ชวนคุย
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
ชวนคุย
โพสต์ที่ 1
สวัสดีครับเพื่อนๆพี่ๆใน tvi ไม่ได้โพสที่นี้นานวันนี้มีมีอะไรอยากเล่าเผื่อว่าอาจจะได้ต่อยอดทางความคิดกับเพื่อนๆพี่ๆครับ
สิ่งที่ผมจะเขียนอาจจะไม่ใช่แนว vi 100% นะครับ
ถ้าบางท่านอ่านแล้วไม่ถูกใจผมขออภัยไว้ล่วงหน้าเลยครับ
ผมขอเอาบทความของผมที่เพิ่งเขียนในบล็อกมาแปะและเพิ่มเติมเนื้อหาเข้าไปนะครับ
อยู่ในตลาดหุ้นนานๆแล้วรู้สึกว่าตลาดจะชอบให้เราเคยชินกับภาวะบางอย่างและก็หักดิบกันอย่างโหดร้าย อย่างเช่นถ้ามือใหม่ชอบซื้อหุ้นขาลงบ่อยๆ แล้วมันเด้งเขาก็จะคิดว่าคำตอบสุดท้ายคือการซื้อหุ้นตอนลงแรงๆ แต่การทำแบบนี้จะใช้ได้กับตลาด sideway เท่านั้น เมื่อตลาดเป็น bear market อย่างสมบูรณ์ก็จะขาดทุนหนักมาก หรือคนที่เพิ่งเจอวิกฤติมาแล้วรอดมาได้เพราะขายหุ้นไปก่อนเกือบทุกคนจะไม่กล้าซื้อตอนมันกลับขึ้นมาแล้วพอมันลงก็รีบขายแต่ตลาดดันกลายเป็น sideway ทำให้ตอนขายมักจะขายตอนที่หุ้นปรับตัวจบแล้วพอดี แล้วพอเจอแบบนี้บ่อยๆก็อาจจะเปลี่ยนมาเป็นพวกซื้อสวนตลาด แต่พอเริ่มทำแบบนี้ตลาดก็อาจกลับไปเป็น bear market อีกครั้ง จริงๆแล้วนักลงทุนควรจะเลือกข้างที่จะเป็นแบบใดแบบนึงเพื่อไม่ให้สับสนกับชีวิต เช่นถ้าเลือกจะเป็นวีไอแบบเพียวๆ ก็อาจจะเจ็บหนักแค่ปีเดียวในรอบ 7-8 ปีเช่นปี 2008 แต่ถ้าเป็น trader อาจจะต้องเจ็บบ่อยหน่อยเวลาเห็นหุ้นลงแล้วกลัวขายแล้วมันก็ขึ้นแรง แต่เวลาตลาด crash พวกนี้จะไม่ค่อยเจ็บหนักเท่าไหร่ อย่างวิกฤติรอบนี้ดูเหมือนว่าจะจบเร็วซึ่งก็ทำให้หลายคนมองว่าถ้าเกิดวิกฤติรอบหน้าก็รีบซื้อเข้าไปเลยแต่ผลจะออกมาเป็นไงก็ไม่รู้เพราะว่า วิกฤติสมัยก่อนมันกว่าจะฟื้นตัวจริงๆก็ 4-5 ปี สรุปดูๆไปแล้วตลาดหุ้นนี้มันไม่สามารถเอาแน่นอนอะไรได้จริงๆ สิ่งที่แน่นอนในตลาดหุ้นเพียงอย่างเดียวคือ มันเอาแน่ไม่ได้
ผมคิดว่านี้เป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะอยู่คู่ตลาดหุ้นไปจนดับดิ้นกันไปข้าง มีคนถามผมว่าผมมองตลาดยังไงเดี่ยวนี้ผมก็ไม่ค่อยกล้าตอบ เพราะหลังๆผมรู้สึกว่าความสามารถทีแท้จริงของผมไม่ใช่การคาดการณ์ตลาด และผมก็เชื่อว่าคนที่อยูในตลาดมานานจะไม่กล้าคาดการณ์มาก อย่างรอบนี้ผมก็ไม่ได้ขายหุ้นจะว่าไปแล้วตอนนี้ผมเริ่มมีมุมมองเปลี่ยนไปผมว่าถ้ามันจะเกิดวิกฤติมันจะต้องเป็นไรที่แย่มากๆ แย่ซ้ำซากแล้วก็มีแต่แย่ขึ้นเรื่อยๆ อย่างปี 2008 มีคนล้มแล้วสถาบันการเงินที่ล้มมันก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆถึงขนาด lehman ล้ม ผมว่าจริงๆแล้วถ้าตลาดจะเกิดวิกฤติกันเราแค่อ่านข่าวคร่าวๆเราจะรู้ได้เองว่าปัญหามันหนักมาก และหนักขึ้นเรื่อยๆแต่ถ้าไม่ใช่มันจะแค่มีอะไรมาให้เราตื่นเต้นตกใจเป็นพักๆแล้วก็จากไปดังประโยค this too shall past ผมว่าเซียนคือคนที่แยกออกระหว่าง ปัญหาที่หนักขึ้นเรื่อยๆกับลูกตกใจประเดี่ยวประด๊าว จะว่าไปปีนี้ผมล้างพอร์ตไปแค่ครั้งเดียวตอนเดือนมกราคม
และผมเริ่มรู้สึกว่าการล้างพอร์ตมันต้องเป็นไม้ตายสุดท้ายจริงๆ เพราะการไม่มีหุ้นในพอร์ตเลยก็เป็นเรื่องที่เสี่ยงสูง ตอนหุ้นอยู่ 735 แถวนั้นเป็นช่วงที่ผมกลับมาเต็มพอร์ตอีกครั้งหลังจากลดไปเหลือ 50% หลังจากเจอวิกฤติการเมืองต่อเนื่อง ตอนนั้นถือแล้วเสียวแต่ก็คิดว่าใครๆก็ถือเงินสดกันถ้ามันยิงกันจริงก็ลงแรงแป๊ปเดียวผมก็ใช้มาร์จิ้นซื้อหุ้นไป ถ้าไม่ลงก็ช่างมันไม่ต้องใช้มาร์จิ้นปรากฎว่ามันก็ไม่ลงแฮะ เลยรอดตัวไป อย่างกรณีนี้จะเห็นได้ว่าวันที่การเมืองดีขึ้นหุ้นเปิดโดด 25 จุดประเด็นคือถ้าคุณไม่มีของ มันยากนะที่คุณจะทำใจมาซื้อวันนั้นแล้วพอคุณซื้อไปอีกไม่กี่วัน ยุโรปมันก็โลกจะแตกคุณกลัวไม่อยากตัดขาดทุนพอวันนี้เด้งคุณก็ขายแล้วมันก็ไปต่อ ไรแบบนี้ ฮาๆ
หลังจากอยู่ในตลาดหุ้นนานขึ้นมันทำให้ผมไม่ค่อยกล้ามั่นใจอะไรจนเกินไปเหมือนคำกล่าวพี่สุมาอี้ ถ้าคุณไม่มั่นใจอะไรมากเกินไปคุณจะไม่หมดตัว
