เส้นทางสาย VI
-
- Verified User
- โพสต์: 210
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 31
( หุ้นล็อตแรก )
ผมหอบหิ้วถุงหนังสือพะรุงพะรังออกจากร้านซีเอ็ด
โดยในถุงหนังสือนั้นก็ประกอบไปด้วย
หนังสือ ตีแตก , รวยหุ้นอย่างพอเพียง , ลงทุนเพื่อชีวิตด้วยหุ้น , คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก ของ ดร.นิเวศน์ฯ
คัมภีร์หุ้น ของ คุณโสภณ ด่านศิริกุล
รู้วิเคราะห์ เจาะเรื่องหุ้น ของ ตลาดหลักทรัพย์ฯ
หมดไปหลายบาทครับวันนั้น
เสร็จแล้วก็มานั่งอ่านอยู่สองสามวันเนี่ยแหละครับ
พออ่านเสร็จก็ลองนั่งโหลดงบการเงินมาแกะ โหลด 56-1 มาอ่าน
ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นงบการเงินของ PSL นะครับ
ก็เอามาเทียบทีละตัวกับในหนังสือตีแตก
อันไหน ดร. บอกน้อยดี เช่น รายได้อื่นๆ ก็กดเครื่องคิดเลขคำนวนออกมาว่ามันเป็นกี่% แล้วก็ติ๊กถูก ผ่าน
หรือ ยอดขาย " ธุรกิจที่ขายกระจายแบบนี้ ผมชอบ " เราก็เทียบตาม ผ่าน!
ผมโชคดีตรงที่เรียนบัญชีมา ( แม้จะทำข้อสอบบัญชีไม่ค่อยจะลงตัว เท่ากันสองด้านก็เหอะ )
จึงทำให้การอ่านงบการเงินของผมนั้น ไม่ค่อยมีปัญหาสักเท่าไหร่
จากนั้นก็จึงได้หาวิธีเปิดพอร์ต
แต่เนื่องจากผมทำงานประจำ อีกทั้งไม่ได้อยู่ในตัวจังหวัด
วันธรรมดาจึงหมดสิทธิ์ที่จะมาเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับโบรคเกอร์
แต่เนื่องจากทราบมาว่า ดร.นิเวศน์ฯ นั้นเปิดบัญชีโดยใช้ ภรรยาเป็นนอมินี
ผมก็คิดว่า งั้นเราใช้ชื่อแม่เราเปิดก็คงไม่เป็นไร
ก็เลยให้แม่ผมไปเปิดบัญชีแทน โดยให้มอบอำนาจให้ผมมีสิทธิ์ซื้อขายได้ครับ
ตัดปัญหาเรื่องเปิดพอร์ตไป
จากโพยที่เพื่อนผมให้หุ้นมานั้น
เท่าที่จำได้ก็มี PSL CSL LPN CPNRF MAJOR TICON KK
ตอนนั้นยอมรับว่าถึงจะแกะงบ อ่าน56-1 แต่จริงๆแล้วผมก็ตัดสินใจซื้อจากเงินปันผลครับ
ไม่ว่าจะเป็นการดูประวัติการจ่ายเงินปันผลย้อนหลัง
ก็เอามาคิดว่า ปีแล้วจ่ายเท่านี้ ปีนี้อย่างน้อยก็น่าจะจ่ายพอๆกัน
ก็จับหารราคาตลาด ณ วันนั้น
ตัวไหน 10% ขึ้นก็จดไว้ 20% ขึ้นไปก็ยิ่งต้องกาดอกจันไว้หลายๆดอก
แต่มาถึงวันนี้มองย้อนกลับไป ไอ้พฤติกรรมแบบนั้นอันตรายมากๆ
อยากด่าตัวเองจริงๆครับ
แรกๆนั้นผมยังสับสนระหว่าง CPN กับ LPN เสียด้วยซ้ำไป
และก็ถามหาหุ้น MK สุกี้จากเพื่อนว่ามันมีไหม ?
เพื่อนก็บอกว่ามีมั๊ง มึงลองเปิดดูในเวบเอาเองสิ
ดีนะที่พอเปิดเข้าไปดูในข้อมูลหุ้นรายตัว นั้นยังทันอ่านว่า MK นั้นคือ บ.มั่นคงเคหะการ ( มือใหม่เป็นเหมือนผมกันรึเปล่าครับ )
กลับมาถึงเรื่องการเลือกหุ้นตัวแรกของผมกันต่อครับ
ตอนนั้นถ้าผมจำไม่ผิด PSL CSL นั้นคิด % เงินปันผลเทียบ DIV ในอดีตนั้นตกออกมาอยู่ราวๆ 20%
ส่วนตัวอื่นๆที่กล่าวมานั้นอยู่ราวๆ 10%
แต่เพื่อนผู้แสนดีของผมก็ได้เตือนผมไว้ว่า หุ้นเรือมันเป็นวัฏจักร
ช่วงไหนกำไรดี มันจะกำไรดีมากๆ แต่ช่วงไหนเป็นขาลง มึงจะติดหุ้นอยู่นานนะ
ผมก็ฟังไว้ แต่เนื่องจากการที่เราดูงบการเงินด้วยตัวเอง
ก็เห็นกำไรมันก็มีทุกปีนี่หว่า ก็เลยไม่ได้กลัวคำเตือนที่เพื่อนเตือนไว้
คิดในใจว่า ปันผล20% แค่ 5ปี ก็คืนทุนแล้ว ไม่ต้องกลัวขาลงอะไรหรอกมั๊ง
วันแรกผมก็เลยเอาเงินเข้าบัญชีหลักทรัพย์ 13,000 บาท
ซื้อ PSL กับ CSL จำไม่ได้แล้ว่าอย่างละกี่หุ้น
จากนั้นก็ทยอยปิดบัญชีเงินฝากประจำปลอดภาษี และก็ขายหน่วยลงทุนใน MMF
เอามาทยอยซื้อหุ้นจน 100% ของพอร์ตครับ
โดยก็ซื้อหลายตัว แต่ว่าแต่ละตัวก็ผ่านการอ่านงบการเงินในแบบของตัวเองมานะ
อ่านเอง มั่ววิเคราะห์เอง ที่ซื้อตามมาก็มี LPN TICON KK MAJOR WORK
LPN นี่ผมซื้อเพราะเพื่อนผมบอกว่าดี ปันผลที่คิดได้ก็ประมาณ 10%
แต่ตอนนั้นผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า LPN ทำธุรกิจอะไร
ถือไว้ไม่กี่สัปดาห์ก็ขาย เพราะคิดว่าปันผล 10% มันน้อยไป
เราอยากไปซื้อหุ้นตัวที่ให้เยอะกว่านั้นมากกว่า
แต่ปัจจุบันก็รู้แล้วว่ามันทำคอนโด
ซึ่งพอรู้แล้ว ก็ไม่ชอบอีกนั่นแหละครับ เพราะผมไม่ค่อยชอบหุ้นธุรกิจอสังหาฯ สักเท่าไหร่
รับรู้รายได้ตอนไหน ยังไงอยู่ที่ผู้บริหารว่าจะวางเกมยังไงอย่างเดียว กลัวตามเกมเค้าไม่ทันครับ
ผมก็เลยอยู่ห่างๆจากกลุ่มนี้ครับ
ส่วน TICON ตอนนั้นบอกตามตรงว่าไม่รู้เหมือนกันว่าทำธุรกิจอะไร
รู้แต่ว่ามันให้ปันผลประมาณ 10% แล้วก็ขายกองทุน TFUND
เห็นปีก่อนให้ปันผลตั้ง 1.20 บาท
ก็เลยซื้อเข้าพอร์ต พอราคาเหวี่ยงลงก็ไม่สบายใจ
ก็ถือจนรับปันผล ที่ได้แค่ 0.8 บาท
ตอนนั้นแอบเซ็งนิดๆว่าทำไมปันผลน้อยกว่าปีก่อน ( วะ )
ก็เลยขายทิ้งไป กำไรนิดหน่อย
ขอข้าม KK ไปก่อนนะครับ
มาถึง MAJOR อ้างตามที่ท่าน ดร. บอกว่าให้หาธุรกิจที่ผูกขาด
ไอ้เราก็คุยกับเพื่อนว่า เมเจอร์ นี่เข้าข่ายไหม
ก็คุยกันเล่นๆว่า วันหยุดถ้าจะพาแฟนไปเที่ยว ถ้าไม่พาไปดูหนัง มึงจะพาไปไหน ?
