รายได้จากอาชีพหลัก VS รายได้จากเงินลงทุน
- picklife
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2567
- ผู้ติดตาม: 0
รายได้จากอาชีพหลัก VS รายได้จากเงินลงทุน
โพสต์ที่ 61
คนเราควรจะมี2ด้านเหมือนกับเหรียญที่ทีสองด้าน หรือหยินหยางครับ ทุกอย่างในโลกนี้มี2เสมอ แม้นแต่ภรรยา...เย้ยผิดๆๆ แม้นแต่คนก็ต้องมี2คนเพื่อสร้างครอบครัวและทายาท....
เมื่อเราเข้าใจในธรรมชาติเราก็เอามาประยุกต์เข้ากับตัวเอง
สร้าง2บุคลิกขึ้นมาเป็นด้านรุกและด้านรับ
ด้านรุก-มีไว้เพื่อสร้างความทะเยอทะยานอยากได้ เพื่อให้ชีวิตทะยานขึ้นไปอย่างเต้มความสามารถ
ด้านรับ-มีไว้เพื่อประคองตัวในระหว่างทางเพื่อไม่ให้ออกนอกลูนอกทางช่วยปลอบตัวเองยามเหนื่อยและท้อ หากพลาดท่าก็ใช้ธรรมะปลอบใจ ชีวิตก็มีความสุขได้ครับ
แต่หากใช้สองสิ่งนี้ผิด
ด้านรับ-เอามารุก...ก็จะกลายเป็นคนที่ใช้ชีวิตอีเรื่อยเฉื่อยแฉ๊ะไปเรื่อย ไม่มีจุดหมายที่แน่นอนในชีวิต
ด้านรุก-เอามารับ ก็เช่นนักศึกษาที่สอบตกแล้วกระโดดตึกตายเป็นต้น ซึ่งใช้ด้านรุกไปรุกนะดีแล้ว แต่ดันใช้ด้านรุกมารับ ก็รับความพ่ายแพ้ไม่ได้.....
ดังนั้นขอให้น้องมีทั้งสองด้านในตัวเอง แล้วใช้มันให้เหมาะสมกับโอกาสและเวลาครับ.....
เมื่อเราเข้าใจในธรรมชาติเราก็เอามาประยุกต์เข้ากับตัวเอง
สร้าง2บุคลิกขึ้นมาเป็นด้านรุกและด้านรับ
ด้านรุก-มีไว้เพื่อสร้างความทะเยอทะยานอยากได้ เพื่อให้ชีวิตทะยานขึ้นไปอย่างเต้มความสามารถ
ด้านรับ-มีไว้เพื่อประคองตัวในระหว่างทางเพื่อไม่ให้ออกนอกลูนอกทางช่วยปลอบตัวเองยามเหนื่อยและท้อ หากพลาดท่าก็ใช้ธรรมะปลอบใจ ชีวิตก็มีความสุขได้ครับ
แต่หากใช้สองสิ่งนี้ผิด
ด้านรับ-เอามารุก...ก็จะกลายเป็นคนที่ใช้ชีวิตอีเรื่อยเฉื่อยแฉ๊ะไปเรื่อย ไม่มีจุดหมายที่แน่นอนในชีวิต
ด้านรุก-เอามารับ ก็เช่นนักศึกษาที่สอบตกแล้วกระโดดตึกตายเป็นต้น ซึ่งใช้ด้านรุกไปรุกนะดีแล้ว แต่ดันใช้ด้านรุกมารับ ก็รับความพ่ายแพ้ไม่ได้.....
ดังนั้นขอให้น้องมีทั้งสองด้านในตัวเอง แล้วใช้มันให้เหมาะสมกับโอกาสและเวลาครับ.....
-
- Verified User
- โพสต์: 1252
- ผู้ติดตาม: 0
รายได้จากอาชีพหลัก VS รายได้จากเงินลงทุน
โพสต์ที่ 62
WSOP ชนะยากมากครับ ชนะแค่tourในonlineได้ก็สบายแล้วครับ
poketstars กับ fulltilt workทั้งคู่ผมลองแล้ว
หลังปีใหม่โชคดีชนะproสาว Fulltilt ได้คนหนึ่งครับได้มา20$ :)
poketstars กับ fulltilt workทั้งคู่ผมลองแล้ว
หลังปีใหม่โชคดีชนะproสาว Fulltilt ได้คนหนึ่งครับได้มา20$ :)
- baby-investor
- Verified User
- โพสต์: 312
- ผู้ติดตาม: 0
รายได้จากอาชีพหลัก VS รายได้จากเงินลงทุน
โพสต์ที่ 63
ขอแสดงความคิดเห็นนะครับ พี่คิดว่าน้อง Voldtrest เป็นคนที่มีการตั้งเป้าหมายในชีวิต ประหยัดอดออม หมั่นศึกษาหาความรู้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมากๆครับ แต่พี่คิดว่าอย่าเอาเป้าหมายมาเป็นตัวกดดันทำให้เราทำอะไรโดยขาดการระมัดระวังนะครับ แต่ก็อย่าท้อถอยถ้ายังไม่ประสบความสำเร็จหรือยังไม่ถึงเป้าหมาย พี่ว่าในช่วงชีวิตที่ผ่านมา เราก็ได้ทำหลายอย่าง มีทั้งประสบความสำเร็จ และไม่ประสบความสำเร็จอยู่พอสมควร
โดยในชีวิตของคนเราพี่ว่าน่าจะแบ่งช่วงหรือองค์ประกอบแห่งความความสำเร็จเป็น 3 ช่วงนะครับ ซึ่งก็คือ
1. การศึกษา (เรียนจบและได้รับปริญญาบัตร)
2. การหารายได้ (มีรายได้เลี้ยงชีพอย่างไม่ขัดสน)
3. ครอบครัว (แต่งงาน มีลูก และมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์)
ในช่วงที่ผ่านมาซึ่งเราได้ศึกษาจนได้รับปริญญาถือเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิอย่างหนึ่ง จะเห็นได้ว่าพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ทุกคนล้วนดีใจหมดในวันที่เราเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ซึ่งนี่ทำให้เราสง่าผ่าเผยในสังคมได้ในระดับหนึ่ง และการศึกษายังทำให้เรามีทักษะหลายๆอย่างสูงกว่าผู้ที่ไม่มีโอกาสได้ศึกษา อย่างเช่นการมองภาพรวม ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน ทักษะทางสังคมโดยได้รู้จักเพื่อน ได้สังคมในแวดวงที่ศึกษาจบมาหรืออาจได้เพื่อนในคณะอื่นด้วย เป็นต้น
สำหรับการหารายได้ ทุกคนล้วนอยากมีรายได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งก็ต้องมาดูว่ารายได้ที่เราอยากได้มากที่สุดนี้จะมาจากทางไหน ถ้าเป็นการทำงาน เป็นพนักงานบริษัท หรือเปิดกิจการเอง ทั้ง 2 อย่างนี้เราต้องมีความสามารถสูงทีเดียวจึงจะทำให้เรามีรายได้สูง ซึ่งก็คงต้องใช้ประสบการณ์และใช้วุฒิการศึกษาด้วย (ในหลายๆครั้งก็ต้องใช้เส้นและใช้สีด้วย) ซึ่งถ้าใครจบในสาขาที่มีความต้องการสูงแต่ปริมาณคนที่จบน้อยก็มักจะมีโอกาสที่จะหางานทำได้ง่ายและมีรายได้มาก ในส่วนของธุรกิจส่วนตัวในหลายๆกรณียากกว่าที่เราคิด บางทีเราตั้งสมมติฐานต่างๆไว้ สิ่งต่างๆอาจไม่เป็นไปตามนั้น มี factor และเรื่องนอกเหนือกฏเกณฑ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคน (พนักงาน ลูกค้า เจ้าหน้าที่ต่างๆ) เรื่องเงิน เรื่ององค์ความรู้ คู่แข่ง ฯลฯ ทั้งนี้เราต้องมีทักษะหลายด้าน (โดยเฉพาะทักษะในการบริหารคนซึ่งสำคัญมาก) ต้องเข้าใจธุรกิจในทุกด้าน ธุรกิจที่เราเห็นใหญ่โตในชีวิตจริง หลายๆธุรกิจมักซ่อนปัญหาที่คนภายนอกมองไม่เห็นและมักจะมาจาก factor ต่างๆข้างต้น ซึ่งถ้าคิดจะทำก็คงจะต้องคุยกับคนที่อยู่ในธุรกิจนั้นที่เปิดเผยข้อมูลจริงๆ และเราจะต้องคิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนและรอบด้านว่าธุรกิจนั้นน่าทำหรือไม่ (ในหลายๆธุรกิจซึ่งวันนี้เหมือนจะเป็นธุรกิจประเภท blue ocean แต่ไม่นานก็กลายเป็น red ocean ไปได้ ซึ่งก็มีให้เห็นดาษดื่นในสังคมไทย พวกธุรกิจที่ฮิตเร็วเลิกฮิตง่าย และคู่แข่งเข้ามาได้ง่ายต้องระวังให้ดี)
ในกรณีที่อยากมีรายได้จากการลงทุน เราคงต้องดูว่าการลงทุนของเรานั้นเสี่ยงมากขนาดไหน ลองจัดระดับความเสี่ยงดูนะครับ ถ้ายิ่งเสี่ยงมากยิ่งต้องลงทุนน้อยหรือไม่ควรลงทุนเลย แต่ถ้าเสี่ยงน้อยต้องลงทุนให้มากๆ นอกจากนี้คงต้องดูอีกว่าความรู้ของเราในตัวธุรกิจมีมากเพียงพอกับความเสี่ยงหรือไม่ รวมถึงประสบการณ์ของเรามีมากน้อยขนาดไหน (หลักสอนและคำเตือนให้คอยระมัดระวังต่างๆของคุณปู่บัฟเฟต ดร.นิเวศน์ หรือใน THAIVI นี้อย่างเช่น พี่ฉัตรชัย คุณโจลูกอีสาน คุณนริศ พี่มนตรี พี่หมอสามัญชน และพี่ๆท่านอื่นที่ไม่ได้กล่าวถึงที่คอยเตือนน้องๆอยู่เสมอ ทุกคำแนะนำล้วนมีประโยชน์มากๆนะครับ) บางทีความต้องการมากๆทำให้เราลงทุนเกินตัว ถ้าทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่เราคิด จะทำให้เราบาดเจ็บได้นะครับ ซึ่งส่วนที่ support ยามที่เราบาดเจ็บมีมากน้อยขนาดไหนก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณานะครับ และนี่จะมีผลไปถึงชีวิตครอบครัวครับ ในกรณีที่เราเป็นหัวหน้าครอบครัว ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้น คนข้างหลังจะเป็นอย่างไร ทั้งการกินอยู่ ไม่ว่าจะเป็นของเราเอง แฟนเรา ลูกเรา บางทีมีพ่อแม่ปู่ย่าตายายด้วย รวมถึงการศึกษาของลูกเพิ่มเติมเข้ามาอีก
ในส่วนของการลงทุน น้อง Voldtrest คงต้องสำรวจ style ของตัวเองครับว่าเรามีเวลาให้กับการลงทุนมากน้อยขนาดไหน เราชอบลงทุนระยะสั้น ระยะกลางหรือยาวขนาดไหน เราชอบลงทุนรวดเดียวหมดหน้าตัก ชอบไล่ราคาหรือชอบลงทุนทีละน้อยแล้วทยอยตั้งรับ ทั้งหมดนี้คงทำให้พอรู้ว่าเราควรจะมีเงินสดเหลือมากน้อยขนาดไหน เราควรจะลงทุนหุ้นแต่ละตัวมากน้อยขนาดไหน เพราะหุ้นแต่ละตัวจะมีพฤติกรรมของมันเอง (ถ้ามีประสบการณ์และอยู่ในตลาดมาพอสมควรจะรู้ครับว่าหุ้นแต่ละตัวมีพฤติกรรมเป็นอย่างไร)