อย่างผู้ที่ไปร่วมงานมีทติ้งในบล็อก(ต้องขอโทษคุณ picklife ที่ไปถามว่ามีสรุปเนื้อหาในงานไหมแล้วบอกว่าไม่มี มาพูดตอนนี้ไม่รู้ยังอยากฟังรึเปล่า)
อย่างเพื่อนๆหลายคนที่มาในงานแล้วขาดทุนหุ้นหนักๆก็มีอย่างเช่น snc สมัยก่อนบอกว่าซื้อแล้วมั่นใจในอนาคตบริษัทมากแล้วพอประกาศเพิ่มทุนตั้งเยอะก็ตกใจแต่ก็คิดว่าเป็นโอกาศซื้อ เหมือนพี่ท่านนี้เล่าแล้วผมรู้สึกได้เลยว่าเขาผมไม่ได้เผื่อความผิดหวังไว้เลย เขามั่นใจกับมันมาก แต่พอดีมันไม่เป็นอย่างที่เขาคิดซึ่งเขาก็เจ็บหนักและหยุดเล่นหุ้นไปซักพักเลยทีเดียว
ตัวอย่างของอีกท่านนึงเล่าว่าเคยไป company visit stanley ตอนนั้นแล้วพอใจกับบริษัทเคยรู้สึกว่าบริษัทผลิตเก่ง ตอนนั้นหุ้นอยู่ 150 ก็ซื้อไป ถ้าผมจำไม่ผิดเขาเล่าว่าตอนนั้นกำไรต่อหุ้นก็ซัก 15 บาท pe 10 ก็เหมาะสมดีแต่ซื้อเพราะไปเยี่ยมชมแล้วชอบ แต่พอเจอ subprime เขาก็อึ้งเพราะราคามันลงไป 30-40 บาท เขาเลยบอกว่าเขาพลาดเองที่ซื้อโดยไม่มี mos มากพอ
ผมคิดว่านี้เป็นตัวอย่างนึงให้กับนักลงทุนได้ว่าเมื่อคุณไป visit ฟัง oppday ประชุมผู้ถือหุ้นหรืออะไรก็ตาม
ความสามารถทางการแข่งขันของบริษัทอาจจะไม่ใช่ประเด็นเดียวกับว่าบริษัทมี mos หรือไม่
นี้ก็เป็นอีกตัวอย่างนึงที่มีคนแชร์ให้ฟัง
สิ่งที่ผมจะเขียนอาจจะไม่ใช่แนว vi 100% นะครับ
ถ้าบางท่านอ่านแล้วไม่ถูกใจผมขออภัยไว้ล่วงหน้าเลยครับ
ผมขอเอาบทความของผมที่เพิ่งเขียนในบล็อกมาแปะและเพิ่มเติมเนื้อหาเข้าไปนะครับ
อยู่ในตลาดหุ้นนานๆแล้วรู้สึกว่าตลาดจะชอบให้เราเคยชินกับภาวะบางอย่างและก็หักดิบกันอย่างโหดร้าย อย่างเช่นถ้ามือใหม่ชอบซื้อหุ้นขาลงบ่อยๆ แล้วมันเด้งเขาก็จะคิดว่าคำตอบสุดท้ายคือการซื้อหุ้นตอนลงแรงๆ แต่การทำแบบนี้จะใช้ได้กับตลาด sideway เท่านั้น เมื่อตลาดเป็น bear market อย่างสมบูรณ์ก็จะขาดทุนหนักมาก หรือคนที่เพิ่งเจอวิกฤติมาแล้วรอดมาได้เพราะขายหุ้นไปก่อนเกือบทุกคนจะไม่กล้าซื้อตอนมันกลับขึ้นมาแล้วพอมันลงก็รีบขายแต่ตลาดดันกลายเป็น sideway ทำให้ตอนขายมักจะขายตอนที่หุ้นปรับตัวจบแล้วพอดี แล้วพอเจอแบบนี้บ่อยๆก็อาจจะเปลี่ยนมาเป็นพวกซื้อสวนตลาด แต่พอเริ่มทำแบบนี้ตลาดก็อาจกลับไปเป็น bear market อีกครั้ง จริงๆแล้วนักลงทุนควรจะเลือกข้างที่จะเป็นแบบใดแบบนึงเพื่อไม่ให้สับสนกับชีวิต เช่นถ้าเลือกจะเป็นวีไอแบบเพียวๆ ก็อาจจะเจ็บหนักแค่ปีเดียวในรอบ 7-8 ปีเช่นปี 2008 แต่ถ้าเป็น trader อาจจะต้องเจ็บบ่อยหน่อยเวลาเห็นหุ้นลงแล้วกลัวขายแล้วมันก็ขึ้นแรง แต่เวลาตลาด crash พวกนี้จะไม่ค่อยเจ็บหนักเท่าไหร่ อย่างวิกฤติรอบนี้ดูเหมือนว่าจะจบเร็วซึ่งก็ทำให้หลายคนมองว่าถ้าเกิดวิกฤติรอบหน้าก็รีบซื้อเข้าไปเลยแต่ผลจะออกมาเป็นไงก็ไม่รู้เพราะว่า วิกฤติสมัยก่อนมันกว่าจะฟื้นตัวจริงๆก็ 4-5 ปี สรุปดูๆไปแล้วตลาดหุ้นนี้มันไม่สามารถเอาแน่นอนอะไรได้จริงๆ สิ่งที่แน่นอนในตลาดหุ้นเพียงอย่างเดียวคือ มันเอาแน่ไม่ได้
ผมคิดว่านี้เป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะอยู่คู่ตลาดหุ้นไปจนดับดิ้นกันไปข้าง มีคนถามผมว่าผมมองตลาดยังไงเดี่ยวนี้ผมก็ไม่ค่อยกล้าตอบ เพราะหลังๆผมรู้สึกว่าความสามารถทีแท้จริงของผมไม่ใช่การคาดการณ์ตลาด และผมก็เชื่อว่าคนที่อยูในตลาดมานานจะไม่กล้าคาดการณ์มาก อย่างรอบนี้ผมก็ไม่ได้ขายหุ้นจะว่าไปแล้วตอนนี้ผมเริ่มมีมุมมองเปลี่ยนไปผมว่าถ้ามันจะเกิดวิกฤติมันจะต้องเป็นไรที่แย่มากๆ แย่ซ้ำซากแล้วก็มีแต่แย่ขึ้นเรื่อยๆ อย่างปี 2008 มีคนล้มแล้วสถาบันการเงินที่ล้มมันก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆถึงขนาด lehman ล้ม ผมว่าจริงๆแล้วถ้าตลาดจะเกิดวิกฤติกันเราแค่อ่านข่าวคร่าวๆเราจะรู้ได้เองว่าปัญหามันหนักมาก และหนักขึ้นเรื่อยๆแต่ถ้าไม่ใช่มันจะแค่มีอะไรมาให้เราตื่นเต้นตกใจเป็นพักๆแล้วก็จากไปดังประโยค this too shall past ผมว่าเซียนคือคนที่แยกออกระหว่าง ปัญหาที่หนักขึ้นเรื่อยๆกับลูกตกใจประเดี่ยวประด๊าว จะว่าไปปีนี้ผมล้างพอร์ตไปแค่ครั้งเดียวตอนเดือนมกราคม
