สาเหตุของหุ้นแดงเดือดช่วงนี้
-
- Verified User
- โพสต์: 73
- ผู้ติดตาม: 0
สาเหตุของหุ้นแดงเดือดช่วงนี้
โพสต์ที่ 32
แล้วผมรู้สึกว่าโดยพาดพิงว่าการตั้งกระทู้แบบนี้ไม่เป็นไปตามวิธีVI มาบอกว่าเป็นกระทู้สินธร จริงๆโดยส่วนตัวเป็นคนไม่ค่อยposted เท่าไหร่ส่วนมากจะอ่านอย่างเดียว ตั้งกระทู้ทีเดียวโดนเหน็บเลย :roll:picklife เขียน:ไม่คิดว่าTVIจะมีกระทู้ตามกระแสหุ้นตกยังงี๊ คล้ายสินธรเลยครับ อิอิ
การที่postน้อยไม่ได้แปลว่าผมต้องอยู่ในบอร์ดสินธรเสมอไปนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 73
- ผู้ติดตาม: 0
สาเหตุของหุ้นแดงเดือดช่วงนี้
โพสต์ที่ 33
ขอบคุณมากครับสำหรับคำตอบที่เป็นข้อมูลมากครับ
ผมเป็นนึงที่เชื่อในวิถี VIมากแต่หลังจากที่อยู่ในการลงทุนแบบนี้มา4-5ปี(หลังจากเล่นเก็งกำไรตามข่าวมา2ปี)จึงได้รู้ว่าVIจริงๆมันมีหลากหลายรูปแบบบาง เน้นหุ้นมั่นคงในbrandแต่ไม่ค่อยโตแบบก้าวกระโดด, บางคนเน้นหุ้นAssetที่ซ่อนอยู่, หุ้นGrowth, คนมองปีเดียว,บางคนมองเป็นรายไตรมาส,บางคนมองว่าจะถือจนกว่าจะสิบเด้ง บางคนมองเรื่องอนาคต3G บางคนมองBacklog ก็ต่างๆนานาไป ผมก็ว่าไม่มีใครผิดถูกเพราะเป็นลักษณะของการลงทุนแต่ละคนซึ่งปรับเปลี่ยนจนคิดว่าวิธีลงทุนแบบนี้แหละจะทำให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดและสบายใจที่สุด ซึ่งหลักของVIทุกคนก็คงจะบอกเหมือนกันคือการลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่าที่มันควรจะเป็น
ซึ่งผมเห็นด้วย และอย่างนึงที่ผมคิดมาตลอดว่าทุกอย่างในตลาดหุ้นมีเหตุมีผลของมันอยู่ไม่ว่าจะหุ้นจะขึ้นจะลง บริษัทจะกำไรเท่าไหร่ หุ้นขึ้น-ลง ทำไมเขาถึงเทขายกัน ทุกอย่างมีเหตุผลในตัวของมันแต่ว่ามันขึ้นอยู่กับความรู้ ความสามารถของแต่ละคนที่จะอ่านให้ออกว่า การเทขายแบบนี้อาจแค่panicของหมู่ชนหรืออะไรแต่เราก็ควรจะเรียนรู้ว่าสาเหตุน่าจะเกิดจากอะไร
ส่วนผมตัวผมจะมองกำไรในอนาคตในเวลา1-2ปี และหาจังหวะเข้า/ปรับportได้เหมาะสม แล้วมันเกี่ยวกับหุ้นขึ้นลงตอนนี้หละ ? มูลค่าที่แท้จริงที่ผมนำมาคำนวณจะหาได้ก็ต่อเมื่อผมคาดการณ์รายได้ของบริษัทนั้นในอนาคต แล้วรายได้เกิดจากอะไร? กำไร =ยอดขาย-ต้นทุน(รวมถึงค่าใช้จ่าย)
แล้วจากกระทู้ที่ผมตั้งเนี่ยคือถามว่าสาเหตุของการหุ้นลงอย่างมีนัยะนี่มันมาจากสาเหตุในหรือนอกประเทศ แล้วมันมีผลอะไร?
เพราะถ้ามันเป็นปัจจัยภายในประเทศที่อาจจะเป็นที่ทำให้พื้นฐานบางตัวเปลี่ยนอย่างชัดเจนทำไมถึงเปลี่ยน?เพราะมันจะส่งผลโดยตรงไม่ทางตรงก็ทางอ้อมกับยอดขายอย่างชัดเจน(ลองคิดกลับไปคิดถึงหุ้นในportคุณเกิดการเปลี่ยนขั้วหรือเกิดเหตุการณ์ต่างๆจะมีผมกระทบต่อยอดขายหรือต้นทุนอย่างไรบ้าง ถ้าคิดว่าการเมืองภายในไม่เกี่ยวกับหุ้นคุณเลยเช่นเป็นหุ้นส่งออก คุณก็ถือแบบมั้นใจได้เลย ยิ่งลงยิ่งซื้อเพราะ สิ่งที่ทำให้ตลาดแดงมันไม่เกี่ยวกับบริษัทคุณ อย่างนี้ถือว่าเป็นโอกาสของคุณเพราะมีคนpanicแล้วขายทิ้ง), แต่ถ้าคุณถือหุ้นที่เกี่ยวโยงสัมปทาน เกี่ยวข้องกับการเมืองในประเทศ ซึ่งแน่นอนมันจะผลต่อรายได้อย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ได้บอกให้เทขายแค่เรารู้ถึงเหตุที่ทำให้(ผล)หุ้นที่เราถือตก เราก็จะมีindicatorแล้วเมื่อเรามองสถานการณ์การเมืองไม่น่าจะมีอะไรแล้ว รัฐบาลคุมอยู่ คุณก็ถึงเวลาซื้อเข้าportเพิ่ม แต่ถ้ามองแล้วเกิดแน่ก็อาจจะลดportเพื่อเตรียมกระสุนยิงตอนอะไรมันดีขึ้น
ผมเป็นนึงที่เชื่อในวิถี VIมากแต่หลังจากที่อยู่ในการลงทุนแบบนี้มา4-5ปี(หลังจากเล่นเก็งกำไรตามข่าวมา2ปี)จึงได้รู้ว่าVIจริงๆมันมีหลากหลายรูปแบบบาง เน้นหุ้นมั่นคงในbrandแต่ไม่ค่อยโตแบบก้าวกระโดด, บางคนเน้นหุ้นAssetที่ซ่อนอยู่, หุ้นGrowth, คนมองปีเดียว,บางคนมองเป็นรายไตรมาส,บางคนมองว่าจะถือจนกว่าจะสิบเด้ง บางคนมองเรื่องอนาคต3G บางคนมองBacklog ก็ต่างๆนานาไป ผมก็ว่าไม่มีใครผิดถูกเพราะเป็นลักษณะของการลงทุนแต่ละคนซึ่งปรับเปลี่ยนจนคิดว่าวิธีลงทุนแบบนี้แหละจะทำให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดและสบายใจที่สุด ซึ่งหลักของVIทุกคนก็คงจะบอกเหมือนกันคือการลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่าที่มันควรจะเป็น
ซึ่งผมเห็นด้วย และอย่างนึงที่ผมคิดมาตลอดว่าทุกอย่างในตลาดหุ้นมีเหตุมีผลของมันอยู่ไม่ว่าจะหุ้นจะขึ้นจะลง บริษัทจะกำไรเท่าไหร่ หุ้นขึ้น-ลง ทำไมเขาถึงเทขายกัน ทุกอย่างมีเหตุผลในตัวของมันแต่ว่ามันขึ้นอยู่กับความรู้ ความสามารถของแต่ละคนที่จะอ่านให้ออกว่า การเทขายแบบนี้อาจแค่panicของหมู่ชนหรืออะไรแต่เราก็ควรจะเรียนรู้ว่าสาเหตุน่าจะเกิดจากอะไร
ส่วนผมตัวผมจะมองกำไรในอนาคตในเวลา1-2ปี และหาจังหวะเข้า/ปรับportได้เหมาะสม แล้วมันเกี่ยวกับหุ้นขึ้นลงตอนนี้หละ ? มูลค่าที่แท้จริงที่ผมนำมาคำนวณจะหาได้ก็ต่อเมื่อผมคาดการณ์รายได้ของบริษัทนั้นในอนาคต แล้วรายได้เกิดจากอะไร? กำไร =ยอดขาย-ต้นทุน(รวมถึงค่าใช้จ่าย)
แล้วจากกระทู้ที่ผมตั้งเนี่ยคือถามว่าสาเหตุของการหุ้นลงอย่างมีนัยะนี่มันมาจากสาเหตุในหรือนอกประเทศ แล้วมันมีผลอะไร?
