หลักเศรษฐกิจพอเพียงกับการเล่นหุ้นแบบคุณค่า

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mactavish
Verified User
โพสต์: 87
ผู้ติดตาม: 0

หลักเศรษฐกิจพอเพียงกับการเล่นหุ้นแบบคุณค่า

โพสต์ที่ 1

โพสต์

อยากทราบว่ามีพี่ๆคนไทยนำหลักการสองอย่างมาประยุกต์ใช้ในการเล่นหุ้นบ้างครับ
ถ้ามีทำยังไงช่วยอธิบายหน่อยครับ :?:
Anti-Aircraft
Verified User
โพสต์: 807
ผู้ติดตาม: 0

หลักเศรษฐกิจพอเพียงกับการเล่นหุ้นแบบคุณค่า

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ใช้เฉพาะเงินเย็น คือ เงินที่สามารถนำมาจมอยู่ในหุ้นได้หลายๆปีโดยไม่เดือดร้อน (3-5 ปีเป็นอย่างน้อย) แบ่งเงินสำหรับการครองชีพและสำรองเผื่อฉุกเฉินให้เพียงพอ

หลีกเลี่ยงการกู้เงินมาลงทุน หรือการใช้มาร์จิ้น หากจะใช้เงินกู้หรือ เล่นมาร์จิ้นก็คิดให้รอบคอบ กำหนดวงเงินให้เหมาะสม อย่าให้ตัวเองเดือดร้อนเพราะความโลภชั่วขณะ

สุดท้ายคือความสุข ถ้าซื้อหุ้นตัวไหนมาแล้วรู้สึกวิตกกังวล นอนไม่หลับ ให้ขายทิ้งไปซะ เลือกเฉพาะตัวที่เราถือแล้วกินอิ่มนอนหลับ แม้บางครั้งผลตอบแทนจะไม่หวือหวาก็ตาม หรือถ้าไม่มีตัวไหนน่าสนใจเลย ก็รออยู่เฉยๆ จนกว่าจะมีโอกาสก็ได้

จำเค้ามาอีกทีนะ :8)
อย่ายอมแพ้
ภาพประจำตัวสมาชิก
j21
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 690
ผู้ติดตาม: 0

หลักเศรษฐกิจพอเพียงกับการเล่นหุ้นแบบคุณค่า

โพสต์ที่ 3

โพสต์

copy บทความของอาจารย์มาลงครับ  เหมือนจะเกี่ยวกับคำถามอยู่หน่อย ๆ   :D


โลกในมุมมองของ Value Investor                  22 กุมภาพันธ์ 2552



ย้อนหลังไปสมัยที่ผมยังเป็นเด็กคือประมาณ 50 ปีมาแล้ว    ผู้คนในสังคมไทยสำหรับผมดูเหมือนจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่มเท่านั้นคือ    คน  ร่ำรวย  ซึ่งสัญลักษณ์ที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ   การที่พวกเขามี   ข้าทาสบริวารหรือคนดูแลรับใช้  นอกเหนือไปจากบ้านและทรัพย์สินเงินทองที่แสดงถึงความมั่งคั่งเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันหรือไม่ไกลจากกัน   อีกกลุ่มหนึ่งก็คือ  คน  ยากจน  ที่ต้องทำงานทุกอย่างเองหรือทำงานรับใช้ให้กับคนรวย   นอกจากนั้น  พวกเขามักจะอาศัยอยู่ในบ้านที่ทรุดโทรม   ชีวิตประจำวันของพวกเขาวนเวียนอยู่กับการทำงานและไม่เคยท่องเที่ยวไปในที่ไกล ๆ  ไม่ต้องพูดถึงการไปต่างประเทศ  แน่นอน  ผมอยู่ในกลุ่มหลัง