ยังไงคนก็ต้องดูหนัง เลยคิดว่า เมเจอร์ นี่น่าจะเข้าข่ายผูกขาดมั๊ง
แต่ผมก็ซื้อ MAJOR ไว้
แต่มาคิดๆดูอีกที ผมก็ลืมนึกว่าก่อนที่คนจะเข้าโรงหนัง
มันต้องมีหนังดีฉายก่อน ถ้าหนังไม่ดี คนก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ดู
คิดได้แบบนั้นก็ไม่สบายใจที่จะถือ ก็เลยขายดีกว่า
รู้สึกจะกำไร 0.8 บาท เนี่ยแหละครับ สำหรับเมเจอร์
พองบออก กำไร 0.01 บาท ผมนี่โล่งใจเลยที่ขาย
พอคุยกับเพื่อนที่ทำงานออดิทอยู่ใน บริษัทbig4 ที่ตรวจเมเจอร์ มันก็บอก ดีแล้วที่มึงขาย
ที่เห็น 0.01 นั้น ปรับกันกระจาย ไม่งั้นตัวเลขอยูในวงเล็บแน่ๆ
และยังมีอะไรๆอีกหลายอย่าง ซึ่งพูดไม่ได้ครับ กลัวโดนฟ้อง
ถ้าใครอยากรู้ pm มาถามได้นะครับ
WORK ตัวนี้บอกตามตรงผมซื้อเพราะคุณประภาศ ชลศรานนท์
คือชอบอ่านหนังสือพี่จิกนะครับ
อีกทั้งงบการเงินก็ไม่ได้ขี้เหร่
แหม พูดถึงตัวนี้แล้วอยากด่าตัวเองจริงๆ
เหตุผลในการซื้อหุ้นของผมนี่ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
ก็เลยซื้อไว้นิดหน่อยกะเอาไว้ขอลายเซ็นพี่จิกตอนประชุมผู้ถือหุ้น
แต่แล้วพองบออกมา โห กำไรลดลงไปเยอะเลย
เราก็เลยไปศึกษาดีๆ
ก็พบว่ารายการทีวีถูกลดเวลาออกอากาศ ทำให้รายได้หด
ก็เลย ไม่เอาดีกว่าขายทิ้งไป
ส่วน KK นี่ปัจจุบันยังถืออยู่ครับ
แรกๆก็เหมือนอย่างตัวอื่นๆที่ผมเอาเงินปันผลเป็นตัวตัดสินใจในการซื้อ
เห็นว่าราคาถูกกว่า book มาก
แต่ก็ไม่รู้หรอกว่า KK ทำธุรกิจอะไร
รู้ก็แต่ว่าเป็นธนาคารขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
แต่ผมเริ่มาเอะใจว่า ตอนผมทำงาน ลูกค้าผมที่มาจ่ายเงินค่างวดรถนั้น
หลายคนใช้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์กับ KK ผมก็เลยคิดว่า KK นี้มันมีอะไรดีหว่า
ลองมาศึกษาก็พบว่าเป็นบริษัทที่ค่อนข้างจะเป้นผู้นำด้านลีสซิ่งรถยนต์
สินทรัพย์ก็โตขึ้นเรื่อยๆทุกปี สาขาก็ขยายไปเรื่อยๆ
และผลกำไรที่ออกมาแต่ละไตรมาสก็โตขึ้น ผมก็เลยถือเอาไว้จนเดี๋ยวนี้
แต่ยังไม่มีโอกาสเก็บเพิ่มสักที
ก็หมดแล้วครับสำหรับการเลือกหุ้นล็อตแรกของช่วงเวลาเริ่มต้นของช่วงชีวิตการลงทุน
มั่วพอดูครับ คลำกันไปเรื่อยๆ
แต่เดี๋ยวนี้มั่วน้อยลงแล้วครับ
ก่อนซื้อนี่ต้องทำความรู้จักกันอย่างจริงๆจังๆเสียก่อน
สมัยลงทุนแรกๆผมเปรียบเหมือนผมไปจีบสาวตามที่เที่ยวกลางคืนครับ
รู้จักกันไม่เท่าไหร่ ลงเอยกันเสียแล้ว แล้วก็เลิกกันไปอย่างไป ( แดกปันผลแล้วก็จากไป )
แต่มาเดี๋ยวนี้เหมือนอย่างที่ ดร.บอกไว้นั่นแหละครับ เลือกหุ้นเหมือนเลือกเจ้าสาว เหมือนเลือกแม่ศรีเรือน
ทำความรู้จักกันให้ดี ก่อนที่จะตกลงปลงใจ ปัญหาสังคม ปัญหาครอบครัวจะได้ไม่เกิด ( เขียนไปถึงโน่น )
ปัจจุบันก็อาศัยลอกการบ้าน ( เซียน ) มากขึ้น ( เหมือนเหล่าเซียนๆเป็นพ่อสื่อแม่ชักให้ได้รู้จักกับหญิงสาวนิสัยดี ฮ่าฮ่า )
แล้วก็ค้นคว้าบ่อยๆ ( ทำความรู้จักกับกิจการ )
หมั่นทบทวนตำรา
แสวงหาความรู้และมุมมองใหม่ๆ
เพื่อให้ความฝันซ้อนทับกับความจริงในสักวันหนึ่งครับ
ขอให้ทุกท่านโชคดีและมีสติในการลงทุนครับ
เอ๋
ผมหอบหิ้วถุงหนังสือพะรุงพะรังออกจากร้านซีเอ็ด
โดยในถุงหนังสือนั้นก็ประกอบไปด้วย
หนังสือ ตีแตก , รวยหุ้นอย่างพอเพียง , ลงทุนเพื่อชีวิตด้วยหุ้น , คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก ของ ดร.นิเวศน์ฯ
คัมภีร์หุ้น ของ คุณโสภณ ด่านศิริกุล
รู้วิเคราะห์ เจาะเรื่องหุ้น ของ ตลาดหลักทรัพย์ฯ
หมดไปหลายบาทครับวันนั้น
เสร็จแล้วก็มานั่งอ่านอยู่สองสามวันเนี่ยแหละครับ
พออ่านเสร็จก็ลองนั่งโหลดงบการเงินมาแกะ โหลด 56-1 มาอ่าน
ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นงบการเงินของ PSL นะครับ
ก็เอามาเทียบทีละตัวกับในหนังสือตีแตก
อันไหน ดร. บอกน้อยดี เช่น รายได้อื่นๆ ก็กดเครื่องคิดเลขคำนวนออกมาว่ามันเป็นกี่% แล้วก็ติ๊กถูก ผ่าน
หรือ ยอดขาย " ธุรกิจที่ขายกระจายแบบนี้ ผมชอบ " เราก็เทียบตาม ผ่าน!
ผมโชคดีตรงที่เรียนบัญชีมา ( แม้จะทำข้อสอบบัญชีไม่ค่อยจะลงตัว เท่ากันสองด้านก็เหอะ )
จึงทำให้การอ่านงบการเงินของผมนั้น ไม่ค่อยมีปัญหาสักเท่าไหร่
จากนั้นก็จึงได้หาวิธีเปิดพอร์ต
แต่เนื่องจากผมทำงานประจำ อีกทั้งไม่ได้อยู่ในตัวจังหวัด
วันธรรมดาจึงหมดสิทธิ์ที่จะมาเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับโบรคเกอร์
แต่เนื่องจากทราบมาว่า ดร.นิเวศน์ฯ นั้นเปิดบัญชีโดยใช้ ภรรยาเป็นนอมินี
ผมก็คิดว่า งั้นเราใช้ชื่อแม่เราเปิดก็คงไม่เป็นไร
ก็เลยให้แม่ผมไปเปิดบัญชีแทน โดยให้มอบอำนาจให้ผมมีสิทธิ์ซื้อขายได้ครับ
ตัดปัญหาเรื่องเปิดพอร์ตไป
จากโพยที่เพื่อนผมให้หุ้นมานั้น
เท่าที่จำได้ก็มี PSL CSL LPN CPNRF MAJOR TICON KK
ตอนนั้นยอมรับว่าถึงจะแกะงบ อ่าน56-1 แต่จริงๆแล้วผมก็ตัดสินใจซื้อจากเงินปันผลครับ
ไม่ว่าจะเป็นการดูประวัติการจ่ายเงินปันผลย้อนหลัง
ก็เอามาคิดว่า ปีแล้วจ่ายเท่านี้ ปีนี้อย่างน้อยก็น่าจะจ่ายพอๆกัน
ก็จับหารราคาตลาด ณ วันนั้น
ตัวไหน 10% ขึ้นก็จดไว้ 20% ขึ้นไปก็ยิ่งต้องกาดอกจันไว้หลายๆดอก
แต่มาถึงวันนี้มองย้อนกลับไป ไอ้พฤติกรรมแบบนั้นอันตรายมากๆ
อยากด่าตัวเองจริงๆครับ
แรกๆนั้นผมยังสับสนระหว่าง CPN กับ LPN เสียด้วยซ้ำไป
และก็ถามหาหุ้น MK สุกี้จากเพื่อนว่ามันมีไหม ?
เพื่อนก็บอกว่ามีมั๊ง มึงลองเปิดดูในเวบเอาเองสิ
ดีนะที่พอเปิดเข้าไปดูในข้อมูลหุ้นรายตัว นั้นยังทันอ่านว่า MK นั้นคือ บ.มั่นคงเคหะการ ( มือใหม่เป็นเหมือนผมกันรึเปล่าครับ )
กลับมาถึงเรื่องการเลือกหุ้นตัวแรกของผมกันต่อครับ
ตอนนั้นถ้าผมจำไม่ผิด PSL CSL นั้นคิด % เงินปันผลเทียบ DIV ในอดีตนั้นตกออกมาอยู่ราวๆ 20%
ส่วนตัวอื่นๆที่กล่าวมานั้นอยู่ราวๆ 10%
แต่เพื่อนผู้แสนดีของผมก็ได้เตือนผมไว้ว่า หุ้นเรือมันเป็นวัฏจักร
ช่วงไหนกำไรดี มันจะกำไรดีมากๆ แต่ช่วงไหนเป็นขาลง มึงจะติดหุ้นอยู่นานนะ
ผมก็ฟังไว้ แต่เนื่องจากการที่เราดูงบการเงินด้วยตัวเอง
ก็เห็นกำไรมันก็มีทุกปีนี่หว่า ก็เลยไม่ได้กลัวคำเตือนที่เพื่อนเตือนไว้
คิดในใจว่า ปันผล20% แค่ 5ปี ก็คืนทุนแล้ว ไม่ต้องกลัวขาลงอะไรหรอกมั๊ง
วันแรกผมก็เลยเอาเงินเข้าบัญชีหลักทรัพย์ 13,000 บาท
ซื้อ PSL กับ CSL จำไม่ได้แล้ว่าอย่างละกี่หุ้น
จากนั้นก็ทยอยปิดบัญชีเงินฝากประจำปลอดภาษี และก็ขายหน่วยลงทุนใน MMF
เอามาทยอยซื้อหุ้นจน 100% ของพอร์ตครับ
โดยก็ซื้อหลายตัว แต่ว่าแต่ละตัวก็ผ่านการอ่านงบการเงินในแบบของตัวเองมานะ
อ่านเอง มั่ววิเคราะห์เอง ที่ซื้อตามมาก็มี LPN TICON KK MAJOR WORK
LPN นี่ผมซื้อเพราะเพื่อนผมบอกว่าดี ปันผลที่คิดได้ก็ประมาณ 10%
แต่ตอนนั้นผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า LPN ทำธุรกิจอะไร
ถือไว้ไม่กี่สัปดาห์ก็ขาย เพราะคิดว่าปันผล 10% มันน้อยไป
เราอยากไปซื้อหุ้นตัวที่ให้เยอะกว่านั้นมากกว่า
แต่ปัจจุบันก็รู้แล้วว่ามันทำคอนโด
ซึ่งพอรู้แล้ว ก็ไม่ชอบอีกนั่นแหละครับ เพราะผมไม่ค่อยชอบหุ้นธุรกิจอสังหาฯ สักเท่าไหร่
รับรู้รายได้ตอนไหน ยังไงอยู่ที่ผู้บริหารว่าจะวางเกมยังไงอย่างเดียว กลัวตามเกมเค้าไม่ทันครับ
ผมก็เลยอยู่ห่างๆจากกลุ่มนี้ครับ
ส่วน TICON ตอนนั้นบอกตามตรงว่าไม่รู้เหมือนกันว่าทำธุรกิจอะไร
รู้แต่ว่ามันให้ปันผลประมาณ 10% แล้วก็ขายกองทุน TFUND
เห็นปีก่อนให้ปันผลตั้ง 1.20 บาท
ก็เลยซื้อเข้าพอร์ต พอราคาเหวี่ยงลงก็ไม่สบายใจ
ก็ถือจนรับปันผล ที่ได้แค่ 0.8 บาท
ตอนนั้นแอบเซ็งนิดๆว่าทำไมปันผลน้อยกว่าปีก่อน ( วะ )
ก็เลยขายทิ้งไป กำไรนิดหน่อย
ขอข้าม KK ไปก่อนนะครับ
มาถึง MAJOR อ้างตามที่ท่าน ดร. บอกว่าให้หาธุรกิจที่ผูกขาด
ไอ้เราก็คุยกับเพื่อนว่า เมเจอร์ นี่เข้าข่ายไหม
ก็คุยกันเล่นๆว่า วันหยุดถ้าจะพาแฟนไปเที่ยว ถ้าไม่พาไปดูหนัง มึงจะพาไปไหน ?