และผมเริ่มรู้สึกว่าการล้างพอร์ตมันต้องเป็นไม้ตายสุดท้ายจริงๆ เพราะการไม่มีหุ้นในพอร์ตเลยก็เป็นเรื่องที่เสี่ยงสูง ตอนหุ้นอยู่ 735 แถวนั้นเป็นช่วงที่ผมกลับมาเต็มพอร์ตอีกครั้งหลังจากลดไปเหลือ 50% หลังจากเจอวิกฤติการเมืองต่อเนื่อง ตอนนั้นถือแล้วเสียวแต่ก็คิดว่าใครๆก็ถือเงินสดกันถ้ามันยิงกันจริงก็ลงแรงแป๊ปเดียวผมก็ใช้มาร์จิ้นซื้อหุ้นไป ถ้าไม่ลงก็ช่างมันไม่ต้องใช้มาร์จิ้นปรากฎว่ามันก็ไม่ลงแฮะ เลยรอดตัวไป อย่างกรณีนี้จะเห็นได้ว่าวันที่การเมืองดีขึ้นหุ้นเปิดโดด 25 จุดประเด็นคือถ้าคุณไม่มีของ มันยากนะที่คุณจะทำใจมาซื้อวันนั้นแล้วพอคุณซื้อไปอีกไม่กี่วัน ยุโรปมันก็โลกจะแตกคุณกลัวไม่อยากตัดขาดทุนพอวันนี้เด้งคุณก็ขายแล้วมันก็ไปต่อ ไรแบบนี้ ฮาๆ
หลังจากอยู่ในตลาดหุ้นนานขึ้นมันทำให้ผมไม่ค่อยกล้ามั่นใจอะไรจนเกินไปเหมือนคำกล่าวพี่สุมาอี้ ถ้าคุณไม่มั่นใจอะไรมากเกินไปคุณจะไม่หมดตัว
อย่างผู้ที่ไปร่วมงานมีทติ้งในบล็อก(ต้องขอโทษคุณ picklife ที่ไปถามว่ามีสรุปเนื้อหาในงานไหมแล้วบอกว่าไม่มี มาพูดตอนนี้ไม่รู้ยังอยากฟังรึเปล่า)
อย่างเพื่อนๆหลายคนที่มาในงานแล้วขาดทุนหุ้นหนักๆก็มีอย่างเช่น snc สมัยก่อนบอกว่าซื้อแล้วมั่นใจในอนาคตบริษัทมากแล้วพอประกาศเพิ่มทุนตั้งเยอะก็ตกใจแต่ก็คิดว่าเป็นโอกาศซื้อ เหมือนพี่ท่านนี้เล่าแล้วผมรู้สึกได้เลยว่าเขาผมไม่ได้เผื่อความผิดหวังไว้เลย เขามั่นใจกับมันมาก แต่พอดีมันไม่เป็นอย่างที่เขาคิดซึ่งเขาก็เจ็บหนักและหยุดเล่นหุ้นไปซักพักเลยทีเดียว
ตัวอย่างของอีกท่านนึงเล่าว่าเคยไป company visit stanley ตอนนั้นแล้วพอใจกับบริษัทเคยรู้สึกว่าบริษัทผลิตเก่ง ตอนนั้นหุ้นอยู่ 150 ก็ซื้อไป ถ้าผมจำไม่ผิดเขาเล่าว่าตอนนั้นกำไรต่อหุ้นก็ซัก 15 บาท pe 10 ก็เหมาะสมดีแต่ซื้อเพราะไปเยี่ยมชมแล้วชอบ แต่พอเจอ subprime เขาก็อึ้งเพราะราคามันลงไป 30-40 บาท เขาเลยบอกว่าเขาพลาดเองที่ซื้อโดยไม่มี mos มากพอ
ผมคิดว่านี้เป็นตัวอย่างนึงให้กับนักลงทุนได้ว่าเมื่อคุณไป visit ฟัง oppday ประชุมผู้ถือหุ้นหรืออะไรก็ตาม
ความสามารถทางการแข่งขันของบริษัทอาจจะไม่ใช่ประเด็นเดียวกับว่าบริษัทมี mos หรือไม่
นี้ก็เป็นอีกตัวอย่างนึงที่มีคนแชร์ให้ฟัง
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 166
- ผู้ติดตาม: 0
ชวนคุย
โพสต์ที่ 2
เข้ามาอ่านครับ ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ
เป็นอย่างที่พี่ฮงว่าจริงๆตลาดหุ้นเอาเน่เอานอนไม่ได้เหมือนกับเสาอาทิตที่ผ่านมามีแต่ข่าวร้ายๆฝรั่งขายหนัก แต่พอเปิดมาวันจันท์ ตลาดหุ้นดีดตัวขึ้นแรงเกือบทั่วโลก
เป็นอย่างที่พี่ฮงว่าจริงๆตลาดหุ้นเอาเน่เอานอนไม่ได้เหมือนกับเสาอาทิตที่ผ่านมามีแต่ข่าวร้ายๆฝรั่งขายหนัก แต่พอเปิดมาวันจันท์ ตลาดหุ้นดีดตัวขึ้นแรงเกือบทั่วโลก
- Packky
- Verified User
- โพสต์: 856
- ผู้ติดตาม: 0
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
ชวนคุย
โพสต์ที่ 4
ต่อๆ
ผมเคยอ่านเจอว่าถ้าคุณไปยังสถานที่แปลกใหม่ อย่าลืมมองหาบันไดหนีไฟ เพราะเมื่อเกิดไฟไหม้คุณจะได้หนีได้เร็ว ผมมาลองคิดดูแล้วมันก็คล้ายๆกับเรื่องหุ้นเหมือนกัน จากที่ผมได้สัมผัสกับนักลงทุนทำให้ผมได้รู้ว่าคนที่เจ็บหนักคือคนที่มั่นใจอะไรสุดขีด
และการมั่นใจอะไรสุดขีดนั้นบางทีมันคือการที่คุณไม่มีบันไดหนีไฟ เช่นคุณซื้อหุ้นแล้วคุณมั่นใจว่ามันต้องดีอย่างที่คุณคิดอย่างเดียว ก็เหมือนคุณคิดว่าตึกนี้ยังไงก็ไม่เกิด accident ก็อาจจะผิดหรือถูก แต่จะดีกว่าไหมถ้าคุณคิดว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ เวลาผมซื้อหุ้นผมจะเขียนไว้เลยว่า ปัจจัยเสี่ยงของหุ้นที่ผมซื้อคืออะไรบ้าง
1.
2.
3.