การใช้ชีวิตแบบ  คนรวย คนจน  ในสังคมไทยจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรผมเองไม่ได้สังเกตมากนักจนกระทั่งผมได้ไปเรียนปริญญาเอกที่สหรัฐอเมริกาและกลับมาในราวปี  2529 หรือประมาณ กว่า 20 ปีมาแล้ว   ผมเริ่มรู้สึกว่าการใช้ชีวิตที่เมืองไทยของผมเริ่มคล้ายกับการใช้ชีวิตสมัยที่ผมเรียนอยู่ที่อเมริกา   ประเด็นที่เหมือนกันและรู้สึกได้มากที่สุดก็คือ  ข้อหนึ่ง  ผมมีรถและขับเอง  ข้อสอง   ผมต้องไปจ่ายตลาดในซุปเปอร์มาร์เก็ตสมัยใหม่ทุกสัปดาห์แบบที่ผมทำอยู่ที่เมืองนอก   การเข็นรถและรอจ่ายเงินที่ทางออกของซุปเปอร์มาร์เก็ตนั้น  ทีแรกผมไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องสำคัญอะไรนักจนได้อ่านเจอข่าวที่นาย  ซัลแมน  รัชดี  นักเขียนชื่อดังชาวอังกฤษที่เขียนเรื่อง  Satanic Verses ที่ถูกผู้นำทางศาสนาอิสลามของอิหร่านตัดสินว่าหมิ่นศาสนาและสั่ง  ประหาร ทำให้เขาต้องหลบซ่อนตัว   เขาให้สัมภาษณ์ว่า  เขารู้สึกว่าไม่ได้ลำบากอะไรมากนักยกเว้นแต่ว่าชีวิตประจำวันที่เขาต้องจ่ายตลาดในซุปเปอร์มาร์เก็ตของเขานั้นขาดหายไป  

หลังกลับจากอเมริกา  ผมเริ่มเห็นชัดขึ้นเรื่อย ๆ  ว่าในสังคมไทยนั้น   เรากำลังมีคนกลุ่มที่สามที่เรียกว่า  คนชั้นกลาง   คนกลุ่มนี้ที่รวมถึงตัวผมด้วยนั้น  มีชีวิตที่ค่อนข้างเป็นอิสระและไม่ได้มองหรือสนใจคนรวยหรือคนชั้นสูงอย่างที่เคยเป็น  ประการสำคัญก็คือ  คนกลุ่มนี้มักมีการศึกษาที่ดีไม่แพ้คนชั้นสูง   ในเรื่องของเงินทองหรือทรัพย์สินนั้น   คนชั้นกลางเริ่มมีงานที่สามารถทำเงินได้มากจนสามารถใช้จ่ายซื้อทรัพย์สินหรือของใช้ที่จำเป็นแบบที่คนรวยเท่านั้นที่สามารถซื้อได้ในสมัยก่อน   เพียงแต่ว่าบ้านหรือรถยนต์นั้นอาจจะไม่หรูหราเท่า   พวกเขาเริ่มท่องเที่ยวไปในที่ไกล ๆ  และต่างประเทศ   สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ  ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่มี   ข้าทาสบริวาร  หรือคนที่ทำงานให้มากมายอย่างคนรวย   พวกเขามักทำทุกอย่างที่ทำได้เองและใช้บริการที่ทำยากจาก  มืออาชีพ เช่น  การทำผม  การซ่อมแซมเครื่องใช้ในบ้าน และการทำอาหาร

คนชั้นกลางที่ผมเห็นและที่ผมเป็นสมาชิกอยู่นั้น   สามารถใช้สินค้าและบริการทุกอย่างได้เท่ากับคนชั้นสูงและมีทรัพย์สินที่จำเป็นเช่นบ้าน  รถยนต์   เครื่องเสียง  และอื่น ๆ  ที่ให้ความสุขกับชีวิต    สิ่งที่แตกต่างก็คือ   เขาใช้มันได้ในราคาที่ต่ำกว่ามากเนื่องจากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นมาก   คุณภาพของสิ่งที่เขาใช้อาจจะต่ำกว่าบ้างแต่มันมักจะมีสมรรถภาพเกิน  90%  เมื่อเทียบกับสิ่งที่คนชั้นสูงใช้    สิ่งที่แตกต่างจริง ๆ  บางทีก็คือยี่ห้อหรือภาพพจน์เท่านั้น