เพราะถ้ามันเป็นปัจจัยภายในประเทศที่อาจจะเป็นที่ทำให้พื้นฐานบางตัวเปลี่ยนอย่างชัดเจนทำไมถึงเปลี่ยน?เพราะมันจะส่งผลโดยตรงไม่ทางตรงก็ทางอ้อมกับยอดขายอย่างชัดเจน(ลองคิดกลับไปคิดถึงหุ้นในportคุณเกิดการเปลี่ยนขั้วหรือเกิดเหตุการณ์ต่างๆจะมีผมกระทบต่อยอดขายหรือต้นทุนอย่างไรบ้าง ถ้าคิดว่าการเมืองภายในไม่เกี่ยวกับหุ้นคุณเลยเช่นเป็นหุ้นส่งออก คุณก็ถือแบบมั้นใจได้เลย ยิ่งลงยิ่งซื้อเพราะ สิ่งที่ทำให้ตลาดแดงมันไม่เกี่ยวกับบริษัทคุณ อย่างนี้ถือว่าเป็นโอกาสของคุณเพราะมีคนpanicแล้วขายทิ้ง), แต่ถ้าคุณถือหุ้นที่เกี่ยวโยงสัมปทาน เกี่ยวข้องกับการเมืองในประเทศ ซึ่งแน่นอนมันจะผลต่อรายได้อย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ได้บอกให้เทขายแค่เรารู้ถึงเหตุที่ทำให้(ผล)หุ้นที่เราถือตก เราก็จะมีindicatorแล้วเมื่อเรามองสถานการณ์การเมืองไม่น่าจะมีอะไรแล้ว รัฐบาลคุมอยู่ คุณก็ถึงเวลาซื้อเข้าportเพิ่ม แต่ถ้ามองแล้วเกิดแน่ก็อาจจะลดportเพื่อเตรียมกระสุนยิงตอนอะไรมันดีขึ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 73
- ผู้ติดตาม: 0
สาเหตุของหุ้นแดงเดือดช่วงนี้
โพสต์ที่ 34
แต่ถ้ามันเป็นปัจจัยนอกประเทศ---ทุกอย่างก็ตรงกันข้าม หุ้นที่ยอดขายอยู่ในประเทศก็จะไม่มีผลแล้วหุ้นมันตกลงไปเราก็จะเริ่มเก็บ แต่ถ้าเกี่ยวกับส่งออก เราก็ต้องมามองว่าถ้ามันเกิดเหตุการณ์นั้นแล้วมันจะมีผลกระทบกับเรามากหรือน้อย แล้วกระทบอย่างไร ถ้าคิดว่าไม่กระทบก็ลุยต่อ อย่างอุตสาหกรรมรถ ซึ่งแน่นอนว่าที่ผ่านมาถูกมากและทุกคนมองว่าเศษฐกิจกลับมาแล้วorderที่อั้นไว้ก็พลั่งพลูออกมาและมีการคาดการณ์กำไรไปต่างๆนานาแต่ทุกอย่างอยู่ในเงื่อนไขที่ว่าเศษฐกิจกลับมา
แต่ถ้าเราปิดตาไม่ดูโลกเลยดูแต่ในweb ว่าราคาควรจะเป็นเท่าไหร่แล้วยิ่งลงเราก็ยิ่งซื้อเพราะคิดว่า โฮ!มันต่ำกว่าราคาที่คนในเว็ปคาดการณ์ต้องแยะ แต่ไม่ได้ดูเลยว่าที่คนในเว็ปเขาคาดการณ์จากสมมติฐานเก่า เพราะถ้าเปลี่ยนสมติฐาน(พื้นฐาน)ยอดขายอาจจะลดลงมากและราคาที่มันควรจะเป็นก็จะเปลี่ยน
ที่ผมตั้งกระทู้นี้เพราะอยากทราบถึงความคิดเห็นของต่างมุมว่าคิดอย่างไร มองถึงเหตุและผล ว่าจริงๆมันจะมีลางวิกฤตอีกเที่ยวหรือเปล่า หรือก็แค่กระแสตลาด อยากให้เป็นกระทู้ที่เอาข้อมูลมาคุยกัน เพราะผมเห็นกระทู้ที่ว่าsetจะลงถึงเมื่อไหร่ ผมเข้าไปอ่านก็ไม่เห็นมีใครเอาข้อมูลมาคุยกันเลยก็เลยคิดที่จะตั้งกระทู้มาคุยกันถึงข้อมูล (เหตุและผล) มาแบ่งปันกัน
อีกส่วนนึงช่วงก่อนวิกฤต ตอนหุ้นเริ่มลงมาที่600จุดจากสูงสุด ช่วงนั้นผมยัดเงินเข้าport โดยมองคิดไปเองว่านี่คือโอกาสแล้วผมดูแต่พื้นฐานของบริษัทไม่ได้ดูแนวโน้มเศษฐกิจมากในที่สุดก็ได้รู้ว่าปัจจัยภายนอกมันมีผลมากมายต่อยอดขาย และต้นทุนและการเจริญเติบโตที่เราคาดการณ์ไว้ ซึ่งมันก็จะส่งผลต่อกำไรที่เราคาดการณ์ไว้ แล้วมันกะส่งผลต่อมาที่เราควรจะเป็น ซึ่งอย่างที่ทุกคนรู้กันว่าการผ่านวิกฤตมาจะทำให้เราเรียนรู้มากขึ้น และนี่ก็คือสิ่งที่หนึ่งที่ผมเรียนรู้จากวิกฤต
แต่ถ้าเราปิดตาไม่ดูโลกเลยดูแต่ในweb ว่าราคาควรจะเป็นเท่าไหร่แล้วยิ่งลงเราก็ยิ่งซื้อเพราะคิดว่า โฮ!มันต่ำกว่าราคาที่คนในเว็ปคาดการณ์ต้องแยะ แต่ไม่ได้ดูเลยว่าที่คนในเว็ปเขาคาดการณ์จากสมมติฐานเก่า เพราะถ้าเปลี่ยนสมติฐาน(พื้นฐาน)ยอดขายอาจจะลดลงมากและราคาที่มันควรจะเป็นก็จะเปลี่ยน
ที่ผมตั้งกระทู้นี้เพราะอยากทราบถึงความคิดเห็นของต่างมุมว่าคิดอย่างไร มองถึงเหตุและผล ว่าจริงๆมันจะมีลางวิกฤตอีกเที่ยวหรือเปล่า หรือก็แค่กระแสตลาด อยากให้เป็นกระทู้ที่เอาข้อมูลมาคุยกัน เพราะผมเห็นกระทู้ที่ว่าsetจะลงถึงเมื่อไหร่ ผมเข้าไปอ่านก็ไม่เห็นมีใครเอาข้อมูลมาคุยกันเลยก็เลยคิดที่จะตั้งกระทู้มาคุยกันถึงข้อมูล (เหตุและผล) มาแบ่งปันกัน
อีกส่วนนึงช่วงก่อนวิกฤต ตอนหุ้นเริ่มลงมาที่600จุดจากสูงสุด ช่วงนั้นผมยัดเงินเข้าport โดยมองคิดไปเองว่านี่คือโอกาสแล้วผมดูแต่พื้นฐานของบริษัทไม่ได้ดูแนวโน้มเศษฐกิจมากในที่สุดก็ได้รู้ว่าปัจจัยภายนอกมันมีผลมากมายต่อยอดขาย และต้นทุนและการเจริญเติบโตที่เราคาดการณ์ไว้ ซึ่งมันก็จะส่งผลต่อกำไรที่เราคาดการณ์ไว้ แล้วมันกะส่งผลต่อมาที่เราควรจะเป็น ซึ่งอย่างที่ทุกคนรู้กันว่าการผ่านวิกฤตมาจะทำให้เราเรียนรู้มากขึ้น และนี่ก็คือสิ่งที่หนึ่งที่ผมเรียนรู้จากวิกฤต
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
สาเหตุของหุ้นแดงเดือดช่วงนี้
โพสต์ที่ 35
ดาบยาวดาบสั้นล้วนฟันได้meawkub เขียน:จึงได้รู้ว่าVIจริงๆมันมีหลากหลายรูปแบบบาง เน้นหุ้นมั่นคงในbrandแต่ไม่ค่อยโตแบบก้าวกระโดด, บางคนเน้นหุ้นAssetที่ซ่อนอยู่, หุ้นGrowth, คนมองปีเดียว,บางคนมองเป็นรายไตรมาส,บางคนมองว่าจะถือจนกว่าจะสิบเด้ง บางคนมองเรื่องอนาคต3G บางคนมองBacklog ก็ต่างๆนานาไป
ส่วนที่บ่นเรื่องตั้งกระทู้แล้วมีคนเหน็บ
ผมอ่านแล้วไม่เห็นรู้สึกว่าเหน็บเลย
หรือสีข้างผมด้านแล้วก็ไม่รู้
เรื่องนี้แก้ง่ายนิดเดียวครับ
เลิกตั้งกระทู้ซะ ก็ไม่มีใครมาว่า
ตั้งหน้าตั้งตาอ่านเอง เออเอง คิดเอง ไปอย่างเดิม...ฮ่า...