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้อยากให้ระมัดระวังนะครับ ซึ่งถ้าเรามีความรู้มากพอ มีเงินรองรับในยามที่การลงทุนเกิดความเสียหาย รวมถึงมีประสบการณ์เพียงพอ พี่ว่าการลงทุนก็จะมีความเสี่ยงน้อยลงแล้วครับ
สำหรับการลงทุนปีนี้พี่ว่ายากนะครับ ยังไงคงต้องเผื่อเงินสดไว้บ้าง และหาความรู้อยู่เสมอ เพราะองค์ความรู้ใหม่ๆเกิดขึ้นทุกวัน ความรู้ใหม่ๆเหล่านั้นทำให้เราเหมือนเป็นเด็กไปเลย เหมือนกับที่พี่ใช้ชื่อ baby-investor :D บางครั้งเป็นนวัตกรรมใหม่ บางครั้งเป็นความรู้ในสาขาที่เราไม่ได้เรียนจบมา ซึ่งก็ทำให้เราต้องไปศึกษาไปอ่านให้รู้
ยังไงลองปรับใช้ดูนะครับ ร้อยล้านคงไม่ไกลเกินไปถ้าตั้งใจ พี่เพิ่มเติมให้อีกนิดนะครับ ทั้งนี้เราควรตั้งเป้าหมายที่ใกล้ๆไว้ก่อน เราจะได้ไม่ท้อ เช่น วันนี้เรามี 1 แสน เราก็ตั้งเป้าที่ 1 ล้าน พอเรามี 1 ล้าน เราก็ตั้ง 10 ล้าน พอมี 10 ล้าน เราก็ตั้ง 100 ล้าน อย่างนี้จะทำให้เรามีลูกฮึดได้ตลอดครับ เพราะดูเหมือนเป้าหมายจะอยู่แค่เอื้อมตลอด ส่วนถ้ามีรายได้จากงานประจำ เราก็ต้องเก็บก่อนใช้และมองลู่ทางการลงทุนอยู่เสมอด้วยนะครับ แต่จะลงทุนช่วงไหนก็ต้องกลับไปดูความเสี่ยงครับ แล้วขอให้ประสบความสำเร็จกับการลงทุนนะครับ เป็นกำลังใจให้ครับ
โดยในชีวิตของคนเราพี่ว่าน่าจะแบ่งช่วงหรือองค์ประกอบแห่งความความสำเร็จเป็น 3 ช่วงนะครับ ซึ่งก็คือ
1. การศึกษา (เรียนจบและได้รับปริญญาบัตร)
2. การหารายได้ (มีรายได้เลี้ยงชีพอย่างไม่ขัดสน)
3. ครอบครัว (แต่งงาน มีลูก และมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์)
ในช่วงที่ผ่านมาซึ่งเราได้ศึกษาจนได้รับปริญญาถือเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิอย่างหนึ่ง จะเห็นได้ว่าพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ทุกคนล้วนดีใจหมดในวันที่เราเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ซึ่งนี่ทำให้เราสง่าผ่าเผยในสังคมได้ในระดับหนึ่ง และการศึกษายังทำให้เรามีทักษะหลายๆอย่างสูงกว่าผู้ที่ไม่มีโอกาสได้ศึกษา อย่างเช่นการมองภาพรวม ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน ทักษะทางสังคมโดยได้รู้จักเพื่อน ได้สังคมในแวดวงที่ศึกษาจบมาหรืออาจได้เพื่อนในคณะอื่นด้วย เป็นต้น
สำหรับการหารายได้ ทุกคนล้วนอยากมีรายได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งก็ต้องมาดูว่ารายได้ที่เราอยากได้มากที่สุดนี้จะมาจากทางไหน ถ้าเป็นการทำงาน เป็นพนักงานบริษัท หรือเปิดกิจการเอง ทั้ง 2 อย่างนี้เราต้องมีความสามารถสูงทีเดียวจึงจะทำให้เรามีรายได้สูง ซึ่งก็คงต้องใช้ประสบการณ์และใช้วุฒิการศึกษาด้วย (ในหลายๆครั้งก็ต้องใช้เส้นและใช้สีด้วย) ซึ่งถ้าใครจบในสาขาที่มีความต้องการสูงแต่ปริมาณคนที่จบน้อยก็มักจะมีโอกาสที่จะหางานทำได้ง่ายและมีรายได้มาก ในส่วนของธุรกิจส่วนตัวในหลายๆกรณียากกว่าที่เราคิด บางทีเราตั้งสมมติฐานต่างๆไว้ สิ่งต่างๆอาจไม่เป็นไปตามนั้น มี factor และเรื่องนอกเหนือกฏเกณฑ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคน (พนักงาน ลูกค้า เจ้าหน้าที่ต่างๆ) เรื่องเงิน เรื่ององค์ความรู้ คู่แข่ง ฯลฯ ทั้งนี้เราต้องมีทักษะหลายด้าน (โดยเฉพาะทักษะในการบริหารคนซึ่งสำคัญมาก) ต้องเข้าใจธุรกิจในทุกด้าน ธุรกิจที่เราเห็นใหญ่โตในชีวิตจริง หลายๆธุรกิจมักซ่อนปัญหาที่คนภายนอกมองไม่เห็นและมักจะมาจาก factor ต่างๆข้างต้น ซึ่งถ้าคิดจะทำก็คงจะต้องคุยกับคนที่อยู่ในธุรกิจนั้นที่เปิดเผยข้อมูลจริงๆ และเราจะต้องคิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนและรอบด้านว่าธุรกิจนั้นน่าทำหรือไม่ (ในหลายๆธุรกิจซึ่งวันนี้เหมือนจะเป็นธุรกิจประเภท blue ocean แต่ไม่นานก็กลายเป็น red ocean ไปได้ ซึ่งก็มีให้เห็นดาษดื่นในสังคมไทย พวกธุรกิจที่ฮิตเร็วเลิกฮิตง่าย และคู่แข่งเข้ามาได้ง่ายต้องระวังให้ดี)
ในกรณีที่อยากมีรายได้จากการลงทุน เราคงต้องดูว่าการลงทุนของเรานั้นเสี่ยงมากขนาดไหน ลองจัดระดับความเสี่ยงดูนะครับ ถ้ายิ่งเสี่ยงมากยิ่งต้องลงทุนน้อยหรือไม่ควรลงทุนเลย แต่ถ้าเสี่ยงน้อยต้องลงทุนให้มากๆ นอกจากนี้คงต้องดูอีกว่าความรู้ของเราในตัวธุรกิจมีมากเพียงพอกับความเสี่ยงหรือไม่ รวมถึงประสบการณ์ของเรามีมากน้อยขนาดไหน (หลักสอนและคำเตือนให้คอยระมัดระวังต่างๆของคุณปู่บัฟเฟต ดร.นิเวศน์ หรือใน THAIVI นี้อย่างเช่น พี่ฉัตรชัย คุณโจลูกอีสาน คุณนริศ พี่มนตรี พี่หมอสามัญชน และพี่ๆท่านอื่นที่ไม่ได้กล่าวถึงที่คอยเตือนน้องๆอยู่เสมอ ทุกคำแนะนำล้วนมีประโยชน์มากๆนะครับ) บางทีความต้องการมากๆทำให้เราลงทุนเกินตัว ถ้าทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่เราคิด จะทำให้เราบาดเจ็บได้นะครับ ซึ่งส่วนที่ support ยามที่เราบาดเจ็บมีมากน้อยขนาดไหนก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณานะครับ และนี่จะมีผลไปถึงชีวิตครอบครัวครับ ในกรณีที่เราเป็นหัวหน้าครอบครัว ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้น คนข้างหลังจะเป็นอย่างไร ทั้งการกินอยู่ ไม่ว่าจะเป็นของเราเอง แฟนเรา ลูกเรา บางทีมีพ่อแม่ปู่ย่าตายายด้วย รวมถึงการศึกษาของลูกเพิ่มเติมเข้ามาอีก
ในส่วนของการลงทุน น้อง Voldtrest คงต้องสำรวจ style ของตัวเองครับว่าเรามีเวลาให้กับการลงทุนมากน้อยขนาดไหน เราชอบลงทุนระยะสั้น ระยะกลางหรือยาวขนาดไหน เราชอบลงทุนรวดเดียวหมดหน้าตัก ชอบไล่ราคาหรือชอบลงทุนทีละน้อยแล้วทยอยตั้งรับ ทั้งหมดนี้คงทำให้พอรู้ว่าเราควรจะมีเงินสดเหลือมากน้อยขนาดไหน เราควรจะลงทุนหุ้นแต่ละตัวมากน้อยขนาดไหน เพราะหุ้นแต่ละตัวจะมีพฤติกรรมของมันเอง (ถ้ามีประสบการณ์และอยู่ในตลาดมาพอสมควรจะรู้ครับว่าหุ้นแต่ละตัวมีพฤติกรรมเป็นอย่างไร)
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้อยากให้ระมัดระวังนะครับ ซึ่งถ้าเรามีความรู้มากพอ มีเงินรองรับในยามที่การลงทุนเกิดความเสียหาย รวมถึงมีประสบการณ์เพียงพอ พี่ว่าการลงทุนก็จะมีความเสี่ยงน้อยลงแล้วครับ
สำหรับการลงทุนปีนี้พี่ว่ายากนะครับ ยังไงคงต้องเผื่อเงินสดไว้บ้าง และหาความรู้อยู่เสมอ เพราะองค์ความรู้ใหม่ๆเกิดขึ้นทุกวัน ความรู้ใหม่ๆเหล่านั้นทำให้เราเหมือนเป็นเด็กไปเลย เหมือนกับที่พี่ใช้ชื่อ baby-investor :D บางครั้งเป็นนวัตกรรมใหม่ บางครั้งเป็นความรู้ในสาขาที่เราไม่ได้เรียนจบมา ซึ่งก็ทำให้เราต้องไปศึกษาไปอ่านให้รู้
ยังไงลองปรับใช้ดูนะครับ ร้อยล้านคงไม่ไกลเกินไปถ้าตั้งใจ พี่เพิ่มเติมให้อีกนิดนะครับ ทั้งนี้เราควรตั้งเป้าหมายที่ใกล้ๆไว้ก่อน เราจะได้ไม่ท้อ เช่น วันนี้เรามี 1 แสน เราก็ตั้งเป้าที่ 1 ล้าน พอเรามี 1 ล้าน เราก็ตั้ง 10 ล้าน พอมี 10 ล้าน เราก็ตั้ง 100 ล้าน อย่างนี้จะทำให้เรามีลูกฮึดได้ตลอดครับ เพราะดูเหมือนเป้าหมายจะอยู่แค่เอื้อมตลอด ส่วนถ้ามีรายได้จากงานประจำ เราก็ต้องเก็บก่อนใช้และมองลู่ทางการลงทุนอยู่เสมอด้วยนะครับ แต่จะลงทุนช่วงไหนก็ต้องกลับไปดูความเสี่ยงครับ แล้วขอให้ประสบความสำเร็จกับการลงทุนนะครับ เป็นกำลังใจให้ครับ
LifeLong Learning
LifeLong Investing
LifeLong Investing
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
รายได้จากอาชีพหลัก VS รายได้จากเงินลงทุน
โพสต์ที่ 64