การใช้ชีวิตแบบคนชั้นกลางนั้น  ถ้าจะเขียนก็คงเป็นหนังสือทั้งเล่มได้   แต่ผมจะลองไล่รายการเด่น ๆ  บางอย่างที่บ่งบอกว่าเป็นสัญลักษณ์หรือเป็นแนวทางที่คนชั้นกลางส่วนใหญ่ทำกัน    คนชั้นกลางนั้นอาจจะดูได้จากการใช้รถยนต์    ถ้าเป็นรถของตัวเองพวกเขามักจะใช้รถยี่ห้อประเภท  โตโยต้าหรือฮอนด้า   บ้านของพวกเขามักจะไม่อยู่ในหมู่บ้านที่หรูหราและเป็นบ้านขนาดเล็กที่มีห้องพอดีกับจำนวนสมาชิก   เสื้อผ้าที่สวมใส่นั้นมักจะไม่ใช่จากยี่ห้อดังของต่างประเทศและถ้าจะเป็นก็มักเป็นสินค้าเลียนแบบ    นาน ๆ  ครั้งพวกเขาก็ซื้อสินค้ามียี่ห้อจริง ๆ  แต่ในราคาลดแบบ  แกรนด์เซล  คนชั้นกลางจำนวนมากไม่ได้ท่องเที่ยวมากนัก   คนที่ท่องเที่ยวบ่อยก็จะใช้บริการของโรงแรมระดับอย่างมากก็สามดาว    ถ้าต้องบินก็จะใช้บริการที่นั่งแบบประหยัด  งานอดิเรกของคนชั้นกลางที่ทำกันมากขึ้นเรื่อย ๆ  ก็คือการออกกำลัง  เช่น  การเต้นแอโรบิกและการตีกอล์ฟ   ซึ่งถ้าจะทำ   พวกเขาก็มักจะเลือกสโมสรหรือสนามที่มีค่าใช้จ่ายไม่สูงนัก

สัญลักษณ์ของการใช้ชีวิตแบบคนชั้นกลางบางอย่างที่น่าสนใจน่าจะรวมถึงสิ่งต่อไปนี้   เรื่องแรกที่ผมคิดว่าชัดเจนมากก็คือสิ่งที่ผมพูดไปแล้วนั่นคือ   การเข็นรถจ่ายตลาดในซุปเปอร์มาร์เก็ตเป็นประจำ     การขับรถและรับโทรศัพท์เองทั้งที่เป็นผู้บริหารชั้นสูงในองค์กรขนาดใหญ่อย่างที่วอเร็น บัฟเฟตต์  ทำนั้น   ผมคิดว่าเป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนว่าเขาใช้ชีวิตแบบคนชั้นกลาง  เช่นเดียวกัน    คนที่กินอาหารจานด่วนอย่างเป็นเรื่องปกติและชอบที่จะกินอาหารตามร้านอาหารที่ไม่หรูหราแต่ราคาไม่แพงก็เป็นนิสัยของคนชั้นกลาง

ถ้าจะมองลึก ๆ  จริง ๆ  แล้ว  หลักการสำคัญของคนชั้นกลางก็คือ  การใช้ชีวิตที่ค่อนข้างจะ   เต็มที่   ในราคาที่ประหยัด   พวกเขาชอบความสะดวกสบายแต่ชอบทำอะไรด้วยตนเองมากกว่าที่จะต้องพึ่งพิงคนอื่น   พวกเขามักมีความคิดที่เป็นอิสระเสรีไม่ชอบความเป็นเจ้าขุนมูลนายที่จะต้องมีบริวารพินอบพิเทา