่ส่วนคนที่ยอมถกกัน ย่อมได้หลายเหลี่ยมกลับมา
ก็ดีอย่างเสียอย่าง
ผมมะได้เหน็บนะ
พี่พอใจ ย้อเย่นนะ...ไำปดีกว่า...ฟิ่ว...
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 73
- ผู้ติดตาม: 0
สาเหตุของหุ้นแดงเดือดช่วงนี้
โพสต์ที่ 38
ส่วนที่บ่นเรื่องตั้งกระทู้แล้วมีคนเหน็บ
ผมอ่านแล้วไม่เห็นรู้สึกว่าเหน็บเลย
หรือสีข้างผมด้านแล้วก็ไม่รู้
เรื่องนี้แก้ง่ายนิดเดียวครับ
เลิกตั้งกระทู้ซะ ก็ไม่มีใครมาว่า
ตั้งหน้าตั้งตาอ่านเอง เออเอง คิดเอง ไปอย่างเดิม...ฮ่า...
่ส่วนคนที่ยอมถกกัน ย่อมได้หลายเหลี่ยมกลับมา
ก็ดีอย่างเสียอย่าง
ผมมะได้เหน็บนะ
พี่พอใจ ย้อเย่นนะ...ไำปดีกว่า...ฟิ่ว...[/quote]
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนที่ผมอธิบายยืดยาวเพราะแค่กำลังจะบอกว่าหัวข้อนี้หนะมันเกี่ยวกับลงทุนแบบVIอย่างไรหลังจากโดนเหน็บว่าตั้งกระทู้สินธร
แต่ส่งหนึ่งที่ทำให้เสียความรู้สึกคือผู้ใหญ่ในboard ที่ผมนับถืออยู่ห่างๆposted เลิกตั้งกระทู้ซะ ก็ไม่มีใครมาว่า
ตั้งหน้าตั้งตาอ่านเอง เออเอง คิดเอง ไปอย่างเดิม...ฮ่า... เหตุที่ผมมาโพสเพราะผมอยากไม่ได้คิดไปเอง เออเอง และผมเห็นด้วยกับที่ว่า คนที่ยอมถกกัน ย่อมได้หลายเหลี่ยมกลับมา นั้นแหละทำไมผมจึงตั้งกระทู้นี้เพราะอยากเห็นความเห็นจากคนหลายๆมุม ในคนที่อยู่ในสายอาชีพที่ต่างกัน
แล้วมาแบ่งปันข้อมูลในสายที่ตนเองรู้ ทำให้สังคมVI มีการต่อยอดความรู้เพื่อที่จะให้เพื่อนร่วมเดินทางในสายVI มีความรู้เป็นเกราะป้องกันมรสุมต่างๆ เพราะกะทู้ที่ผมตั้งมันค่อนข้างเป็นการมองภาพรวมของแต่ละคน และที่ผมพยายามโพสยืดยาวอธิบายว่ามันเกี่ยวข้องกับVIอย่างไรเพื่อให้เนื้อหามาอยู่ในกรอบ เพื่อที่ว่าจะได้มีคนอื่นมาต่อยอดต่อและแบ่งปันความรู้ในที่สุด แต่การมาเจอผู้ใหญ่ในboardมาโพสแบบนี้ ว่าเลิกตั้งกระทู้ซะ ก็ไม่มีใครว่า
ผมอยากจะฝากพี่พอใจนึดนึงนะครับ(ไม่ได้ปีนเกลียวหรือว่าหรือสอน ผมพูดด้วยความสุภาพจริงๆ) ผมว่าการโพสกันแบบนี้สุดท้ายคนก็จะเริ่มโพสน้อยลงเข้าบอร์ดลดลง ผมไม่อยากให้เว็ปที่ผมรักและเปลี่ยนชีวิตการลงทุนของผม ร้างและไม่มีคนมาโพสแล้วแบ่งปันข้อมูลในมุมมองต่างๆ
เพราะผมเชื่อว่าหลังจากผมโพสไปคนส่วนมากก็คงด่าผมหรืออะไรสักอย่างเพราะพี่เป็นที่รู้จักและเป็นที่รักของน้องๆในเว็บ ส่วนคงมีส่วนนึงถึงแม้ว่าน้อยมากก็ตามคงเสียความรู้สึกในการโพสของผู้ใหญ่แบบนี้นะครับ
สุดท้ายกระทู้ที่ผมว่าจะมีการโยนข้อมูลใส่กันก็กลายเป็นกระทู้ที่ผมมาพร่ำๆ บ่นๆ อยู่คนเดียว เสียความรู้สึกคนเดียว
ขอโทษทุกคนแล้วกันนะครับ
จะระวังมากกว่านี้
ผมอ่านแล้วไม่เห็นรู้สึกว่าเหน็บเลย
หรือสีข้างผมด้านแล้วก็ไม่รู้
เรื่องนี้แก้ง่ายนิดเดียวครับ
เลิกตั้งกระทู้ซะ ก็ไม่มีใครมาว่า
ตั้งหน้าตั้งตาอ่านเอง เออเอง คิดเอง ไปอย่างเดิม...ฮ่า...
่ส่วนคนที่ยอมถกกัน ย่อมได้หลายเหลี่ยมกลับมา
ก็ดีอย่างเสียอย่าง
ผมมะได้เหน็บนะ
พี่พอใจ ย้อเย่นนะ...ไำปดีกว่า...ฟิ่ว...[/quote]
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนที่ผมอธิบายยืดยาวเพราะแค่กำลังจะบอกว่าหัวข้อนี้หนะมันเกี่ยวกับลงทุนแบบVIอย่างไรหลังจากโดนเหน็บว่าตั้งกระทู้สินธร
แต่ส่งหนึ่งที่ทำให้เสียความรู้สึกคือผู้ใหญ่ในboard ที่ผมนับถืออยู่ห่างๆposted เลิกตั้งกระทู้ซะ ก็ไม่มีใครมาว่า
ตั้งหน้าตั้งตาอ่านเอง เออเอง คิดเอง ไปอย่างเดิม...ฮ่า... เหตุที่ผมมาโพสเพราะผมอยากไม่ได้คิดไปเอง เออเอง และผมเห็นด้วยกับที่ว่า คนที่ยอมถกกัน ย่อมได้หลายเหลี่ยมกลับมา นั้นแหละทำไมผมจึงตั้งกระทู้นี้เพราะอยากเห็นความเห็นจากคนหลายๆมุม ในคนที่อยู่ในสายอาชีพที่ต่างกัน
แล้วมาแบ่งปันข้อมูลในสายที่ตนเองรู้ ทำให้สังคมVI มีการต่อยอดความรู้เพื่อที่จะให้เพื่อนร่วมเดินทางในสายVI มีความรู้เป็นเกราะป้องกันมรสุมต่างๆ เพราะกะทู้ที่ผมตั้งมันค่อนข้างเป็นการมองภาพรวมของแต่ละคน และที่ผมพยายามโพสยืดยาวอธิบายว่ามันเกี่ยวข้องกับVIอย่างไรเพื่อให้เนื้อหามาอยู่ในกรอบ เพื่อที่ว่าจะได้มีคนอื่นมาต่อยอดต่อและแบ่งปันความรู้ในที่สุด แต่การมาเจอผู้ใหญ่ในboardมาโพสแบบนี้ ว่าเลิกตั้งกระทู้ซะ ก็ไม่มีใครว่า
ผมอยากจะฝากพี่พอใจนึดนึงนะครับ(ไม่ได้ปีนเกลียวหรือว่าหรือสอน ผมพูดด้วยความสุภาพจริงๆ) ผมว่าการโพสกันแบบนี้สุดท้ายคนก็จะเริ่มโพสน้อยลงเข้าบอร์ดลดลง ผมไม่อยากให้เว็ปที่ผมรักและเปลี่ยนชีวิตการลงทุนของผม ร้างและไม่มีคนมาโพสแล้วแบ่งปันข้อมูลในมุมมองต่างๆ
เพราะผมเชื่อว่าหลังจากผมโพสไปคนส่วนมากก็คงด่าผมหรืออะไรสักอย่างเพราะพี่เป็นที่รู้จักและเป็นที่รักของน้องๆในเว็บ ส่วนคงมีส่วนนึงถึงแม้ว่าน้อยมากก็ตามคงเสียความรู้สึกในการโพสของผู้ใหญ่แบบนี้นะครับ
สุดท้ายกระทู้ที่ผมว่าจะมีการโยนข้อมูลใส่กันก็กลายเป็นกระทู้ที่ผมมาพร่ำๆ บ่นๆ อยู่คนเดียว เสียความรู้สึกคนเดียว
ขอโทษทุกคนแล้วกันนะครับ
จะระวังมากกว่านี้
- << New >>
- Verified User
- โพสต์: 1147
- ผู้ติดตาม: 0
สาเหตุของหุ้นแดงเดือดช่วงนี้
โพสต์ที่ 39
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนที่ผมอธิบายยืดยาวเพราะแค่กำลังจะบอกว่าหัวข้อนี้หนะมันเกี่ยวกับลงทุนแบบVIอย่างไรหลังจากโดนเหน็บว่าตั้งกระทู้สินธรmeawkub เขียน:ส่วนที่บ่นเรื่องตั้งกระทู้แล้วมีคนเหน็บ
ผมอ่านแล้วไม่เห็นรู้สึกว่าเหน็บเลย
หรือสีข้างผมด้านแล้วก็ไม่รู้
เรื่องนี้แก้ง่ายนิดเดียวครับ
เลิกตั้งกระทู้ซะ ก็ไม่มีใครมาว่า
ตั้งหน้าตั้งตาอ่านเอง เออเอง คิดเอง ไปอย่างเดิม...ฮ่า...