ซึ่งถึงผมจะมั่นใจแค่ไหน ผมก็ยังคิดว่าผมจะต้องไม่รักหุ้นมากเกินไป ผมจะต้องซื้อหุ้นมี mos มันไม่เกี่ยวว่าบริษัทมี dca มี five forced ที่ดีแล้วต้องมี mos เสมอไป dca และ five force ช่วยให้เราเห็นผู้ชนะที่ชัดเจนถ้าอุตสาหกรรมแย่ บางครั้งพอฟื้นตัวจากวิกฤติบริษัทที่มีหนี้เยอะๆต่างหากกลับน่าเล่นกว่าเพราะมันมี room ในการ improve จาก balance sheet ที่แข็งแกร่งขึ้น
ผมพยายามจะไม่รักหุ้นเท่าไหร่เพราะว่าเมื่อก่อนตอนผมเลิกกับแฟนเก่าผมซึมไปหลายเดือนผมก็คิดว่ารักมากก็เจ็บมาก รักน้อยๆแต่รักนานๆอาจจะดีกว่า :P
ต่อๆทีนี้พอคุณเตรียมทางหนีทีไล่ไว้ดีพอแล้ว เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ทำให้พื้นฐานเปลี่ยนคุณจะเป็นคนแรกๆที่ไปได้ทัน
ผมอาจจะคิดไม่เหมือนกับวีไอหลายคน
เพื่อนผมมาบอกผมว่าเขาสนใจซื้อ xxx yyy zzz เพราะมองว่าเป้าจะเท่าไหร่อย่างนุ่นอย่างนี้
ผมก็ถามกลับว่าแล้วมีอะไรบางที่จะทำให้มันไม่เป็นอย่างที่เขาคิด
เขานึกนานมาก ผมก็คิดว่าถ้ามีไรพลาดขึ้นมาเขาคงจะโดนหนักเนื่องจากรีบมองบันไดหนีไฟ
trader พูดว่า know to sell before you buy
นี้เป็นประโยคที่ผมชอบมากๆ โลกเรามันไม่มีอะไรแน่นอน
อย่าปล่อยให้การผิดพลาดครั้งเดียวทำให้คุณต้องออกจากเกมส์
ผมเคยอ่านเจอว่าสมัยก่อนตอน 1700 มีเซียนเต็มไปหมด
แต่พอเจอวิกฤติก็หมดตัวกันเป็นแถว
ผมลองนั่งคิดดูแล้วเนี้ย
ถ้าผมเห็น set 1700 แล้วลงมา 850 ผมว่าผมแทบจะขายบ้านซื้อเลยนะ เพราะว่าผมต้องคิดว่า โอ้โห discount 50% ปรากฏว่าซื้อไปแล้วผมโดนอีกมากกว่า 70% กว่ามันจะลงไปถึงจุดต่ำสุด
หลายคนอาจบอกว่าทนได้ แต่ผมบอกว่าผมทนไม่ได้หรอก
ทีนี้ก็มีคนไปยิงตัวตายหน้าตลาดหลักทรัพย์โดยเขาพูดว่าหุ้นลงทุกวันใครมีเงินเท่าไหร่ก็หมด
ผมก็คิดว่าแล้วทำไมคุณไม่ cutloss ล่ะ
คุณเข้าตลาดหุ้นคุณไม่ได้ know to sell before you buy
คุณคิดแต่ว่าคุณจะได้เงินเท่านุ่นเท่านี้แล้วก็สบายชีวิตไม่ต้องทำไรมาก เมื่อมันไม่เป็นอย่างที่คุณคิด คุณก็ได้แต่ buy and hope คุณรู้ตัวแล้วว่าคุณแพ้ แต่คุณไม่อยากที่จะยอมรับความจริง คุณไม่ต้องการรับรู้ผลลัพธ์ของมัน
แต่เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าคุณซื้อเมื่อมี mos มากพอ หรือคุณได้มองหาบันไดหนีไฟไว้ก่อน
ผมต้องไปนอนแล้ว พรุ่งนี้ผมจะมาโพสต่อนะ
ผมเคยอ่านเจอว่าถ้าคุณไปยังสถานที่แปลกใหม่ อย่าลืมมองหาบันไดหนีไฟ เพราะเมื่อเกิดไฟไหม้คุณจะได้หนีได้เร็ว ผมมาลองคิดดูแล้วมันก็คล้ายๆกับเรื่องหุ้นเหมือนกัน จากที่ผมได้สัมผัสกับนักลงทุนทำให้ผมได้รู้ว่าคนที่เจ็บหนักคือคนที่มั่นใจอะไรสุดขีด
และการมั่นใจอะไรสุดขีดนั้นบางทีมันคือการที่คุณไม่มีบันไดหนีไฟ เช่นคุณซื้อหุ้นแล้วคุณมั่นใจว่ามันต้องดีอย่างที่คุณคิดอย่างเดียว ก็เหมือนคุณคิดว่าตึกนี้ยังไงก็ไม่เกิด accident ก็อาจจะผิดหรือถูก แต่จะดีกว่าไหมถ้าคุณคิดว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ เวลาผมซื้อหุ้นผมจะเขียนไว้เลยว่า ปัจจัยเสี่ยงของหุ้นที่ผมซื้อคืออะไรบ้าง
1.
2.
3.
ซึ่งถึงผมจะมั่นใจแค่ไหน ผมก็ยังคิดว่าผมจะต้องไม่รักหุ้นมากเกินไป ผมจะต้องซื้อหุ้นมี mos มันไม่เกี่ยวว่าบริษัทมี dca มี five forced ที่ดีแล้วต้องมี mos เสมอไป dca และ five force ช่วยให้เราเห็นผู้ชนะที่ชัดเจนถ้าอุตสาหกรรมแย่ บางครั้งพอฟื้นตัวจากวิกฤติบริษัทที่มีหนี้เยอะๆต่างหากกลับน่าเล่นกว่าเพราะมันมี room ในการ improve จาก balance sheet ที่แข็งแกร่งขึ้น
ผมพยายามจะไม่รักหุ้นเท่าไหร่เพราะว่าเมื่อก่อนตอนผมเลิกกับแฟนเก่าผมซึมไปหลายเดือนผมก็คิดว่ารักมากก็เจ็บมาก รักน้อยๆแต่รักนานๆอาจจะดีกว่า :P
ต่อๆทีนี้พอคุณเตรียมทางหนีทีไล่ไว้ดีพอแล้ว เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ทำให้พื้นฐานเปลี่ยนคุณจะเป็นคนแรกๆที่ไปได้ทัน
ผมอาจจะคิดไม่เหมือนกับวีไอหลายคน
เพื่อนผมมาบอกผมว่าเขาสนใจซื้อ xxx yyy zzz เพราะมองว่าเป้าจะเท่าไหร่อย่างนุ่นอย่างนี้
ผมก็ถามกลับว่าแล้วมีอะไรบางที่จะทำให้มันไม่เป็นอย่างที่เขาคิด
เขานึกนานมาก ผมก็คิดว่าถ้ามีไรพลาดขึ้นมาเขาคงจะโดนหนักเนื่องจากรีบมองบันไดหนีไฟ
trader พูดว่า know to sell before you buy
นี้เป็นประโยคที่ผมชอบมากๆ โลกเรามันไม่มีอะไรแน่นอน
อย่าปล่อยให้การผิดพลาดครั้งเดียวทำให้คุณต้องออกจากเกมส์
ผมเคยอ่านเจอว่าสมัยก่อนตอน 1700 มีเซียนเต็มไปหมด
แต่พอเจอวิกฤติก็หมดตัวกันเป็นแถว
ผมลองนั่งคิดดูแล้วเนี้ย
ถ้าผมเห็น set 1700 แล้วลงมา 850 ผมว่าผมแทบจะขายบ้านซื้อเลยนะ เพราะว่าผมต้องคิดว่า โอ้โห discount 50% ปรากฏว่าซื้อไปแล้วผมโดนอีกมากกว่า 70% กว่ามันจะลงไปถึงจุดต่ำสุด
หลายคนอาจบอกว่าทนได้ แต่ผมบอกว่าผมทนไม่ได้หรอก
ทีนี้ก็มีคนไปยิงตัวตายหน้าตลาดหลักทรัพย์โดยเขาพูดว่าหุ้นลงทุกวันใครมีเงินเท่าไหร่ก็หมด
ผมก็คิดว่าแล้วทำไมคุณไม่ cutloss ล่ะ
คุณเข้าตลาดหุ้นคุณไม่ได้ know to sell before you buy
คุณคิดแต่ว่าคุณจะได้เงินเท่านุ่นเท่านี้แล้วก็สบายชีวิตไม่ต้องทำไรมาก เมื่อมันไม่เป็นอย่างที่คุณคิด คุณก็ได้แต่ buy and hope คุณรู้ตัวแล้วว่าคุณแพ้ แต่คุณไม่อยากที่จะยอมรับความจริง คุณไม่ต้องการรับรู้ผลลัพธ์ของมัน