การใช้ชีวิตแบบคนชั้นกลางนั้น   แน่นอน  อย่างน้อยคุณจะต้องมีรายได้หรือความมั่งคั่งแบบคนชั้นกลาง    การใช้ชีวิตแบบคนชั้นสูง   อย่างน้อยคุณก็ต้องมีรายได้หรือความมั่งคั่งแบบคนชั้นสูง    ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ    การใช้ชีวิตนั้นเป็นเรื่องของความเคยชินหรือเป็นเรื่องของความพึงพอใจของเราเองด้วย    ดังนั้น  ในโลกปัจจุบันที่คนชั้นกลางมีโอกาสมากขึ้นในการทำมาหากิน  ทำให้มีคนชั้นกลางจำนวนมากกลายเป็นคนร่ำรวยแบบคนชั้นสูง    คนเหล่านี้   ถ้าเป็นอดีต   พวกเขาก็มักจะปรับมาตรฐานการดำรงชีวิตให้เป็นแบบคนชั้นสูง    แต่ในปัจจุบันผมเห็นว่า   มีคนรวยยุคใหม่จำนวนมากไม่ได้ปรับวิถีชีวิตจากแบบคนชั้นกลางเป็นคนชั้นสูง   พวกเขามีความสุขที่จะอยู่แบบคนชั้นกลางต่อไป    ดังนั้น   บางทีเราอาจจะพบคนบางคนในหมู่คนที่ใช้ชีวิตธรรมดามากทั้งที่เขามีความมั่งคั่งสูงมาก   และคนทั่วไปก็ไม่รู้เนื่องจากไม่มีอะไรที่แสดงถึงความมั่งคั่งของเขา    

ในสหรัฐ  มีการศึกษาและพบว่ามีคนแบบนี้จำนวนมาก   ในเมืองไทยเอง  ผมก็รู้จักคนแบบนี้หลายคน  แต่คนกลุ่มหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นว่าเกือบทุกคนมักจะใช้ชีวิตแบบคนชั้นกลางไม่ว่าเขาจะมีความมั่งคั่งแค่ไหนก็คือ  Value Investor  พันธุ์แท้  ไม่ว่าจะเป็นที่อเมริกาหรือในประเทศไทย   บางทีนี่อาจจะเป็นการ  เลือกทางธรรมชาติ  นั่นก็คือ   คุณไม่มีทางเป็น  Value Investor ที่ประสบความสำเร็จสูงมากได้ถ้าคุณไม่ได้ใช้ชีวิตแบบคนชั้นกลาง
ภาพประจำตัวสมาชิก
O_CHAY
Verified User
โพสต์: 436
ผู้ติดตาม: 1

หลักเศรษฐกิจพอเพียงกับการเล่นหุ้นแบบคุณค่า

โพสต์ที่ 4

โพสต์

Anti-Aircraft เขียน:ใช้เฉพาะเงินเย็น คือ เงินที่สามารถนำมาจมอยู่ในหุ้นได้หลายๆปีโดยไม่เดือดร้อน (3-5 ปีเป็นอย่างน้อย) แบ่งเงินสำหรับการครองชีพและสำรองเผื่อฉุกเฉินให้เพียงพอ

หลีกเลี่ยงการกู้เงินมาลงทุน หรือการใช้มาร์จิ้น หากจะใช้เงินกู้หรือ เล่นมาร์จิ้นก็คิดให้รอบคอบ กำหนดวงเงินให้เหมาะสม อย่าให้ตัวเองเดือดร้อนเพราะความโลภชั่วขณะ

สุดท้ายคือความสุข ถ้าซื้อหุ้นตัวไหนมาแล้วรู้สึกวิตกกังวล นอนไม่หลับ ให้ขายทิ้งไปซะ เลือกเฉพาะตัวที่เราถือแล้วกินอิ่มนอนหลับ แม้บางครั้งผลตอบแทนจะไม่หวือหวาก็ตาม หรือถ้าไม่มีตัวไหนน่าสนใจเลย ก็รออยู่เฉยๆ จนกว่าจะมีโอกาสก็ได้

จำเค้ามาอีกทีนะ :8)

เห็นด้วยกับคุณ Anti-Aircraft อย่างยิ่ง ครับ

สำหรับผม VI คือแนวคิด ไม่มีกฏ หรือ ทฏษฏีตายตัว ครับ   :D
คนที่ไม่เคยผิดพลาด คือคนที่ไม่เคยลงมือทำ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mactavish
Verified User
โพสต์: 87
ผู้ติดตาม: 0

หลักเศรษฐกิจพอเพียงกับการเล่นหุ้นแบบคุณค่า

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ขอบคุณพวกพี่ๆมากเลยครับ :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
skakaisorn
Verified User
โพสต์: 26
ผู้ติดตาม: 0

หลักเศรษฐกิจพอเพียงกับการเล่นหุ้นแบบคุณค่า

โพสต์ที่ 6

โพสต์

thank you for information
โพสต์โพสต์