่ส่วนคนที่ยอมถกกัน ย่อมได้หลายเหลี่ยมกลับมา
ก็ดีอย่างเสียอย่าง
ผมมะได้เหน็บนะ
พี่พอใจ ย้อเย่นนะ...ไำปดีกว่า...ฟิ่ว...
แต่ส่งหนึ่งที่ทำให้เสียความรู้สึกคือผู้ใหญ่ในboard ที่ผมนับถืออยู่ห่างๆposted เลิกตั้งกระทู้ซะ ก็ไม่มีใครมาว่า
ตั้งหน้าตั้งตาอ่านเอง เออเอง คิดเอง ไปอย่างเดิม...ฮ่า... เหตุที่ผมมาโพสเพราะผมอยากไม่ได้คิดไปเอง เออเอง และผมเห็นด้วยกับที่ว่า คนที่ยอมถกกัน ย่อมได้หลายเหลี่ยมกลับมา
อยากสูงต้องเขย่ง อยากเก่งต้องขยัน
-
- Verified User
- โพสต์: 2938
- ผู้ติดตาม: 0
สาเหตุของหุ้นแดงเดือดช่วงนี้
โพสต์ที่ 43
ไม่ว่าจะเด็กแนวไหน ก็มีอารมณ์ทั้งสิ้น :Dnanchan เขียน:ไม่ว่าจะเล่นหุ้นแนวไหน
ผมว่าล้วนเอาอารมณ์มาเกี่ยวพันเกือบทั้งนั้น
บางทีการเก็บตัวเล่นหุ้น เงียบๆคนเดียว ก็มีความสุขไปแบบ
แต่นั้นหมายถึงคุณเข้าใจตัวคุณดีพอแล้ว
เฝ้าดูไป โดยใจที่เป็นกลาง
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
สาเหตุของหุ้นแดงเดือดช่วงนี้
โพสต์ที่ 45
น้องเหมียวครับ
การออกมาตั้งกระทู้นั้นก็เปรียบเสมือนเราออกมานั่งอยู่หน้าเวทีที่มีสปอตไล๊ท์ส่องอยู่นะครับ
นั่งโต้วาทีกับคนตั้งเยอะอยู่นะครับ
จะไม่ให้เขาพูดอะไรออกมาได้ไง ก็เราชวนเขาคุย
จะให้เขาคุยอย่างที่เราคิด เราจะตั้งกระทุ้ทำไมละครับ
คนอื่นที่มาแจมเขาก็คิดว่าเราต้องการฟีดแบ๊ค อยากได้ความคิดหลากหลาย
อย่างที่เขาว่าคล้ายๆสินธร
ผมไม่เห็นว่าสินธรมันจะเสียหายอะไรเลย ผมนั่งอ่านทุกวันให้ความรู้ดีมาก
อย่างน้อยเราก็ได้รู้ว่าสายเทคนิคอลเขาคิดกับตลาดอย่างไร
โพสอย่างนี้ เกิดพวกพี่คนจนที่รวยแล้วหรือพี่winkungมาอ่านแล้วเอาไปเล่าให้พรรคพวกที่สินธรฟัง
ว่าที่วีไอ มีคนเขาว่าสินธรไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้
มันก็ไม่ดีจริงมะ
ผมจึงบอกว่าถ้าไม่อยากให้ใครเอะอะเถียงใส่ ก็ยืนอยู่หลังเวที ไม่มีใครว่าไร
แต่ถ้าออกมายืนข้างนอก
อย่างสมัย2003ผมโดนวิบูลย์สวนเรื่องปิโตรที่ผมรู้ไม่จริง
จนต้องเปลี่ยนล็อกอินมาโพสก็ยังเคย
บางทีพูดไม่ตรงใจเขา เจอสวนกลับหนักๆจนจุก
เสียเพื่อนมายังเคย
ผมก็เคยเจอมาแล้วทั้งนั้นเลยครับ
เรียกว่าโดนจนชินแล้ว
ตอนนี้ก็เริ่มพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง
เนื่องจากโดนหมัดบ่อยมีอาการเมาหมัด(ไม่)นิดหน่อย
สุภาษิตเขาว่าอย่าไปถือคนบ้า อย่าไปว่าคนเมา(หมัด)นะ
ป๋มก็ต้องขอโทษน้องเหมือนกัน ที่พูดมากไป(ไม่)หน่อย
ปกติผมไม่ี่ค่อยได้ออกมาห้องหุ้นหรอกครับ
วันนี้ออกมาทีนึง
งานเข้าเลย
อยู่ห้องนั่งเล่นก็ดีอยู่แล้ว
ผมจะคอยระมัดระวังครับ ในกาลต่อไป
การออกมาตั้งกระทู้นั้นก็เปรียบเสมือนเราออกมานั่งอยู่หน้าเวทีที่มีสปอตไล๊ท์ส่องอยู่นะครับ
นั่งโต้วาทีกับคนตั้งเยอะอยู่นะครับ
จะไม่ให้เขาพูดอะไรออกมาได้ไง ก็เราชวนเขาคุย
จะให้เขาคุยอย่างที่เราคิด เราจะตั้งกระทุ้ทำไมละครับ
คนอื่นที่มาแจมเขาก็คิดว่าเราต้องการฟีดแบ๊ค อยากได้ความคิดหลากหลาย
อย่างที่เขาว่าคล้ายๆสินธร
ผมไม่เห็นว่าสินธรมันจะเสียหายอะไรเลย ผมนั่งอ่านทุกวันให้ความรู้ดีมาก
อย่างน้อยเราก็ได้รู้ว่าสายเทคนิคอลเขาคิดกับตลาดอย่างไร
โพสอย่างนี้ เกิดพวกพี่คนจนที่รวยแล้วหรือพี่winkungมาอ่านแล้วเอาไปเล่าให้พรรคพวกที่สินธรฟัง
ว่าที่วีไอ มีคนเขาว่าสินธรไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้
มันก็ไม่ดีจริงมะ
ผมจึงบอกว่าถ้าไม่อยากให้ใครเอะอะเถียงใส่ ก็ยืนอยู่หลังเวที ไม่มีใครว่าไร
แต่ถ้าออกมายืนข้างนอก
อย่างสมัย2003ผมโดนวิบูลย์สวนเรื่องปิโตรที่ผมรู้ไม่จริง
จนต้องเปลี่ยนล็อกอินมาโพสก็ยังเคย
บางทีพูดไม่ตรงใจเขา เจอสวนกลับหนักๆจนจุก
เสียเพื่อนมายังเคย
ผมก็เคยเจอมาแล้วทั้งนั้นเลยครับ
เรียกว่าโดนจนชินแล้ว
ตอนนี้ก็เริ่มพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง
เนื่องจากโดนหมัดบ่อยมีอาการเมาหมัด(ไม่)นิดหน่อย
สุภาษิตเขาว่าอย่าไปถือคนบ้า อย่าไปว่าคนเมา(หมัด)นะ
ป๋มก็ต้องขอโทษน้องเหมือนกัน ที่พูดมากไป(ไม่)หน่อย
ปกติผมไม่ี่ค่อยได้ออกมาห้องหุ้นหรอกครับ
วันนี้ออกมาทีนึง
งานเข้าเลย
อยู่ห้องนั่งเล่นก็ดีอยู่แล้ว
ผมจะคอยระมัดระวังครับ ในกาลต่อไป
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 73
- ผู้ติดตาม: 0
สาเหตุของหุ้นแดงเดือดช่วงนี้
โพสต์ที่ 46
ขอบคุณมากนะครับสำหรับคำแนะนำ
โลกใบนี้ผมยังต้องเรียนรู้อีกแยะ
นี่ผมก็คงได้บทเรียนอีกว่าเวลาทำอะไรอย่างทำตอนมีอารมณ์(ยกเว้นเรื่อง.. ) จริงๆถ้าผมแค่ปิดหน้าจอไปแล้วไปเดินเล่นแล้วมันก็คงผ่านไป
ผมคงยังไม่นิ่งพอ
จริงๆผมก็ชอบที่พี่พอใจโพสในกระทู้ต่างๆนะครับอ่านแล้วขำดี ดูจากรูปแล้วก็น่าจะเป็นคนใจดี
ตอนนี้พออารมณ์ลงแล้วมันคิดว่าตูทำอะไรไปฟะ รู้สึกว่าทำตัวเด็กและปัญญาอ่อน
ขอโทษอีกทีนะครับ
โลกใบนี้ผมยังต้องเรียนรู้อีกแยะ
นี่ผมก็คงได้บทเรียนอีกว่าเวลาทำอะไรอย่างทำตอนมีอารมณ์(ยกเว้นเรื่อง.. ) จริงๆถ้าผมแค่ปิดหน้าจอไปแล้วไปเดินเล่นแล้วมันก็คงผ่านไป
ผมคงยังไม่นิ่งพอ
จริงๆผมก็ชอบที่พี่พอใจโพสในกระทู้ต่างๆนะครับอ่านแล้วขำดี ดูจากรูปแล้วก็น่าจะเป็นคนใจดี
ตอนนี้พออารมณ์ลงแล้วมันคิดว่าตูทำอะไรไปฟะ รู้สึกว่าทำตัวเด็กและปัญญาอ่อน
ขอโทษอีกทีนะครับ
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
สาเหตุของหุ้นแดงเดือดช่วงนี้
โพสต์ที่ 47
จิตรกรใช้อารมณ์ ผสมสีmeawkub เขียน:เวลาทำอะไรอย่างทำตอนมีอารมณ์(ยกเว้นเรื่อง.. )
นักดนตรีใช้อารมณ์ ผสมเสียง
นักแต่งเพลงใช้อารมณ์ ผสมสำเนียง
เรื่องบนเตียงใช้อารมณ์ ผสมปัน
ฮ่า...เรื่องนี้เถียงไม่ออกเลยครับ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 73
- ผู้ติดตาม: 0
สาเหตุของหุ้นแดงเดือดช่วงนี้
โพสต์ที่ 50
เอามาฝากเผื่อใครไม่ได้อ่าน
"คงพอจะทราบว่ามีการถกเถียงว่าเศรษฐกิจจีนในปัจจุบันเกิดฟองสบู่หรือไม่ หลังจากที่รัฐบาลจีนใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งมโหฬาร นักเศรษฐศาสตร์บางคนถึงกับฟันธงว่าฟองสบู่หุ้นและอสังหาริมทรัพย์ของจีนและฮ่องกงจะแตกในอนาคตอีกไม่นานนี้ ผมเองเคยเขียนถึงเรื่องฟองสบู่ของจีนแล้วหลายครั้ง ทั้งในคอลัมน์นี้และที่อื่นๆ สำหรับบทความนี้ผมได้รวบรวมความเห็นทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้ พร้อมกับบอกว่าผมเห็นอย่างไร