[quote="baby-investor"]ขอแสดงความคิดเห็นนะครับ พี่คิดว่าน้อง Voldtrest เป็นคนที่มีการตั้งเป้าหมายในชีวิต ประหยัดอดออม หมั่นศึกษาหาความรู้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมากๆครับ แต่พี่คิดว่าอย่าเอาเป้าหมายมาเป็นตัวกดดันทำให้เราทำอะไรโดยขาดการระมัดระวังนะครับ แต่ก็อย่าท้อถอยถ้ายังไม่ประสบความสำเร็จหรือยังไม่ถึงเป้าหมาย พี่ว่าในช่วงชีวิตที่ผ่านมา เราก็ได้ทำหลายอย่าง มีทั้งประสบความสำเร็จ และไม่ประสบความสำเร็จอยู่พอสมควร
โดยในชีวิตของคนเราพี่ว่าน่าจะแบ่งช่วงหรือองค์ประกอบแห่งความความสำเร็จเป็น 3 ช่วงนะครับ ซึ่งก็คือ
1. การศึกษา (เรียนจบและได้รับปริญญาบัตร)
2. การหารายได้ (มีรายได้เลี้ยงชีพอย่างไม่ขัดสน)
3. ครอบครัว (แต่งงาน มีลูก และมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์)
ในช่วงที่ผ่านมาซึ่งเราได้ศึกษาจนได้รับปริญญาถือเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิอย่างหนึ่ง จะเห็นได้ว่าพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ทุกคนล้วนดีใจหมดในวันที่เราเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ซึ่งนี่ทำให้เราสง่าผ่าเผยในสังคมได้ในระดับหนึ่ง และการศึกษายังทำให้เรามีทักษะหลายๆอย่างสูงกว่าผู้ที่ไม่มีโอกาสได้ศึกษา อย่างเช่นการมองภาพรวม ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน ทักษะทางสังคมโดยได้รู้จักเพื่อน ได้สังคมในแวดวงที่ศึกษาจบมาหรืออาจได้เพื่อนในคณะอื่นด้วย เป็นต้น
สำหรับการหารายได้ ทุกคนล้วนอยากมีรายได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งก็ต้องมาดูว่ารายได้ที่เราอยากได้มากที่สุดนี้จะมาจากทางไหน ถ้าเป็นการทำงาน เป็นพนักงานบริษัท หรือเปิดกิจการเอง ทั้ง 2 อย่างนี้เราต้องมีความสามารถสูงทีเดียวจึงจะทำให้เรามีรายได้สูง ซึ่งก็คงต้องใช้ประสบการณ์และใช้วุฒิการศึกษาด้วย (ในหลายๆครั้งก็ต้องใช้เส้นและใช้สีด้วย) ซึ่งถ้าใครจบในสาขาที่มีความต้องการสูงแต่ปริมาณคนที่จบน้อยก็มักจะมีโอกาสที่จะหางานทำได้ง่ายและมีรายได้มาก ในส่วนของธุรกิจส่วนตัวในหลายๆกรณียากกว่าที่เราคิด บางทีเราตั้งสมมติฐานต่างๆไว้ สิ่งต่างๆอาจไม่เป็นไปตามนั้น มี factor และเรื่องนอกเหนือกฏเกณฑ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคน (พนักงาน ลูกค้า เจ้าหน้าที่ต่างๆ) เรื่องเงิน เรื่ององค์ความรู้ คู่แข่ง ฯลฯ ทั้งนี้เราต้องมีทักษะหลายด้าน (โดยเฉพาะทักษะในการบริหารคนซึ่งสำคัญมาก) ต้องเข้าใจธุรกิจในทุกด้าน ธุรกิจที่เราเห็นใหญ่โตในชีวิตจริง หลายๆธุรกิจมักซ่อนปัญหาที่คนภายนอกมองไม่เห็นและมักจะมาจาก factor ต่างๆข้างต้น ซึ่งถ้าคิดจะทำก็คงจะต้องคุยกับคนที่อยู่ในธุรกิจนั้นที่เปิดเผยข้อมูลจริงๆ และเราจะต้องคิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนและรอบด้านว่าธุรกิจนั้นน่าทำหรือไม่ (ในหลายๆธุรกิจซึ่งวันนี้เหมือนจะเป็นธุรกิจประเภท blue ocean แต่ไม่นานก็กลายเป็น red ocean ไปได้ ซึ่งก็มีให้เห็นดาษดื่นในสังคมไทย พวกธุรกิจที่ฮิตเร็วเลิกฮิตง่าย และคู่แข่งเข้ามาได้ง่ายต้องระวังให้ดี)
ในกรณีที่อยากมีรายได้จากการลงทุน เราคงต้องดูว่าการลงทุนของเรานั้นเสี่ยงมากขนาดไหน ลองจัดระดับความเสี่ยงดูนะครับ ถ้ายิ่งเสี่ยงมากยิ่งต้องลงทุนน้อยหรือไม่ควรลงทุนเลย แต่ถ้าเสี่ยงน้อยต้องลงทุนให้มากๆ นอกจากนี้คงต้องดูอีกว่าความรู้ของเราในตัวธุรกิจมีมากเพียงพอกับความเสี่ยงหรือไม่ รวมถึงประสบการณ์ของเรามีมากน้อยขนาดไหน (หลักสอนและคำเตือนให้คอยระมัดระวังต่างๆของคุณปู่บัฟเฟต ดร.นิเวศน์ หรือใน THAIVI นี้อย่างเช่น พี่ฉัตรชัย คุณโจลูกอีสาน คุณนริศ พี่มนตรี พี่หมอสามัญชน และพี่ๆท่านอื่นที่ไม่ได้กล่าวถึงที่คอยเตือนน้องๆอยู่เสมอ ทุกคำแนะนำล้วนมีประโยชน์มากๆนะครับ) บางทีความต้องการมากๆทำให้เราลงทุนเกินตัว ถ้าทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่เราคิด จะทำให้เราบาดเจ็บได้นะครับ ซึ่งส่วนที่ support ยามที่เราบาดเจ็บมีมากน้อยขนาดไหนก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณานะครับ และนี่จะมีผลไปถึงชีวิตครอบครัวครับ ในกรณีที่เราเป็นหัวหน้าครอบครัว ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้น คนข้างหลังจะเป็นอย่างไร ทั้งการกินอยู่ ไม่ว่าจะเป็นของเราเอง แฟนเรา ลูกเรา บางทีมีพ่อแม่ปู่ย่าตายายด้วย รวมถึงการศึกษาของลูกเพิ่มเติมเข้ามาอีก
ในส่วนของการลงทุน น้อง Voldtrest คงต้องสำรวจ style ของตัวเองครับว่าเรามีเวลาให้กับการลงทุนมากน้อยขนาดไหน เราชอบลงทุนระยะสั้น ระยะกลางหรือยาวขนาดไหน เราชอบลงทุนรวดเดียวหมดหน้าตัก ชอบไล่ราคาหรือชอบลงทุนทีละน้อยแล้วทยอยตั้งรับ ทั้งหมดนี้คงทำให้พอรู้ว่าเราควรจะมีเงินสดเหลือมากน้อยขนาดไหน เราควรจะลงทุนหุ้นแต่ละตัวมากน้อยขนาดไหน เพราะหุ้นแต่ละตัวจะมีพฤติกรรมของมันเอง (ถ้ามีประสบการณ์และอยู่ในตลาดมาพอสมควรจะรู้ครับว่าหุ้นแต่ละตัวมีพฤติกรรมเป็นอย่างไร)
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้อยากให้ระมัดระวังนะครับ ซึ่งถ้าเรามีความรู้มากพอ มีเงินรองรับในยามที่การลงทุนเกิดความเสียหาย รวมถึงมีประสบการณ์เพียงพอ พี่ว่าการลงทุนก็จะมีความเสี่ยงน้อยลงแล้วครับ
สำหรับการลงทุนปีนี้พี่ว่ายากนะครับ ยังไงคงต้องเผื่อเงินสดไว้บ้าง และหาความรู้อยู่เสมอ เพราะองค์ความรู้ใหม่ๆเกิดขึ้นทุกวัน ความรู้ใหม่ๆเหล่านั้นทำให้เราเหมือนเป็นเด็กไปเลย เหมือนกับที่พี่ใช้ชื่อ baby-investor
โดยในชีวิตของคนเราพี่ว่าน่าจะแบ่งช่วงหรือองค์ประกอบแห่งความความสำเร็จเป็น 3 ช่วงนะครับ ซึ่งก็คือ
1. การศึกษา (เรียนจบและได้รับปริญญาบัตร)
2. การหารายได้ (มีรายได้เลี้ยงชีพอย่างไม่ขัดสน)
3. ครอบครัว (แต่งงาน มีลูก และมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์)
ในช่วงที่ผ่านมาซึ่งเราได้ศึกษาจนได้รับปริญญาถือเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิอย่างหนึ่ง จะเห็นได้ว่าพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ทุกคนล้วนดีใจหมดในวันที่เราเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ซึ่งนี่ทำให้เราสง่าผ่าเผยในสังคมได้ในระดับหนึ่ง และการศึกษายังทำให้เรามีทักษะหลายๆอย่างสูงกว่าผู้ที่ไม่มีโอกาสได้ศึกษา อย่างเช่นการมองภาพรวม ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน ทักษะทางสังคมโดยได้รู้จักเพื่อน ได้สังคมในแวดวงที่ศึกษาจบมาหรืออาจได้เพื่อนในคณะอื่นด้วย เป็นต้น
สำหรับการหารายได้ ทุกคนล้วนอยากมีรายได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งก็ต้องมาดูว่ารายได้ที่เราอยากได้มากที่สุดนี้จะมาจากทางไหน ถ้าเป็นการทำงาน เป็นพนักงานบริษัท หรือเปิดกิจการเอง ทั้ง 2 อย่างนี้เราต้องมีความสามารถสูงทีเดียวจึงจะทำให้เรามีรายได้สูง ซึ่งก็คงต้องใช้ประสบการณ์และใช้วุฒิการศึกษาด้วย (ในหลายๆครั้งก็ต้องใช้เส้นและใช้สีด้วย) ซึ่งถ้าใครจบในสาขาที่มีความต้องการสูงแต่ปริมาณคนที่จบน้อยก็มักจะมีโอกาสที่จะหางานทำได้ง่ายและมีรายได้มาก ในส่วนของธุรกิจส่วนตัวในหลายๆกรณียากกว่าที่เราคิด บางทีเราตั้งสมมติฐานต่างๆไว้ สิ่งต่างๆอาจไม่เป็นไปตามนั้น มี factor และเรื่องนอกเหนือกฏเกณฑ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคน (พนักงาน ลูกค้า เจ้าหน้าที่ต่างๆ) เรื่องเงิน เรื่ององค์ความรู้ คู่แข่ง ฯลฯ ทั้งนี้เราต้องมีทักษะหลายด้าน (โดยเฉพาะทักษะในการบริหารคนซึ่งสำคัญมาก) ต้องเข้าใจธุรกิจในทุกด้าน ธุรกิจที่เราเห็นใหญ่โตในชีวิตจริง หลายๆธุรกิจมักซ่อนปัญหาที่คนภายนอกมองไม่เห็นและมักจะมาจาก factor ต่างๆข้างต้น ซึ่งถ้าคิดจะทำก็คงจะต้องคุยกับคนที่อยู่ในธุรกิจนั้นที่เปิดเผยข้อมูลจริงๆ และเราจะต้องคิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนและรอบด้านว่าธุรกิจนั้นน่าทำหรือไม่ (ในหลายๆธุรกิจซึ่งวันนี้เหมือนจะเป็นธุรกิจประเภท blue ocean แต่ไม่นานก็กลายเป็น red ocean ไปได้ ซึ่งก็มีให้เห็นดาษดื่นในสังคมไทย พวกธุรกิจที่ฮิตเร็วเลิกฮิตง่าย และคู่แข่งเข้ามาได้ง่ายต้องระวังให้ดี)