ยังไงคนก็ต้องดูหนัง เลยคิดว่า เมเจอร์ นี่น่าจะเข้าข่ายผูกขาดมั๊ง
แต่ผมก็ซื้อ MAJOR ไว้
แต่มาคิดๆดูอีกที ผมก็ลืมนึกว่าก่อนที่คนจะเข้าโรงหนัง
มันต้องมีหนังดีฉายก่อน ถ้าหนังไม่ดี คนก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ดู
คิดได้แบบนั้นก็ไม่สบายใจที่จะถือ ก็เลยขายดีกว่า
รู้สึกจะกำไร 0.8 บาท เนี่ยแหละครับ สำหรับเมเจอร์
พองบออก กำไร 0.01 บาท ผมนี่โล่งใจเลยที่ขาย
พอคุยกับเพื่อนที่ทำงานออดิทอยู่ใน บริษัทbig4 ที่ตรวจเมเจอร์ มันก็บอก ดีแล้วที่มึงขาย
ที่เห็น 0.01 นั้น ปรับกันกระจาย ไม่งั้นตัวเลขอยูในวงเล็บแน่ๆ
และยังมีอะไรๆอีกหลายอย่าง ซึ่งพูดไม่ได้ครับ กลัวโดนฟ้อง
ถ้าใครอยากรู้ pm มาถามได้นะครับ
WORK ตัวนี้บอกตามตรงผมซื้อเพราะคุณประภาศ ชลศรานนท์
คือชอบอ่านหนังสือพี่จิกนะครับ
อีกทั้งงบการเงินก็ไม่ได้ขี้เหร่
แหม พูดถึงตัวนี้แล้วอยากด่าตัวเองจริงๆ
เหตุผลในการซื้อหุ้นของผมนี่ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
ก็เลยซื้อไว้นิดหน่อยกะเอาไว้ขอลายเซ็นพี่จิกตอนประชุมผู้ถือหุ้น
แต่แล้วพองบออกมา โห กำไรลดลงไปเยอะเลย
เราก็เลยไปศึกษาดีๆ
ก็พบว่ารายการทีวีถูกลดเวลาออกอากาศ ทำให้รายได้หด
ก็เลย ไม่เอาดีกว่าขายทิ้งไป
ส่วน KK นี่ปัจจุบันยังถืออยู่ครับ
แรกๆก็เหมือนอย่างตัวอื่นๆที่ผมเอาเงินปันผลเป็นตัวตัดสินใจในการซื้อ
เห็นว่าราคาถูกกว่า book มาก
แต่ก็ไม่รู้หรอกว่า KK ทำธุรกิจอะไร
รู้ก็แต่ว่าเป็นธนาคารขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
แต่ผมเริ่มาเอะใจว่า ตอนผมทำงาน ลูกค้าผมที่มาจ่ายเงินค่างวดรถนั้น
หลายคนใช้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์กับ KK ผมก็เลยคิดว่า KK นี้มันมีอะไรดีหว่า
ลองมาศึกษาก็พบว่าเป็นบริษัทที่ค่อนข้างจะเป้นผู้นำด้านลีสซิ่งรถยนต์
สินทรัพย์ก็โตขึ้นเรื่อยๆทุกปี สาขาก็ขยายไปเรื่อยๆ
และผลกำไรที่ออกมาแต่ละไตรมาสก็โตขึ้น ผมก็เลยถือเอาไว้จนเดี๋ยวนี้
แต่ยังไม่มีโอกาสเก็บเพิ่มสักที
ก็หมดแล้วครับสำหรับการเลือกหุ้นล็อตแรกของช่วงเวลาเริ่มต้นของช่วงชีวิตการลงทุน
มั่วพอดูครับ คลำกันไปเรื่อยๆ
แต่เดี๋ยวนี้มั่วน้อยลงแล้วครับ
ก่อนซื้อนี่ต้องทำความรู้จักกันอย่างจริงๆจังๆเสียก่อน
สมัยลงทุนแรกๆผมเปรียบเหมือนผมไปจีบสาวตามที่เที่ยวกลางคืนครับ
รู้จักกันไม่เท่าไหร่ ลงเอยกันเสียแล้ว แล้วก็เลิกกันไปอย่างไป ( แดกปันผลแล้วก็จากไป )
แต่มาเดี๋ยวนี้เหมือนอย่างที่ ดร.บอกไว้นั่นแหละครับ เลือกหุ้นเหมือนเลือกเจ้าสาว เหมือนเลือกแม่ศรีเรือน
ทำความรู้จักกันให้ดี ก่อนที่จะตกลงปลงใจ ปัญหาสังคม ปัญหาครอบครัวจะได้ไม่เกิด ( เขียนไปถึงโน่น )
ปัจจุบันก็อาศัยลอกการบ้าน ( เซียน ) มากขึ้น ( เหมือนเหล่าเซียนๆเป็นพ่อสื่อแม่ชักให้ได้รู้จักกับหญิงสาวนิสัยดี ฮ่าฮ่า )
แล้วก็ค้นคว้าบ่อยๆ ( ทำความรู้จักกับกิจการ )
หมั่นทบทวนตำรา
แสวงหาความรู้และมุมมองใหม่ๆ
เพื่อให้ความฝันซ้อนทับกับความจริงในสักวันหนึ่งครับ
ขอให้ทุกท่านโชคดีและมีสติในการลงทุนครับ
เอ๋
- baby-investor
- Verified User
- โพสต์: 312
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 33
อ่านสนุกและได้แง่คิดดีทีเดียวครับ เป็นกำลังใจให้ถึงฝันนะครับ
LifeLong Learning
LifeLong Investing
LifeLong Investing
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1588
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 36
คนรู้ไม่พูด คนพูดไม่รู้
- reiter
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2308
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 37
ชอบครับ ขอบคุณมาก :D
-
- Verified User
- โพสต์: 210
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 38
( กลับเข้าเส้นทางสาย VI )
พอเริ่มหลงทาง และติดกับดักของ ผลตอบแทนเงินปันผล ได้สักพัก
ผมก็มาหยุดคิด นั่งคุยกับตัวเองว่า ทางที่ผมเดินนั้นมันอาจจะไม่ใช่เส้นทางสายวีไอจริงๆก็ได้
จากนั้นผมก็หยุดหาข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นรายตัว และหยุดวิแคะหุ้นครับ
เลยก็เอาหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนมานั่งอ่านใหม่ทั้งหมดอีกรอบ โดยเฉพาะหนังสือ ตีแตก , รวยหุ้นอย่างพอเพียง และ ลงทุนเพื่อชีวิตด้วยหุ้น ของ ดร.
จากนั้นก็ได้ซื้อหนังสือ Buffetology ที่แปลโดย ดร.สมจินต์ ศรไพาล มาอ่านครับ
เล่มนี้ทำให้ผมเข้าใจแนวทางการลงทุนแบบ VI มากขึ้น
ทั้งในด้านของการคำนวนมูลค่าที่แท้จริงต่างๆ และ รูปแบบของธุรกิจผูกขาด ครับ
ตั้งแต่วันนั้นผมก็เลยให้ความสำคัญกับ เงินปันผล น้อยลงครับ
ช่วงนั้นหาความรู้จากในอินเตอร์เนตเยอะเลย
จนได้มาอ่านบทความเกี่ยวกับหุ้นปูนใหญ่ ของ อ.วิกรม เกษมวุฒิ ครับ
ที่เขียนบอกว่า ปูนใหญ่คือหุ้นโค้กเมืองไทย
ท่านว่า ท่านซื้อไว้ 100 หุ้น ราคาหุ้นละ 167 บาท Par@100
ปัจจุบันกลายเป็น 10,000 หุ้น เข้าไปแล้ว ถือไว้ 30 ปี
ผมอ่านแล้วก็อึ้งเลยครับ โหแค่ 100 หุ้นในวันนั้น วันนี้มันเพิ่มพูนขนาดนี้เลยเหรอ ?
มาดูราคาปูนใหญ่ช่วงนั้นอยู่ที่ 100 นิดๆ
ซึ่งถือว่าถูกมาก ก็เลยซื้อเก็บยาวจนบัดนี้ครับ
และก็มีเหตุการณ์ที่ผมเชื่อว่าการเก็บหุ้นพื้นฐานดีในระยะเวลานานๆนั้น ให้ผลตอบแทนมากกว่าที่คิด
นั่นก็คือ ทางธนาคารได้ส่งผมไปอบรมความรู้เกี่ยวกับการลงทุน เพื่อที่จะนำมาใช้สอบผู้ทำหน้าที่ติดต่อกับผู้ลงทุน
ผมได้เรียนกับวิทยากรหลายท่าน แต่มีท่านหนึ่งก็คือ อ.กวี ชูกิจเกษม
ท่านได้เล่าให้ฟังปนขำๆว่า
แม่ท่านเกือบทิ้งใบหุ้นโรงพยาบาลรามฯแล้ว
เนื่องจากไม่รู้ว่ามันเป็นใบหุ้น
สมัยก่อนตอนที่เค้าขายหุ้นโรงพยาบาลบาลรามฯ
มีคนมาบอกแม่ท่านให้ช่วยบริจาคเงินสร้างโรงพยาบาลหน่อย
แม่ของ อ.กวี ก็เลยบริจาคไป 100,000 บาท
ได้ใบหุ้นมา 1 ใบ แต่แม่ท่านนึกว่าเป็นใบเสร็จของการบริจาค ก็เลยเก็บไว้ไม่คิดอะไร
วันหนึ่งมาเจอ ก็เกือบเอาทิ้งขยะแล้ว
ปัจจุบัน อ.กวี แกบอกว่ามูลค่าน่าจะ 5 ล้านกว่าบาท บวกกันปันผลอีกปีละ 300,000 บาท
ผมฟังแล้ว อึ้ง! อีกรอบ
คิดไว้กับตัวเองว่าอีกหลายปีต่อจากนี้ เราน่าจะสร้างตำนานหุ้นขึ้นมาได้แบบนี้เหมือนเค้านะ
แต่ตัวนี้ไม่ได้ซื้อตามนะครับ แค่เก็บเรื่องราวนี้ไว้เป็นแรงบันดาลใจ
พอเริ่มหลงทาง และติดกับดักของ ผลตอบแทนเงินปันผล ได้สักพัก
ผมก็มาหยุดคิด นั่งคุยกับตัวเองว่า ทางที่ผมเดินนั้นมันอาจจะไม่ใช่เส้นทางสายวีไอจริงๆก็ได้
จากนั้นผมก็หยุดหาข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นรายตัว และหยุดวิแคะหุ้นครับ
เลยก็เอาหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนมานั่งอ่านใหม่ทั้งหมดอีกรอบ โดยเฉพาะหนังสือ ตีแตก , รวยหุ้นอย่างพอเพียง และ ลงทุนเพื่อชีวิตด้วยหุ้น ของ ดร.