แต่เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าคุณซื้อเมื่อมี mos มากพอ หรือคุณได้มองหาบันไดหนีไฟไว้ก่อน
ผมต้องไปนอนแล้ว พรุ่งนี้ผมจะมาโพสต่อนะ
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
ชวนคุย
โพสต์ที่ 8
เปลี่ยนใจแล้วขอโพสต่อ
เรื่องต่อมาที่ผมรู้สึกว่าตลาดหุ้นได้สอนผมก็คือ
การที่ผมชอบยึดติดกับประวัติศาสตร์มากเกินไป
ตอนปี 2008 หลังจากที่หุ้นลงหนักอย่างที่ไม่มีใครคาด
ผมก็ไปทำการขุดค้นประวัติศาสตร์เก่าๆแล้วผมก็สรุป
(คิดเองเออเองว่า)วิกฤติแต่ละครั้งกว่าหุ้นจะฟื้นจริง
จะต้องใช้เวลาหลายปีดังนั้นถ้าปี 2009 หุ้นมันเด้งแรงๆ
ผมจะขายแล้วรอช็อตหุ้น(จะได้เป็นเซียน :lol: )
ปรากฏว่าผมก็ซื้อหุ้นได้แถว 410 จุดแต่ผมก็มาขายไปครึ่งนึง
ตอน 450 แล้วก็มาซื้อใหม่แถวๆ 480 แล้วก็ถือมาจนถึง 500 เศษ
แล้วผมก็คิดว่า มาแล้วโอกาศช็อตหุ้นเศรษฐกิจไม่ดีมันจะขึ้นได้แค่ไหนกันเชียวปรากฏว่ามันเป็นเรื่องน่าแปลกเมื่อไหร่ที่ผมรู้สึกว่าอะไรๆมันมืดมนจน short หุ้นยังไงก็ต้องได้ตังค์ หุ้นจะชอบจบขาลงแล้ว เป็นแบบนี้บ่อยมาก ตอนนี้ผมเลิก short ไปแล้ว
เวลา short หุ้นแล้วหุ้นเด้งแรงกดดันจะมหาศาลมาก มากกว่าตอนถือแล้วหุ้นลงเยอะเลย ทำให้ผมคิดว่าแค่ทำกำไรจากหุ้นขึ้นก็ยากจะตาย ขอเป็นคนธรรมดาดีกว่าไม่ขอเป็นเซียนที่ได้ขึ้นชื่อว่าจะทำกำไรได้ทั้งหุ้นขึ้นและลง เดี่ยวไปๆมาๆชื่อดับเพราะว่ากำไรขาขึ้นพอขึ้นมาได้ครึ่งทางไปช็อตแล้วเสียเงินคืนกลายเป็นตลาดขึ้นเยอะผมไม่ค่อยได้อะไร
ผมรู้สึกว่าปีที่แล้วผมพลาดที่ทำกำไรได้แค่ 100 กว่า% เพราะมันเป็นปีทองที่ผมเฝ้ารอมาตั้งแต่ผมเล่นหุ้นแต่ผมกลับมาสามารถกอบโกยมันได้อย่างที่ผมเคยคาดทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า
ปีทองมันจะมาอย่างเงียบๆและคุณจะรู้ว่ามันเป็นปีทองก็ต่อเมื่อมันจบลงแล้ว
ตอนปลายปี 2008 ผมเคยซื้อหุ้น ps ตอน7-8 บาทแล้วก็คิดว่าพื้นฐานอยู่ที่ 10-11 แต่ปรากฏว่ามันลงไปจนถึง3.3 บาท(ผมคัทลอดประมาณ 6.85) ตอนนั้นมีรุ่นพี่ถามว่า ps น่าซื้อไหม ลึกๆผมก็รู้สึกว่าหุ้นบ้าอะไรว่ะ roa roe ดี ผู้บริหารสุดยอด pe ถูกแบบว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ลึกๆผมมีความเชื่อว่ายังไง ps ก็ต้องกลับมาที่ 7-8 บาทได้แน่ แต่ตอนนั้นผมก็คิดว่าฝรั่งก็ขายอยู่นั้นแหละผมยังไม่เอาดีกว่า เผื่อผมได้ ps 2 บาท (ฮา)ปรากฏว่ามันก็ขึ้นไปโดยที่ไม่มีผม ทำให้ผมนึกถึงคำพูด ด๊อกเตอร์ที่เขียนบทความช่วงนั้น
ประมาณว่าถ้าคุณคิดว่าหุ้นถูกพอแล้ว คุณก็ซื้อได้และถ้ามันลงไปต่อคุณก็อย่าไปใส่ใจมากถ้ามีคนซื้อมันได้ถูกกว่าคุณก็ถือว่าเขาโชคดีและดีใจไปกับเขา
พอดีผมอยากซื้อได้ bottom ซะด้วยสิผมไม่อยากให้คนโชคดีซื้อได้ถูกกว่าผม ก็เลยกลายเป็นผมเป็นคนโชคร้ายที่เห็นของดีราคาย่อมเยาว์แต่ไม่สามารถนำมาครองได้
เฮ้อ ไปก่อนล่ะ เดี่ยวพรุ่งนี้ผมมาโพสต่อนะ
เรื่องต่อมาที่ผมรู้สึกว่าตลาดหุ้นได้สอนผมก็คือ
การที่ผมชอบยึดติดกับประวัติศาสตร์มากเกินไป
ตอนปี 2008 หลังจากที่หุ้นลงหนักอย่างที่ไม่มีใครคาด
ผมก็ไปทำการขุดค้นประวัติศาสตร์เก่าๆแล้วผมก็สรุป
(คิดเองเออเองว่า)วิกฤติแต่ละครั้งกว่าหุ้นจะฟื้นจริง
จะต้องใช้เวลาหลายปีดังนั้นถ้าปี 2009 หุ้นมันเด้งแรงๆ
ผมจะขายแล้วรอช็อตหุ้น(จะได้เป็นเซียน :lol: )
ปรากฏว่าผมก็ซื้อหุ้นได้แถว 410 จุดแต่ผมก็มาขายไปครึ่งนึง
ตอน 450 แล้วก็มาซื้อใหม่แถวๆ 480 แล้วก็ถือมาจนถึง 500 เศษ
แล้วผมก็คิดว่า มาแล้วโอกาศช็อตหุ้นเศรษฐกิจไม่ดีมันจะขึ้นได้แค่ไหนกันเชียวปรากฏว่ามันเป็นเรื่องน่าแปลกเมื่อไหร่ที่ผมรู้สึกว่าอะไรๆมันมืดมนจน short หุ้นยังไงก็ต้องได้ตังค์ หุ้นจะชอบจบขาลงแล้ว เป็นแบบนี้บ่อยมาก ตอนนี้ผมเลิก short ไปแล้ว
เวลา short หุ้นแล้วหุ้นเด้งแรงกดดันจะมหาศาลมาก มากกว่าตอนถือแล้วหุ้นลงเยอะเลย ทำให้ผมคิดว่าแค่ทำกำไรจากหุ้นขึ้นก็ยากจะตาย ขอเป็นคนธรรมดาดีกว่าไม่ขอเป็นเซียนที่ได้ขึ้นชื่อว่าจะทำกำไรได้ทั้งหุ้นขึ้นและลง เดี่ยวไปๆมาๆชื่อดับเพราะว่ากำไรขาขึ้นพอขึ้นมาได้ครึ่งทางไปช็อตแล้วเสียเงินคืนกลายเป็นตลาดขึ้นเยอะผมไม่ค่อยได้อะไร
ผมรู้สึกว่าปีที่แล้วผมพลาดที่ทำกำไรได้แค่ 100 กว่า% เพราะมันเป็นปีทองที่ผมเฝ้ารอมาตั้งแต่ผมเล่นหุ้นแต่ผมกลับมาสามารถกอบโกยมันได้อย่างที่ผมเคยคาดทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า
ปีทองมันจะมาอย่างเงียบๆและคุณจะรู้ว่ามันเป็นปีทองก็ต่อเมื่อมันจบลงแล้ว
ตอนปลายปี 2008 ผมเคยซื้อหุ้น ps ตอน7-8 บาทแล้วก็คิดว่าพื้นฐานอยู่ที่ 10-11 แต่ปรากฏว่ามันลงไปจนถึง3.3 บาท(ผมคัทลอดประมาณ 6.85) ตอนนั้นมีรุ่นพี่ถามว่า ps น่าซื้อไหม ลึกๆผมก็รู้สึกว่าหุ้นบ้าอะไรว่ะ roa roe ดี ผู้บริหารสุดยอด pe ถูกแบบว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ลึกๆผมมีความเชื่อว่ายังไง ps ก็ต้องกลับมาที่ 7-8 บาทได้แน่ แต่ตอนนั้นผมก็คิดว่าฝรั่งก็ขายอยู่นั้นแหละผมยังไม่เอาดีกว่า เผื่อผมได้ ps 2 บาท (ฮา)ปรากฏว่ามันก็ขึ้นไปโดยที่ไม่มีผม ทำให้ผมนึกถึงคำพูด ด๊อกเตอร์ที่เขียนบทความช่วงนั้น