ในกรณีที่อยากมีรายได้จากการลงทุน เราคงต้องดูว่าการลงทุนของเรานั้นเสี่ยงมากขนาดไหน ลองจัดระดับความเสี่ยงดูนะครับ ถ้ายิ่งเสี่ยงมากยิ่งต้องลงทุนน้อยหรือไม่ควรลงทุนเลย แต่ถ้าเสี่ยงน้อยต้องลงทุนให้มากๆ นอกจากนี้คงต้องดูอีกว่าความรู้ของเราในตัวธุรกิจมีมากเพียงพอกับความเสี่ยงหรือไม่ รวมถึงประสบการณ์ของเรามีมากน้อยขนาดไหน (หลักสอนและคำเตือนให้คอยระมัดระวังต่างๆของคุณปู่บัฟเฟต ดร.นิเวศน์ หรือใน THAIVI นี้อย่างเช่น พี่ฉัตรชัย คุณโจลูกอีสาน คุณนริศ พี่มนตรี พี่หมอสามัญชน และพี่ๆท่านอื่นที่ไม่ได้กล่าวถึงที่คอยเตือนน้องๆอยู่เสมอ ทุกคำแนะนำล้วนมีประโยชน์มากๆนะครับ) บางทีความต้องการมากๆทำให้เราลงทุนเกินตัว ถ้าทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่เราคิด จะทำให้เราบาดเจ็บได้นะครับ ซึ่งส่วนที่ support ยามที่เราบาดเจ็บมีมากน้อยขนาดไหนก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณานะครับ และนี่จะมีผลไปถึงชีวิตครอบครัวครับ ในกรณีที่เราเป็นหัวหน้าครอบครัว ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้น คนข้างหลังจะเป็นอย่างไร ทั้งการกินอยู่ ไม่ว่าจะเป็นของเราเอง แฟนเรา ลูกเรา บางทีมีพ่อแม่ปู่ย่าตายายด้วย รวมถึงการศึกษาของลูกเพิ่มเติมเข้ามาอีก
ในส่วนของการลงทุน น้อง Voldtrest คงต้องสำรวจ style ของตัวเองครับว่าเรามีเวลาให้กับการลงทุนมากน้อยขนาดไหน เราชอบลงทุนระยะสั้น ระยะกลางหรือยาวขนาดไหน เราชอบลงทุนรวดเดียวหมดหน้าตัก ชอบไล่ราคาหรือชอบลงทุนทีละน้อยแล้วทยอยตั้งรับ ทั้งหมดนี้คงทำให้พอรู้ว่าเราควรจะมีเงินสดเหลือมากน้อยขนาดไหน เราควรจะลงทุนหุ้นแต่ละตัวมากน้อยขนาดไหน เพราะหุ้นแต่ละตัวจะมีพฤติกรรมของมันเอง (ถ้ามีประสบการณ์และอยู่ในตลาดมาพอสมควรจะรู้ครับว่าหุ้นแต่ละตัวมีพฤติกรรมเป็นอย่างไร)
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้อยากให้ระมัดระวังนะครับ ซึ่งถ้าเรามีความรู้มากพอ มีเงินรองรับในยามที่การลงทุนเกิดความเสียหาย รวมถึงมีประสบการณ์เพียงพอ พี่ว่าการลงทุนก็จะมีความเสี่ยงน้อยลงแล้วครับ
สำหรับการลงทุนปีนี้พี่ว่ายากนะครับ ยังไงคงต้องเผื่อเงินสดไว้บ้าง และหาความรู้อยู่เสมอ เพราะองค์ความรู้ใหม่ๆเกิดขึ้นทุกวัน ความรู้ใหม่ๆเหล่านั้นทำให้เราเหมือนเป็นเด็กไปเลย เหมือนกับที่พี่ใช้ชื่อ baby-investor
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
- green/30/10/08
- Verified User
- โพสต์: 217
- ผู้ติดตาม: 0
รายได้จากอาชีพหลัก VS รายได้จากเงินลงทุน
โพสต์ที่ 66
[quote="Voldtrest"][quote="baby-investor"]ขอแสดงความคิดเห็นนะครับ พี่คิดว่าน้อง Voldtrest เป็นคนที่มีการตั้งเป้าหมายในชีวิต ประหยัดอดออม หมั่นศึกษาหาความรู้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมากๆครับ แต่พี่คิดว่าอย่าเอาเป้าหมายมาเป็นตัวกดดันทำให้เราทำอะไรโดยขาดการระมัดระวังนะครับ แต่ก็อย่าท้อถอยถ้ายังไม่ประสบความสำเร็จหรือยังไม่ถึงเป้าหมาย พี่ว่าในช่วงชีวิตที่ผ่านมา เราก็ได้ทำหลายอย่าง มีทั้งประสบความสำเร็จ และไม่ประสบความสำเร็จอยู่พอสมควร
โดยในชีวิตของคนเราพี่ว่าน่าจะแบ่งช่วงหรือองค์ประกอบแห่งความความสำเร็จเป็น 3 ช่วงนะครับ ซึ่งก็คือ
1. การศึกษา (เรียนจบและได้รับปริญญาบัตร)
2. การหารายได้ (มีรายได้เลี้ยงชีพอย่างไม่ขัดสน)
3. ครอบครัว (แต่งงาน มีลูก และมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์)
ในช่วงที่ผ่านมาซึ่งเราได้ศึกษาจนได้รับปริญญาถือเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิอย่างหนึ่ง จะเห็นได้ว่าพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ทุกคนล้วนดีใจหมดในวันที่เราเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ซึ่งนี่ทำให้เราสง่าผ่าเผยในสังคมได้ในระดับหนึ่ง และการศึกษายังทำให้เรามีทักษะหลายๆอย่างสูงกว่าผู้ที่ไม่มีโอกาสได้ศึกษา อย่างเช่นการมองภาพรวม ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน ทักษะทางสังคมโดยได้รู้จักเพื่อน ได้สังคมในแวดวงที่ศึกษาจบมาหรืออาจได้เพื่อนในคณะอื่นด้วย เป็นต้น
สำหรับการหารายได้ ทุกคนล้วนอยากมีรายได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งก็ต้องมาดูว่ารายได้ที่เราอยากได้มากที่สุดนี้จะมาจากทางไหน ถ้าเป็นการทำงาน เป็นพนักงานบริษัท หรือเปิดกิจการเอง ทั้ง 2 อย่างนี้เราต้องมีความสามารถสูงทีเดียวจึงจะทำให้เรามีรายได้สูง ซึ่งก็คงต้องใช้ประสบการณ์และใช้วุฒิการศึกษาด้วย (ในหลายๆครั้งก็ต้องใช้เส้นและใช้สีด้วย) ซึ่งถ้าใครจบในสาขาที่มีความต้องการสูงแต่ปริมาณคนที่จบน้อยก็มักจะมีโอกาสที่จะหางานทำได้ง่ายและมีรายได้มาก ในส่วนของธุรกิจส่วนตัวในหลายๆกรณียากกว่าที่เราคิด บางทีเราตั้งสมมติฐานต่างๆไว้ สิ่งต่างๆอาจไม่เป็นไปตามนั้น มี factor และเรื่องนอกเหนือกฏเกณฑ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคน (พนักงาน ลูกค้า เจ้าหน้าที่ต่างๆ) เรื่องเงิน เรื่ององค์ความรู้ คู่แข่ง ฯลฯ ทั้งนี้เราต้องมีทักษะหลายด้าน (โดยเฉพาะทักษะในการบริหารคนซึ่งสำคัญมาก) ต้องเข้าใจธุรกิจในทุกด้าน ธุรกิจที่เราเห็นใหญ่โตในชีวิตจริง หลายๆธุรกิจมักซ่อนปัญหาที่คนภายนอกมองไม่เห็นและมักจะมาจาก factor ต่างๆข้างต้น ซึ่งถ้าคิดจะทำก็คงจะต้องคุยกับคนที่อยู่ในธุรกิจนั้นที่เปิดเผยข้อมูลจริงๆ และเราจะต้องคิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนและรอบด้านว่าธุรกิจนั้นน่าทำหรือไม่ (ในหลายๆธุรกิจซึ่งวันนี้เหมือนจะเป็นธุรกิจประเภท blue ocean แต่ไม่นานก็กลายเป็น red ocean ไปได้ ซึ่งก็มีให้เห็นดาษดื่นในสังคมไทย พวกธุรกิจที่ฮิตเร็วเลิกฮิตง่าย และคู่แข่งเข้ามาได้ง่ายต้องระวังให้ดี)
ในกรณีที่อยากมีรายได้จากการลงทุน เราคงต้องดูว่าการลงทุนของเรานั้นเสี่ยงมากขนาดไหน ลองจัดระดับความเสี่ยงดูนะครับ ถ้ายิ่งเสี่ยงมากยิ่งต้องลงทุนน้อยหรือไม่ควรลงทุนเลย แต่ถ้าเสี่ยงน้อยต้องลงทุนให้มากๆ นอกจากนี้คงต้องดูอีกว่าความรู้ของเราในตัวธุรกิจมีมากเพียงพอกับความเสี่ยงหรือไม่ รวมถึงประสบการณ์ของเรามีมากน้อยขนาดไหน (หลักสอนและคำเตือนให้คอยระมัดระวังต่างๆของคุณปู่บัฟเฟต ดร.นิเวศน์ หรือใน THAIVI นี้อย่างเช่น พี่ฉัตรชัย คุณโจลูกอีสาน คุณนริศ พี่มนตรี พี่หมอสามัญชน และพี่ๆท่านอื่นที่ไม่ได้กล่าวถึงที่คอยเตือนน้องๆอยู่เสมอ ทุกคำแนะนำล้วนมีประโยชน์มากๆนะครับ) บางทีความต้องการมากๆทำให้เราลงทุนเกินตัว ถ้าทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่เราคิด จะทำให้เราบาดเจ็บได้นะครับ ซึ่งส่วนที่ support ยามที่เราบาดเจ็บมีมากน้อยขนาดไหนก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณานะครับ และนี่จะมีผลไปถึงชีวิตครอบครัวครับ ในกรณีที่เราเป็นหัวหน้าครอบครัว ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้น คนข้างหลังจะเป็นอย่างไร ทั้งการกินอยู่ ไม่ว่าจะเป็นของเราเอง แฟนเรา ลูกเรา บางทีมีพ่อแม่ปู่ย่าตายายด้วย รวมถึงการศึกษาของลูกเพิ่มเติมเข้ามาอีก