จากนั้นก็ได้ซื้อหนังสือ Buffetology ที่แปลโดย ดร.สมจินต์ ศรไพาล มาอ่านครับ
เล่มนี้ทำให้ผมเข้าใจแนวทางการลงทุนแบบ VI มากขึ้น
ทั้งในด้านของการคำนวนมูลค่าที่แท้จริงต่างๆ และ รูปแบบของธุรกิจผูกขาด ครับ
ตั้งแต่วันนั้นผมก็เลยให้ความสำคัญกับ เงินปันผล น้อยลงครับ
ช่วงนั้นหาความรู้จากในอินเตอร์เนตเยอะเลย
จนได้มาอ่านบทความเกี่ยวกับหุ้นปูนใหญ่ ของ อ.วิกรม เกษมวุฒิ ครับ
ที่เขียนบอกว่า ปูนใหญ่คือหุ้นโค้กเมืองไทย
ท่านว่า ท่านซื้อไว้ 100 หุ้น ราคาหุ้นละ 167 บาท Par@100
ปัจจุบันกลายเป็น 10,000 หุ้น เข้าไปแล้ว ถือไว้ 30 ปี
ผมอ่านแล้วก็อึ้งเลยครับ โหแค่ 100 หุ้นในวันนั้น วันนี้มันเพิ่มพูนขนาดนี้เลยเหรอ ?
มาดูราคาปูนใหญ่ช่วงนั้นอยู่ที่ 100 นิดๆ
ซึ่งถือว่าถูกมาก ก็เลยซื้อเก็บยาวจนบัดนี้ครับ
และก็มีเหตุการณ์ที่ผมเชื่อว่าการเก็บหุ้นพื้นฐานดีในระยะเวลานานๆนั้น ให้ผลตอบแทนมากกว่าที่คิด
นั่นก็คือ ทางธนาคารได้ส่งผมไปอบรมความรู้เกี่ยวกับการลงทุน เพื่อที่จะนำมาใช้สอบผู้ทำหน้าที่ติดต่อกับผู้ลงทุน
ผมได้เรียนกับวิทยากรหลายท่าน แต่มีท่านหนึ่งก็คือ อ.กวี ชูกิจเกษม
ท่านได้เล่าให้ฟังปนขำๆว่า
แม่ท่านเกือบทิ้งใบหุ้นโรงพยาบาลรามฯแล้ว
เนื่องจากไม่รู้ว่ามันเป็นใบหุ้น
สมัยก่อนตอนที่เค้าขายหุ้นโรงพยาบาลบาลรามฯ
มีคนมาบอกแม่ท่านให้ช่วยบริจาคเงินสร้างโรงพยาบาลหน่อย
แม่ของ อ.กวี ก็เลยบริจาคไป 100,000 บาท
ได้ใบหุ้นมา 1 ใบ แต่แม่ท่านนึกว่าเป็นใบเสร็จของการบริจาค ก็เลยเก็บไว้ไม่คิดอะไร
วันหนึ่งมาเจอ ก็เกือบเอาทิ้งขยะแล้ว
ปัจจุบัน อ.กวี แกบอกว่ามูลค่าน่าจะ 5 ล้านกว่าบาท บวกกันปันผลอีกปีละ 300,000 บาท
ผมฟังแล้ว อึ้ง! อีกรอบ
คิดไว้กับตัวเองว่าอีกหลายปีต่อจากนี้ เราน่าจะสร้างตำนานหุ้นขึ้นมาได้แบบนี้เหมือนเค้านะ
แต่ตัวนี้ไม่ได้ซื้อตามนะครับ แค่เก็บเรื่องราวนี้ไว้เป็นแรงบันดาลใจ
-
- Verified User
- โพสต์: 210
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 40
( ปี 2552 )
ในระหว่างปี 2552 นั้นผมเปลี่ยนหุ้นถือหลายตัวครับ
มี DTAC ซึ่งหันมาสนใจก็เพราะพี่ของเพื่อนที่ทำงานอยู่ กิมเอ็ง บอกว่าราคา 26 บาทนั้น ไม่มีทางต่ำไปกว่านี้
ผมก็เลยลองเอา DTAC มาศึกษาดู ก็พบว่าในอดีตที่ผ่านมาผลการดำเนินงานก็ค่อนข้างดี
และผู้บริหารที่เป็นฝรั่ง ( จำชื่อไม่ได้ ) ก็ดูท่าทางใส่ใจพนักงาน ( เห็นจากการที่เค้าเขียนแนวทางบริหารไว้ในหนังสือเค้า )
ประกอบกับคิดว่าราคาที่ 26 บาท นั้นยังมี MOS อยู่อีกมาก
ก็เลยซื้อเข้าพอร์ตไว้ ราคาก็วิ่งสลับนิ่งไปเรื่อยๆ จนงบออก
ก็ปรากฏว่า กำไรหดลงไปเยอะ
ผมเดาของผมเอาเองว่า เนื่องจากช่วงปีที่ผ่านมาไม่ได้มีการทำการตลาด หรือออกโปรโมชั่นใหม่ออกมามากนัก
เมื่อผลการดำเนินงานไม่สม่ำเสมอแบบนี้ ผมก็จึงตัดสินใจขายออกไป
ช่วงนั้นยอมรับว่า ความรู้ในด้านของการวิเคราะห์กิจการแบบมองไปข้างหน้านั้นยังอ่อนด้อยอยู่ครับ
( ปัจจุบันก็ไม่ได้ดีกว่าตอนนั้นสักเท่าไหร่ )
แถมไอ้โรคชอบมองย้อนไปในอดีตนั้นก็รักษายากเสียด้วย ( ปัจจุบันก็ยังไม่หายขาด กำเริบออกมาเรื่อยๆ )
โดยการลงทุนของผม ในปี 2552 นั้นผมคิดว่าผมมีจังหวะผิดพลาดจาก จิตใจที่ไม่มั่นคง อยู่ 3 จุดใหญ่ๆครับ
จุดแรกก็คือ การขายหมู
เหตุการณ์ก็คือ ตอนนั้นผมได้เล็ง หุ้น PTTCH ไว้
โดยเห้นว่าน่าจะฟื้นตัวจากการขาดทุนในไตรมาศ 4 ของปี 2551 ได้
และกำไรในปีนี้น่าจะกลับมาดี แถมถ้าเทียบราคา ณ ตอนนั้น แค่ผลตอบแทนเงินปันก็ปาเข้าไป 10กว่า%แล้ว
ซึ่งขณะนั้นราคาหุ้นอยู่ที่ประมาณ 29 บาท ผมก็จึงเข้าเก็บหุ้น
เสร็จแล้ว หุ้นมักก็จะเป็นไปตามทฤษฎี
" ซื้อแล้วลง ขายแล้วขึ้น "
โดยหลังจากที่ซื้อนั้น PTTCH ก็ร่วงลงไปอยู่ที่ 24 บาทอยู่หลายวัน
พอราคาดีตัวขึ้นมาที่ 32 บาท
เพื่อนผมก็โทรมาบอกว่า " เห้ย ราคาขึ้นมา 32 แล้ว มึงจะทำอะไรก็รีบทำ "
ไอ้เราก็ เอ้ย ทำอะไรวะ ขายก็ขาย
โทรไปสั่งขายกับมาร์เก็ตติ้งที่ราคา 32 บาท
แล้ว PTTCH ก็วิ่งไปแบบไม่เหลียวกลับมามองผมอีกเลย
ผมนึกถึงประโยคนี้เลยครับ " ซื้อเพราะอะไร ขายเพราะเหตุผลนั้น "
แต่วันนี้ผมซื้อเพราะเหตุผลนึง แต่ขายด้วยความตกใจ เล่นเอาเซ็งหัวใจกันไปข้าง
อีกจังหวะนึงก็คือการที่ผมไม่ยอมเคาะซื้อ PSL
คือช่วงนั้นผมมี PSL อยู่แล้วจำนวนหนึ่ง
พอมีเงินสดเพิ่มมาก็เลยอยากจะเก็บหุ้นเพิ่ม
วันนั้นผมจำได้ว่า PSL ราคาอยู่ที่ประมาณ 11.40 บาท
ถ้าเป็นปกติ ผมจะเคาะซื้อทันที เพราะผมขี้เกียจรอ แถมยังต้องมาเสี่ยงจะไม่ได้หุ้น
ซื้อแพงไป 5 สตางค์ 10 สตางค์ ผมยอมได้
แต่วันนั้นสงสัยจะไม่ใช่วันปกติ
มาร์เก็ตติ้ง ผมก็มักจะถามผมเสอมว่า ตั้งซื้อไว้ไหม ได้ถูกกว่านะ
ผมก็เข้าใจนะ ว่าเค้าหวังดีที่จะให้เราได้หุ้นถูก
วันนั้นก็เลยเชื่อเค้า ปล่อยเค้าตั้งรับที่ 11.30
แต่เผอิญว่ามันไม่ลงมาที่ 11.30
กลับวิ่งขึ้นไปลิ่วๆ
ทำให้ผมอดเก็บหุ้นไปตามระเบียบ
ตอนหลังผมได้มาอ่านบทความของคุณโยโย่ เรื่องการเคาะซื้อ
ผมก็เลยมั่นใจขึ้นว่า หากจะซื้ออะไรให้เคาะซื้อเลย
ปัจจุบันผมจึงเคาะซื้อหุ้นทุกครั้งครับ ตัดปัญหาที่มันจะมาทำให้เราคาใจ
" น่าจะเจอกันมาตั้งนาน ก่อนที่เธอจะเป็นของใคร อยากให้มันมีปาฎิหาริย์ให้ตัวฉันย้อนเวลากลับไป "
หุ้นตัวนี้ทำให้ผมต้องฮ้มเพลง ปาฏิหาริย์ ของพี่กบ ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี ไปหลายวัน
หุ้นตัวนั้นก็คือ PB นั่นเองครับ
PB ผมมองว่าเป็นหุ้นที่ค่อนข้างผุกขาดในเรื่องของขมมปัง
แถมยังขายผ่านช่องทาง 7-11 ด้วย
ทำให้ผมคิดว่าตรงนี้ น่าจะเป็นจุดเด่นของ PB
( แต่ปัจจุบันก็ไม่แน่ เพราะ CP หันมาทำธุรกิจอาหารมากขึ้น
คนจะเปลี่ยนไปกินข้าวกล่องแทนขนมปังหรือเปล่ายังต้องดูกันต่อไปครับ )
ผมเล็ง PB ไว้ที่ราคา 50-60 บาท