ประมาณว่าถ้าคุณคิดว่าหุ้นถูกพอแล้ว คุณก็ซื้อได้และถ้ามันลงไปต่อคุณก็อย่าไปใส่ใจมากถ้ามีคนซื้อมันได้ถูกกว่าคุณก็ถือว่าเขาโชคดีและดีใจไปกับเขา
พอดีผมอยากซื้อได้ bottom ซะด้วยสิผมไม่อยากให้คนโชคดีซื้อได้ถูกกว่าผม ก็เลยกลายเป็นผมเป็นคนโชคร้ายที่เห็นของดีราคาย่อมเยาว์แต่ไม่สามารถนำมาครองได้
เฮ้อ ไปก่อนล่ะ เดี่ยวพรุ่งนี้ผมมาโพสต่อนะ
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
ชวนคุย
โพสต์ที่ 10
ได้ตั้ง 100กว่า% มากกว่าผมตั้งเยอะ อย่าคิดมากเลยครับhongvalue เขียน:ผมรู้สึกว่าปีที่แล้วผมพลาดที่ทำกำไรได้แค่ 100 กว่า% เพราะมันเป็นปีทองที่ผมเฝ้ารอมาตั้งแต่ผมเล่นหุ้นแต่ผมกลับมาสามารถกอบโกยมันได้อย่างที่ผมเคยคาดทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า
ตลาดหลักทรัพย์มีปีทองให้เราได้แทบทุกปีละครับ ไม่แน่ปีนี้อาจได้กำไรมากกว่า 200% ก็ได้นะครับ
ดัชนีไม่วิ่ง ก็ใช่ว่าราคาหุ้นจะไม่ขึ้นทุกบริษัทซะเมื่อไร
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
- SupachaiZ594
- Verified User
- โพสต์: 834
- ผู้ติดตาม: 0
ชวนคุย
โพสต์ที่ 11
รออ่านครับ ชอบมากถึงมากที่สุด
- PaZZaHut
- Verified User
- โพสต์: 737
- ผู้ติดตาม: 0
ชวนคุย
โพสต์ที่ 12
ชอบครับhongvalue เขียน: ปีทองมันจะมาอย่างเงียบๆและคุณจะรู้ว่ามันเป็นปีทองก็ต่อเมื่อมันจบลงแล้ว
หลายๆครั้งเวลานั่งดูฟุตบอล เช่นปีกลากเข้าไปในกรอบเขตโทษ พอยิงแล้วโกล์เซฟได้ ทันใดนั้น(ผมว่าทุกครั้ง) คนพากษ์จะบ่นทันที "ถ้า"เค้าเปิดให้กองหน้า ทีมคงได้ประตูไปแล้ว
synthese(f)
n. synthesis, combining of separate elements into a complete whole; formation of a compound through the combination of simpler components (Chemistry); deductive logic
n. synthesis, combining of separate elements into a complete whole; formation of a compound through the combination of simpler components (Chemistry); deductive logic
-
- Verified User
- โพสต์: 1746
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชวนคุย
โพสต์ที่ 13
แอบไม่เห็นด้วยนิดนึงครับhongvalue เขียน:ตัวอย่างของอีกท่านนึงเล่าว่าเคยไป company visit stanley ตอนนั้นแล้วพอใจกับบริษัทเคยรู้สึกว่าบริษัทผลิตเก่ง ตอนนั้นหุ้นอยู่ 150 ก็ซื้อไป ถ้าผมจำไม่ผิดเขาเล่าว่าตอนนั้นกำไรต่อหุ้นก็ซัก 15 บาท pe 10 ก็เหมาะสมดีแต่ซื้อเพราะไปเยี่ยมชมแล้วชอบ แต่พอเจอ subprime เขาก็อึ้งเพราะราคามันลงไป 30-40 บาท เขาเลยบอกว่าเขาพลาดเองที่ซื้อโดยไม่มี mos มากพอ
ผมกลับไปดูผลประกอบการย้อนหลังของ stanley ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
การที่ราคาลงไป 30-40 บาท น่าจะเป็นเนื่องมาจากแรงเทขายที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐาน
ดังนั้น การจะบอกว่าพลาดเพราะว่าไม่ได้ดู mos มากพอ ผมมองว่า ไม่ได้พลาดอะไร
และไม่มีเหตุผลที่จะบอกว่าการที่ซื้อตอน 100 หรือ 150 แล้วมันลงไป 30 บาท เป็นเพราะวิเคราะห์ผิด
ก็ไม่ใช่เหตุผลที่มีน้ำหนักพอจะอธิบายได้ในเชิงการลงทุนแบบ value investment
เหมือนอย่างตอนช่วงเดียวกัน subprime นั่นแหละครับ
MCS ที่ผมถืออยู่ลงไปจาก 3.xx บาท ลงไป 1.70 บาท ... ถามว่าปัจจัยพื้นฐานในบริษัทเปลี่ยนหรือเปล่า ก็เปล่า
แต่อาจจะมีผลกระทบบ้างในแง่ระดับเศรษฐกิจมหภาค แต่นั่นก็เป็นอะไรที่โดนกันทุก ๆ ที่
แต่สาเหตุที่ MCS ราคาร่วงลงมาระดับนั้น เพราะว่าผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับต้น ๆ อย่าง Morgan Stanley เค้าเทขายรุนแรง
สงสัยว่าเป็นเพราะต้องนำเงินกลับประเทศเค้ามั๊ง เลยขายแบบไม่บันยะบันยัง
ถามว่า แล้วอย่างนี้จะพูดได้มั๊ยว่า คนที่ซื้อ MCS ที่ 3 บาท ไม่ได้เผื่อ mos ไว้เพียงพอ
ผมว่ามันไม่ใช่เลย ...
- Highway_Star
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 452
- ผู้ติดตาม: 1
ชวนคุย
โพสต์ที่ 14
อ่านๆ ดูแล้วผมรู้สึกอย่างนี้ครับ
เมื่อก่อนผมชอบคิดว่า รู้แค่ว่าเค้าประกอบธุรกิจกันยังไง ก็น่าจะเพียงพอแล้วต่อการเล่นหุ้นแบบ vi ไม่จำเป็นต้องไปรู้เรื่องเศรษฐกิจมาก (ความคิดของผมคือ
ประมาณว่า ผมพอจะเข้าใจวิธีประกอบธุรกิจได้ แต่จะให้ผมไปเข้าใจเศรษฐกิจนี่คงยากมากๆ )
แต่หลังจากอ่านที่พี่ hongvalue กับพี่ฉัตรชัยเขียนมา
ผมรู้สึกว่าหุ้นมันมักจะลงแรงๆ จากเหตุการณ์ภายนอกประเทศทั้งนั้น ซึ่งพวกนี้ผมคิดว่าต้องอ่านเศรษฐกิจออกค่อนข้างขาด จึงจะทำให้หนีจากตลาดหุ้นก่อนมันวายได้
และจะทำให้เราไม่ต้องเจ็บหนัก หรือไม่ต้องรอนานๆ กว่าราคาหุ้นของเรามันจะกลับมาเท่าเดิม ... หรืออาจจะขาย แล้วไปซื้อตอนมันต่ำๆ ซึ่งทำให้ได้กำไรมากขึ้น(ก็ไม่รู้ว่าโลภไปมั้ย อีกรึเปล่า)
แล้วก็อย่างที่พี่ฉัตรชัยบอกคือ วิกฤติแต่ละครั้งมันไม่เหมือนกัน ครั้งๆนึงยาวนานไม่เท่ากัน....แบบนี้ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ต้องนั่งดูว่ารอบนี้มัน "น่าจะ" ยาวนานแค่ไหน แล้วเราจึงจะเข้าไปช้อนหุ้นได้...
