0
ดันโด สู่ kelly formula
โพสต์ที่ 24
เจตนาผมมันประมาณความเห็นของคุณ poppoกับคุณpeacedevครับ
ถ้าโพสต์ไม่เคลียร์ ขออภัยครับ
ถ้าโพสต์ไม่เคลียร์ ขออภัยครับ