ซึ่งหากลองมองในมุมมองของ DIV Yeild ก็จะตกอยู่ประมาณ 10%
แต่ตอนนั้นผมแทบไม่มีเงินสดติดมือ
เงินในบัญชีธนาคารก็เหลือหลักร้อยเอาไว้กินข้าว
ก็ได้แต่นั่งดูตาละห้อย
จนกระทั่งราคามันขึ้นไปปื้ดๆครับ
เนื่องจากในตอนนั้นยังไม่รู้จักกลยุทธ์การปรับพอร์ตอะไรสักเท่าไหร่
ก็เลยเสียโอกาสกันไป
สงสัยคงต้องรอปาฏิหาริย์ในวิกฤตครั้งต่อไปเสียแล้วละครับ
ในระหว่างปี 2552 นั้นผมเปลี่ยนหุ้นถือหลายตัวครับ
มี DTAC ซึ่งหันมาสนใจก็เพราะพี่ของเพื่อนที่ทำงานอยู่ กิมเอ็ง บอกว่าราคา 26 บาทนั้น ไม่มีทางต่ำไปกว่านี้
ผมก็เลยลองเอา DTAC มาศึกษาดู ก็พบว่าในอดีตที่ผ่านมาผลการดำเนินงานก็ค่อนข้างดี
และผู้บริหารที่เป็นฝรั่ง ( จำชื่อไม่ได้ ) ก็ดูท่าทางใส่ใจพนักงาน ( เห็นจากการที่เค้าเขียนแนวทางบริหารไว้ในหนังสือเค้า )
ประกอบกับคิดว่าราคาที่ 26 บาท นั้นยังมี MOS อยู่อีกมาก
ก็เลยซื้อเข้าพอร์ตไว้ ราคาก็วิ่งสลับนิ่งไปเรื่อยๆ จนงบออก
ก็ปรากฏว่า กำไรหดลงไปเยอะ
ผมเดาของผมเอาเองว่า เนื่องจากช่วงปีที่ผ่านมาไม่ได้มีการทำการตลาด หรือออกโปรโมชั่นใหม่ออกมามากนัก
เมื่อผลการดำเนินงานไม่สม่ำเสมอแบบนี้ ผมก็จึงตัดสินใจขายออกไป
ช่วงนั้นยอมรับว่า ความรู้ในด้านของการวิเคราะห์กิจการแบบมองไปข้างหน้านั้นยังอ่อนด้อยอยู่ครับ
( ปัจจุบันก็ไม่ได้ดีกว่าตอนนั้นสักเท่าไหร่ )
แถมไอ้โรคชอบมองย้อนไปในอดีตนั้นก็รักษายากเสียด้วย ( ปัจจุบันก็ยังไม่หายขาด กำเริบออกมาเรื่อยๆ )
โดยการลงทุนของผม ในปี 2552 นั้นผมคิดว่าผมมีจังหวะผิดพลาดจาก จิตใจที่ไม่มั่นคง อยู่ 3 จุดใหญ่ๆครับ
จุดแรกก็คือ การขายหมู
เหตุการณ์ก็คือ ตอนนั้นผมได้เล็ง หุ้น PTTCH ไว้
โดยเห้นว่าน่าจะฟื้นตัวจากการขาดทุนในไตรมาศ 4 ของปี 2551 ได้
และกำไรในปีนี้น่าจะกลับมาดี แถมถ้าเทียบราคา ณ ตอนนั้น แค่ผลตอบแทนเงินปันก็ปาเข้าไป 10กว่า%แล้ว
ซึ่งขณะนั้นราคาหุ้นอยู่ที่ประมาณ 29 บาท ผมก็จึงเข้าเก็บหุ้น
เสร็จแล้ว หุ้นมักก็จะเป็นไปตามทฤษฎี
" ซื้อแล้วลง ขายแล้วขึ้น "
โดยหลังจากที่ซื้อนั้น PTTCH ก็ร่วงลงไปอยู่ที่ 24 บาทอยู่หลายวัน
พอราคาดีตัวขึ้นมาที่ 32 บาท
เพื่อนผมก็โทรมาบอกว่า " เห้ย ราคาขึ้นมา 32 แล้ว มึงจะทำอะไรก็รีบทำ "
ไอ้เราก็ เอ้ย ทำอะไรวะ ขายก็ขาย
โทรไปสั่งขายกับมาร์เก็ตติ้งที่ราคา 32 บาท
แล้ว PTTCH ก็วิ่งไปแบบไม่เหลียวกลับมามองผมอีกเลย
ผมนึกถึงประโยคนี้เลยครับ " ซื้อเพราะอะไร ขายเพราะเหตุผลนั้น "
แต่วันนี้ผมซื้อเพราะเหตุผลนึง แต่ขายด้วยความตกใจ เล่นเอาเซ็งหัวใจกันไปข้าง
อีกจังหวะนึงก็คือการที่ผมไม่ยอมเคาะซื้อ PSL
คือช่วงนั้นผมมี PSL อยู่แล้วจำนวนหนึ่ง
พอมีเงินสดเพิ่มมาก็เลยอยากจะเก็บหุ้นเพิ่ม
วันนั้นผมจำได้ว่า PSL ราคาอยู่ที่ประมาณ 11.40 บาท
ถ้าเป็นปกติ ผมจะเคาะซื้อทันที เพราะผมขี้เกียจรอ แถมยังต้องมาเสี่ยงจะไม่ได้หุ้น
ซื้อแพงไป 5 สตางค์ 10 สตางค์ ผมยอมได้
แต่วันนั้นสงสัยจะไม่ใช่วันปกติ
มาร์เก็ตติ้ง ผมก็มักจะถามผมเสอมว่า ตั้งซื้อไว้ไหม ได้ถูกกว่านะ
ผมก็เข้าใจนะ ว่าเค้าหวังดีที่จะให้เราได้หุ้นถูก
วันนั้นก็เลยเชื่อเค้า ปล่อยเค้าตั้งรับที่ 11.30
แต่เผอิญว่ามันไม่ลงมาที่ 11.30
กลับวิ่งขึ้นไปลิ่วๆ
ทำให้ผมอดเก็บหุ้นไปตามระเบียบ
ตอนหลังผมได้มาอ่านบทความของคุณโยโย่ เรื่องการเคาะซื้อ
ผมก็เลยมั่นใจขึ้นว่า หากจะซื้ออะไรให้เคาะซื้อเลย
ปัจจุบันผมจึงเคาะซื้อหุ้นทุกครั้งครับ ตัดปัญหาที่มันจะมาทำให้เราคาใจ
" น่าจะเจอกันมาตั้งนาน ก่อนที่เธอจะเป็นของใคร อยากให้มันมีปาฎิหาริย์ให้ตัวฉันย้อนเวลากลับไป "
หุ้นตัวนี้ทำให้ผมต้องฮ้มเพลง ปาฏิหาริย์ ของพี่กบ ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี ไปหลายวัน
หุ้นตัวนั้นก็คือ PB นั่นเองครับ
PB ผมมองว่าเป็นหุ้นที่ค่อนข้างผุกขาดในเรื่องของขมมปัง
แถมยังขายผ่านช่องทาง 7-11 ด้วย
ทำให้ผมคิดว่าตรงนี้ น่าจะเป็นจุดเด่นของ PB
( แต่ปัจจุบันก็ไม่แน่ เพราะ CP หันมาทำธุรกิจอาหารมากขึ้น
คนจะเปลี่ยนไปกินข้าวกล่องแทนขนมปังหรือเปล่ายังต้องดูกันต่อไปครับ )
ผมเล็ง PB ไว้ที่ราคา 50-60 บาท
ซึ่งหากลองมองในมุมมองของ DIV Yeild ก็จะตกอยู่ประมาณ 10%
แต่ตอนนั้นผมแทบไม่มีเงินสดติดมือ
เงินในบัญชีธนาคารก็เหลือหลักร้อยเอาไว้กินข้าว
ก็ได้แต่นั่งดูตาละห้อย
จนกระทั่งราคามันขึ้นไปปื้ดๆครับ
เนื่องจากในตอนนั้นยังไม่รู้จักกลยุทธ์การปรับพอร์ตอะไรสักเท่าไหร่
ก็เลยเสียโอกาสกันไป
สงสัยคงต้องรอปาฏิหาริย์ในวิกฤตครั้งต่อไปเสียแล้วละครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1021
- ผู้ติดตาม: 1
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 41
ไอเดีย วิธีคิด ดีแล้วครับ ผมว่าคนที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างน้อย ต้องมีทัศนคติแง่บวก มึความฝัน มี perception ที่ดีกว่าคนอื่น เท่าที่อ่านมาถ้ามีหลักการคิดวางแผนแล้วก็มีเป้าหมายชัดเจน บวกกลับมีความรู้ด้านบัญชี ถ้าเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุเท่านี้โอกาสประสบความสำเร็จ ในเวลาไม่นานสูงมากครับ
ของคุณ leonleon มองเป้า 100 ล้าน ส่วนผมมองเป้า 36.5 ล้าน ฝากดบ. 5 % ขอมี freecashflow ใช้ วันละ 5000 ก็พอแล้วครับ ตอนนี้ผมใช้เวลา 7 ปีมาได้ครึ่งทางแล้ว ยังไงก็ขอให้ คุณ leonleon ทำได้สำเร็จตามเป้าหมายครับ
ของคุณ leonleon มองเป้า 100 ล้าน ส่วนผมมองเป้า 36.5 ล้าน ฝากดบ. 5 % ขอมี freecashflow ใช้ วันละ 5000 ก็พอแล้วครับ ตอนนี้ผมใช้เวลา 7 ปีมาได้ครึ่งทางแล้ว ยังไงก็ขอให้ คุณ leonleon ทำได้สำเร็จตามเป้าหมายครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1588
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 42