ก่อนวิกฤติการเงิน ปี 2550/51 นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์หลายคนรวมทั้งผม ต่างคาดการณ์กันว่าเศรษฐกิจจีนได้เข้าสู่ภาวะฟองสบู่แล้วโดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นผลมาจากการเกินดุลการค้ามูลค่ามหาศาลและการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การปะทุขึ้นของวิกฤติการเงินในสหรัฐฯ ประกอบกับมาตรการของรัฐบาลจีนในการควบคุมการขยายสินเชื่อและการก่อสร้างในปลายปี 2550 ทำให้ปัญหาฟองสบู่ดังกล่าวบรรเทาลง ทว่าปัญหาฟองสบู่ได้รับการกล่าวถึงอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการการคลังมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน สำหรับปี 2552 และ 2553 และการเร่งปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ตามนโยบายของรัฐบาล โดยใน 11 เดือนแรกของปี 2552 ธนาคารปล่อยสินเชื่อไปแล้วถึง 9.11 ล้านล้านหยวน มาตรการทั้ง 2 รวมกันมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 43.6 ของมูลค่าเศรษฐกิจจีน (GDP ปี 2551) ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ไม่เคยมีมาก่อน นอกจากนี้สินเชื่อส่วนหนึ่งจากการเร่งปล่อยของธนาคารยังเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯและการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ฟองสบู่ที่แฟบลงกลับมาขยายตัวอีก ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับฟองสบู่กลับมาอีกครั้งหนึ่ง
ในกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ที่มีความกังวลเรื่องฟองสบู่ มีหลายคนเช่น Thomas Easton บรรณาธิการธุรกิจเอเชียของวารสาร The Economist กล่าวว่าการขยายตัวอย่างรุนแรงของสินเชื่อไม่ใช่เกิดจากความต้องการเงินทุนอย่างแท้จริง (โดยเฉพาะกรณีธนาคารของจีนมีประวัติที่น่าสงสัย) และอาจจะนำไปสู่กำลังการผลิตส่วนเกิน ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ปัญหาทั้งหมดจะเห็นชัดเจนในปี 2553 Andy Xie อดีตนักเศรษฐศาสตร์ของ Morgan Stanleyให้สัมภาษณ์สำนักข่าว Bloomberg ว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯและราคาอสังหาริมทรัพย์ของจีนเพิ่มขึ้นมาก คาดว่าฟองสบู่ทั้ง 2 จะแตก เมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นในปี 2554 ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1 ปีครึ่งจึงจะเกิดขึ้น ขณะที่ความคึกคักของตลาดหุ้นอาจจะชะงักในปีนี้ เมื่อเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นและรัฐบาลถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนฮ่องกง ราคาหุ้นได้ปรับตัวสูงเกินพื้นฐาน ประมาณร้อยละ 30 และอาจจะแตกในอีก 4-5 เดือนข้างหน้า
ข้อมูลบางอย่างชี้ว่าเศรษฐกิจฟองสบู่กำลังเกิดขึ้นในจีน ราคาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองใหญ่ๆ เช่น เซี่ยงไฮ้ปรับตัวสูงขึ้นกว่าร้อยละ 30 และยอดขายอสังหาริมทรัพย์ของจีนเพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 85 ในปีที่แล้ว การเพิ่มขึ้นของราคาบ้านทำให้อัตราส่วนของราคาบ้านต่อรายได้ต่อปีของผู้ซื้อบ้านอยู่ในระดับสูงถึงประมาณ 9 เท่าของรายได้เทียบกับ 5 - 7 เท่าในประเทศเอเชียอื่น ขณะที่การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นทำให้อัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (Price-Earning Ratio : P/E) ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯพุ่งสูงขึ้นเป็นประมาณ 24 เท่า ซึ่งสูงกว่าประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ
นักเศรษฐศาสตร์กลุ่มที่เห็นขัดแย้งกับความเห็นข้างต้น กล่าวว่ายังมีข้อมูลไม่ชัดเจนที่จะบอกว่าจีนเกิดปัญหาเศรษฐกิจฟองสบู่ Arthur Kroeber นักเศรษฐศาสตร์จาก Dragonomics ชี้ว่า การที่ราคาบ้านของจีนสูงถึง 9 เท่าของรายได้ต่อปี ก็เพราะรัฐบาลจีนให้เงินสนับสนุนในการซื้อบ้าน นอกจากนี้ราคาบ้านทั่วประเทศก็เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2-3 เท่านั้น ขณะที่ Andy Rothman นักเศรษฐศาสตร์จาก CLSA ประเมินว่า มีเพียงประมาณร้อยละ 25 ของผู้ซื้อบ้านที่กู้เงินมาซื้อและวงเงินกู้ก็มีมูลค่าเพียงร้อยละ 46 ของราคาบ้านที่ซื้อ ต่างจากสหรัฐฯ ที่คนซื้อบ้านเกือบทั้งหมดกู้เงินมาซื้อและวงเงินกู้มีมูลค่าสูงถึงประมาณร้อยละ 76 ของราคาบ้าน ดังนั้นการเก็งกำไรในราคาบ้านในจีนจะมีต้นทุนสูงกว่าและทำได้ยากกว่าในประเทศตะวันตก (โดยเฉพาะสหรัฐ) ในเรื่องราคาหุ้น แม้ว่า P/E ของจีนจะสูงถึง 24 เท่า แต่ทว่ายังต่ำกว่าในอดีตช่วงเศรษฐกิจเฟื่องฟูปี 2549-50 ที่ P/E อยู่สูงถึง 37 เท่า
สำหรับเรื่องการลงทุนเกินความจำเป็นในภาคอุตสาหกรรม สถาบัน BCA ในแคนาดา โต้แย้งว่ายังไม่มีหลักฐานว่ามีกำลังการผลิตส่วนเกิน ซึ่งดูได้จาก Incremental Capital Output Ratio (ICOR) ซึ่งก็คือสัดส่วนการเพิ่มขึ้นของมูลค่าการลงทุนหารด้วยมูลค่าการเพิ่มของ GDP โดยมีความหมายว่าการเพิ่มขึ้นของผลผลิต 1 ส่วน ต้องการลงทุนเท่าใด ยิ่ง ICOR สูงแสดงถึงการขาดประสิทธิภาพ ดัชนี ICOR ของจีนไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในหลายปีที่ผ่านมา โดยรวมแล้ว จากดัชนี ICOR ยังไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่ามีการลงทุนส่วนเกินในภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีการควบคุมการเร่งปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ไม่ให้มีการให้สินเชื่อแก่อุตสาหกรรมที่มีปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินอีกด้วย
ผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า แล้วข้อสรุปเรื่องนี้คืออะไร โดยส่วนตัวผมขอสรุปว่า เศรษฐกิจจีนกำลังเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ในราคาสินทรัพย์ โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งราคามีการปรับตัวสูงขึ้นเกินพื้นฐาน ทว่ายังไม่รุนแรงเหมือนปี 2549-50 ขณะเดียวกันจีนก็ยังไม่มีปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินในภาคอุตสาหกรรมโดยรวม ยกเว้นบางสาขาเช่น เหล็กเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ฟองสบู่กำลังขยายตัวตามสภาวะสินเชื่อและสภาพคล่องที่ล้นระบบ นอกจากนี้ยังมีแรงเหวี่ยง (Momentum) รุนแรงที่จะนำไปสู่ฟองสบู่ขนาดใหญ่ได้ในอนาคต ผมขอตั้งข้อสังเกตไว้ 2 ข้อ ข้อแรก ทุกครั้งที่มีการถกเถียงเรื่องภาวะฟองสบู่ เช่นกรณีหุ้น IT ของสหรัฐฯในปี 2544 ราคาบ้านในสหรัฐฯ ปี 2552 และกรณีเศรษฐกิจฟองสบู่ของประเทศเอเชียตะวันออกในปี 2540 สิ่งที่เกิดขึ้นคือ จะเกิดปัญหาฟองสบู่ทุกครั้ง ข้อที่ 2 ในช่วงต้นและกลางของวัฏจักรฟองสบู่ จะไม่เกิดปัญหาอะไรมากทุกอย่างดูดีไปหมด แม้ปัญหากำลังการผลิตที่วัดโดยดัชนี ICOR ก็ไม่มีนัยสำคัญ แต่ปัญหาจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น เมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของฟองสบู่ ดัชนี ICOR ของไทยเพิ่มขึ้นมากใน 2 ปีสุดท้ายที่ฟองสบู่แตก ดังนั้น ถ้ารัฐบาลจีนปรับตัวไม่ทัน เราก็อาจจะเห็นการแตกของฟองสบู่ขนาดใหญ่ไม่แพ้ฟองสบู่ในตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ ก็เป็นได้"