สรุปคือ ผมต้องรู้เรื่องเศรษฐกิจเยอะๆ ด้วยใช่มั้ยครับ รู้เรื่องของต่างประเทศด้วยอะไรงี้ ว่าเค้าเกิดเหตุการณ์อะไรซึ่งจะส่งผลต่อตลาดหุ้นในประเทศเรา ?
(คืออย่าว่าโง้นงี้เลยครับ ผมรู้สึกว่าเรื่องเศรษฐกิจนี่เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ ต้องมีความรู้เยอะมากๆ ท่าทางผมคงอีกหลายปีกว่าจะเข้าใจได้ขนาดนั้น)
เมื่อก่อนผมชอบคิดว่า รู้แค่ว่าเค้าประกอบธุรกิจกันยังไง ก็น่าจะเพียงพอแล้วต่อการเล่นหุ้นแบบ vi ไม่จำเป็นต้องไปรู้เรื่องเศรษฐกิจมาก (ความคิดของผมคือ
ประมาณว่า ผมพอจะเข้าใจวิธีประกอบธุรกิจได้ แต่จะให้ผมไปเข้าใจเศรษฐกิจนี่คงยากมากๆ )
แต่หลังจากอ่านที่พี่ hongvalue กับพี่ฉัตรชัยเขียนมา
ผมรู้สึกว่าหุ้นมันมักจะลงแรงๆ จากเหตุการณ์ภายนอกประเทศทั้งนั้น ซึ่งพวกนี้ผมคิดว่าต้องอ่านเศรษฐกิจออกค่อนข้างขาด จึงจะทำให้หนีจากตลาดหุ้นก่อนมันวายได้
และจะทำให้เราไม่ต้องเจ็บหนัก หรือไม่ต้องรอนานๆ กว่าราคาหุ้นของเรามันจะกลับมาเท่าเดิม ... หรืออาจจะขาย แล้วไปซื้อตอนมันต่ำๆ ซึ่งทำให้ได้กำไรมากขึ้น(ก็ไม่รู้ว่าโลภไปมั้ย อีกรึเปล่า)
แล้วก็อย่างที่พี่ฉัตรชัยบอกคือ วิกฤติแต่ละครั้งมันไม่เหมือนกัน ครั้งๆนึงยาวนานไม่เท่ากัน....แบบนี้ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ต้องนั่งดูว่ารอบนี้มัน "น่าจะ" ยาวนานแค่ไหน แล้วเราจึงจะเข้าไปช้อนหุ้นได้...
สรุปคือ ผมต้องรู้เรื่องเศรษฐกิจเยอะๆ ด้วยใช่มั้ยครับ รู้เรื่องของต่างประเทศด้วยอะไรงี้ ว่าเค้าเกิดเหตุการณ์อะไรซึ่งจะส่งผลต่อตลาดหุ้นในประเทศเรา ?
(คืออย่าว่าโง้นงี้เลยครับ ผมรู้สึกว่าเรื่องเศรษฐกิจนี่เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ ต้องมีความรู้เยอะมากๆ ท่าทางผมคงอีกหลายปีกว่าจะเข้าใจได้ขนาดนั้น)
-
- Verified User
- โพสต์: 37
- ผู้ติดตาม: 0
ชวนคุย
โพสต์ที่ 16
ขอบคุณมากๆคะ
เตือนสติได้มากๆเลยค่ะ จะเดินด้วยความระมัดระวังทุกย่างก้าวค่ะ
เตือนสติได้มากๆเลยค่ะ จะเดินด้วยความระมัดระวังทุกย่างก้าวค่ะ
- ake3004
- Verified User
- โพสต์: 511
- ผู้ติดตาม: 0
ชวนคุย
โพสต์ที่ 18
thanks kab.
some comment kab.
we know the bottom when it passed already.P Jo's words na nia.
from my own experience, long term view is much easier than short term view.
short term is full of fluctuation.I think this Mon SET should be down but up!
some comment kab.
we know the bottom when it passed already.P Jo's words na nia.
from my own experience, long term view is much easier than short term view.
short term is full of fluctuation.I think this Mon SET should be down but up!
One up on SET
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
ชวนคุย
โพสต์ที่ 19
ผมเชื่อว่านักลงทุนควรตระหนักถึงความจริงที่ว่า ในตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
ถ้าเอาอดีตมาทำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำ คนเล่น Technical คงรวยกันหมดละครับ
ถ้าเอาอดีตมาทำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำ คนเล่น Technical คงรวยกันหมดละครับ
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4366
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ชวนคุย
โพสต์ที่ 20
มีอีกอย่างนะครับ ความโลภ ความกลัว ความคิดเอาเอง ของคนเล่นหุ้น เพราะมันเป็นต้นกำเนิดของความไม่แน่นอนของตลาดhongvalue เขียน:สรุปดูๆไปแล้วตลาดหุ้นนี้มันไม่สามารถเอาแน่นอนอะไรได้จริงๆ สิ่งที่แน่นอนในตลาดหุ้นเพียงอย่างเดียวคือ มันเอาแน่ไม่ได้
ก็ทั้งปู่บัฟ ทั้งท่านดร. ก็ยังไม่สนใจจะทายตลาดhongvalue เขียน:มีคนถามผมว่าผมมองตลาดยังไงเดี่ยวนี้ผมก็ไม่ค่อยกล้าตอบ เพราะหลังๆผมรู้สึกว่าความสามารถทีแท้จริงของผมไม่ใช่การคาดการณ์ตลาด และผมก็เชื่อว่าคนที่อยูในตลาดมานานจะไม่กล้าคาดการณ์มาก
หรือเราจะมั่นใจว่าเก่งกว่าแกแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ชวนคุย
โพสต์ที่ 22
ถ้าเรามองภาพรวมในระยะยาว ความผันผวนในจิตใจของเราก็จะน้อยลงakekarat เขียน: แอบไม่เห็นด้วยนิดนึงครับ
ผมกลับไปดูผลประกอบการย้อนหลังของ stanley ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
การที่ราคาลงไป 30-40 บาท น่าจะเป็นเนื่องมาจากแรงเทขายที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐาน
ดังนั้น การจะบอกว่าพลาดเพราะว่าไม่ได้ดู mos มากพอ ผมมองว่า ไม่ได้พลาดอะไร
และไม่มีเหตุผลที่จะบอกว่าการที่ซื้อตอน 100 หรือ 150 แล้วมันลงไป 30 บาท เป็นเพราะวิเคราะห์ผิด
ก็ไม่ใช่เหตุผลที่มีน้ำหนักพอจะอธิบายได้ในเชิงการลงทุนแบบ value investment
เหมือนอย่างตอนช่วงเดียวกัน subprime นั่นแหละครับ
MCS ที่ผมถืออยู่ลงไปจาก 3.xx บาท ลงไป 1.70 บาท ... ถามว่าปัจจัยพื้นฐานในบริษัทเปลี่ยนหรือเปล่า ก็เปล่า
แต่อาจจะมีผลกระทบบ้างในแง่ระดับเศรษฐกิจมหภาค แต่นั่นก็เป็นอะไรที่โดนกันทุก ๆ ที่
แต่สาเหตุที่ MCS ราคาร่วงลงมาระดับนั้น เพราะว่าผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับต้น ๆ อย่าง Morgan Stanley เค้าเทขายรุนแรง
สงสัยว่าเป็นเพราะต้องนำเงินกลับประเทศเค้ามั๊ง เลยขายแบบไม่บันยะบันยัง
ถามว่า แล้วอย่างนี้จะพูดได้มั๊ยว่า คนที่ซื้อ MCS ที่ 3 บาท ไม่ได้เผื่อ mos ไว้เพียงพอ
ผมว่ามันไม่ใช่เลย ...