ในส่วนของการลงทุน น้อง Voldtrest คงต้องสำรวจ style ของตัวเองครับว่าเรามีเวลาให้กับการลงทุนมากน้อยขนาดไหน เราชอบลงทุนระยะสั้น ระยะกลางหรือยาวขนาดไหน เราชอบลงทุนรวดเดียวหมดหน้าตัก ชอบไล่ราคาหรือชอบลงทุนทีละน้อยแล้วทยอยตั้งรับ ทั้งหมดนี้คงทำให้พอรู้ว่าเราควรจะมีเงินสดเหลือมากน้อยขนาดไหน เราควรจะลงทุนหุ้นแต่ละตัวมากน้อยขนาดไหน เพราะหุ้นแต่ละตัวจะมีพฤติกรรมของมันเอง (ถ้ามีประสบการณ์และอยู่ในตลาดมาพอสมควรจะรู้ครับว่าหุ้นแต่ละตัวมีพฤติกรรมเป็นอย่างไร)
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้อยากให้ระมัดระวังนะครับ ซึ่งถ้าเรามีความรู้มากพอ มีเงินรองรับในยามที่การลงทุนเกิดความเสียหาย รวมถึงมีประสบการณ์เพียงพอ พี่ว่าการลงทุนก็จะมีความเสี่ยงน้อยลงแล้วครับ
สำหรับการลงทุนปีนี้พี่ว่ายากนะครับ ยังไงคงต้องเผื่อเงินสดไว้บ้าง และหาความรู้อยู่เสมอ เพราะองค์ความรู้ใหม่ๆเกิดขึ้นทุกวัน ความรู้ใหม่ๆเหล่านั้นทำให้เราเหมือนเป็นเด็กไปเลย เหมือนกับที่พี่ใช้ชื่อ baby-investor
โดยในชีวิตของคนเราพี่ว่าน่าจะแบ่งช่วงหรือองค์ประกอบแห่งความความสำเร็จเป็น 3 ช่วงนะครับ ซึ่งก็คือ
1. การศึกษา (เรียนจบและได้รับปริญญาบัตร)
2. การหารายได้ (มีรายได้เลี้ยงชีพอย่างไม่ขัดสน)
3. ครอบครัว (แต่งงาน มีลูก และมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์)
ในช่วงที่ผ่านมาซึ่งเราได้ศึกษาจนได้รับปริญญาถือเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิอย่างหนึ่ง จะเห็นได้ว่าพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ทุกคนล้วนดีใจหมดในวันที่เราเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ซึ่งนี่ทำให้เราสง่าผ่าเผยในสังคมได้ในระดับหนึ่ง และการศึกษายังทำให้เรามีทักษะหลายๆอย่างสูงกว่าผู้ที่ไม่มีโอกาสได้ศึกษา อย่างเช่นการมองภาพรวม ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน ทักษะทางสังคมโดยได้รู้จักเพื่อน ได้สังคมในแวดวงที่ศึกษาจบมาหรืออาจได้เพื่อนในคณะอื่นด้วย เป็นต้น
สำหรับการหารายได้ ทุกคนล้วนอยากมีรายได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งก็ต้องมาดูว่ารายได้ที่เราอยากได้มากที่สุดนี้จะมาจากทางไหน ถ้าเป็นการทำงาน เป็นพนักงานบริษัท หรือเปิดกิจการเอง ทั้ง 2 อย่างนี้เราต้องมีความสามารถสูงทีเดียวจึงจะทำให้เรามีรายได้สูง ซึ่งก็คงต้องใช้ประสบการณ์และใช้วุฒิการศึกษาด้วย (ในหลายๆครั้งก็ต้องใช้เส้นและใช้สีด้วย) ซึ่งถ้าใครจบในสาขาที่มีความต้องการสูงแต่ปริมาณคนที่จบน้อยก็มักจะมีโอกาสที่จะหางานทำได้ง่ายและมีรายได้มาก ในส่วนของธุรกิจส่วนตัวในหลายๆกรณียากกว่าที่เราคิด บางทีเราตั้งสมมติฐานต่างๆไว้ สิ่งต่างๆอาจไม่เป็นไปตามนั้น มี factor และเรื่องนอกเหนือกฏเกณฑ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคน (พนักงาน ลูกค้า เจ้าหน้าที่ต่างๆ) เรื่องเงิน เรื่ององค์ความรู้ คู่แข่ง ฯลฯ ทั้งนี้เราต้องมีทักษะหลายด้าน (โดยเฉพาะทักษะในการบริหารคนซึ่งสำคัญมาก) ต้องเข้าใจธุรกิจในทุกด้าน ธุรกิจที่เราเห็นใหญ่โตในชีวิตจริง หลายๆธุรกิจมักซ่อนปัญหาที่คนภายนอกมองไม่เห็นและมักจะมาจาก factor ต่างๆข้างต้น ซึ่งถ้าคิดจะทำก็คงจะต้องคุยกับคนที่อยู่ในธุรกิจนั้นที่เปิดเผยข้อมูลจริงๆ และเราจะต้องคิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนและรอบด้านว่าธุรกิจนั้นน่าทำหรือไม่ (ในหลายๆธุรกิจซึ่งวันนี้เหมือนจะเป็นธุรกิจประเภท blue ocean แต่ไม่นานก็กลายเป็น red ocean ไปได้ ซึ่งก็มีให้เห็นดาษดื่นในสังคมไทย พวกธุรกิจที่ฮิตเร็วเลิกฮิตง่าย และคู่แข่งเข้ามาได้ง่ายต้องระวังให้ดี)
ในกรณีที่อยากมีรายได้จากการลงทุน เราคงต้องดูว่าการลงทุนของเรานั้นเสี่ยงมากขนาดไหน ลองจัดระดับความเสี่ยงดูนะครับ ถ้ายิ่งเสี่ยงมากยิ่งต้องลงทุนน้อยหรือไม่ควรลงทุนเลย แต่ถ้าเสี่ยงน้อยต้องลงทุนให้มากๆ นอกจากนี้คงต้องดูอีกว่าความรู้ของเราในตัวธุรกิจมีมากเพียงพอกับความเสี่ยงหรือไม่ รวมถึงประสบการณ์ของเรามีมากน้อยขนาดไหน (หลักสอนและคำเตือนให้คอยระมัดระวังต่างๆของคุณปู่บัฟเฟต ดร.นิเวศน์ หรือใน THAIVI นี้อย่างเช่น พี่ฉัตรชัย คุณโจลูกอีสาน คุณนริศ พี่มนตรี พี่หมอสามัญชน และพี่ๆท่านอื่นที่ไม่ได้กล่าวถึงที่คอยเตือนน้องๆอยู่เสมอ ทุกคำแนะนำล้วนมีประโยชน์มากๆนะครับ) บางทีความต้องการมากๆทำให้เราลงทุนเกินตัว ถ้าทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่เราคิด จะทำให้เราบาดเจ็บได้นะครับ ซึ่งส่วนที่ support ยามที่เราบาดเจ็บมีมากน้อยขนาดไหนก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณานะครับ และนี่จะมีผลไปถึงชีวิตครอบครัวครับ ในกรณีที่เราเป็นหัวหน้าครอบครัว ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้น คนข้างหลังจะเป็นอย่างไร ทั้งการกินอยู่ ไม่ว่าจะเป็นของเราเอง แฟนเรา ลูกเรา บางทีมีพ่อแม่ปู่ย่าตายายด้วย รวมถึงการศึกษาของลูกเพิ่มเติมเข้ามาอีก
ในส่วนของการลงทุน น้อง Voldtrest คงต้องสำรวจ style ของตัวเองครับว่าเรามีเวลาให้กับการลงทุนมากน้อยขนาดไหน เราชอบลงทุนระยะสั้น ระยะกลางหรือยาวขนาดไหน เราชอบลงทุนรวดเดียวหมดหน้าตัก ชอบไล่ราคาหรือชอบลงทุนทีละน้อยแล้วทยอยตั้งรับ ทั้งหมดนี้คงทำให้พอรู้ว่าเราควรจะมีเงินสดเหลือมากน้อยขนาดไหน เราควรจะลงทุนหุ้นแต่ละตัวมากน้อยขนาดไหน เพราะหุ้นแต่ละตัวจะมีพฤติกรรมของมันเอง (ถ้ามีประสบการณ์และอยู่ในตลาดมาพอสมควรจะรู้ครับว่าหุ้นแต่ละตัวมีพฤติกรรมเป็นอย่างไร)
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้อยากให้ระมัดระวังนะครับ ซึ่งถ้าเรามีความรู้มากพอ มีเงินรองรับในยามที่การลงทุนเกิดความเสียหาย รวมถึงมีประสบการณ์เพียงพอ พี่ว่าการลงทุนก็จะมีความเสี่ยงน้อยลงแล้วครับ
สำหรับการลงทุนปีนี้พี่ว่ายากนะครับ ยังไงคงต้องเผื่อเงินสดไว้บ้าง และหาความรู้อยู่เสมอ เพราะองค์ความรู้ใหม่ๆเกิดขึ้นทุกวัน ความรู้ใหม่ๆเหล่านั้นทำให้เราเหมือนเป็นเด็กไปเลย เหมือนกับที่พี่ใช้ชื่อ baby-investor
- ler109
- Verified User
- โพสต์: 241
- ผู้ติดตาม: 0
รายได้จากอาชีพหลัก VS รายได้จากเงินลงทุน
โพสต์ที่ 67
เห็นด้วยครับkonkaikong เขียน:การลงทุนผมว่าก็คล้ายๆกับการปลูกต้นไม้นะครับ
การที่เรากำหนดกรอบของเวลา หรือยึดติดกับเป้าหมายมากเกินไป
อาจทำให้เราเครียดมากกับการลงทุน เราปลูกต้นไม้ เราก็บอกไม่ได้ว่า
ตันไม้จะโตสูงเท่าไหร่ ออกลูกเยอะไหม
การที่นักลงทุนรายย่อยจะกำไรจากตลาดหุ้นได้ ก็เป็นเพราะเงินผู้อื่นที่จะมา
ไล่ซื้อดันราคาหุ้นขึ้นไป ถามว่าเมื่อไหร่จะมีคนมาไล่ซื้อ ไม่มีใครรู้หรอกครับ
ดังนั้นผมว่าการกำหนดว่าปีนี้จะตั้งเป้ากำไรเท่านั้นเท่านี้ เป็นเรื่องยาก
ขอเพียงแต่เราสนใจใฝ่หากิจการที่มีการบริหารจัดการที่ดี หมั่นหาความรู้ความเข้าใจในกิจการนั้นๆ เช่นเดียวกันกับการรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย ต้นไม้
เป็นเรื่องของเรา แต่เรื่องโตเร็ว โตช้านั้นเป็นเรื่องของต้นไม้
แล้วสักวันกระแสเงินก็จะพาหุ้นนั้นๆไปสู่ที่ที่ควรจะเป็น
ขออภัยถ้าท่านเจ้าของกระทู้รู้สึกว่าตอบนอกเรื่องไป
"ความพยายามอยู่ที่คน ความสำเร็จอยู่ที่ฟ้า" แต่ว่าฟ้าคงทอดทิ้งคนที่ไม่ละความพยายามได้ตลอดไป
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
รายได้จากอาชีพหลัก VS รายได้จากเงินลงทุน
โพสต์ที่ 68
เฮ้ย.. เอาใหม่ler109 เขียน: "ความพยายามอยู่ที่คน ความสำเร็จอยู่ที่ฟ้า" แต่ว่าฟ้าคงทอดทิ้งคนที่ไม่ละความพยายามได้ตลอดไป
ฟ้าจะไม่ทอดทิ้งคนที่ไม่ละความพยายาม