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,494 7 - 9 มกราคม พ.ศ. 2553
"คงพอจะทราบว่ามีการถกเถียงว่าเศรษฐกิจจีนในปัจจุบันเกิดฟองสบู่หรือไม่ หลังจากที่รัฐบาลจีนใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งมโหฬาร นักเศรษฐศาสตร์บางคนถึงกับฟันธงว่าฟองสบู่หุ้นและอสังหาริมทรัพย์ของจีนและฮ่องกงจะแตกในอนาคตอีกไม่นานนี้ ผมเองเคยเขียนถึงเรื่องฟองสบู่ของจีนแล้วหลายครั้ง ทั้งในคอลัมน์นี้และที่อื่นๆ สำหรับบทความนี้ผมได้รวบรวมความเห็นทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้ พร้อมกับบอกว่าผมเห็นอย่างไร
ก่อนวิกฤติการเงิน ปี 2550/51 นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์หลายคนรวมทั้งผม ต่างคาดการณ์กันว่าเศรษฐกิจจีนได้เข้าสู่ภาวะฟองสบู่แล้วโดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นผลมาจากการเกินดุลการค้ามูลค่ามหาศาลและการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การปะทุขึ้นของวิกฤติการเงินในสหรัฐฯ ประกอบกับมาตรการของรัฐบาลจีนในการควบคุมการขยายสินเชื่อและการก่อสร้างในปลายปี 2550 ทำให้ปัญหาฟองสบู่ดังกล่าวบรรเทาลง ทว่าปัญหาฟองสบู่ได้รับการกล่าวถึงอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการการคลังมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน สำหรับปี 2552 และ 2553 และการเร่งปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ตามนโยบายของรัฐบาล โดยใน 11 เดือนแรกของปี 2552 ธนาคารปล่อยสินเชื่อไปแล้วถึง 9.11 ล้านล้านหยวน มาตรการทั้ง 2 รวมกันมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 43.6 ของมูลค่าเศรษฐกิจจีน (GDP ปี 2551) ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ไม่เคยมีมาก่อน นอกจากนี้สินเชื่อส่วนหนึ่งจากการเร่งปล่อยของธนาคารยังเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯและการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ฟองสบู่ที่แฟบลงกลับมาขยายตัวอีก ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับฟองสบู่กลับมาอีกครั้งหนึ่ง
ในกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ที่มีความกังวลเรื่องฟองสบู่ มีหลายคนเช่น Thomas Easton บรรณาธิการธุรกิจเอเชียของวารสาร The Economist กล่าวว่าการขยายตัวอย่างรุนแรงของสินเชื่อไม่ใช่เกิดจากความต้องการเงินทุนอย่างแท้จริง (โดยเฉพาะกรณีธนาคารของจีนมีประวัติที่น่าสงสัย) และอาจจะนำไปสู่กำลังการผลิตส่วนเกิน ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ปัญหาทั้งหมดจะเห็นชัดเจนในปี 2553 Andy Xie อดีตนักเศรษฐศาสตร์ของ Morgan Stanleyให้สัมภาษณ์สำนักข่าว Bloomberg ว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯและราคาอสังหาริมทรัพย์ของจีนเพิ่มขึ้นมาก คาดว่าฟองสบู่ทั้ง 2 จะแตก เมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นในปี 2554 ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1 ปีครึ่งจึงจะเกิดขึ้น ขณะที่ความคึกคักของตลาดหุ้นอาจจะชะงักในปีนี้ เมื่อเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นและรัฐบาลถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนฮ่องกง ราคาหุ้นได้ปรับตัวสูงเกินพื้นฐาน ประมาณร้อยละ 30 และอาจจะแตกในอีก 4-5 เดือนข้างหน้า
ข้อมูลบางอย่างชี้ว่าเศรษฐกิจฟองสบู่กำลังเกิดขึ้นในจีน ราคาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองใหญ่ๆ เช่น เซี่ยงไฮ้ปรับตัวสูงขึ้นกว่าร้อยละ 30 และยอดขายอสังหาริมทรัพย์ของจีนเพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 85 ในปีที่แล้ว การเพิ่มขึ้นของราคาบ้านทำให้อัตราส่วนของราคาบ้านต่อรายได้ต่อปีของผู้ซื้อบ้านอยู่ในระดับสูงถึงประมาณ 9 เท่าของรายได้เทียบกับ 5 - 7 เท่าในประเทศเอเชียอื่น ขณะที่การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นทำให้อัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (Price-Earning Ratio : P/E) ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯพุ่งสูงขึ้นเป็นประมาณ 24 เท่า ซึ่งสูงกว่าประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ
นักเศรษฐศาสตร์กลุ่มที่เห็นขัดแย้งกับความเห็นข้างต้น กล่าวว่ายังมีข้อมูลไม่ชัดเจนที่จะบอกว่าจีนเกิดปัญหาเศรษฐกิจฟองสบู่ Arthur Kroeber นักเศรษฐศาสตร์จาก Dragonomics ชี้ว่า การที่ราคาบ้านของจีนสูงถึง 9 เท่าของรายได้ต่อปี ก็เพราะรัฐบาลจีนให้เงินสนับสนุนในการซื้อบ้าน นอกจากนี้ราคาบ้านทั่วประเทศก็เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2-3 เท่านั้น ขณะที่ Andy Rothman นักเศรษฐศาสตร์จาก CLSA ประเมินว่า มีเพียงประมาณร้อยละ 25 ของผู้ซื้อบ้านที่กู้เงินมาซื้อและวงเงินกู้ก็มีมูลค่าเพียงร้อยละ 46 ของราคาบ้านที่ซื้อ ต่างจากสหรัฐฯ ที่คนซื้อบ้านเกือบทั้งหมดกู้เงินมาซื้อและวงเงินกู้มีมูลค่าสูงถึงประมาณร้อยละ 76 ของราคาบ้าน ดังนั้นการเก็งกำไรในราคาบ้านในจีนจะมีต้นทุนสูงกว่าและทำได้ยากกว่าในประเทศตะวันตก (โดยเฉพาะสหรัฐ) ในเรื่องราคาหุ้น แม้ว่า P/E ของจีนจะสูงถึง 24 เท่า แต่ทว่ายังต่ำกว่าในอดีตช่วงเศรษฐกิจเฟื่องฟูปี 2549-50 ที่ P/E อยู่สูงถึง 37 เท่า