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 1250
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชวนคุย
โพสต์ที่ 25
เห็นด้วยกับพี่เอก ครับakekarat เขียน: แอบไม่เห็นด้วยนิดนึงครับ
ผมกลับไปดูผลประกอบการย้อนหลังของ stanley ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
การที่ราคาลงไป 30-40 บาท น่าจะเป็นเนื่องมาจากแรงเทขายที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐาน
ดังนั้น การจะบอกว่าพลาดเพราะว่าไม่ได้ดู mos มากพอ ผมมองว่า ไม่ได้พลาดอะไร
และไม่มีเหตุผลที่จะบอกว่าการที่ซื้อตอน 100 หรือ 150 แล้วมันลงไป 30 บาท เป็นเพราะวิเคราะห์ผิด
ก็ไม่ใช่เหตุผลที่มีน้ำหนักพอจะอธิบายได้ในเชิงการลงทุนแบบ value investment
เหมือนอย่างตอนช่วงเดียวกัน subprime นั่นแหละครับ
MCS ที่ผมถืออยู่ลงไปจาก 3.xx บาท ลงไป 1.70 บาท ... ถามว่าปัจจัยพื้นฐานในบริษัทเปลี่ยนหรือเปล่า ก็เปล่า
แต่อาจจะมีผลกระทบบ้างในแง่ระดับเศรษฐกิจมหภาค แต่นั่นก็เป็นอะไรที่โดนกันทุก ๆ ที่
แต่สาเหตุที่ MCS ราคาร่วงลงมาระดับนั้น เพราะว่าผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับต้น ๆ อย่าง Morgan Stanley เค้าเทขายรุนแรง
สงสัยว่าเป็นเพราะต้องนำเงินกลับประเทศเค้ามั๊ง เลยขายแบบไม่บันยะบันยัง
ถามว่า แล้วอย่างนี้จะพูดได้มั๊ยว่า คนที่ซื้อ MCS ที่ 3 บาท ไม่ได้เผื่อ mos ไว้เพียงพอ
ผมว่ามันไม่ใช่เลย ...
หุ้นดีไม่ใช่ว่าราคาจะไม่ลง ครับ
เรา ๆ เองก็อาศัยช่วงเวลาที่ ราคาไม่มีเหตุผล ซื้อหุ้นกันไม่ใช่หรอครับ
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
ชวนคุย
โพสต์ที่ 28
ได้ตั้ง 100กว่า%chatchai เขียน:
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
ชวนคุย
โพสต์ที่ 29
จริงๆแล้วที่เขียนอันนี้ไม่ได้จะเขียนแนววีไอโดยตรงเท่าไหร่น่ะแต่แค่จะสื่อว่าอย่ามั่นใจอะไรเกินไป ส่วนเรื่องที่พี่ akekarat พูดก็มีเหตุผลเหมือนกันครับ ดีครับมีอะไรก็แชร์ความเห็นกันผมเองก็มีประสบการณ์ในตลาดน้อยกว่าพี่ๆหลายคน ความคิดก็ยังมีผิดพลาดเยอะอยู่
มาเขียนสะเปะสะปะต่อแล้วกันนะ
จริงๆแล้วที่มาเขียนเพราะว่าเฮียเด็กเลี้ยงแกะไปเขียนแซวผมเอาไว้ว่าไปส่งคนไปดักฟังในงานมีทติ้งของผมแล้วผมมีวิชาใหม่ ผมก็ไม่คิดว่าถึงขนาดเป็นวิชาใหม่หรอก แต่ก็อยากได้ความเห็นท่านอื่นบ้างก็ลองมาแชร์ดู ว่าแต่ที่เฮียเด็กเลี้ยงแกะรู้ว่ามีพูดอะไรกันในงานบ้างเนี้ยเข้าใจว่าส่งสายสืบไปดักฟังแล้วอัดเทปมาใช่ไหมครับ :lol: เพราะว่ามีเด็กเสริฟคนนึงหน้าตาเหมือนจบซักปริญญาโท ดูเหมือนจะเข้าใจที่พวกเราคุยกันในงาน แหมที่แท้ก็สายสืบนี้เอง (แซวเล่นนะครับ)
เห็นหลายคนพูดกันเรื่องยึดติดอดีตแล้วเอามาทำนายอนาคตเรื่องนี้ผมก็ได้ประสบการณ์ตรงหลายอย่าง ก็อย่างคิดว่าวิกฤติแต่ละรอลกินเวลาเท่าไหร่อีกครั้งนึงก็ต้องนานใกล้เคียงกันเป็นต้น
อย่างที่พี่ฉัตรชัยโพสว่า
[quote="chatchai"]
วิกฤตปี 40
มาเขียนสะเปะสะปะต่อแล้วกันนะ
จริงๆแล้วที่มาเขียนเพราะว่าเฮียเด็กเลี้ยงแกะไปเขียนแซวผมเอาไว้ว่าไปส่งคนไปดักฟังในงานมีทติ้งของผมแล้วผมมีวิชาใหม่ ผมก็ไม่คิดว่าถึงขนาดเป็นวิชาใหม่หรอก แต่ก็อยากได้ความเห็นท่านอื่นบ้างก็ลองมาแชร์ดู ว่าแต่ที่เฮียเด็กเลี้ยงแกะรู้ว่ามีพูดอะไรกันในงานบ้างเนี้ยเข้าใจว่าส่งสายสืบไปดักฟังแล้วอัดเทปมาใช่ไหมครับ :lol: เพราะว่ามีเด็กเสริฟคนนึงหน้าตาเหมือนจบซักปริญญาโท ดูเหมือนจะเข้าใจที่พวกเราคุยกันในงาน แหมที่แท้ก็สายสืบนี้เอง (แซวเล่นนะครับ)
เห็นหลายคนพูดกันเรื่องยึดติดอดีตแล้วเอามาทำนายอนาคตเรื่องนี้ผมก็ได้ประสบการณ์ตรงหลายอย่าง ก็อย่างคิดว่าวิกฤติแต่ละรอลกินเวลาเท่าไหร่อีกครั้งนึงก็ต้องนานใกล้เคียงกันเป็นต้น
อย่างที่พี่ฉัตรชัยโพสว่า
[quote="chatchai"]
วิกฤตปี 40
สนใจเรื่องบัญชี กลยุทธ์ลงทุน fundflow แจมได้ที่ blog ผม
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP
http://hongvalue.wordpress.com/
-ติดตาม twitter เรื่องหุ้นของผมได้ที่
http://twitter.com/hongvalue
my book
http://wp.me/pzSOv-hP