เรื่องนี้ คุณ กวี คงเล่าทุก courseครับ :lol: หลังจากวันนั้นคุณกวีก็ศรัทธาหลักของการลงทุนระยะยาวทันทีและก็มีเหตุการณ์ที่ผมเชื่อว่าการเก็บหุ้นพื้นฐานดีในระยะเวลานานๆนั้น ให้ผลตอบแทนมากกว่าที่คิด
นั่นก็คือ ทางธนาคารได้ส่งผมไปอบรมความรู้เกี่ยวกับการลงทุน เพื่อที่จะนำมาใช้สอบผู้ทำหน้าที่ติดต่อกับผู้ลงทุน
ผมได้เรียนกับวิทยากรหลายท่าน แต่มีท่านหนึ่งก็คือ อ.กวี ชูกิจเกษม
ท่านได้เล่าให้ฟังปนขำๆว่า
แม่ท่านเกือบทิ้งใบหุ้นโรงพยาบาลรามฯแล้ว
เนื่องจากไม่รู้ว่ามันเป็นใบหุ้น
สมัยก่อนตอนที่เค้าขายหุ้นโรงพยาบาลบาลรามฯ
มีคนมาบอกแม่ท่านให้ช่วยบริจาคเงินสร้างโรงพยาบาลหน่อย
แม่ของ อ.กวี ก็เลยบริจาคไป 100,000 บาท
ได้ใบหุ้นมา 1 ใบ แต่แม่ท่านนึกว่าเป็นใบเสร็จของการบริจาค ก็เลยเก็บไว้ไม่คิดอะไร
วันหนึ่งมาเจอ ก็เกือบเอาทิ้งขยะแล้ว
ปัจจุบัน อ.กวี แกบอกว่ามูลค่าน่าจะ 5 ล้านกว่าบาท บวกกันปันผลอีกปีละ 300,000 บาท
ผมฟังแล้ว อึ้ง! อีกรอบ
คิดไว้กับตัวเองว่าอีกหลายปีต่อจากนี้ เราน่าจะสร้างตำนานหุ้นขึ้นมาได้แบบนี้เหมือนเค้านะ
แต่ตัวนี้ไม่ได้ซื้อตามนะครับ แค่เก็บเรื่องราวนี้ไว้เป็นแรงบันดาลใจ
คนรู้ไม่พูด คนพูดไม่รู้
-
- Verified User
- โพสต์: 1070
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 43
[quote="Notelio"]ไอเดีย วิธีคิด ดีแล้วครับ ผมว่าคนที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างน้อย ต้องมีทัศนคติแง่บวก มึความฝัน มี perception ที่ดีกว่าคนอื่น เท่าที่อ่านมาถ้ามีหลักการคิดวางแผนแล้วก็มีเป้าหมายชัดเจน บวกกลับมีความรู้ด้านบัญชี ถ้าเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุเท่านี้โอกาสประสบความสำเร็จ ในเวลาไม่นานสูงมากครับ
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 48
ยังตามอ่านอยู่ครับ สนุกมากกกกกกก
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 49
พี่น้อง มช ผมวิศวะ รหัส 46 ครับkillyz เขียน:
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 1
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 50
อ่านแล้วรู้สึกดีครับ
- Outliers
- Verified User
- โพสต์: 527
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 51
เอ!! หรือว่าคนรุ่นนี้จะมีความคิดคล้ายกันหลายๆอย่างหว่า
ผมก็เริ่มจากกระปุกออมสินเหมือนกัน แต่จำได้ตอนเด็กๆ ดอกเบี้ยเยอะมาก เกือบ 10% ส่งผลให้มีเงินเก็บเพิ่มขึ้นอย่างมาก
จะต่างกันนิดหน่อยตอนแทงบอล
คือผมจำได้ว่าเริ่มเล่นบอลตั้งแต่ ป.6 เลย แต่เป็นบอลโลก แบบว่าทายไปเลยว่าใครจะเป็น champ แล้วได้ตังไปหมดเลย
มาเล่นอีกทีก็ ม.ปลายแล้ว จากนั้นตอนมหาลัยก็ร่วมกับเพื่อนเปิดโต๊ะเองเลย
แต่จะเล่นกับเพื่อนที่สนิทๆในคณะเท่านั้นนะครับ (แต่เล่นข้ามมหาลัยก็มีนะ เพื่อนๆต่างมหาลัยฝากๆกันมาแทง)
ได้เงินมาก็เยอะ แล้วโชคดีที่มาเลิกซะก่อน เพราะเริ่มวุ่นวายกับการเรียน แล้วเพื่อนๆก็เริ่มเล่นหนักขึ้น คือไม่ได้กลัวเล่นเสียนะครับ เพราะส่วนใหญ่จะได้น้ำจิ้มอยู่แล้ว ที่รับไว้ไม่ไหวก็ส่งโต๊ะใหญ่ที่พี่เพื่อนทำงานอยู่ แต่แค่พอเพื่อนแทงกันมากๆ ก็เริ่มไม่อยากไปเก็บเงิน กลัวเสียเพื่อนน่ะครับ
จากนั้นก็ได้อ่านพ่อรวย แล้วก็เริ่มดูที่จะทำ apartment เหมือนกัน แต่ตอนนั้นคิด return กับเวลาที่จะต้องเสียไปเพื่อดูแลแล้วไม่คุ้ม จึงเริ่มมาเล่น SCBSET แทน จากนั้นจึงค่อยมาเปิด port เล่นเอง
ผมว่าประวัติของคนที่อายุ 25-35 ตอนนี้น่าจะคล้ายๆกัน
โดยเฉพาะการที่คิดถึง financial freedom จากหนังสือพ่อรวย
ผมก็เริ่มจากกระปุกออมสินเหมือนกัน แต่จำได้ตอนเด็กๆ ดอกเบี้ยเยอะมาก เกือบ 10% ส่งผลให้มีเงินเก็บเพิ่มขึ้นอย่างมาก
จะต่างกันนิดหน่อยตอนแทงบอล
คือผมจำได้ว่าเริ่มเล่นบอลตั้งแต่ ป.6 เลย แต่เป็นบอลโลก แบบว่าทายไปเลยว่าใครจะเป็น champ แล้วได้ตังไปหมดเลย
มาเล่นอีกทีก็ ม.ปลายแล้ว จากนั้นตอนมหาลัยก็ร่วมกับเพื่อนเปิดโต๊ะเองเลย
แต่จะเล่นกับเพื่อนที่สนิทๆในคณะเท่านั้นนะครับ (แต่เล่นข้ามมหาลัยก็มีนะ เพื่อนๆต่างมหาลัยฝากๆกันมาแทง)
ได้เงินมาก็เยอะ แล้วโชคดีที่มาเลิกซะก่อน เพราะเริ่มวุ่นวายกับการเรียน แล้วเพื่อนๆก็เริ่มเล่นหนักขึ้น คือไม่ได้กลัวเล่นเสียนะครับ เพราะส่วนใหญ่จะได้น้ำจิ้มอยู่แล้ว ที่รับไว้ไม่ไหวก็ส่งโต๊ะใหญ่ที่พี่เพื่อนทำงานอยู่ แต่แค่พอเพื่อนแทงกันมากๆ ก็เริ่มไม่อยากไปเก็บเงิน กลัวเสียเพื่อนน่ะครับ
จากนั้นก็ได้อ่านพ่อรวย แล้วก็เริ่มดูที่จะทำ apartment เหมือนกัน แต่ตอนนั้นคิด return กับเวลาที่จะต้องเสียไปเพื่อดูแลแล้วไม่คุ้ม จึงเริ่มมาเล่น SCBSET แทน จากนั้นจึงค่อยมาเปิด port เล่นเอง
ผมว่าประวัติของคนที่อายุ 25-35 ตอนนี้น่าจะคล้ายๆกัน
โดยเฉพาะการที่คิดถึง financial freedom จากหนังสือพ่อรวย
The Miracle of 10,000 hrs
- m_mummie
- Verified User
- โพสต์: 218
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 53
อยากถาม (จากประสบการณ์ของคุณ leon leon)เรื่องการเลือกหุ้นโดยดูปันผลกับ เลือกหุ้นแบบวีไอ ต่างกันไหมคะ กำลังคิดว่าจะเอาทั้งสองวิธีมามิกซ์รวมกันในการเลือกหุ้นคะ เพราะมือใหม่ยังจับทางไม่ถูกคะleonleon เขียน:( กลับเข้าเส้นทางสาย VI )
พอเริ่มหลงทาง และติดกับดักของ ผลตอบแทนเงินปันผล ได้สักพัก
ผมก็มาหยุดคิด นั่งคุยกับตัวเองว่า ทางที่ผมเดินนั้นมันอาจจะไม่ใช่เส้นทางสายวีไอจริงๆก็ได้
จากนั้นผมก็หยุดหาข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นรายตัว และหยุดวิแคะหุ้นครับ
เลยก็เอาหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนมานั่งอ่านใหม่ทั้งหมดอีกรอบ โดยเฉพาะหนังสือ ตีแตก , รวยหุ้นอย่างพอเพียง และ ลงทุนเพื่อชีวิตด้วยหุ้น ของ ดร.