สำหรับเรื่องการลงทุนเกินความจำเป็นในภาคอุตสาหกรรม สถาบัน BCA ในแคนาดา โต้แย้งว่ายังไม่มีหลักฐานว่ามีกำลังการผลิตส่วนเกิน ซึ่งดูได้จาก Incremental Capital Output Ratio (ICOR) ซึ่งก็คือสัดส่วนการเพิ่มขึ้นของมูลค่าการลงทุนหารด้วยมูลค่าการเพิ่มของ GDP โดยมีความหมายว่าการเพิ่มขึ้นของผลผลิต 1 ส่วน ต้องการลงทุนเท่าใด ยิ่ง ICOR สูงแสดงถึงการขาดประสิทธิภาพ ดัชนี ICOR ของจีนไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในหลายปีที่ผ่านมา โดยรวมแล้ว จากดัชนี ICOR ยังไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่ามีการลงทุนส่วนเกินในภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีการควบคุมการเร่งปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ไม่ให้มีการให้สินเชื่อแก่อุตสาหกรรมที่มีปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินอีกด้วย
ผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า แล้วข้อสรุปเรื่องนี้คืออะไร โดยส่วนตัวผมขอสรุปว่า เศรษฐกิจจีนกำลังเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ในราคาสินทรัพย์ โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งราคามีการปรับตัวสูงขึ้นเกินพื้นฐาน ทว่ายังไม่รุนแรงเหมือนปี 2549-50 ขณะเดียวกันจีนก็ยังไม่มีปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินในภาคอุตสาหกรรมโดยรวม ยกเว้นบางสาขาเช่น เหล็กเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ฟองสบู่กำลังขยายตัวตามสภาวะสินเชื่อและสภาพคล่องที่ล้นระบบ นอกจากนี้ยังมีแรงเหวี่ยง (Momentum) รุนแรงที่จะนำไปสู่ฟองสบู่ขนาดใหญ่ได้ในอนาคต ผมขอตั้งข้อสังเกตไว้ 2 ข้อ ข้อแรก ทุกครั้งที่มีการถกเถียงเรื่องภาวะฟองสบู่ เช่นกรณีหุ้น IT ของสหรัฐฯในปี 2544 ราคาบ้านในสหรัฐฯ ปี 2552 และกรณีเศรษฐกิจฟองสบู่ของประเทศเอเชียตะวันออกในปี 2540 สิ่งที่เกิดขึ้นคือ จะเกิดปัญหาฟองสบู่ทุกครั้ง ข้อที่ 2 ในช่วงต้นและกลางของวัฏจักรฟองสบู่ จะไม่เกิดปัญหาอะไรมากทุกอย่างดูดีไปหมด แม้ปัญหากำลังการผลิตที่วัดโดยดัชนี ICOR ก็ไม่มีนัยสำคัญ แต่ปัญหาจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น เมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของฟองสบู่ ดัชนี ICOR ของไทยเพิ่มขึ้นมากใน 2 ปีสุดท้ายที่ฟองสบู่แตก ดังนั้น ถ้ารัฐบาลจีนปรับตัวไม่ทัน เราก็อาจจะเห็นการแตกของฟองสบู่ขนาดใหญ่ไม่แพ้ฟองสบู่ในตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ ก็เป็นได้"
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,494 7 - 9 มกราคม พ.ศ. 2553
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 1
สาเหตุของหุ้นแดงเดือดช่วงนี้
โพสต์ที่ 53
ผมเข้าใจแล้วว่าคุณ จขท ต้องการอะไร
แต่ที่ผม ไม่ตอบตรงจุดประสงค์เพราะอย่างนี้ครับ
1 คำถามกว้างเกินไป ไม่รู้จะจับประเด็นไหนมาคุย
2 จากข้อแรกเลยเข้าใจว่าเป็นการถามแบบไม่ซีเรียส คือถามเล่น ๆ
3 ข่าวมีออกเยอะแยะทุกวันไม่รู้ข่าวไหนจริงข่าวไหนเท็จ มีทั้งข่าวดีมีทั้งข่าวร้าย
4 หลาย ๆ คนไม่สนใจว่าทำไมหุ้นตก สนใจแต่ว่าถ้ามีเหตุการณ์ใด ๆ ใครจะกระทบบ้าง
สรุปคือถ้าท่าน จขท อยากได้คำตอบจริง ๆ จัง น่าจะโฟกัสหน่อยเช่น
"ถ้าฟองสบู่จีนแตก หถ้นตัวไหนกระทบบ้าง"
ประมาณนี้มั้ง (ผมสังเกตุจากการตั้งกระทู้ที่คนตอบ ตอบจริงจังนะครับ)
แต่ที่ผม ไม่ตอบตรงจุดประสงค์เพราะอย่างนี้ครับ
1 คำถามกว้างเกินไป ไม่รู้จะจับประเด็นไหนมาคุย
2 จากข้อแรกเลยเข้าใจว่าเป็นการถามแบบไม่ซีเรียส คือถามเล่น ๆ
3 ข่าวมีออกเยอะแยะทุกวันไม่รู้ข่าวไหนจริงข่าวไหนเท็จ มีทั้งข่าวดีมีทั้งข่าวร้าย
4 หลาย ๆ คนไม่สนใจว่าทำไมหุ้นตก สนใจแต่ว่าถ้ามีเหตุการณ์ใด ๆ ใครจะกระทบบ้าง
สรุปคือถ้าท่าน จขท อยากได้คำตอบจริง ๆ จัง น่าจะโฟกัสหน่อยเช่น
"ถ้าฟองสบู่จีนแตก หถ้นตัวไหนกระทบบ้าง"
ประมาณนี้มั้ง (ผมสังเกตุจากการตั้งกระทู้ที่คนตอบ ตอบจริงจังนะครับ)
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10548
- ผู้ติดตาม: 1
สาเหตุของหุ้นแดงเดือดช่วงนี้
โพสต์ที่ 54
ดีใจด้วยครับ ที่ปรับความเข้าใจกันได้ คุณ เหมียว ครับ พี่ป้อม (พี่พอใจ) เค้าไม่มีเจตนา ไม่ดีหรอกครับ ...meawkub เขียน:ขอบคุณมากนะครับสำหรับคำแนะนำ
โลกใบนี้ผมยังต้องเรียนรู้อีกแยะ
นี่ผมก็คงได้บทเรียนอีกว่าเวลาทำอะไรอย่างทำตอนมีอารมณ์(ยกเว้นเรื่อง.. ) จริงๆถ้าผมแค่ปิดหน้าจอไปแล้วไปเดินเล่นแล้วมันก็คงผ่านไป
ผมคงยังไม่นิ่งพอ
จริงๆผมก็ชอบที่พี่พอใจโพสในกระทู้ต่างๆนะครับอ่านแล้วขำดี ดูจากรูปแล้วก็น่าจะเป็นคนใจดี
ตอนนี้พออารมณ์ลงแล้วมันคิดว่าตูทำอะไรไปฟะ รู้สึกว่าทำตัวเด็กและปัญญาอ่อน
ขอโทษอีกทีนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 73
- ผู้ติดตาม: 0
สาเหตุของหุ้นแดงเดือดช่วงนี้
โพสต์ที่ 55
จริงๆครับผมเห็นด้วยกล้วยไม้ขาว เขียน:ผมเข้าใจแล้วว่าคุณ จขท ต้องการอะไร
แต่ที่ผม ไม่ตอบตรงจุดประสงค์เพราะอย่างนี้ครับ
1 คำถามกว้างเกินไป ไม่รู้จะจับประเด็นไหนมาคุย
2 จากข้อแรกเลยเข้าใจว่าเป็นการถามแบบไม่ซีเรียส คือถามเล่น ๆ
3 ข่าวมีออกเยอะแยะทุกวันไม่รู้ข่าวไหนจริงข่าวไหนเท็จ มีทั้งข่าวดีมีทั้งข่าวร้าย
4 หลาย ๆ คนไม่สนใจว่าทำไมหุ้นตก สนใจแต่ว่าถ้ามีเหตุการณ์ใด ๆ ใครจะกระทบบ้าง
สรุปคือถ้าท่าน จขท อยากได้คำตอบจริง ๆ จัง น่าจะโฟกัสหน่อยเช่น
"ถ้าฟองสบู่จีนแตก หถ้นตัวไหนกระทบบ้าง"
ประมาณนี้มั้ง (ผมสังเกตุจากการตั้งกระทู้ที่คนตอบ ตอบจริงจังนะครับ)
-
- Verified User
- โพสต์: 73
- ผู้ติดตาม: 0
สาเหตุของหุ้นแดงเดือดช่วงนี้
โพสต์ที่ 56
Jan. 28 (Bloomberg) -- The Federal Reserve panel in charge of interest rates declared for the first time the U.S. economy is in recovery and took several steps to prepare investors for the removal of aggressive monetary stimulus.
The Federal Open Market Committee yesterday upgraded its economic outlook, reaffirmed it will end liquidity backstops and a $1.25 trillion program to buy mortgage-backed securities and expressed less confidence inflation will remain subdued.
This is as close an admission that we are likely to see that the FOMC thinks the recession is over and the economy is on a self-sustaining recovery path, said Christopher Rupkey, chief financial economist at Bank of Tokyo-Mitsubishi UFJ Ltd. in New York. Policy makers need to think seriously on how they are going to reset the message on the low rates policy.