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 32
- ผู้ติดตาม: 0
รายได้จากอาชีพหลัก VS รายได้จากเงินลงทุน
โพสต์ที่ 69
แบ่งเงิน ทำบุญ ให้ ศาสนา และ พ่อ แม่ หรือ ผู้ ด้อยโอกาส บ้างน่ะ ครับ ...... เราไม่รู้ ว่า ชาติ หน้ามี จริง หรือ ไม่ .... ถ้ามี จริง... และ ไม่ได้ ทำไว้ เลย แล้วเสียชีวิตฉับพลัน ...... เราอาจไม่มี เสบียง บุญ สำหรับชีวิต เราในชาติหน้า เลยครับ.....เราอาจต้องมาเริ่ม สะสม เงินกันใหม่ อีกครั้ง...ง
- SunShine@Night
- Verified User
- โพสต์: 2196
- ผู้ติดตาม: 0
รายได้จากอาชีพหลัก VS รายได้จากเงินลงทุน
โพสต์ที่ 70
Nongnon เขียน:แบ่งเงิน ทำบุญ ให้ ศาสนา และ พ่อ แม่ หรือ ผู้ ด้อยโอกาส บ้างน่ะ ครับ ...... เราไม่รู้ ว่า ชาติ หน้ามี จริง หรือ ไม่ .... ถ้ามี จริง... และ ไม่ได้ ทำไว้ เลย แล้วเสียชีวิตฉับพลัน ...... เราอาจไม่มี เสบียง บุญ สำหรับชีวิต เราในชาติหน้า เลยครับ.....เราอาจต้องมาเริ่ม สะสม เงินกันใหม่ อีกครั้ง...ง
VI ฝึกหัด สำนักปีเตอร์ ลินช์
หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี
หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
รายได้จากอาชีพหลัก VS รายได้จากเงินลงทุน
โพสต์ที่ 71
วันนี้เพิ่งทำบุญช่วยผู้ประสบภัยชาวเฮติ ผ่านสภากาชาดไทย
ขอบคุณที่เข้ามาเตือนครับ
จะทยอยทำบุญไปเรื่อยๆๆ
ขอบคุณที่เข้ามาเตือนครับ
จะทยอยทำบุญไปเรื่อยๆๆ
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 241
- ผู้ติดตาม: 0
รายได้จากอาชีพหลัก VS รายได้จากเงินลงทุน
โพสต์ที่ 73
เดี๋ยวนี้ผมหาเงิน แม้จะไม่เยอะ ผมก็แบ่งไปทำบุญทำทาน ตายไปก็เอาไปไม่ได้ครับ คนเราอายุสั้นไม่รู้จะชดใช้กรรมไปถึงวันไหน วันนี้เราเลือกที่จะทำดีได้ครับ
นั่งสมาธิครับ ช่วยได้มากจริงๆ ทำให้ชีวิตอะไรๆก็ดีขึ้นเยอะเลยครับ
สุดท้ายแล้ว สุขใดยิ่งกว่าความสงบในใจไม่มี จริงๆครับ
"อดีตแก้ไขไม่ได้ ปัจจุบันเลือกที่จะทำได้ อนาคตเราไม่รู้"
นั่งสมาธิครับ ช่วยได้มากจริงๆ ทำให้ชีวิตอะไรๆก็ดีขึ้นเยอะเลยครับ
สุดท้ายแล้ว สุขใดยิ่งกว่าความสงบในใจไม่มี จริงๆครับ
"อดีตแก้ไขไม่ได้ ปัจจุบันเลือกที่จะทำได้ อนาคตเราไม่รู้"
- SunShine@Night
- Verified User
- โพสต์: 2196
- ผู้ติดตาม: 0
รายได้จากอาชีพหลัก VS รายได้จากเงินลงทุน
โพสต์ที่ 74
คิดคล้ายๆกันเลยครับsakana_sushi เขียน:เดี๋ยวนี้ผมหาเงิน แม้จะไม่เยอะ ผมก็แบ่งไปทำบุญทำทาน ตายไปก็เอาไปไม่ได้ครับ คนเราอายุสั้นไม่รู้จะชดใช้กรรมไปถึงวันไหน วันนี้เราเลือกที่จะทำดีได้ครับ
นั่งสมาธิครับ ช่วยได้มากจริงๆ ทำให้ชีวิตอะไรๆก็ดีขึ้นเยอะเลยครับ
สุดท้ายแล้ว สุขใดยิ่งกว่าความสงบในใจไม่มี จริงๆครับ
"อดีตแก้ไขไม่ได้ ปัจจุบันเลือกที่จะทำได้ อนาคตเราไม่รู้"
ของผมพอได้เงินปันผลมา จะกันไว้ 10% เพื่อเอาไปทำบุญต่อครับ
จะได้แบ่งปันความสุขให้คนอื่นบ้าง ไม่ใช่ได้คนเดียว
VI ฝึกหัด สำนักปีเตอร์ ลินช์
หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี
หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี
- Sorgios
- Verified User
- โพสต์: 368
- ผู้ติดตาม: 0
รายได้จากอาชีพหลัก VS รายได้จากเงินลงทุน
โพสต์ที่ 75
เยี่ยมจริงๆครับพี่ซันSunShine@Night เขียน: คิดคล้ายๆกันเลยครับ
ของผมพอได้เงินปันผลมา จะกันไว้ 10% เพื่อเอาไปทำบุญต่อครับ
จะได้แบ่งปันความสุขให้คนอื่นบ้าง ไม่ใช่ได้คนเดียว
ปล. แต่ 10% เนี่ยก็ไม่น้อยเลยนะครับ :lol:
CHIN UP, Do not give up !!!
-
- Verified User
- โพสต์: 41
- ผู้ติดตาม: 0
รายได้จากอาชีพหลัก VS รายได้จากเงินลงทุน
โพสต์ที่ 76
เราหวังน้อยไปไหมเนี่ย หุหุ คือ ณ วันนี้เราหวังว่าจะให้มีเงิน 20 ล้าน
ผลตอบแทนขั้นต่ำ 5-6% ต่อปี (ทบต้นได้ก็ยิ่งดี) จากเงินลงทุน
หลักแสน อิอิ :lol:
..............................................................................................
กินอยู่อย่างพอเพียง และเพียงพอกับทุกสิ่ง
ผลตอบแทนขั้นต่ำ 5-6% ต่อปี (ทบต้นได้ก็ยิ่งดี) จากเงินลงทุน
หลักแสน อิอิ :lol:
..............................................................................................
กินอยู่อย่างพอเพียง และเพียงพอกับทุกสิ่ง
-
- Verified User
- โพสต์: 447
- ผู้ติดตาม: 0
รายได้จากอาชีพหลัก VS รายได้จากเงินลงทุน
โพสต์ที่ 78
นับถือครับ ผมเองก็แบ่งเงินอย่างน้อย 5% ของรายได้สำหรับทำบุญอะไรก็ได้SunShine@Night เขียน: คิดคล้ายๆกันเลยครับ
ของผมพอได้เงินปันผลมา จะกันไว้ 10% เพื่อเอาไปทำบุญต่อครับ
จะได้แบ่งปันความสุขให้คนอื่นบ้าง ไม่ใช่ได้คนเดียว
ที่มีโอกาส ลงทุนทางโลกก็ทำ ลงทุนทางธรรมก็ไม่ขาด หากพลาดพลั้งไป
ตายก่อนเกษียน (ผมหมายถึงตัวผมนะ) จะได้มีทุนติดกระเป๋าบ้าง
จิตที่ฝึกดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
รายได้จากอาชีพหลัก VS รายได้จากเงินลงทุน
โพสต์ที่ 79
:ohno: :ohno: :ohno: :ohno: :ohno: :ohno: :ohno:
เฮ้ย....กลายเป็นกระทู้ธรรมะไปแล้ว
ผมมาเห็นเรื่องบุญ-บาป มีอิทธิพลกับชีวิต
ก็ตอน เกือบเอาชีวิตไปทิ้งข้างถนน ครั้งนึง
และก็ช่วงที่ว่างงาน ไม่มีรายได้เข้ามาร่วมปีกว่าๆ
ซวยซ้ำ ซวยซ้อนนี่ แทบทำเอาเราเป็นบ้าได้เลยนะครับ
ทุกวันนี้ผมใช้วิธีทำบุญทีละน้อยๆ ทุกเดือน มีโอกาสก็เพิ่มปริมาณเข้าไป
ใจยังไม่ถึงครับ ศีล 5 ยังด่างพร้อยเลย :oops:
เฮ้ย....กลายเป็นกระทู้ธรรมะไปแล้ว
ผมมาเห็นเรื่องบุญ-บาป มีอิทธิพลกับชีวิต
ก็ตอน เกือบเอาชีวิตไปทิ้งข้างถนน ครั้งนึง
และก็ช่วงที่ว่างงาน ไม่มีรายได้เข้ามาร่วมปีกว่าๆ
ซวยซ้ำ ซวยซ้อนนี่ แทบทำเอาเราเป็นบ้าได้เลยนะครับ
ทุกวันนี้ผมใช้วิธีทำบุญทีละน้อยๆ ทุกเดือน มีโอกาสก็เพิ่มปริมาณเข้าไป
ใจยังไม่ถึงครับ ศีล 5 ยังด่างพร้อยเลย :oops:
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
รายได้จากอาชีพหลัก VS รายได้จากเงินลงทุน
โพสต์ที่ 81
เรื่องราวที่น่าจดจำของพี่ skyforever
คำกล่าวจากคนที่สร้างเนื้อสร้างตัวมาเป็นเศรษฐีหลายๆคนว่า "เงิน 1 ล้านบาทแรกนั้นเป็นเงินก้อนที่หามาด้วยความยากลำบากมากที่สุด ยากกว่าการหาเงินอีกหลายสิบหลายร้อยล้านบาทในเวลาต่อมา"
วันนี้ผมตัดสินใจตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพราะรู้สึกดีใจ ภูมิใจว่าในที่สุด หลังจากทำงานมาเป็นเวลาถึง 10 ปี ก็สามารถมีพอร์ทลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าเกิน 1 ล้านบาทเป็นครั้งแรกในชีวิต (ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้หุ้นจะมีราคาลงไปบ้างก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ได้ชื่อว่ามีเงินล้านแล้วในวันนี้ อิอิ ) และหวังว่าประสบการณ์ชีวิตผมจะเป็นแรงบันดาลใจให้หลายๆคนมีความพยายามในการไปให้ถึงเป้าหมายในอนาคตต่อไป
บางคนอาจจะรู้สึกว่าเงิน 1 ล้านบาทนั้นหามาได้ไม่ยากนัก แต่สำหรับผมแล้ว มันช่างเป็นจำนวนเงินที่มากมายเหลือเกิน ผมมาจากฐานะทางบ้านที่ไม่ดีนัก เรียนหนังสือก็อาศัยทุนการศึกษา ทุนอาหารกลางวัน มาตลอด แม่ก็เข็นรถเข็นขายข้าวแกงมีรายได้ไม่มากนัก ผมได้เงินไปเรียนมหาวิทยาลัยวันละ 50 บาท พอเรียนจบมาได้ไม่นาน แม่ก็หยุดขายข้าวแกงเพราะไม่ไหว ผมกับพี่และน้องชายต้องช่วยกันรวมเงินมาไว้ให้แม่ทุกเดือน ทำงานครั้งแรกเงินเดือน 15,000 บาท ผมให้แม่เดือนละ 10,000 บาททุกเดือน ใช้เอง2-3 พันบาท เหลือเก็บเดือนละ 2 พันบาท และไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าในชีวิตนี้จะมีวันที่มีเงิน 1 ล้านบาทได้