จากนั้นก็ได้ซื้อหนังสือ Buffetology ที่แปลโดย ดร.สมจินต์ ศรไพาล มาอ่านครับ
เล่มนี้ทำให้ผมเข้าใจแนวทางการลงทุนแบบ VI มากขึ้น
ทั้งในด้านของการคำนวนมูลค่าที่แท้จริงต่างๆ และ รูปแบบของธุรกิจผูกขาด ครับ
ตั้งแต่วันนั้นผมก็เลยให้ความสำคัญกับ เงินปันผล น้อยลงครับ
--->I Will Survive Yeah....Yeah....<---
-
- Verified User
- โพสต์: 210
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 55
ตอนที่ผมเลือกหุ้นปันผลนั้นm_mummie เขียน: อยากถาม (จากประสบการณ์ของคุณ leon leon)เรื่องการเลือกหุ้นโดยดูปันผลกับ เลือกหุ้นแบบวีไอ ต่างกันไหมคะ กำลังคิดว่าจะเอาทั้งสองวิธีมามิกซ์รวมกันในการเลือกหุ้นคะ เพราะมือใหม่ยังจับทางไม่ถูกคะ
ผมดูที่ผลตอบแทนเงินปันผลก่อนเลยครับ
ดูจากหน้าเวบที่เค้าเรียงลำดับหุ้นจากผลตอบแทนของเงินปันผล
แล้วผมก็ดูชื่อย่อว่าหุ้นตัวไหนที่ผมรู้จักบ้าง
หรือหุ้นตัวไหนที่ให้ผลตอบแทนเทียบเงินปันผลสูงแต่ผมไม่รู้จัก ก็จะเข้าไปดูรายตัวแล้วก็โหลดงบมาอ่านครับ
พอมาดูที่งบการเงิน ถ้ากำไรไม่คงที่ ปีนึงดี สองปีร้าย หรือขาดทุนบ้าง
ผมก็ตัดทิ้งไม่ดูเลยครับ
ถ้าเจอตัวที่กำไรสม่ำเสมอ ก็เลื่อนลงไปดูประวัติการจ่ายเงินปันผลว่าจ่ายสม่ำเสมอหรือไม่
จ่ายเท่าไหร่ มากกว่า กำไรต่อหุ้นหรือไม่
( ถ้าจ่ายมากกว่ากำไรต่อหุ้น ผมคิดว่ามันไม่ดี เพราะจะทำให้ ส่วนของผู้ถือหุ้นลดครับ )
แล้วก็มาดูเงินสด กับกำไรสะสม
เงินสดมีเยอะไหม กำไรสะสมเท่าไหร่ หรือว่าขาดทุนสะสม
ตอนที่เลือกหุ้นปันผลผมไม่ค่อยได้ดูธรุกิจเท่าไหร่ครับ
รู้ว่าทำอะไรบ้างนิดหน่อย แต่ไม่ได้รู้ลึก
ที่นี้พอราคาหุ้นเริ่มจะขยับตัวขึ้น
ผมก็คิดว่า หากได้เงินปันผลมา ผมก็ต้องลำบากในการที่จะนำเงินปันก้อนใหม่ที่ผมได้รับมา Reinvestment อีกรอบ
ซึ่งหากราคามันแพงขึ้น ผมก็จะได้หุ้นน้อยลง ( ต้นทุนหุ้นที่ถืออยู่จะสูงขึ้น หากซื้อตัวมันเอง )
และโดยส่วนใหญ่หุ้นปันผลที่ปันผลดีๆนั้นมักจะไม่ค่อยมีการขยายงาน
เช่น CSL เค้าบอกว่ายังไม่มีโครงการอะไรใหม่ๆ ก็เลยเอาเงินมาปันแก่ผู้ถือหุ้นไปก่อน เพราะเศรษฐกิจแบบนี้ คาดหวังให้เป็น Star คงยาก เลยขอเป็น Cash Cow ไปก่อน
เมื่อเริ่มจะตระหนักถึงการเติบโตของเหล่าหุ้นปันผล
ผมก็เลยกลับมามาพลิกหนังสือ อ่านตำราอีกรอบ
ก็พบว่าหากบริษัทจ่ายปันผลน้อย แต่มีการขยายธุรกิจที่ดี
ในระยะยาวจะให้ผลตอบแทนมากกว่า บริษัทที่ปันผลแบบรีดทุกบาททุกสตางค์
เช่น HMPRO กับ CPALL โอกาสโตมีมาก แม้จะปันผลน้อยก็ตาม
บริษัทที่โตแล้วจ่ายปันผลน้อย ส่วนของผู้ถือหุ้นจะเพิ่มขึ้น
มูลค่าที่แท้จริงก็น่าจะเพิ่มตาม ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นในที่สุดครับ
พอร์ตเล็กๆถ้าตามที่ ดร. เขียนไว้ในคำนำหนังสือ
เราควรหาหุ้นที่มี G/R ไว้ในพอร์ต ( หุ้น Star )
ส่วนหุ้นที่เป็น Cash Cow หรือหุ้นที่ปันผลดีและมั่นคงๆ นั้นเอาไว้พอร์ตโตๆค่อยสลับมาลงก็ยังไม่สายครับ
- unnop.t
- Verified User
- โพสต์: 924
- ผู้ติดตาม: 1
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 56
สนุกดีนะครับ :D ให้แนวคิด มุมมองแก่คนอื่น ๆด้วย ตัวผมเองก็เริ่มต้นการลงทุนแบบ VI มาไม่นานนี่เอง แต่ก่อนเคยเจ็บตัวสมัยเริ่มเล่นหุ้นแบบเก็งกำไร ตอนสมัย 10 กว่าปีก่อน ก็หยุดเรื่องหุ้นไปนานเลย ก่อนกลับมาใหม่
ตลาดหุ้นมักจะหลอกเราด้วย ความโลภ และความกลัว.....
-
- Verified User
- โพสต์: 210
- ผู้ติดตาม: 0
เส้นทางสาย VI
โพสต์ที่ 57
( ศิษย์น้อง และ เพื่อนร่วมทาง )
เคยแนะนำใครให้รู้จักกับแนวทางการลงทุนแบบ VI ไหมครับ ?
การที่เราแนะนำใครสักคนให้รู้จักกับวิถีชีวิตของการลงทุนแบบเน้นคุณค่านั้น
เมื่อเวลาผ่านไป จนกระทั่งเค้าเข้าใจในแนวทางนี้อย่างจริงจัง
วันหนึ่งเค้ากลับมาพูดขอบคุณเราหลายต่อหลายครั้งจากใจของเค้า
ผมรู้สึกว่ามันช่างน่าตื้นตันใจแบบหาอะไรเปรียบไม่ได้เลยหล่ะครับ
หากเปรียบโลกแห่งการลงทุนเป้นยุทธจักรแบบในหนังจีนกำลังภายใน
ผมมีศิษย์น้องอยู่คนนึงครับ
ศิษย์น้องที่ว่าก็ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ
ก็เพื่อนสนิทของผมเอง
ซึ่งเพื่อนคนนี้ก็ เรียนบัญชีมาด้วยกัน
จบมาอย่างทุลักทุเลพอๆกัน
ทำงานแบงค์เหมือนกัน ( เพียงแต่ว่ามันทำงานกับแบงค์สีเขียว )
มองหาอิสระภาพทางการเงินเหมือนกัน
พอผมเริ่มลงทุน ผมก็เลยคุยเรื่อง VI ให้มันฟัง
เริ่มจากการที่ผมบอกกับมันว่า
" ตอนนี้กูย้ายเงินที่ฝากประจำไว้มาซื้อหุ้นแล้วหว่ะ ได้ปันผลเยอะกว่าดอกเบี้ยเยอะเลย "
" แล้วหุ้นมันไม่ตกเหรอวะ "
" มึงก็อย่าไปคิดถึงราคาสิวะ เหมือนมันฝากเงินไว้ระยะยาว 5ปี 10ปี ไม่ถอน รับดอกอย่างเดียว ราคาตกไม่ตกมันจะเกี่ยวอะไร จริงป่ะ ?
แต่จริงๆ ถ้าเราซื้อหุ้นของบริษัทที่ฐานะทางการเงินแข็งแกร่งโคตรๆ ราคามันก็ไม่ค่อยตกนะเว้ย " ( ผมตอบไปตามความคิดของผม )
" เนี่ย มึงรู้จักคนที่รวยอันดับ2 ของโลกรึเปล่าวะ ที่ชื่อ วอเรน บัฟเฟตต์อ่ะ เค้าก็รวยจากการเล่นหุ้นอย่างเดียวเลยนะเว้ย
เค้าซื้อหุ้นดีๆ แล้วพอได้ปันผลเค้าก็เอาปันผลมาซื้อหุ้นต่อ เรียกว่าเงินปันผลทบต้นไปเรื่อยๆอ่ะ เล่นหุ้นแบบถือยาว เหมือนเป็นเจ้าของบริษัท
จากเงินลงทุนเริ่มแรกแค่ แสนดอลฯ กลายเป็น หลายหมื่นล้านดอลภายในเวลา สี่สิบปีนะ " ผมอธิบายให้มันยาวอยู่หลายนาที
" แล้วคนไทยก็มีนะ ชื่อ ดร.นิเวศน์ฯ ที่เขียนหนังสือชื่อ ตีแตก น่ะ เล่มที่หน้าปกเป็นคนใส่แว่นถือไพ่อ่ะ
พรุ่งนี้มึงลองไปดูทีซี-เอ็ดได้ ตอนแรกกูนึกว่าเป็นหนังสือสอนเก็งกำไรหุ้นซะอีกนะ แต่จริงๆแล้วเป็นหนังสือสอนเล่นหุ้นแบบถือยาวแบบวอเรน บัฟเฟตต์หว่ะ
อย่าง ดร.นิเวศน์ เนี่ยเค้าก็เริ่มลงทุนตั้งแต่ปี 40 มั๊ง ตอนนั้นมีตังค์แค่ 10ล้านเอง ตอนนี้น่าจะมีประมาณ 600ล้านได้นะ แต่กว่าเค้าจะเริ่มก็อายุเกือบ 40แล้ว
อย่างเราถ้าเราเริ่มตอน 25 เราน่าจะขึ้นหลัก 10 ได้ไวเหมือนกันนะ ถ้าเราลองศึกษาดีๆน่ะ "
จากนั้นผมก็แนะนำเพื่อนคนนี้ เหมือนเพื่อนคนที่แนะนำผมลงทุนแนะนำ
ก็ให้มันไปซื้อตีแตกมาอ่าน , คัมภีร์หุ้น และ Buffetology ( เล่มหลังนี่แอบเพิ่มให้เอง )
จากนั้นก็เริ่มลงทุน โดยปรึกษากันบ้าง โทรศัพท์ถกกันเรื่องหุ้นนี่ทุกวันเลยครับ
ใครอ่านข่าวหรือได้ความรู้อะไรใหม่ๆมาก็มาเล่าให้กันฟัง
ปัจจุบันพอร์ตมันโตกว่าผมไปเสียแล้ว
( เนื่องจากมันสามารถกู้สวัสดิการพนักงานได้ ดอกเบี้ยแค่ 1% กว่าเองมั๊งครับ
ช่วงเกือบกลางปีตอนหุ้นยังไม่ขึ้นมากเท่าไหร่ มันก็เลยกู้มาลงหุ้นหมด ก็กำไรกันไป พอร์ตเกือบ 7 หลักไปแล้ว
ตอนนี้ก็เริ่มทยอยชำระคืนเงินกู้เหลือไม่เท่าไหร่แล้ว )
วันหนึ่งตอนที่คุยโทรศัพท์กัน มันก็พูดขึ้นมาครับว่า
" โห กูขอบใจมึงจริงๆหว่ะ ถ้ามึงไม่แนะนำให้กูรู้จักกับ VI นะ ป่านนี้ชีวิตกูคงไม่มีเป้าหมาย เงินเก็บกูคงมีสักสามหมื่นได้หว่ะ "
ผมนี่แบบ เห้ย เรานี่ก็ทำอะไรดีๆให้คนอื่นได้เหมือนกันนี่หว่า ตื้นตันครับ
ปัจจุบันก็ยังคงเป็นคู่หูกันเหมือนเดิม
( ถ้าพอร์ตโตสักพันล้านจะสถาปนาตัวเป็น บัฟเฟตต์และมังเจอร์ แห่งเมืองล้านนาเสียเลย อิอิ )
แต่ผมว่าการมีคู่หูนี่ก็ดีไปอย่างครับ
ผลัดกันสอน ผลัดกันเตือน
ช่วงที่พอร์ตเพื่อนผมโตมากๆนั้น มันก็ต้องมีกิเลส คันไม้คันมือ อยากซื้อรถงามๆบ้าง
" กูอยากขับฟอร์จูนเนอร์แล้วหว่ะ เอาไงดีวะ " มันถามผม
" เออ ใจเย็นๆ ไว้พอร์ตสักห้าล้านสิบล้านค่อยขับก็ยังทัน ขับตอนนี้จากฟอร์จูนเนอร์จะกลายเป้น ฟอร์จูนหนี้นะเว้ย อดเก็บเงินมาซื้อหุ้นด้วย "
หรือบางทีก็เป็นผมที่เกิดกิเลสบ้าง
" เห้ยๆ นิสสัน อีโค้คาร์หว่ะ สี่แสนเอง กูซื้อมาขับดีป่าววะ "
" กูว่ามึงใจเย็นๆก่อนดีกว่าหว่ะ ซื้อตอนนี้พอร์ตมึงก็หมดเลยนะเว้ย เสียเวลาเริ่มใหม่อีก ไว้พอร์ตโตก่อนจะซื้อไฮบริดขับก็ได้มั๊ง " มันก็เตือนผมบ้าง
ทางเดินไกลๆ
บางทีถ้ามีเพื่อนร่วมทางมันก็ดีไปอย่างนั่นแหละครับ
มีคนชวนคุย คุยไป เดินไป เพลินไป แป๊ปเดียวก็คงถึง
หากเจอปัญหาก็ช่วยกันแก้
หกล้มก็ประคองกัน
ดีกว่าเดินคนเดียวเป็นไหนๆ จริงไหมครับ?