Central bankers repeated their pledge to keep the benchmark lending rate in a range of zero to 0.25 percent for an extended period, while noting the economy continued to strengthen. Kansas City Federal Reserve Bank President Thomas Hoenig dissented, favoring a quicker adjustment to the rate outlook message.
Hoenig believed that economic and financial conditions had changed sufficiently that the expectation of exceptionally low levels of the federal funds rate for an extended period was no longer warranted, the FOMC said in yesterdays statement.
Inflation is likely to be subdued for some time, policy makers said. Last month, the panel said inflation will remain subdued.
More Comfortable
They are starting to get more comfortable with the sustainability of the recovery, said Stephen Stanley, chief economist at RBS Securities Inc. in Stamford, Connecticut. The downside risks that they were so worried about are probably still there but diminishing in importance.
Policy makers are winding down the record amounts of credit they have provided since the bankruptcy of Lehman Brothers Holdings Inc. in 2008.
The Fed also repeated that it will close four programs supporting money markets and bond dealers in February, as well as dollar swap programs with central banks in Europe and Asia.
The central bank is prepared to modify these plans if necessary to support financial stability and economic growth, the statement said. The Fed also said it is winding down the Term Auction Facility and will hold a final auction on March 8.
จะหมู่หรือจะจ่าหละเนี่ย..
The Federal Open Market Committee yesterday upgraded its economic outlook, reaffirmed it will end liquidity backstops and a $1.25 trillion program to buy mortgage-backed securities and expressed less confidence inflation will remain subdued.
This is as close an admission that we are likely to see that the FOMC thinks the recession is over and the economy is on a self-sustaining recovery path, said Christopher Rupkey, chief financial economist at Bank of Tokyo-Mitsubishi UFJ Ltd. in New York. Policy makers need to think seriously on how they are going to reset the message on the low rates policy.
Central bankers repeated their pledge to keep the benchmark lending rate in a range of zero to 0.25 percent for an extended period, while noting the economy continued to strengthen. Kansas City Federal Reserve Bank President Thomas Hoenig dissented, favoring a quicker adjustment to the rate outlook message.
Hoenig believed that economic and financial conditions had changed sufficiently that the expectation of exceptionally low levels of the federal funds rate for an extended period was no longer warranted, the FOMC said in yesterdays statement.
Inflation is likely to be subdued for some time, policy makers said. Last month, the panel said inflation will remain subdued.
More Comfortable
They are starting to get more comfortable with the sustainability of the recovery, said Stephen Stanley, chief economist at RBS Securities Inc. in Stamford, Connecticut. The downside risks that they were so worried about are probably still there but diminishing in importance.
Policy makers are winding down the record amounts of credit they have provided since the bankruptcy of Lehman Brothers Holdings Inc. in 2008.
The Fed also repeated that it will close four programs supporting money markets and bond dealers in February, as well as dollar swap programs with central banks in Europe and Asia.
The central bank is prepared to modify these plans if necessary to support financial stability and economic growth, the statement said. The Fed also said it is winding down the Term Auction Facility and will hold a final auction on March 8.
จะหมู่หรือจะจ่าหละเนี่ย..
-
- Verified User
- โพสต์: 73
- ผู้ติดตาม: 0
สาเหตุของหุ้นแดงเดือดช่วงนี้
โพสต์ที่ 58
แต่ผมมีความรู้สึกว่า ปัญหาหลักมันน่าจะเกิดความไม่แน่ใจในภาวะในประเทศมากกว่า
เพราะโดยปกติข่าวจากพวกเศษฐกิจโลกจะแย่อีกเที่ยว มันก็มาเรื่อยๆอยู่แล้ว
และตลาดหุ้นไทยจะไม่ตอบรับข่าวติดๆ หนักๆกันหลายๆวัน
วันที่dowแดงsetก็แดง วันต่อมาdowเขียว setก็แดงอีก
โดยส่วนตัวคิดว่าโลกน่าจะเอาอยู่คงไม่น่าจะเกิดวิกฤตซ้ำ
แต่ผมว่าการที่คนออกมากลัวกันแยะหนะดีแล้วเพราะคนทั้งโลกก็จะระดมสมองไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำในเวลาโครตจะใกล้เคียงกัน
แต่ถ้าดูลักษณะการซื้อขายต่างชาติก็ขายออกตลอด
ผมว่าน่าจะเกิดจากปัจจัยภายใน ในเรื่องความไม่แน่นอนทางการเมือง,
มาตพุต, และ จิตใจของนักลงทุน
ถ้าผ่านกุมภาไปได้แล้วไม่เกิดอะไรผมว่าsetคงวิ่งฉิวแบ่งแย่งกันซื้ออีกแน่
จึงทำให้ผมคิดว่าผมต้องจับจังหวะซื้อเพราะโดยพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนเลย
เฮ้ย.....งบ้านเมืองเราเมื่อไหร่จะสงบเนี่ย
เพราะโดยปกติข่าวจากพวกเศษฐกิจโลกจะแย่อีกเที่ยว มันก็มาเรื่อยๆอยู่แล้ว
และตลาดหุ้นไทยจะไม่ตอบรับข่าวติดๆ หนักๆกันหลายๆวัน
วันที่dowแดงsetก็แดง วันต่อมาdowเขียว setก็แดงอีก
โดยส่วนตัวคิดว่าโลกน่าจะเอาอยู่คงไม่น่าจะเกิดวิกฤตซ้ำ
แต่ผมว่าการที่คนออกมากลัวกันแยะหนะดีแล้วเพราะคนทั้งโลกก็จะระดมสมองไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำในเวลาโครตจะใกล้เคียงกัน
แต่ถ้าดูลักษณะการซื้อขายต่างชาติก็ขายออกตลอด
ผมว่าน่าจะเกิดจากปัจจัยภายใน ในเรื่องความไม่แน่นอนทางการเมือง,
มาตพุต, และ จิตใจของนักลงทุน
ถ้าผ่านกุมภาไปได้แล้วไม่เกิดอะไรผมว่าsetคงวิ่งฉิวแบ่งแย่งกันซื้ออีกแน่
จึงทำให้ผมคิดว่าผมต้องจับจังหวะซื้อเพราะโดยพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนเลย
เฮ้ย.....งบ้านเมืองเราเมื่อไหร่จะสงบเนี่ย
-
- Verified User
- โพสต์: 73
- ผู้ติดตาม: 0
สาเหตุของหุ้นแดงเดือดช่วงนี้
โพสต์ที่ 59
ถ้าดูบรรยากาศการลงทุนผมว่ายังคงแดงซึมไปสักพัก
เพราะตอนนี้ข่าวก็ออกแต่ว่าหุ้นไทยแย่แน่ โดนปัญหารุมเร้าทั้งในและนอกประเทศ นักลงทุนก็คงกลัวแล้วยิ่งเห็นแดงกันขนาดนี้ก็คงรีบเทขาย แบบว่ากำขี้ดีกว่ากำตดแล้วก็จะทำให้เกิดmomentumของตลาด และยิ่งไม่มีปัจจัยบวกในกระตุ้นความโลภอีก คงตลาดซึมอีกแน่เลย
แต่ถ้าเราวิเคราะห์ว่านี่คือปัญหาภายในประเทศก็เตรียมตังค์ซื้อได้เลย
เพราะมันไม่เกี่ยวอะไรกับกำไรของบริษัทเลย
ผ่านวันตัดสิน76000ล้านแล้วไม่เกิดอะไร
ผมก็จะได้ปัจจัยบวกมาเป็นตัวกระตุ้น ก็เหมือนตลาดได้ยาป้าเช็งมากิน
จริงๆทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่มีปัจจัยใดเปลี่ยน แต่ถ้าเชื่อว่ามันดี มันก็จะดี
เพราะตอนนี้ข่าวก็ออกแต่ว่าหุ้นไทยแย่แน่ โดนปัญหารุมเร้าทั้งในและนอกประเทศ นักลงทุนก็คงกลัวแล้วยิ่งเห็นแดงกันขนาดนี้ก็คงรีบเทขาย แบบว่ากำขี้ดีกว่ากำตดแล้วก็จะทำให้เกิดmomentumของตลาด และยิ่งไม่มีปัจจัยบวกในกระตุ้นความโลภอีก คงตลาดซึมอีกแน่เลย
แต่ถ้าเราวิเคราะห์ว่านี่คือปัญหาภายในประเทศก็เตรียมตังค์ซื้อได้เลย
เพราะมันไม่เกี่ยวอะไรกับกำไรของบริษัทเลย
ผ่านวันตัดสิน76000ล้านแล้วไม่เกิดอะไร
ผมก็จะได้ปัจจัยบวกมาเป็นตัวกระตุ้น ก็เหมือนตลาดได้ยาป้าเช็งมากิน
จริงๆทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่มีปัจจัยใดเปลี่ยน แต่ถ้าเชื่อว่ามันดี มันก็จะดี