ผมเริ่มเล่นหุ้นครั้งแรกเมื่อประมาณ 8 ปีที่แล้ว (ปี 2002) ตอนนั้นผมทำงานเป็นวิศวกรได้ประมาณ 2 ปี ตอนนั้นเล่นไปตามบทวิเคราะห์ ได้บ้างเสียบ้าง จนเมื่อผมทำงานมาได้ 5 ปี (ปี 2005) ผมก็ตัดสินใจไปทำงานเป็น มาร์เก็ตติ้ง โดยมีความเชื่อว่าถ้าเป็นคนเคาะซื้อเคาะขายหุ้นด้วยตัวเอง น่าจะสร้างผลตอบแทนได้เป็นกอบเป็นกำ ตอนนั้นมีเงินเก็บอยู่ 5 แสนบาทได้ รวมกับเงินที่พี่ชายฝากมาเล่นหุ้นด้วยอีก 2 แสน รวมเป็นเงิน 7 แสนบาท
หลังจากทำงานมาร์เก็ตติ้งมา 1 ปีเต็ม จนถึงสิ้นปี 2005 ในที่สุดผมก็หมดตัว เนื่องจากเล่นไปตามอารมณ์เหมือนการพนัน เล่นหนักๆเกินตัว ต้องไปขอยืมเงินพี่ชายเพิ่มมาอีกเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน พี่ชายผมพอรู้ว่าเงิน 2 แสนของพี่สูญไปหมด ก็โกรธผมอย่างมาก ทำให้ความสัมพันธ์ที่เคยดีๆในครอบครัวต้องเลวร้ายลงอย่างมาก
ผมลาออกจากมาร์เก็ตติ้งมาทำงานเป็นวิศวกรในโรงงานอีกครั้ง และห่างหายไปจากตลาดหุ้นในช่วงปี 2006-2008 แต่ก็เฝ้าดูอยู่ห่างๆ จนถึงช่วงที่ตลาดหุ้นตกหนักในปลายปี 2008 ผมก็เริ่มเอาเงินที่มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 3 หมื่นบาทมาลงทุนในช่วงมกราคม 2009 แล้วก็เอาเงินเดือนที่เก็บเพิ่มได้ในแต่ละเดือนอีกประมาณเดือนละหมื่นบาทไปลงทุนเพิ่มทุกเดือน เนื่องจากผมรู้สึกเข็ดกับอดีตอันเลวร้ายของผม ผมจึงตั้งใจศึกษาและค้นหาวิธีการลงุทนที่เป็นหลักการจนมาพบเวบไซต์ของคุณโย (yoyo) เมื่อได้อ่านก็ยิ่งรู้สึกว่าใช่แนวทางที่ถูกต้อง แล้วผมก็มารู้จักหนังสือของ ดร.นิเวศน์ และเวปไซต์แห่งนี้ในภายหลัง โดยเฉพาะที่สำคัญที่สุด ผมได้มารู้จักสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก คือดอกเบี้ยทบต้น ผมนั่งคำนวณด้วย Excel นั่งคำนวณทั้งวันโดยเปลี่ยนตัวเลขไปเรื่อยๆ แล้วก็เหมือนดวงตาเห็นธรรม เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้รู้และมั่นใจว่าผมเจอหนทางที่จะมีเงินได้ถึงร้อยล้านพันล้านในชีวิตของผมได้
ผมจะเตือนตัวเองเสมอว่าอย่าผิดพลาดอีก อย่าขาดทุนเด็ดขาด ดังนั้นผมจึงค่อยๆพัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ โดยในตอนต้นปี 2009 ผมจะลงทุนในหุ้นที่รู้สึกว่าตกต่ำลงมามาก แต่คาดว่าผลประกอบการไตรมาสถัดไปน่าจะดีอยู่ พอถึงกลางปี 2009 ผมก็เริ่มเปลี่ยนมุมมอง คือมองหาบริษัทที่คิดว่าในอีก 1-2 ปีข้างหน้าจะมั่นใจได้ว่าผลประกอบการจะต้องดีขึ้นอย่างโดดเด่น จนมาถึงตอนนี้ ผมจะเลือกลุงทุนในบริษัทที่ผมคิดว่าในอีก 5-10 ปีข้างหน้าผลประกอบการก็จะมั่นใจได้แน่ว่าจะดีขึ้นอย่างแน่นอน อาจจะไม่ได้ก้าวกระโดดมากมาย แต่เติบโตต่อเนื่องทุกปี อย่างน้อย 15% ต่อปี และผมจะคิดถึคงกรณีที่เลวร้ายสุดไว้เสมอ ว่าหากมีปัญหาการเมือง หรือวิกฤติการเงินจะส่งผลอะไรต่อบริษัทหรือไม่ ผมจะเลือกบริษัทที่มีภูมิต้านทานสูง เสมือนมาอยู่หอพัก หรือคอนโดสูงแล้วมองหาประตูหนีไฟเอาไว้ก่อน
ผมตั้งเป้าระยะยาวไว้กับตัวเองจนถึงอายุ 60 ปี ทำเป็น Grant chart เอาไว้ว่าแต่ละปีจะมีทรัพย์สินมูลค่าเท่าไร ผมคาดหวังไว้ที่ 18% ต่อปี ซึ่งเมื่อหักค่าใช้จ่าย ผมจะมีเงินประมาณ 100 ล้านบาทเมื่อมีอายุประมาณ 55 ปี ซึ่งเป็นปีที่ผมตั้งใจว่าจะตั้งมูลนิธิขึ้นเพื่อช่วยเหลือสังคมซึ่งเป็นความใฝ่ฝันของผมมาตลอดตั้งแต่สมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัย
จากประสบการณ์ของผม ยามที่ผมโลภ ไม่รู้จักพอ หวังรวยเร็ว ผมจะขาดทุนอย่างหนัก แต่ยามที่ผมรู้จักพอ ไม่หวังรวยเร็ว กลับมีกำไรมากกว่าที่คาด มันเป็นสัจธรรมสำหรับชีวิตผม ผมเรียนรู้ว่าในตลาดหุ้น จิตใจสำคัญกว่าความรู้มากยิ่งนัก
ขออธิบายเพิ่มนิดนึงนะครับ คือนอกจากเงินเริ่มต้น 3 หมื่นบาน กับเงินที่เติมไปเดือนละ 1 หมื่นกว่าบาทนั้น ผมขอคืนเงินดาวน์ของเมโทรพาร์คคอนโด ของ PF เนื่องจากสร้างล่าช้ากว่ากำหนด และได้เงินมาในเดือนสิงหาคม 2009 อีกประมาณ 1 แสนกว่าบาท รวมทั้งผมไปเวนคืนกรมธรรม์ประกันชีวิตของ AIA มาอีก 8 หมื่นบาทช่วงเดือนกันยายน 2009 และยังมีโบนัสอีกประมาณ 1 แสนกว่าบาทครับ
สรุปก็คือนับย้อนไปตั้งแต่มกราคม 2009 จนถึงตอนนี้ ผมใส่เงินลงทุนของตัวเองไปประมาณ 6 แสนบาทครับ โดยเงิน 6 แสนนี้ทะยอยเติมเข้ามาเรื่อยๆ
ปี 2009 ผมได้ผลตอบแทนประมาณ 88% ส่วนปี 2010 ครึ่งปีแรกนี้ผมได้ผลตอบแทนประมาณ 42% ครับ
คำกล่าวจากคนที่สร้างเนื้อสร้างตัวมาเป็นเศรษฐีหลายๆคนว่า "เงิน 1 ล้านบาทแรกนั้นเป็นเงินก้อนที่หามาด้วยความยากลำบากมากที่สุด ยากกว่าการหาเงินอีกหลายสิบหลายร้อยล้านบาทในเวลาต่อมา"
วันนี้ผมตัดสินใจตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพราะรู้สึกดีใจ ภูมิใจว่าในที่สุด หลังจากทำงานมาเป็นเวลาถึง 10 ปี ก็สามารถมีพอร์ทลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าเกิน 1 ล้านบาทเป็นครั้งแรกในชีวิต (ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้หุ้นจะมีราคาลงไปบ้างก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ได้ชื่อว่ามีเงินล้านแล้วในวันนี้ อิอิ ) และหวังว่าประสบการณ์ชีวิตผมจะเป็นแรงบันดาลใจให้หลายๆคนมีความพยายามในการไปให้ถึงเป้าหมายในอนาคตต่อไป
บางคนอาจจะรู้สึกว่าเงิน 1 ล้านบาทนั้นหามาได้ไม่ยากนัก แต่สำหรับผมแล้ว มันช่างเป็นจำนวนเงินที่มากมายเหลือเกิน ผมมาจากฐานะทางบ้านที่ไม่ดีนัก เรียนหนังสือก็อาศัยทุนการศึกษา ทุนอาหารกลางวัน มาตลอด แม่ก็เข็นรถเข็นขายข้าวแกงมีรายได้ไม่มากนัก ผมได้เงินไปเรียนมหาวิทยาลัยวันละ 50 บาท พอเรียนจบมาได้ไม่นาน แม่ก็หยุดขายข้าวแกงเพราะไม่ไหว ผมกับพี่และน้องชายต้องช่วยกันรวมเงินมาไว้ให้แม่ทุกเดือน ทำงานครั้งแรกเงินเดือน 15,000 บาท ผมให้แม่เดือนละ 10,000 บาททุกเดือน ใช้เอง2-3 พันบาท เหลือเก็บเดือนละ 2 พันบาท และไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าในชีวิตนี้จะมีวันที่มีเงิน 1 ล้านบาทได้
ผมเริ่มเล่นหุ้นครั้งแรกเมื่อประมาณ 8 ปีที่แล้ว (ปี 2002) ตอนนั้นผมทำงานเป็นวิศวกรได้ประมาณ 2 ปี ตอนนั้นเล่นไปตามบทวิเคราะห์ ได้บ้างเสียบ้าง จนเมื่อผมทำงานมาได้ 5 ปี (ปี 2005) ผมก็ตัดสินใจไปทำงานเป็น มาร์เก็ตติ้ง โดยมีความเชื่อว่าถ้าเป็นคนเคาะซื้อเคาะขายหุ้นด้วยตัวเอง น่าจะสร้างผลตอบแทนได้เป็นกอบเป็นกำ ตอนนั้นมีเงินเก็บอยู่ 5 แสนบาทได้ รวมกับเงินที่พี่ชายฝากมาเล่นหุ้นด้วยอีก 2 แสน รวมเป็นเงิน 7 แสนบาท
หลังจากทำงานมาร์เก็ตติ้งมา 1 ปีเต็ม จนถึงสิ้นปี 2005 ในที่สุดผมก็หมดตัว เนื่องจากเล่นไปตามอารมณ์เหมือนการพนัน เล่นหนักๆเกินตัว ต้องไปขอยืมเงินพี่ชายเพิ่มมาอีกเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน พี่ชายผมพอรู้ว่าเงิน 2 แสนของพี่สูญไปหมด ก็โกรธผมอย่างมาก ทำให้ความสัมพันธ์ที่เคยดีๆในครอบครัวต้องเลวร้ายลงอย่างมาก
ผมลาออกจากมาร์เก็ตติ้งมาทำงานเป็นวิศวกรในโรงงานอีกครั้ง และห่างหายไปจากตลาดหุ้นในช่วงปี 2006-2008 แต่ก็เฝ้าดูอยู่ห่างๆ จนถึงช่วงที่ตลาดหุ้นตกหนักในปลายปี 2008 ผมก็เริ่มเอาเงินที่มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 3 หมื่นบาทมาลงทุนในช่วงมกราคม 2009 แล้วก็เอาเงินเดือนที่เก็บเพิ่มได้ในแต่ละเดือนอีกประมาณเดือนละหมื่นบาทไปลงทุนเพิ่มทุกเดือน เนื่องจากผมรู้สึกเข็ดกับอดีตอันเลวร้ายของผม ผมจึงตั้งใจศึกษาและค้นหาวิธีการลงุทนที่เป็นหลักการจนมาพบเวบไซต์ของคุณโย (yoyo) เมื่อได้อ่านก็ยิ่งรู้สึกว่าใช่แนวทางที่ถูกต้อง แล้วผมก็มารู้จักหนังสือของ ดร.นิเวศน์ และเวปไซต์แห่งนี้ในภายหลัง โดยเฉพาะที่สำคัญที่สุด ผมได้มารู้จักสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก คือดอกเบี้ยทบต้น ผมนั่งคำนวณด้วย Excel นั่งคำนวณทั้งวันโดยเปลี่ยนตัวเลขไปเรื่อยๆ แล้วก็เหมือนดวงตาเห็นธรรม เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้รู้และมั่นใจว่าผมเจอหนทางที่จะมีเงินได้ถึงร้อยล้านพันล้านในชีวิตของผมได้