เคยแนะนำใครให้รู้จักกับแนวทางการลงทุนแบบ VI ไหมครับ ?
การที่เราแนะนำใครสักคนให้รู้จักกับวิถีชีวิตของการลงทุนแบบเน้นคุณค่านั้น
เมื่อเวลาผ่านไป จนกระทั่งเค้าเข้าใจในแนวทางนี้อย่างจริงจัง
วันหนึ่งเค้ากลับมาพูดขอบคุณเราหลายต่อหลายครั้งจากใจของเค้า
ผมรู้สึกว่ามันช่างน่าตื้นตันใจแบบหาอะไรเปรียบไม่ได้เลยหล่ะครับ
หากเปรียบโลกแห่งการลงทุนเป้นยุทธจักรแบบในหนังจีนกำลังภายใน
ผมมีศิษย์น้องอยู่คนนึงครับ
ศิษย์น้องที่ว่าก็ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ
ก็เพื่อนสนิทของผมเอง
ซึ่งเพื่อนคนนี้ก็ เรียนบัญชีมาด้วยกัน
จบมาอย่างทุลักทุเลพอๆกัน
ทำงานแบงค์เหมือนกัน ( เพียงแต่ว่ามันทำงานกับแบงค์สีเขียว )
มองหาอิสระภาพทางการเงินเหมือนกัน
พอผมเริ่มลงทุน ผมก็เลยคุยเรื่อง VI ให้มันฟัง
เริ่มจากการที่ผมบอกกับมันว่า
" ตอนนี้กูย้ายเงินที่ฝากประจำไว้มาซื้อหุ้นแล้วหว่ะ ได้ปันผลเยอะกว่าดอกเบี้ยเยอะเลย "
" แล้วหุ้นมันไม่ตกเหรอวะ "
" มึงก็อย่าไปคิดถึงราคาสิวะ เหมือนมันฝากเงินไว้ระยะยาว 5ปี 10ปี ไม่ถอน รับดอกอย่างเดียว ราคาตกไม่ตกมันจะเกี่ยวอะไร จริงป่ะ ?
แต่จริงๆ ถ้าเราซื้อหุ้นของบริษัทที่ฐานะทางการเงินแข็งแกร่งโคตรๆ ราคามันก็ไม่ค่อยตกนะเว้ย " ( ผมตอบไปตามความคิดของผม )
" เนี่ย มึงรู้จักคนที่รวยอันดับ2 ของโลกรึเปล่าวะ ที่ชื่อ วอเรน บัฟเฟตต์อ่ะ เค้าก็รวยจากการเล่นหุ้นอย่างเดียวเลยนะเว้ย
เค้าซื้อหุ้นดีๆ แล้วพอได้ปันผลเค้าก็เอาปันผลมาซื้อหุ้นต่อ เรียกว่าเงินปันผลทบต้นไปเรื่อยๆอ่ะ เล่นหุ้นแบบถือยาว เหมือนเป็นเจ้าของบริษัท
จากเงินลงทุนเริ่มแรกแค่ แสนดอลฯ กลายเป็น หลายหมื่นล้านดอลภายในเวลา สี่สิบปีนะ " ผมอธิบายให้มันยาวอยู่หลายนาที
" แล้วคนไทยก็มีนะ ชื่อ ดร.นิเวศน์ฯ ที่เขียนหนังสือชื่อ ตีแตก น่ะ เล่มที่หน้าปกเป็นคนใส่แว่นถือไพ่อ่ะ
พรุ่งนี้มึงลองไปดูทีซี-เอ็ดได้ ตอนแรกกูนึกว่าเป็นหนังสือสอนเก็งกำไรหุ้นซะอีกนะ แต่จริงๆแล้วเป็นหนังสือสอนเล่นหุ้นแบบถือยาวแบบวอเรน บัฟเฟตต์หว่ะ
อย่าง ดร.นิเวศน์ เนี่ยเค้าก็เริ่มลงทุนตั้งแต่ปี 40 มั๊ง ตอนนั้นมีตังค์แค่ 10ล้านเอง ตอนนี้น่าจะมีประมาณ 600ล้านได้นะ แต่กว่าเค้าจะเริ่มก็อายุเกือบ 40แล้ว
อย่างเราถ้าเราเริ่มตอน 25 เราน่าจะขึ้นหลัก 10 ได้ไวเหมือนกันนะ ถ้าเราลองศึกษาดีๆน่ะ "
จากนั้นผมก็แนะนำเพื่อนคนนี้ เหมือนเพื่อนคนที่แนะนำผมลงทุนแนะนำ
ก็ให้มันไปซื้อตีแตกมาอ่าน , คัมภีร์หุ้น และ Buffetology ( เล่มหลังนี่แอบเพิ่มให้เอง )
จากนั้นก็เริ่มลงทุน โดยปรึกษากันบ้าง โทรศัพท์ถกกันเรื่องหุ้นนี่ทุกวันเลยครับ
ใครอ่านข่าวหรือได้ความรู้อะไรใหม่ๆมาก็มาเล่าให้กันฟัง
ปัจจุบันพอร์ตมันโตกว่าผมไปเสียแล้ว
( เนื่องจากมันสามารถกู้สวัสดิการพนักงานได้ ดอกเบี้ยแค่ 1% กว่าเองมั๊งครับ
ช่วงเกือบกลางปีตอนหุ้นยังไม่ขึ้นมากเท่าไหร่ มันก็เลยกู้มาลงหุ้นหมด ก็กำไรกันไป พอร์ตเกือบ 7 หลักไปแล้ว
ตอนนี้ก็เริ่มทยอยชำระคืนเงินกู้เหลือไม่เท่าไหร่แล้ว )
วันหนึ่งตอนที่คุยโทรศัพท์กัน มันก็พูดขึ้นมาครับว่า
" โห กูขอบใจมึงจริงๆหว่ะ ถ้ามึงไม่แนะนำให้กูรู้จักกับ VI นะ ป่านนี้ชีวิตกูคงไม่มีเป้าหมาย เงินเก็บกูคงมีสักสามหมื่นได้หว่ะ "
ผมนี่แบบ เห้ย เรานี่ก็ทำอะไรดีๆให้คนอื่นได้เหมือนกันนี่หว่า ตื้นตันครับ
ปัจจุบันก็ยังคงเป็นคู่หูกันเหมือนเดิม
( ถ้าพอร์ตโตสักพันล้านจะสถาปนาตัวเป็น บัฟเฟตต์และมังเจอร์ แห่งเมืองล้านนาเสียเลย อิอิ )
แต่ผมว่าการมีคู่หูนี่ก็ดีไปอย่างครับ
ผลัดกันสอน ผลัดกันเตือน
ช่วงที่พอร์ตเพื่อนผมโตมากๆนั้น มันก็ต้องมีกิเลส คันไม้คันมือ อยากซื้อรถงามๆบ้าง
" กูอยากขับฟอร์จูนเนอร์แล้วหว่ะ เอาไงดีวะ " มันถามผม
" เออ ใจเย็นๆ ไว้พอร์ตสักห้าล้านสิบล้านค่อยขับก็ยังทัน ขับตอนนี้จากฟอร์จูนเนอร์จะกลายเป้น ฟอร์จูนหนี้นะเว้ย อดเก็บเงินมาซื้อหุ้นด้วย "
หรือบางทีก็เป็นผมที่เกิดกิเลสบ้าง
" เห้ยๆ นิสสัน อีโค้คาร์หว่ะ สี่แสนเอง กูซื้อมาขับดีป่าววะ "
" กูว่ามึงใจเย็นๆก่อนดีกว่าหว่ะ ซื้อตอนนี้พอร์ตมึงก็หมดเลยนะเว้ย เสียเวลาเริ่มใหม่อีก ไว้พอร์ตโตก่อนจะซื้อไฮบริดขับก็ได้มั๊ง " มันก็เตือนผมบ้าง
ทางเดินไกลๆ
บางทีถ้ามีเพื่อนร่วมทางมันก็ดีไปอย่างนั่นแหละครับ
มีคนชวนคุย คุยไป เดินไป เพลินไป แป๊ปเดียวก็คงถึง
หากเจอปัญหาก็ช่วยกันแก้
หกล้มก็ประคองกัน
ดีกว่าเดินคนเดียวเป็นไหนๆ จริงไหมครับ?