ผมจะเตือนตัวเองเสมอว่าอย่าผิดพลาดอีก อย่าขาดทุนเด็ดขาด ดังนั้นผมจึงค่อยๆพัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ โดยในตอนต้นปี 2009 ผมจะลงทุนในหุ้นที่รู้สึกว่าตกต่ำลงมามาก แต่คาดว่าผลประกอบการไตรมาสถัดไปน่าจะดีอยู่ พอถึงกลางปี 2009 ผมก็เริ่มเปลี่ยนมุมมอง คือมองหาบริษัทที่คิดว่าในอีก 1-2 ปีข้างหน้าจะมั่นใจได้ว่าผลประกอบการจะต้องดีขึ้นอย่างโดดเด่น จนมาถึงตอนนี้ ผมจะเลือกลุงทุนในบริษัทที่ผมคิดว่าในอีก 5-10 ปีข้างหน้าผลประกอบการก็จะมั่นใจได้แน่ว่าจะดีขึ้นอย่างแน่นอน อาจจะไม่ได้ก้าวกระโดดมากมาย แต่เติบโตต่อเนื่องทุกปี อย่างน้อย 15% ต่อปี และผมจะคิดถึคงกรณีที่เลวร้ายสุดไว้เสมอ ว่าหากมีปัญหาการเมือง หรือวิกฤติการเงินจะส่งผลอะไรต่อบริษัทหรือไม่ ผมจะเลือกบริษัทที่มีภูมิต้านทานสูง เสมือนมาอยู่หอพัก หรือคอนโดสูงแล้วมองหาประตูหนีไฟเอาไว้ก่อน
ผมตั้งเป้าระยะยาวไว้กับตัวเองจนถึงอายุ 60 ปี ทำเป็น Grant chart เอาไว้ว่าแต่ละปีจะมีทรัพย์สินมูลค่าเท่าไร ผมคาดหวังไว้ที่ 18% ต่อปี ซึ่งเมื่อหักค่าใช้จ่าย ผมจะมีเงินประมาณ 100 ล้านบาทเมื่อมีอายุประมาณ 55 ปี ซึ่งเป็นปีที่ผมตั้งใจว่าจะตั้งมูลนิธิขึ้นเพื่อช่วยเหลือสังคมซึ่งเป็นความใฝ่ฝันของผมมาตลอดตั้งแต่สมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัย
จากประสบการณ์ของผม ยามที่ผมโลภ ไม่รู้จักพอ หวังรวยเร็ว ผมจะขาดทุนอย่างหนัก แต่ยามที่ผมรู้จักพอ ไม่หวังรวยเร็ว กลับมีกำไรมากกว่าที่คาด มันเป็นสัจธรรมสำหรับชีวิตผม ผมเรียนรู้ว่าในตลาดหุ้น จิตใจสำคัญกว่าความรู้มากยิ่งนัก
ขออธิบายเพิ่มนิดนึงนะครับ คือนอกจากเงินเริ่มต้น 3 หมื่นบาน กับเงินที่เติมไปเดือนละ 1 หมื่นกว่าบาทนั้น ผมขอคืนเงินดาวน์ของเมโทรพาร์คคอนโด ของ PF เนื่องจากสร้างล่าช้ากว่ากำหนด และได้เงินมาในเดือนสิงหาคม 2009 อีกประมาณ 1 แสนกว่าบาท รวมทั้งผมไปเวนคืนกรมธรรม์ประกันชีวิตของ AIA มาอีก 8 หมื่นบาทช่วงเดือนกันยายน 2009 และยังมีโบนัสอีกประมาณ 1 แสนกว่าบาทครับ
สรุปก็คือนับย้อนไปตั้งแต่มกราคม 2009 จนถึงตอนนี้ ผมใส่เงินลงทุนของตัวเองไปประมาณ 6 แสนบาทครับ โดยเงิน 6 แสนนี้ทะยอยเติมเข้ามาเรื่อยๆ
ปี 2009 ผมได้ผลตอบแทนประมาณ 88% ส่วนปี 2010 ครึ่งปีแรกนี้ผมได้ผลตอบแทนประมาณ 42% ครับ
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 513
- ผู้ติดตาม: 0
รายได้จากอาชีพหลัก VS รายได้จากเงินลงทุน
โพสต์ที่ 82
เยี่ยมไปเลยครับ กลิ่นล้านแรกคงหอมน่าดู ผมก็กำลังต่อสู้เพื่อล้านแรกเหมือนกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 47
- ผู้ติดตาม: 0
รายได้จากอาชีพหลัก VS รายได้จากเงินลงทุน
โพสต์ที่ 83
คุณ Voldtrest ครับ ผมเคยถามตัวเองหลายๆครั้ง และยังเคยไปโพสถามในตะแกรงร่อนหุ้นด้วย ว่าควรลาออกจากงานดีไหม จำได้ว่าตอนนั้นคุณ Voldtrest ก็แนะนำให้ทำงานไปและออมเงินไปด้วย
วันนี้เพิ่งมาเห็นกระทู้นี้ (ก่อนหน้านี้ ไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนให้มากเท่าที่ควรน่ะครับ :? ) สุดท้ายแล้วผมก็เลือกลาออกจากงานประจำอยู่ดีครับ แต่กว่าจะได้ออกคงประมาณสิ้นปีคือต้องรอคนมาแทนครับ
วันนี้หากมีโอกาสหวังว่าคงได้คุยกันในงานนะครับ แต่คุณ Voldtrest นั่งโต๊ะเดียวกับดร.ผมเลยไม่มั่นใจนักว่าจะมีโอกาสได้คุยไหม :D
วันนี้เพิ่งมาเห็นกระทู้นี้ (ก่อนหน้านี้ ไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนให้มากเท่าที่ควรน่ะครับ :? ) สุดท้ายแล้วผมก็เลือกลาออกจากงานประจำอยู่ดีครับ แต่กว่าจะได้ออกคงประมาณสิ้นปีคือต้องรอคนมาแทนครับ
วันนี้หากมีโอกาสหวังว่าคงได้คุยกันในงานนะครับ แต่คุณ Voldtrest นั่งโต๊ะเดียวกับดร.ผมเลยไม่มั่นใจนักว่าจะมีโอกาสได้คุยไหม :D
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
รายได้จากอาชีพหลัก VS รายได้จากเงินลงทุน
โพสต์ที่ 84
[quote="truetempo"]คุณ Voldtrest ครับ ผมเคยถามตัวเองหลายๆครั้ง และยังเคยไปโพสถามในตะแกรงร่อนหุ้นด้วย ว่าควรลาออกจากงานดีไหม จำได้ว่าตอนนั้นคุณ Voldtrest ก็แนะนำให้ทำงานไปและออมเงินไปด้วย
วันนี้เพิ่งมาเห็นกระทู้นี้ (ก่อนหน้านี้ ไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนให้มากเท่าที่ควรน่ะครับ :? ) สุดท้ายแล้วผมก็เลือกลาออกจากงานประจำอยู่ดีครับ แต่กว่าจะได้ออกคงประมาณสิ้นปีคือต้องรอคนมาแทนครับ
วันนี้หากมีโอกาสหวังว่าคงได้คุยกันในงานนะครับ แต่คุณ Voldtrest นั่งโต๊ะเดียวกับดร.ผมเลยไม่มั่นใจนักว่าจะมีโอกาสได้คุยไหม
วันนี้เพิ่งมาเห็นกระทู้นี้ (ก่อนหน้านี้ ไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนให้มากเท่าที่ควรน่ะครับ :? ) สุดท้ายแล้วผมก็เลือกลาออกจากงานประจำอยู่ดีครับ แต่กว่าจะได้ออกคงประมาณสิ้นปีคือต้องรอคนมาแทนครับ
วันนี้หากมีโอกาสหวังว่าคงได้คุยกันในงานนะครับ แต่คุณ Voldtrest นั่งโต๊ะเดียวกับดร.ผมเลยไม่มั่นใจนักว่าจะมีโอกาสได้คุยไหม
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 12
- ผู้ติดตาม: 0
รายได้จากอาชีพหลัก VS รายได้จากเงินลงทุน
โพสต์ที่ 85
เป็นความสุขที่แท้จริงอย่างยิ่งครับ :Dpoppo เขียน:อย่าให้ความสำคัญกับเป้าหมายมากเกินไป
แต่ให้ความสำคัญกับวิถีที่เราจะเดินไปให้ถึงเป้าหมาย
แม้ที่สุดเราจะไม่ถึงเป้าหมาย แต่ถ้าเราได้เดินในวิถีที่เราศรัทธา นั่นก็น่าจะพอใจแล้ว
สิ่งที่แน่นอนที่สุดในโลกเราคือความไม่แน่นอน
ตอนแรกๆ ผมก็ตั้งเป้าหมายไว้ จะต้องไปถึงในระยะเวลากี่ปี
แต่ปัจจุบัน ผมคิดว่า ผมเลือกวิธีที่จะเดินไปถึงเป้าหมาย แล้วมีความสุขกับทุกขณะที่เราเดินไปสู่เป้าหมาย ทีละก้าว ทีละก้าว
ใครจะรู้ ก่อนเราจะมีร้อยล้าน อาจจะเกิดอุบัติเหตุอะไรก็ได้ ผมเห็นชีวิตมามาก เห็นความสูญเสียมามาก
ไม่มีอะไรเป็นไปตามแผนของเราเสมอหรอกครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
รายได้จากอาชีพหลัก VS รายได้จากเงินลงทุน
โพสต์ที่ 87
[quote="Tex"][quote="poppo"]ความรวย เราควบคุมไม่ได้ รวยมากรวยน้อย แล้วแต่โชควาสนา
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10548
- ผู้ติดตาม: 1
รายได้จากอาชีพหลัก VS รายได้จากเงินลงทุน
โพสต์ที่ 88
ความสุขของผมคือ ทำอะไรแล้วต้องเกิดความมันส์สะใจตั้งแต่เริ่มทำนะ
ครับ และพยายามทำมันให้ไปถึงที่ต้องการครับ
555 คล้ายๆ พี่ เลย อ่ะ
แต่ ระหว่าง ทาง ก็ต้อง ปรับแต่งได้นะ
เป้าหมาย ตั้ง ไว้ อยู่ บนหินผา
แต่ วิธีการไปถึงเป้าหมาย ปรับได้ เหมือน รอยบนผืนทราย
นะครับ น้อง บิ้ก
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
รายได้จากอาชีพหลัก VS รายได้จากเงินลงทุน
โพสต์ที่ 89
เห็นด้วย 100 % ครับ ต้องปรับตลอดเลย ตั้งแต่ตัดสินใจซื้อหุ้นในปีนี้Paul VI เขียน: เป้าหมาย ตั้ง ไว้ อยู่ บนหินผา
แต่ วิธีการไปถึงเป้าหมาย ปรับได้ เหมือน รอยบนผืนทราย
นะครับ น้อง บิ้ก
เปลี่ยนหุ้นมาก็หลายตัว เพราะไม่เป็นไปตามคาด หาตัวใหม่มาเสียบแทน
เหนื่อยครับ แต่คิดว่าอีกหน่อยก็ชินไปเองเพราะจะรู้จักหุ้นแต่ละตัวดีขึ้น
ตอนนี้เอาแค่แผนระยะสั้นให้รอดก่อน ไม่อยากให้ดินพอกหางหมูตอนปีหลังๆ สู้เหนื่อยมันตอนนี้ไปเลย 5555+
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง